ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (10)

วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมเนื้อหาในการชุมนุมครั้งที่แล้วกันต่อ  ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมกันเรื่องอะไร?  (ครั้งที่แล้วพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมสองเรื่องหลัก  เรื่องแรก พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงคำถามที่ผู้คนมีว่า “ถ้ามวลมนุษย์ไม่ได้ไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากได้อยากมีของตน เช่นนั้นแล้วโลกจะพัฒนาอย่างที่เป็นมาจนถึงปัจจุบันหรือไม่?”  เรื่องต่อมา พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงทัศนคติและมุมมองบางอย่างที่ผู้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแต่งงาน แล้วจากนั้นก็สามัคคีธรรมถึงแนวคิดและคำนิยามที่ถูกต้องของการแต่งงาน)  ครั้งที่แล้วเราสามัคคีธรรมถึงหัวข้อที่กว้างมากคือ—การแต่งงาน  การแต่งงานเป็นหัวข้อกว้างๆ ที่เกี่ยวพันกับมวลมนุษย์ทุกคนและแทรกซึมไปทั่วประวัติศาสตร์ทางด้านพัฒนาการของมนุษย์  หัวข้อนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คน และสำคัญต่อทุกคน  ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงเนื้อหาบางอย่างที่กล่าวถึงหัวข้อนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องที่มาและกำเนิดของการแต่งงาน พระบัญชาและการสถาปนาที่พระเจ้าทรงมีต่อคู่สมรส รวมทั้งความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ทั้งสองฝ่ายพึงมี  เนื้อหานี้อิงตามอะไรเป็นหลัก?  (บันทึกในพระคัมภีร์)  สามัคคีธรรมนี้อิงตามถ้อยคำและข้อพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ซึ่งระบุว่าหลังจากที่พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา พระองค์ก็ทรงสถาปนาการแต่งงานให้แก่พวกเขาใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผ่านทางสามัคคีธรรมครั้งที่แล้ว และด้วยการอ่านเรื่องเกี่ยวกับคำตรัสและการกระทำบางอย่างที่พระเจ้าทรงมีต่อการสมรสของมนุษย์ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ตอนนี้พวกเจ้ามีนิยามที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงานกันแล้วใช่หรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “พวกเราเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่มีแนวคิดเรื่องการแต่งงานหรือประสบการณ์แต่อย่างใด  การที่พวกเราจะนิยามการแต่งงานจึงเป็นเรื่องยาก”  เป็นเรื่องยากหรือไม่?  (ไม่)  ไม่ยาก  ดังนั้นพวกเราควรนิยามการแต่งงานว่าอย่างไร?  เมื่อดูตามคำตรัสและการกระทำที่พระเจ้าทรงมีเกี่ยวกับการแต่งงานของมนุษย์ พวกเจ้าควรมีนิยามที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงานมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในเรื่องการแต่งงานนั้น ไม่ว่าตัวเจ้าเองจะแต่งงานหรือยังไม่แต่งงานก็ตาม ตอนนี้เจ้าจำเป็นต้องรู้วจนะที่เราสามัคคีธรรมเอาไว้ให้แม่นยำ  นี่คือความจริงแง่มุมหนึ่งที่เจ้าพึงเข้าใจ  เมื่อพูดในแง่นี้ ไม่ว่าเจ้าจะมีประสบการณ์ในเรื่องของการแต่งงานบ้างหรือไม่ สนใจที่จะแต่งงานบ้างหรือไม่ และไม่ว่าที่ผ่านมาเจ้าจะมีการคิดคำนวณและมีแผนการเกี่ยวกับการแต่งงานว่าอย่างไรบ้างก็ตาม ตราบใดที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า เจ้าก็พึงรู้เรื่องนี้เอาไว้  นี่ยังเป็นเรื่องที่เจ้าพึงทำความเข้าใจให้ชัดเจนอีกด้วย เพราะเกี่ยวข้องกับความจริง แนวคิดและมุมมองของมนุษย์ การไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คน ตลอดจนหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติบนหนทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า  ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจะเคยมีประสบการณ์ในการแต่งงานมาก่อนหรือไม่ สนใจที่จะแต่งงานหรือไม่ หรือสถานการณ์ในชีวิตแต่งงานของเจ้าจะเป็นเช่นใด หากเจ้าอยากไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความรอด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จำเป็นต้องมีความรู้ที่แม่นยำ รวมทั้งแนวคิดและมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงาน เหมือนที่เจ้าย่อมต้องมีไม่ว่าในเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวพันกับความจริง เจ้าไม่ควรต้านทานการแต่งงานอยู่ในหัวใจ หรือสวมแว่นย้อมสีและมีมโนคติอันหลงผิดในเรื่องของการแต่งงาน หรือจัดการเรื่องนี้ไปตามภูมิหลังและรูปการณ์ของเจ้าเอง หรือลงมือเลือกอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน  ทั้งหมดนี้คือมุมมองที่ไม่ถูกต้อง  การแต่งงานก็เหมือนเรื่องอื่นคือ เกี่ยวข้องกับมุมมอง จุดยืน และทัศนคติของผู้คน  ถ้าเจ้าอยากมีแนวคิด มุมมอง ทัศนคติ และจุดยืนที่ถูกต้องและตรงตามความจริงในเรื่องของการแต่งงาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องมีความรู้และคำจำกัดความที่ถูกต้องแม่นยำในเรื่องนี้ ซึ่งเกี่ยวพันกับความจริงทั้งสิ้น  ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องของการแต่งงาน เจ้าก็ควรมีความรู้ที่ถูกต้องและเข้าใจความจริงที่พระเจ้าต้องประสงค์ให้ผู้คนเข้าใจในเรื่องนี้  ด้วยการเข้าใจความจริงในเรื่องนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถมีแนวคิดและมุมมองที่ถูกต้องไว้เผชิญชีวิตสมรสเมื่อเจ้าแต่งงาน หรือเมื่อสิ่งต่างๆ ซึ่งเกี่ยวพันกับเรื่องของการแต่งงานเกิดขึ้นในชีวิตของเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจึงจะมีจุดยืนและทัศนคติที่ถูกต้องในเรื่องนี้ได้ และแน่นอนว่าเจ้าย่อมมีเส้นทางที่ถูกต้องสำหรับแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานได้  บางคนกล่าวว่า “ฉันจะไม่มีวันก้าวเท้าเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน”  และบางทีเจ้าก็อาจจะไม่มีวันก้าวเท้าเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เจ้าจะมีแนวคิดหรือมุมมองบางอย่างเกี่ยวกับการแต่งงาน ไม่ว่าจะกว้างหรือแคบ ถูกหรือผิดก็ตาม  นอกจากนี้ ในชีวิตของเจ้าก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เจ้าจะพบเจอคนบางคนหรืออะไรบางอย่างที่บอกเล่าปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการแต่งงาน ดังนั้นเจ้าจะมองและแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร?  เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการแต่งงานเกิดขึ้น เจ้าจำเป็นต้องทำเช่นไรจึงจะมีแนวคิด มุมมอง จุดยืน และหลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง?  เจ้าจำเป็นต้องกระทำการเช่นไรจึงจะเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า?  นี่คือสิ่งที่เจ้าพึงเข้าใจ สิ่งที่เจ้าพึงไล่ตามเสาะหายามก้าวไปข้างหน้า  เวลาที่เราพูดเช่นนี้ เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่ามีบางคนที่อาจจะคิดว่าการแต่งงานไม่เกี่ยวอะไรกับตน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ตั้งใจฟัง  นี่ใช่มุมมองที่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ไม่ใช่  ไม่ว่าเราจะสามัคคีธรรมหัวข้ออะไร ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับความจริง พูดถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง และกล่าวถึงหลักการและหลักเกณฑ์ที่ใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ใช้วางตนและกระทำการ ตราบนั้นเจ้าก็ควรยอมรับและตั้งใจฟังด้วยความใส่ใจ  เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของสามัญสำนึก ไม่ใช่ความรู้ และยิ่งไม่ใช่ความเข้าใจในสายอาชีพ—นี่คือความจริง

พวกเรากลับมาสามัคคีธรรมเรื่องการแต่งงานกันต่อเถิด  คำจำกัดความของการแต่งงานควรเป็นเช่นไร?  เมื่อดูตามที่พระเจ้าทรงสถาปนาและจัดเตรียมเอาไว้ในเรื่องการแต่งงาน รวมทั้งทรงเตือนสติและมีพระบัญชาต่อคู่สมรสดังที่เราสามัคคีธรรมเอาไว้ในครั้งก่อน แนวคิดและคำจำกัดความที่พวกเจ้ามีต่อการแต่งงานจึงไม่ควรเลอะเลือนสับสน แต่ควรชัดเจนและแจ่มแจ้ง  การแต่งงานควรเป็นการที่ชายหนึ่งหญิงหนึ่งรวมเป็นหนึ่งภายใต้การสถาปนาและจัดเตรียมของพระเจ้า  นี่คือองค์ประกอบของการแต่งงาน ซึ่งมีปัจจัยพื้นฐาน  ภายใต้การสถาปนาและจัดเตรียมของพระเจ้า การรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของชายหนึ่งหญิงหนึ่งกอปรกันขึ้นเป็นการแต่งงาน  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  การนิยามการแต่งงานแบบนี้ในทางทฤษฎีแล้วย่อมถูกต้องมิใช่หรือ?  (ใช่)  ทำไมถึงคิดว่าถูกต้อง?  พวกเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าถูกต้อง?  เพราะนี่เป็นไปตามบันทึกในพระคัมภีร์ และมีเครื่องบ่งชี้ที่สามารถสืบสาวได้  บันทึกในพระคัมภีร์อธิบายที่มาของการแต่งงานไว้ชัดแจ้ง  นี่จึงเป็นคำนิยามของการแต่งงาน  พวกเรามาดูตามรากฐานที่เป็นคำนิยามอันชัดแจ้งของการแต่งงานนี้กันเถิดว่าคู่สมรสแต่ละฝ่ายมีหน้าที่อะไรบ้าง  บทตอนในพระคัมภีร์ที่พวกเราอ่านไปในการชุมนุมครั้งที่แล้วบันทึกเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนมิใช่หรือ?  (ใช่)  หน้าที่ที่ง่ายที่สุดซึ่งคู่สมรสแต่ละฝ่ายมีก็คือการอยู่เคียงข้างและช่วยเหลือกัน  จากนั้นพระเจ้ามีพระบัญชาแก่ฝ่ายหญิงว่าอย่างไร?  (พระเจ้าตรัสแก่ผู้หญิงว่า “เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากมากขึ้นแก่เจ้า และเมื่อเจ้ามีครรภ์ เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด ถึงกระนั้น เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า” (ปฐมกาล 3:16))  นี่คือการตรัสแบบดั้งเดิมในพระคัมภีร์  เมื่อใช้ถ้อยคำสมัยใหม่ของพวกเรา พระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้หญิงก็คือหน้าที่ของเธอ  หน้าที่นั้นคืออะไร?  การมีลูก เลี้ยงดูลูกๆ ดูแลสามีของตนและชื่นชูเขา  นี่คือพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้หญิง  แล้วพระเจ้ามีพระบัญชาให้ผู้ชายทำหน้าที่อะไร?  ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ผู้ชายต้องแบกรับภาระในชีวิตครอบครัวและหาเลี้ยงครอบครัวด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของตน  เขาต้องรับภาระจัดการดูแลสมาชิกครอบครัว ผู้หญิงของตน และชีวิตของตนเองด้วย  พระเจ้าทรงแบ่งหน้าที่ระหว่างหญิงและชายไว้เช่นนี้  เจ้าควรชัดเจนและแจ่มแจ้งในเรื่องหน้าที่ของชายและหญิง  นี่คือคำจำกัดความและกำเนิดของการแต่งงาน รวมทั้งความรับผิดชอบที่คู่สมรสควรมีและภาระผูกพันที่พวกเขาควรลุล่วง  นี่คือตัวการแต่งงานเองและเนื้อหาที่แท้จริงของการแต่งงาน  มีสิ่งที่เป็นลบอยู่ในเนื้อหาที่พวกเราเพิ่งเสวนากันไปในเรื่องของการแต่งงานบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีอะไรที่เป็นลบในเนื้อหานี้  ทั้งหมดล้วนบริสุทธิ์และตรงตามความจริงอย่างที่สุด ตรงตามข้อเท็จจริง และเป็นไปตามหลักการในพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อมีบันทึกในพระคัมภีร์เป็นรากฐาน เรื่องของการแต่งงานจึงแจ่มแจ้งและชัดเจนมากสำหรับผู้คนสมัยใหม่ พวกเราไม่จำเป็นต้องวางเงื่อนไขพื้นฐานกันมากเกินไป หรือพูดถึงที่มาของการแต่งงานด้วยถ้อยคำที่ยืดยาวเกินไป  นั่นไม่จำเป็น  คำนิยามของการแต่งงานนั้นชัดเจน หน้าที่ที่คู่สมรสควรทำและภาระผูกพันที่พวกเขาควรลุล่วงก็ชัดเจนและแจ่มแจ้ง  เมื่อคนเราชัดเจนและแจ่มแจ้งในเรื่องเหล่านี้ นั่นย่อมส่งผลเช่นไรต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของคนเรา?  อะไรคือความหมายเบื้องหลังการเข้าใจคำจำกัดความและองค์ประกอบของการแต่งงาน รวมทั้งหน้าที่ของคู่สมรส?  กล่าวคือ การสามัคคีธรรมเรื่องนี้มีผลอย่างไรกับผู้คน และก่อให้เกิดผลเช่นไรบ้าง?  กล่าวอย่างชาวบ้านก็คือ การฟังเรื่องนี้มีประโยชน์อะไรกับพวกเจ้าบ้าง?  (เปิดโอกาสให้พวกเรามีมุมมองที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริงยามมองดูสิ่งต่างๆ เวลาเผชิญการแต่งงานหรือเวลามองดูการแต่งงาน พวกเราจะได้ไม่ถูกกระแสนิยมที่เลวหรือแนวคิดที่ซาตานพร่ำสอนมานั้นครอบงำหรือชักนำให้หลงผิด)  นี่เป็นผลบวกอย่างหนึ่ง  การสามัคคีธรรมถึงคำจำกัดความและกำเนิดของการแต่งงาน รวมทั้งหน้าที่ของคู่สมรส เปิดโอกาสให้ผู้คนมีแนวคิดและมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงานใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อคนคนหนึ่งมีแนวคิดและมุมมองที่ถูกต้อง ประโยชน์และผลบวกที่ได้จากการนี้ย่อมเปิดโอกาสให้พวกเขามีทัศนะที่ถูกต้องต่อการแต่งงานอยู่ในจิตสำนึกของตนใช่หรือไม่?  เมื่อใครสักคนมีทัศนะที่ถูกต้องต่อการแต่งงาน มีแนวคิดและมุมมองที่ถูกต้อง พวกเขาย่อมมีภูมิต้านทานและภูมิคุ้มกันบางอย่างต่อแนวคิดและมุมมองเชิงลบที่ตรงกันข้ามของกระแสนิยมอันเลวร้ายใช่หรือไม่?  (ใช่)  ภูมิต้านทานและภูมิคุ้มกันนี้หมายถึงอะไร?  หมายถึงว่าอย่างน้อยที่สุด เจ้าก็มีวิจารณญาณเมื่อพบเจอแนวคิดและมุมมองบางอย่างที่เลวร้ายเกี่ยวกับการแต่งงานซึ่งมาจากโลกและสังคม  เมื่อเจ้ามีวิจารณญาณ เจ้าก็จะไม่มองการแต่งงานตามแนวคิดและมุมมองที่มาจากกระแสนิยมอันเลวร้ายของโลก และจะไม่ยอมรับแนวคิดกับมุมมองเหล่านั้นอีกต่อไป  ดังนั้น ประโยชน์ที่เจ้าจะได้จากการไม่ยอมรับแนวคิดและมุมมองเหล่านั้นคืออะไร?  ก็คือแนวคิดและมุมมองเหล่านั้นจะไม่ควบคุมทัศนคติและการกระทำที่เจ้ามีต่อการแต่งงาน และจะไม่ทำให้เจ้าเสื่อมทราม รวมทั้งจะไม่หว่านเมล็ดพันธุ์ซึ่งก็คือแนวคิดและมุมมองที่เลวร้ายเหล่านั้นในตัวเจ้าอีกต่อไป เพราะฉะนั้น เจ้าก็จะไม่มองการแต่งงานตามกระแสนิยมอันเลวร้ายของโลก และจะไม่ถูกกระแสนิยมที่เลวร้ายเหล่านั้นพัดพาไปด้วย แล้วเจ้าก็จะสามารถตั้งมั่นในคำพยานที่เจ้ามีต่อเรื่องของการแต่งงาน  ดังนั้นในบางแง่ เจ้าย่อมจะละมือจากแนวคิด มุมมอง และทัศนคติเยี่ยงซาตานซึ่งทางโลกมีต่อการแต่งงานไปบ้างแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  หลังจากที่ผู้คนมีคำนิยามที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงาน พวกเขาย่อมสามารถปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีบางอย่างที่พวกเขามีต่อการแต่งงานได้ แต่การหยุดยั้งอยู่ตรงนั้นเพียงพอหรือไม่?  พวกเขาจะสามารถปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทุกอย่างที่พวกเขามีต่อการแต่งงานหรือไม่?  แทบไม่เพียงพอ  พวกเขามีเพียงคำนิยามและแนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงานเท่านั้น มีแต่แนวคิดขั้นพื้นฐานและความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการแต่งงานอยู่ในความคิดของพวกเขา  แต่แนวคิด มุมมอง และหัวข้อต่างๆ ที่โลกและสังคมเผยแพร่เกี่ยวกับการแต่งงานย่อมจะมีอิทธิพลต่อแนวคิดและมุมมองของเจ้าอยู่ดี ส่งผลต่อทัศนคติ—และแม้กระทั่งการกระทำ—ที่เจ้ามีต่อการแต่งงาน  ดังนั้น จนถึงทุกวันนี้ หลังจากที่มีคำนิยามที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงานแล้ว ผู้คนก็ยังไม่อาจปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่ตนมีต่อการแต่งงานได้หมดทุกอย่าง  ดังนั้น ต่อไปพวกเราก็ควรสามัคคีธรรมเรื่องการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตัวผู้คนเกี่ยวกับการแต่งงานมิใช่หรือ?  (ใช่)

เราจะสรุปจบสามัคคีธรรมเรื่องคำนิยามของการแต่งงานนี้เสีย  ต่อจากนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมว่าจะปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพราะการแต่งงานได้อย่างไร  ก่อนอื่น พวกเรามาสามัคคีธรรมถึงเรื่องเพ้อฝันต่างๆ ที่ผู้คนมีต่อการแต่งงานกันเถิด  เวลาเรากล่าวถึงเรื่องเพ้อฝัน เราหมายถึงภาพที่ผู้คนจินตนาการอยู่ในหัว  ภาพเหล่านี้ยังไม่กลายเป็นเรื่องจริง เป็นเพียงความคิดฝันที่ถูกชีวิตประจำวันของผู้คนหรือรูปการณ์ที่พวกเขาพบเจอนั้นกระตุ้นให้เกิดขึ้น  ความคิดฝันเหล่านี้ก่อให้เกิดภาพและสิ่งลวงตาขึ้นในหัวสมองของผู้คน ถึงขั้นกลายเป็นการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่พวกเขามีต่อการแต่งงาน  ดังนั้น เพื่อที่จะปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เจ้ามีต่อการแต่งงาน เจ้าก็ควรปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ ที่เคยมีหรือยังมีเมล็ดพันธุ์อยู่ในความรู้สึกนึกคิดและในส่วนลึกของหัวใจของเจ้าเสียก่อน  นี่คือเรื่องแรกที่เจ้าจำเป็นต้องทำเพื่อปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เจ้ามีต่อการแต่งงาน—นั่นคือ ปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ ที่เจ้ามีต่อการแต่งงาน  ดังนั้น พวกเรามาพูดคุยกันก่อนว่าผู้คนมีเรื่องเพ้อฝันอะไรบ้างเกี่ยวกับการแต่งงาน  ความคิดเห็นต่างๆ ที่คนโบราณเมื่อหลายร้อยหรือหลายพันปีก่อนมีต่อการแต่งงานนั้นห่างไกลจากปัจจุบันมากนัก ดังนั้นพวกเราก็จะไม่ไปพูดถึง  แต่พวกเราจะพูดถึงว่าความคิดเห็นและการกระทำอันสดใหม่ เป็นที่นิยม ทันสมัย และอยู่ในกระแสหลักที่ผู้คนสมัยใหม่มีต่อการแต่งงานนั้นมีอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อพวกเจ้า ทำให้พวกเจ้าเพ้อฝันสารพัดอย่างเกี่ยวกับการแต่งงานต่อไปในส่วนลึกของหัวใจหรือในความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้า  ความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับการแต่งงานย่อมได้รับความนิยมในสังคมก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจากนั้นงานวรรณกรรมต่างๆ ค่อยบรรจุแนวคิดและความเห็นที่นักเขียนมีต่อการแต่งงาน เมื่องานวรรณกรรมเหล่านี้ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์สำหรับถ่ายทอดบนจอภาพ ก็ยิ่งขยายความคิดเห็นต่างๆ การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันหลากหลายที่ผู้คนมีต่อการแต่งงาน อย่างมีสีสันมากขึ้นอีก  สิ่งเหล่านี้จึงถูกปลูกฝังไว้ในตัวพวกเจ้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะมากขึ้นหรือน้อยลง มองเห็นได้หรือมิอาจมองเห็นได้ก็ตาม  ก่อนที่พวกเจ้าจะมีแนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงาน ความคิดเห็นทางสังคมและสารเกี่ยวกับการแต่งงานเหล่านี้ก็สร้างแนวคิดเบื้องต้นไว้ในตัวพวกเจ้าและพวกเจ้าก็ให้การยอมรับ เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าจึงเริ่มเพ้อฝันว่าการแต่งงานของตนเองจะเป็นเช่นไร และคู่ชีวิตของเจ้าควรเป็นอย่างไร  ไม่ว่าเจ้ายอมรับสารเหล่านี้ผ่านทางละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และนวนิยาย หรือผ่านทางวงสังคมของเจ้าและผู้คนในชีวิตของเจ้าก็ตาม—ไม่ว่าจากแหล่งใด สารเหล่านี้ล้วนมาจากมนุษย์ สังคม และโลกทั้งสิ้น หรือกล่าวให้แม่นยำก็คือ สารเหล่านี้วิวัฒน์และพัฒนามาจากกระแสนิยมที่เลวร้าย  แน่นอนว่าหากกล่าวให้แม่นยำยิ่งขึ้นอีกก็คือ สารเหล่านี้มาจากซาตาน  ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ในกระบวนการดังกล่าวนี้ ไม่ว่าพวกเจ้าได้ยอมรับแนวคิดและมุมมองเกี่ยวกับการแต่งงานแบบใดเอาไว้ ข้อเท็จจริงก็คือขณะที่ยอมรับแนวคิดและมุมมองต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานเอาไว้ พวกเจ้าย่อมกำลังเพ้อฝันถึงการแต่งงานอยู่ในความคิดของตนอย่างต่อเนื่อง  เรื่องเพ้อฝันทั้งหมดนี้โคจรอยู่รอบสิ่งหนึ่ง  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคืออะไร?  (ความรักแบบโรแมนติก)  ในสังคมตอนนี้ สารที่อยู่ในกระแสหลักหรือได้รับความนิยมมากขึ้นมุ่งไปที่การกล่าวถึงการแต่งงานในแง่ของความรักแบบโรแมนติกเป็นหลัก กล่าวคือ ความสุขในชีวิตการแต่งงานขึ้นอยู่กับว่ามีความรักแบบโรแมนติก และสามีภรรยามีความรักให้กันหรือไม่  ความคิดเห็นที่สังคมมีต่อการแต่งงาน—สิ่งที่แทรกซึมอยู่ในความคิดอ่านและส่วนลึกของดวงจิตของผู้คน—ส่วนใหญ่แล้วเกี่ยวข้องกับความรักแบบโรแมนติก  ความคิดเห็นเหล่านี้ถูกปลูกฝังไว้ในตัวผู้คน ทำให้พวกเขาสร้างเรื่องเพ้อฝันสารพัดรูปแบบเกี่ยวกับการแต่งงานขึ้นมา  ตัวอย่างเช่น พวกเขาเพ้อฝันว่าคนที่ตนรักจะเป็นใคร จะเป็นคนแบบใด และคู่สมรสของตนต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีสารหลากหลายแง่มุมที่มาจากสังคม ซึ่งระบุว่าผู้คนจำเป็นต้องรักใครคนนั้นอย่างแน่นอน และคนคนนั้นก็ต้องรักตอบ เช่นนี้เท่านั้นจึงจะเป็นความรักแบบโรแมนติกที่แท้จริง มีแต่ความรักแบบโรแมนติกที่แท้จริงเท่านั้นที่พาให้คนแต่งงานได้ มีแต่การแต่งงานที่เกิดจากความรักแบบโรแมนติกเท่านั้นที่ดีงามและมีความสุข และการแต่งงานที่ไม่มีความรักแบบโรแมนติกย่อมไร้ศีลธรรม  ดังนั้น ก่อนพบเจอคนที่ตนจะรัก ทุกคนจึงเตรียมตัวที่จะพบเจอความรักแบบโรแมนติก จัดแจงเตรียมการแต่งงานล่วงหน้า เตรียมตัวสำหรับวันที่ตนจะพบคนที่ตนรัก จะได้ไล่ตามไขว่คว้าความรักของตนได้โดยไม่ต้องยั้งคิด และทำให้ความรักของตนกลายเป็นจริง  ใช่ไหม?  (ใช่)  ในอดีต ผู้คนไม่พูดถึงความรักแบบโรแมนติกหรือสิ่งที่เรียกกันว่าเสรีภาพในการแต่งงาน หรือพูดว่าความรักย่อมไม่ผิด ความรักคือสิ่งสูงสุด  ในสมัยนั้นผู้คนรู้สึกอายที่จะพูดถึงการแต่งงาน ความรัก และความรู้สึกเชิงชู้สาว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับเพศตรงข้าม ผู้คนจะรู้สึกอับอาย พวกเขาจะหน้าแดงและใจเต้น หรือพูดไม่ออก  สมัยนี้ท่าทีของผู้คนเปลี่ยนไปแล้ว  เวลาพวกเขาเห็นผู้อื่นพูดคุยถึงความรู้สึกเชิงชู้สาวและการแต่งงานกันอย่างสงบและมั่นใจมาก พวกเขาก็อยากเป็นคนอย่างนั้นด้วย พูดคุยเรื่องความรู้สึกเชิงชู้สาวและการแต่งงานกันอย่างอิสระและเปิดเผย ไม่มีอาการหน้าแดงหรือใจเต้น  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็อยากเปิดใจสารภาพความรู้สึกของตนได้เมื่อพบเจอคนที่ตนอยากจะไล่ตามไขว่คว้า บอกความในใจของตน พวกเขาถึงกับเพ้อฝันถึงฉากการจีบหรือถูกจีบสารพัดรูปแบบ และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเพ้อฝันว่าคนที่พวกเขาจะรักและไล่ตามไขว่คว้าจะเป็นคนแบบใด  ผู้หญิงก็เพ้อฝันว่าคนที่ตนไล่ตามไขว่คว้าย่อมจะเป็นเจ้าชายรูปงาม สูง 180 เซนฯ เป็นอย่างต่ำ ฉลาดเจรจา มีการอบรม มีการศึกษาดี มาจากพื้นฐานครอบครัวที่ดี และที่ยิ่งดีไปกว่านั้นอีกก็คือมีรถ มีบ้าน มีที่ยืนในสังคม มีความมั่งคั่งระดับหนึ่ง เป็นต้น  ส่วนผู้ชายก็เพ้อฝันว่าอีกครึ่งหนึ่งของตนจะเป็นหญิงงามผิวขาวผ่อง เป็นหญิงแกร่งที่เปล่งประกายทั้งในวงสังคมและในครัว  พวกเขาถึงกับเพ้อฝันว่าคู่ชีวิตของตนจะเป็นสาวสวยที่มั่งคั่ง และจะดียิ่งขึ้นอีกมากถ้าเธอมีพื้นฐานครอบครัวที่มั่นคง  เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คนก็จะกล่าวว่าการที่ทั้งสองครองคู่กันนี้เหมือนโรเมโอกับจูเลียต เหมือนคู่ที่สมบูรณ์แบบหรือเป็นคู่สวรรค์สร้าง คู่ที่ใครเห็นก็อิจฉา คู่ที่ไม่เคยเถียงหรือโกรธกัน ไม่มีวันต่อล้อต่อเถียงกันไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม รักกันอย่างลึกซึ้ง—เหมือนคู่ในภาพยนตร์ที่สาบานว่าจะรักกันจนทะเลเหือดแห้งและหินผาทลายเป็นผุยผง แก่เฒ่าไปด้วยกัน ไม่มีวันไม่ชอบหน้าหรือหลบเลี่ยงอีกฝ่าย ไม่มีวันทิ้งกัน และไม่มีวันผละจากกัน  ผู้หญิงก็เพ้อฝันไปว่าสักวันหนึ่งตนจะเข้าพิธีสมรสกับคนที่ตนรัก แล้วจากนั้นด้วยการอำนวยพรของศาสนาจารย์ คู่สมรสก็จะแลกแหวน แลกคำสาบาน สัญญารักกันอย่างเป็นทางการ ให้คำมั่นว่าชีวิตนี้จะอยู่ด้วยกัน และจะไม่จากกันหรือทิ้งกันไม่ว่าจะในยามป่วยไข้หรือขัดสน  ผู้ชายก็เพ้อฝันเช่นกันว่าวันหนึ่งตนจะเข้าพิธีสมรสกับหญิงที่ตนรัก และด้วยการอำนวยพรของศาสนาจารย์ ย่อมแลกแหวนและให้คำมั่นสัญญา สาบานว่าไม่ว่าเจ้าสาวของตนจะเฒ่าชราหรืออัปลักษณ์เพียงใด ตนก็จะไม่ผละจากหรือทอดทิ้งเธอ และจะมอบชีวิตแต่งงานที่วิเศษที่สุดและมีความสุขให้แก่เธอ ทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก  ชายหญิงล้วนเพ้อฝันกันเช่นนี้ ไล่ตามไขว่คว้าแช่นนี้ และในชีวิตจริง พวกเขาก็เรียนรู้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีสารพัดรูปแบบที่เกี่ยวกับการแต่งงานอย่างต่อเนื่อง  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ทบทวนเรื่องเพ้อฝันเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในส่วนลึกของหัวใจอย่างไม่รู้จบ หวังว่าสักวันหนึ่งเรื่องเพ้อฝันของตนจะเกิดขึ้นในชีวิตจริง ไม่ใช่อุดมคติหรือความอยากได้อยากมีอย่างหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องจริง  ภายใต้อิทธิพลของชีวิตสมัยใหม่และการสร้างเงื่อนไขด้วยสารและข้อมูลสารพัดอย่างทางสังคม ผู้หญิงแต่ละคนจึงหวังที่จะได้สวมชุดแต่งงานสีขาวและกลายเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในโลก เป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก เธอยังหวังด้วยว่าจะได้สวมแหวนเพชรที่เป็นของเธอเองจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่าต้องใหญ่เกินหนึ่งกะรัต และต้องเป็นเพชรที่น้ำบริสุทธิ์ที่สุด  จะมีตำหนิไม่ได้ และชายที่เธอรักที่สุดก็ต้องสวมแหวนวงนี้ลงบนนิ้วมือของเธอ  นี่คือเรื่องเพ้อฝันที่ผู้หญิงมีต่อการแต่งงาน  ในด้านหนึ่ง เธอมีเรื่องเพ้อฝันบางอย่างเกี่ยวกับรูปแบบของการแต่งงาน ในอีกด้านหนึ่ง เธอก็มีเรื่องเพ้อฝันสารพัดอย่างเกี่ยวกับชีวิตแต่งงาน หวังว่าชายที่เธอรักจะดีสมความคาดหวังของเธอ เขาจะรักเธออย่างลึกซึ้งในชีวิตคู่เหมือนตอนแรกรักกัน เขาจะไม่รักหญิงอื่น เขาจะมอบชีวิตที่มีความสุขให้แก่เธอ ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ และจนทะเลเหือดแห้งและหินผาทลายเป็นผุยผง ทั้งสองจะอยู่ด้วยกันทั้งในชีวิตนี้และในชีวิตหน้า  อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เธอยังมีเรื่องเพ้อฝันและสิ่งที่อยากได้จากคนที่เธอตกหลุมรักด้วยอีกสารพัดอย่าง  อย่างน้อยที่สุดเขาต้องเป็นเจ้าชายรูปงาม ถ้าไม่ขี่ม้าขาว เช่นนั้นแล้วก็ขี่ม้าดำ  แน่นอนว่าคุณสมบัติของชายในอุดมคติที่ผู้หญิงมีอยู่ในใจย่อมอยู่ในระดับที่เหมือนเจ้าชายแบบนี้—นั่นย่อมจะชวนฝันและเลิศลอยยิ่ง ชีวิตของเธอย่อมจะมีความสุขมาก  พื้นฐานของเรื่องเพ้อฝันเกี่ยวกับการแต่งงานที่ผู้คนสร้างขึ้นมานี้มาจากสังคม วงสังคมของตน หรือสารสารพัดรูปแบบ รวมทั้งหนังสือ งานวรรณกรรม และภาพยนตร์ทุกประเภท นอกเหนือจากนั้นยังมีองค์ประกอบบางอย่างที่ออกจะเป็นชนชั้นกลางในหัวใจของพวกเขา ซึ่งสอดคล้องกับความชอบส่วนตัวของพวกเขาเองอีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงเพ้อฝันถึงผู้คนสารพัดรูปแบบที่ตนจะตกหลุมรักด้วย คนรักสารพัดประเภท รวมทั้งรูปแบบและชีวิตการแต่งงานสารพัดอย่าง  สรุปแล้ว เรื่องเพ้อฝันต่างๆ นานาของผู้คนล้วนอิงตามความเข้าใจ การตีความ  และความคิดเห็นอันหลากหลายที่สังคมมีต่อการแต่งงาน  ผู้หญิงเป็นเช่นนี้ และผู้ชายก็เช่นกัน  สิ่งต่างๆ ที่ผู้ชายไล่ตามไขว่คว้าในการแต่งงานไม่ได้น้อยไปกว่าสิ่งที่ผู้หญิงไล่ตามไขว่คว้าเลย  ผู้ชายก็หวังที่จะพบหญิงสาวที่ตนชอบ เป็นหญิงสาวที่มีคุณธรรม อ่อนโยน ดีงาม และคำนึงถึงผู้อื่น ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเอาใจใส่และรักใคร่ พึ่งพิงเขาเหมือนนกน้อย อุทิศตนเพื่อเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ดูแคลนข้อเสียหรือข้อบกพร่องที่เขามี ถึงกับยอมรับข้อบกพร่องและข้อเสียของเขาทั้งหมด และเมื่อเขารู้สึกท้อแท้หรือคับข้องใจ เมื่อเขาล้มเหลว เธอก็จะยื่นมือมาช่วยเหลือและเกื้อหนุนเขา แล้วพูดกับเขาว่า “ที่รัก ไม่เป็นไร ฉันอยู่ตรงนี้  ไม่มีอะไรที่เราสองคนจะผ่านไปด้วยกันไม่ได้  อย่ากลัวไปเลย  ไม่ว่าเมื่อไร ฉันก็จะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ”  ผู้หญิงมีข้อเรียกร้องสารพัดอย่างกับผู้ชาย และเช่นเดียวกัน ผู้ชายก็มีข้อเรียกร้องสารพัดอย่างกับผู้หญิง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง พวกเขาก็มองหาคู่ชีวิตของตนท่ามกลางคนหมู่มาก และหลักการที่ใช้ค้นหาคู่ชีวิตของตนก็คือเรื่องเพ้อฝันต่างๆ ที่พวกเขามีต่อการแต่งงาน  แน่นอนว่าผู้ชายมักจะเพ้อฝันมากกว่าถึงการมีที่ยืนอันมั่นคงในสังคม สร้างอาชีพการงาน เพิ่มพูนความมั่งคั่งให้ถึงระดับหนึ่ง และสะสมต้นทุนให้ถึงขั้นหนึ่ง ซึ่งหลังจากนั้นเขาย่อมสามารถแสวงหาคู่ชีวิตที่เสมอกับตนทางสถานะ ตัวตน รสนิยม และสิ่งที่ชอบ  ตราบใดที่เขาชอบเธอและเธอก็เป็นไปตามความต้องการของเขา เขาย่อมเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อเธอ ถึงกับยอมเดินลุยไฟเพื่อเธอ  แน่นอนว่ากล่าวให้ตรงตามความเป็นจริงมากขึ้นอีกนิดก็คือ เขาจะซื้อของดีๆ บางอย่างให้เธอ ตอบสนองความต้องการทางวัตถุของเธอ ซื้อรถให้ ซื้อบ้าน แหวนเพชร ซื้อกระเป๋าถือและเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้  ถ้าเขามีลู่ทาง เขาย่อมจะซื้อเรือยอชต์และเครื่องบินส่วนตัวให้ด้วย และจะพาหญิงที่เขารักท่องทะเลไปด้วยกันสองต่อสองเท่านั้น หรือพาเธอท่องโลก เที่ยวไปตามเทือกเขา ดินแดน และสถานที่สวยงามที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก  ชีวิตเช่นนั้นจะวิเศษสักเพียงใด  ผู้หญิงย่อมจ่ายราคาทุกรูปแบบเพื่อเรื่องเพ้อฝันต่างๆ ที่ตนมีเกี่ยวกับการแต่งงาน และในทำนองเดียวกัน ผู้ชายก็พากเพียรและทำสิ่งทั้งหลายเพื่อเรื่องเพ้อฝันต่างๆ ที่ตนมีเกี่ยวกับการแต่งงาน  ไม่ว่าเจ้าจะมีความเพ้อฝันเช่นไรเกี่ยวกับการแต่งงาน ตราบใดที่ความเพ้อฝันนั้นมาจากโลก มาจากความเข้าใจและความคิดเห็นซึ่งมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีต่อการแต่งงาน หรือจากข้อมูลเกี่ยวกับการแต่งงานที่โลกและมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามปลูกฝังไว้ในตัวเจ้า แนวคิดและมุมมองเหล่านี้ย่อมจะมีอิทธิพลต่อชีวิตและความเชื่อของเจ้าในระดับหนึ่ง มีอิทธิพลต่อทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิตและเส้นทางชีวิตที่เจ้าเดิน  นี่เป็นเพราะการแต่งงานคือสิ่งที่คนที่โตแล้วไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นหัวข้อที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน  ต่อให้เจ้าเลือกที่จะเป็นโสดไปตลอดชีวิต ไม่แต่งงานเป็นอันขาด เรื่องเพ้อฝันที่เจ้ามีเกี่ยวกับการแต่งงานก็จะยังคงอยู่  เจ้าอาจเลือกอยู่เป็นโสด แต่เริ่มจากชั่วขณะที่เจ้ามีมโนคติและความคิดอ่านขั้นพื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับการแต่งงาน เจ้าย่อมมีเรื่องเพ้อฝันสารพัดรูปแบบเกี่ยวกับการแต่งงานไปแล้ว  เรื่องเพ้อฝันเหล่านี้ไม่เพียงยึดครองความคิดอ่านของเจ้าเท่านั้น แต่ยังไหลบ่าเข้าท่วมชีวิตประจำวันของเจ้า ครอบงำแนวคิด มุมมอง และตัวเลือกของเจ้าเวลาจัดการสิ่งต่างๆ สารพัดเรื่อง  กล่าวง่ายๆ ก็คือ ถ้าหญิงคนหนึ่งมีมาตรฐานว่าตนจะตกหลุมรักคนแบบใด เช่นนั้นแล้วไม่ว่ามาตรฐานนั้นจะเป็นผู้ใหญ่หรือรอบคอบหรือไม่ เธอก็จะใช้มันชั่งน้ำหนักความดีความเลวของสภาวะความเป็นมนุษย์และลักษณะนิสัยของเพศตรงข้าม และดูว่าชายเหล่านั้นใช่คนแบบที่เธออยากจะใช้เวลาด้วยหรือไม่  มาตรฐานนี้ไม่อาจแยกออกจากมาตรฐานที่เธอใช้เลือกคู่ครองได้  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าผู้ชายแบบที่เธอชอบนั้นมีรูปลักษณ์ที่กล้าแกร่ง ใบหน้าใหญ่รูปเหลี่ยม ผิวใส พูดจาดี มีความเป็นหนอนหนังสือนิดๆ และสุภาพพอสมควร  ตามทัศนะด้านความรักของเธอ เธอย่อมรู้สึกดีกับผู้ชายแบบนี้ และเอนเอียงไปทางผู้ชายที่มีลักษณะแบบนี้มากกว่า  ดังนั้นในชีวิตของเธอ ไม่ว่าคนแบบนี้จะใช่คนที่เธอตกหลุมรักด้วยหรือไม่ เธอก็ย่อมจะรู้สึกดีกับเขาเป็นแน่  เราหมายความว่าเมื่อเธอพบเจอคนแบบนี้ ไม่ว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาจะดีหรือเลว ไม่ว่าลักษณะนิสัยของเขาจะเป็นเช่นไร จะเป็นคนคิดคดทรยศหรือคนชั่วก็ตาม ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นเรื่องรอง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่มาตรฐานที่เธอใช้มองเพศตรงข้าม  แล้วมาตรฐานของเธอคืออะไร?  คือมาตรฐานที่เธอใช้เลือกสามี  ถ้าเพศตรงข้ามเป็นไปตามมาตรฐานที่เธอใช้เลือกสามี เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เขาไม่ใช่คนที่เธอเลือกเป็นสามีจริงๆ เขาก็ยังคงเป็นคนที่เธออยากใช้เวลาด้วย  เรื่องนี้แสดงให้เห็นสิ่งใด?  ทัศนะที่คนคนหนึ่งมีต่อความรัก—กล่าวให้เจาะจงลงไปอีกก็คือ มาตรฐานที่คนคนหนึ่งมีต่อคู่รักหรือคู่สมรส—ย่อมมีอิทธิพลอย่างมากต่อทัศนะที่เธอมีต่อทุกคนที่เป็นเพศตรงข้าม  เมื่อพบเจอชายที่ตรงตามมาตรฐานที่เธอใช้เลือกสามี เธอย่อมเห็นว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเขานั้นน่ามอง เสียงของเขาน่าฟัง ถ้อยคำและการกระทำของเขาก็ชวนให้สะดวกใจ  ต่อให้เขาไม่ใช่คนที่เธอคิดจะรักและไล่ตามไขว่คว้า เธอก็ยังคงเห็นว่าเขาน่ามอง  ปัญหาเกิดขึ้นตรงความน่ายินดีนี้เอง  ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เจ้าก็ไม่ใช้วิจารณญาณแยกแยะว่าถูกหรือผิด เจ้าเห็นว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเขานั้นดีงามและถูกต้อง คิดว่าเขาทำทุกสิ่งดีแล้ว  เมื่อมีความรู้สึกดีๆ เหล่านี้ให้แก่เขา เจ้าก็เริ่มเลื่อมใสและบูชาเขาทีละน้อย  ความเลื่อมใสและการบูชานี้มาจากไหน?  แหล่งที่มาก็คือมาตรฐานที่เจ้าใช้เลือกคู่ที่ตนจะรักและแต่งงานด้วย  ในระดับหนึ่ง มาตรฐานนี้ย่อมชักนำให้เจ้ามองผู้อื่นในทางที่ผิด กล่าวให้แม่นยำขึ้นก็คือ มันทำให้หลักเกณฑ์และพื้นฐานที่เจ้าใช้มองเพศตรงข้ามนั้นไม่ชัดเจน  รูปลักษณ์ภายนอกของเขาตรงกับมาตรฐานด้านความสวยงามของเจ้า ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะมีลักษณะนิสัยแบบใด ไม่ว่าการกระทำของเขาจะตรงตามหลักธรรมหรือไม่ เขามีหลักธรรมความจริงหรือไม่ เขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ เขามีความเชื่อและนบนอบพระเจ้าจริงหรือไม่—เรื่องเหล่านี้สำหรับเจ้าแล้วย่อมเลือนรางมาก และอารมณ์ของเจ้าก็มีแนวโน้มที่จะสั่นคลอนเวลาเจ้ามองคนคนนี้  เนื่องจากเจ้ามีความรู้สึกดีๆ ให้แก่คนคนนี้ และเพราะเขาสอดคล้องกับมาตรฐานของเจ้าในด้านอารมณ์ความรู้สึก เจ้าจึงมองว่าทุกสิ่งที่เขาทำล้วนดีงามพอกันและน่าชื่นชมทีเดียว เจ้าปกป้องและบูชาเขา จนถึงขั้นที่เวลาเขาทำบางสิ่งที่ชั่ว เจ้าก็ไม่แยกแยะ เปิดโปง หรือทิ้งเขา  เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้?  เพราะมีความรู้สึกของเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง มายึดหัวใจของเจ้าไว้  ทันทีที่ความรู้สึกของเจ้ามีบทบาท เจ้าจะทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมได้ง่ายหรือไม่?  ความรู้สึกของเจ้ามีความได้เปรียบ ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีหลักธรรม  ด้วยเหตุนี้ ผลที่เกิดจากเรื่องนี้จึงร้ายแรงมาก  แม้เขาจะไม่ใช่คนที่เจ้าตกหลุมรักด้วย หรือคนที่เจ้าอยากแต่งงานด้วย แต่เขาก็ยังคงเป็นไปตามหลักสุนทรีย์และความต้องการทางอารมณ์ของเจ้า เมื่อมีปัจจัยพื้นฐานนี้ เจ้าจึงถูกความรู้สึกของตนเองครอบงำและควบคุมอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และยากมากที่เจ้าจะมองคนคนนี้ จัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในตัวคนคนนี้ และจัดการปัญหาของเจ้าเองตามพระวจนะของพระเจ้า  ทันทีที่ความรู้สึกควบคุมเจ้าเอาไว้และกลายเป็นพลังครอบงำเจ้า ก็ยากนักที่จะหลุดเป็นอิสระจากโซ่ตรวนทางอารมณ์ที่ล่ามเจ้าไว้ ยากนักที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงของการปฏิบัติความจริง  แล้วตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าทุกคนมีเรื่องเพ้อฝันสารพัดอย่างเกี่ยวกับการแต่งงาน  นี่เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสุญญากาศหรือบนดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง และแน่นอนว่าเจ้าก็ไม่ใช่ผู้เยาว์ และยิ่งไม่ได้บกพร่องทางสติปัญญาหรือไร้สมอง เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และมีแนวคิดอย่างผู้ใหญ่  ในขณะเดียวกันเจ้าก็ได้ยอมรับความคิดเห็นอันหลากหลายที่สังคมมีต่อการแต่งงานโดยไม่รู้ตัว โดยได้ยอมรับข้อมูลเกี่ยวกับการแต่งงานที่มาจากสังคมและมวลมนุษย์ที่เลวร้ายด้วย  หลังจากยอมรับสิ่งเหล่านี้แล้ว เจ้าก็เพ้อฝันโดยไม่รู้ตัวถึงคนที่จะมาเป็นคู่รักของเจ้า  การเพ้อฝันหมายถึงอะไร?  หมายถึงการบันเทิงอยู่กับความคิดที่ไม่เป็นจริงและว่างเปล่า  ตามที่พวกเราได้สามัคคีธรรมและเปิดเผยมาจนถึงตอนนี้ โดยมากก็มุ่งไปที่ความคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานที่มาจากสังคมและมวลมนุษย์ที่เลวร้าย  เนื่องจากเจ้าไม่มีทัศนะที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริงเกี่ยวกับการแต่งงาน เจ้าจึงถูกความคิดเห็นอันหลากหลายเกี่ยวกับการแต่งงานที่มาจากสังคมและมวลมนุษย์ที่เลวร้ายครอบงำ กัดกร่อน และทำให้เสื่อมทรามอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ แต่เจ้าไม่รู้และไม่ตระหนัก  เจ้าไม่อาจรู้สึกได้ว่านี่คือการกัดกร่อน การทำให้เสื่อมทราม  เจ้ารับอิทธิพลนี้เข้าไปโดยไม่รู้ตัว และโดยไม่รู้ตัวเจ้าก็เริ่มคิดว่าทั้งหมดนี้เหมาะควรและเป็นเหตุเป็นผลเลยทีเดียว และเจ้าก็ถือว่านี่เป็นเรื่องปกติ คิดว่าทั้งหมดนี้คือแนวคิดที่ผู้ใหญ่พึงมี  แล้วก็เป็นธรรมดามากที่เจ้าจะเปลี่ยนทั้งหมดนี้ให้กลายเป็นความประสงค์ที่เหมาะสมและความต้องการที่เหมาะควรของตนเอง—เป็นแนวคิดอันถูกต้องเหมาะสมที่ผู้ใหญ่พึงมี  ดังนั้นนับแต่ช่วงเวลาที่เจ้าเริ่มรับสารเหล่านี้เข้ามา เรื่องเพ้อฝันเกี่ยวกับการแต่งงานของเจ้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และฝังลึกลงไปทุกที  พร้อมกันนั้น ความรู้สึกละอายที่เจ้ามีต่อการแต่งงานจะลดเลือนลงเรื่อยๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าเจ้าจะยิ่งรู้สึกไม่สมัครใจมากขึ้นทุกทีที่จะปฏิเสธเรื่องเพ้อฝันเกี่ยวกับการแต่งงานเหล่านี้อย่างแข็งขัน  กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องเพ้อฝันที่เจ้ามีเกี่ยวกับคนรักของเจ้าหรือฉากและสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานจะไร้สติและโลดโผนขึ้นเรื่อยๆ  ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ยิ่งผู้คนยอมรับความคิดเห็นและข้อมูลเกี่ยวกับการแต่งงานจากสังคมและมวลมนุษย์ที่เลวร้ายมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งกล้าและไร้การควบคุมในการจินตนาการถึงการแต่งงานของตน ในการมองหาคนรัก และไล่ตามไขว่คว้าคู่ชีวิตมากขึ้นเท่านั้น  ขณะเดียวกันพวกเขาก็หวังว่าคนรักของตนจะเป็นเหมือนตัวละครที่บรรยายไว้ในนิยายรัก ละครโทรทัศน์ หรือหนังรัก—ว่าจะรักตนอย่างไร้เงื่อนไข จนทะเลเหือดแห้งและหินผาทลายเป็นผุยผง โดยยังคงสัตย์ซื่อจนตายจากกัน  ส่วนตัวพวกเขาเองนั้นก็รักคู่ของตนอย่างลึกล้ำเหมือนที่ละครโทรทัศน์และนิยายรักแสดงให้เห็น จนทะเลเหือดแห้งและหินผาทลายเป็นผุยผง โดยยังคงสัตย์ซื่อจนตายจากกันเช่นเดียวกัน  สรุปแล้ว เรื่องเพ้อฝันเหล่านี้แปลกแยกจากความต้องการที่โลกแห่งความเป็นจริงมีต่อสภาวะความเป็นมนุษย์และชีวิต  แน่นอนว่าเรื่องเพ้อฝันเหล่านี้ยังแปลกแยกจากแก่นแท้ของสภาวะความเป็นมนุษย์อีกด้วย ทั้งเข้ากันไม่ได้กับชีวิตจริงอย่างสิ้นเชิง  เรื่องเพ้อฝันเหล่านี้เป็นเพียงความคิดอันน่ารื่นรมย์ที่เกิดจากจินตนาการของผู้คน เช่นเดียวกับสิ่งใดก็ตามที่ผู้คนคิดว่าดีงาม  เมื่อเห็นว่าความคิดเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับคำนิยามและการจัดการเตรียมการที่พระเจ้ามีต่อการแต่งงาน ผู้คนก็ควรปล่อยมือจากแนวคิดและมุมมองเหล่านี้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงแต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่ควรไล่ตามไขว่คว้ามาตั้งแต่แรก

ผู้คนควรปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันเกี่ยวกับการแต่งงานที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงนี้อย่างไร?  พวกเขาควรแก้ไขความคิดอ่านและทัศนะที่ตนมีเกี่ยวกับความรักและการแต่งงานให้ถูกต้อง  ก่อนอื่นผู้คนควรปล่อยมือจากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าทัศนะเรื่องความรัก ปล่อยมือจากสิ่งลวงตาและคำกล่าวอย่างการรักใครสักคนจนทะเลเหือดแห้งและหินผาทลายเป็นผุยผง ความรักที่ไม่หวั่นไหวจนตายจากกัน และความรักที่ยืนยงจากชีวิตหนึ่งสู่อีกชีวิตหนึ่ง  ผู้คนไม่รู้ว่าตนจะมีความรักเช่นนั้นไปชั่วชีวิตหรือไม่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชีวิตอื่นๆ ในอนาคตหรือจนทะเลเหือดแห้งและหินผากลายเป็นผุยผง  ใช้เวลากี่ปีกว่าทะเลจะเหือดแห้งและหินผากลายเป็นผุยผง?  ถ้าผู้คนอยู่ได้นานขนาดนั้น พวกเขาจะไม่กลายเป็นสัตว์ประหลาดหรอกหรือ?  เพียงใช้ชีวิตนี้ให้ดี และดำเนินชีวิตด้วยความตระหนักรู้และชัดเจน ก็ดีพอแล้ว  เพียงทำตามบทบาทที่ตนมีในชีวิตคู่ให้ดี ทำสิ่งที่ชายหรือหญิงพึงทำ ทำตามภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่ชายหรือหญิงควรทำ ลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเจ้ามีต่อกัน เกื้อหนุนกัน ช่วยเหลือกัน และอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต เท่านี้ก็ดีพอแล้ว  นี่คือชีวิตสมรสที่สมบูรณ์แบบและถูกต้องเหมาะสม ส่วนเรื่องอื่นนั้น สิ่งที่เรียกกันว่าความรัก สิ่งที่เรียกกันว่าสัญญารักอย่างเป็นทางการ ความรักที่ยืนยงจากชีวิตสู่ชีวิต—สิ่งเหล่านี้ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการแต่งงานที่พระเจ้าทรงลิขิต และไม่เกี่ยวอะไรกับพระบัญชาและคำเตือนสติที่พระเจ้าทรงมีต่อชายและหญิง  นี่เป็นเพราะไม่ว่าการแต่งงานจะตั้งอยู่บนหลักการใด หรือฝ่ายสามีหรือภรรยาจะอยู่ในภาวะเช่นไร จนหรือรวย หรืออาจจะมีความสามารถพิเศษ สถานะทางสังคม และพื้นฐานทางสังคมเป็นเช่นไร ไม่ว่าทั้งสองจะเหมาะสมกันอย่างที่สุดหรือเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าการแต่งงานจะเกิดขึ้นเพราะเป็นรักแรกพบหรือพ่อแม่จัดแจงหาคู่ให้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือก่อเกิดเพราะรักกันมานาน—ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานแบบใด ตราบใดที่คนสองคนสมรสกันและเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน ตราบนั้นการแต่งงานนี้ก็จำเป็นต้องกลับมาหาความเป็นจริง กลับมาหาชีวิตจริงที่ต้องมีสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในแต่ละวัน  ไม่มีใครหนีชีวิตจริงพ้น และทุกการแต่งงาน ไม่ว่าจะมีความรักหรือไม่ ก็ต้องหวนคืนสู่ชีวิตประจำวันในที่สุด  ตัวอย่างเช่น จำเป็นต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ภรรยาจึงบ่นขึ้นมาว่า “แย่ละ ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นอีกแล้ว  ขึ้นราคากันหมดทุกอย่าง ยกเว้นเงินเดือน  ผู้คนจะอยู่กันได้อย่างไรเมื่อข้าวของพากันขึ้นราคาอยู่แบบนี้”  แต่แม้จะบ่น เธอก็ยังคงต้องใช้น้ำและไฟฟ้า และไม่มีทางเลือก  ดังนั้นเธอจึงชำระเงินตามใบเรียกเก็บ และพอจ่ายแล้ว เธอก็ต้องเก็บเงินไว้ซื้ออาหารและใช้จ่ายเรื่องอื่น พยายามออมเงินที่ตนมีไว้ชำระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมา  เมื่อเห็นว่าผักในตลาดมีการลดราคา สามีก็บอกว่า “วันนี้ถั่วลดราคา  ซื้อให้มากกว่าที่เคยละกัน เอาให้พอกินไปสองสัปดาห์”  ภรรยาก็บอกว่า “พวกเราควรซื้อเท่าไรดี?  ถ้าซื้อมากไปแล้วกินไม่หมด ผักก็จะเสีย  แล้วถ้าซื้อมากขนาดนั้น ถึงจะเก็บเข้าช่องแข็งก็ใส่ได้ไม่หมด!”  สามีจึงตอบว่า “ถ้าเก็บได้ไม่หมด พวกเราก็แค่กินให้มากขึ้นไม่ได้หรือ?  กินถั่ววันละสองมื้อก็ได้  อย่าคิดแต่เรื่องซื้อของแพงมากินนักเลย!”  สามีได้เงินเดือนมาและกล่าวว่า “เดือนนี้ฉันได้เงินพิเศษอีกแล้ว  ถ้าตอนปลายปีฉันได้เงินพิเศษก้อนโต พวกเราจะไปเที่ยวกันก็ได้  ใครๆ ก็ไปเที่ยวมัลดีฟส์หรือบาหลี  ฉันจะพาเธอไปเที่ยวที่นั่นด้วย ทีนี้เธอก็จะสนุกได้”  ไม้ผลรอบบ้านของพวกเขาออกผลดกดื่น สองสามีภรรยาจึงหารือกันว่า “ปีที่แล้วได้ผลไม้ไม่มาก  ปีนี้ออกผลเยอะมาก พวกเราสามารถแบ่งบางส่วนไปขายทำเงินได้บ้าง  พอได้เงินมาบ้างแล้ว บางทีพวกเราอาจจะทำบ้านใหม่กันดีไหม?  พวกเราจะติดตั้งหน้าต่างอลูมิเนียมผสมให้ใหญ่ขึ้นและติดประตูเหล็กบานใหม่ เอาขนาดใหญ่ๆ ก็ได้”  พอฤดูหนาวมาถึง ภรรยาก็บอกว่า “ฉันสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวนี้มาเจ็ดแปดปีแล้ว เนื้อผ้าบางลงทุกที  พอเงินเดือนคุณออก คุณใช้น้อยลงหน่อยและเจียดไว้ให้ฉันซื้อเสื้อคลุมหน้าหนาวสักตัวเถิด  เสื้อคลุมบุขนเป็ดอย่างต่ำก็ราคาสามสี่ร้อย หรืออาจจะห้าหกร้อยหยวน”  “ได้” สามีตอบ  “ฉันจะกันเงินส่วนหนึ่งไว้ซื้อเสื้อคลุมบุขนเป็ดอุ่นๆ ดีๆ ให้เธอ”  ภรรยาก็บอกว่า “คุณอยากซื้อให้ฉันตัวหนึ่ง แต่คุณเองก็ไม่มีสักตัวเหมือนกัน  ซื้อให้ตัวคุณเองสักตัวหนึ่งด้วย”  สามีก็ตอบว่า “ถ้ามีเงินพอ ฉันก็จะซื้อ  ถ้าไม่พอ ก็จะใช้ตัวที่มีไปอีกสักปีหนึ่ง”  สามีอีกคนก็บอกภรรยาของตนว่า “ฉันได้ยินมาว่ามีร้านอาหารร้านใหญ่มาเปิดใกล้ๆ ขายอาหารทะเลสารพัดอย่าง  ไปกันไหม?”  ภรรยาจึงตอบว่า “ไปสิ  พวกเรามีเงินพอ ไปกินได้”  พวกเขาจึงไปกินอาหารทะเลและกลับมาบ้านอย่างปลื้มเปรมและมีความสุขมาก  ภรรยาก็คิดว่า “ดูเถิดว่าชีวิตของฉันตอนนี้สบายขนาดไหน  ฉันแต่งงานถูกคน  สามารถกินอาหารทะเลสดๆ ได้  เพื่อนบ้านของพวกเราไม่มีเงินซื้ออาหารทะเลสดๆ กิน  ฉันมีชีวิตที่เยี่ยมมาก!”  นี่คือชีวิตแต่งงานมิใช่หรือ?  (ใช่)  ชีวิตของพวกเขาหมดไปกับการคิดคำนวณและโต้แย้ง  พวกเขาทำงานทุกวี่วันตั้งแต่เช้ามืดจนย่ำค่ำ ไปทำงานตอนแปดโมงเช้า จึงต้องลุกขึ้นมาตีห้า  พอนาฬิกาปลุกดัง พวกเขาก็คิดว่า “ฉันไม่อยากลุกเลยจริงๆ แต่ฉันไม่มีทางเลือก  ฉันต้องลุกไปหาเลี้ยงครอบครัวและมีชีวิตอยู่ต่อไป” ดังนั้นพวกเขาจึงตะเกียกตะกายลุกจากเตียง  “โชคดีที่วันนี้ฉันไม่ได้เข้าสาย พวกเขาเลยไม่ลดเงินโบนัสของฉัน”  พวกเขาทำงานเสร็จก็กลับบ้าน พลางพูดว่า “วันนี้หนักจริงๆ ยากจริงๆ!  เมื่อไรฉันถึงจะไม่ต้องทำงาน?”  พวกเขาต้องมีงานรัดตัวเช่นนี้เพื่อจะได้มีเงินเดือนเลี้ยงตัว พวกเขาต้องใช้ชีวิตเช่นนี้เพื่อให้มีชีวิตที่ดี ประคับประคองชีวิตของคนสองคนเอาไว้ภายในกรอบของชีวิตสมรส หรือเพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตที่มั่นคง  พวกเขาใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้จนแก่เฒ่าและสูงอายุ แล้วภรรยาเฒ่าก็กล่าวว่า “ดูสิเธอ ผมของฉันหงอกขาวหมดแล้ว!  มีริ้วรอยรอบดวงตา ร่องแก้มก็ลึกลงไปเรื่อยๆ  นี่ฉันแก่แล้วใช่ไหม?  เธอจะไม่ชอบที่ฉันดูแก่ แล้วหันไปมองหาผู้หญิงคนอื่นหรือเปล่า?”  สามีของเธอก็จะตอบว่า “ไม่มีทาง ที่รัก เธอแก่แล้วคิดมาก  ฉันอยู่กับเธอมาทั้งชีวิต เธอกลับไม่รู้จักฉันอยู่ดี  เธอคิดจริงๆ หรือว่าฉันเป็นผู้ชายแบบนั้น?”  ภรรยาของเขากังวลตลอดเวลาว่าเขาจะไม่ชอบที่เธอแก่ตัว เธอกลัวว่าเขาจะไม่ต้องการเธออีกแล้ว  เธอบ่นมากขึ้นเรื่อยๆ สามีของเธอก็พูดน้อยลงทุกที ทั้งสองคุยกันน้อยลงทุกที ต่างก็ดูรายการโทรทัศน์ของตนไป ไม่สนใจอีกฝ่าย  วันหนึ่งภรรยาก็บอกว่า “สามี เราสองคนเถียงกันมามากมายในชีวิต  หลายปีมานี้การใช้ชีวิตกับเธอนั้นยากมาก  ในชีวิตหน้า ฉันจะไม่อยู่กับผู้ชายอย่างเธอ  หลังอาหารเธอไม่เคยเสนอตัวช่วยฉันเช็ดเก็บ เธอเอาแต่นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ทำอะไร  ทั้งชีวิตเธอไม่เคยแก้ไขข้อเสียข้อนี้ของตัวเองเลย  เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอก็ไม่เคยซักเสื้อผ้าของตัวเอง ฉันต้องซักเก็บให้เธอเสมอ  ถ้าฉันตายไป ถึงตอนนั้นใครจะช่วยเธอทำ?”  สามีก็ตอบว่า “แล้วกัน ฉันจะอยู่ไม่ได้กระนั้นหรือถ้าไม่มีเธอ?  มีสาวๆ มากมายคอยตามจนฉันไล่ไปได้ไม่หมด”  ภรรยาของเขาจึงบอกว่า “คุยโตเหลือเกิน!  ดูตัวเองเสียบ้างว่าซอมซ่อขนาดไหน  เธออยู่กับใครไม่ได้หรอกนอกจากฉัน”  สามีจึงกล่าวว่า “อยากโกรธก็โกรธไป แต่ข้างนอกนั่นมีอีกหลายคนที่ชอบฉัน  มีแต่เธอที่ดูถูกฉันและไม่ให้ความสำคัญกับฉัน”  พวกเขามีชีวิตแต่งงานแบบใด?  ภรรยาบอกว่า “หลังจากอยู่กับเธอมาทั้งชีวิต ถึงฉันจะไม่ได้มีความสุขอะไรและไม่มีความทรงจำดีๆ แต่ตอนนี้พอแก่ตัว ฉันก็คิดอยู่ว่าถ้าฉันไม่มีเธอ ฉันก็ย่อมจะรู้สึกว่าขาดอะไรไป  ถ้าเธอไปก่อนฉัน ฉันย่อมจะเสียใจและจะไม่มีใครให้เซ้าซี้ด้วยซ้ำ  ฉันไม่อยากอยู่ตัวคนเดียว  ฉันต้องไปก่อนเธอ เพื่อให้เธอต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครซักผ้าหรือทำอาหารให้กิน ไม่มีใครดูแลชีวิตประจำวันให้ เธอจะได้จดจำความใจดีของฉันเอาไว้  เธอพูดไม่ใช่หรือว่ามีสาวๆ หลายคนไล่ตามเธอ?  พอฉันตายไป เธอก็ไปมีใหม่สักคนได้ทันที”  สามีจึงพูดว่า “ใจเย็นๆ ฉันจะให้เธอไปก่อนฉันแน่ๆ  พอเธอไปแล้ว ฉันจะหาคนที่ดีกว่าเธอมาเป็นคู่แน่นอน”  แต่แท้จริงแล้วเขาคิดอะไรอยู่ในหัวใจ?  “เธอไปก่อนเถิด พอเธอไปแล้ว ฉันจะสู้ทนความเหงาเอง  ฉันยอมสู้ทนความทุกข์ยากนี้และทนทุกข์อยู่อย่างนี้ดีกว่าให้เธอทนทุกข์”  อย่างไรก็ดี ภรรยาเฒ่ากลับพร่ำบ่นสามีของเธออยู่เสมอว่าเขาทำนี่ผิด ทำนั่นผิด มีข้อเสียอย่างนี้หรืออย่างนั้น และแม้สามีของเธอจะไม่ได้แก้ไขข้อเสียของตน แต่ทั้งสองก็ดำรงชีวิตกันเช่นนี้ต่อไป แล้วเมื่อเวลาผ่านไป เธอก็เคยชิน  ในที่สุดฝ่ายหญิงก็ทำใจรับสภาพ ฝ่ายชายก็สู้ทนไป แล้วทั้งสองก็ใช้ชีวิตกันไปแบบนี้ชั่วชีวิต  นี่คือชีวิตแต่งงาน

แม้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตแต่งงานที่ไม่ถูกใจคนเรา มีการโต้แย้งกันมากมาย และคู่แต่งงานย่อมผ่านประสบการณ์กับความเจ็บป่วย ความขัดสน ความยากลำบากทางการเงินในชีวิต เผชิญเหตุการณ์ที่ชวนให้เบิกบานและเศร้าเสียใจเป็นที่ยิ่งด้วยซ้ำ รวมทั้งเหตุการณ์อื่นๆ ในทำนองนั้น แต่ทั้งสองก็ผ่านอุปสรรคสารพัดอย่างมาด้วยกัน และคู่ครองของพวกเขาก็คือคนที่พวกเขาจะไม่มีวันผละจากไปได้ เป็นคนที่พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยมือก่อนที่พวกเขาจะหลับตาลงเป็นครั้งสุดท้าย  คู่ครองคืออะไร?  คือคู่ชีวิต  ฝ่ายชายลุล่วงความรับผิดชอบชั่วชีวิตที่ตนมีต่อฝ่ายหญิง และในทำนองเดียวกัน ฝ่ายหญิงก็ลุล่วงความรับผิดชอบชั่วชีวิตที่ตนมีต่อฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงอยู่เป็นเพื่อนฝ่ายชายไปตลอดชีวิต และฝ่ายชายก็อยู่เป็นเพื่อนฝ่ายหญิงไปตลอดชีวิต  ไม่มีฝ่ายใดพูดได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายไหนอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายมากกว่ากัน ไม่มีฝ่ายใดพูดได้อย่างแน่ชัดว่าฝ่ายไหนทำคุณความดีมากกว่ากัน ฝ่ายไหนผิดพลาดมากกว่า หรือฝ่ายไหนมีข้อเสียมากกว่า ไม่มีฝ่ายใดพูดได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายไหนคือหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญหรือเป็นหลักในการหาเลี้ยงครอบครัวเวลาใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่มีฝ่ายใดพูดได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายไหนคือหัวหน้าครอบครัว หรือใครเป็นหลัก และใครคอยเสริม ไม่มีฝ่ายใดพูดได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายไหนไม่อาจผละจากอีกฝ่ายได้ เป็นฝ่ายชายที่ไม่สามารถจากฝ่ายหญิงไป หรือเป็นฝ่ายหญิงที่ไม่สามารถผละจากฝ่ายชาย และไม่มีฝ่ายใดพูดได้อย่างชัดเจนว่าใครถูกใครผิดเวลาโต้เถียงกัน นี่คือชีวิต นี่เป็นชีวิตที่ปกติของชายหญิงภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน และเป็นสภาพการใช้ชีวิตที่ปกติและธรรมดาที่สุดของมนุษย์  ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ มิอาจแยกตัวออกจากข้อเสียและอคติทุกรูปแบบตามสภาวะความเป็นมนุษย์ได้ และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือไม่สามารถแยกออกจากความต้องการทุกรูปแบบตามสภาวะความเป็นมนุษย์ และแน่นอนว่ารวมถึงตัวเลือกทั้งปวงตามสภาวะความเป็นมนุษย์ ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของมโนธรรมและเหตุผลของคนเรา ไม่ว่าตัวเลือกนั้นจะถูกหรือผิด มีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลก็ตาม  นี่คือชีวิต นี่เป็นชีวิตที่ปกติที่สุด  ไม่มีถูกผิดเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นเพียงสภาพการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างถูกต้องเหมาะสม เป็นไปตามแบบแผน และเป็นเพียงความเป็นจริงของชีวิตเท่านั้น  ทั้งนี้ ความเป็นจริงของชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ภายในกรอบของชีวิตแต่งงานนี้ย่อมบอกให้ผู้คนรู้ข้อเท็จจริงเรื่องใด?  ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนควรปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ นานาของตนที่ไม่ใช่ความเป็นจริงของการแต่งงาน ปล่อยมือจากแนวคิดทั้งปวงที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคำนิยามที่ถูกต้องของการแต่งงาน การจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้คนควรปล่อยมือ เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ หรือภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่คนปกติทั่วไปย่อมทำให้ลุล่วงในชีวิต  เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงควรปล่อยมือจากคำนิยามและคำกล่าวต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงาน ซึ่งมาจากสังคมและมวลมนุษย์ที่ชั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกกันว่าความรักซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิตสมรสที่แท้จริงแต่อย่างใด  การแต่งงานไม่ใช่การผูกมัดชั่วชีวิต หรือสัญญารักชั่วชีวิตอย่างเป็นทางการ และยิ่งไม่ใช่การทำตามคำปฏิญาณไปชั่วชีวิต  แต่เป็นชีวิตจริงของชายและหญิงที่อยู่ร่วมกัน เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการในชีวิตจริงและเป็นการแสดงออกของพวกเขาในชีวิตจริง  บางคนกล่าวว่า “ถ้าพระองค์สามัคคีธรรมเรื่องการแต่งงานและไม่ตรัสถึงความรัก ไม่ตรัสถึงสัญญารักที่จริงจัง หรือความรักที่ยืนยงจนทะเลเหือดแห้งและหินผากลายเป็นผุยผง หรือคำปฏิญาณที่คู่สมรสกล่าวต่อกัน เช่นนั้นแล้ว พระองค์กำลังตรัสถึงอะไร?”  เรากำลังพูดถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ พูดถึงความรับผิดชอบ การทำสิ่งที่ชายและหญิงควรทำให้สอดคล้องกับคำเตือนสติและพระบัญชาของพระเจ้า พูดถึงการลุล่วงภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่ชายหญิงควรลุล่วง การแบกรับภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่ชายหญิงควรแบกรับ—ด้วยวิธีนี้ ภาระผูกพัน ความรับผิดชอบ หรือภารกิจของเจ้าย่อมจะลุล่วง  จะว่าไปแล้ว อะไรคือวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องในการปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงาน ที่พวกเราจำเป็นต้องสามัคคีธรรม?  วิธีที่ถูกต้องก็คือความคิดหรือการกระทำของเจ้าต้องไม่อิงแนวคิดต่างๆ ที่มาจากมวลมนุษย์ที่ชั่วและกระแสนิยมอันชั่ว แต่ต้องอิงพระวจนะของพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสเรื่องการแต่งงานว่าอย่างไร ความคิดและการกระทำของเจ้าก็ต้องเป็นไปตามพระวจนะของพระองค์  หลักธรรมนี้ถูกต้องใช่หรือไม่?  (ใช่)  ทีนี้พวกเราก็เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมเรื่องการปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานกันแล้วใช่ไหม?  โดยทั่วไปแล้วพวกเจ้าเข้าใจชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่ เข้าใจชัดเจนแล้ว)

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปถึงการปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงาน และมีบางคนกล่าวว่า “ถ้าฉันไม่อยากเป็นโสด และวางแผนที่จะคบหาใครสักคนและพบเจอคนที่จะแต่งงานด้วย เช่นนั้นแล้ว ฉันควรปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างไรเพื่อให้ตัวเองสามารถปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ ที่มีเกี่ยวกับการแต่งงานได้?  ฉันควรปฏิบัติตามหลักธรรมข้อนี้อย่างไร?”  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลักธรรมเรื่องการเลือกคู่สมรส หลักธรรมเรื่องการเลือกคู่ที่จะแต่งงานด้วยมิใช่หรือ?  โลกปลูกฝังหลักธรรมเรื่องการเลือกคู่สมรสไว้ในตัวเจ้าว่าอย่างไร?  เจ้าชายรูปงาม หญิงงามผิวขาวผ่อง ผู้ชายหล่อและรวย ผู้หญิงก็สวยและมั่งคั่ง จะดีที่สุดถ้าพวกเขาเป็นรุ่นที่สองของตระกูลที่มั่งคั่ง  เมื่อแต่งงานกับใครสักคนที่เป็นเช่นนั้น การดิ้นรนต่อสู้ย่อมหายไปจากชีวิตของเจ้าถึง 20 ปี  ฝ่ายชายต้องเป็นคนที่สามารถซื้อแหวนเพชร ชุดเจ้าสาว และจัดงานวิวาห์ที่สวยหรูให้เจ้าได้  เขาต้องเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานในอาชีพการงาน หาเงินได้มาก หรือมีทรัพย์สินเงินทองอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง  นี่คือความคิดอ่านและทัศนะที่โลกปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  จากนั้นก็มีคนที่พูดว่า “คู่ของฉันต้องเป็นคนที่ฉันรัก”  บางคนก็บอกว่า “พูดอย่างนั้นไม่ถูก  คนที่คุณรักไม่จำเป็นที่จะต้องรักคุณ  ทั้งสองฝ่ายต้องรักกัน คนที่คุณรักต้องรักคุณด้วย  ถ้าเขารักคุณ เช่นนั้นเขาก็จะไม่มีวันเลือกที่จะทอดทิ้งหรือปล่อยคุณไป  ถ้าคนที่คุณรักไม่ได้รักคุณ เช่นนั้นแล้วสักวันหนึ่งเขาก็จะลุกขึ้นมาทิ้งคุณไปเสียเฉยๆ”  ทัศนะเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้นจงบอกเราเถิดว่าเวลาเลือกคู่สมรส พวกเจ้าควรทำตามหลักธรรมใดที่อิงตามพระวจนะของพระเจ้าและใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์?  จงอภิปรายเรื่องนี้ตามความคิดอ่านและทัศนะอันถูกต้องที่พวกเจ้ามีในตอนนี้เถิด  (ถ้าข้าพระองค์อยากหาคู่ อย่างน้อยที่สุดเขาต้องเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า สามารถแสวงหาความจริง มีสิ่งที่ไล่ตามเสาะหาในชีวิตเหมือนกับข้าพระองค์ และเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับข้าพระองค์)  คนที่มีความมุ่งมาดปรารถนาเหมือนกัน เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับเจ้า และเชื่อในพระเจ้า—เจ้าเอ่ยถึงหลักเกณฑ์จำเพาะบางอย่างในการเลือกคู่สมรสอยู่  มีใครอยากพูดอีก?  (พวกเราต้องดูด้วยว่าพวกเขาเป็นคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่ สามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันในครอบครัวของคู่สมรสหรือไม่  และยังมีอย่างอื่นด้วยคือ ไม่ใช่ว่าคนเราจะพบเจอคนที่จะแต่งงานด้วยอย่างแน่นอนเพียงเพราะพวกเขาอยากหาคู่ในตอนนี้  นี่ขึ้นอยู่กับการจัดเตรียมของพระเจ้า และคนเราก็ต้องนบนอบและรอคอย)  มีวิธีปฏิบัติเป็นการเฉพาะและมีหลักการจำเพาะทางความคิดและทางทฤษฎีอยู่  เจ้าต้องนบนอบและรอคอย ฝากเรื่องนี้ไว้กับพระเจ้าและยอมให้พระองค์จัดเตรียมเรื่องนี้ให้เจ้า ขณะเดียวกันเจ้าก็ต้องจัดการเรื่องนี้ตามหลักธรรม  มีใครต้องการพูดอีกบ้าง?  (พระเจ้า ทัศนะของข้าพระองค์ก็เหมือนกับของพวกเขา นั่นคือ คนเราต้องหาคนที่มีความมุ่งมาดปรารถนาเหมือนกันและเดินบนเส้นทางเดียวกัน คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์และสามารถรับผิดชอบ  คนเราควรปล่อยมือจากทัศนะที่ผิดๆ เกี่ยวกับการแต่งงานซึ่งซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวคนเรา ใส่ใจหน้าที่ของตน นบนอบอธิปไตยของพระเจ้า และรอคอยการจัดเตรียมของพระเจ้า)  ถ้าเขาไม่มีเงินซื้อแหวนเพชรให้เจ้า เจ้ายังจะแต่งงานกับเขาหรือไม่?  (ถ้าเขาเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ เช่นนั้นข้าพระองค์ก็จะยอมรับเขา ต่อให้เขาซื้อแหวนเพชรให้ไม่ได้ก็ตาม)  สมมุติว่าเขามีเงินอยู่บ้างและซื้อแหวนเพชรหนึ่งกะรัตให้เจ้าได้ แต่เขากลับซื้อแหวนเพชรหนัก 0.3 กะรัตให้เจ้าแทน—เช่นนั้นแล้วเจ้าจะเต็มใจแต่งงานกับเขาหรือไม่?  (ข้าพระองค์จะไม่เรียกร้องของแบบนั้นจากเขา)  ไม่เรียกร้องของแบบนั้นก็ไม่เป็นไร  ด้วยการออมเงินสักระยะหนึ่ง เจ้าย่อมจะสามารถใช้เงินนั้นได้ และนี่ก็คือการมองระยะยาว  เจ้ามีวิธีคิดเพื่อการมีชีวิตที่ดีอยู่แล้ว ก่อนที่จะพบคู่เสียอีก—นั่นตรงตามความเป็นจริงมาก!  มีใครอีกไหม?  (พระเจ้า ข้าพระองค์คิดว่าตัวเองต้องปล่อยมือจากหลักเกณฑ์ทางโลกในเรื่องของการเลือกคู่สมรสเสียก่อน  นั่นก็คือข้าพระองค์ต้องไม่เพ้อฝันอยู่ตลอดเวลาว่าจะพบเจ้าชายรูปงามหรือผู้ชายที่หล่อและรวย หรือคนที่ชวนฝัน  เมื่อปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ข้าพระองค์ก็ควรมีทัศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงาน จากนั้นก็นบนอบและรอเวลาของพระเจ้า  แม้จะมีคนแบบนี้ปรากฏตัว พวกเขาก็ต้องเป็นคนที่มีความมุ่งมาดปรารถนาเดียวกันและเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับข้าพระองค์  ข้าพระองค์ต้องไม่อาศัยทัศนะทางโลกของตนมาเรียกร้องให้ฝ่ายชายแสดงน้ำใจกับข้าพระองค์  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขาสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าได้)  ถ้าเขาไล่ตามเสาะหาความจริง คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า ออกไปปฏิบัติหน้าที่ของตนจนไม่เคยอยู่บ้าน และเจ้าต้องรับภาระในชีวิตครอบครัวอยู่คนเดียว แล้วแก๊สในถังก็หมด เจ้าจึงต้องแบกถังแก๊สขึ้นไปชั้นบนด้วยตนเอง—เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำอย่างไร?  (ข้าพระองค์ก็เพียงแต่แบกถังขึ้นไปเองเท่านั้น)  แล้วถ้าเจ้าแบกไม่ไหว เจ้าก็สามารถจ้างใครสักคนมาช่วยได้  (หรือไม่ก็หาพี่น้องชายหรือหญิงมาช่วย)  ใช่แล้ว ทั้งหมดนี้คือวิธีรับมือสถานการณ์แบบนี้  ดังนั้นเจ้าจะโกรธหรือไม่ถ้าเขาจากไปสักปีหรือสองปี หรือสามปี หรือห้าปี?  “นี่เหมือนใช้ชีวิตเป็นแม่ม่ายเลยไม่ใช่หรือ?  การแต่งงานกับเขามีประโยชน์อะไร?  นี่เหมือนก่อนที่ฉันจะแต่งงานเลย เป็นการใช้ชีวิตตัวคนเดียวโดยแท้มิใช่หรือ?  ฉันต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง  ช่างอาภัพอับโชคจริงๆ ที่มาแต่งงานกับเขา!”  เจ้าจะไม่คิดอย่างนี้หรอกหรือ?  (ไม่ ข้าพระองค์ไม่ควรคิดเช่นนี้ เพราะเขาย่อมจะปฏิบัติหน้าที่ของตนและทำงานเพื่อสิ่งที่สมควรแล้ว  ข้าพระองค์ไม่ควรเสียอารมณ์เพราะเหตุนั้น)  นั่นเป็นความคิดที่เยี่ยมมาก แต่ในชีวิตจริง เจ้าจะสามารถก้าวข้ามทั้งหมดนี้ได้หรือไม่?  ถ้าชายที่เจ้าพบเจอนี้เที่ยงธรรมเป็นพิเศษ มักจะสงวนวาจาและท่าที ไม่ชวนฝัน และไม่เคยซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้เจ้า ไม่เคยให้ดอกไม้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เคยพูดว่า “ฉันรักเธอ” หรืออะไรทำนองนั้น หัวใจของเจ้าก็เลยไม่รู้ว่าเขารักเจ้าหรือไม่ แต่เขาก็เป็นคนดีจริงๆ มีน้ำใจนึกถึงเจ้าอย่างมากและดูแลเจ้าในชีวิต เพียงแต่ไม่พูดอะไรหรือทำอะไรที่ชวนฝันเท่านั้น และจะไม่พยายามหว่านล้อมหรือปลอบเจ้าด้วยซ้ำเวลาที่เจ้าอารมณ์เสีย—เจ้าย่อมจะเคืองเขาอยู่ในหัวใจของเจ้าบ้างมิใช่หรือ?  (ข้าพระองค์อาจจะรู้สึกขุ่นเคืองหากไม่ได้เชื่อในพระเจ้าและไม่เข้าใจความจริง แต่หลังจากที่ฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าแล้ว ข้าพระองค์ก็รู้ว่าไม่ว่าเขาจะพูดสิ่งเหล่านั้นและทำอะไรที่ชวนฝันหรือไม่ก็ย่อมจะไม่สำคัญ  นี่เป็นทัศนะของผู้คนทางโลกและไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรไล่ตามไขว่คว้า  ข้าพระองค์ควรปล่อยสิ่งเหล่านี้ไป และเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าพระองค์ย่อมจะไม่นึกบ่น)  เจ้าไม่ควรบ่นจริงไหม?  (จริง)  ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น และเจ้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะรู้สึกอย่างไรในรูปการณ์เช่นนั้น หรืออารมณ์ของเจ้าจะไม่ดีและเปลี่ยนไปเช่นไร  อย่างไรก็ดี ตอนนี้ในทางทฤษฎีแล้ว พวกเจ้าทุกคนรู้ว่าในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ไม่ควรเรียกร้องจากคู่ครองของเจ้าอย่างไม่สมเหตุสมผลอย่างนั้น หรือพร่ำบ่นคู่ครองเวลาที่สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการ  ตอนนี้เจ้ามีแนวคิดเหล่านี้แล้ว แต่เจ้าลงมือทำได้หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้ทำได้ง่ายหรือไม่?  (พวกเราต้องทิ้งความชอบส่วนตัวและทัศนะทางโลกของตนเอง เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว การปล่อยสิ่งเหล่านี้ไปก็ควรจะทำได้ค่อนข้างง่าย)  เราจะบอกวิธีรับมือเรื่องนี้แก่เจ้า  ชายและหญิงทุกคนย่อมจะเผชิญปัญหาเหล่านี้ มีความคิดและอารมณ์เหล่านี้ในชีวิตสมรส และทุกคนก็จะมีความต้องการเหล่านี้กันทั้งสิ้น  อย่างไรก็ดี เรื่องสำคัญที่สุดที่เจ้าต้องเข้าใจก็คือ ถ้าคู่ครองที่เจ้าเลือกเป็นไปตามความต้องการในหัวใจของเจ้า—วางข้อเท็จจริงที่ว่านี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เอาไว้ก่อน—เจ้าเลือกเขาเองและพอใจในทุกสิ่งที่เขาเป็น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขามีความมุ่งมาดปรารถนาเหมือนกับเจ้าและเดินบนเส้นทางเดียวกันกับเจ้า เขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าได้ และทุกสิ่งที่เขาทำก็ยุติธรรม เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรใช้วิธีที่สมเหตุสมผลและยอมให้เขาทำเช่นนั้น ยอมให้เขามองข้ามความรู้สึกของเจ้า ยอมให้เขามองข้ามการมีอยู่ของเจ้าด้วยซ้ำ—ในทางทฤษฎีแล้ว นี่คือสิ่งที่เจ้าควรสัมฤทธิ์  ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าความต้องการหรืออารมณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในตัวเจ้าเพราะเกิดสถานการณ์ที่พิเศษหรือเหตุการณ์จำเพาะ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  หลังจากที่อธิษฐานแล้ว เจ้าจะสามารถปล่อยสิ่งเหล่านี้ไปได้หมดหรือไม่?  ไม่มีทาง  ไม่ว่าอย่างไร ผู้คนก็ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของตน พวกเขามีความรู้สึกนึกคิด และความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาย่อมจะก่อให้เกิดอารมณ์สารพัดอย่างขึ้นมาในตัวพวกเขา  พวกเราจะไม่เสวนากันในตอนนี้ว่าอารมณ์เหล่านี้ถูกหรือผิด  สำหรับตอนนี้ ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดก็คือเจ้าพบว่าปล่อยอารมณ์เหล่านี้ให้ผ่านไปได้ยาก  ต่อให้คราวนี้เจ้าปล่อยมันไป มันก็อาจปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ในสถานการณ์ที่เป็นจริงบางอย่าง  ดังนั้น เจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าไม่จำเป็นต้องไปยุ่งยากกับมัน เพราะในทางทฤษฎีและในแง่ของรูปแบบและความเป็นเหตุเป็นผล เจ้าเลิกล้มการไล่ตามไขว่คว้าหรือความต้องการแบบนี้ไปแล้ว  เพียงแต่ว่าด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์ ผู้คนในวัยต่างๆ จึงมีความต้องการเหล่านี้และมีประสบการณ์กับอารมณ์เหล่านี้ในระดับที่แตกต่างกัน มากบ้างน้อยบ้าง  เจ้าชัดเจนกับสถานการณ์ที่เป็นจริงเหล่านี้และอธิษฐานถึงพระเจ้าไปแล้ว ครั้งนี้เจ้าจึงปล่อยอารมณ์ให้ผ่านไป หรือไม่เช่นนั้น อารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตัวเจ้าก็ไม่ได้รุนแรงนัก เจ้าจึงไม่จริงจังกับมันเกินไป  อย่างไรก็ดี เจ้าย่อมจะมีประสบการณ์กับอารมณ์แบบนี้ในครั้งต่อไปอีกเป็นแน่  แล้วถึงตอนนั้น เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรให้ชัดเจนลงไป?  เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือจริงจังกับมันด้วยการกล่าวว่า “แย่ละ อุปนิสัยด้านนี้ของฉันยังไม่เปลี่ยนเลย”  นี่ไม่ใช่อุปนิสัยแต่อย่างใด เป็นเพียงอารมณ์ไม่ดีชั่วครู่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยของเจ้า  แล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยการกล่าวว่า “แย่ละ ทำไมฉันถึงยังเป็นแบบนี้?  ฉันไล่ตามเสาะหาความจริงมิใช่หรือ?  ทำไมถึงยังทำตัวแบบนี้อยู่อีก?  นี่แย่เอามากๆ!”  ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ นี่เป็นเพียงการแสดงอารมณ์ที่ไม่ดีออกมา ซึ่งเป็นอารมณ์หลากหลายตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  จงอย่าใส่ใจ  นี่คือท่าทีที่ใช้จัดการอารมณ์ไม่ดีทั้งหลาย  ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่ไม่ส่งผลต่อระบบระเบียบและความเสมอต้นเสมอปลายในชีวิตตามปกติของเจ้า ชีวิตฝ่ายวิญญาณ หรือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ตราบนั้นนั่นย่อมไม่เป็นไร  ตัวอย่างเช่น เพราะสามี (หรือภรรยา) ของเจ้ายุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเจ้าจึงไม่ได้พบหน้ากันมานานแล้ว และไม่มีเวลาคุยกัน  วันหนึ่งจู่ๆ เจ้าก็เห็นพี่น้องหญิงคนหนึ่งคุยกับสามีของเธออยู่ เจ้าจึงเกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาในใจและคิดว่า “ดูสิ เธอปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับสามีได้  พวกเขามีความสุขและเบิกบานกันมาก  ทำไมสามีของฉันถึงไม่มีความรู้สึกขนาดนี้?  ทำไมเขาถึงไม่ถามฉันบ้างว่า ‘หมู่นี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง?  สบายดีไหม?’  ทำไมเขาไม่นึกห่วงฉันบ้าง?  ทำไมเขาถึงไม่ชื่นชูหรือรักฉันบ้าง?”  เจ้าเกิดอารมณ์แบบนี้ขึ้นมา และผ่านไปสักพักเจ้าก็คิดว่า “มามัวบูดบึ้งไม่ใช่เรื่องดี”  เจ้ารู้ว่าการรู้สึกเช่นนั้นไม่ดี แต่เจ้าก็ยังคงโกรธนิดๆ และเถียงตัวเองว่า “ฉันจะไม่กวนใจเขา ฉันแค่จะรอให้เขาเริ่มสนใจฉันเอง  ถ้าเขาไม่สนใจ ถึงตอนนั้นฉันค่อยโกรธเขา  พวกเราแต่งงานกันมาหลายปีแล้ว ตลอดเวลามานี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้ากัน และเขาก็ไม่พูดอยู่ดีว่าคิดถึงฉัน  เขาคิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า?  เขาไม่สนใจฉัน ดังนั้นฉันก็จะไม่สนใจเขา!”  เจ้าโต้แย้งกับตัวเองและใช้ชีวิตอยู่กับอารมณ์ที่ไม่ดีแบบนี้  เพียงครู่เดียวความโกรธและอารมณ์ที่ขุ่นมัวก็เกิดขึ้น  ตราบใดที่เจ้านอนได้กินได้ตามปกติ อ่านพระวจนะของพระเจ้า เข้าชุมนุม ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามปกติ และเข้ากับพี่น้องชายหญิงได้ตามปกติ เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอารมณ์พวกนี้ และเจ้าก็คิดอะไรในใจของเจ้าได้ตามใจชอบ  ไม่ว่าเจ้าจะคิดอะไร ตราบใดที่เจ้ามีสำนึกในเหตุผลตามปกติและปฏิบัติหน้าที่ของตนไปตามปกติ ตราบนั้นนั่นย่อมไม่เป็นไร  เจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนข่มอารมณ์เอาไว้ หรือฝืนอธิษฐานถึงพระเจ้าและขอให้พระองค์บ่มวินัยหรือสั่งสอนเจ้า หรือรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบาป  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะในไม่ช้าอารมณ์ที่ไม่ดีนี้ก็จะหมดไป  ถ้าเจ้าคิดถึงสามีของตนมากขนาดนั้นจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็โทรศัพท์หาเขาและไถ่ถามทุกข์สุขได้ พวกเจ้าทั้งสองสามารถเปิดใจคุยกันได้ เช่นนั้นแล้วอารมณ์ไม่ดีและความเข้าใจผิดชั่วครู่ชั่วคราวเหล่านั้นย่อมจะหายไปมิใช่หรือ?  อันที่จริงเจ้าไม่ได้อยากให้เขาทำอะไร  บางครั้งเจ้าเพียงแต่จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาชั่วขณะ อยากจะได้ยินเสียงของเขา หรืออาจจะรู้สึกเหงาขึ้นมาชั่วครู่ หรือรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาชั่วระยะสั้นๆ หรืออาจรู้สึกไม่มีความสุข จากนั้นเจ้าจึงโทรหาเขาและฟังเขาคุย  เมื่อนั้นเจ้าจึงเห็นว่าเขาสบายดี เขารักเจ้ามากเหมือนที่เคยรัก และเจ้าเองก็อยู่ในความคิดคำนึงของเขา  เพียงแต่ว่าเขายุ่งกับงาน หรือเป็นไปได้ว่าเพราะผู้ชายค่อนข้างละเลยสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ละเอียดอ่อนลงไป แล้วเขาก็ง่วนอยู่กับหน้าที่ของตน จึงไม่ได้นึกว่านานขนาดนั้นแล้ว  และนั่นก็คือสาเหตุที่เขาไม่ได้ติดต่อเจ้า  การที่เขายุ่งและปฏิบัติหน้าที่ของตนไปตามปกตินี้เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?  นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการโดยแท้มิใช่หรือ?  ถ้าเขาทำอะไรที่เลวร้าย ก่อให้เกิดการก่อกวนและขัดขวาง และถูกเอาตัวออกไป เจ้าย่อมจะวิตกกังวลเรื่องของเขามิใช่หรือ?  ตอนนี้ทุกสิ่งเกี่ยวกับเขาเป็นปกติ และทุกสิ่งก็เป็นอย่างที่เคยเป็นไม่มีผิด—เมื่อเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าย่อมจะผ่อนคลายมิใช่หรือ?  เจ้าอยากได้อะไรอีก?  เรื่องราวก็ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  การโทรหากันเช่นนี้และกล่าวอะไรแก่กันบ้างย่อมคลายความเหงาในหัวใจและคลายความรู้สึกถวิลหาเหมือนที่ผู้ไม่เชื่อกล่าวไว้ไม่มีผิด เมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญหาข้อนี้ย่อมได้รับการแก้ไขแล้วมิใช่หรือ?  มีความยุ่งยากอะไรหรือไม่?  การโทรหาสามีของเจ้าและแสดงความห่วงใยกัน—จงบอกเราเถิดว่าพระเจ้าทรงกล่าวโทษเรื่องแบบนี้หรือไม่?  (ไม่)  พวกเจ้าเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมาย และการโทรหาเขา พูดคุย และแสดงการถวิลหากันให้อีกฝ่ายรู้ย่อมเหมาะสมทั้งสิ้น เป็นความรู้สึกตามปกติของมนุษย์ และเป็นสิ่งที่เจ้าควรทำภายในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์  ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังรวมอยู่ในการลิขิตการสมรสให้แก่มวลมนุษย์ของพระเจ้า—อันได้แก่ การอยู่เคียงข้างกัน ชูใจกัน และเกื้อหนุนกัน  ถ้าเขาไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบเหล่านี้ เจ้าจะช่วยให้เขาลุล่วงสิ่งเหล่านี้ก็ย่อมได้มิใช่หรือ?  นี่เป็นเรื่องง่ายมากที่จัดการได้ง่ายอย่างยิ่ง  ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้มิใช่หรือ?  จำเป็นหรือไม่ที่อารมณ์ไม่ดีสารพัดอย่างต้องเกิดขึ้นมาในหัวใจของเจ้า?  ไม่จำเป็น  การนำเรื่องนี้ไปปฏิบัติจึงเป็นเรื่องง่าย

พวกเราย้อนไปดูคำถามของเราเมื่อกี้นี้ว่า “ผู้คนควรปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ ที่พวกเขามีต่อการแต่งงานอย่างไร?”  พวกเจ้าทุกคนตอบคำถามนี้โดยให้แนวคิดบางอย่างเอาไว้แล้ว  ถ้าผู้คนอยากปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ ที่พวกเขามีต่อการแต่งงาน เช่นนั้นแล้ว ประการแรก พวกเขาต้องมีความเชื่อและนบนอบการจัดเตรียมและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า  เจ้าไม่ควรมีเรื่องเพ้อฝันส่วนตัวหรือเรื่องเพ้อฝันที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงเกี่ยวกับการแต่งงาน ว่าคู่ของเจ้าเป็นใครหรือคู่ของเจ้าเป็นคนแบบใด เจ้าควรมีท่าทีที่เชื่อฟังพระเจ้า ควรนบนอบการจัดเตรียมและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และวางใจว่าพระเจ้าจะทรงเตรียมคนที่เหมาะสมที่สุดให้แก่เจ้า  การมีท่าทีที่เชื่อฟังมีความจำเป็นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ประการที่สอง เจ้าต้องปล่อยมือจากหลักเกณฑ์ในการเลือกคู่ที่กระแสนิยมอันชั่วของสังคมปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า แล้วจากนั้นก็สร้างหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องของการเลือกคู่ นั่นคือ อย่างน้อยที่สุด คู่ของเจ้าควรเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าเช่นเดียวกับเจ้า และเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับเจ้า—นี่คือมุมมองทั่วไป  นอกจากนี้คู่ของเจ้าต้องสามารถลุล่วงความรับผิดชอบที่ชายหรือหญิงมีในชีวิตสมรส พวกเขาต้องสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของคู่ครองได้  เจ้าจะวินิจฉัยแง่มุมนี้ได้อย่างไร?  เจ้าต้องดูคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ดูว่าพวกเขามีสำนึกรับผิดชอบหรือไม่ และมีมโนธรรมหรือไม่  แล้วเจ้าวินิจฉัยอย่างไรว่าใครมีมโนธรรมและความเป็นมนุษย์หรือไม่?  ถ้าเจ้าไม่ได้คบค้าสมาคมกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่มีทางรู้ว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นเช่นไร และต่อให้เจ้าคบค้าสมาคมกับพวกเขา ถ้าเป็นเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น เจ้าก็อาจจะไม่สามารถค้นพบได้อยู่ดีว่าพวกเขาเป็นเช่นไร  เมื่อเป็นดังนั้นเจ้าจะวินิจฉัยอย่างไรว่าใครมีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่?  เจ้าก็ดูว่าพวกเขารับผิดชอบหน้าที่ของตน พระบัญชาจากพระเจ้า และงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ และดูว่าพวกเขาสามารถปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ พวกเขาสัตย์ซื่อต่อหน้าที่ของตนหรือไม่—นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการวินิจฉัยคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ของใครสักคน  สมมุติว่าลักษณะนิสัยของคนคนนี้เที่ยงธรรมมาก และพอเป็นงานที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายให้พวกเขาทำ พวกเขาก็อุทิศตน รับผิดชอบ จริงจัง และตั้งใจอย่างยิ่ง ละเอียดรอบคอบมาก ไม่ใช่ว่าไม่เอาใจใส่แต่อย่างใด ไม่เคยละเลย และพวกเขาก็ไล่ตามเสาะหาความจริง ฟังทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสอย่างถี่ถ้วนและเอาจริงเอาจัง  เมื่อพวกเขาเข้าใจชัดเจนแล้ว พวกเขาก็นำไปปฏิบัติทันที แม้ผู้คนดังกล่าวจะมีขีดความสามารถไม่สูง แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่หละหลวมในหน้าที่และในงานของคริสตจักร เป็นคนที่รับผิดชอบได้อย่างจริงจังตั้งใจ  ถ้าพวกเขาเอาจริงเอาจังและรับผิดชอบหน้าที่ของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมจะใช้ชีวิตร่วมกับเจ้าอย่างสุดหัวใจเป็นแน่ และจะรับผิดชอบเจ้าจวบจนวาระสุดท้าย—ลักษณะนิสัยของคนแบบนี้ย่อมทนบททดสอบได้  ต่อให้เจ้าเจ็บป่วย แก่เฒ่า หน้าตาอัปลักษณ์ หรือมีข้อเสียและข้อบกพร่อง คนแบบนี้ก็จะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างถูกต้องและยอมผ่อนปรนให้เจ้าเสมอ พวกเขาจะพยายามอย่างที่สุดที่จะปกป้องเจ้าและครอบครัวของเจ้า คอยคุ้มครองเจ้า มอบชีวิตที่มั่นคงให้แก่เจ้า เพื่อให้เจ้าดำรงชีวิตอย่างมีสันติสุขในใจ  นี่คือเรื่องที่สุขที่สุดแล้วสำหรับชายหรือหญิงที่มีชีวิตสมรส  พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องสามารถมอบชีวิตที่มั่งคั่ง หรูหรา หรือชวนฝันให้แก่เจ้า และไม่จำเป็นที่จะต้องสามารถเสนออะไรที่แตกต่างออกไปในแง่ของความรักใคร่หรือในแง่อื่นๆ แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาย่อมจะทำให้เจ้ารู้สึกสบายใจ และเมื่ออยู่กับพวกเขา ชีวิตของเจ้าย่อมจะลงตัว และจะไม่มีอันตรายหรือความรู้สึกไม่สบายใจ  เมื่อเจ้ามองดูคนแบบนี้ เจ้าย่อมจะมองเห็นได้ว่าชีวิตของพวกเขาจะเป็นเช่นไรในอีก 20 หรือ 30 ปีข้างหน้า และย่อมจะเห็นไปถึงวัยแก่เฒ่าด้วยซ้ำ  คนแบบนี้ควรเป็นหลักเกณฑ์ที่เจ้าจะใช้เลือกคู่ครอง  แน่นอนว่าหลักเกณฑ์ในการเลือกคู่ครองนี้ออกจะสูงอยู่บ้าง และคนแบบนี้ก็หาได้ไม่ง่ายในหมู่มวลมนุษย์สมัยใหม่ จริงไหม?  การที่จะวินิจฉัยว่าลักษณะนิสัยของคนคนหนึ่งเป็นเช่นไรและพวกเขาจะสามารถลุล่วงความรับผิดชอบในชีวิตแต่งงานได้หรือไม่นั้น เจ้าต้องดูท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตน—นี่คือแง่หนึ่ง  อีกแง่หนึ่งนั้น เจ้าต้องดูว่าพวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่  ถ้ามี เช่นนั้นแล้วอย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็จะไม่ทำอะไรที่ไร้มนุษยธรรมหรือไร้ศีลธรรม หรือไร้จริยธรรม ดังนั้นพวกเขาย่อมจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีเป็นแน่  ถ้าพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ไม่รู้จักอาย ไม่ฟังใคร หรือสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นโหดร้าย เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และโอหัง ถ้าพวกเขาไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจและคิดว่าตนเองดีเลิศกว่าผู้อื่น ถ้าพวกเขาจัดการงาน หน้าที่ และแม้กระทั่งพระบัญชาของพระเจ้า รวมทั้งเรื่องใหญ่ๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างผลีผลามตามเจตจำนงของตนเอง กระทำการไม่ยั้งคิด ไม่เคยมีความระมัดระวัง ไม่แสวงหาหลักธรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาจัดการของถวายก็บุ่มบ่ามยักยอกเอาไป ไม่เกรงกลัวอะไร เช่นนั้นแล้วก็แน่นอนว่าเจ้าต้องไม่มองหาคนแบบนั้น  เมื่อไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาย่อมทำได้ทุกอย่าง  ตอนนี้ผู้ชายแบบนั้นอาจปากหวานกับเจ้า สัญญาว่าจะรักเจ้ามิเสื่อมคลาย แต่เมื่อถึงวันที่เขาไม่มีความสุข วันที่เจ้าไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้ และไม่ได้เป็นที่รักของเขาอีกต่อไป เมื่อนั้นเขาย่อมจะบอกว่าเขาไม่รักเจ้าแล้ว ไม่มีความรู้สึกอะไรให้เจ้าอีกต่อไป แล้วเขาก็จะลุกเดินจากเจ้าไปเมื่อใดก็ตามที่เขาอยากไป  ต่อให้เจ้ายังไม่ได้หย่าขาด เขาก็จะมองหาคนอื่นอยู่ดี—ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปได้  เขาสามารถทิ้งเจ้าไปได้ทุกเมื่อ ทุกที่ และสามารถทำอะไรก็ได้  ผู้ชายแบบนั้นอันตรายมากและไม่คู่ควรที่เจ้าจะฝากชีวิตทั้งชีวิตของเจ้าเอาไว้  ถ้าเจ้าได้ผู้ชายแบบนี้มาเป็นคนรัก เป็นที่รัก เป็นคู่ครองที่เจ้าเลือก เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเดือดร้อน  ต่อให้เขาสูง รวย หล่อ มีความสามารถอย่างยิ่ง ดูแลเอาใจใส่เจ้าดี และคำนึงถึงเจ้า กล่าวอย่างคร่าวๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นแฟนหรือสามี เขาก็เข้าขั้นเป็นพิเศษ แต่เขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เช่นนั้นแล้วคนคนนี้ก็ไม่อาจเป็นคู่ครองที่เจ้าเลือก  ถ้าเจ้าลุ่มหลงในตัวเขา เริ่มคบหา แล้วก็แต่งงานกับเขา เช่นนั้นแล้วเขาย่อมจะเป็นฝันร้ายและความวิบัติของเจ้าไปตลอดชีวิต  เจ้าย่อมกล่าวว่า “ฉันไม่กลัว ฉันไล่ตามเสาะหาความจริง”  เจ้าตกอยู่ในมือมารตนหนึ่งไปแล้ว และเขาก็เกลียดพระเจ้า ท้าทายพระเจ้า ใช้ทุกวิถีทางมาก่อกวนการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า—เจ้าสามารถเอาชนะเรื่องนี้ได้หรือไม่?  วุฒิภาวะและความเชื่อของเจ้าที่มีอยู่น้อยนิดย่อมจะไม่สามารถทนรับการทรมานจากเขาได้ ผ่านไปไม่กี่วัน เจ้าย่อมจะถูกทรมานเสียจนต้องร้องขอความกรุณาและไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าต่อไปได้  เจ้าย่อมสูญสิ้นความไว้วางใจในพระเจ้า ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าย่อมเต็มไปด้วยการโต้แย้งไปมาอยู่เช่นนี้  เหมือนถูกโยนเข้าเครื่องบดเนื้อและฉีกแยกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือสภาพเสมือนมนุษย์ จมปลักอย่างสิ้นเชิง จนในที่สุดเจ้าย่อมไม่แคล้วมีชะตากรรมเดียวกันกับมารที่เจ้าแต่งงานด้วย แล้วชีวิตของเจ้าก็ย่อมจะจบสิ้น

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงหลักเกณฑ์สองข้อในการวินิจฉัยว่าใครสักคนสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตนในชีวิตสมรสได้หรือไม่  พวกเจ้าจำได้หรือไม่ว่ามีอะไรบ้าง?  (จำได้)  หลักเกณฑ์สองข้อนี้เกี่ยวพันกับคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คน  หลักเกณฑ์ข้อหนึ่งคือการดูว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเอาจริงเอาจังและรับผิดชอบหรือไม่ พวกเขาสามารถปกป้องงานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่  เจ้าอาจจะไม่สามารถวินิจฉัยคนบางคนได้อย่างชัดแจ้งด้วยการมองดูพวกเขาเท่านั้น พวกเขาอาจจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนและปกป้องงานของคริสตจักรได้เพื่อที่จะไล่ตามไขว่คว้าสถานะหรือในยามที่พวกเขามีสถานะ แต่พวกเขาจะเป็นเช่นไรเมื่อไม่มีสถานะอีกต่อไป นั่นคือสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้เห็นอย่างชัดแจ้ง  ถึงตรงนี้ก็ย่อมไม่มีทางที่เจ้าจะสามารถวินิจฉัยพวกเขาได้อย่างถูกต้อง  อย่างไรก็ดี เมื่อเจ้ามองเห็นพวกเขาโวยวาย สาปแช่งพระเจ้า และหมิ่นประมาทพระเจ้าเวลาพวกเขาสูญเสียสถานะของตน กล่าวว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม นั่นคือยามที่เจ้าจะมีวิจารณญาณในตัวพวกเขา และจะคิดว่า “คนคนนี้ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย  โชคดีที่เขาแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาให้เห็นทันเวลา  ถ้าเขาไม่แสดงให้เห็น ฉันคงจะเลือกเขาเป็นคู่สมรสไปแล้ว”  เจ้าดูเอาเถิด หลักเกณฑ์อีกข้อสำหรับการเลือกคู่ครอง—ว่าพวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่—ก็เป็นกุญแจสำคัญ  ถ้าเจ้าวินิจฉัยและประเมินผู้คนโดยใช้หลักเกณฑ์นี้ เช่นนั้นแล้วก็จะช่วยให้เจ้าพ้นจากฝันร้ายของชีวิตสมรส  หลักเกณฑ์ในการเลือกคู่ครองสองข้อนี้สำคัญหรือไม่?  (สำคัญ)  พวกเจ้าเข้าใจหลักเกณฑ์สองข้อนี้หรือไม่?  (เข้าใจ)  จงดูเถิดว่าผู้หญิงบางคนก็รักเงินทองเสียเหลือเกิน  พอพวกเธอเริ่มคบหาผู้ชาย พวกเธอก็ทำตัวอ่อนโยนและมีเหตุผลมาก ฝ่ายชายจึงคิดว่า “ผู้หญิงคนนี้น่ารัก!  เธอเหมือนนกน้อย นั่งอิงฉันทั้งวันและติดหนึบกับฉันเป็นตังเม  เป็นผู้หญิงแบบที่ผู้ชายฝันถึงและไล่ตามไขว่คว้าจริงๆ  ผู้ชายก็อยากจะได้ผู้หญิงแบบนี้ คนที่พูดจาอ่อนโยน พึ่งพิงผู้ชายของตน และทำให้ผู้ชายของเธอรู้สึกว่าเป็นที่ต้องการอย่างแท้จริง  ถ้ามีผู้หญิงแบบนี้คอยตามติดและอยู่เคียงข้างฉัน ชีวิตย่อมจะมีความสุขมาก”  ดังนั้นทั้งสองจึงแต่งงานกัน แต่แล้วเขาก็มองเห็นว่าเธอเชื่อในพระเจ้า แต่กลับไม่พยายามไล่ตามเสาะหาความจริงเท่าใดนัก  เมื่อใดก็ตามที่เขาเอ่ยถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเธอ เธอก็บอกว่าเธอไม่มีเวลา หาข้ออ้างและพูดอยู่เสมอว่าตนเหนื่อย แล้วเธอก็ไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์อะไร  เวลาอยู่บ้าน เธอไม่ทำอาหารหรือทำความสะอาด เอาแต่ดูโทรทัศน์ตลอดเวลา พอเห็นใครซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม หรือเห็นครอบครัวของใครอาศัยอยู่ในแมนชั่นหรูและซื้อรถราคาแพง เธอก็ตั้งข้อสังเกตว่าผู้ชายบ้านนั้นต้องมีความสามารถมาก เธอมักจะใช้จ่ายสุร่ยสุร่าย และเมื่อใดก็ตามที่เธอไปร้านทอง ร้านขายเครื่องประดับ หรือร้านขายสินค้าหรูหรา เธอก็อยากใช้เงินซื้อของสวยๆ อยู่เสมอ  เจ้าย่อมไม่เข้าใจและคิดว่า “เธอเคยเป็นคนน่ารักมาก  มากลับกลายเป็นผู้หญิงแบบนี้ได้อย่างไร?”  เจ้าเห็นหรือไม่?  เธอเปลี่ยนไปแล้วใช่ไหม?  ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเจ้าคบหากันอยู่ เธอสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนและทนทุกข์ได้บ้าง แต่นั่นเป็นเรื่องภายนอกทั้งสิ้น  คราวนี้พอพวกเจ้าแต่งงานกัน เธอกลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว  เธอมองเห็นว่าเจ้าไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางวัตถุให้เธอได้และเริ่มตำหนิเจ้าว่า “ทำไมคุณไม่ออกไปหาเงิน?  การเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของคุณมีประโยชน์อะไร?  การเชื่อในพระเจ้าทำให้มีกินได้หรือ?  การเชื่อในพระเจ้าทำให้คุณร่ำรวยได้หรือ?”  เธอถึงกับกล่าวสิ่งที่ผู้ไม่เชื่อย่อมจะพูดออกมา—แท้จริงแล้วผู้หญิงคนนี้เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  เธอไม่เคยอยากปฏิบัติหน้าที่ของตน ไม่เห็นความสำคัญของความเชื่อในพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริง หรือการเสาะแสวงที่จะได้รับความรอด จนกระทั่งในที่สุดเธอก็ถึงกับกล่าวสิ่งที่เป็นกบฏอย่างยิ่งและไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย  ดังนั้น ผู้หญิงคนนี้คิดถึงอะไรอยู่ตลอดเวลา?  (อาหาร เสื้อผ้า และความสนุก)  เธอคิดถึงแต่เรื่องเงินและความสุขทางกายเท่านั้น  เธอคือคนทางโลกที่รักเงิน  ถ้าเจ้าแต่งงานกับเธอและเธอขัดขวางความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า ยุให้เจ้าเลิกทำหน้าที่ของตนและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ทางโลก เจ้าจะทำอย่างไร?  เจ้ายังอยากไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความรอด แต่ถ้าเจ้าทำตามเธอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถได้รับความรอด  ถ้าเจ้าไม่ทำตามเธอ เธอก็จะโต้เถียงกับเจ้าและหย่ากับเจ้า  แล้วพอหย่ากันแล้ว เจ้าก็จะใช้ชีวิตตัวคนเดียว ไม่มีคู่—เจ้าจะผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้หรือไม่?  ถ้าเจ้าไม่เคยมีคู่มาก่อน เช่นนั้นแล้ว นั่นก็ย่อมจะไม่เป็นไร แต่นี่เจ้าอยู่กับคู่ครองของตนมาหลายปีและเคยชินกับการใช้ชีวิตร่วมกับเธอ  จู่ๆ เจ้าก็พบว่าตนเองกลายเป็นคนหย่าร้าง ไม่มีคู่อีกต่อไป—เจ้าจะเอาชนะเรื่องนี้ได้หรือ?  ไม่ง่ายที่จะเอาชนะใช่ไหม?  ไม่ว่าจะในแง่ของความต้องการในชีวิตของเจ้า ความต้องการทางอารมณ์ หรือโลกฝ่ายวิญญาณภายในตัวเจ้า เจ้าก็ไม่อาจเอาชนะได้  วิธีการใช้ชีวิตของเจ้าเปลี่ยนจากที่เคยเป็นไปอีกทางหนึ่ง รูปแบบ จังหวะ และวิถีชีวิตที่เจ้าเคยมีกลับยุ่งเหยิงไปหมด  เจ้าผ่านชีวิตแต่งงานแบบใดมา?  ชีวิตสมรสครั้งนี้ให้อะไรแก่เจ้า?  ความสุขหรือความวิบัติ?  (ความวิบัติ)  ย่อมนำความวิบัติมาให้  เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าไม่รู้วิธีวินิจฉัยผู้คนและเจ้าประเมินผู้คนโดยไม่อิงตามหลักธรรมที่ถูกต้องและพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่คบหาใครตามใจชอบ หรือคิด หรือวางแผนที่จะคบหา แต่งงาน หรือเข้าสู่ชีวิตสมรส  นั่นเป็นเพราะทุกวันนี้มีการจูงใจผู้คนโดยกระแสนิยมอันชั่วของโลกนี้มากเกินไป และทุกคนก็เผชิญการทดลองมากมายสารพัดรูปแบบในชีวิต ไม่มีใครเอาชนะการทดลองเหล่านี้ได้ และต่อให้เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็จะพบว่าการทดลองเหล่านี้ยากที่จะเอาชนะอยู่ดี  ถ้าเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง บรรลุความเข้าใจในความจริง และได้รับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถเอาชนะการทดลองได้  อย่างไรก็ดี ก่อนที่เจ้าจะเข้าใจและได้รับความจริง การทดลองย่อมจะลองใจเจ้าอยู่เสมอ และเป็นอันตรายต่อเจ้าอยู่ตลอดเวลา  ยิ่งไปกว่านั้นยังมีปัญหาที่สำคัญยิ่งสำหรับพวกเจ้า นั่นคือ พวกเจ้าไม่รู้วิธีวินิจฉัยผู้คน และไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของผู้คนได้อย่างชัดเจน—นี่คือปัญหาที่สำคัญที่สุด  วิธีวินิจฉัยเพียงอย่างเดียวที่พวกเจ้ารู้จักคืออะไร?  ผู้ชายรู้จักแต่การดูว่าผู้หญิงสวยน่ารักหรือไม่ จบมหาวิทยาลัยหรือไม่ ครอบครัวรวยหรือเปล่า เธอแต่งตัวสวยเป็นหรือไม่ รู้จักทำตัวโรแมนติกหรือเปล่า และแสดงความรักเป็นหรือไม่  เมื่อลงรายละเอียดมากขึ้น ผู้ชายก็จะสามารถรู้ได้ว่าผู้หญิงจะเป็นภรรยาและแม่ที่ดีหรือไม่ ในอนาคตจะสามารถสอนลูกๆ ของพวกตนได้ดีหรือไม่ และจะดูแลจัดการบ้านได้หรือไม่  โดยมากแล้วนี่คือสิ่งที่ผู้ชายรู้ว่าจะวินิจฉัยอย่างไร  แล้วผู้หญิงจะสามารถวินิจฉัยเรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้ชายได้บ้าง?  พวกเธอสามารถวินิจฉัยได้ว่าผู้ชายรู้จักทำตัวโรแมนติกหรือไม่ มีความสามารถหรือไม่ เขาหาเงินเข้าบ้านหรือเปล่า โชคชะตากำหนดให้เขารวยหรือจน และเขาใช้เล่ห์กลเพื่อให้ไปกันได้กับโลกหรือไม่  ถ้าดีกว่านั้นอีก ผู้หญิงย่อมจะสามารถวินิจฉัยได้ว่าผู้ชายทนทุกข์ได้หรือไม่ เขาสามารถบริหารจัดการครอบครัวได้ดีหรือไม่ ตัวเธอเองจะสามารถกินดีและแต่งตัวสวยหรือไม่ถ้าเลือกเขาเป็นคู่ พื้นฐานครอบครัวของเขาเป็นอย่างไร ครอบครัวของเขามีฐานะดีหรือไม่ มีบ้าน รถ และธุรกิจของตนเองหรือไม่ ทำธุรกิจหรือเป็นเกษตรกร หรือผู้ใช้แรงงาน รูปการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันของครอบครัวของเขาเป็นอย่างไร และพ่อแม่ของเขาแบ่งเงินไว้ให้เขาจัดงานแต่งงานหรือไม่  โดยมากแล้วนี่คือสิ่งที่ผู้หญิงหาทางที่จะรู้  ส่วนแก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้มีศักยภาพที่จะตามจีบนั้นเป็นเช่นไร หรือพวกเขาจะเลือกอะไรบ้างบนเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้า พวกเจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนหรือไม่?  (ไม่สามารถ)  กล่าวให้แน่ชัดลงไปก็คือ คนคนนี้สามารถเดินไปบนเส้นทางของศัตรูพระคริสต์หรือไม่?  เขาเลวหรือไม่?  เมื่อดูตามข้อสรุปที่ได้จากการพรั่งพรูและการแสดงออกถึงคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาแล้ว เขาเป็นคนที่แสวงหาความจริงหรือคนที่เอือมระอาความจริง?  เขาสามารถเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  เขาสามารถได้รับความรอดหรือไม่?  และถ้าเจ้าแต่งงานกับเขา พวกเจ้าทั้งสองจะสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรในฐานะสามีภรรยาหรือไม่?  เจ้าไม่อาจมองเห็นเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจนได้ใช่หรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “ทำไมพวกเราถึงต้องมองเห็นเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจนด้วย?  มีคู่สมรสมากมายในโลก  พวกเขาเองก็ไม่อาจมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนเช่นกัน แต่พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไปได้ไม่ใช่หรือ?”  ผู้คนมากมายไม่ได้มองชีวิตแต่งงานให้ชัดแจ้ง  ถ้าเจ้าพบเจอคนดีที่ใช้ชีวิตเป็นอย่างดี เป็นคนที่เจ้าสามารถใช้ชีวิตด้วยได้โดยไม่มีเรื่องเสียใจใหญ่โตหรือไม่มีความลุ่มๆ ดอนๆ ไม่มีความทุกข์ใหญ่โตอะไร เช่นนั้นแล้วนี่ก็ถือได้ว่าเป็นชีวิตที่ดีและเป็นชีวิตแต่งงานที่ดี  อย่างไรก็ตาม บางคนไม่ได้มองผู้อื่นให้ชัดเจน และมุ่งเน้นแต่เรื่องว่าอีกฝ่ายมีรูปลักษณ์อย่างไรและมีสถานะเช่นไร  พวกเขาได้รับแต่คำหวาน และต่อเมื่อแต่งงานไปแล้ว พวกเขาจึงพบว่าคู่ครองของตนเป็นคนเลว เป็นมาร และทุกวันที่หมดไปกับการใช้ชีวิตกับคนแบบนั้นก็เหมือนนานเป็นปี  ผู้หญิงมักจะเสียน้ำตา ขณะที่ผู้ชายก็ถูกหลอกมากมายและตกเป็นเหยื่อเช่นกัน ส่งผลให้หย่าร้างในเวลาไม่กี่ปีให้หลัง  คู่สมรสบางคู่หย่าร้างกันตอนที่ลูกๆ ของพวกเขาอายุสามสี่ขวบหรือเป็นวัยรุ่น บ้างก็ถึงกับมีหลานแล้วตอนที่พบว่าพวกตนไม่อาจทนใช้ชีวิตด้วยกันได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงหย่าขาดจากกัน  ท้ายที่สุดแล้วผู้คนเหล่านี้กล่าวว่าอย่างไร?  “การแต่งงานคือหลุมฝังศพ” และ “การแต่งงานคือเตาเผาศพ”  แล้วเป็นความผิดในส่วนของผู้หญิงหรือผู้ชายที่ทำให้เกิดผลเช่นนี้?  ทั้งสองฝ่ายต่างก็ผิดพลาด และต่างก็ไม่มีฝ่ายใดดี  พวกเขาไม่รู้ว่าธรรมชาติของการแต่งงานหรือชีวิตแต่งงานเป็นเช่นไร  ธรรมชาติของการแต่งงานคือการรับผิดชอบซึ่งกันและกัน การเข้าสู่ชีวิตจริงและเกื้อหนุนกัน  นี่ขึ้นอยู่กับสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ[ก]ของทั้งสองฝ่าย เพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขและมั่นคงไปถึงวัยชราและอยู่กันไปจวบจนวาระสุดท้าย  แล้วธรรมชาติของชีวิตสมรสเป็นอย่างไร?  นี่ขึ้นอยู่กับสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ[ข]ของทั้งสองฝ่าย และมีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะดำรงชีวิตกันอย่างสันติ ลงตัว และมีความสุข  ทั้งสองฝ่ายต้องรับผิดชอบซึ่งกันและกัน และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถจูงมือใช้ชีวิตผ่านวัยชราไปจนถึงวาระสุดท้ายด้วยกันได้ในที่สุด  อย่างไรก็ดี นั่นไม่ใช่การเข้าสู่ราชอาณาจักร การที่คู่สมรสจะเข้าสู่ราชอาณาจักรด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่าย  สำหรับคู่แต่งงานแล้ว ต่อให้พวกเขาไม่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักร อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ต้องมีมโนธรรมและเหตุผล พร้อมทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ได้มาตรฐาน จึงจะจูงมือใช้ชีวิตผ่านวัยชราไปด้วยกันจนถึงวาระสุดท้ายในที่สุด  ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  การสามัคคีธรรมแบบนี้ทำให้พวกเจ้ามีความเชื่อในการแต่งงานมากขึ้นหรือน้อยลง หรือว่าทำให้พวกเจ้ามีท่าทีและทัศนะที่ถูกต้อง?  (ทำให้พวกเรามีท่าทีและทัศนะที่ถูกต้อง)  การสามัคคีธรรมแบบนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการมีความเชื่อมากขึ้นหรือน้อยลงใช่ไหม?  เราพูดถึงการปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงาน ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าล้มเลิกหรือปฏิเสธการแต่งงาน แต่เพื่อให้เจ้าใช้แนวทางที่ถูกต้องและมีเหตุผลในเรื่องนี้  กล่าวให้แน่ชัดขึ้นก็คือ เพื่อให้เจ้าสามารถคิดคำนึง จัดการ และแก้ไขเรื่องนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า  ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าเลิกคิดเรื่องการแต่งงานอย่างสิ้นเชิง—การไม่คิดไม่เหมือนกับการปล่อยมือ  การปล่อยมือที่แท้จริงหมายถึงการมีความคิดอ่านและทัศนะที่ถูกต้องและแม่นยำ  ทั้งนี้ ด้วยการสามัคคีธรรมเช่นนี้ พวกเจ้าย่อมปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ ที่พวกเจ้ามีต่อการแต่งงานบ้างแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนนี้พวกเจ้ากลัวการแต่งงานมากขึ้น หรือถวิลหาการแต่งงานมากขึ้น?  แท้จริงแล้วไม่ใช่ทั้งสองอย่าง  ไม่จำเป็นต้องกลัวหรือถวิลหามากขนาดนั้น  ถ้าตอนนี้เจ้าเป็นโสดและกล่าวว่า “ฉันอยากไล่ตามเสาะหาความจริงและสละตนเพื่อพระเจ้า  ตอนนี้ฉันไม่คิดเรื่องการแต่งงาน และไม่มีแผนที่จะแต่งงาน ดังนั้นฉันก็จะปล่อยให้การแต่งงานเป็นพื้นที่ว่างในหัวใจ ฉันจะปล่อยให้เป็นหน้ากระดาษว่างๆ” ทัศนะนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง พระเจ้าสามัคคีธรรมความจริงเรื่องนี้ให้พวกเราฟังเพราะพวกเราจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความจริงข้อนี้ ทำความเข้าใจ และนำความจริงเรื่องนี้ไปปฏิบัติ  พวกเราควรทำตามที่พระเจ้าตรัสไว้อีกด้วย มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  ไม่ว่าตอนนี้พวกเราจะคิดเรื่องการแต่งงานอยู่หรือไม่ก็ตาม พวกเราก็ยังคงต้องทำความเข้าใจความจริงในเรื่องนี้ และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเราจะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้)  ความเข้าใจนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)

ตอนนี้มีใครพูดหรือไม่ว่า “พวกเราเป็นโสด และโลกของผู้ไม่เชื่อก็บอกว่าการเป็นโสดนี้ประเสริฐ ดังนั้นพวกเราย่อมพูดได้ไม่ใช่หรือว่าในพระนิเวศของพระเจ้า คนโสดย่อมบริสุทธิ์และคนที่แต่งงานแล้วมีมลทิน?”  มีใครพูดจาแบบนี้บ้างหรือไม่?  มีคนที่แต่งงานแล้วบางคนมีแนวคิดที่ผิดอยู่เสมอในความเข้าใจที่พวกเขามีต่อการแต่งงาน  พวกเขาเชื่อไปว่าความคิดหลังการแต่งงานของตนไม่บริสุทธิ์ หรือเรียบง่าย หรือสะอาดอย่างเมื่อก่อน หลังแต่งงานแล้ว ความคิดอ่านของตนเริ่มซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาคิดว่าคนที่แต่งงานแล้วย่อมมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามและไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป  ดังนั้นหลังจากยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาจึงบอกคู่ของตนอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ฉันยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว และจากวันนี้ไป ฉันต้องไล่ตามเสาะหาความบริสุทธิ์  ฉันจะนอนกับเธอไม่ได้อีกแล้ว  เธอต้องนอนคนเดียว และฉันต้องไปนอนอีกห้องหนึ่ง”  นับแต่นั้นมาพวกเขาก็แยกกันนอนและคู่ของพวกเขาก็ต้องนอนคนเดียว แต่พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน  ผู้คนแบบนี้ไล่ตามเสาะหาอะไร?  พวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาความบริสุทธิ์อย่างหนึ่งของเนื้อหนัง  นี่คือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแต่งงานมิใช่หรือ?  (ใช่)  ความเข้าใจผิดแบบนี้แก้ไขง่ายหรือไม่?  มีคนที่แต่งงานแล้วบางคนเชื่อว่าตนไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปหลังจากที่มีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามแล้ว  ความนัยที่แฝงอยู่ในที่นี้ก็คือ ถ้าพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ถ้าพวกเขาผละจากชีวิตแต่งงานและหย่าร้าง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะกลับมาบริสุทธิ์  ถ้าผู้คนบริสุทธิ์กันแบบนั้น นั่นย่อมหมายความว่าคนที่ยังไม่แต่งงานก็ยิ่งบริสุทธิ์มากกว่าอีกมิใช่หรือ?  เมื่อมีความเข้าใจที่บิดเบือนอย่างนั้น ทางเลือกหรือการกระทำของผู้คนจึงทำให้คู่ครองของตนงงงันและโกรธเคือง  สามีหรือภรรยาที่ไม่เชื่อบางคนจึงเกิดความเข้าใจผิดและชิงชังความเชื่อ และมีบางคนที่ถึงกับพูดจาหมิ่นประมาทพระเจ้า  จงบอกเราเถิดว่าสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ทำในการไล่ตามเสาะหา “ความบริสุทธิ์” นี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  ก่อนอื่นการคิดอ่านของพวกเขามีปัญหา  เป็นปัญหาเรื่องใด?  (พวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าผิด)  ข้อแรก ทัศนะที่พวกเขามีต่อการแต่งงานนั้นบิดเบือน ข้อสอง คำนิยามและความเข้าใจที่พวกเขามีในเรื่องของความบริสุทธิ์และมลทินนั้นบิดเบือน  พวกเขาเชื่อว่าการไม่มีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามทำให้ตนบริสุทธิ์ เมื่อเป็นเช่นนั้นมลทินคืออะไร?  ความบริสุทธิ์คืออะไร?  ความบริสุทธิ์หมายถึงการไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามใช่หรือไม่?  เมื่อใครสักคนได้รับความจริงและอุปนิสัยของพวกเขาเปลี่ยนแปลง เมื่อนั้นพวกเขาย่อมไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอีกต่อไป  คนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามไร้ซึ่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามกระนั้นหรือ?  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อพวกเขามีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามกระนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  ชัดเจนว่าความเข้าใจเช่นนี้ผิด  เมื่อเจ้าแต่งงานและมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้แย่ลง แต่ยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้น  ถ้าเจ้าไม่แต่งงานและไม่มีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม เจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบ้างหรือไม่?  เจ้าย่อมมีมากมาย  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ไม่ว่าบุคคลดังกล่าวจะมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือไม่ก็ไม่ได้วัดกันที่สถานภาพการสมรส ว่าพวกเขาแต่งงานหรือเคยมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามหรือไม่  เหตุใดผู้คนที่คิดและทำตัวเช่นนี้จึงมีแนวคิดผิดๆ แบบนี้เกี่ยวกับการแต่งงาน?  เหตุใดพวกเขาจึงทำตัวแบบนี้?  นี่คือปัญหาที่ควรแก้มิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเจ้าแก้ได้หรือไม่?  ใครคนหนึ่งแค่ต้องไปมาหาสู่กับเพศตรงข้ามและมีความสัมพันธ์กับพวกเขาเท่านั้น จากนั้นคนเหล่านั้นย่อมมีมลทินและเสื่อมทรามอย่างสิ้นเชิง—เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้าเป็นแบบนั้น เช่นนั้นแล้วการที่พระเจ้าทรงลิขิตความเป็นหนึ่งเดียวกันของชายและหญิงก็จะกลายเป็นความผิดพลาด  แล้วพวกเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร?  ต้นตอของปัญหานี้คืออะไร?  ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการชำแหละและทำความเข้าใจต้นตอของมัน  พวกเจ้าเองก็มีทัศนะเช่นนี้ด้วยมิใช่หรือ?  ทุกคนไม่ว่าจะแต่งงานหรือยังไม่แต่งงานย่อมมีทัศนะเช่นนี้ต่อการแต่งงานมิใช่หรือ?  (ใช่)  เรารู้ว่าพวกเจ้าไม่อาจหนีพ้นปัญหานี้ได้  ดังนั้น ต้นตอของทัศนะเช่นนี้คืออะไร?  (ผู้คนไม่ชัดเจนว่าความบริสุทธิ์คืออะไรและมลทินคืออะไร)  แล้วการที่ผู้คนไม่รู้ว่าความบริสุทธิ์คืออะไรและมลทินคืออะไรนี้มีต้นตอจากไหน?  (ผู้คนไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริงได้อย่างถ่องแท้)  แง่มุมใดในพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้?  (ว่าการแต่งงานคือสิ่งที่ผู้คนควรมีประสบการณ์ด้วยตามปกติในชีวิตและเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้อีกด้วย แต่ผู้คนก็เชื่อมโยงการแต่งงานและการมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามเข้ากับเรื่องที่ว่าตนบริสุทธิ์หรือไม่ ทั้งที่แท้จริงแล้วการเป็นคนบริสุทธิ์หมายถึงคนที่ไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และไม่เกี่ยวอะไรกับการที่พวกเขาแต่งงานหรือไม่  ตัวอย่างเช่น แม่ชีในโบสถ์คาทอลิก  ถ้าชีเหล่านั้นไม่ยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าและไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้ว แม้จะไม่แต่งงานไปตลอดชีวิต ก็ไม่อาจกล่าวได้อยู่ดีว่าบริสุทธิ์ เพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามยังไม่ได้รับการแก้ไข)  นี่อธิบายเรื่องราวได้ชัดแจ้งหรือไม่?  ข้อแตกต่างระหว่างความบริสุทธิ์และมลทินอยู่ที่การแต่งงานหรือไม่แต่งงานใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ไม่ใช่ และมีข้อพิสูจน์เรื่องนี้ที่จับต้องได้อยู่  ตัวอย่างเช่น คนที่บกพร่องทางสติปัญญา คนที่เป็นโรคเอ๋อ ผู้ป่วยทางจิต แม่ชีคาทอลิก แม่ชีพุทธ และสงฆ์พุทธต่างก็ไม่ได้แต่งงาน แต่พวกเขาบริสุทธิ์หรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนที่บกพร่องทางสติปัญญา คนที่เป็นโรคเอ๋อ และคนที่ป่วยทางจิตย่อมไม่มีสำนึกรับรู้ที่ปกติ พวกเขาไม่สามารถแต่งงานได้ ไม่มีชายคนใดในหมู่พวกเขาที่มองหาภรรยา และไม่มีหญิงคนใดในหมู่พวกเขาที่มองหาสามี แล้วพวกเขาก็ไม่ได้บริสุทธิ์  แม่ชีคาทอลิก แม่ชีพุทธ และสงฆ์พุทธ รวมทั้งกลุ่มคนพิเศษบางกลุ่ม ก็ไม่ได้แต่งงาน และพวกเขาก็ไม่ได้บริสุทธิ์เช่นกัน  คำว่า “ไม่บริสุทธิ์” หมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าพวกเขามีมลทิน  คำว่า “มีมลทิน” หมายความว่าอย่างไร?  (พวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม)  ถูกต้อง หมายความว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ผู้คนที่ไม่ได้แต่งงานทั้งหมดนี้มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและไม่มีพวกเขาคนใดบริสุทธิ์  แล้วคนที่แต่งงานเป็นเช่นไร?  แก่นแท้ของคนที่แต่งงานกับคนที่ไม่ได้แต่งงานมีความแตกต่างกันหรือไม่?  (ไม่มี)  ในแง่ของแก่นแท้ย่อมไม่มีความแตกต่างระหว่างคนสองกลุ่มนี้  เมื่อกล่าวว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างคนสองกลุ่มนี้ เราหมายความว่าอย่างไร?  (พวกเขาทุกคนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามทั้งสิ้น)  ถูกต้อง พวกเขาทุกคนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามกันทุกคน  พวกเขาไม่สามารถนบนอบพระเจ้าหรือความจริง และพวกเขาก็ไม่สามารถเดินตามเส้นทางที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  พวกเขาไม่ได้รับการชมเชยจากพระเจ้า ไม่ได้รับการช่วยให้รอด และพวกเขาก็มีมลทินกันทั้งสิ้น  ดังนั้น การที่ใครจะบริสุทธิ์หรือมีมลทินจึงประเมินตามการที่ว่าพวกเขาแต่งงานหรือยังไม่แต่งงานไม่ได้  เมื่อเป็นดังนี้ เหตุใดผู้คนจึงมีแนวคิดผิดๆ แบบนี้เกี่ยวกับการแต่งงาน เชื่อไปว่าผู้คนที่แต่งงานแล้วย่อมไม่บริสุทธิ์และมีมลทิน?  แนวคิดผิดๆ แบบนี้เน้นไปที่เรื่องใด?  (ทัศนะที่พวกเขามีต่อการแต่งงานนั้นบิดเบือน)  เป็นเพราะทัศนะที่พวกเขามีต่อการแต่งงานและชีวิตสมรสนั้นบิดเบือน หรือเป็นเพราะว่าทัศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งอื่นบิดเบือน?  มีใครอธิบายเรื่องนี้ได้ชัดเจนบ้าง?  ตามที่พวกเราเคยพูดกันไว้ ท้ายที่สุดแล้วการแต่งงานย่อมจะกลับมาสู่ชีวิตจริง  ดังนั้น ชีวิตสมรสใช่ต้นตอของสิ่งที่ผู้คนเชื่อว่ามีมลทินหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่ไม่ใช่ต้นตอของสิ่งที่ผู้คนเชื่อว่ามีมลทิน  ต้นตอของสิ่งที่ผู้คนเชื่อว่ามีมลทินในความคิดของผู้คนนั้น อันที่จริงพวกเขารู้อยู่ในความรู้สึกนึกคิดและในส่วนลึกของหัวใจว่าเป็นความต้องการทางเพศของตน และแนวคิดที่ผิดก็อยู่ตรงนี้  การนิยามและแยกแยะว่าคนคนหนึ่งบริสุทธิ์หรือมีมลทินโดยดูว่าพวกเขาแต่งงานหรือยังไม่แต่งงานนั้นเป็นความเข้าใจผิดและเป็นความเห็นผิด แล้วต้นตอของเรื่องนี้ก็อยู่ที่ความเข้าใจที่ผิดพลาดและไม่ถูกต้อง ซึ่งผู้คนมีต่อความต้องการทางเพศของเนื้อหนัง  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าความเข้าใจแบบนี้ผิดพลาด?  ผู้คนเชื่อว่าเมื่อตนรู้สึกมีความต้องการทางเพศและแต่งงาน แล้วจากนั้นก็มีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม และเมื่อมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามแล้ว เมื่อนั้นพวกเขาย่อมเริ่มใช้ชีวิตอย่างที่เรียกกันว่าเป็นความต้องการทางเพศของเนื้อหนัง และเมื่อนั้นพวกเขาย่อมมีมลทิน  นี่คือสิ่งที่พวกเขาเชื่อมิใช่หรือ?  (ใช่)

ดังนั้น พวกเรามาเสวนากันเถิดว่าแท้จริงแล้วความต้องการทางเพศคืออะไร  ตราบใดที่เจ้าเข้าใจเรื่องนี้อย่างถูกต้อง มีการทำความเข้าใจและเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แม่นยำ และเป็นไปตามความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไขปัญหาและคลี่คลายความเห็นผิดเรื่องมลทินและความบริสุทธิ์นี้ได้  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  เมื่อผู้คนแต่งงาน ความต้องการทางเพศของพวกเขาย่อมได้รับการตอบสนองและพวกเขาก็ได้แสดงความต้องการทางเพศและทางกายของตนออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงนึกว่า “คนที่แต่งงานแล้วอย่างพวกเราไม่บริสุทธิ์ พวกเรามีมลทิน  หนุ่มสาวที่ยังโสดนั้นบริสุทธิ์”  เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความเข้าใจที่บิดเบือน ซึ่งเกิดจากการไม่รู้จริงว่าความต้องการทางเพศคืออะไร  คราวนี้พวกเรามาดูมนุษย์คนแรกสุดกันเถิดว่า อาดัมมีความต้องการทางเพศหรือไม่?  มวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมามีความคิด มีการใช้ภาษา การรับรู้ความรู้สึก รวมทั้งเจตจำนงเสรีและความต้องการทางอารมณ์  คำว่า “ความต้องการทางอารมณ์” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าผู้คนต้องการคู่ครองไว้เป็นเพื่อนและเกื้อหนุนตน มีคู่ไว้พูดคุยด้วย มีคนที่จะเอาใจใส่ ดูแล และชื่นชูตน—เหล่านี้คือความต้องการทางอารมณ์  ในอีกด้านหนึ่ง ผู้คนก็มีความต้องการทางเพศด้วย  การพูดเช่นนี้อิงหลักการอะไร?  ก็คือหลังจากที่พระเจ้าทรงสร้างอาดัมขึ้นมา พระเจ้าก็ตรัสว่าเขาจำเป็นต้องมีคู่ เป็นคู่ครองสำหรับความต้องการในชีวิตและความต้องการทางอารมณ์ของเขาโดยเฉพาะ  แต่ก็มีความต้องการอีกอย่างหนึ่งด้วยที่พระเจ้าตรัสถึง  พระเจ้าตรัสว่าอย่างไร?  ปฐมกาล บทที่ 2 ข้อ 24 ระบุว่า “เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน”  ความหมายของถ้อยคำเหล่านี้ชัดเจนยิ่ง พวกเราไม่จำเป็นต้องพูดออกมาตามตรงกันนัก  พวกเจ้าเข้าใจถ้อยคำเหล่านี้ใช่หรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าเมื่อพระเจ้าทรงสร้างอาดัมที่เป็นบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ขึ้นมา อาดัมก็มีความต้องการแบบนี้  แน่นอนว่านี่คือการตีความตามข้อเท็จจริง  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างเขาขึ้นมา เขามีอวัยวะรับความรู้สึกด้านนี้ มีภาวะและลักษณะทางสรีระเหล่านี้—นี่คือสถานการณ์ตามจริงของอาดัม บรรพบุรุษคนแรกของมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง และเป็นมนุษย์ที่มีเนื้อหนังคนแรก  เขามีการใช้ภาษา สามารถได้ยิน มองเห็นได้ รับรสได้ และมีอวัยวะรับรู้สัมผัสต่างๆ มีความต้องการทางอารมณ์ ความต้องการทางเพศ ความต้องการทางสรีระ และแน่นอนว่ามีเจตจำนงเสรีดังที่พวกเราเพิ่งพูดไป  สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วย่อมกอปรกันเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง  นี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือโครงสร้างทางสรีระของชาย  แล้วผู้หญิงเป็นเช่นไร?  พระเจ้าทรงสร้างโครงสร้างทางสรีระของผู้หญิงให้แตกต่างจากชาย และแน่นอนว่าทรงสร้างให้มีความต้องการทางเพศเช่นเดียวกับชาย  การกล่าวเช่นนี้มีหลักอะไร?  ในปฐมกาล บทที่ 3 ข้อ 16 พระเจ้าตรัสว่า “เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากมากขึ้นแก่เจ้า และเมื่อเจ้ามีครรภ์ เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด”  บุตรที่กล่าวถึงในคำว่า “คลอดบุตร” นี้มาจากไหน?  สมมุติว่ามีผู้หญิงที่ไม่มีความต้องการทางสรีระเช่นนี้ หรือกล่าวให้แน่ชัดลงไปก็คือ เธอไม่มีความต้องการทางเพศอย่างที่ผู้หญิงมี—เธอจะตั้งครรภ์ได้หรือไม่?  ไม่ได้ และนี่ก็ชัดเจนยิ่ง  แล้วคราวนี้เมื่อมองดูเชื้อสายทั้งสองของพระเจ้า ชายและหญิงที่พระเจ้าทรงสร้างต่างก็มีโครงสร้างทางสรีระที่แตกต่าง แต่ทั้งคู่ก็มีลักษณะทั่วไปทางสรีระที่เหมือนกันซึ่งก็คือความต้องการทางเพศ  เรื่องนี้ยืนยันได้ด้วยกิจการเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงกระทำและความนัยที่แฝงอยู่ในพระบัญชาที่ทรงมีต่อมนุษย์  มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างย่อมมีโครงสร้างทางสรีระและมีความต้องการตามโครงสร้างทางสรีระของตนด้วย  ดังนั้น ตอนนี้พวกเราควรมองเรื่องนี้อย่างไร?  สิ่งที่เรียกว่าความต้องการทางเพศนี้เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหนัง เหมือนอวัยวะอย่างหนึ่งของมนุษย์  ตัวอย่างเช่น เจ้ากินอาหารเช้าในเวลาหกโมงเช้า และพอเที่ยง อาหารทั้งหมดนั้นย่อมจะถูกย่อยไปแล้วไม่มากก็น้อยและกระเพาะอาหารของเจ้าก็ว่างเปล่า  กระเพาะอาหารย่อมสื่อสารเรื่องนี้ไปยังสมอง แล้วสมองก็บอกเจ้าว่า “ท้องว่างแล้ว ได้เวลากิน”  ความรู้สึกแบบนี้ในกระเพาะอาหารเป็นเช่นไร?  ย่อมให้ความรู้สึกว่างโหวงและไม่สบายท้องอยู่บ้าง และเจ้าก็อยากกินอะไรสักอย่าง  แล้วความรู้สึกอยากกินอะไรสักอย่างนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  นี่เป็นผลจากกระบวนการทำงานและเผาผลาญอาหารของระบบประสาททุกส่วนและอวัยวะต่างๆ ของเจ้า—เรื่องก็ง่ายเช่นนั้น  ความต้องการทางเพศมีธรรมชาติเหมือนอวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย อวัยวะทุกส่วนย่อมเชื่อมโยงกับระบบประสาท ซึ่งสั่งการไปยังอวัยวะต่างๆ ของเจ้า  ตัวอย่างเช่น จมูกของเจ้าได้กลิ่น และเมื่อจมูกได้กลิ่นเหม็น กลิ่นนี้ก็เข้าสู่ระบบประสาทของเจ้า แล้วระบบประสาทก็บอกสมองของเจ้าว่า “กลิ่นนี้เหม็น กลิ่นนี้ไม่ดี”  สมองก็ส่งสารนี้ให้เจ้า แล้วจากนั้นเจ้าก็ปิดจมูกหรือโบกมือแถวจมูกทันที—มีความเคลื่อนไหวเหล่านี้เกิดขึ้น  เจ้าดูเถิด ความเคลื่อนไหวและการกระทำเหล่านี้ ความรู้สึกและการตระหนักรู้เช่นนี้เกิดจากการสั่งการของอวัยวะบางอย่างและระบบประสาทในร่างกายของเจ้าทั้งสิ้น  ตัวอย่างเช่น เจ้าได้ยินเสียงแสบแก้วหูที่ดังมาก และหลังจากที่หูของเจ้าได้รับข้อมูลนี้ เจ้าก็รู้สึกไม่ดีหรือไม่ชอบ แล้วเจ้าก็ปิดหู  อันที่จริง ทั้งหมดที่หูของเจ้ารับรู้คือเสียงเท่านั้น เป็นข้อมูลชิ้นหนึ่ง แต่สมองกลับแยกแยะว่าเสียงนี้ดีต่อเจ้าหรือไม่  หากไม่มีผลต่อเจ้ามากนัก เจ้าก็เพียงแต่ได้ยินและแยกแยะเสียงนี้ แล้วจากนั้นเจ้าก็ไม่สนใจเสียงนี้เท่าใดนัก หากเสียงนี้ส่งผลเชิงลบต่อหัวใจหรือร่างกายของเจ้า สมองของเจ้าย่อมจะตระหนักรู้เรื่องนี้ แล้วจากนั้นก็บอกให้เจ้าปิดหูหรืออ้าปากกว้าง—การกระทำและความคิดทำนองนี้ย่อมจะเกิดขึ้น  ความต้องการทางเพศของมนุษย์ก็เหมือนกันเลยทีเดียว มีอวัยวะที่เกี่ยวข้องซึ่งคอยตัดสินและตีความต่างๆ กันภายใต้การควบคุมของเส้นประสาทที่เกี่ยวข้อง  ความต้องการทางเพศของมนุษย์เป็นสิ่งที่เรียบง่ายเช่นนี้เอง  นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในระดับเดียวกันและเสมอกับอวัยวะอื่นในร่างกายมนุษย์ แต่ก็มีลักษณะเฉพาะของตนเอง และนั่นคือสาเหตุที่ผู้คนย่อมจะมีแนวคิด ทัศนะ หรือความคิดอ่านต่างๆ นานาในเรื่องนี้อยู่เสมอ  ดังนั้น ด้วยการสามัคคีธรรมเช่นนี้ พวกเจ้าก็ควรที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องกันแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  ความต้องการทางเพศของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องล้ำลึก เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นและมีมาตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดแล้ว  และเพราะเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตและสร้างขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกลายเป็นเรื่องลบหรือสิ่งที่มีมลทินเพียงเพราะผู้คนมีความเข้าใจผิดและมโนคติอันหลงผิดสารพัดรูปแบบในเรื่องนี้  นี่ก็เหมือนกับอวัยวะรับรู้ความรู้สึกอื่นๆ ของมนุษย์ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ และถ้ามีอยู่ในการแต่งงานที่ถูกควรซึ่งจัดเตรียมและสถาปนาโดยพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมเป็นสิ่งที่มีเหตุผล  อย่างไรก็ดี ถ้าผู้คนลุ่มหลงในสิ่งนี้หรือใช้ในทางที่ผิด เช่นนั้นแล้วก็ย่อมกลายเป็นเรื่องลบ  แน่นอนว่าความต้องการทางเพศในตัวมันเองไม่ได้เป็นลบ แต่ผู้คนที่ใช้ความต้องการนี้หรือใช้ความคิดเหล่านั้นต่างหากที่เป็นลบ  ตัวอย่างเช่น ความรักสามเส้า ความสำส่อน การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ร่วมสายเลือด รวมทั้งการข่มขืนและการประทุษร้ายทางเพศ และอื่นๆ—สิ่งเหล่านี้ซึ่งเชื่อมโยงกับความต้องการทางเพศจึงกลายเป็นเรื่องลบและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความต้องการทางเพศดั้งเดิมของเนื้อหนังมนุษย์  ความต้องการทางเพศของเนื้อหนังก็เหมือนกับอวัยวะทางกายชิ้นหนึ่งตรงที่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา  อย่างไรก็ดี เป็นเพราะความชั่วและความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ เรื่องชั่วสารพัดอย่างที่สัมพันธ์กับความต้องการทางเพศจึงเกิดขึ้น และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับความต้องการทางเพศที่ถูกควรและปกติ—นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติสองอย่างที่ต่างกัน  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ความรักสามเส้า ความสัมพันธ์นอกสมรส รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ร่วมสายเลือดและการประทุษร้ายทางเพศ—ทั้งหมดนี้คือเรื่องชั่วที่เชื่อมโยงกับความต้องการทางเพศ ซึ่งเกิดขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งสิ้น  สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความต้องการทางเพศและการแต่งงานที่ถูกควร เป็นสิ่งที่มีมลทิน ไม่ถูกควร และไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก  คราวนี้พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)

ด้วยการสามัคคีธรรมแบบนี้ คราวนี้พวกเจ้าเข้าใจการกระทำและความเข้าใจที่บิดเบือนของคนที่แต่งงานแล้วได้อย่างชัดแจ้ง และแยกแยะเรื่องถูกผิดของพวกเขาได้แล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อพวกเจ้าพบเจอคนที่ใหม่ต่อความเชื่อ ซึ่งเอ่ยถามว่า “พวกเรายอมรับพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว ดังนั้นพวกเราที่เป็นคู่สมรสต้องแยกกันอยู่หรือเปล่า?” เจ้าจะตอบว่าอย่างไร?  (พวกข้าพระองค์จะบอกว่าไม่ต้อง)  เจ้าอาจถามพวกเขาว่า “ทำไมพวกคุณถึงต้องแยกกันอยู่?  พวกคุณทะเลาะกันหรือ?  พวกคุณคนหนึ่งกรนดังจนอีกฝ่ายนอนไม่หลับกระนั้นหรือ?  ถ้าเป็นอย่างนั้น นั่นก็เป็นปัญหาของคุณ และคุณจะแยกกันอยู่ก็ได้  ถ้าเป็นเพราะสาเหตุอื่น เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็น”  บางคนบอกว่า “พวกเราใช้ชีวิตด้วยกันในฐานะคู่สมรสมาเกือบจะสี่สิบปีแล้ว  พวกเราอายุมากแล้ว ลูกๆ ก็โตกันหมด ดังนั้นพวกเราควรนอนแยกเตียงกันไหม?  พวกเราไม่ควรนอนด้วยกันอีก ลูกๆ จะหัวเราะเยาะเอา  เราสองคนควรรักษาความซื่อตรงในวัยชรา”  การพูดเช่นนี้ใช้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ใช้ไม่ได้  พวกเขาอยากรักษาความซื่อตรงในวัยชรา นี่เป็นความซื่อตรงแบบใด?  พวกเขาทำอะไรอยู่ในตอนที่เป็นหนุ่มเป็นสาว?  พวกเขาเอาแต่เสแสร้งมิใช่หรือ?  ผู้คนแบบนี้น่ารังเกียจมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้าพบเจอคนแบบนี้ จงกล่าวแก่พวกเขาว่า “ในการเชื่อในพระเจ้า พวกเราไม่พูดอะไรอย่างนั้น แล้วพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่มีข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์แบบนั้น  เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะเรียนรู้เรื่องนี้เอง  คุณสามารถใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ตามที่คุณอยากทำ นั่นเป็นเรื่องของคุณ และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระเจ้าหรือการไล่ตามเสาะหาความจริง หรือการได้รับความรอด  คุณไม่จำเป็นต้องถามถึงเรื่องเหล่านี้ หรือพลีอุทิศอะไรเพื่อเรื่องเหล่านี้”  เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องราวก็ย่อมได้รับการแก้ไขมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญหาเรื่องความต้องการทางเพศของมนุษย์ย่อมได้รับการแก้ไข—อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดย่อมผ่านพ้นไปแล้ว  ด้วยการสามัคคีธรรมแบบนี้ พวกเจ้าทุกคนเข้าใจเรื่องนี้แจ่มแจ้งหรือไม่?  พวกเจ้ายังคิดอยู่อีกหรือไม่ว่าความต้องการทางเพศเป็นเรื่องที่ล้ำลึก?  (ไม่)  พวกเจ้ายังคงคิดหรือไม่ว่าความต้องการทางเพศเป็นเรื่องที่มีมลทินหรือสกปรก?  (ไม่)  ในเรื่องของความต้องการทางเพศ นี่ไม่ใช่เรื่องที่มีมลทินและไม่ได้สกปรก เป็นเรื่องที่ถูกควร  อย่างไรก็ดี ถ้าผู้คนเล่นกับความต้องการทางเพศ เช่นนั้นแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ถูกควรอีกต่อไป กลายเป็นคนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง  ไม่ว่าจะอย่างไร หลังจากการสามัคคีธรรมแบบนี้แล้ว เรื่องเพ้อฝันต่างๆ นานาที่ผู้คนมีเกี่ยวกับการแต่งงาน ทั้งที่เป็นไปตามจริงและไม่อยู่กับความเป็นจริง ย่อมมีทางคลี่คลายแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  หลังการสามัคคีธรรมถึงคำนิยามและแนวคิดเรื่องการแต่งงาน โดยทั่วไปแล้วความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้าย่อมจะปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่บิดเบี้ยว และบิดเบือนเกี่ยวกับการแต่งงานบ้างแล้ว  ส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวเจ้านั้น พวกเจ้าย่อมจะต้องค่อยๆ ระบุออกมา มีประสบการณ์กับมันและเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านทางการปฏิบัติด้วยตนเองในชีวิตจริง  แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้คนควรมีความเข้าใจและมุมมองที่ถูกต้องในเรื่องของการแต่งงาน—นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก  ไม่ว่าเจ้าจะวางแผนว่าจะแต่งงานในภายภาคหน้าหรือไม่ ท่าทีและมุมมองที่เจ้ามีต่อการแต่งงานย่อมจะมีอิทธิพลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า และนั่นคือสาเหตุที่เจ้าต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องนี้อย่างละเอียด และท้ายที่สุดก็มีมุมมองและความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องของการแต่งงาน ซึ่งอย่างน้อยที่สุดควรสอดคล้องกับความจริง  เมื่อพวกเราเสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมเรื่องนี้แล้ว ความรู้ของพวกเจ้าย่อมจะกว้างขวางขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเจ้าจะไม่ทำตัวเป็นเด็กและไม่คิดอะไรคับแคบเช่นนี้อีกต่อไป จริงไหม?  ในอนาคตเมื่อเจ้าพูดคุยเรื่องนี้กับผู้คน พวกเขาย่อมจะมองเห็นว่าเจ้าดูเด็ก แต่กลับมีความเข้าใจในเรื่องนี้ แล้วพวกเขาก็จะถามว่า “คุณแต่งงานมานานเท่าใดแล้ว?”  เจ้าก็จะตอบว่า “ฉันยังไม่ได้แต่งงาน”  พวกเขาก็จะถามว่า “แล้วทำไมคุณถึงมีความเข้าใจเรื่องการแต่งงานเหมือนผู้ใหญ่อย่างนี้ เหมือนความเข้าใจของคุณเป็นผู้ใหญ่กว่าคนที่โตแล้วด้วยซ้ำ?”  เจ้าก็จะตอบว่า “ฉันเข้าใจความจริง และมีหลักการอยู่ในความจริงที่ฉันเข้าใจนี้  ถ้าคุณไม่เชื่อ ฉันจะเอาพระคัมภีร์มาชี้ให้คุณดูสถานการณ์ตอนที่พระเจ้าทรงสร้างอาดัม แล้วคุณก็จะเห็นว่าสิ่งที่ฉันพูดถูกต้องหรือไม่”  ในที่สุดเจ้าย่อมทำให้พวกเขายอมเชื่อในหัวใจ และนั่นก็เป็นเพราะทุกสิ่งที่เจ้าพูดนั้นมาจากความเข้าใจและการจับใจความได้อย่างถ่องแท้ของเจ้า ไม่มีความคิดฝัน หรือมโนคติอันหลงผิด หรือทัศนะที่บิดเบือนของมนุษย์เข้ามาปลอมปนแต่อย่างใด—ทุกสิ่งที่เจ้าพูดล้วนสอดคล้องกับความจริงและพระวจนะของพระเจ้า

ตอนนี้เมื่อพวกเราเสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมถึงปัญหาเรื่องความเข้าใจและการปฏิบัติที่เบี่ยงเบนและผิดพลาดของคนที่แต่งงานแล้ว พวกเราก็มาสามัคคีธรรมเรื่อง “การไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสไม่ใช่ภารกิจของเจ้า” กันเถิด  การที่ผู้คนปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานมีความหมายเพียงว่าพวกเขามีความเข้าใจและแนวคิดบางอย่างที่ถูกต้อง ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับความจริงในแง่ที่เป็นแนวคิดและคำนิยามของการแต่งงานเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่พวกเขามีต่อการแต่งงานได้หมดทุกอย่าง  ส่วนผู้ที่เข้าสู่ชีวิตแต่งงานไปแล้ว พวกเขาดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสกันอย่างไร?  อาจกล่าวได้ว่าผู้คนมากมายไม่สามารถมีท่าทีที่ถูกต้องเกี่ยวกับความสุขในชีวิตสมรส หรือมีแนวทางที่ถูกต้องว่าความสุขในชีวิตสมรสสัมพันธ์กับภารกิจของมนุษย์อย่างไร  นี่ก็เป็นปัญหาเช่นกันมิใช่หรือ?  (ใช่)  คนที่แต่งงานแล้วมองการแต่งงานว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งใหญ่ในชีวิตและให้ความสำคัญกับการแต่งงานอย่างมากอยู่เสมอ  เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงฝากความสุขทั้งชีวิตของตนไว้กับชีวิตแต่งงานและคู่ครองของตน เชื่อไปว่าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสคือจุดหมายให้ไขว่คว้าเพียงอย่างเดียวในชีวิตนี้  นั่นคือสาเหตุที่ผู้คนมากมายใช้ความพยายามอย่างมาก จ่ายราคาแพงมาก และเสียสละอย่างมากเพื่อความสุขในชีวิตสมรส  ตัวอย่างเช่น บางคนแต่งงาน และเพื่อที่จะดึงดูดใจคู่ของตน รักษาชีวิตแต่งงานและความรักของพวกตนให้ “สดใหม่” พวกเขาย่อมจะทำสิ่งต่างๆ มากมาย  ผู้หญิงบางคนกล่าวว่า “วิธีเข้าถึงหัวใจของผู้ชายคือเสน่ห์ปลายจวัก” ดังนั้นเธอจึงเรียนรู้การทำอาหาร การปรุงอาหารที่ประณีตและขนมอบต่างๆ จากแม่หรือผู้อาวุโสของตน ทำสารพัดอย่างที่สามีของเธอชอบกินและเสาะแสวงที่จะจัดหาอาหารรสอร่อยและถูกปากมาให้เขา  เมื่อสามีหิว เขาก็คิดถึงอาหารรสประณีตของเธอ จากนั้นเขาย่อมนึกถึงบ้าน แล้วก็นึกถึงเธอ และแล้วเขาจึงรีบกลับบ้าน  เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจึงไม่ค่อยถูกทิ้งให้อยู่บ้านตามลำพังบ่อยนัก แต่มักจะมีสามีอยู่เคียงข้าง ดังนั้นเธอจึงรู้สึกว่าการหัดทำอาหารจานอร่อยบางอย่างเพื่อให้ได้ใจของสามีผ่านทางเสน่ห์ปลายจวักเป็นเรื่องสำคัญมาก  แล้วเพราะนี่คือทางหนึ่งที่จะดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรส เพราะนี่คือราคาที่ผู้หญิงควรจ่าย เป็นความรับผิดชอบที่เธอควรลุล่วงเพื่อความสุขในชีวิตสมรสของเธอ เธอจึงพยายามอย่างมากที่จะประคับประคองชีวิตแต่งงานของตนเอาไว้ด้วยวิธีนี้  ยังมีหญิงบางคนที่รู้สึกไม่มั่นคงในชีวิตแต่งงานของตน และมักจะใช้วิธีต่างๆ มาเอาใจ ดึงดูด และกระตุ้นเตือนสามีของตน  ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงแบบนี้มักจะถามสามีว่าเขาจำได้หรือไม่ว่าทั้งสองออกเดตครั้งแรกเมื่อไร พบกันครั้งแรกเมื่อไร ครบรอบแต่งงานเมื่อไร รวมทั้งวันอื่นๆ  ถ้าสามีของตนจำได้ เช่นนั้นแล้วเธอย่อมรู้สึกว่าเขารักเธอ เธออยู่ในหัวใจของเขา  ถ้าเขาจำไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเธอย่อมเสียใจและบ่นว่า “แม้กระทั่งวันสำคัญอย่างนี้เธอก็จำไม่ได้  เธอไม่รักฉันแล้วหรือ?”  เจ้าดูเอาเถิด ในความพยายามที่จะดึงดูดใจคู่ครองของตนอย่างต่อเนื่อง เรียกร้องความสนใจ และดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสเอาไว้ ทั้งชายและหญิงต่างก็ใช้วิถีโลกมากระตุ้นคู่ครองของตน ต่างก็ทำสิ่งที่ไร้ความหมายและไม่รู้จักโตกันทั้งสิ้น  นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงบางคนที่จะจ่ายทุกราคาเพื่อทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของตนเอง  เช่น บางคนที่อายุสามสิบกว่าปีแล้ว มองเห็นว่าผิวพรรณของตนไม่น่ารักและขาวผ่องอีกต่อไป หน้าตาก็ไม่สดใสและสวยงามอีกต่อไป จึงไปดึงหน้าหรือฉีดสารไฮยาลูรอน  มีผู้หญิงบางคนที่ผ่าตาสองชั้นและสักคิ้วเพื่อให้ดูสวยขึ้น มักจะแต่งตัวให้สวยและยั่วยวนเป็นพิเศษเพื่อดึงดูดใจสามีของตน พวกเธอถึงกับหัดทำเรื่องชวนฝันที่คนอื่นทำกัน เพื่อความสุขในชีวิตสมรสของตน  ตัวอย่างเช่น ในวันพิเศษ ผู้หญิงแบบนี้อาจจัดอาหารค่ำที่เลิศหรู พร้อมเทียนและไวน์แดง  จากนั้นเธอก็จะปิดไฟ แล้วพอสามีกลับมาบ้าน เธอก็จะให้เขาปิดตาและถามเขาว่า “วันนี้วันอะไร?”  สามีของเธอพยายามเดาอยู่นาน แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นวันอะไร  เธอจึงจุดเทียน และเมื่อสามีเปิดตามอง ก็กลับกลายเป็นวันเกิดของเขาเอง เขาจึงพูดว่า “วิเศษจริง!  ฉันรักเธอมากจริงๆ!  ฉันจำวันเกิดตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ  เธอกลับจำวันเกิดของฉันได้ เธอน่ารักมาก!”  เมื่อนั้นฝ่ายหญิงจึงรู้สึกเป็นสุขและยินดี  ด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำจากสามี เธอก็รู้สึกพอใจและสบายใจ  ทั้งชายและหญิงต่างก็เค้นสมองคิดหาทางที่จะดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสเอาไว้  ภรรยาลงมือเปลี่ยนแปลงและเสียสละมากมาย ทุ่มเทเวลาและความพยายามไปมาก ส่วนสามีก็ทำแบบเดียวกัน บากบั่นทำงานหนักและหาเงินอยู่ในโลก เติมกระเป๋าสตางค์ของตนให้เต็ม นำเงินกลับมาบ้านให้มากขึ้นเรื่อยๆ สร้างชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ภรรยาสุขสำราญ  นอกจากนี้ เพื่อที่จะดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสของตน เขายังต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ผู้อื่นทำ ซื้อดอกกุหลาบ ของขวัญวันเกิด ของขวัญวันคริสต์มาส ซื้อช็อกโกแลตในวันวาเลนไทน์ เป็นต้น เค้นสมองคิดหาหนทางที่จะพยายามทำให้ภรรยาของตนมีความสุข ทำทุกสิ่งที่ตนสามารถเพื่อที่จะทำเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านี้  และแล้ววันหนึ่งเขาก็ตกงานและไม่กล้าบอกภรรยา กลัวว่าเธอจะหย่าเขาหรือชีวิตแต่งงานของพวกตนจะไม่มีความสุขอย่างที่เคยเป็น  ดังนั้น เขาจึงแกล้งทำเป็นไปทำงานและเลิกงานตรงเวลาทุกวันต่อไป พร้อมกันนั้นก็เที่ยวไปสมัครงานทุกแห่ง มองหางานไปด้วย  แล้วเขาทำเช่นไรเมื่อถึงวันเงินเดือนออกและเขาไม่ได้เงินมาเลย?  เขาหยิบยืมจากทุกคนเพื่อทำให้ภรรยาของตนมีความสุข และเขาก็กล่าวว่า “ดูสิ เดือนนี้ฉันได้เงินพิเศษมา 2,000 หยวน  เธอก็เอาไปซื้อของสวยๆ แล้วกัน”  ภรรยาของเขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น และไปซื้อของหรูบางอย่างจริงๆ  เขามีแต่ความกลุ้มใจและรู้สึกว่าไร้ที่พึ่ง แล้วก็ยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ทุกคนล้วนลงมือทำสิ่งต่างๆ มากมายและใช้เวลา ใช้ความพยายามไปมากเพื่อประคับประคองความสุขในชีวิตสมรสของตนเอาไว้ พวกเขาไปไกลถึงขั้นทำสิ่งต่างๆ ที่ตนรู้ดีว่าไม่ควรทำ  แม้จะเสียเวลาและความพยายามไปมากขนาดนั้น แต่ผู้คนที่เกี่ยวข้องก็ยังคงไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าหรือรับมือเรื่องเหล่านี้อย่างไรจึงจะถูกต้อง ถึงกับเค้นสมองเรียนรู้และศึกษาจากคนอื่น ปรึกษาคนอื่นเพื่อที่จะรักษาความสุขในชีวิตสมรสของตนเอาไว้  มีแม้กระทั่งบางคนที่หลังจากมาเชื่อในพระเจ้า ยอมรับหน้าที่และงานที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายให้ตนทำ แต่เพื่อที่จะดำรงรักษาความสุขและความพอใจในชีวิตสมรสของตนเอาไว้ พอถึงเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขากลับทำไม่ได้  เดิมทีพวกเขาควรไปยังสถานที่ห่างไกลเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ กลับมาบ้านสัปดาห์ละครั้งหรือนานๆ ครั้ง หรืออาจจะออกจากบ้านไปปฏิบัติหน้าที่ของตนเต็มเวลาตามขีดความสามารถและภาวะที่หลากหลายของตนก็ได้ แต่พวกเขาก็กลัวว่าคู่ครองของตนจะไม่พอใจ แล้วชีวิตแต่งงานก็จะไม่มีความสุข หรือกลัวว่าจะสูญเสียชีวิตแต่งงานไปทั้งหมด และเพื่อที่จะดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสเอาไว้ พวกเขาจึงทิ้งเวลาที่ควรจะใช้ปฏิบัติหน้าที่ของตนไปมากมาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ยินคู่ของตนบ่น หรือพูดเหมือนไม่พอใจ หรือโอดครวญ พวกเขาก็ยิ่งดำรงรักษาชีวิตแต่งงานของตนด้วยความระมัดระวังมากขึ้น  พวกเขาทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อให้คู่ของตนพอใจ และพยายามอย่างหนักที่จะทำให้ชีวิตแต่งงานของตนเป็นชีวิตแต่งงานที่มีความสุข จะได้ไม่พังทลาย  แน่นอนว่าที่ยิ่งหนักหนากว่านี้ก็คือคนบางคนที่ปฏิเสธการเรียกหาจากพระนิเวศของพระเจ้าและไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อที่จะรักษาความสุขในชีวิตสมรสของตนเอาไว้  เมื่อพวกเขาควรจากบ้านไปปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่เนื่องจากพวกเขาไม่อาจทนจากคู่ครองของตนได้หรือเพราะพ่อแม่ของคู่ครองคัดค้านการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และคัดค้านการที่พวกเขาจะทิ้งอาชีพการงานและจากบ้านไปปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาก็รอมชอมและยอมทิ้งหน้าที่ เลือกที่จะดำรงรักษาชีวิตสมรสของตนให้สมบูรณ์พูนสุขแทน และเพื่อที่จะดำรงความสุขและความสมบูรณ์ในชีวิตสมรส เพื่อป้องกันไม่ให้ชีวิตสมรสของตนพังทลายและจบสิ้น พวกเขาจึงเลือกที่จะลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันในชีวิตแต่งงานเท่านั้น ทิ้งภารกิจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เจ้าไม่ตระหนักว่าไม่ว่าบทบาทของเจ้าในครอบครัวหรือสังคมจะเป็นเช่นไร—ไม่ว่าจะเป็นภรรยา สามี ลูก พ่อแม่ ลูกจ้าง หรืออะไรอื่น—และไม่ว่าบทบาทของเจ้าในชีวิตแต่งงานจะสำคัญหรือไม่ก็ตาม เมื่ออยู่เบื้องหน้าพระเจ้า เจ้ามีอัตลักษณ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เบื้องหน้าพระเจ้า เจ้าไม่มีอัตลักษณ์ที่สอง  ดังนั้นเมื่อพระนิเวศของพระเจ้าเรียกหา นั่นคือเวลาที่เจ้าควรลุล่วงภารกิจของตน  ซึ่งหมายความว่าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ใช่ว่าเจ้าควรลุล่วงภารกิจของเจ้าต่อเมื่อลุล่วงเงื่อนไขในการดำรงรักษาชีวิตสมรสให้มีความสุขและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แล้วเท่านั้น แต่หมายความว่าตราบใดที่เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ตราบนั้นภารกิจที่พระเจ้าประทานและไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ ก็ควรที่จะลุล่วงอย่างไร้เงื่อนไข ไม่ว่ารูปการณ์จะเป็นเช่นใด ก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าเสมอที่จะต้องให้ความสำคัญอันดับแรกแก่ภารกิจที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ ส่วนภารกิจและความรับผิดชอบที่เกิดจากการแต่งงานของเจ้านั้นเป็นเรื่องรอง  ภารกิจที่เจ้าควรลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เจ้านั้น ควรมีความสำคัญที่สุดเสมอไม่ว่าจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขใดและในรูปการณ์ใด  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าจะอยากดำรงรักษาความสุขในชีวิตแต่งงานของเจ้าไว้มากเพียงใด หรือสถานการณ์ในชีวิตสมรสของเจ้าจะเป็นเช่นไร หรือคู่ครองของเจ้าจะจ่ายราคาสูงเพียงใดเพื่อชีวิตแต่งงานของพวกเจ้า ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่เหตุผลที่จะปฏิเสธภารกิจที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ  ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าชีวิตแต่งงานของเจ้าจะมีความสุขเพียงใดหรือมีความสมบูรณ์แข็งแกร่งขนาดไหน อัตลักษณ์ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างย่อมไม่เปลี่ยนแปลง และเมื่อเป็นเช่นนั้น ภารกิจที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ โดยหน้าที่แล้วย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าต้องลุล่วงก่อนเป็นอันดับแรก และนี่เป็นเรื่องที่ไร้เงื่อนไข  ดังนั้นเมื่อพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายภารกิจให้เจ้าทำ เมื่อเจ้ามีหน้าที่และภารกิจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแล้ว เจ้าก็ควรปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าชีวิตแต่งงานที่มีความสุข ละทิ้งการพยายามประคับประคองชีวิตแต่งงานให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ทำให้พระเจ้าและภารกิจที่พระนิเวศของพระเจ้าไว้วางใจมอบหมายให้เจ้าทำนั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรก และไม่ทำตัวเบาปัญญา  การดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสเป็นเพียงความรับผิดชอบที่เจ้าแบกรับในฐานะสามีหรือภรรยาภายในกรอบของชีวิตแต่งงานเท่านั้น ไม่ใช่ความรับผิดชอบหรือภารกิจที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างมีเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง เพราะฉะนั้นเจ้าก็ไม่ควรละทิ้งภารกิจที่พระผู้สร้างไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ เพื่อที่จะดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสของตน หรือทำเรื่องโง่เขลา เหลวไหล และไม่รู้จักโต ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของการเป็นภรรยาหรือสามี  ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำมีเพียงลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตนในฐานะภรรยาหรือสามีตามพระวจนะของพระเจ้าและข้อกำหนดของพระเจ้า—นั่นคือ ตามพระบัญชาแรกสุดของพระเจ้า  อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบของภรรยาหรือสามีด้วยมโนธรรมและเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และนั่นย่อมเพียงพอแล้ว  สำหรับสิ่งที่เรียกว่า “วิธีเข้าถึงหัวใจของผู้ชายคือเสน่ห์ปลายจวัก” หรือความรู้สึกชวนฝัน หรือการฉลองวันครบรอบทุกรูปแบบอยู่ตลอดเวลา หรือโลกของสองเรา หรือการพยายามที่จะ “จูงมือและแก่เฒ่าไปด้วยกัน” หรือ “ฉันจะรักเธอเหมือนที่ฉันรักในวันนี้ตลอดไป” และเรื่องไร้ความหมายอื่นๆ ในทำนองนี้ นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของชายและหญิงที่ปกติ  แน่นอนว่ากล่าวให้แน่ชัดลงไปก็คือ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบและภาระผูกพันภายในกรอบของชีวิตแต่งงานของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  วิธีการใช้ชีวิตและการไล่ตามไขว่คว้าทั้งหลายในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงควรทำ ดังนั้นพวกเจ้าก็ควรปล่อยมือจากคำกล่าว มุมมอง และการกระทำที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ โง่เขลา ไม่รู้จักโต ฉาบฉวย น่าสะอิดสะเอียน และน่ารังเกียจเหล่านี้ให้หมดไปจากส่วนลึกในความรู้สึกนึกคิดของตนเสียก่อน  จงอย่าปล่อยให้ชีวิตแต่งงานของเจ้าเสื่อมลง และอย่าปล่อยให้การไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสของเจ้ามามัดมือมัดเท้า มัดความคิดและย่างก้าวของเจ้า ทำให้เจ้าไม่รู้จักโต โง่เขลา หยาบช้า และถึงกับเป็นคนเลว  การไล่ตามไขว่คว้าทางโลกเพื่อให้ได้ชีวิตแต่งงานที่มีความสุขไม่ใช่ภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่คนที่มีเหตุผลตามปกติควรลุล่วง แต่วิวัฒน์มาจากโลกชั่วและมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้โดยแท้ และส่งผลกัดกร่อนสภาวะความเป็นมนุษย์และความคิดอ่านของผู้คนทั้งปวง  การไล่ตามไขว่คว้าเหล่านี้ย่อมจะทำให้ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าเสื่อมลง ทำให้สภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าบิดเบี้ยว และทำให้ความคิดของเจ้านั้นชั่ว ซับซ้อน วุ่นวาย และถึงกับสุดโต่ง  ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงบางคนเห็นชายอื่นทำตัวโรแมนติก มอบดอกกุหลาบให้ภรรยาของตนในวันครบรอบแต่งงาน หรือพาภรรยาไปเดินซื้อของ หรือโอบกอดเธอ หรือมอบของขวัญพิเศษเมื่อพวกเธอโกรธหรือไม่มีความสุข หรือถึงกับสร้างความประหลาดใจให้พวกเธอเพื่อที่จะพยายามทำให้พวกเธอมีความสุข และอื่นๆ  ทันทีที่เจ้ายอมรับคำกล่าวและการกระทำเหล่านั้นมาไว้ในตัวเจ้า เจ้าย่อมจะอยากให้คู่ของเจ้าทำสิ่งเหล่านั้นด้วย เจ้าจะอยากมีชีวิตแบบนั้นและได้รับการปฏิบัติแบบนั้นเช่นกัน ดังนั้นสำนึกในเหตุผลของเจ้าก็จะผิดปกติ ถูกคำกล่าว แนวคิด และการกระทำดังกล่าวก่อกวนและกัดกร่อน  ถ้าคู่ของเจ้าไม่ซื้อดอกกุหลาบให้เจ้า ไม่พยายามทำให้เจ้ามีความสุข หรือไม่ทำสิ่งที่โรแมนติกให้เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมรู้สึกโกรธ ขัดเคือง และไม่พอใจ—เจ้าย่อมมีความรู้สึกต่างๆ สารพัดอย่าง  เมื่อชีวิตของเจ้าเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ เมื่อนั้นภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วงในฐานะผู้หญิง หน้าที่และความรับผิดชอบที่เจ้าควรลุล่วงในพระนิเวศของพระเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ย่อมตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย  เจ้าจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะที่ไม่พอใจ ชีวิตและกิจวัตรตามปกติของเจ้าก็จะถูกความรู้สึกและความคิดที่ไม่พอใจเหล่านี้ทำให้หยุดชะงัก  เพราะฉะนั้น การไล่ตามไขว่คว้าของเจ้าย่อมจะมีอิทธิพลต่อการคิดอ่านที่เป็นเหตุเป็นผลตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของเจ้า การวินิจฉัยที่ปกติของเจ้า และแน่นอนว่าความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วงในฐานะคนที่ปกติ  ถ้าเจ้าไล่ตามไขว่คว้าเรื่องทางโลกและความสุขในชีวิตสมรส เช่นนั้นแล้วก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่เจ้าจะ “ถูกทำให้กลายเป็นของทางโลก”  ถ้าเจ้าไล่ตามไขว่คว้าแต่ความสุขในชีวิตสมรส เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะอยากให้คู่สมรสของเจ้าพูดอะไรทำนอง “ฉันรักเธอ” ตลอดเวลาเป็นแน่ และถ้าคู่สมรสของเจ้าไม่เคยพูดว่า “ฉันรักเธอ” เจ้าก็จะคิดไปว่า “ชีวิตแต่งงานของฉันไม่มีความสุขเอามากๆ  สามีของฉันไร้ความรู้สึกเหมือนท่อนไม้ เหมือนคนไม่มีสมอง  อย่างมากเขาก็หาเงินเข้าบ้านบ้าง ใช้ความพยายามบ้าง และทำงานใช้แรงบ้าง  พอถึงมื้ออาหาร เขาก็พูดว่า ‘มากินกันเถิด’ และเมื่อถึงเวลานอน เขาก็บอกว่า ‘ได้เวลานอนแล้ว ฝันดี ราตรีสวัสดิ์’ เท่านั้นเอง  ทำไมเขาถึงไม่เคยพูดได้ว่า ‘ฉันรักเธอ’?  เขาพูดไม่ได้แม้แต่เรื่องโรแมนติกเรื่องเดียวนี้อย่างนั้นหรือ?”  เจ้าจะเป็นคนปกติได้หรือไม่เมื่อหัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยเรื่องแบบนี้?  เจ้าอยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติและใช้อารมณ์ตลอดเวลามิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนไม่มีวิจารณญาณในกระแสชั่วเหล่านี้ของทางโลก พวกเขาไม่มีภูมิต้านทาน ไม่มีภูมิคุ้มกัน  ผู้หญิงแบบนี้ย่อมมองเรื่องนี้ เรื่องของการพูดอะไรชวนฝันเช่นนี้ว่าเป็นเครื่องหมายของความสุขในชีวิตสมรส แล้วจากนั้นเธอก็อยากไล่ตามไขว่คว้า เอาอย่าง และได้ความสุขนั้นมา แล้วพอไม่อาจได้มา เธอก็โกรธ และมักจะถามสามีของตนว่า “บอกฉันหน่อย คุณรักฉันหรือเปล่า?”  เมื่อถูกถามมากมายหลายครั้ง เมื่อนั้นสามีของเธอก็เริ่มโมโห และโพล่งออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำว่า “ฉันรักเธอนะที่รัก”  แล้วเธอก็บอกว่า “พูดอีกทีสิ”  สามีของเธอข่มใจตัวเองอย่างมากจนทั้งใบหน้าและลำคอของเขาแดงก่ำ และเขาก็พูดพลางนึกไปด้วยว่า “ที่รัก ฉันรักเธอ”  ดูเอาเถิด ผู้ชายดีๆ คนนี้พูดเรื่องน่าพะอืดพะอมเช่นนี้ออกมา แต่มันไม่ได้มาจากหัวใจของเขา ดังนั้นเขาจึงรู้สึกอึดอัด  เมื่อภรรยาได้ฟังเขาพูดเช่นนี้ เธอก็รู้สึกลิงโลดและกล่าวว่า “เท่านั้นก็ได้!”  แล้วสามีของเธอกล่าวว่าอย่างไร?  “ดูเธอสิ  มีความสุขแล้วใช่ไหม?  เธอก็แค่หาเรื่องเท่านั้น”  จงบอกเราเถิดว่าเมื่อหญิงและชายมีชีวิตแต่งงานแบบนี้ นี่ใช่ความสุขหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเจ้ามีความสุขหรือไม่เวลาได้ยินคำว่า “ฉันรักเธอ”?  นี่คือคำอธิบายความสุขในชีวิตสมรสหรือไม่?  มันง่ายแบบนี้หรือไม่?  (ไม่)  ผู้หญิงบางคนถามสามีของตนเสมอว่า “นี่ คุณว่าฉันดูแก่ไหม?”  สามีของเธอก็ซื่อสัตย์ ดังนั้นเขาจึงตอบตามความสัตย์จริงว่า “นิดหน่อย  พออายุสี่สิบแล้ว มีใครไม่ดูแก่บ้าง?”  เธอจึงตอบว่า “คุณไม่รักฉันแล้วหรือ?  ทำไมคุณถึงไม่บอกว่าฉันดูสาว?  คุณไม่ชอบที่ฉันแก่ตัวใช่ไหม?  คุณอยากหาเมียน้อยใช่ไหม?”  สามีจึงบอกว่า “น่ารำคาญอะไรอย่างนี้!  ฉันพูดอะไรด้วยความสัตย์จริงกับเธอยังไม่ได้เลย  เธอเป็นอะไรไป?  ฉันก็แค่พูดไปตามตรงเท่านั้นเอง  มีใครไม่แก่ตัวบ้าง?  เธออยากเป็นสัตว์ประหลาดอะไรสักอย่างหรือไร?”  ผู้หญิงแบบนี้ไร้ซึ่งเหตุผล  พวกเราเรียกผู้คนที่ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่เรียกกันว่าความสุขในชีวิตสมรสแบบนี้ว่าอย่างไร?  กล่าวอย่างชาวบ้านก็คือพวกเธอเป็นหญิงบ้า  แล้วพวกเราจะเรียกพวกเธอว่าอย่างไรได้ถ้าไม่ใช้ภาษาชาวบ้าน?  พวกเธอป่วยทางจิต  คำว่า “ป่วยทางจิต” นี้เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าพวกเธอไม่มีการคิดอ่านตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เมื่ออายุได้สี่สิบหรือห้าสิบปี พวกเธอย่อมเข้าใกล้วัยชราและยังคงเข้าใจไม่ได้อย่างชัดแจ้งว่าชีวิตคืออะไร การแต่งงานคืออะไร และพวกเธอก็รักที่จะทำเรื่องไร้สาระและน่าสะอิดสะเอียนอยู่เสมอ  พวกเธอเชื่อว่านี่คือความสุขในชีวิตสมรส เป็นอิสรภาพและสิทธิ์ของตนเอง และพวกตนก็ควรไล่ตามไขว่คว้าเช่นนี้ ใช้ชีวิตแบบนี้ และมีท่าทีเช่นนี้ต่อชีวิตสมรส  นี่คือการที่พวกเธอทำตัวไม่ถูกควรมิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนที่ทำตัวไม่ถูกควรมีอยู่มากหรือไม่?  (มีมาก)  มีอยู่มากมายในโลกของผู้ไม่เชื่อ แต่มีบ้างหรือไม่ในพระนิเวศของพระเจ้า?  มีมากหรือไม่?  เรื่องรักใคร่ ของขวัญ อ้อมกอด ความประหลาดใจ และคำว่า “ฉันรักเธอ” เป็นต้น ทั้งหมดคือเครื่องหมายของความสุขในชีวิตสมรสที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า และเป็นเป้าหมายของการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสของพวกเขา  ผู้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็เป็นเช่นนี้ และมิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่ผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้าจะพลอยไล่ตามไขว่คว้าในทำนองนี้และมีทัศนะดังกล่าวอยู่ในขณะนี้  ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้ามาสิบปีหรือนานกว่านั้น ฟังคำเทศนามาบ้าง และเข้าใจความจริงบางอย่าง แต่เพื่อที่จะดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสของตน อยู่เคียงข้างคู่สมรสของตน  รักษาสัญญาที่ให้ไว้เกี่ยวกับชีวิตแต่งงาน และเพื่อเป้าหมายซึ่งก็คือความสุขในชีวิตสมรสที่พวกเขาปฏิญาณว่าจะไล่ตามไขว่คว้า พวกเขาจึงไม่เคยลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของตนเฉพาะพระพัตกร์พระผู้สร้างเลย  พวกเขากลับไม่ยอมก้าวเท้าออกนอกบ้าน พวกเขาจะไม่ออกจากบ้านไม่ว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าจะยุ่งเพียงใดก็ตาม และจะไม่ทิ้งคู่สมรสไปปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่พวกเขากลับมองว่าการไล่ตามไขว่คว้าและดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสคือเป้าหมายชั่วชีวิตที่พวกเขาดิ้นรนและใช้ความพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อไปให้ถึง  เมื่อไล่ตามไขว่คว้าเช่นนี้ พวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่หรือไม่?  ชัดเจนว่าไม่  เพราะในความรู้สึกนึกคิด ในส่วนลึกสุดของหัวใจ และแม้กระทั่งในการกระทำของพวกเขานั้น พวกเขาไม่ได้ปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสหรือแนวคิด ทัศนะ และทัศนคติในชีวิตที่ว่า “การไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสคือภารกิจในชีวิตของคนเรา”  เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องแน่นอนที่พวกเขาจะไม่สามารถได้รับความจริง  พวกเจ้ายังไม่ได้แต่งงานและยังไม่ได้เข้าสู่ชีวิตสมรส  ถ้าพวกเจ้ายังคงมีทัศนะเช่นนี้เวลาที่พวกเจ้าก้าวเข้าสู่ชีวิตสมรส เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าย่อมจะไม่สามารถได้ความจริงไว้เช่นกัน  เมื่อเจ้ามีความสุขในชีวิตสมรสแล้ว เมื่อนั้นเจ้าก็จะไม่สามารถได้รับความจริง  เนื่องจากเจ้ามองว่าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสคือภารกิจในชีวิตของเจ้า จึงหลีกเลี่ยงมิได้ที่เจ้าจะทิ้งและยกเลิกโอกาสที่จะลุล่วงภารกิจของตนเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง  ถ้าเจ้ายกเลิกโอกาสและสิทธิ์ที่จะลุล่วงภารกิจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเฉพาะพระพัตกร์พระผู้สร้าง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยกเลิกการไล่ตามเสาะหาความจริง และแน่นอนว่าเจ้าย่อมยกเลิกการได้รับความรอดไปด้วย—นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือก

พวกเราสามัคคีธรรมถึงการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรส ไม่ใช่เพื่อให้พวกเจ้ายกเลิกพิธีแต่งงานหรือหนุนให้เจ้าหย่าร้าง แต่เพื่อให้เจ้ายกเลิกการไล่ตามไขว่คว้าทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความสุขในชีวิตสมรส  ก่อนอื่นเจ้าควรปล่อยมือจากทัศนะเหล่านั้นที่ครอบงำเจ้าให้ไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรส แล้วจากนั้นก็ควรปล่อยมือจากการลงมือไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรส หันมาอุทิศเวลาและพลังงานส่วนใหญ่ของเจ้าให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและการไล่ตามเสาะหาความจริง  ส่วนการแต่งงานนั้น ตราบใดที่ไม่กระทบหรือขัดแย้งกับการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า ตราบนั้นภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วง ภารกิจที่เจ้าควรทำให้สำเร็จ และบทบาทที่เจ้าควรมีภายในกรอบของชีวิตแต่งงานย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง  ด้วยเหตุนี้ การขอให้เจ้าปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสจึงไม่ได้หมายถึงการขอให้เจ้าละทิ้งการแต่งงานหรือหย่าร้างอย่างเป็นทางการ แต่หมายถึงการขอให้เจ้าลุล่วงภารกิจของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติให้ถูกควร ตามหลักการที่ใช้ลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้าควรทำในชีวิตแต่งงาน  แน่นอนว่าถ้าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสของเจ้าส่งผลกระทบ ขัดขวาง หรือถึงขั้นทำลายการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของเจ้า เช่นนั้นแล้วไม่เพียงแต่เจ้าควรละทิ้งการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสของเจ้าเท่านั้น แต่ควรทิ้งชีวิตแต่งงานไปทั้งหมดด้วย  ท้ายที่สุดแล้ว จุดประสงค์และความหมายของการสามัคคีธรรมถึงปัญหาเหล่านี้คืออะไร?  เพื่อให้ความสุขในชีวิตสมรสไม่มาขัดขวางก้าวย่างของเจ้า มัดมือ ปิดตา บิดเบือนสายตาของเจ้า รบกวนและยึดครองความรู้สึกนึกคิดของเจ้า เพื่อให้เส้นทางชีวิตของเจ้าและชีวิตของเจ้าเองไม่เต็มไปด้วยการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรส และเพื่อให้เจ้ามีแนวทางที่ถูกต้องในเรื่องของความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วงในชีวิตแต่งงาน และเลือกสิ่งที่ถูกต้องในเรื่องของความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วง  วิธีปฏิบัติที่ดีกว่านั้นก็คือการอุทิศเวลาและพลังงานให้หน้าที่ของเจ้ามากขึ้น ปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติ และสัมฤทธิ์ภารกิจที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ  เจ้าต้องไม่ลืมเป็นอันขาดว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผู้ที่นำเจ้ามาตลอดชีวิตจนถึงตอนนี้ก็คือพระเจ้า ผู้ที่ประทานการแต่งงานแก่เจ้า ประทานครอบครัวแก่เจ้าก็คือพระเจ้า และเป็นพระเจ้านั่นเองที่ประทานความรับผิดชอบที่เจ้าควรลุล่วงภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน คนที่เลือกชีวิตแต่งงานไม่ใช่เจ้า ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ เจ้าก็มาแต่งงาน หรือสามารถดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสของเจ้าได้ด้วยการพึ่งพาความสามารถและจุดแข็งของตนเอง  เราอธิบายเรื่องนี้ชัดเจนแล้วหรือยัง?  (ชัดเจนแล้ว)  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าพวกเจ้าควรทำอะไร?  พวกเจ้าเข้าใจเส้นทางชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ถ้าความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วงในชีวิตแต่งงานไม่มีอะไรขัดแย้งหรือตรงข้ามกับหน้าที่และภารกิจของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เช่นนั้นแล้ว ภายใต้รูปการณ์ดังกล่าว เจ้าก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบของตนภายในกรอบของชีวิตแต่งงานไม่ว่าจะต้องลุล่วงสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีใดก็ตาม และเจ้าก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบเหล่านั้นให้ดี แบกรับความรับผิดชอบที่เจ้าควรแบกรับ และไม่พยายามบ่ายเบี่ยง  เจ้าต้องรับผิดชอบคู่ครองของตน และควรรับผิดชอบชีวิตของคู่ครอง ความรู้สึก และทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา  อย่างไรก็ดี เมื่อความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าแบกรับภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน กระทบภารกิจและหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าต้องปล่อยมือย่อมไม่ใช่หน้าที่หรือภารกิจของเจ้า แต่เป็นความรับผิดชอบภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงคาดหวังจากเจ้า เป็นพระบัญชาที่พระเจ้ามีต่อเจ้า และแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ชายหรือหญิงทำ  เฉพาะเมื่อเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้เท่านั้น เจ้าจึงจะกำลังไล่ตามเสาะหาความจริงและติดตามพระเจ้า  ถ้าเจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้และปฏิบัติตามนี้ไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นผู้เชื่อแต่ในนาม เจ้าไม่ได้ติดตามพระเจ้าด้วยหัวใจที่แท้จริง และไม่ใช่ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ตอนนี้เจ้ามีโอกาสและมีเงื่อนไขที่จะออกจากจีนไปปฏิบัติหน้าที่ของตน และบางคนก็กล่าวว่า “ถ้าฉันออกจากจีนไปปฏิบัติหน้าที่ของฉัน เช่นนั้นฉันก็จะต้องทิ้งคู่ของตัวเองไว้ที่บ้าน  พวกเราจะไม่มีวันพบหน้ากันอีกหรือเปล่า?  พวกเราจะต้องแยกกันอยู่หรือเปล่า?  พวกเราจะไม่มีชีวิตแต่งงานอีกแล้วใช่ไหม?”  บางคนคิดว่า “แย่แล้ว ถ้าไม่มีฉัน คู่ของฉันจะใช้ชีวิตอย่างไร?  ถ้าฉันไม่อยู่ตรงนั้น ชีวิตสมรสของพวกเราจะพังทลายหรือเปล่า?  ชีวิตแต่งงานของพวกเราจะจบสิ้นหรือไม่?  ฉันจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต?”  เจ้าควรคิดเรื่องอนาคตหรือ?  เจ้าควรคิดเรื่องอะไรมากที่สุด?  ถ้าเจ้าอยากเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วเรื่องที่เจ้าควรคิดคำนึงมากที่สุดก็คือทำอย่างไรจึงจะปล่อยมือจากสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้เจ้าปล่อยมือ และทำอย่างไรจึงจะสัมฤทธิ์สิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้เจ้าสัมฤทธิ์  ถ้าเจ้าจะต้องไร้ซึ่งชีวิตแต่งงานและไร้คู่ครองเคียงข้างในอนาคต ในวันข้างหน้าเจ้าก็ยังสามารถดำรงชีวิตจนแก่เฒ่าและมีชีวิตที่ดีได้อยู่ดี  อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าทิ้งโอกาสนี้ไป เช่นนั้นก็เท่ากับเจ้าทิ้งหน้าที่ของตนและภารกิจที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ  เมื่อเป็นเช่นนั้น สำหรับพระเจ้าแล้ว เจ้าย่อมจะไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง คนที่ต้องการพระเจ้าอย่างแท้จริง หรือคนที่กำลังไล่ตามเสาะหาความรอด  ถ้าเจ้ากระตือรือร้นอยากทิ้งโอกาสและสิทธิ์ของเจ้าที่จะได้รับความรอด ทิ้งภารกิจของเจ้า และเลือกชีวิตแต่งงานแทน เลือกที่จะอยู่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวฉันสามีภรรยา เลือกที่จะอยู่กับคู่และทำให้คู่ครองของเจ้าพอใจ และเจ้าเลือกที่จะรักษาชีวิตสมรสของตนให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เช่นนั้นแล้วในที่สุด เจ้าก็จะได้บางสิ่งและเสียบางอย่าง  เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่ว่าเจ้าจะสูญเสียอะไร?  ชีวิตสมรสไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า ความสุขในชีวิตสมรสก็ไม่ใช่เช่นกัน—สิ่งเหล่านี้ตัดสินชะตากรรมของเจ้าไม่ได้ ตัดสินอนาคตของเจ้าไม่ได้ และยิ่งตัดสินบั้นปลายของเจ้าไม่ได้  ดังนั้น การที่ผู้คนควรเลือกอะไร และพวกเขาควรปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสและหันมาปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาเอง  ทีนี้พวกเราก็สามัคคีธรรมเรื่อง “การไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสไม่ใช่ภารกิจของเจ้า” กันชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  มีเรื่องใดที่พวกเจ้าเห็นว่ายากและน่ากังวล ซึ่งพวกเจ้าไม่รู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไรหลังจากที่ฟังเราสามัคคีธรรมไปแล้วหรือไม่?  (ไม่มี)  หลังจากที่ฟังสามัคคีธรรมนี้แล้ว ในตอนนี้พวกเจ้ารู้สึกบ้างหรือไม่ว่ากระจ่างชัดขึ้น มีเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง และมีเป้าหมายที่ถูกต้องที่จะปฏิบัติให้ถึง?  ตอนนี้พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านับจากนี้ไป พวกเจ้าควรปฏิบัติอย่างไร?  (รู้)  เช่นนั้นแล้วพวกเราก็สิ้นสุดสามัคคีธรรมนี้กันตรงนี้เถิด  ลาก่อน!

14 มกราคม ค.ศ. 2023

เชิงอรรถ:

ก. ข้อความในต้นฉบับภาษาจีนไม่มีคำว่า “ที่ปกติ”

ข. ข้อความในต้นฉบับภาษาจีนไม่มีคำว่า “ที่ปกติ”

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (9)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (11)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger