18. หลังจากรู้ว่าพ่อแม่ฉันถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร

โดยอ้ายยี่ ประเทศจีน

วันหนึ่งในเดือนตุลาคมปี 2018 ผู้นำคนหนึ่งบอกฉันว่า “พ่อแม่คุณถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรแล้ว” ฉันตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อเลย ฉันรู้ว่าพ่อแม่ทำหลายสิ่งที่เป็นการขัดขวาง แต่ก็ไม่น่าจะเลวร้ายจนถูกเอาตัวออกไปใช่ไหม?  ฉันนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยหัวใจที่สับสนวุ่นวาย ก่อนหน้านี้พี่สาวฉันถูกคริสตจักรขับไล่เพราะสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูของพระคริสต์ และไม่กลับใจแม้จะพยายามทุกอย่างเพื่อสามัคคีธรรมกับเธอแล้วก็ตาม ตอนนี้พ่อแม่ฉันก็ถูกเอาตัวออกไปด้วย เหลือฉันเป็นผู้เชื่อเพียงคนเดียวในครอบครัว ในช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวมาก ครอบครัวเราเข้าร่วมความเชื่อมานานกว่าสองทศวรรษ และเราทนรับการกดขี่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตลอดช่วงเวลานั้น พ่อฉันถูกจับกุมสองครั้งเพราะแบ่งปันข่าวประเสริฐ และถูกจำคุกเป็นเวลาห้าปี แม่ พี่สาว และฉันเคยใช้ชีวิตโดยไม่มีบ้านเป็นหลักแหล่ง ย้ายที่อยู่ไปทั่วเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม เราผ่านเรื่องดีร้ายมาสารพัด และตอนนี้พระราชกิจของพระเจ้าก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว แล้วอย่างนี้พวกเขาถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรได้อย่างไร?  พวกเขาเคยผ่านช่วงเวลาที่ลำบากยากเข็ญ และทนทุกข์มามาก ทั้งหมดนี้จะสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ?  เมื่อคิดเช่นนั้น ฉันก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ในใจฉันพยายามอ้างเหตุผลกับพระเจ้าว่า พ่อแม่ฉันอาจไม่เป็นที่ยกย่อง แต่พวกเขาก็ทนทุกข์มามาก เมื่อคำนึงถึงการเสียสละมาหลายปี พวกเขาไม่สมควรได้รับโอกาสกลับใจอีกครั้งหรือ?  ต่อให้หมายถึงการอยู่ต่อในฐานะคนลงแรงก็เถอะ! ยิ่งคิดแบบนั้น ฉันก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดและหม่นหมอง และฉันสูญเสียแรงผลักดันที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง พี่น้องหญิงที่ทำงานคู่กับฉันพูดประโยคหนึ่งที่ชวนคิดว่า “เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ คุณต้องยอมรับว่านั่นมาจากพระเจ้า จะบ่นไม่ได้ สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำเป็นสิ่งชอบธรรม” แม้ว่าในตอนนั้นฉันจะเข้าใจเหตุผลของเธอ แต่ฉันก็เปลี่ยนความคิดตัวเองไม่ได้

สองสัปดาห์ต่อมา ฉันอ่านเอกสารเกี่ยวกับการที่พ่อแม่ฉันถูกเอาตัวออกไป ในเนื้อหาบอกว่าพ่อฉันโอหังเป็นพิเศษ จัดการกิจการทั่วไปตามใจตัวเองเสมอ แทนที่จะทำหน้าที่ตามหลักธรรม ไม่รับฟังข้อเสนอแนะจากพี่น้องชายหญิง ทำให้คริสตจักรเสียหายหนักจากการสูญเสียทางการเงิน ยิ่งไปกว่านั้น พ่อยังคงส่งหนังสือพระวจนะของพระเจ้า ทั้งๆ ที่รู้ตัวดีว่าตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยงด้านความปลอดภัย พ่อเพิกเฉยต่อคำแนะนำของพี่น้องชายหญิงไปเลย และทำต่อไปอยู่ดี จนเป็นเหตุให้พ่อถูกจับกุมและถูกจำคุก และหนังสือก็ถูกยึดไป สิ่งนี้ส่งผลเสียหายต่อคริสตจักร พ่อฉันบิดเบือนหลายสิ่งตอนพี่สาวฉันถูกขับไล่ด้วย โดยบอกว่าเกิดเรื่องแบบนั้นแค่เพราะผู้นำจ้องจับผิดเธอ แถมพ่อยังขยายเรื่องความเสื่อมทรามของผู้นำคนนี้ให้ดูรุนแรงเกินจริงด้วย โดยขู่ว่าจะทำให้เธอเสื่อมเสียและโค่นล้มเธอ คนอื่นบางคนที่ถูกชักพาให้หลงผิดจนเข้าข้างพ่อก็เริ่มมีอคติต่อผู้นำคนนั้น และสิ่งนี้ทำให้ผู้นำทำหน้าที่ตัวเองไม่ได้ตามปกติ งานของคริสตจักรถูกขัดขวางอย่างรุนแรงจากการกระทำและการประพฤติปฏิบัติของพ่อฉัน และพ่อฉันก็ไม่แสดงความสำนึกผิดหรือการกลับใจเรื่องความชั่วที่ตัวเองทำลงไปเลยสักนิด เรื่องจบลงด้วยการที่พ่อฉันถูกจำแนกว่าเป็นคนชั่วและถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร ส่วนแม่ฉันที่ถูกเอาตัวออกไปนั้น ก็เป็นไปตามหลักธรรมเช่นกัน เพราะแม่ไม่ยอมหยุดโต้เถียงเรื่องการขับไล่พี่สาวฉัน เอาแต่บ่นเรื่องผู้นำต่อหน้าพี่น้องชายหญิงคนอื่นไม่หยุด ยุยงให้เกิดความไม่ไว้วางใจกันทั้งสองฝ่าย และบิดเบือนข้อเท็จจริงระหว่างการชุมนุม โดยโต้แย้งเรื่องคนหลายคนที่เคยถูกขับไล่ และบอกว่าผู้นำคนนี้จ้องเล่นงานพวกเขา นั่นก็ขัดขวางชีวิตคริสตจักรอย่างรุนแรงเช่นกัน แม้ว่าพี่น้องชายหญิงจะพยายามอย่างมากเพื่อสามัคคีธรรมด้วย แต่แม่ฉันก็ไม่ยอมรับความจริงเลยสักนิด แม่ไม่เห็นสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมความจริง และเข้าข้างคนชั่วในการขัดขวางงานของคริสตจักร เมื่อไม่มีสำนึกของการกลับใจ ในที่สุดแม่ก็ถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร เมื่อพิจารณาความประพฤติชั่วทั้งหมดของพวกเขา ตามหลักธรรม ฉันรู้ว่าถูกต้องแล้วที่พ่อแม่ฉันควรถูกเอาตัวออกไป แต่เมื่อคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร ฉันทุกข์ใจมาก หลังจากอ่านเนื้อหาเรื่องพวกเขาถูกเอาตัวออกไป ฉันก็รู้สึกชา และหยุดร้องไห้ไม่ได้ ฉันเริ่มอ้างเหตุผลกับพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงรักมวลมนุษย์ พ่อแม่ข้าพระองค์เป็นผู้เชื่อมา 20 กว่าปี และผ่านความยากลำบากมามากมาย ยังไม่ถึงคราวที่พวกเขาจะได้รับการยอมรับจากทุกสิ่งที่พวกเขาพลีอุทิศไปหรือ?” ฉันดำเนินชีวิตอยู่ในความคิดลบและความเข้าใจผิด เมื่อทุกคนในครอบครัวฉันถูกเอาตัวออกไป เหลือฉันเป็นผู้เชื่อเพียงคนเดียว ฉันก็สงสัยว่าจะไปต่อบนเส้นทางนี้ได้อย่างไร ฉันอยู่ในสภาวะสับสนนี้ เป็นเวลาสองปีกว่า และในที่สุดฉันก็ถูกปลด เพราะไม่มีสิ่งใดในหน้าที่ที่ฉันทำสำเร็จเลย ฉันรู้สึกทุกข์ใจมาก และอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งน้ำตาว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์โกรธเคืองพระองค์และเข้าใจพระองค์ผิดไป เพราะพ่อแม่ข้าพระองค์ถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร ข้าพระองค์รู้ว่านี่เป็นสภาวะที่อันตราย แต่ข้าพระองค์ก็ไม่มีกำลังที่จะกำจัดสภาวะนี้ ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงชี้แนะและช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วยเถิด”

จากนั้นระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์ พวกเขาก็ตีกรอบพระองค์ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก นั่นคือ พวกเขาเชื่อว่าไม่สำคัญว่าผู้คนจะทำอะไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะประพฤติตนอย่างไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไร และไม่สำคัญว่าพวกเขาอาจจะเป็นกบฏเพียงใด เหล่านี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญจริงๆ เลย เพราะพระเจ้าทรงมีความรัก และความรักของพระองค์นั้นไร้ขีดจำกัดและไม่สามารถวัดได้ พระเจ้าทรงมีความรัก ดังนั้นพระองค์จึงทรงสามารถยอมผ่อนปรนต่อผู้คนได้ และพระเจ้าทรงมีความรัก ดังนั้นพระองค์จึงทรงเปี่ยมกรุณาต่อผู้คน ทรงเปี่ยมกรุณาต่อความไม่เป็นผู้ใหญ่ของพวกเขา ทรงเปี่ยมกรุณาต่อความไม่รู้เท่าทันของพวกเขา และทรงเปี่ยมกรุณาต่อการเป็นกบฏของพวกเขา  นี่เป็นหนทางที่มันเป็นจริงๆ หรือ?  สำหรับผู้คนบางคน เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์กับความอดทนของพระเจ้าเพียงครั้งเดียวหรือแม้แต่สองสามครั้ง พวกเขาจะปฏิบัติต่อประสบการณ์เหล่านี้ในฐานะทุนในความรู้ของพวกเขาเองเกี่ยวกับพระเจ้า โดยเชื่อว่าพระองค์จะทรงอดทนและเปี่ยมกรุณาต่อพวกเขาตลอดกาล และจากนั้น ตลอดครรลองแห่งชีวิตของพวกเขา พวกเขานำความอดทนนี้ของพระเจ้ามาถือว่าเป็นมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้ปฏิบัติต่อพวกเขา  นอกจากนี้ยังมีพวกที่หลังจากได้รับประสบการณ์กับความยอมผ่อนปรนของพระเจ้าเพียงครั้งเดียวจะตีกรอบพระเจ้าว่ายอมผ่อนปรนตลอดกาล—และในจิตใจของพวกเขา ความยอมผ่อนปรนนี้ไม่มีกำหนด ไม่มีเงื่อนไข และแม้แต่ไร้วินัยโดยสิ้นเชิง  การเชื่อเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์)  “พระเจ้าทรงชอบธรรมในการที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกๆ บุคคล และพระองค์ทรงจริงจังในวิธีการเข้าหาของพระองค์ในพระราชกิจแห่งการพิชิตและช่วยผู้คนให้รอด  นี่คือการบริหารจัดการของพระองค์  พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกๆ คนอย่างจริงจัง และไม่ใช่เหมือนสัตว์เลี้ยงที่จะเล่นด้วย  ความรักของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์นั้นไม่ใช่แบบที่เอาใจหรือตามใจ อีกทั้งความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ก็ไม่ตามใจและไม่เพิกเฉย  ในทางตรงกันข้าม ความรักของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการทะนุถนอม การสงสาร และการเคารพชีวิต ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระองค์สื่อถึงความคาดหวังของพระองค์ต่อพวกเขา และเป็นสิ่งที่มนุษยชาติต้องการเพื่อที่จะอยู่รอด  พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง ท่าทีของพระองค์ต่อมวลมนุษย์นั้นมีหลักธรรม ไม่ใช่ข้อบังคับประเภทหนึ่งแต่อย่างใด และสามารถเปลี่ยนแปลงได้  เจตนารมณ์ของพระองค์ต่อมนุษยชาติกำลังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและแปลงสภาพไปตามกาลเวลา ขึ้นอยู่กับรูปการณ์แวดล้อมขณะที่เกิดขึ้น และพร้อมกับท่าทีของทุกๆ บุคคล  เพราะฉะนั้น เจ้าควรรู้ในหัวใจของเจ้าด้วยความชัดเจนอย่างแท้จริงว่าแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และพระอุปนิสัยของพระองค์จะปรากฏออกมาในเวลาที่ต่างกันและในบริบทที่แตกต่างกัน  เจ้าอาจไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องจริงจัง และเจ้าอาจใช้มโนคติที่หลงผิดส่วนตัวของเจ้าเองเพื่อจินตนาการว่าพระเจ้าควรทรงทำสิ่งทั้งหลายอย่างไร  อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่ทัศนคติขั้วตรงข้ามของเจ้าเป็นจริง และด้วยการใช้มโนคติที่หลงผิดส่วนตัวของเจ้าเองเพื่อพยายามวัดพระเจ้า เจ้าก็ได้ทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธแล้ว  นี่เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงดำเนินการตามวิธีที่เจ้าคิดว่าพระองค์ทรงทำ อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงปฏิบัติต่อเรื่องนี้เหมือนที่เจ้าบอกว่าพระองค์จะทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่า พระเจ้าทรงเปี่ยมรัก แต่ความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นบนหลักธรรม ไม่ใช่ความรักแบบหลับหูหลับตาและไร้หลักธรรมเหมือนความรักแบบที่ผู้คนมี พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรม และพระองค์ทรงมีจุดยืนเรื่องการประพฤติปฏิบัติและการกระทำของทุกคน พระเจ้าทรงมีความรักและความกรุณาต่อผู้ที่รักความจริงแม้เคยกระทำผิด แต่กับคนชั่ว ผู้ที่รังเกียจความจริงและขัดขวางงานของคริสตจักร พระองค์จะทรงกล่าวโทษและกำจัดพวกเขา เพียงเพราะพระเจ้าทรงเปี่ยมรัก ไม่ได้หมายความว่า พระองค์จะทรงมีความกรุณาและความอดกลั้นต่อคนชั่ว และทรงอนุญาตให้พวกเขาขัดขวางงานของคริสตจักร ฉันเข้าใจผิดเรื่องพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า และนิยามพระองค์ตามมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง ฉันทึกทักไปว่าเพราะพระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์ พระองค์จะทรงให้โอกาสเรากลับใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าเราจะทำชั่วมากแค่ไหน ตราบใดที่เราติดตามพระองค์และพลีอุทิศเพื่อพระองค์ นั่นคือเหตุผลที่ฉันรับไม่ได้เรื่องพ่อแม่ถูกเอาตัวออกไป และเริ่มอ้างเหตุผลกับพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ เมื่อคิดย้อนกลับไป คริสตจักรให้โอกาสพ่อแม่ฉันมาหลายครั้ง ก่อนที่จะเอาตัวพวกเขาออกไป และเรื่องไปถึงจุดนั้นเพียงเพราะพวกเขาไม่เคยกลับใจ อุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและบริสุทธิ์ ตราบใดที่ผู้คนเต็มใจที่จะกลับใจจากการกระทำผิดและการแสดงออกถึงความเสื่อมทราม พระเจ้าจะทรงเปี่ยมกรุณาและอดกลั้นอย่างมาก แต่ผู้คนอย่างพ่อแม่ฉัน ที่ทำความชั่วมากมายโดยไม่กลับใจอย่างแท้จริง แถมยังทำชั่วหนักขึ้น แท้จริงแล้วเป็นคนชั่ว และพระเจ้าไม่ทรงสามารถแสดงความกรุณาและความอดกลั้นต่อคนแบบนั้นไปได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์ไม่ทรงสามารถผ่อนปรนให้พวกเขาได้เพียงเพราะพวกเขาเป็นผู้เชื่อมานานและทนทุกข์มามากเพราะความเชื่อ

วันหนึ่งฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “ผู้คนพากันพูดว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ชอบธรรม และพูดว่าตราบเท่าที่มนุษย์ติดตามพระองค์ไปจนสุดปลายทาง แน่นอนว่าพระองค์จะไม่ทรงเข้าข้างมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงชอบธรรมที่สุด  หากมนุษย์ติดตามพระองค์ไปจนสุดทาง พระองค์จะสามารถทอดทิ้งมนุษย์ได้อย่างไรเล่า?  เราเป็นธรรมต่อมนุษย์ทุกคน และพิพากษามนุษย์ทุกคนด้วยอุปนิสัยอันชอบธรรมของเรา ทว่ามีภาวะที่เหมาะสมต่อข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อมนุษย์  และสิ่งที่เราพึงประสงค์จะต้องถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าพวกเขาเป็นใคร  เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างไร หรือเจ้ามีคุณสมบัติเช่นนั้นมานานเท่าใดแล้ว เราใส่ใจเพียงว่าเจ้าเดินไปในหนทางของเรา และไม่ว่าเจ้ารักและกระหายความจริงหรือไม่ หากเจ้าขาดความจริง แต่กลับนำความอับอายมาสู่นามของเรา และไม่ปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับทางของเรา แค่ทำตามโดยปราศจากความใส่ใจหรือความห่วงใย เช่นนั้นแล้ว ณ เวลานั้น เราจะบดขยี้เจ้าและลงโทษเจ้าสำหรับความชั่วของเจ้า และเจ้าจะต้องพูดอะไรอีกเล่าเมื่อถึงตอนนั้น?  เจ้าจะสามารถพูดว่า พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมอย่างนั้นหรือ?  หากเจ้าปฏิบัติตามวจนะที่เรากล่าวมาในวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือบุคคลประเภทที่เราให้ความเห็นชอบ  เจ้าพูดว่าเจ้าเป็นทุกข์เสมอขณะกำลังติดตามพระเจ้า พูดว่าเจ้าได้ติดตามพระองค์ผ่านลมพายุทั้งหลาย และได้ใช้เวลาที่ดีและที่เลวร้ายร่วมกับพระองค์ แต่เจ้าไม่ได้ดำเนินชีวิตตามพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้ เจ้าเพียงปรารถนาที่จะสาละวนวุ่นวายเพื่อพระเจ้าและสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าในแต่ละวัน และไม่เคยคิดที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมาย  เจ้ายังพูดด้วยว่า ‘ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม ฉันได้ทนทุกข์เพื่อพระองค์ สาละวนวุ่นวายเพื่อพระองค์ และอุทิศตนเพื่อพระองค์ และฉันได้ทำงานหนักทั้งที่ไม่ได้รับการให้ความสำคัญอันใด พระองค์จะทรงจดจำฉันได้อย่างแน่นอน’ เป็นความจริงที่พระเจ้านั้นทรงชอบธรรม ทว่าความชอบธรรมนี้ไม่ได้ด่างพร้อยด้วยราคีอันใด กล่าวคือ ไม่มีเจตจำนงของมนุษย์อยู่ในนั้นเลย และไม่ได้ถูกทำให้ด่างพร้อยโดยเนื้อหนัง หรือโดยธุรกรรมแลกเปลี่ยนของมนุษย์  พวกที่เป็นกบฏและต่อต้านทั้งหมด พวกที่ไม่ปฏิบัติตามหนทางของพระองค์จะถูกลงโทษ ไม่มีใครเลยที่ได้รับการอภัย และไม่มีใครเลยที่ได้รับการยกเว้น!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  ฉันเรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่า ความชอบธรรมของพระเจ้านั้นไม่เหมือนอย่างที่ฉันคิดไว้ ว่าสิ่งที่เราได้กลับคืนมานั้นขึ้นอยู่กับว่าเราใส่ลงไปมากเท่าไร พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องโปรดปรานผู้ที่วิ่งวุ่นเพื่อสละตัวเอง ทำงาน และทนทุกข์เพื่อพระองค์ สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “การทำงานหนักมีคุณความดี ไม่ว่าผลงานจะเป็นอย่างไร” พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดจุดจบของคนคนหนึ่งโดยดูว่าพวกเขาทนทุกข์เพื่องานมากแค่ไหน หรือดูที่ระดับอาวุโส พระองค์ไม่ได้ทรงมองว่าพวกเขาเสียสละภายนอกมากเพียงใด สิ่งสำคัญคือพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงและนำไปปฏิบัติหรือไม่ และพวกเขาเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตหรือไม่ พวกเขาจะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหากไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ ไม่ว่าระดับอาวุโสของพวกเขาจะสูงแค่ไหน หรือพวกเขาทนทุกข์มากเพียงใดเพื่องาน พวกเขาจะถูกพระเจ้าทรงลงโทษอย่างชอบธรรมจากความชั่วที่พวกเขาทำลงไป ฉันได้วัดความชอบธรรมของพระเจ้าด้วยกรอบความคิดแบบแลกเปลี่ยน ฉันคิดไปว่าเพราะพ่อแม่พลีอุทิศและทนทุกข์มามากในช่วงหลายปีที่พวกเขามีความเชื่อ พวกเขาจึงควรมีโอกาสมากขึ้นที่จะกลับใจและอยู่ในคริสตจักรต่อไป ไม่ว่าพวกเขาจะทำความชั่วมากแค่ไหนก็ตาม ไม่อย่างนั้นจะไม่ยุติธรรมกับพวกเขา แต่วิธีคิดของฉันผิดหมด ฉันนึกถึงเปาโลที่เดินทางทั่วยุโรปเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาถูกจับกุมหลายครั้งและทนทุกข์มากมาย แต่ไม่ว่าเขาจะไปไหน เขาก็ยืนหยัดและเป็นพยานให้ตัวเอง ในที่สุด เขาก็พูดว่าเขาดำเนินชีวิตเยี่ยงพระคริสต์ และการตายจะเป็นกำไร ผลที่ตามมาคือ เขาเป็นที่เคารพเป็นเวลาสองพันปี ในความคิดของผู้คน เขาอยู่สูงกว่าองค์พระเยซูเจ้า และท้ายที่สุด เขาก็ถูกพระเจ้าทรงลงโทษเพราะต่อต้านพระองค์ สิ่งนี้ทำให้ฉันเห็นว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงมองเรื่องผู้คนทำงานและทนทุกข์ภายนอกมากเพียงใด พระองค์ทรงลงโทษตามความประพฤติ ของผู้ที่ทำชั่วและล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ แต่ดื้อด้านไม่ยอมกลับใจ อย่างเช่น พ่อแม่ฉันทำงาน ทนทุกข์ และพลีอุทิสมากมายเพื่อพระเจ้า แต่พวกเขาไม่มีวันยอมรับความจริง ทุกสิ่งที่พวกเขาทำล้วนทำไปเพื่อขัดขวางงานของคริสตจักรและบ่อนทำลายชีวิตคริสตจักรปกติ เป็นภัยต่อการใช้ชีวิตของพี่น้องชายหญิงและสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของคริสตจักร การเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรนั้นเป็นไปตามหลักธรรมและเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า เนื่องจากไม่เข้าใจพระอุปนิสัยชอบธรรมของพระเจ้า ฉันจึงยึดติดกับมโนคติอันหลงผิดแบบแลกเปลี่ยนที่ว่า “การทำงานหนักมีคุณความดี ไม่ว่าผลงานจะเป็นอย่างไร” ฉันพยายามอ้างเหตุผลกับพระเจ้าเรื่องนี้ และโวยวาย โดยดำเนินชีวิตในสภาวะคิดลบและท้าทายพระเจ้าอยู่ตลอดในช่วงนั้น ฉันเป็นกบฏมาก! เมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกแย่และสำนึกผิด และอธิษฐานทั้งน้ำตาว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์มีความเชื่อในพระองค์มาหลายปีโดยไม่รู้จักพระองค์เลย ข้าพระองค์วัดความรักและความชอบธรรมของพระองค์ตามมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของตนเอง ต่อต้านพระองค์และพยายามอ้างเหตุผลกับพระองค์อยู่เสมอ ข้าแต่พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์เห็นแล้วว่า การที่พ่อแม่ข้าพระองค์ถูกเอาตัวออกไปนั้นเป็นความชอบธรรมของพระองค์” ฉันรู้สึกสบายใจมากหลังจากอธิษฐานอย่างนั้น

ต่อมาฉันได้ทบทวนว่า เป็นเพราะความรักผูกพันอันแรงกล้าที่ฉันมีต่อพ่อแม่ ฉันจึงเสียใจมากที่คริสตจักรเอาตัวพวกเขาออกไป นี่ทำให้ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้และทรงนำพามนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ประทานชีวิตให้เข้ามาในโลก  ลำดับต่อมา มนุษย์ก็มามีพ่อแม่และญาติพี่น้อง และไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป  ตั้งแต่ครั้งแรกที่มนุษย์เปิดตามองโลกแห่งวัตถุ เขาก็ได้ถูกลิขิตชะตาไว้แล้วให้ดำรงอยู่ภายในการทรงลิขิตของพระเจ้า  ลมปราณจากพระเจ้านี่เองที่สนับสนุนสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดทุกชีวิต ตลอดช่วงวัยเจริญเติบโตไปจนถึงวัยผู้ใหญ่  ในช่วงระหว่างกระบวนการนี้ ไม่มีใครรู้สึกว่ามนุษย์กำลังดำรงอยู่และเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของพระเจ้า พวกเขากลับเชื่อว่ามนุษย์กำลังเติบโตภายใต้บุญคุณจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ และเป็นสัญชาตญาณชีวิตของเขานั่นเองที่กำกับการเจริญเติบโตของเขา  นี่เป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่รู้ว่าผู้ใดประทานชีวิตให้เขา หรือรู้ว่าตัวเขามาจากไหน นับประสาอะไรที่จะรู้หนทางที่สัญชาตญาณชีวิตสร้างปาฏิหาริย์ เขารู้เพียงว่าอาหารคือพื้นฐานที่ช่วยให้ชีวิตดำเนินต่อไป ความพากเพียรบากบั่นคือแหล่งกำเนิดแห่งการดำรงอยู่ของชีวิตของเขา และความเชื่อต่างๆ ในจิตใจของเขาคือทุนที่เขาต้องอาศัยพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด  เกี่ยวกับพระคุณและการจัดเตรียมของพระเจ้านั้น มนุษย์ไม่รับรู้อันใดเลยอย่างถึงที่สุด และในลักษณะนี้เองที่เขาใช้ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ไปอย่างสูญเปล่า… คนที่พระเจ้าทรงดูแลทั้งวันทั้งคืนนี้ไม่มีสักคนที่คิดขึ้นมาได้เองว่าจะนมัสการพระองค์ พระเจ้าจึงทรงพระราชกิจต่อไปในตัวมนุษย์ที่ไม่มีใครคาดหวังอะไร เพียงทำไปตามที่พระองค์ทรงวางแผนเอาไว้เท่านั้น  พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง มนุษย์จะตื่นขึ้นจากฝันของเขาและพลันตระหนักถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต รวมถึงราคาที่พระเจ้าทรงจ่ายเพื่อทั้งสิ้นทั้งมวลที่พระองค์ได้ประทานให้เขา และความร้อนใจขณะที่พระเจ้าทรงรอปรารถนาอย่างเต็มที่ให้มนุษย์หันกลับมาหาพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)  “บรรดาผู้ไม่มีความเชื่อนั้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เชื่อว่ามีพระเจ้า หรือเชื่อว่าพระองค์ทรงสร้างสวรรค์กับแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง หรือมนุษย์ได้รับการทรงสร้างจากพระเจ้า  คนบางคนถึงกับพูดว่า ‘มนุษย์ได้รับชีวิตมาจากพ่อแม่ของพวกเขา และพวกเขาก็ควรให้เกียรติพ่อแม่ของตน’  ความคิดหรือทรรศนะดังกล่าวมาจากไหน?  มาจากซาตานใช่หรือไม่?  วัฒนธรรมดั้งเดิมนับพันปีได้สั่งสอนและชักพามนุษย์ให้หลงผิดในหนทางนี้ ทำให้พวกเขาไม่ยอมรับสิ่งทรงสร้างและอธิปไตยของพระเจ้า  หากไร้ซึ่งการชักพาให้หลงผิดและการควบคุมผู้คนของซาตานแล้ว มวลมนุษย์ย่อมจะสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระองค์ และพวกเขาย่อมจะรู้ว่าตนเองถูกสร้างโดยพระเจ้า รู้ว่าชีวิตของตนได้รับประทานจากพระเจ้า พวกเขาจะรู้ว่าทุกสิ่งที่ตนมีล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ และเป็นพระเจ้าที่พวกเขาควรขอบคุณ  หากใครสักคนให้การอนุเคราะห์พวกเรา พวกเราก็ควรยอมรับการนั้นจากพระเจ้า—โดยเฉพาะบิดามารดาผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา การนี้ได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้าทั้งสิ้น  พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง มนุษย์เป็นเพียงเครื่องมือในการปรนนิบัติ  หากใครบางคนสามารถละวางบิดามารดาของพวกเขา หรือสามี (หรือภรรยา)  และลูกๆ ของพวกเขาลงได้เพื่อที่จะสละตนเพื่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว คนคนนั้นย่อมจะแข็งแกร่งขึ้นและจะมีสำนึกแห่งความยุติธรรมที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจว่า พระเจ้าเป็นต้นกำเนิดของชีวิตมนุษย์ และทุกสิ่งที่เรามีนั้นพระเจ้าประทานให้เรา ว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ก็เพียงเพราะการดูแลและคุ้มครองของพระเจ้าเท่านั้น ว่าผู้ที่มีเมตตาหรือช่วยเหลือเรานั้นมาจากการจัดการเตรียมการของพระองค์ เราควรยอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้าและรู้สึกขอบคุณสำหรับความรักของพระองค์ ฉันตระหนักว่าแทนที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ฉันกลับคิดถึงแต่ความดีที่พ่อแม่เคยแสดงต่อฉัน ฉันมองไม่เห็นว่าการปกครองและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่พ่อแม่ฉันทำ ว่าการดูแล การคุ้มครอง และการชี้แนะของพระเจ้าต่างหากที่นำฉันมาสู่วันนี้ ฉันไม่ได้ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงดูแลและคุ้มครอง หรือตอบแทนความรักของพระองค์ แต่ฉันกลับท้าทายและเป็นกบฏต่อพระเจ้า ยิ่งทบทวนเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้มโนธรรมมากเท่านั้น ฉันทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง!

ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งในภายหลัง “ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใชพวกผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า?  พวกเขามิใช่ผู้คนเหล่านั้นที่เป็นกบฏต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกเขามิใช่บรรดาผู้ที่อ้างว่ามีความเชื่อทว่ายังเป็นผู้ขาดพร่องความจริงหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่เพียงแค่พยายามให้ได้มาซึ่งพรในขณะที่ไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรอกหรือ?  เจ้ายังคงอยู่ร่วมกันกับปีศาจเหล่านั้นวันนี้ และปฏิบัติต่อพวกมันด้วยจิตสำนึกและความรัก แต่ในกรณีนี้ เจ้ามิได้กำลังหยิบยื่นเจตนาที่ดีต่อซาตานหรอกหรือ?  เจ้ามิได้อยู่ร่วมขบวนการเดียวกับพวกปีศาจหรอกหรือ?  หากผู้คนมาได้จนถึงจุดนี้แต่ยังไร้ความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วได้ และยังคงหลับหูหลับตารักและเมตตาต่อไปโดยไม่มีความปรารถนาใดๆ ที่จะแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือไม่ว่าจะหนทางใดก็ไม่มีความสามารถที่จะรับเจตนารมณ์ของพระเจ้าไว้เสมือนเป็นของตนเองได้ เช่นนั้นแล้ว วาระสุดท้ายของพวกเขาจะล้วนน่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เป็นมนุษย์ก็คือศัตรูของพระเจ้า  หากเจ้าสามารถแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อศัตรูได้ เจ้ามิได้ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรมหรอกหรือ?  หากเจ้าสามารถเข้ากันได้กับพวกเหล่านั้นที่เรารังเกียจและกับพวกที่เราไม่เห็นด้วย และยังคงแบกรับความรักหรือความรู้สึกส่วนตัวต่อพวกเขาอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นกบฏหรอกหรือ?  เจ้ามิได้กำลังต้านทานพระเจ้าโดยเจตนาหรอกหรือ?  บุคคลเช่นนั้นถือครองความจริงอย่างแท้จริงกระนั้นหรือ?  หากผู้คนแบกรับจิตสำนึกต่อเหล่าศัตรู มีความรักให้ปีศาจ และปรานีต่อซาตาน เช่นนั้นแล้ว พวกเขามิได้กำลังทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักโดยเจตนาหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นสภาวะของฉันได้ตรงจุด พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้เรารักสิ่งที่พระองค์ทรงรักและเกลียดสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด ผู้ที่เกลียดความจริงและต่อต้านพระเจ้า โดยแก่นแท้แล้วเป็นคนชั่วที่พระเจ้าทรงรังเกียจและเกลียดชัง เราจึงควรเกลียดพวกเขาด้วย ฉันไม่ได้ใช้วิจารณญาณแยกแยะแก่นแท้ของพ่อแม่ตามพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะสร้างความเสียหายต่องานคริสตจักรมากเพียงใด ฉันก็เข้าข้างพวกเขา ใช้เหตุผลกับพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ ฉันถึงกับหมดกำลังใจที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ทำไมพระเจ้าจึงตรัสว่า “ความรู้สึกคือศัตรูของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 28)  เพราะความรักใคร่ ฉันได้แสดงความรักและความกรุณาต่อคนชั่ว ฉันถึงกับหวังว่าพระเจ้าจะประทานโอกาสให้พวกเขาอีกครั้งเพื่อกลับใจและอยู่ในคริสตจักรต่อไป ฉันช่างโง่เขลาจริงๆ! ไม่ว่าจะอย่างไร คนชั่วไม่เคยกลับใจอย่างแท้จริง นี่เป็นสิ่งที่แก่นแท้ของพวกเขากำหนดไว้ การอนุญาตให้พ่อแม่ฉันอยู่ในคริสตจักรต่อไป จะเป็นการให้ท้ายพวกเขาที่ยังไม่ทำความชั่วไม่หยุดและขัดขวางงานของคริสตจักร นี่จะเป็นการยืนเคียงข้างคนชั่วเพื่อต่อต้านพระเจ้า!

พระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ฉันอ่านในภายหลังให้ความรู้แจ้งกับฉันอยู่บ้าง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “วันหนึ่ง เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงบ้างแล้ว เจ้าก็จะไม่คิดว่าแม่ของเจ้าคือบุคคลที่ดีที่สุด หรือพ่อแม่ของเจ้าเป็นคนที่ดีที่สุดอีกต่อไป  เจ้าจะตระหนักว่าพวกเขาก็เป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทรามเช่นกัน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาล้วนเป็นเหมือนกัน  สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากคนอื่นคือสัมพันธภาพทางสายโลหิตกับเจ้า  หากพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็เป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อทั้งหลาย  เจ้าจะไม่มองพวกเขาจากมุมมองของสมาชิกในครอบครัว หรือจากมุมมองของสัมพันธภาพทางเนื้อหนังของเจ้าอีกต่อไป แต่จะมองจากฝั่งของความจริง  สิ่งใดคือแง่มุมหลักที่เจ้าควรมอง?  เจ้าควรดูทรรศนะที่พวกเขามีเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า ทรรศนะที่พวกเขามีต่อโลก ทรรศนะที่พวกเขามีต่อการรับมือเรื่องราวทั้งหลาย และที่สำคัญที่สุดก็คือท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า  หากเจ้าประเมินแง่มุมเหล่านี้อย่างถูกต้องแม่นยำ เจ้าก็จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี  วันหนึ่งเจ้าอาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาก็เป็นผู้คนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นเดียวกับเจ้า  นี่อาจชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำว่าพวกเขาไม่ใช่คนจิตใจดีที่มีความรักจริงให้กับเจ้าดังที่เจ้าจินตนาการ และพวกเขาไม่สามารถนำทางเจ้าไปสู่ความจริงหรือไปยังเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตได้เลย  เจ้าอาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่พวกเขาทำให้เจ้าไม่ได้มีประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อเจ้า และไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการที่เจ้าจะเลือกเดินบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง  เจ้าอาจพบอีกด้วยว่าการปฏิบัติและข้อคิดเห็นหลายประการของพวกเขาตรงกันข้ามกับความจริง ว่าพวกเขาเป็นฝ่ายเนื้อหนัง และนี่ทำให้เจ้าดูหมิ่นพวกเขา รู้สึกอยากผลักไสและรังเกียจพวกเขา  หากเจ้าได้มาเห็นสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะสามารถปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเจ้าได้อย่างถูกต้องในหัวใจ และเจ้าจะไม่คิดถึงพวกเขา กังวลเรื่องพวกเขา หรือไม่อาจใช้ชีวิตแยกจากพวกเขาได้อีกต่อไป  พวกเขาทำภารกิจในฐานะพ่อแม่ของพวกเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นเจ้าจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะของผู้คนที่ใกล้ชิดเจ้าที่สุด หรือปลาบปลื้มหลงใหลพวกเขาอีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาประหนึ่งผู้คนปกติทั่วไป และเมื่อนั้นเจ้าจะหนีพ้นจากพันธนาการของความรู้สึกได้โดยสมบูรณ์ เจ้าจะออกจากความรู้สึกและความรักใคร่ผูกพันต่อครอบครัวได้อย่างแท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราเท่านั้นที่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง)  นี่เป็นสิ่งที่อ่านแล้วกินใจมาก เพราะความรักผูกพันอันแรงกล้าที่ฉันมีต่อพ่อแม่ ฉันจึงเห็นเพียงว่าพวกเขาดีต่อฉันมากแค่ไหน แต่ไม่เห็นท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและพระเจ้า ฉันมองไม่เห็นแก่นแท้ของพวกเขาหรือเส้นทางที่พวกเขาเดินอย่างชัดเจน และนั่นเป็นเหตุผลที่ฉันรับมือเรื่องที่พวกเขาถูกเอาตัวออกไปอย่างไม่ถูกต้อง ฉันพยายามอ้างเหตุผลกับพระเจ้าเพราะถูกความรักผูกพันครอบงำ และฉันคิดลบและท้าทายเป็นเวลาสองปีกว่า ชีวิตฉันได้รับความเสียหายอย่างหนักและฉันได้ลงมือกระทำผิด การให้น้ำและหล่อเลี้ยงด้วยพระวจนะของพระเจ้า ทำให้หัวใจที่แข็งกร้าวและเป็นกบฏของฉันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นทีละน้อย และความเข้าใจผิดของฉันเรื่องพระเจ้าก็ถูกลบไป ตอนนี้ฉันรู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาก และได้แรงผลักดันในการทำหน้าที่กลับคืนมา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอดจากพระองค์

ก่อนหน้า: 16. มองทะลุความชั่วของศิษยาภิบาล

ถัดไป: 19. ทำไมฉันถึงไม่กล้าเปิดอก

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger