ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (9)

ครั้งก่อนที่พวกเรามาชุมนุมกัน พวกเราได้สามัคคีธรรมกันเรื่องส่วนที่สองของสิ่งที่จำเป็นต้องละวางในบริบทของ “ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร” กล่าวคือ การละวางการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คนลง  ในหัวเรื่องนี้ พวกเราได้ทำรายการไว้รวมสี่อย่าง ได้แก่ หนึ่ง ความสนใจและงานอดิเรก สอง การสมรส สาม ครอบครัว และสี่ อาชีพการงาน  คราวก่อนเราได้สามัคคีธรรมกันเรื่องความสนใจและงานอดิเรกไปแล้ว  องค์ประกอบหนึ่งในการละวางการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน คือการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน อันเป็นผลลัพธ์จากความสนใจและงานอดิเรก  เมื่อได้ฟังสามัคคีธรรมของเราแล้ว ทุกคนมีท่าทีและมุมมองที่ถูกต้องต่อความสนใจและงานอดิเรกหรือไม่?  (มี)  ประเด็นที่เรามาสามัคคีธรรมกันก็เพื่อละวางการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเป็นผลลัพธ์จากความสนใจและงานอดิเรก แต่หากจะละวางสิ่งเหล่านี้ เจ้าต้องเข้าใจก่อนว่าความสนใจและงานอดิเรกคืออะไร จากนั้นก็ต้องเข้าใจว่าควรปฏิบัติกับสองสิ่งนี้อย่างไร และจะละวางสิ่งเหล่านี้ที่เป็นผลลัพธ์จากความสนใจและงานอดิเรกได้อย่างไร  ไม่สำคัญเลยว่าพวกเราสามัคคีธรรมกันว่าด้วยสิ่งที่เป็นบวกหรือเป็นลบ  กล่าวโดยสั้น เป้าหมายคือการทำให้ผู้คนสามารถจับใจความได้ว่าความสนใจและงานอดิเรกคืออะไร และจากนั้นก็ปฏิบัติกับมันและประยุกต์ใช้สองสิ่งนี้ได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้สองสิ่งนี้มีพื้นที่หรือคุณค่าที่เหมาะควรสำหรับการดำรงอยู่ และในขณะเดียวกัน ก็เพื่อทำให้ผู้คนสามารถละวางการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะควร ซึ่งพวกเขาไม่ควรมีไว้ ทั้งยังส่งอิทธิพลต่อความเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของพวกเขา  คนคนหนึ่งกล่าวได้ว่าการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดจากความสนใจและงานอดิเรกของเจ้านั้น จะส่งอิทธิพลต่อชีวิตของเจ้า ความอยู่รอดของเจ้า และทัศนะเรื่องความอยู่รอดของเจ้า แน่ล่ะ การไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความปรารถนาอยากได้อยากมีเหล่านั้นจะส่งอิทธิพลยิ่งกว่านี้อีกต่อเส้นทางที่เจ้าเดิน รวมถึงหน้าที่และภารกิจของเจ้าในชีวิตนี้  ดังนั้น จากมุมมองแบบนิ่งเฉย การไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่ความสนใจและงานอดิเรกนำพามาสู่ผู้คนนั้น ไม่ใช่เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา ทั้งยังไม่ใช่ทิศทางที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา และยิ่งไม่ใช่ทัศนะต่อชีวิตและค่านิยมที่พวกเขาควรที่จะสถาปนาในช่วงชีวิตนี้  เราบอกผู้คนว่าจะรู้จักและปฏิบัติกับสิ่งเหล่านี้อย่างไรให้ถูกต้องด้วยการสามัคคีธรรมว่าความสนใจและงานอดิเรกคืออะไร และจากนั้นก็ทำให้พวกเขารู้ว่าการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขานั้นถูกต้องหรือไม่ โดยการมองผ่านอิทธิผลของความสนใจและงานอดิเรก  กล่าวได้ว่า เราใช้ทั้งด้านบวกและด้านลบเพื่อเปิดให้ผู้คนได้เห็นอย่างชัดเจนถึงวิธีปฏิบัติต่อความสนใจและงานอดิเรกอย่างถูกต้อง  เหตุผลหนึ่งคือ หากบางคนมีความรู้ที่ถูกต้องและการจับใจความที่แม่นยำในเรื่องความสนใจและงานอดิเรก และสามารถปฏิบัติต่อสองสิ่งนี้ได้อย่างแม่นยำ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็กำลังละวางอุดมคติและความอยากได้อยากมีที่เกิดจากความสนใจและงานอดิเรกได้อย่างแท้จริง  ครั้นเจ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อความสนใจและงานอดิเรกแล้ว วิธีการและหนทางที่เจ้าใช้ปฏิบัติกับสองสิ่งนี้ก็จะถูกต้อง ทั้งยังค่อนข้างเป็นไปตามหลักธรรมและข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  ในหนทางด้วยวิธีนี้ จะทำให้เจ้าสามารถละวางการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดจากความสนใจและงานอดิเรกได้ในหนทางที่เป็นบวก  นอกจากนี้ สามัคคีธรรมนี้ยังเปิดโอกาสให้เจ้าได้เห็นชัดเจนถึงอิทธิผลด้านเสียสารพัดที่การไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดจากความสนใจและงานอดิเรกพามา หรืออิทธิพลด้านลบเป็นเชิงต่อต้านที่สองสิ่งนี้สร้างขึ้น โดยการนี้เปิดโอกาสให้เจ้าละวางการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่ไม่เหมาะควรเหล่านี้อย่างแข็งขัน  หลังสามัคคีธรรมกันว่าด้วยเรื่องทั้งหลายนี้แล้ว มีหรือที่บางคนจะไม่กล่าวว่า “ผู้คนสารพัดประเภทในโลกนี้ล้วนมีความสนใจและงานอดิเรกที่แตกต่างกันออกไป และความสนใจและงานอดิเรกของแต่ละบุคคลนี้เองที่ทำให้เกิดการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทั้งหลาย  สมมุติว่าพวกเราดำเนินไปตามหนทางที่กำลังพูดกันอยู่นี้ และผู้คนไม่ได้ออกไปไล่ตามเสาะหาอุดมคติและความอยากได้อยากมีของตัวเอง—โลกนี้จะพัฒนาขึ้นอย่างที่เป็นหรือ?  สาขาทั้งหลาย อย่างเช่น เทคโนโลยี วัฒนธรรม และการศึกษาของมวลมนุษย์ ซึ่งข้องเกี่ยวกับความอยู่รอดและชีวิตของมวลมนุษย์ จะยังพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร?  มวลมนุษย์จะยังสามารถชื่นชมวิถีชีวิตแบบปัจจุบันได้หรือไม่?  โลกจะพัฒนาจนมีสภาวะอย่างในปัจจุบันหรือไม่?  โลกจะไม่เป็นเหมือนสังคมบุพกาลหรือ?  พวกเราจะมีวิถีชีวิตแบบมนุษย์สมัยใหม่อย่างทุกวันนี้หรือ?”  เรื่องนี้เป็นประเด็นปัญหาหรือ?  เป็นไปได้ที่ไม่สำคัญว่าพวกเราสามัคคีธรรมกันด้วยหัวข้ออะไร พวกเจ้าก็ล้วนแต่ยอมรับหัวข้อนั้นจากมุมมองที่ว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ควรเป็นที่ยอมรับและนบนอบ” ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้ว พวกเจ้าไม่มีความเห็นต่างที่จะนำมาหักล้างพระวจนะที่เราสามัคคีธรรมแก่เจ้า  แต่นี่ไม่ใช่อย่างเดียวกับการไม่มีใครสักคน—หรือไม่มีบุคคลที่สาม—หยิบยกข้อกังขาเหล่านี้ขึ้นมาใช่ไหมเล่า?  หากมีบางคนหยิบยกคำถามเช่นนี้ขึ้นมาจริง พวกเจ้าจะตอบว่าอย่างไร?  (ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามุมมองที่แสดงในคำถามนี้นั้นผิด เพราะความสนใจและงานอดิเรกของผู้คนไม่ได้ควบคุมพัฒนาการของเทคโนโลยี และไม่ได้ควบคุมความก้าวหน้าของยุคทั้งหลาย  พัฒนาการของเทคโนโลยีและความก้าวหน้าของยุคสมัยทั้งหลาย ล้วนอยู่ใต้อธิปไตยของพระเจ้า  ท่านไม่อาจพูดได้ว่า ใครบางคนที่มีความสนใจหรืองานอดิเรกสักอย่าง สามารถผลักดันพัฒนาการของโลกให้ไปข้างหน้าได้ หรือพูดว่าพวกเขาเปลี่ยนโลกได้)  เจ้ากำลังพูดในระดับที่ตาเปล่ามองเห็น  มีวิธีมองเรื่องนี้แบบอื่นอีกหรือไม่?  นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเข้าใจความจริงจริงหรือไม่  พวกเจ้าคิดว่าหลังได้ยินพระวจนะแห่งการสามัคคีธรรมเหล่านี้แล้ว ผู้ไม่เชื่อจะหยิบยกคำถามแบบนี้ขึ้นมาหรือไม่?  (อาจจะ)  เช่นนั้น ถ้าพวกเขาหยิบยกคำถามนี้ขึ้นมา เจ้าจะตอบด้วยความจริงโดยสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ไร้อคติ—ได้อย่างไร?  หากเจ้าตอบไม่ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะบอกว่าเจ้าถูกตบตาเสียแล้ว  การที่เจ้าไม่สามารถตอบเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงสักข้อเป็นอย่างน้อย ก็คือการที่เจ้าไม่เข้าใจแง่มุมนี้ของความจริง  พวกเจ้าไม่สามารถตอบได้ใช่หรือไม่?  (พวกข้าพเจ้าไม่สามารถตอบได้)  เช่นนั้นแล้ว พวกเราก็พูดกันเรื่องนี้เถิด

บางคนกล่าวว่า “หากมวลมนุษย์ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาอุดมคติของตน เช่นนั้นแล้ว โลกจะได้พัฒนามาจนถึงภาวะปัจจุบันหรือไม่?”  คำตอบคือ “ใช่”  มันไม่เรียบง่ายหรือ?  (เรียบง่าย)  คำอธิบายที่เรียบง่ายที่สุด ตรงทื่อที่สุดสำหรับคำว่า “ใช่” นี้คืออะไรหรือ?  คำอธิบายนั้นคือ ไม่ว่ามวลมนุษย์จะไล่ตามเสาะหาอุดมคติของตัวเองหรือไม่ ก็ไม่ได้ส่งอิทธิพลใดต่อโลกนี้ เพราะพัฒนาการของโลกจวบจนปัจจุบันไม่ได้ถูกผลักดันไปข้างหน้าและนำทางโดยอุดมคติของมวลมนุษย์ หากแต่พระผู้สร้างทรงนำมวลมนุษย์มาสู่ปัจจุบัน มาสู่วันนี้  แม้ปราศจากการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขา มวลมนุษย์ก็จะมาถึงทุกวันนี้ได้ไม่ต่างกัน แต่หากปราศจากภาวะผู้นำและอธิปไตยของพระผู้สร้าง มวลมนุษย์จะมาไม่ถึง  คำอธิบายเช่นนี้เหมาะแล้วหรือไม่?  (เหมาะ)  เหมาะสมตรงไหน?  นั่นตอบคำถามนั้นหรือไม่?  นั่นอธิบายแก่นแท้ของคำถามนั้นหรือไม่?  นั่นไม่อธิบายแก่นแท้ เพียงแต่ตอบคำถามนั้นในเชิงทฤษฎี ในแบบที่เรียกได้ว่าเป็นคำจำกัดความของวิสัยทัศน์หนึ่ง  แต่มีคำอธิบายที่ลงรายละเอียดและเป็นแก่นแท้กว่านี้ ซึ่งยังไม่ถูกเปล่งออกมา  คำอธิบายลงรายละเอียดนั้นคืออะไร?  ขอพวกเราคุยกันอย่างเรียบง่ายก่อน  ในบรรดามวลมนุษย์ ผู้คนติดตามคนประเภทเดียวกับตัวเอง โดยคนแต่ละประเภทก็มีภารกิจของตัวเอง  ภารกิจของคนที่เชื่อในพระเจ้าคือการเป็นพยานยืนยันอธิปไตยของพระผู้สร้าง การเป็นพยานยืนยันพระจริยวัตรของพระองค์ การทำสิ่งที่พระองค์ทรงไว้วางพระทัยมอบหมายแก่พวกเขาให้ครบบริบูรณ์ การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และและได้รับช่วยให้รอดที่ปลายทาง  นี่คือภารกิจของพวกเขา  ถ้าพูดลงรายละเอียดกว่านี้ก็คือการเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ และจากนั้นก็ขว้างทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและได้รับการช่วยให้รอดโดยการยอมรับภาวะผู้นำของพระองค์และการรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์  พระเจ้าทรงเลือกสรรคนประเภทนี้  พวกเขาเป็นบุคคลประเภทที่ให้ความร่วมมือกับพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในพระราชกิจบริหารจัดการ  ภารกิจของบุคคลประเภทนี้คือการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีและทำสิ่งที่พระองค์ทรงไว้วางพระทัยมอบหมายแก่พวกเขาให้ครบบริบูรณ์  คนคนหนึ่งกล่าวได้ว่า คนเช่นนี้เป็นกลุ่มที่มีเอกลักษณ์ในบรรดาหมู่มวลมนุษย์  คนกลุ่มที่มีเอกลักษณ์นี้แบกรับภารกิจหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์ในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า—ในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ พวกเขามีหน้าที่หนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์และความรับผิดชอบหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์  ดังนั้น เมื่อเราบอกให้ละวางการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดจากความสนใจและงานอดิเรก เรากำลังพึงประสงค์ให้คนเหล่านี้—ซึ่งเราหมายถึงพวกเจ้าทุกคน—ละวางการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีส่วนตัว เพราะภารกิจของพวกเจ้า หน้าที่ของพวกเจ้า และความรับผิดชอบของพวกเจ้านั้น อยู่ที่พระนิเวศของพระเจ้าและที่คริสตจักร ไม่ใช่บนแผ่นดินโลกนี้  นี่คือการกล่าวว่า พวกเจ้าทั้งผองไม่ได้มีส่วนอะไรกับพัฒนาการและความรุดหน้าของโลกนี้หรือแนวโน้มใดของโลกนี้  คนคนหนึ่งกล่าวได้ว่า พระเจ้าไม่ได้จัดเตรียมภารกิจใดเกี่ยวกับพัฒนาการและความรุดหน้าของโลกนี้แก่พวกเจ้าเลย  นี่คือการทรงสถาปนาของพระองค์  ภารกิจใดเล่าที่พระเจ้าได้ประทานแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร ผู้ที่พระองค์จะช่วยให้รอด?  ภารกิจนั้นคือการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีในพระนิเวศของพระเจ้าและได้รับการช่วยให้รอด  หนึ่งในสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำเพื่อได้รับช่วยให้รอด คือการไล่ตามเสาะหาความจริง และหนึ่งในหนทางที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง คือการละวางการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน  ดังนั้นพระวจนะและข้อทรงพึงประสงค์เหล่านี้จึงไม่ได้มุ่งไปที่บรรดามวลมนุษย์ หากแต่ให้มุ่งไปที่พวกเจ้า ไปยังประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งพระองค์ได้คัดสรรแล้ว และไปยังทุกคนที่ต้องการได้รับการช่วยให้รอด—และแน่นอน พระวจนะและข้อทรงพึงประสงค์เหล่านี้ถูกให้มุ่งไปยังทุกคนที่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมวลมนุษย์  อะไรคือบทบาทที่พวกเจ้าสามารถเล่นได้ในพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า?  พวกเจ้าคือผู้ที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด  ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของคนที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด “ความรอด” นี้หมายรวมถึงอะไรบ้าง?  นั่นหมายรวมถึงการยอมรับพระวจนะของพระเจ้า การทรงตีสอนและการทรงพิพากษาของพระองค์ การทรงสถาปนาของพระองค์ อธิปไตยและการทรงจัดการเตรียมการของพระองค์ นบนอบต่อพระวจนะทั้งมวลของพระองค์ การเดินในหนทางทั้งหลายของพระองค์ และท้ายที่สุดก็คือการนมัสการพระองค์และการหลบเลี่ยงความชั่ว ด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าจะถูกช่วยให้รอด และเข้าไปสู่ยุคต่อไป  นี่คือบทบาทที่พวกเจ้าเล่นในบรรดาหมู่มวลมนุษย์ และเป็นภารกิจที่มีเอกลักษณ์ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่พวกเจ้าท่ามกลางผู้คนทั้งมวล  แน่นอนว่าหากพูดจากมุมมองของพวกเจ้า นี่เป็นความรับผิดชอบและหน้าที่ประเภทพิเศษที่พวกเจ้ามีท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์  นี่คือการพูดถึงประเด็นปัญหานี้จากมุมมองของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งพระองค์ได้ทรงคัดสรรแล้ว  รองลงมาคือ ท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ พระเจ้าได้ทรงมอบภารกิจหนึ่งที่มีเอกลักษณ์แก่คนกลุ่มที่มีเอกลักษณ์นี้  พระองค์ไม่ได้ทรงจำเป็นต้องให้พวกเขามีภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบใดในเรื่องการพัฒนา ความรุดหน้า หรือสิ่งอื่นใดที่เกี่ยวกับโลกนี้  นอกเหนือจากคนกลุ่มที่มีเอกลักษณ์นี้ พระเจ้ายังได้ประทานภารกิจสารพันแก่คนทุกประเภทที่เหลือซึ่งพระองค์ไม่ได้ทรงเลือกสรร ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมีแก่นแท้ธรรมชาติอย่างไร  ภารกิจทั้งหลายของพวกเขาเป็นเหตุให้พวกเขาเล่นบทบาทนานาสารพันในต่างช่วงเวลา ต่างสภาพแวดล้อมทางสังคม และต่างเชื้อชาติของมวลมนุษย์ เติมเต็มทุกชนชั้นอาชีพ  เนื่องด้วยบทบาทหลากหลายที่พระเจ้าทรง สถาปนาให้พวกเขาเล่น พวกเขาแต่ละคนจึงมีความสนใจและงานอดิเรกของตัวเอง  ภายใต้เงื่อนไขเบื้องต้นแห่งความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้ การไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทุกประเภทจึงเกิดขึ้นในพวกเขา  เนื่องจากพวกเขามีการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทุกประเภท โลกนี้จึงสร้างสิ่งใหม่และอุตสาหกรรมใหม่นานาประเภทขึ้นในต่างยุคและต่างสภาพแวดล้อมทางสังคม—ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยี การแพทย์ ธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ และการศึกษา หรืออุตสาหกรรมเบาอย่างสิ่งทอและงานหัตถกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมการบินและการเดินเรือ และอื่นๆ  ดังนั้น บุคคลสำคัญแถวหน้า ปัจเจกบุคคลที่โดดเด่น และคนมักใหญ่ใฝ่สูงที่มีเอกลักษณ์ซึ่งเกิดขึ้นในทุกสาขาอันเป็นผลลัพธ์ของการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันหลากหลายของพวกเขา จึงมีภารกิจของตัวเองในช่วงเวลาที่ต่างกัน และในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ต่างกันไป  ในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาก็ทำภารกิจของตัวเองให้ลุล่วงอย่างต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมทางสังคมเฉพาะของตัวเอง  ในหนทางนี้ สังคมจึงพัฒนาและรุดหน้าอย่างต่อเนื่องในต่างช่วงเวลาและสภาพแวดล้อมทางสังคมของมวลมนุษย์ โดยเป็นผลลัพธ์ของการทำให้การไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของปัจเจกบุคคลอันมีเอกลักษณ์เหล่านี้เป็นจริงขึ้นมา  และแน่นอนว่า การนั้นนำพาคุณสมบัติทั้งหลายของชีวิตฝ่ายวัตถุมาสู่มวลมนุษย์  ตัวอย่างเช่น เมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อนยังไม่มีไฟฟ้า ผู้คนจึงใช้ตะเกียงน้ำมัน  ในรูปการณ์แวดล้อมอันมีเอกลักษณ์เหล่านี้ บุคคลหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์ก็มาปรากฏและประดิษฐ์ไฟฟ้า และมวลมนุษย์ก็เริ่มใช้ไฟฟ้าเพื่อให้แสงสว่าง อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ในหนึ่งสภาพแวดล้อมเฉพาะทางสังคม บุคคลผู้มีเอกลักษณ์อีกคนได้ปรากฏขึ้น  เขาเห็นว่าการเขียนหนังสือบนแผ่นไม้ไผ่นั้นยุ่งยากเกินไป และเขาหวังว่าวันที่คนเราสามารถเขียนบนพื้นผิวที่บางและเรียบซึ่งทั้งสะดวกและอ่านง่ายจะมาถึง  แล้วเขาก็เริ่มค้นคว้าเทคนิคการผลิตกระดาษ และเขาก็ประดิษฐ์กระดาษขึ้นในที่สุดผ่านการค้นคว้า สำรวจ และทดลองอย่างต่อเนื่องของเขา  จากนั้นก็มีการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำด้วย  ในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์ บุคคลหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์ก็มาปรากฏ เขาคิดว่าการใช้มือทำงานเหนื่อยยากเกินไป สิ้นเปลืองพลังงานของมนุษย์มากเกินไป และไร้ประสิทธิภาพเกินไป  หากมีจักรกลหรือวิธีอื่นใดสามารถแทนที่แรงงานมนุษย์ได้ เช่นนั้นแล้ว ผู้คนก็จะประหยัดเวลาได้มากโขและสามารถทำสิ่งอื่นได้  ดังนั้นเครื่องจักรไอน้ำจึงถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยการค้นคว้าและสำรวจ และจากนั้นเครื่องกลไกสารพัดประเภทก็ถูกประดิษฐ์ขึ้นอย่างแล้วอย่างเล่า โดยใช้หลักการการขับเคลื่อนของเครื่องจักรไอน้ำ  นั่นไม่ได้เป็นแบบนั้นหรือ?  (เป็นแบบนั้น)  ดังนั้น ในช่างเวลาที่ต่างกันไป การพิสูจน์ยืนยันและการทำให้การไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของบุคคลหนึ่งหรือคนกลุ่มหนึ่งเป็นจริงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จึงค่อยๆ พัฒนาและขับเคลื่อนทั้งอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเบาไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้คุณภาพชีวิตและภาวะการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง  บัดนี้อุตสาหกรรมเบาอย่างสิ่งทอและงานหัตถกรรม กำลังพัฒนาคุณภาพ ความประณีต และความเที่ยงตรงไปในระดับที่สูงขึ้น และความชื่นชมยินดีของมวลมนุษย์ที่มีต่อสิ่งนี้ก็มากขึ้น  ส่วนอุตสาหกรรมหนักอย่างการคมนาคมสารพัดประเภท อาทิ รถยนต์ รถไฟ เรือกลไฟ และเครื่องบิน ก็ช่วยให้ชีวิตผู้คนง่ายขึ้นมาก ทำให้ผู้คนเดินทางได้ง่ายและสะดวก  นี่คือกระบวนการที่แท้จริงและการสำแดงแบบละเอียดแห่งพัฒนาการของมนุษยชาติ  กล่าวโดยสั้นก็คือ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเบาหรืออุตสาหกรรมหนัก ไม่ว่าจะในแง่มุมไหน ความสนใจและงานอดิเรกของบุคคลที่มีเอกลักษณ์คนหนึ่งหรือกลุ่มคนที่มีเอกลักษณ์นี่เอง ที่ริเริ่มและผลิตทุกสิ่ง  เนื่องด้วยความสนใจและงานอดิเรกอันมีเอกลักษณ์ของพวกเขา พวกเขาจึงมีการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตัวเอง  พร้อมกันนั้น เนื่องด้วยการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาในต่างช่วงเวลาของมวลมนุษย์และในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เขาใช้ชีวิตอยู่ สาขาวิชาอันหลากหลายในหมู่พวกเขาจึงทำให้เกิดสิ่งทั้งหลายที่รุดหน้าสารพัด เป็นสิ่งที่สะดวกขึ้น รวมถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์มากขึ้นต่อการฟูมฟักคุณภาพชีวิตท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งผอง  เรื่องนี้ช่วยผ่อนหนักให้มวลมนุษย์และฟูมฟักคุณภาพชีวิตของพวกเขา  พวกเราจะไม่พูดเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด  พวกเราจะพูดกันถึงจุดกำเนิดของปัจเจกชนที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้แทน  ปัจเจกชนที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้ในช่วงเวลาที่ต่างกันนั้นมาจากไหนเล่า?  พวกเขาไม่ได้มาจากการทรงสถาปนาของพระเจ้าหรือ?  (พวกเขามาจากการทรงสถาปนา)  ประเด็นนี้แน่นอนเกินกว่าจะสงสัย และไม่มีใครไม่ยอมรับได้  เมื่อมองว่าพวกเขาได้รับการทรงสถาปนาจากพระเจ้า ภารกิจของพวกเขาก็เกี่ยวข้องกับการทรงสถาปนาของพระเจ้าด้วย  ที่ว่า “เกี่ยวข้องกับการทรงสถาปนาของพระเจ้านั้น” หมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่าพระเจ้าได้ประทานภารกิจอันมีเอกลักษณ์แก่ปัจเจกบุคคลที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้ เป็นเหตุให้พวกเขามาปรากฏในเวลาที่เฉพาะ เพื่อทำสิ่งที่พวกเขาต้องการในเวลาที่เฉพาะ และจากนั้นก็กระตุ้นมนุษยชาติในต่างช่วงเวลา ผ่านสิ่งอันมีเอกลักษณ์ที่ปัจเจกชนเหล่านั้นทำ  เนื่องด้วยปัจเจกชนที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้เอง โลกนี้จึงกำลังเจอความเปลี่ยนแปลงและการสร้างขึ้นใหม่อันแยบคายอย่างต่อเนื่อง  นี่คือวิธีที่มนุษยชาติพัฒนา

อะไรคือความแตกต่างระหว่างพวกที่มีความสนใจและงานอดิเรกอันเป็นเอกลักษณ์กับบรรดาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งพระองค์ได้ทรงคัดสรรแล้ว?  ความแตกต่างนั้นคือ ถึงแม้พระเจ้าจะทรงลิขิตภารกิจอันเป็นเอกลักษณ์แก่ผู้คนเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่ใช่คนที่พระองค์ทรงลิขิตไว้สำหรับความรอด ดังนั้นข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาก็เพียงแค่พวกเขาต้องทำบางสิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ ในยุคที่เป็นเอกลักษณ์ และช่วงเวลาอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา  พวกเขาทำภารกิจของตนเสร็จสิ้น และเมื่อถึงเวลาอันเป็นเอกลักษณ์ พวกเขาก็จากไป  ในขณะที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก พระเจ้าย่อมไม่ทรงพระราชกิจแห่งความรอดในตัวให้พวกเขา  พวกเขามีเพียงภารกิจเพื่อการพัฒนาและความก้าวหน้าของสังคมนี้และมวลมนุษย์ หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงภาวะการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ในช่วงเวลาที่ต่างกันไปเท่านั้น  พวกเขาไม่เกี่ยวอะไรกับพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาทำภารกิจประเภทใดเสร็จสิ้น ไม่ว่าพวกเขามีคุณูปการต่อมวลมนุษย์มากเพียงใด หรือมีอิทธิพลต่อมวลมนุษย์ลุ่มลึกเพียงใด พวกเขาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ของพระเจ้าเลย  พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ ของกระแสนิยม ของการพัฒนา รวมถึงของทุกๆ สาขาวิชาและอุตสาหกรรมของโลกใบนี้ พวกเขาไม่เกี่ยวอะไรกับพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ของพระเจ้าเลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เกี่ยวอะไรกับพระวจนะแต่ละคำที่พระองค์ตรัส พระวจนะแต่ละคำที่พระองค์ทรงจัดเตรียมแก่มวลมนุษย์ ความจริงและชีวิตที่พระองค์ทรงแสดง หรือข้อพึงประสงค์หลากหลายที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์เลย  นี่หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าถ้อยดำรัสที่พระเจ้าตรัสต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง ต่อทั้งจักรวาล ไปจนถึงข้อพึงประสงค์และหลักธรรมเฉพาะที่พระองค์ตรัสถึงนั้นไม่ได้มุ่งไปที่ผู้คนทั้งหมด แน่นอนว่ายิ่งไม่ได้มุ่งไปยังผู้คนที่มีเอกลักษณ์ซึ่งรับบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคมมนุษย์  พระวจนะของพระเจ้า—ความจริง หนทาง และชีวิต—มุ่งตรงไปยังประชากรที่ได้รับการเลือกสรรซึ่งพระเจ้าทรงคัดสรรแล้วเท่านั้น  ประเด็นนี้อธิบายได้อย่างง่ายดาย กล่าวคือพระวจนะของพระเจ้ามุ่งตรงไปยังใครก็ตามที่พระองค์ทรงเลือกสรร ใครก็ตามที่พระองค์ทรงต้องการช่วยให้รอด ใครก็ตามที่พระองค์ทรงต้องการให้พวกเขาได้รับการช่วยให้รอด  หากใครบางคนไม่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า และหากว่าพระองค์ไม่ทรงวางแผนที่จะช่วยพวกเขาให้รอด เช่นนั้นแล้วพระวจนะแห่งชีวิตเหล่านี้ก็จะไม่ถูกตรัสกับพวกเขา—พวกเขาจึงไม่มีส่วนร่วมในพระวจนะเหล่านั้น  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  ปัจเจกชนที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้มีความสนใจและงานอดิเรกอันเป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงมีการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่แตกต่างและสูงกว่าคนทั่วไป  เพราะพวกเขามีการไล่ตามไขว่คว้า  อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเป็นเอกลักษณ์เหล่านี้ และเพราะพวกเขามีความสนใจและงานอดิเรกที่มีความแตกต่างหรือเป็นเอกลักษณ์ พวกเขาจึงรับบทบาทสำคัญระหว่างการพัฒนาสังคมมนุษย์ และแน่นอนว่าพวกเขาทำภารกิจที่สำคัญของตนเองเสร็จสิ้นในช่วงเวลาอื่น  ไม่ว่าท้ายที่สุดพวกเขาได้ทำภารกิจของตนเองให้เสร็จสิ้นตามมาตรฐานที่ยอมรับได้หรือไม่ ก็มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เกิดขึ้นจากความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้  เนื่องด้วยบุคคลเหล่านี้มีภารกิจอันเป็นเอกลักษณ์ พวกเขาจึงต้องทำให้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตนเป็นจริงขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่งและภายใต้รูปการณ์แวดล้อมทางสังคมรูปแบบหนึ่ง  นี่เป็นภารกิจที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา เป็นภารกิจที่พระองค์ทรงเพิ่มให้พวกเขา นี่คือความรับผิดชอบของพวกเขา และเป็นวิธีที่พวกเขาต้องปฏิบัติตน  ไม่ว่าเนื้อหนัง หัวใจ หรือโลกทางความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาแบกรับความเคร่งเครียดมากแค่ไหน หรือพวกเขาต้องยอมลำบากมากเพียงใด เพื่อไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมานั้น พวกเขาทุกคนจะ—หรือต้อง—ทำภารกิจที่ตนเองควรทำให้เสร็จสิ้น เพราะนี่คือการลิขิตของพระเจ้า  ไม่มีผู้ใดสามารถหนีพ้นจากการลิขิตของพระเจ้าได้ และไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดไปจากอธิปไตยหรือการจัดการเตรียมการของพระองค์  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เกี่ยวอะไรโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่พวกเรากำลังพูดถึงในเรื่องของการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน  การบอกว่าสองสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกันหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพระวจนะที่ว่าด้วยการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คนเหล่านี้ ไม่ได้มุ่งตรงไปยังพวกเขา  ไม่ว่าช่วงเวลาใด ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมทางสังคมเป็นอย่างไร และไม่ว่ามวลมนุษย์พัฒนาไปถึงจุดไหน พระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา  พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้มุ่งตรงไปยังพวกเขา ดังนั้นพระวจนะเหล่านี้จึงไม่ใช่ข้อพึงประสงค์ที่มีต่อพวกเขา  พวกเขาต้องทำภารกิจที่ควรทำให้เสร็จสิ้นภายใต้การลิขิต อธิปไตย และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  พวกเขาต้องทำสิ่งที่พวกเขาพึงกระทำในช่วงเวลาที่ต่างกัน ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมทางสังคมที่ต่างกันของมวลมนุษย์ที่เลวและเสื่อมทราม ทำภาระผูกพันของตนให้ลุล่วง อีกทั้งทำภารกิจที่พวกเขาควรจะทำให้เสร็จสิ้น  เช่นนั้นพวกเขากำลังมีบทบาทอยู่ในส่วนของคนปรนนิบัติหรือตัวประกอบเสริมความเด่น?  ไม่ว่าเจ้าพูดเช่นไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น  โดยสรุปแล้วพวกเขาไม่ใช่บรรดาคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และไม่ใช่คนที่พระองค์ทรงต้องการช่วยให้รอด—แค่นั้นเอง  ดังนั้นไม่ว่าผู้เชื่อละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอย่างไร ก็จะไม่ทำให้การพัฒนาของโลกใบนี้หรือของมวลมนุษย์ล่าช้า และแน่นอนว่าจะไม่ทำให้การพัฒนาของสาขาวิชาและอุตสาหกรรมหลากหลายในช่วงเวลาที่ต่างกัน และในรูปการณ์แวดล้อมทางสังคมที่ต่างกันล่าช้า  เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เหตุผลคืออะไร?  เหตุผลคือการพัฒนาของมวลมนุษย์และอุตสาหกรรมทั้งหลายในสังคมไม่เกี่ยวข้องกับผู้เชื่อหรือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ดังนั้นเจ้าจึงไม่ต้องกังวลว่า “หากพวกเราทำตามที่พระองค์ตรัสและละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมี แล้วสังคมนี้กับมวลมนุษย์จะพัฒนาต่อไปหรือไม่?”  เหตุใดเจ้าจึงวิตกกังวลเล่า?  เจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเลย  พระเจ้าทรงมีแผนการและการจัดการเตรียมการ—เจ้าเข้าใจเรื่องนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  ความวิตกกังวลของเจ้าเกินความจำเป็น ซึ่งเกิดจากการที่เจ้าไม่ได้มองเห็นสิ่งทั้งหลายอย่างชัดเจน และจากการที่เจ้าไม่เข้าใจความจริง

สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่ผู้เชื่อในพระเจ้าพึงมี?  เจ้าต้องทำหน้าที่ของตนให้ดี ให้ถึงตามมาตรฐานที่ยอมรับได้ ทำสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้าให้เสร็จสิ้น ไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงในกระบวนการแห่งการทำหน้าที่ของเจ้า สัมฤทธิ์การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง โดยการมีทัศนะต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมถึงการวางตัวของตนเองและการปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ด้วยการมีความจริงเป็นเกณฑ์ของเจ้า  สิ่งเหล่านี้คือการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เจ้าพึงมี  การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทางโลกที่เกิดขึ้นจากความสนใจและงานอดิเรกนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าควรจะละวางไปเสีย  เหตุใดเจ้าจึงจำเป็นต้องละวางสิ่งเหล่านั้น?  เจ้าแตกต่างจากผู้คนภายนอกคริสตจักร พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเจ้า ส่วนเจ้าได้เลือกที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าได้ตัดสินใจแล้วที่จะติดตามเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง ดังนั้นเป้าหมายและทิศทางชีวิตของเจ้าจึงควรมีประสบการณ์การเปลี่ยนแปลง และเจ้าควรละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดขึ้นจากความสนใจและงานอดิเรกโดยครบถ้วนและสมบูรณ์  เหตุใดเจ้าจึงต้องละวางสิ่งเหล่านั้น?  เพราะนั่นไม่ใช่ทางที่เจ้าควรเดิน  นั่นคือถนนของผู้ไม่เชื่อ ของพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้า  หากเจ้าไล่ตามไขว่คว้าที่จะเดินไปบนถนนสายนั้น เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ใช่หนึ่งในบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  หากเจ้าไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากได้อยากมีเช่นเดียวกับผู้ไม่เชื่อ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้  พูดให้เจาะจงยิ่งขึ้นก็คือหากเจ้าไม่สามารถละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของเจ้าได้ และยิ่งกว่านั้นก็คือเจ้าต้องการทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นจริงขึ้นมา เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่สามารถนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้า หรือยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ และเจ้าจะไม่มีวันได้รับการช่วยให้รอด  การนี้หมายความว่าอย่างไร?  การไม่สามารถละวางการไล่ตามไขว่คว้า  อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของเจ้า และซ้ำร้ายยังอยากให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงด้วย เทียบเท่ากับการที่เจ้าละทิ้งการไล่ตามเสาะหาความจริง การละทิ้งความรอด และการไม่ต้องการนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นสุดท้ายก็ย่อมเป็นอย่างที่เราพูด นั่นคือ หากเจ้าต้องการไล่ตามเสาะหาความจริง ก่อนอื่นเจ้าควรละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดจากความสนใจและงานอดิเรกเสียก่อน  เจ้าต้องละวางสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เพราะการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากได้อยากมีทางโลกไม่เกี่ยวอะไรกับบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอดเลย นั่นไม่ใช่ถนนที่เจ้าควรเดิน อีกทั้งไม่ใช่เป้าหมายและทิศทางที่เจ้าควรกำหนดและมีในชีวิตของเจ้า  หากเจ้ามักจะวางแผนและคิดคำนวณเรื่องนี้อยู่ในใจ เค้นสมองเพื่อใคร่ครวญและพิจารณาถึงการนี้อยู่บ่อยครั้ง เช่นนั้นเจ้าก็ควรละวางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  เจ้าไม่อาจเหยียบเรือสองแคมโดยต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงและสัมฤทธิ์ความรอด ในขณะเดียวกันก็อยากไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทางโลก พร้อมทำให้อุดมคติและความอยากได้อยากมีของตนเองเป็นจริงได้  ในหนทางนี้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่สามารถสัมฤทธิ์หรือทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นจริงได้เท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น—และเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด—สิ่งนั้นจะส่งผลกระทบต่อความรอดของเจ้าด้วย  ท้ายที่สุดเจ้าจะพลาดพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ของพระเจ้า ปล่อยให้โอกาสที่ดีที่สุดสำหรับความรอดของมวลมนุษย์ของพระเจ้าหลุดมือไป และเสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด  สุดท้ายเจ้าจะร่วงลงสู่ความวิบัติ ตีอกชกตัวกระทืบเท้า และจะเสียใจก็สายเกินไปแล้ว—นี่ย่อมจะเป็นชะตากรรมอันน่าเศร้าของเจ้า  หากเจ้าเป็นคนฉลาดหลักแหลม และตัดสินใจแล้วว่าจะไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นเจ้าก็ควรละวางอุดมคติและความอยากได้อยากมีที่เจ้าเคยมีหรือยังคงไล่ตามไขว่คว้าอยู่  พวกคนเขลา พวกโง่เง่า คนที่ไร้ปัญญา และผู้คนที่สับสนเลอะเลือน—ผู้คนเหล่านี้ต้องการที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการช่วยให้รอด แต่พวกเขาไม่ต้องการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทางโลก  พวกเขาต้องการที่จะได้ทั้งสองทาง  พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติตนในหนทางนี้เป็นการได้เปรียบ เป็นสิ่งที่ฉลาดหลักแหลม  ขณะที่ในข้อเท็จจริงแล้ว นี่เป็นครรลองที่โง่เง่าที่สุดในการปฏิบัติตนทั้งหมด  ผู้คนที่ฉลาดหลักแหลมย่อมจะละทิ้งการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทางโลกของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง เลือกที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการช่วยให้รอด  ไม่ว่าโลกนี้พัฒนาไปถึงระดับไหน และไม่ว่าสภาวะของกิจการหรือการพัฒนาของสาขาวิชาและอุตสาหกรรมที่หลากหลายจะเป็นเช่นไร ก็ไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวกับเจ้าเลย  จงปล่อยให้พวกที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ปล่อยให้พวกมารที่ใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกทำในสิ่งที่พวกเขาพึงกระทำ  สิ่งที่พวกเราจะทำนั้น ในทางหนึ่งก็เพื่อทำหน้าที่ที่พวกเราควรทำให้เสร็จสิ้น และอีกทางหนึ่งก็เพื่อชื่นชมผลจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขา ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้!  ตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมาเป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่และการทำงานของเจ้าอย่างยิ่ง  เจ้ารับและใช้สิ่งนั้น ทำให้สิ่งนั้นรับใช้เจ้า เจ้าทำให้สิ่งนั้นช่วยเหลือเจ้าเวลาที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้า ช่วยให้เจ้าทำงานของตนให้เสร็จสิ้นได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ของเจ้า และทำให้ผลลัพธ์ของหน้าที่ดังกล่าวดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการประหยัดเวลาได้มากขึ้นด้วย  ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน!  เจ้าไม่จำเป็นต้องเค้นสมองของเจ้าในการค้นคว้าว่า “ซอฟต์แวร์ตัวนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาได้อย่างไร?  มันมาจากใคร?  ฉันควรทุ่มเทความพยายามให้กับซอฟต์แวร์ตัวนี้ในทางเทคนิคนี่ได้อย่างไร?”  การที่เจ้าเค้นสมองเช่นนี้นั้นไร้ประโยชน์  ความคิดและเรี่ยวแรงของเจ้าไม่ได้มีไว้เพื่อสิ่งนี้  เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้เรี่ยวแรงหรือเซลล์สมองของเจ้าเพื่อมีส่วนช่วยในเรื่องนี้  ปล่อยให้ผู้คนทางโลกที่ควรทำการนี้มีส่วนช่วยเถิด  หลังจากที่พวกเขามีส่วนช่วยแล้วพวกเราค่อยนำมาใช้  ช่างวิเศษเหลือเกิน!  ทุกสิ่งถูกทำไว้ให้พร้อมใช้แล้ว  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นที่จะต้องไล่ตามไขว่คว้าสิ่งนี้ อีกทั้งเจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลหรือทุ่มเทความพยายามให้กับเรื่องเหล่านี้  เจ้าไม่จำเป็นต้องรับอะไรมาทำเสียเอง และไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงหรือกังวลใจในเรื่องใด  ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องทำคือทำหน้าที่ของตนให้ดี ไล่ตามเสาะหาความจริง สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  นี่เป็นเส้นทางที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตมิใช่หรือ?  (ใช่)

พวกเจ้าเข้าใจประเด็นปัญหาของการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากได้อยากมีหรือไม่?  คนบางคนกล่าวว่า “หากผู้คนไม่ไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของพวกเขา เช่นนั้นโลกนี้จะยังมีการพัฒนาไปข้างหน้าอยู่หรือไม่?”  เราตอบว่ายังจะมี  พวกเจ้าจับใจความจากคำตอบนี้ได้หรือไม่?  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  เช่นนั้นพวกเจ้าก็มองเห็นแก่นแท้ของประเด็นปัญหาที่พวกเรากำลังพูดถึงอยู่ได้อย่างชัดเจนด้วยใช่หรือไม่?  อันที่จริงก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเป็นเรื่องของคำพูดสุดท้าย—นั่นคือการพัฒนา ความก้าวหน้า และกิจธุระทั้งหลายบนโลก—ปล่อยให้พวกมารผู้อยู่บนโลก หรือที่เรียกว่า “มนุษย์” ผู้เป็นส่วนหนึ่งของโลกจัดการเรื่องนี้เถิด  การนี้ไม่เกี่ยวกับบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าเลย  ภารกิจและความรับผิดชอบของบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าเหล่านั้นคืออะไร?  (คือการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ดี ไล่ตามเสาะหาความจริง และสัมฤทธิ์ความรอด)  ถูกต้อง  สิ่งนี้เฉพาะเจาะจงและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก  นี่ไม่เรียบง่ายหรอกหรือ?  (เรียบง่าย)  บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าพึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริงและเดินตามหนทางของพระองค์เท่านั้น และท้ายที่สุดพวกเขาย่อมจะได้รับการช่วยให้รอด  นี่คือภารกิจของเจ้า อีกทั้งเป็นความคาดหวังและความหวังสูงสุดที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเจ้า  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการเรื่องที่เหลือ ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นที่จะต้องกระวนกระวายหรือกังวลใจ  เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะได้ชื่นชมทุกสิ่งที่เจ้าควรได้ชื่นชม ได้กินทุกอย่างที่เจ้าควรได้กิน และได้ใช้ทุกอย่างที่เจ้าควรได้ใช้  ทุกสิ่งจะมากเกินกว่าที่เจ้าจินตนาการและคาดหวัง อีกทั้งจะอุดมสมบูรณ์  พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าขาดพร่องและขัดสน  มีบรรทัดหนึ่งในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่าพระภาระขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเบา  ต้นฉบับกล่าวว่าอย่างไร?  (“ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:30))  นั่นคือความหมายมิใช่หรือ?  (ใช่)  การพึงให้เจ้าปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตัวเจ้าเองไม่ได้มุ่งหมายที่จะทำให้เจ้าเป็นคนธรรมดาๆ ทำให้เจ้าเป็นคนขี้เกียจ ไร้ซึ่งการไล่ตามเสาะหา และไม่ได้ทำให้เจ้าเป็นซากศพเดินได้ เป็นคนที่ไร้วิญญาณ ในทางกลับกัน การนี้มุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางและเป้าหมายที่ไม่ถูกต้องในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า  เจ้าควรที่จะการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เจ้าไม่ควรมี และกำหนดการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่ถูกต้อง  เจ้าสามารถเดินบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องได้ด้วยหนทางนี้เท่านั้น  เช่นนั้นปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้วใช่หรือไม่?  หากผู้คนไม่ไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของพวกเขา โลกนี้จะยังพัฒนาต่อไปหรือไม่?  คำตอบคือ “ใช่”  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  (เพราะพระเจ้าได้ทรงลิขิตภารกิจให้แก่พวกที่อยู่บนโลก กล่าวคือ พวกเขาจะทำงานนี้)  ถูกต้อง นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงมีการลิขิตและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องร้อนใจ  โลกจะพัฒนาไป และผู้เชื่อในพระเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเสนอตัวทำภารกิจนี้ ไม่ต้องลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันนี้  พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสิ่งทั้งหลายไว้แล้ว  เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการผู้ใด  การที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง เดินตามหนทางของพระเจ้า และสัมฤทธิ์ความรอดย่อมเพียงพอแล้ว  เจ้าจำเป็นต้องกังวลในเรื่องอื่นใดอีกหรือไม่?  (ไม่)  ไม่จำเป็น  เพราะฉะนั้นการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คนจึงเป็นเส้นทางที่เจ้าพึงปฏิบัติ  เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าหลังจากที่เจ้าปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากได้อยากมีของเจ้าแล้ว โลกหรือมวลมนุษย์จะกลายเป็นเช่นไร  นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องกังวล  การนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า  พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสิ่งทั้งหลายเอาไว้แล้ว  ง่ายเช่นนั้นทีเดียว  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  ด้วยการสามัคคีธรรมในหนทางนี้ เรามิได้แก้ไขปัญหาที่รากเหง้าหรอกหรือ?  (พระองค์ทรงแก้ไขที่รากเหง้าแล้ว)  หากมีใครบางคนถามพวกเจ้าอีกครั้ง พวกเจ้าจะมองและอธิบายปัญหานี้อย่างไร?  หากมีคนบางคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามาถามว่า “พวกคุณพูดเรื่องการไม่ไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติ การปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากได้อยากมีอยู่ตลอดเวลา  ถ้าทุกคนปฏิบัติตามพวกคุณ แล้วโลกนี้จะยังดำรงอยู่หรือไม่?  มนุษยชาติจะพัฒนาต่อไปหรือไม่?”  เช่นนั้นเจ้าก็สามารถตอบคำถามนี้ได้โดยกล่าวว่า “แต่ละคนมีความมุ่งมาดปรารถนาของตัวเอง คุณไม่สามารถบังคับพวกเขาได้”  นี่คือคำกล่าวยอดนิยมบนโลก  เจ้าควรกล่าวว่า “พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขา นั่นเป็นความจริง  หากคุณเต็มใจที่จะยอมรับ เช่นนั้นคุณก็สามารถปล่อยมือจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้  หากคุณไม่เต็มใจที่จะยอมรับ เช่นนั้นคุณก็สามารถเลือกที่จะไม่ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน  พระเจ้าจะไม่ทรงบังคับใคร  การปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของคุณเป็นความสมัครใจในส่วนของคุณ อีกทั้งเป็นสิทธิ์ของคุณ  การไม่ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ก็เป็นความสมัครใจ และเป็นสิทธิ์ของคุณเช่นกัน  ทุกๆ คนมีภารกิจจำเพาะของตัวเอง  ในหมู่มวลมนุษย์ทั้งปวง แต่ละคนมีภารกิจของตนเอง มีบทบาทของตนเองที่ควรแสดง  ทางเลือกของผู้คนแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเส้นทางที่พวกเขาเดินจึงต่างกัน  คุณเลือกที่จะไล่ตามไขว่คว้าทางโลก ทำอุดมคติและความอยากได้อยากมีของคุณบนโลกให้เป็นจริง และแสดงคุณค่าของคุณให้เห็น ในขณะที่ฉันเลือกที่จะปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของฉันเพื่อติดตามพระเจ้า เพื่อฟังพระวจนของพระองค์ เพื่อเดินตามหนทางของพระองค์ และเพื่อทำให้พระองค์พอพระทัย  ท้ายที่สุดฉันก็จะสามารถบรรลุความรอด  การที่คุณไม่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางนี้ก็เป็นเสรีภาพของคุณที่จะทำ  ไม่มีใครสามารถบังคับคุณได้”  คำตอบนี้เป็นอย่างไร?  (เป็นคำตอบที่ดี)  หากเจ้าสามารถยอมรับแนวคิดของการ “ปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน” เช่นนั้นแล้ว พระวจนะเหล่านี้ก็มุ่งตรงไปสู่เจ้า  หากเจ้าไม่สามารถยอมรับแนวคิดนี้ เช่นนั้นก็ไม่มีการบ่งชี้ว่าเจ้าต้องฟังและยอมรับพระวจนะเหล่านี้  เจ้าสามารถเลือกที่จะไม่ฟัง เจ้าสามารถเลือกที่จะสูญเสียพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ และละทิ้งโอกาสในความรอดของเจ้า  นี่เป็นสิทธิ์ของเจ้า  เจ้าสามารถไม่ปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของเจ้า อีกทั้งออกไปสู่โลก และทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นจริงด้วยความกล้าหาญและเชื่อมั่นในตนเองได้เช่นกัน  จะไม่มีใครบังคับเจ้า และจะไม่มีใครกล่าวโทษเจ้า  นี่เป็นสิทธิ์ของเจ้า  ทางเลือกของเจ้าเป็นภารกิจของเจ้าด้วย และภารกิจของเจ้าก็เป็นบทบาทที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตให้เจ้าแสดงท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย  แค่นั้นเอง  นี่คือสภาวะที่แท้จริงของข้อเท็จจริงทั้งหลาย  ไม่ว่าเจ้าเลือกสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็นประเภทของถนนที่เจ้าจะเดิน ไม่ว่าเจ้าเดินบนถนนแบบใด นั่นก็เป็นบทบาทที่เจ้าจะแสดงในหมู่มนุษย์  ง่ายเช่นนั้นเอง  นี่คือสภาวะที่แท้จริงของข้อเท็จจริงทั้งหลาย  ดังนั้นจึงยังคงเป็นคำพูดจากก่อนหน้านี้ว่า “แต่ละคนมีความมุ่งมาดปรารถนาของตัวเอง คุณไม่สามารถบังคับพวกเขาได้”  ทว่าความมุ่งมาดปรารถนานั้นมาจากไหน?  โดยต้นกำเนิดแล้ว นี่คือสิ่งที่ถูกลิขิตโดยพระเจ้า  หากเจ้าไม่เลือกที่จะยอมรับความจริงและทำหน้าที่ของตนให้ดี เช่นนั้นแล้ว นี่ก็หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงเลือกสรรเจ้า และเจ้าไม่มีโอกาสได้รับความรอด  พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าไม่มีพรข้อนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้  หากเจ้าไม่สนใจการเชื่อในพระเจ้าหรือการไล่ตามเสาะหาความจริง—หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาแง่มุมนี้—เช่นนั้นเจ้าย่อมปราศจากพรข้อนี้  บรรดาผู้ที่ได้รับการลิขิตให้เข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของพวกเขาที่นั่น  ไม่ว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด พวกเขาก็ฟัง หากพระองค์ต้องประสงค์ให้พวกเขาปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตน พวกเขาย่อมทำเช่นนั้น  หากพวกเขาไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะเค้นสมองใคร่ครวญหาวิธีที่จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น  คนบางคนที่เป็นเช่นนี้เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความรอด  นี่คือความต้องการและความประสงค์ที่อยู่ลึกที่สุดในดวงจิตของพวกเขา ซึ่งถูกลิขิตโดยพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงมีพรนี้ ซึ่งถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขา  บทบาทที่พระเจ้าทรงลิขิตให้แก่เจ้าคือบทบาทที่เจ้าควรแสดง  นั่นคือต้นกำเนิด  พวกที่ไม่ได้รับพรย่อมไล่ตามไขว่คว้าทางโลก ขณะที่บรรดาผู้ที่ได้รับพรไล่ตามเสาะหาความจริง—นั่นมิใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  (ใช่)  ดังนั้นหากใครบางคนถามพวกเจ้าอีกครั้ง พวกเจ้าจะสามารถตอบได้หรือไม่?  (ได้)  คำตอบที่ง่ายที่สุดคืออะไร?  (แต่ละคนมีความมุ่งมาดปรารถนาของตัวเอง คุณไม่สามารถบังคับพวกเขาได้)  แต่ละคนมีความมุ่งมาดปรารถนาของตัวเอง เจ้าไม่สามารถบังคับพวกเขาได้  การพึงให้เจ้าปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตนนั้นเพียงหมายมั่นที่จะมอบเส้นทางแห่งการปฏิบัติให้แก่เจ้า  เจ้าสามารถเลือกที่จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น และเจ้าก็สามารถเลือกที่จะไม่ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น  แต่ละคนมีความมุ่งมาดปรารถนาของตัวเอง เจ้าไม่สามารถบังคับพวกเขาได้  หากเจ้ายอมรับ เช่นนั้นพระวจนะเหล่านี้ก็มุ่งตรงไปสู่เจ้า  หากเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นแล้วพระวจนะเหล่านี้ก็ไม่ได้มุ่งตรงไปสู่เจ้า และการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้ามีอิสระ  ประเด็นปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ดังนั้นจะไม่มีผู้ใดเอาแต่พูดพร่ำในเรื่องนี้อีกใช่หรือไม่?  (ใช่)

มีอีกหนึ่งประเด็นเกี่ยวกับการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน  บางคนกล่าวว่า “ตอนนี้พระองค์ตรัสถึงการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน—นี่เป็นเพราะเวลานั้นใกล้เข้ามา นี่คือยุคสุดท้าย และความวิบัติมาถึง และเพราะวันแห่งพระเจ้าก็ได้มาถึงแล้ว พระองค์จึงทรงมีพระประสงค์ให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาใช่หรือไม่?”  เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่ใช่)  คำตอบนี้เป็นลบ ไม่ใช่!  ดังนั้นพวกเรามาพูดถึงเหตุผลจำเพาะกันดีกว่า  ในเมื่อคำตอบคือไม่ใช่ แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมีประเด็นโดยละเอียดบางประการที่จำเป็นต้องได้รับการสามัคคีธรรมและทำความเข้าใจ  พวกเรามาพูดคุยเรื่องนี้กันเถิด  เมื่อสองพันปีก่อน หรือแม้แต่เมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา สภาพแวดล้อมทางสังคมทั้งหมดแตกต่างจากปัจจุบัน กล่าวคือ สภาวะของกิจธุระของมวลมนุษย์ต่างจากทุกวันนี้  สภาพแวดล้อมในชีวิตของพวกเขาเป็นระเบียบมาก  โลกไม่เลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สังคมมนุษย์ไม่วุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ และไม่มีความวิบัติ  ผู้คนยังจำเป็นต้องปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาอยู่หรือไม่?  (จำเป็น)  ทำไมเล่า?  จงให้เหตุผลและพูดถึงความรู้จำเพาะของพวกเจ้าเถิด  (ขณะนี้ที่มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พวกเขาจึงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน ดังนั้นในยามที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากได้อยากมีของตน ทั้งหมดจึงเป็นไปเพื่อการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ  เพราะพวกเขาไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ พวกเขาจึงดิ้นรนและต่อสู้กันเอง สู้เพื่อชีวิตและความตาย ผลก็คือพวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามหนักยิ่งกว่าเดิม สูญเสียรูปลักษณ์ของความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังห่างออกจากพระเจ้ามากขึ้นทุกที  นั่นทำให้คนเราสามารถเห็นได้ว่าเส้นทางของการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากได้อยากมีนั้นผิดพลาด  ดังนั้นการที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาจึงไม่ใช่เพราะวันแห่งพระเจ้าใกล้เข้ามา ในทางกลับกัน ผู้คนไม่ควรไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่แรก  พวกเขาควรไล่ตามเสาะหาอย่างถูกต้องตามพระวจนะของพระเจ้า)  พวกเจ้าคิดว่าการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คนคือหลักธรรมในการปฏิบัติใช่หรือไม่?  (ใช่)  การปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คนคือความจริงใช่หรือไม่?  เป็นข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือความจริง คือข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นหนทางที่ผู้คนควรเดินตามใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในเมื่อนี่คือความจริง คือข้อพึงประสงค์จำเพาะที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และเป็นหนทางที่ผู้คนควรเดินตาม การนี้จึงต่างกันที่เวลาและภูมิหลังใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ทำไมไม่ใช่เล่า?  เพราะความจริง ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และหนทางของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของเวลา สถานที่ หรือสภาพแวดล้อม  ไม่ว่าเวลาใด ไม่ว่าสถานที่ใด และไม่ว่าพื้นที่ใด ความจริงย่อมเป็นความจริงเสมอ และมาตรฐานที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ต่อมนุษย์ย่อมไม่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งมาตรฐานที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ต่อผู้ติดตามของพระองค์ด้วย  ดังนั้นสำหรับผู้ติดตามพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าเวลา สถานที่ หรือบริบทใด หนทางของพระเจ้าที่พวกเขาควรเดินตามย่อมไม่เปลี่ยนแปลง  ดังนั้น การพึงให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาในยุคปัจจุบันจึงไม่ใช่ข้อพึงประสงค์ที่วางไว้ให้มนุษย์เพียงเพราะเวลาใกล้เข้ามาหรือเพราะยุคสุดท้ายมาถึงแล้ว อีกทั้งไม่ใช่เพราะเวลาเหลือน้อยและความวิบัติใหญ่หลวง และไม่ใช่เพราะความกลัวว่ามนุษย์จะร่วงลงสู่ความวิบัติจึงมีข้อพึงประสงค์เร่งด่วนดังกล่าวต่อมนุษย์ จึงพึงให้พวกเขามีส่วนร่วมในครรลองของการปฏิบัติตนที่สุดขีดและสุดโต่งเพื่อที่จะสัมฤทธิ์การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงโดยเร็วที่สุด  การนี้มิใช่เหตุผล  เช่นนั้นแล้วเหตุผลคืออะไร?  ไม่ว่าในเวลาใด ไม่ว่าสองถึงสามร้อยหรือสองถึงสามพันปีก่อน—แม้กระทั่งในปัจจุบัน—ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ในเรื่องนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  เพียงแต่ว่าเมื่อสองสามพันปีที่แล้ว หรือแม้กระทั่งช่วงเวลาใดก็ตามก่อนจะถึงวันนี้ พระเจ้าไม่ได้ทรงเผยแพร่พระวจนะเหล่านี้ต่อมวลมนุษย์อย่างเปิดเผยโดยละเอียด แต่ข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์นั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยไม่ว่าในเวลาใดก็ตาม  เริ่มตั้งแต่มนุษย์มีการเก็บบันทึก ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อพวกเขาก็ไม่เคยให้พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าโลกอย่างแข็งขัน หรือทำให้อุดมคติและความอยากได้อยากมีของพวกเขาในโลกนี้เป็นจริง  ข้อพึงประสงค์เดียวที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาคือให้ฟังพระวจนะของพระองค์ เดินตามหนทางของพระองค์ ไม่จมปลักกับโลก และไม่ไล่ตามโลก  ปล่อยให้ผู้คนบนโลกใบนี้จัดการเรื่องทางโลก ปล่อยให้พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ให้สมบูรณ์  คนเหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรกับบรรดาผู้ที่เชื่อและติดตามพระเจ้า  สิ่งเดียวที่ผู้เชื่อในพระเจ้าจำเป็นต้องทำคือเดินตามหนทางของพระเจ้าและติดตามพระองค์  การเดินตามหนทางของพระเจ้าเป็นบางสิ่งที่ผู้เชื่อและผู้ติดตามพระเจ้าต้องทำเป็นหน้าที่  เรื่องนี้ไม่มีความแตกต่างไปตามกาลเวลา สถานที่ หรือภูมิหลัง  แม้แต่ในอนาคตเมื่อมวลมนุษย์ได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่ยุคถัดไป ข้อพึงประสงค์นี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง  การฟังพระวจนะของพระเจ้าและการเดินตามหนทางของพระองค์เป็นการปฏิบัติจำเพาะและเป็นท่าทีที่ผู้ติดตามพระเจ้าพึงมีต่อพระองค์  มีเพียงการฟังพระวจนะของพระเจ้าและการเดินตามหนทางของพระองค์เท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้สำเร็จ  ดังนั้น การที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาจึงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเวลา และไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสภาพแวดล้อมหรือภูมิหลังอันเป็นเอกลักษณ์ ในทางกลับกัน ตราบเท่าที่มนุษย์ดำรงอยู่ ต่อให้พระเจ้าไม่ได้ประทานพระวจนะแก่พวกเขาอย่างชัดเจน พระองค์ก็ได้ทรงกำหนดมาตรฐานและหลักธรรมนี้ต่อพวกเขาเสมอ  ไม่ว่ามีผู้คนสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้กี่คน สามารถปฏิบัติพระวจนะของพระองค์ได้กี่คน หรือพวกเขาสามารถเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้มากเพียงไร ข้อพึงประสงค์จากพระเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง  จงดูในพระคัมภีร์ที่มีการบันทึกถึงผู้คนอันเป็นเอกลักษณ์ในช่วงเวลาพิเศษซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรเอาไว้—อย่างเช่นโนอาห์ อับราฮัม อิสอัค โยบ และอีกมากมาย  ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขา หนทางที่พวกเขาติดตาม เป้าหมายและทิศทางในชีวิตของพวกเขา รวมไปถึงเป้าหมายในการไล่ตามเสาะหาและครรลองจำเพาะในการปฏิบัติตนที่พวกเขาใช้เพื่อชีวิตและความอยู่รอด ทั้งหมดนั้นแสดงให้เห็นถึงข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  สิ่งใดคือข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์?  การที่ผู้คนต้องปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตนก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  ไม่ว่าเป็นวิญญาณหรือในรูปกาย พวกเขาก็ต้องหลบเลี่ยงมวลมนุษย์ที่เลวร้าย วุ่นวาย และเอะอะเอ็ดตะโร รวมถึงหลบเลี่ยงกระแสที่เลวร้าย วุ่นวาย และอึกทึกของคนเหล่านั้น  เมื่อก่อนมีคำพูดหนึ่งที่ไม่เหมาะสมนัก—นั่นคือคำว่า “ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์”  ในความเป็นจริง ความหมายของคำนี้ก็คือการพึงให้เจ้าปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตน—เพื่อป้องกันเจ้าจากการกลายเป็นผู้ไม่เชื่อ หรือจากการทำสิ่งทั้งหลายที่ผู้ไม่เชื่อทำ หรือจากการวิ่งตามการไล่ตามไขว่คว้าของผู้ไม่เชื่อ และทำให้เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งทั้งหลายที่ผู้เชื่อพึงกระทำแทน  นั่นคือความหมายของการนี้  ดังนั้นเมื่อคนบางคนกล่าวว่า “นี่เป็นเพราะเวลาใกล้เข้ามา นี่คือยุคสุดท้าย และความวิบัติมาถึงแล้ว พระเจ้าจึงมีพระประสงค์ให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาใช่หรือไม่?”  คำตอบของคำถามนี้ควรเป็นเช่นไร?  สิ่งที่ควรตอบก็คือ ข้อพึงประสงค์ใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ล้วนเป็นความจริง และเป็นหนทางที่ผู้คนควรเดินตาม  ข้อพึงประสงค์เหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงของเวลา สถานที่ สภาพแวดล้อม ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ หรือภูมิหลังทางสังคม  พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง เป็นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนมาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจะไม่เปลี่ยนไปจนชั่วนิจนิรันดร์—ดังนั้นข้อพึงประสงค์ทุกประการที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และหลักธรรมจำเพาะทุกข้อของการปฏิบัติที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขาจึงย้อนกลับไปหลังจากที่พระองค์ทรงสร้างมวลมนุษย์ เมื่อพวกเขายังไม่มีการบันทึกประวัติศาสตร์  สิ่งเหล่านี้มีอยู่พร้อมกับพระเจ้า  พูดอีกนัยหนึ่งคือ นับตั้งแต่วินาทีที่มีมนุษย์ มวลมนุษย์ก็สามารถเข้าใจข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขาได้แล้ว  ไม่ว่าข้อพึงประสงค์ทั้งหลายกล่าวถึงในด้านใด เหล่านั้นล้วนเป็นนิรันดร์และจะไม่เปลี่ยนแปลง  โดยรวมแล้วข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์คือการฟังพระวจนะของพระองค์และเดินตามหนทางของพระองค์  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของโลก กับภูมิหลังทางสังคมของมนุษย์ กับเวลาหรือสถานที่ หรือกับสภาพแวดล้อมและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่มนุษย์อยู่อาศัยโดยสิ้นเชิง  หลังจากฟังพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเรื่องถูกต้องที่ผู้คนจะรักษาและปฏิบัติพระวจนะเหล่านั้น  พระเจ้าไม่ทรงมีข้อพึงประสงค์อื่นต่อผู้คน  เมื่อพวกเขาได้ฟังและเข้าใจพระวจนะของพระองค์ การที่พวกเขาปฏิบัติและรักษาพระวจนะเหล่านั้นไว้ก็เพียงพอแล้ว พวกเขาจะได้สัมฤทธิ์มาตรฐานของการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ยอมรับได้ในสายพระเนตรของพระองค์  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าเวลา สภาพแวดล้อมหรือภูมิหลังทางสังคม หรือที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เป็นเช่นไร สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือการฟังพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสและข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อเจ้า แล้วจากนั้นสิ่งต่อไปที่เจ้าควรทำคือรับฟัง นบนอบ และปฏิบัติ  จงอย่ากังวลใจกับสิ่งทั้งหลายอย่างเช่น “ตอนนี้ความวิบัติในโลกภายนอกนั้นหนักหนานักหรือ?  โลกวุ่นวายใช่หรือไม่?  การออกไปสู่โลกนั้นอันตรายหรือไม่?  ฉันอาจจะล้มป่วยด้วยโรคระบาดหรือไม่?  ฉันอาจจะตายหรือไม่?  ฉันจะตกสู่ความวิบัติทั้งหลายไหม?  ข้างนอกนั้นมีการทดลองอยู่หรือไม่?”  การคิดถึงสิ่งเหล่านั้นไม่มีประโยชน์ และสิ่งเหล่านั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า  เจ้าเพียงต้องกังวลเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงและการเดินตามหนทางของพระเจ้า ไม่ใช่สภาพแวดล้อมของโลกภายนอก  ไม่ว่าสภาพแวดล้อมในโลกภายนอกเป็นเช่นไร เจ้าก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพระเจ้าคือพระผู้สร้าง  สัมพันธภาพระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง อัตลักษณ์ของเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง และแก่นแท้ของพระเจ้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลง  เจ้าจะเป็นใครบางคนที่ควรเดินตามหนทางของพระเจ้าเสมอ เป็นคนที่ควรฟังพระวจนะของพระองค์และนบนอบต่อพระองค์  พระเจ้าจะทรงเป็นพระองค์หนึ่งเดียวที่ปกครองเจ้า จัดการเตรียมการชะตากรรมของเจ้า และนำเจ้าไปตลอดชีวิตเสมอ  สัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง พระอัตลักษณ์ของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง และอัตลักษณ์ของเจ้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลง  ด้วยเหตุที่ทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ความรับผิดชอบ ภาระพันผูก และหน้าที่สูงสุดของเจ้าคือการฟังพระวจนะของพระเจ้า นบนอบต่อพระวจนะ และปฏิบัติพระวจนะเหล่านี้  การนี้จะไม่มีวันผิด ทั้งยังเป็นมาตรฐานสูงสุด  ประเด็นปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว  เราได้กล่าวโดยชัดเจนแล้วใช่ไหม?  เราได้กล่าวอย่างถูกต้องมากกว่าที่พวกเจ้ากล่าวใช่หรือไม่?  (ใช่)  เรากล่าวถูกต้องในเรื่องใด?  (พวกข้าพระองค์เพียงกล่าวโดยทั่วไป แต่พระเจ้าทรงชำแหละประเด็นนี้โดยละเอียดถี่ถ้วน ทั้งยังทรงสามัคคีธรรมว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง เป็นหนทางที่ผู้คนควรยึดถือ และผู้คนควรฟังพระวจนะของพระเจ้าและเดินตามหนทางของพระองค์  พระเจ้าได้ตรัสทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน)  สิ่งที่เรากำลังพูดถึงเป็นแง่มุมหนึ่งของความจริง  วลีที่ว่า “แง่มุมหนึ่งของความจริง” เป็นทฤษฎีๆ หนึ่ง แล้วสิ่งใดเล่าที่สนับสนุนทฤษฎีนี้?  สิ่งนั้นก็คือข้อเท็จจริงและเนื้อหาจำเพาะที่ถูกกล่าวถึงก่อนหน้านี้  ข้อเท็จจริงเหล่านี้ล้วนมีข้อพิสูจน์ ไม่มีประการใดที่ถูกกุขึ้นมา ไม่มีสักประการเดียวที่ถูกจินตนาการขึ้นมา  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริง หรือเป็นแก่นแท้และความเป็นจริงของปรากฏการณ์ภายนอกของข้อเท็จจริงทั้งหลาย  หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าเข้าใจความจริง  เหตุผลที่พวกเจ้าไม่สามารถพูดออกมาดังๆ ได้เป็นเพราะพวกเจ้ายังไม่เข้าใจความจริงในแง่มุมนี้ รวมถึงยังไม่เข้าใจแก่นแท้และความเป็นจริงที่อยู่ในปรากฏการณ์เหล่านี้ ดังนั้นพวกเจ้าจึงพูดถึงความรู้สึกและความรู้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ของตน ซึ่งห่างไกลจากความจริงอยู่มาก  มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?  (เป็น)  ประเด็นนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ดังนั้นเราจะปล่อยไว้เช่นนั้น  ในหัวข้อของการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เกิดขึ้นจากผลของความสนใจและงานอดิเรกนั้นจำเป็นต้องรวมคำถามนี้เข้าไปในฐานะประเด็นเพิ่มเติมหรือไม่?  (ใช่)  นี่คือสิ่งที่จำเป็น  ทุกๆ คำถามกล่าวถึงความจริงบางประการ ซึ่งกล่าวได้ว่าคำถามเหล่านี้เกี่ยวเนื่องกับความเป็นจริงและแก่นแท้ของข้อเท็จจริงบางอย่าง และเบื้องหลังของความเป็นจริงกับแก่นแท้ที่ว่านี้ก็คือการจัดการเตรียมการ แผนการ พระดำริ และความปรารถนาของพระเจ้าเสมอ  แล้วมีอะไรอีก?  วิธีการจำเพาะอย่างของพระเจ้า รวมไปถึงรากฐาน เป้าหมาย และภูมิหลังของการกระทำของพระองค์  สิ่งเหล่านี้คือความเป็นจริง

หลังจบการสามัคคีธรรมในหัวข้อการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เกิดจากความสนใจและงานอดิเรก พวกเราควรสามัคคีธรรมถึงหัวข้อถัดไป  หัวข้อถัดไปคืออะไร?  คือผู้คนควรปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เกิดจากการแต่งงานนั่นเอง  เห็นได้ชัดว่าหัวข้อนี้พูดถึงปัญหาต่างๆ ทุกปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน  นี่เป็นหัวข้อที่ใหญ่กว่าความสนใจและงานอดิเรกเล็กน้อยมิใช่หรือ?  ทว่าจงอย่ากลัวขนาดของปัญหา  พวกเราจะแจกแจงทีละน้อย ค่อยๆ ทำความเข้าใจและเจาะลึกหัวข้อนี้ผ่านการสามัคคีธรรม  แนวทางที่เราจะพิจารณาในการสามัคคีธรรมถึงหัวข้อนี้คือการชำแหละประเด็นปัญหาของการแต่งงานจากทัศนคติและแง่มุมของแก่นแท้ของปัญหาทั้งที่เป็นบวกและเป็นลบ นั่นก็คือ ความเข้าใจต่างๆ ของผู้คนเกี่ยวกับการแต่งงาน ทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง ความผิดพลาดที่พวกเขาทำในการแต่งงาน รวมไปถึงแนวคิดและมุมมองต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องอันเกิดขึ้นจากประเด็นนี้ จนทำให้ผู้คนสามารถปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดจากการแต่งงานได้ในที่สุด  การปฏิบัติที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดเพื่อสัมฤทธิ์ “การปล่อยมือ” คือดังนี้ ประการแรก เจ้าต้องมองเห็นถึงแก่นแท้ของปัญหาทั้งหลายอย่างชัดเจน และมองทะลุถึงปัญหาเหล่านี้ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ  จากนั้นเจ้าต้องสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ให้ได้อย่างถูกต้องและมีเหตุผล  นี่คือด้านที่กระตือรือร้นของสิ่งทั้งหลาย  ส่วนในด้านที่นิ่งเฉยของสิ่งทั้งหลายนั้น เจ้าต้องสามารถเข้าใจและมองทะลุผ่านแนวคิด มุมมอง และท่าทีที่ผิดพลาดที่ปัญหาทั้งหลายนำมาสู่เจ้า หรืออิทธิพลซึ่งเป็นภัยและเป็นลบนานาประการที่ปัญหาเหล่านั้นสร้างขึ้นในความเป็นมนุษย์ของเจ้า แล้วจากนั้นเจ้าย่อมสามารถปล่อยมือได้จากแง่มุมเหล่านี้  พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าต้องสามารถเข้าใจและมองปัญหาเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยไม่ถูกผูกมัดหรือผูกติดกับแนวคิดที่ผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นจากปัญหาเหล่านี้ และไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นมาควบคุมชีวิตของเจ้าและนำเจ้าไปสู่เส้นทางที่คดเคี้ยว หรือนำให้เจ้าตัดสินใจเลือกทางที่ผิด  โดยสรุปก็คือ ไม่ว่าพวกเรากำลังสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่เป็นบวกหรือเป็นลบ เป้าหมายสูงสุดของการนี้ก็คือเพื่อทำให้ผู้คนสามารถจัดการปัญหาจากการแต่งงานได้อย่างมีเหตุผล ไม่ใช้แนวคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนมาทำความเข้าใจและจัดการกับปัญหา อีกทั้งไม่มีท่าทีที่ไม่ถูกต้องต่อปัญหา  นี่คือความเข้าใจที่ถูกต้องในการปฏิบัติ “การปล่อยมือ”  เอาละ พวกเรามาสามัคคีธรรมถึงการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดขึ้นจากการแต่งงานกันต่อเถิด  อันดับแรก พวกเรามาดูกันที่นิยามของการแต่งงาน ดูว่าแนวคิดของการแต่งงานคืออะไร  พวกเจ้าส่วนมากยังไม่เข้าสู่การแต่งงานใช่หรือไม่?  เราเห็นว่าพวกเจ้าส่วนมากเป็นผู้ใหญ่แล้ว  การเป็นผู้ใหญ่หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าได้มาถึงหรือผ่านพ้นช่วงอายุที่สามารถแต่งงานได้มาแล้ว  ไม่ว่าเจ้าอยู่ในช่วงอายุนั้นหรือผ่านช่วงอายุนั้นมาแล้ว ทุกๆ คนก็ย่อมมีทัศนะ คำจำกัดความ และแนวคิดบางอย่างเกี่ยวกับการแต่งงานที่ค่อนข้างเป็นแบบชนชั้นกลางไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ตาม  ดังนั้นก่อนอื่นพวกเรามาสำรวจดูกันเถิดว่าที่จริงแล้วการแต่งงานคืออะไร  ประการแรก ในความคิดเห็นของพวกเจ้าเอง การแต่งงานหมายถึงอะไรกันแน่?  หากพวกเราต้องการพูดถึงคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพูดว่าการแต่งงานคืออะไร นั่นน่าจะเป็นพวกที่เคยแต่งงานมาก่อน  เพราะฉะนั้นพวกเรามาเริ่มจากคนที่แต่งงานแล้วกันก่อน และเมื่อพวกเขาพูดจบแล้ว พวกเราก็สามารถไปต่อที่ผู้ใหญ่ที่ยังไม่แต่งงาน  พวกเจ้าสามารถพูดถึงทัศนะของตนที่มีต่อการแต่งงาน และพวกเราจะฟังความเข้าใจและคำนิยามเรื่องการแต่งงานของพวกเจ้า  จงพูดในสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องพูด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะน่าฟังหรือไม่ก็ตาม—ไม่ว่าจะเป็นคำพร่ำบ่นเรื่องการแต่งงาน หรือเป็นความคาดหวังจากการแต่งงาน อะไรก็ได้ทั้งนั้น  (ก่อนแต่งงาน ทุกคนล้วนมีความคาดหวัง  บางคนแต่งงานเพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตในรูปแบบการดำเนินชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ ขณะที่บางคนไล่ตามไขว่คว้าการแต่งงานที่มีความสุข ตามหาเจ้าชายขี่ม้าขาว ฝันเฟื่องไปว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่มีความสุข  มีคนบางคนที่ต้องการใช้การแต่งงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บางอย่างของตนเองด้วย)  แล้วในทัศนะของเจ้านั้น การแต่งงานคืออะไรกันแน่?  เป็นการแลกเปลี่ยนใช่หรือไม่?  เป็นเกมอย่างนั้นหรือ?  เป็นอะไรเล่า?  สถานการณ์บางอย่างที่เจ้าพูดถึงเป็นเรื่องของการมีชีวิตที่ดี ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนประเภทหนึ่ง  มีอะไรอีก?  (ข้าพระองค์รู้สึกว่าสำหรับข้าพระองค์แล้ว การแต่งงานเป็นเพียงบางสิ่งที่ข้าพระองค์โหยหา เป็นสิ่งที่ข้าพระองค์ถวิลหา)  มีผู้ใดต้องการพูดอีกหรือไม่?  คนที่แต่งงานแล้วมีความรู้อะไรเกี่ยวกับการแต่งงานบ้าง?  โดยเฉพาะผู้คนที่แต่งงานมาแล้วเป็นสิบหรือยี่สิบปี—เจ้ามีความรู้สึกอย่างไรกับการแต่งงาน?  ปกติแล้วพวกเจ้าย่อมเต็มไปด้วยการคิดทบทวนเรื่องการแต่งงานมิใช่หรือ?  ประการหนึ่งคือพวกเจ้ามีประสบการณ์จากการแต่งงานของตนเอง และอีกประการหนึ่งคือ พวกเจ้าได้เห็นการแต่งงานของผู้คนรอบตัวพวกเจ้า ในขณะเดียวกันพวกเจ้าก็คิดคำนึงถึงการแต่งงานของคนอื่นๆ ที่พวกเจ้าได้เห็นจากหนังสือ วรรณกรรม และภาพยนตร์  ดังนั้นแล้ว จากแง่มุมเหล่านั้นเจ้าคิดว่าการแต่งงานคืออะไร?  เจ้าจะนิยามสิ่งนี้อย่างไร?  เจ้าเข้าใจการนี้ว่าอย่างไร?  เจ้าจะนิยามการแต่งงานอย่างไร?  บรรดาคนที่แต่งงานมานานสองถึงสามปี—โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกของเจ้าที่เคยเลี้ยงลูกมาแล้ว—เจ้ามีความรู้สึกเช่นไรต่อการแต่งงาน?  จงพูดออกมา  (ข้าพระองค์สามารถบอกได้เล็กน้อย  ข้าพระองค์ดูรายการโทรทัศน์มากมายมาตั้งแต่เด็ก  ข้าพระองค์มักจะโหยหาชีวิตแต่งงานที่แสนสุขเสมอ แต่หลังจากแต่งงานแล้ว ข้าพระองค์ก็ตระหนักว่าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าพระองค์เคยคิดฝันไว้  หลังจากแต่งงาน สิ่งแรกที่ข้าพระองค์ต้องทำคือทำงานหนักเพื่อครอบครัวของข้าพระองค์ ซึ่งเหน็ดเหนื่อยมาก  อีกสิ่งหนึ่งก็คือ เพราะความเข้ากันไม่ได้ระหว่างภาวะอารมณ์ของสามีและของข้าพระองค์ และระหว่างสิ่งทั้งหลายที่พวกเราโหยหาและไล่ตามไขว่คว้า—โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกต่างระหว่างหนทางที่พวกเราไล่ตามไขว่คว้านั้น—พวกเรามีความแตกต่างมากมายในชีวิต จนถึงจุดที่พวกเราปะทะคารมกัน  ชีวิตช่างยากลำบาก  เมื่อถึงจุดนี้ ข้าพระองค์ก็รู้สึกว่าชีวิตแต่งงานในแบบที่ข้าพระองค์เคยโหยหาในวัยเยาว์นั้นที่จริงแล้วไม่อาจทำให้เป็นจริงได้  นั่นเป็นเพียงความปรารถนาที่น่ายินดี แต่ชีวิตจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น  นี่คือความคิดที่ข้าพระองค์มีต่อการแต่งงาน)  เช่นนั้นความเข้าใจที่เจ้ามีต่อการแต่งงานก็คือขมขื่น ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นความทรงจำและเรื่องทั้งหลายที่เจ้าระลึกได้ล้วนขมขื่น เหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และเกินทนที่จะมองย้อนกลับไป เจ้ารู้สึกผิดหวัง หลังจากนั้นมาเจ้าจึงไม่มีความคาดหวังที่ดีกว่านี้ต่อการแต่งงาน  เจ้าคิดว่าการแต่งงานไม่คล้อยตามความปรารถนาของเจ้า คิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือโรแมนติก  เจ้าเข้าใจว่าการแต่งงานเป็นโศกนาฏกรรม—เจ้าหมายความเช่นนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในการแต่งงานของเจ้า ไม่ว่าเป็นสิ่งทั้งหลายที่เจ้าสามารถทำได้ หรือเป็นสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่เต็มใจที่จะทำ ทั้งหมดก็ล้วนทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยและขมขื่นเป็นพิเศษใช่หรือไม่?  (ใช่)  การแต่งงานนั้นขมขื่น—นั่นคือความรู้สึกประเภทหนึ่ง เป็นความรู้สึกที่ผู้คนสามารถมีส่วนร่วมหรือรู้สึกได้ด้วยตัวพวกเขาเอง  ในโลกทุกวันนี้อาจมีคำกล่าวต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานและครอบครัวไม่ว่าในรูปแบบใดอยู่บ้าง  คำกล่าวเหล่านี้มีอยู่พอประมาณในภาพยนตร์และหนังสือ และในสังคมก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งงานและผู้เชี่ยวชาญด้านสัมพันธภาพที่วิเคราะห์และชำแหละการแต่งงานในทุกรูปแบบ จัดการและแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในการแต่งงานเหล่านั้นเพื่อหาทางไกล่เกลี่ย  ท้ายที่สุด สังคมก็ได้ทำให้คำกล่าวบางอย่างเกี่ยวกับการแต่งงานแพร่หลาย  คำกล่าวยอดนิยมเกี่ยวกับการแต่งงานใดที่พวกเจ้าเห็นด้วยหรือเห็นพ้องด้วย?  (ข้าแต่พระเจ้า ผู้คนในสังคมมักจะกล่าวว่าการแต่งงานเหมือนเป็นการลงสู่หลุมฝังศพ  ข้าพระองค์รู้สึกว่าหลังจากแต่งงาน สร้างครอบครัว และมีลูก ผู้คนต่างก็มีความรับผิดชอบ พวกเขาต้องทำงานอย่างไม่รู้จบเพื่อจุนเจือครอบครัวของตน ยิ่งไปกว่านั้นก็เกิดความไม่ลงรอยจากการที่คนสองคนมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน รวมถึงเกิดปัญหาและความลำบากยากเย็นทุกรูปแบบขึ้นอีกด้วย)  วลีจำเพาะของเรื่องนี้คืออะไร?  “การแต่งงานคือหลุมฝังศพ”  ในประเทศจีนมีคำกล่าวอันเป็นที่นิยมหรือโด่งดังหรือไม่?  วลีที่ว่า “การแต่งงานคือหลุมฝังศพ” ก็ค่อนข้างเป็นที่นิยมมิใช่หรือ?  (ใช่)  มีอะไรอีก?  “การแต่งงานคือเมืองที่อยู่ภายใต้วงล้อม—คนในอยากจะออก คนนอกก็อยากจะเข้า”  มีอะไรอีก?  “การแต่งงานโดยไร้ซึ่งความรักนั้นผิดศีลธรรม”  พวกเขาคิดว่าการแต่งงานคือเครื่องหมายของความรัก และการแต่งงานที่ปราศจากความรักนั้นผิดศีลธรรม  พวกเขาใช้ความรักเพ้อฝันมาวัดมาตรฐานทางศีลธรรม  สิ่งเหล่านั้นเป็นคำจำกัดความและแนวคิดเรื่องการแต่งงานซึ่งผู้คนที่แต่งงานแล้วมีใช่หรือไม่?  (ใช่)  สรุปก็คือ บรรดาคนที่แต่งงานแล้วเหล่านั้นต่างเต็มไปด้วยความขมขื่น  การใช้วลี “การแต่งงานคือหลุมฝังศพ” มาอธิบายเรื่องนี้ ง่ายเช่นนั้นเลยหรือ?  ผู้คนที่แต่งงานพูดจบแล้ว เพราะฉะนั้น บัดนี้พวกเราก็สามารถฟังสิ่งที่คนโสดยังไม่แต่งงานจำเป็นต้องพูดได้แล้ว  ใครต้องการที่จะพูดถึงความเข้าใจที่มีต่อการแต่งงานบ้าง?  ต่อให้เป็นคำพูดที่ไม่ประสา เป็นเรื่องเพ้อฝัน หรือเป็นความคาดหวังที่ไม่มีความเป็นจริงเลย นั่นก็ได้ทั้งนั้น  (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกว่าการแต่งงานคือการที่คนสองคนใช้ชีวิตกันในฐานะคู่ชีวิต ชีวิตของสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน)  เจ้าเคยแต่งงานมาก่อนหรือไม่?  เจ้ามีประสบการณ์ส่วนตัวบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ใช้ชีวิตในฐานะคู่ชีวิต—นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ หรือ?  นั่นสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่?  (ในอุดมคติของข้าพระองค์แล้วการแต่งงานไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่นั่นเป็นสิ่งที่ข้าพระองค์ได้เห็นจากการแต่งงานของพ่อแม่ของข้าพระองค์เอง)  การแต่งงานของพ่อแม่เจ้าเป็นเช่นนี้ แต่การแต่งงานในอุดมคติของเจ้ากลับไม่ใช่  เมื่อเป็นเรื่องของการแต่งงาน ความเข้าใจและการไล่ตามไขว่คว้าของเจ้าเป็นเช่นไร?  (ตอนที่ข้าพระองค์ยังเด็ก ความเข้าใจของข้าพระองค์ก็แค่หาใครบางคนที่ข้าพระองค์เทิดทูน แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่กับเขาอย่างมีความสุขและหวานชื่น)  เจ้าต้องการใช้ชีวิตอยู่กับเขา จับมือเขาและแก่เฒ่าไปด้วยกันใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือความเข้าใจจำเพาะเกี่ยวกับการแต่งงานของเจ้า ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับตัวเจ้าเอง เจ้ามิได้เกิดความเข้าใจจากการมองดูผู้อื่น  สิ่งที่เจ้าเห็นในการแต่งงานของผู้อื่นเป็นเพียงสิ่งภายนอกอันผิวเผิน และเพราะเจ้ายังไม่มีประสบการณ์นี้ด้วยตัวเอง เจ้าจึงไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าเห็นคือความเป็นจริงของข้อเท็จจริงหรือเป็นเพียงการปรากฏอันผิวเผินของข้อเท็จจริงเท่านั้น สิ่งที่เจ้าคิดว่าเป็นจริงจะอยู่ในแนวคิดและมุมมองของเจ้าตลอดไป  ความเข้าใจส่วนหนึ่งที่คนหนุ่มสาวมีต่อการแต่งงานคือการใช้ชีวิตอย่างหวานชื่นกับคนที่พวกเขารัก จับมือกันและแก่เฒ่าไปด้วยกัน และใช้ชีวิตนี้ร่วมกัน  พวกเจ้าทุกคนมีความเข้าใจอื่นใดเกี่ยวกับการแต่งงานอีกหรือไม่?  (ไม่มี)

บางคนกล่าวว่า “การแต่งงานเป็นเรื่องของการตามหาคนที่รักเรา  ไม่สำคัญว่าพวกเขาโรแมนติกหรือไม่ และเราก็ไม่จำเป็นต้องรักพวกเขามากมาย  อย่างน้อยที่สุดคือพวกเขาควรรักเรา มีเราอยู่ในหัวใจของพวกเขา และมีการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ ลักษณะนิสัย ความสนใจ และงานอดิเรกร่วมกับเรา เราถึงจะเจออีกคนหนึ่งที่ถูกคอและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้”  คนอื่นๆ กล่าวว่า “จงหาคนที่เรารักและรักเรา แล้วใช้ชีวิตอยู่กับคนคนนั้น  แค่นั้นก็เป็นความสุขแล้ว”  และยังมีคนอื่นๆ ซึ่งมีความเข้าใจต่อการแต่งงานว่า “เราต้องหาคนที่มีสถานะทางการเงินที่มั่นคง แล้วคุณจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหารในช่วงครึ่งหลังของชีวิต แล้วชีวิตทางวัตถุของคุณก็จะเหลือกินเหลือใช้ และคุณจะได้ไม่ทนทุกข์กับความยากจนข้นแค้น  ไม่ว่าพวกเขาอายุเท่าไรหรือมีรูปลักษณ์เป็นอย่างไร ไม่ว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยอย่างไร และไม่ว่าพวกเขามีรสนิยมแบบใด ขอแค่พวกเขามีเงินก็เป็นอันใช้ได้  ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถให้เงินคุณเพื่อใช้จ่ายและสนองความต้องการทางวัตถุของคุณได้ พวกเขาก็เป็นที่ยอมรับ  การใช้ชีวิตอยู่กับคนประเภทนี้ย่อมนำความสุขมาให้ และคุณจะรู้สึกสบายกาย  นี่คือการแต่งงาน”  สิ่งเหล่านี้เป็นความประสงค์และเป็นคำจำกัดความบางอย่างที่ผู้คนมีต่อการแต่งงาน  ผู้คนส่วนมากเข้าใจว่าการแต่งงานคือการตามหาคนรัก การตามหาคนรักในฝันของพวกเขา การตามหาเจ้าชายรูปงาม การใช้ชีวิตกับพวกเขาและการได้พบคนที่รู้ใจกันและกัน  ตัวอย่างเช่น บางคนคิดฝันไปว่าเจ้าชายรูปงามของพวกเขาคือดาราหรือคนดัง เป็นใครบางคนที่มีชื่อเสียง เงินทอง และความมั่งคั่ง  พวกเขาคิดว่ามีเพียงการใช้ชีวิตอยู่กับบุคคลเช่นนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นการแต่งงานที่น่าเชื่อถือและน่ารื่นรมย์ เป็นการแต่งงานที่สมบูรณ์แบบ และมีเพียงชีวิตเช่นนั้นเท่านั้นที่มีความสุข  บางคนคิดฝันให้คู่ชีวิตของตนเป็นคนที่มีสถานะ  บางคนคิดฝันให้คู่ชีวิตของตนเป็นคนสวยสดงดงาม  บางคนคิดฝันให้คู่ชีวิตของตนเป็นคนที่มาจากครอบครัวที่มั่งคั่ง มีเส้นสาย มีอำนาจ เป็นคนร่ำรวย  บางคนคิดฝันให้คู่ชีวิตของตนเป็นคนทะเยอทะยานและแข็งแกร่งในการงานของตน  บางคนคิดฝันให้คู่ชีวิตของตนเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์  บางคนคิดฝันให้คู่ชีวิตของตนมีลักษณะนิสัยเฉพาะตัวบางอย่าง  ความประสงค์ทั้งหมดนี้และนอกเหนือจากนี้คือความประสงค์ที่ผู้คนมีต่อการแต่งงาน และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความคิดฝัน มโนคติอันหลงผิด และมุมมองที่พวกเขามีเกี่ยวกับการแต่งงาน  สรุปแล้วบรรดาผู้ที่เคยแต่งงานมาก่อนย่อมกล่าวว่าการแต่งงานคือหลุมฝังศพ การเข้าสู่การแต่งงานเป็นการลงสู่หลุมฝังศพ หรือเป็นการเข้าสู่ความวิบัติ ส่วนบรรดาผู้ที่ยังไม่แต่งงานย่อมคิดฝันว่าการแต่งงานนั้นน่ารื่นรมย์และโรแมนติกเป็นพิเศษ และพวกเขาก็เต็มไปด้วยการโหยหาและความคาดหวัง  แต่ไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยแต่งงานมาแล้วหรือยังไม่แต่งงานก็ตาม ไม่มีใครสามารถพูดได้อย่างชัดเจนจนเกินไปถึงการจับใจความหรือความเข้าใจที่พวกเขามีต่อการแต่งงาน หรืออะไรคือคำจำกัดความและแนวคิดที่แท้จริงของการแต่งงานใช่หรือไม่?  (ใช่)  บรรดาผู้ที่มีประสบการณ์กับการแต่งงานมาแล้วกล่าวว่า “การแต่งงานคือหลุมฝังศพ เป็นความขมขื่น”  คนที่ยังไม่ได้แต่งงานบางคนกล่าวว่า “ความเข้าใจเรื่องการแต่งงานของคุณไม่ถูกต้อง  คุณบอกว่าการแต่งงานเป็นเรื่องแย่ๆ นั่นเพราะคุณเห็นแก่ตัวเกินไป  คุณไม่ได้ทุ่มเทกับการแต่งงานของคุณมากมายนัก  คุณทำให้การแต่งงานของคุณยุ่งเหยิงวุ่นวายเพราะข้อบกพร่องและปัญหาต่างๆ นานาของคุณ  คุณทำลายและทำให้การแต่งงานนี้แหลกสลายด้วยน้ำมือของคุณเอง”  ทั้งนี้ มีคนที่แต่งงานแล้วบางคนพูดกับบรรดาคนโสดที่ยังไม่ได้เข้าสู่การแต่งงานว่า “คุณเป็นเด็กไม่รู้ความ คุณจะไปรู้อะไร?  คุณรู้หรือว่าการแต่งงานเป็นอย่างไร?  การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนโสด และไม่ใช่เรื่องของคนสองคน—นี่เป็นเรื่องของสองครอบครัว หรือเป็นเรื่องของสองตระกูลเสียด้วยซ้ำ  ในเรื่องนี้มีประเด็นมากมายที่ไม่ได้เรียบง่ายและไม่ตรงไปตรงมา  แม้แต่ในโลกของคนเพียงสองคน ที่มีแค่เรื่องของคนสองคนก็ไม่ได้เรียบง่ายนัก  ไม่ว่าความเข้าใจและความเพ้อฝันที่คุณมีต่อการแต่งงานจะน่ารื่นรมย์เพียงไร แต่ยิ่งเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านี้ก็จะถูกบดขยี้จากเรื่องสัพเพเหระของความต้องการในแต่ละวัน จนกระทั่งสีสันและรสชาติของการแต่งงานจืดจางไป  คุณยังไม่ได้แต่งงาน คุณจะไปรู้อะไร?  คุณยังไม่เคยแต่งงาน ยังไม่เคยจัดการแต่งงาน เพราะฉะนั้นคุณไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะประเมินการแต่งงานหรือกล่าววิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้  ความเข้าใจที่คุณมีต่อการแต่งงานคือจินตนาการ เป็นความคิดฝันเฟื่อง—สิ่งนี้ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง!”  ไม่ว่าคนที่กำลังพูดถึงเรื่องนี้เป็นใคร ก็ย่อมมีเหตุผลที่เป็นจริงอยู่ แต่เมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้ว การแต่งงานคืออะไรกันแน่?  ทัศนคติแบบใดที่เป็นวิธีมองเรื่องนี้อย่างถูกต้องที่สุดและเป็นจริงมากที่สุด?  สิ่งใดสอดคล้องกับความจริงมากที่สุด?  คนเราควรมองการแต่งงานอย่างไร?  ไม่ว่าเป็นการพูดโดยคนที่มีประสบการณ์กับการแต่งงานมาก่อนหรือโดยคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน ประการหนึ่งก็คือ ความเข้าใจที่พวกเขามีต่อการแต่งงานล้วนเต็มไปด้วยจินตนาการของตนเอง และอีกประการหนึ่งคือ มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ตามบทบาทที่พวกเขามีในการแต่งงาน  เพราะมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่เข้าใจหลักธรรมที่พวกเขาควรยึดถือในสภาพแวดล้อมต่างๆ อีกทั้งไม่เข้าใจบทบาทที่พวกเขามีในการแต่งงานหรือภาระพันผูกและความรับผิดชอบที่พวกเขาควรลุล่วง คำพูดเกี่ยวกับการแต่งงานบางอย่างของพวกเขาจึงเปี่ยมด้วยอารมณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังเกี่ยวข้องกับความเห็นแก่ตัวและความใจร้อนของพวกเขา ฯลฯ  แน่นอนว่า ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะแต่งงานแล้วหรือไม่ หากพวกเขาไม่ได้มองการแต่งงานจากทัศนคติของความจริง และหากพวกเขาไม่มีความเข้าใจและความรู้อันบริสุทธิ์ในเรื่องนี้จากพระเจ้า เช่นนั้น นอกเหนือจากประสบการณ์ส่วนตัวเรื่องการแต่งงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพวกเขาแล้ว ความเข้าใจเรื่องการแต่งงานของพวกเขาก็ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากสังคมและจากมวลมนุษย์ที่เลวร้าย  ความเข้าใจของพวกเขายังได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศ กระแส และความเห็นสาธารณะของสังคม รวมไปถึงสิ่งทั้งหลายที่คลาดเคลื่อนและเต็มไปด้วยอคติ—และสิ่งที่อาจเรียกโดยเจาะจงขึ้นไปอีกว่าไร้มนุษยธรรม—สิ่งที่ผู้คนในทุกระดับและทุกชนชั้นของสังคมพูดเกี่ยวกับการแต่งงานอีกด้วย  จากสิ่งที่ผู้อื่นพูดเหล่านี้ ประการหนึ่งคือ ผู้คนจะได้รับอิทธิพลและถูกความคิดและมุมมองเหล่านี้ควบคุมโดยไม่รู้ตัว และอีกประการหนึ่งก็คือพวกเขาจะยอมรับท่าทีและวิธีมองการแต่งงานเหล่านี้ รวมถึงวิธีในการจัดการกับการแต่งงาน และท่าทีต่อชีวิตที่คนใช้ชีวิตแต่งงานยึดถือไปโดยไม่รู้ตัว  ประการแรก ผู้คนไม่มีความเข้าใจที่เป็นบวกต่อการแต่งงาน ทั้งยังไม่มีความรู้และการรับรู้ที่ถูกต้องและเป็นบวกในเรื่องนี้  นอกจากนี้ ทั้งสังคมและมวลมนุษย์ที่เลวร้ายต่างก็ปลูกฝังความคิดที่คลาดเคลื่อนและเป็นลบเกี่ยวกับการแต่งงานให้พวกเขา  ด้วยเหตุนั้น ความคิดและมุมมองที่ผู้คนมีต่อการแต่งงานจึงกลายเป็นบิดเบี้ยว และถึงกับเลวร้ายเสียด้วยซ้ำ  ตราบเท่าที่เจ้าใช้ชีวิตและอยู่รอดในสังคมนี้ และมีตาที่จะมอง มีหูที่จะฟัง และมีความคิดที่จะใคร่ครวญคำถามทั้งหลาย เจ้าย่อมจะยอมรับความคิดและมุมมองที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ได้ในระดับที่ต่างกัน ซึ่งนำไปสู่ความรู้และความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องและเต็มไปด้วยอคติต่อการแต่งงาน  ตัวอย่างเช่น เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ผู้คนไม่เข้าใจว่าความรักโรแมนติกคืออะไร และความเข้าใจที่พวกเขามีต่อการแต่งงานก็เรียบง่ายมาก  เมื่อใครบางคนถึงวัยที่แต่งงานได้ แม่สื่อก็จะแนะนำให้พวกเขารู้จักกัน พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายจะจัดการทุกอย่าง แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะจัดงานแต่งงานกับคนในเพศตรงข้าม เข้าสู่การแต่งงาน แล้วทั้งสองคนก็จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันและใช้เวลาร่วมกัน  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงอยู่เป็นเพื่อนกันและกันไปตลอดชีวิตนี้ จนกว่าพวกเขาจะถึงวาระสุดท้าย  นั่นคือความเรียบง่ายของการแต่งงาน  เป็นเรื่องของคนสองคน—คนสองคนจากครอบครัวที่ต่างกันและมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อยู่เป็นเพื่อนกันและกัน ดูแลกันและกัน และใช้ชีวิตทั้งชีวิตร่วมกัน  เรียบง่ายเช่นนั้นเอง  แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผู้คนก็เริ่มพูดถึงสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความรักแบบโรแมนติก และความรักแบบโรแมนติกก็ถูกบรรจุเข้าไปในเนื้อหาของการแต่งงานตลอดมาจนถึงปัจจุบัน  ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา คำว่า “ความรักแบบโรแมนติก” หรือความหมายและแนวคิดของคำนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนรู้สึกเขินอายหรือกระอักกระอ่วนที่จะพูดถึงอีกต่อไป  แต่คำนี้มีอยู่อย่างเป็นธรรมชาติในความคิดของผู้คน และเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนจะพูดคุยกัน จนถึงจุดที่แม้แต่คนที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ต่างก็พูดคุยกันถึงสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความรักแบบโรแมนติก  ดังนั้นความคิด มุมมอง และคำกล่าวประเภทนี้จึงก่อกำเนิดอิทธิพลต่อทุกคน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทั้งเด็กและคนแก่อย่างยากเกินกว่าจะอธิบาย  อิทธิพลนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ความเข้าใจที่ทุกคนมีต่อการแต่งงานนั้นดูอวดอ้างเกินไป—พูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ พวกเขามีอคติ  ทุกคนเริ่มเล่นกับความรักและหยอกล้อกับความหลงใหล  สิ่งที่มนุษย์เรียกว่า “ความรักแบบโรแมนติก” เป็นเพียงการรวมตัวกันของความรักและความหลงใหล[ก]  “ความรัก” หมายถึงอะไร?  ความรักก็คือความรักใคร่เอ็นดูประเภทหนึ่ง  แล้ว “ความหลงใหล” หมายถึงอะไร?  สิ่งนี้หมายถึงตัณหา  การแต่งงานไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับการที่คนสองคนใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคู่ชีวิตอีกต่อไป ทว่าสิ่งนี้กลับกลายเป็นของเล่นเพื่อความรักใคร่เอ็นดูและตัณหา  มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?  (เป็นเช่นนี้)  ผู้คนได้มาเข้าใจแล้วว่าการแต่งงานเป็นการร่วมกันของความรักใคร่เอ็นดูและตัณหา แล้วการแต่งงานของพวกเขาจะดีได้หรือ?  ผู้ชายและผู้หญิงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างอยู่ดีมีสุข และพวกเขาก็ไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนเป็นอย่างดี อีกทั้งไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความจริง  พวกเขามักจะพูดถึงความรัก ความหลงใหล ความรักใคร่เอ็นดูและตัณหา  เจ้าคิดว่าพวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตอย่างราบรื่นและมั่นคงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  คนประเภทใดที่สามารถก้าวผ่านการทดลองและสิ่งล่อใจเหล่านี้ไปได้?  ไม่มีใครสามารถผ่านการทดลองและสิ่งล่อใจเหล่านี้ไปได้  ผู้คนในสังคมเต็มไปด้วยตัณหาและความรักใคร่ต่อกันและกัน  นี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความรักแบบโรแมนติก และนี่คือวิธีที่คนสมัยใหม่เข้าใจการแต่งงาน นี่เป็นการประเมินขั้นสูงสุดของพวกเขาต่อการแต่งงาน เป็นรสนิยมขั้นสูงที่สุด  ดังนั้น สถานการณ์เรื่องการแต่งงานของผู้คนในยุคสมัยใหม่จึงเปลี่ยนไปเกินกว่าการรับรู้ และอยู่ในความโกลาหลที่ย่ำแย่และเลวร้าย  การแต่งงานไม่ได้เรียบง่ายเหมือนเรื่องของผู้ชายกับผู้หญิงอีกต่อไป ทว่าการแต่งงานกลับกลายเป็นเรื่องของผู้คนทุกคน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เป็นเรื่องของการเล่นกับความความรักใคร่และตัณหา—ต่ำช้าสิ้นดี  ความเข้าใจและทัศนคติที่ผู้คนมีต่อการแต่งงานกลายเป็นผิดรูปผิดร่าง ผิดปกติ และเลวร้ายภายใต้สิ่งล่อใจของกระแสอันเลวร้ายหรือผ่านการปลูกฝังความคิดที่เลวร้าย  นอกจากนี้ ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ รวมไปถึงวรรณกรรมและงานศิลปะทั้งหลายในสังคมต่างก็เผยแพร่การตีความและถ้อยแถลงที่เลวร้ายและไร้ศีลธรรมเกี่ยวกับการแต่งงานมากขึ้นและอย่างต่อเนื่อง  ผู้กำกับ นักเขียน และนักแสดงล้วนสาธยายถึงการแต่งงานว่าเป็นสภาวะที่เลวร้าย  การนี้เต็มไปด้วยความเลวร้ายและตัณหา จนนำไปสู่การทำให้การแต่งงานที่เหมาะสมตกอยู่ในความโกลาหล  ดังนั้น นับตั้งแต่มีความรักแบบโรแมนติก การหย่าร้างจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการคบชู้ มีเด็กจำนวนมากขึ้นถูกบีบให้สู้ทนกับบาดแผลจากการที่พ่อแม่หย่าร้างกัน ถูกบีบให้ใช้ชีวิตอยู่กับแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือพ่อเลี้ยงเดี่ยว ทำให้ผ่านชีวิตในวัยเด็กและวัยเยาว์ หรือเติบโตขึ้นมาภายใต้สถานการณ์การแต่งงานที่ไม่เหมาะสมของพ่อแม่  สาเหตุของโศกนาฏกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานทั้งหมด รวมถึงการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องหรือผิดปรกติเหล่านี้ก็คือ ทัศนะของการแต่งงานที่สังคมสนับสนุนมีอคติ เลวร้าย และไร้ศีลธรรม จนถึงจุดที่การแต่งงานเหล่านี้ขาดจริยธรรมและศีลธรรม  เนื่องด้วยมวลมนุษย์ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกหรือเหมาะสม ผู้คนย่อมจะยอมรับความคิดและมุมมองที่สังคมสนับสนุนเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าความคิดและมุมมองนั้นจะผิดรูปเพียงใดก็ตาม  สิ่งเหล่านี้เหมือนกับโรคระบาดที่แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย กัดกินทุกความคิดและทุกแนวคิดของเจ้า และกัดกินส่วนที่ถูกต้องของความเป็นมนุษย์ของเจ้า  มโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติของเจ้าเริ่มขุ่นมัว คลุมเครือ หรืออ่อนแออย่างรวดเร็ว จากนั้นความคิดและมุมมองที่มาจากซาตานซึ่งบิดเบี้ยว เลวร้าย และขาดพร่องจริยธรรมและศีลธรรมเหล่านี้จะยึดเอาตำแหน่งที่สูงกว่าและเข้าครองบทบาทในส่วนลึกของความคิดและหัวใจเจ้า และในโลกแห่งจิตใจของเจ้า  หลังจากที่สิ่งเหล่านี้ยึดเอาตำแหน่งที่สูงกว่าและเข้าครองบทบาทแล้ว ทัศนคติที่เจ้ามีต่อประเด็นทั้งหลายเช่นการแต่งงานก็เริ่มบิดเบี้ยวและบิดเบือนอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งจริยธรรมและศีลธรรม จนถึงจุดที่กลายเป็นเลวร้าย แต่ตัวเจ้าเองกลับไม่รู้ถึงการนี้ และเจ้าคิดว่านี่เป็นสิ่งที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง “ทุกคนคิดแบบนี้กันทั้งนั้น แล้วทำไมฉันไม่ควรคิดแบบนี้ล่ะ?  ทุกคนคิดว่านี่เป็นหนทางที่เหมาะสม แล้วการที่ฉันคิดแบบนี้เช่นกันไม่เหมาะสมหรือ?  ดังนั้นถ้าไม่มีใครเขินอายที่จะพูดถึงความรักแบบโรแมนติก ฉันก็ไม่ควรเขินอายเช่นกัน ทีแรกฉันก็กระดากเล็กน้อย เขินอายนิดหน่อย และมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเปิดปากพูด  หลังจากพูดเรื่องนี้อีกไม่กี่ครั้งฉันก็ดีขึ้น  การฟังเรื่องนี้บ่อยขึ้นและพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นทำให้ฉันปรับตัวได้”  จริงอยู่ที่เจ้ากำลังพูดและกำลังฟัง และสิ่งนี้ก็ได้กลายเป็นตัวเจ้าเอง แต่ความเข้าใจดั้งเดิมที่แท้จริงของการแต่งงานไม่สามารถตั้งมั่นอยู่ในส่วนลึกของความคิดเจ้า ดังนั้นเจ้าได้สูญเสียมโนธรรมและเหตุผลที่เจ้าพึงมีในฐานะคนปกติไปแล้ว  สาเหตุของการสูญเสียสิ่งนี้คืออะไร?  ก็เพราะเจ้าได้ยอมรับทัศนะที่เรียกว่า “ความรักแบบโรแมนติก” ของการแต่งงานแล้ว  ทัศนะที่เรียกว่า “ความรักแบบโรแมนติก” ของการแต่งงานนี้ได้กลืนกินความเข้าใจดั้งเดิมและความรู้สึกของความรับผิดชอบที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติของเจ้ามีต่อการแต่งงานไปแล้ว  เจ้าเริ่มนำความเข้าใจเกี่ยวกับความรักแบบโรแมนติกของตัวเองไปปฏิบัติเป็นการส่วนตัวอย่างรวดเร็ว  เจ้าเฝ้าเสาะหาคนที่เจ้าถูกใจ คนที่รักเจ้าหรือคนที่เจ้ารักอย่างต่อเนื่อง และเจ้าก็ไล่ตามไขว่คว้าความรักแบบโรแมนติกไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ยอมเจ็บปวดแสนสาหัสและทำตัวค่อนข้างไร้อย่างอาย จนถึงจุดของการสละเรี่ยวแรงทั้งชีวิตเพื่อความรักแบบโรแมนติก—แล้วเจ้าก็หมดหน้าที่  ในกระบวนการของการไล่ตามไขว่คว้าความรักแบบโรแมนติกนั้น สมมุติมีผู้หญิงคนหนึ่งเจอคนที่เธอเทิดทูนและเธอคิดว่า “พวกเรารักกัน ดังนั้นเรามาแต่งงานกันเถอะ”  หลังจากแต่งงานแล้ว เธอก็ใช้ชีวิตอยู่กับคนคนนั้นมาเป็นเวลาหนึ่งแล้วจึงตระหนักว่าเขามีข้อบกพร่องบางอย่าง และเธอคิดว่า “เขาไม่ได้ชอบฉัน และฉันก็ไม่ได้ชอบเขาจริงๆ  พวกเราสองคนไม่เหมาะสมกัน ความรักแบบโรแมนติกของเราเป็นเรื่องผิดพลาด  เอาละ เราจะหย่ากัน”  หลังจากหย่ากันแล้ว เธอก็กระเตงลูกน้อยที่อายุราว 2-3 ปีและเตรียมหาคนใหม่ โดยคิดว่า “ในเมื่อการแต่งงานครั้งก่อนของฉันไร้ซึ่งความรัก ฉันจำเป็นต้องดูให้แน่ใจว่าคนต่อไปจะมีความรักแบบโรแมนติกอย่างแท้จริง  คราวนี้ฉันจะต้องมั่นใจ ฉันจึงใช้ต้องเวลาศึกษาสักพัก”  หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เธอก็บังเอิญเจอใครบางคน “โอ้ นี่แหละคนรักในฝันของฉัน คนที่ฉันจินตนาการว่าฉันจะชอบ  เขาชอบฉันและฉันก็ชอบเขา  เขาทนไม่ได้ที่จะต้องอยู่ห่างจากฉันและฉันก็ทนไม่ได้ที่จะต้องแยกจากเขา พวกเราเหมือนแม่เหล็กสองอันที่ดึงดูดกันและกัน อยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลา  พวกเรารักกัน มาแต่งงานกันเถอะ”  แล้วเธอก็แต่งงานอีกครั้งหนึ่ง  ทันทีที่แต่งงานกัน เธอก็มีลูกเพิ่มอีกหนึ่งคน และหลังจากผ่านไป 2-3 ปีเธอก็คิดว่า “คนคนนี้มีข้อบกพร่องไม่น้อยทีเดียว เขาทั้งขี้เกียจและตะกละตะกลาม  เขาชอบคุยโวและโอ้อวด แถมยังชอบคุยเรื่อยเปื่อย  เขาไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเอง ไม่เอาเงินที่เขาหามาได้ให้ครอบครัว แถมยังดื่มเหล้าและเล่นการพนันตลอดทั้งวัน  นี่ไม่ใช่คนที่ฉันต้องการจะรัก  คนที่ฉันรักไม่ได้เป็นเช่นนี้  หย่า!”  เธอหย่าร้างอีกครั้ง พลางกระเตงลูกสองคนไปด้วย  หลังจากหย่าร้างเธอก็เริ่มคิดใคร่ครวญว่าความรักแบบโรแมนติกคืออะไร?  เธอไม่สามารถตอบได้  คนบางคนมีการแต่งงานที่ล้มเหลว 2-3 หน และท้ายที่สุดพวกเขาพูดว่าอย่างไร?  “ฉันไม่เชื่อในความรักแบบโรแมนติก ฉันเชื่อในความเป็นมนุษย์”  เจ้าจะเห็นว่า พวกเขากลับไปกลับมา และพวกเขาไม่รู้ว่าควรเชื่อในสิ่งใด  พวกเขาไม่รู้ว่าการแต่งงานคืออะไร พวกเขายอมรับความคิดและทัศนคติที่คลาดเคลื่อนและใช้ความคิดและทัศนคติเหล่านี้เป็นมาตรฐานของตนเอง  พวกเขานำความคิดและทัศนคติเหล่านี้มาปฏิบัติเป็นการส่วนตน และในขณะเดียวกันพวกเขาก็สร้างความเสียหายต่อการแต่งงานและต่อตัวเอง รวมถึงสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นด้วย พวกเขาก่อความเสียหายต่อคนรุ่นถัดไปและต่อตัวเองทั้งทางกายภาพและทางวิญญาณในระดับที่ต่างกัน  สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลทั้งปวงว่าเหตุใดผู้คนจึงรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังกับการแต่งงาน เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อการแต่งงาน  เราเพิ่งสามัคคีธรรมเกี่ยวกับทัศนคติและคำจำกัดความต่างๆ นานาที่ผู้คนมีต่อการแต่งงาน รวมไปถึงสถานการณ์ของการแต่งงานของมนุษย์อันเป็นผลลัพธ์ของมุมมองที่ไม่ถูกต้องซึ่งคนสมัยใหม่มีต่อการแต่งงาน  โดยสรุปแล้ว สถานการณ์การแต่งงานของมนุษย์ในสมัยใหม่นี้ดีหรือไม่ดี?  (ไม่ดี)  ไม่มีโอกาสในอนาคต  ไม่ใช่การมองโลกในแง่ดี ทั้งยังกลับตาลปัตรมากกว่าที่เคย  จากตะวันออกถึงตะวันตก จากใต้จรดเหนือ การแต่งงานของมนุษย์อยู่ในสภาวะที่เลวร้ายและย่ำแย่  ผู้คนในรุ่นปัจจุบัน—ผู้คนที่อยู่ในช่วงอายุ 40-50 ปี—ล้วนประจักษ์ถึงความโชคร้ายของการแต่งงานทั้งคนรุ่นก่อนและรุ่นถัดไป รวมถึงทัศนะที่คนในรุ่นเหล่านี้มีต่อการแต่งงาน และประสบการณ์การแต่งงานที่ล้มเหลวของพวกเขา  แน่นอนว่า ผู้คนมากมายที่อายุต่ำกว่า 40 ปีต่างเป็นเหยื่อของการแต่งงานที่อับโชคทุกรูปแบบ บางคนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว บางคนก็เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม้แน่นอนว่าถ้าพูดตามจริงจะมีพ่อเลี้ยงเดี่ยวไม่มากนักก็ตาม  บางคนเติบโตมากับแม่ผู้ให้กำเนิดและพ่อเลี้ยง บางคนเติบโตมากับพ่อผู้ให้กำเนิดและแม่เลี้ยง และคนอื่นๆ ก็เติบโตมากับพี่น้องต่างพ่อและต่างแม่  คนอื่นๆ มีพ่อแม่ที่หย่าร้างกันและแล้วไปแต่งงานใหม่ และทั้งพ่อและแม่ต่างไม่ต้องการพวกเขา พวกเขาจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่หลังจากจับแพะชนแกะอยู่ในสังคมมาหลายปี แล้วพวกเขาก็กลายไปเป็นพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง หรือไม่ก็กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือพ่อเลี้ยงเดี่ยว  นี่คือสถานการณ์ของการแต่งงานสมัยใหม่  การจัดการเกี่ยวกับการแต่งงานของมวลมนุษย์มาถึงระดับนี้ได้มิได้เป็นผลของการทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามของซาตานหรอกหรือ?  (เป็น)  รูปแบบที่จำเป็นของการอยู่รอดและการเพิ่มจำนวนขั้นพื้นฐานที่สุดของมวลมนุษย์นี้ถูกทำให้เสียหายและถูกทำให้ยุ่งเหยิงโดยสิ้นเชิง  เจ้าคิดว่ามวลมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร?  การได้เห็นชีวิตของแต่ละครอบครัวช่างน่าลำบากใจ ย่ำแย่เกินกว่าจะมองดูด้วยซ้ำ  พวกเราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลย ยิ่งพูดมากเท่าไร คนเราก็ยิ่งรู้สึกลำบากใจมากขึ้นเท่านั้น จริงหรือไม่?

เนื่องจากพวกเรากำลังพูดถึงหัวข้อของการแต่งงาน พวกเราก็ควรเห็นว่าที่จริงแล้วคำจำกัดความและแนวคิดที่ถูกต้องแม่นยำของการแต่งงานคืออะไร  ในเมื่อพวกเรากำลังพูดถึงคำจำกัดความและแนวคิดที่ถูกต้องแม่นยำของการแต่งงาน พวกเราก็ต้องหาคำตอบในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อให้คำจำกัดความและแนวคิดที่ถูกต้องของการแต่งงานตามทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสและทรงทำในเรื่องนี้ไว้แล้ว เพื่อแจกแจงสภาวะที่แท้จริงของการแต่งงาน และเพื่อแจกแจงเจตนาดั้งเดิมเบื้องหลังการทรงสร้างและการดำรงอยู่ของการแต่งงาน  หากคนเราต้องการมองเห็นคำจำกัดความและแนวคิดของการแต่งงานให้ชัดเจน เช่นนั้นเขาก็ต้องเริ่มจากการดูที่บรรพบุรุษของมวลมนุษย์ก่อน  อะไรคือเหตุผลในการเริ่มจากการดูที่บรรพบุรุษของมวลมนุษย์?  มวลมนุษย์สามารถอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบันก็เพราะการแต่งงานของบรรพบุรุษของพวกเขา รากเหง้าต้นตอของการมีผู้คนอยู่มากมายในปัจจุบันคือการแต่งงานระหว่างผู้คนที่พระเจ้าทรงสร้างในตอนต้นนั่นเอง  ดังนั้น หากคนเราต้องการเข้าใจคำจำกัดความและแนวคิดที่ถูกต้องของการแต่งงาน เขาก็ต้องเริ่มจากการดูที่การแต่งงานของบรรพบุรุษของมวลมนุษย์  แต่งงานของบรรพบุรุษของมวลมนุษย์เริ่มขึ้นเมื่อใด?  การแต่งงานเริ่มขึ้นด้วยการสร้างมนุษย์ของพระเจ้า  เรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่มีหนังสือปฐมกาล พวกเราจึงต้องเปิดพระคัมภีร์และดูว่าบทตอนเหล่านี้กล่าวว่าอย่างไร  ผู้คนส่วนมากสนใจในหัวข้อนี้หรือไม่?  บรรดาผู้ที่แต่งงานแล้วอาจคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรให้พูดถึงด้วยซ้ำ คิดว่าหัวข้อนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก แต่คนหนุ่มสาวที่ยังโสดสนใจหัวข้อนี้เป็นพิเศษ เพราะพวกเขาคิดว่าการแต่งงานนั้นล้ำลึก และคิดว่ามีอีกหลายสิ่งที่พวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้  เพราะฉะนั้นมาเริ่มจากการพูดถึงรากเหง้ากัน  ใครก็ได้อ่านปฐมกาลบทที่ 2 ข้อ 18 ที (“พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น”)  ต่อไป ปฐมกาลบทที่ 2 ข้อ 21-24  (“แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูก ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น ชายนั้นจึงว่า ‘นี่แหละ กระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะเรียกคนนี้ว่าหญิง เพราะคนนี้ออกมาจากชาย’ เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน”)  ต่อไป ปฐมกาลบทที่ 3 ข้อ 16-19  (“พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า ‘เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากมากขึ้นแก่เจ้า และเมื่อเจ้ามีครรภ์ เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด ถึงกระนั้น เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า’ พระองค์จึงตรัสแก่ชายนั้นว่า ‘เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งไม่ให้กินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากตลอดชีวิต ต้นไม้และพืชที่มีหนามจะงอกขึ้นบนดินแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชตามท้องทุ่ง เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับไปเป็นดิน เพราะเจ้าถูกนำมาจากดิน และเพราะเจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม’”)  พวกเราจะหยุดไว้ตรงนั้น  ในบทที่สองมีอยู่ห้าข้อ และในบทที่สามมีอยู่สี่ข้อ เบ็ดเสร็จแล้วเป็นเก้าข้อของพระคัมภีร์  ทั้งเก้าข้อในปฐมกาลอธิบายสิ่งหนึ่ง นั่นคือ ที่มาของการแต่งงานของบรรพบุรุษมวลมนุษย์  มิได้เป็นเช่นนั้นหรือ?  (เป็น)  ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?  เจ้าเข้าใจความหมายโดยทั่วไปดีขึ้นเล็กน้อย และเจ้าสามารถจำได้หรือไม่?  เรื่องหลักที่ถูกพูดถึงในที่นี้คืออะไร?  (ที่มาของการแต่งงานของบรรพบุรุษมวลมนุษย์)  แล้วที่จริงการนี้เกิดขึ้นอย่างไรกัน?  (พระเจ้าทรงตระเตรียมไว้)  ถูกต้อง นั่นคือสภาวะที่แท้จริงของการนี้  พระเจ้าทรงตระเตรียมการนี้ไว้ให้มนุษย์  พระเจ้าทรงสร้างอาดัม แล้วจึงสร้างคู่ชีวิตให้กับเขา เป็นคู่สมรสที่จะช่วยเหลือและอยู่เป็นเพื่อนเขา และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขา  นี่คือต้นกำเนิดการแต่งงานของบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ และเป็นต้อตอของการแต่งงานของมนุษย์  มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?  (เป็นเช่นนั้น)  พวกเรารู้ถึงต้นตอของการแต่งงานของมนุษย์แล้ว นั่นก็คือ การนี้ได้รับการลิขิตจากพระเจ้า  พระเจ้าทรงตระเตรียมคู่ชีวิตซึ่งอาจเรียกว่าคู่สมรสไว้ให้บรรพบุรุษของมวลมนุษย์ ผู้ซึ่งต่อมาจะช่วยเหลือและอยู่เป็นเพื่อนเขาไปตลอดชีวิต  นี่เป็นต้นกำเนิดและเป็นต้นตอของการแต่งงานของมนุษย์  เพราะฉะนั้นเมื่อดูที่ต้นกำเนิดและต้นตอของการแต่งงานของมนุษย์ พวกเราควรเข้าใจการแต่งงานให้ถูกต้องอย่างไร?  เจ้าจะบอกว่าการแต่งงานเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  การแต่งงานศักดิ์สิทธิ์หรือ?  การแต่งงานเกี่ยวอะไรกับความศักดิ์สิทธิ์?  ไม่เกี่ยวเลย  เจ้าไม่อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์  การแต่งงานนั้นถูกจัดการเตรียมการและลิขิตโดยพระเจ้า  มีต้นกำเนิดและต้นตอในการทรงสร้างของพระเจ้า  พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คนแรก ผู้ซึ่งจำเป็นต้องมีคู่ชีวิตมาช่วยเหลือและอยู่เป็นเพื่อนเขา ใช้ชีวิตอยู่กับเขา ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงสร้างคู่ชีวิตให้กับเขา แล้วการแต่งงานของมนุษย์ก็ถือกำเนิด  แค่นั้นเอง  เป็นเรื่องเรียบง่ายเช่นนั้น  นี่เป็นความเข้าใจขั้นพื้นฐานเรื่องการแต่งงานที่เจ้าควรมี  การแต่งงานมาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการและทรงลิขิตไว้  อย่างน้อยที่สุดเจ้าสามารถกล่าวได้ว่าการแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่เป็นลบ ทว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นบวก  สามารถกล่าวได้อย่างถูกต้องแม่นยำว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่เหมาะสม เป็นส่วนที่เหมาะสมในช่วงชีวิตของมนุษย์และภายในกระบวนการการดำรงอยู่ของมนุษย์  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย  อีกทั้งไม่ใช่เครื่องมือหรือวิธีการเพื่อทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม นี่คือสิ่งที่เหมาะสมและเป็นบวกเพราะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างและถูกลิขิตโดยพระเจ้า และแน่นอนว่าพระองค์ทรงจัดการเตรียมการสิ่งนี้  การแต่งงานของมนุษย์เกิดขึ้นในการทรงสร้างของพระเจ้า และเป็นบางสิ่งที่พระองค์ทรงการเตรียมการและทรงลิขิตด้วยพระองค์เอง ดังนั้นเมื่อมองการแต่งงานจากมุมนี้ ทัศนคติเดียวที่คนเราควรมีต่อการแต่งงานก็คือนี่เป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่เหมาะสมและเป็นบวก ไม่ใช่สิ่งที่เป็นลบ เลวร้าย เห็นแก่ตัว หรือมืดมน  การแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่มาจากมนุษย์ และไม่ได้มาจากซาตาน นับประสาอะไรกับการเกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงสร้าง ทรงจัดการเตรียมการ และทรงลิขิตสิ่งนี้ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด  นี่คือคำจำกัดความและแนวคิดดั้งเดิมและถูกต้องที่สุดของการแต่งงาน

ตอนนี้เจ้าเข้าใจแนวคิดและคำจำกัดความที่ถูกต้องของการแต่งงานที่ผู้คนควรมีแล้ว พวกเรามาดูกันว่า ความหมายเบื้องหลังการลิขิตและการจัดการเตรียมของพระเจ้าต่อการแต่งงานนั้นคืออะไร?  เรื่องนี้ถูกพูดถึงในข้อพระคัมภีร์ที่พวกเราเพิ่งอ่านไป กล่าวคือ เหตุใดมนุษย์จึงมีการแต่งงาน พระดำริของพระเจ้าคืออะไร สถานการณ์และรูปการณ์แวดล้อมในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร และพระเจ้าประทานการแต่งงานนี้แก่มนุษย์ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมรูปแบบใด  พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสไว้เช่นนี้ว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น”  พระวจนะเหล่านี้กำลังกล่าวถึงสองสิ่ง  สิ่งแรกคือ พระเจ้าทรงเห็นว่าชายผู้นี้โดดเดี่ยวเกินไปที่จะอยู่ลำพัง โดยไม่มีคู่ชีวิต และไม่มีใครให้พูดคุย หรือไม่มีเพื่อนที่จะแบ่งปันความสุขและความคิดทั้งหลายด้วย พระองค์ทรงเห็นว่าชีวิตของเขาจะแห้งแล้ง จืดชืด และไม่น่าสนใจ ดังนั้นพระองค์จึงเกิดพระดำริขึ้นว่า ผู้ชายหนึ่งคนนั้นค่อนข้างโดดเดี่ยว ดังนั้นเราต้องสร้างคู่ชีวิตให้เขา  คู่ชีวิตคนนี้จะเป็นคู่สมรสของเขา เป็นคนที่จะอยู่กับเขาทุกหนทุกแห่งและช่วยเขาทำทุกสิ่งทุกอย่าง เธอจะเป็นคู่ชีวิตและเป็นคู่สมรสของเขา  จุดประสงค์ของคู่ชีวิตก็เพื่อให้อยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิต เดินหน้าไปพร้อมกับเขาบนเส้นทางของชีวิตของเขา  ไม่ว่าจะสิบปี ยี่สิบปี หนึ่งร้อยปี หรือสองร้อยปี คู่ชีวิตคนนี้จะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเขา เป็นคนที่อยู่กับเขาทุกหนแห่ง คนที่จะพูดกับเขา แบ่งปันความสุข ความเจ็บปวด และทุกๆ อารมณ์กับเขา และในขณะเดียวกันก็คอยอยู่เป็นเพื่อนเขาและทำให้เขาไม่อ้างว้างหรือโดดเดี่ยว  พระดำริและแนวพระดำริเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในพระทัยของพระเจ้าคือรูปการณ์แวดล้อมของต้นตอการแต่งงานของมนุษย์  พระเจ้าทรงทำสิ่งอื่นๆ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้  พวกเรามาดูบันทึกในพระคัมภีร์กัน “แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูก ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น”  พระเจ้าทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งจากชายคนนั้น และทรงหยิบร่างกายมนุษย์ขึ้นมา แล้วทรงใช้กระดูกซี่โครงนั้นสร้างเป็นคนอีกคนหนึ่ง  บุคคลคนนี้ถูกสร้างขึ้นจากกระดูกซี่โครงของชายคนนั้น ถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูกซี่โครงของเขา  พูดง่ายๆ อย่างไม่เป็นทางการก็คือบุคคลนี้—ซึ่งเป็นคู่ชีวิตของอาดัม ถูกสร้างขึ้นจากเนื้อหนังและกระดูกที่ถูกชักออกมาจากร่างกายเขา ดังนั้นคนเราจึงสามารถกล่าวได้ไม่ใช่หรือว่าในฐานะที่เธอเป็นคู่ชีวิตของเขา เธอก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาด้วย?  (ใช่)  พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เธอกำเนิดมาจากเขานั่นเอง  หลังจากเธอถูกสร้างขึ้นมาแล้ว อาดัมเรียกเธอว่าอย่างไร?  เรียกว่า “ผู้หญิง”  อาดัมเป็นผู้ชาย ส่วนเธอเป็นผู้หญิง เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้มีเพศที่ต่างกัน  พระเจ้าทรงสร้างบุคคลที่มีลักษณะทางกายภาพเป็นเพศชายขึ้นมาก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงชักกระดูกซี่โครงจากชายผู้นั้นและสร้างบุคคลที่มีลักษณะทางกายภาพเป็นเพศหญิงขึ้นมา  สองคนนี้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งถือเป็นการแต่งงาน แล้วการแต่งงานจึงถือกำเนิดขึ้นมา  ดังนั้นไม่ว่าใครบางคนถูกเลี้ยงดูมาด้วยพ่อแม่แบบใด สุดท้ายแล้วพวกเขาทุกคนก็จำเป็นต้องแต่งงานและอยู่ร่วมกับคู่ชีวิตของพวกเขาภายใต้การลิขิตและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และเดินไปจนสุดทาง  นี่คือการลิขิตของพระเจ้า  ประการหนึ่งคือ เมื่อมองเรื่องนี้อย่างเป็นกลาง ผู้คนย่อมต้องการคู่ชีวิต อีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อมองเรื่องนี้ตามความรู้สึกส่วนตัว สามีและภรรยาก็ควรเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นคนคนเดียวกันที่ไม่สามารถแยกจากกันได้เนื่องจากการแต่งงานเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้  นี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นความคิดส่วนตนและข้อเท็จจริงที่เป็นความจริง  ดังนั้น แต่ละคนจำเป็นต้องจากครอบครัวโดยกำเนิดของพวกเขา เข้าสู่การแต่งงาน และสร้างครอบครัวกับคู่ชีวิตของตน  นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  เพราะเหตุใด?  เพราะสิ่งนี้ได้รับการลิขิตจากพระเจ้า และเป็นบางสิ่งที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการไว้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของมนุษย์  สิ่งนี้บอกอะไรแก่ผู้คน?  ไม่ว่าเจ้าคิดฝันว่าคู่ชีวิตของเจ้าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่เจ้าต้องการและคาดหวังโดยส่วนตัวหรือไม่ และไม่ว่าภูมิหลังของพวกเขาเป็นเช่นไร คนที่เจ้าจะแต่งงานด้วย คนที่เจ้าจะสร้างครอบครัวและใช้ชีวิตนี้ไปด้วยกัน เป็นคนที่พระเจ้าทรงลิขิตและทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าแล้วอย่างแน่นอน  มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?  (เป็นเช่นนี้)  เหตุผลของการนี้คืออะไร?  (การลิขิตของพระเจ้า)  เหตุผลก็คือการลิขิตของพระเจ้า  เมื่อดูจากบริบทของชีวิตทั้งหลายที่ผ่านมา หรือดูจากทัศนคติของพระเจ้า สามีและภรรยาที่เข้าสู่การแต่งงานย่อมเป็นหนึ่งเดียวกันโดยแท้จริง ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงจัดการเตรียมการให้เจ้าแต่งงานและใช้ชีวิตกับคนที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับเจ้า  พูดชัดๆ ก็คือ การแต่งงานเป็นเช่นนั้น  ไม่ว่าคนที่เจ้าแต่งงานด้วยจะเป็นคนรักในฝันของเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าเขาเป็นเจ้าชายรูปงามของเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าเขาเป็นคนที่เจ้าคาดหวังหรือไม่ ไม่ว่าเจ้ารักเขาหรือเขารักเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพวกเจ้าแต่งงานไปโดยธรรมชาติจากโชคและความบังเอิญ หรือภายใต้รูปการณ์แวดล้อมบางอย่าง การแต่งงานของพวกเจ้าถูกลิขิตโดยพระเจ้า  พวกเจ้าคือคู่ชีวิตที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้เพื่อกันและกัน เป็นคนที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนกันและกัน และพระองค์ได้ทรงลิขิตไว้ให้ใช้ชีวิตนี้ด้วยกันและเดินจับมือกันไปจนถึงปลายทาง  มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?  (เป็นเช่นนี้)  พวกเจ้าคิดว่าความเข้าใจนี้ช่างอวดรู้หรือบิดเบี้ยวใช่หรือไม่?  (ไม่)  สิ่งนี้ไม่ใช่ทั้งอวดอ้างและบิดเบี้ยว  บางคนกล่าวว่า “คุณอาจจะคิดผิดที่พูดแบบนี้  ถ้าการแต่งงานเหล่านี้ได้รับการลิขิตโดยพระเจ้าจริงๆ แล้วทำไมการแต่งงานบางครั้งถึงยังลงเอยด้วยการหย่าร้างเล่า?”  นั่นเป็นเพราะความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านี้มีปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่แยกจากกัน  ประเด็นนี้พาดพิงถึงเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งเราจะสามัคคีธรรมกันในภายหลัง  ขณะนี้เมื่อพูดถึงคำจำกัดความ ความเข้าใจ และแนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงาน ข้อเท็จจริงก็คือมันเป็นเช่นนี้  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ในเมื่อพระองค์ตรัสว่าสามีและภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นนั้นก็เป็นอย่างที่ผู้ไม่เชื่อกล่าวว่า ‘หากใช่ อย่างไรก็ใช่ และหากไม่ใช่ อย่างไรก็ไม่ใช่’ และเป็นอย่างที่ผู้คนจากบางชนชาติกล่าวว่า[ข] ‘ต้องทำกรรมดีหลายร้อยปีกว่าจะมีโอกาสลงเรือลำเดียวกันกับใครบางคน และทำกรรมดีหลายพันปีกว่าจะได้ร่วมหอลงโลงกัน’ มิใช่หรือ?”  พวกเจ้าคิดว่าการแต่งงานที่พวกเรากำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้ มีอะไรเกี่ยวข้องกับคำพูดเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่มี)  คำพูดเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกัน  การแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่ถูกบ่มเพาะให้ดำรงอยู่—นี่เป็นสิ่งที่ได้รับการลิขิตจากพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงลิขิตให้คนสองคนกลายเป็นสามีภรรยากัน และกลายเป็นคู่ชีวิตของกันและกัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะสิ่งนี้ให้แก่ตนเอง  พวกเขาจะบ่มเพาะสิ่งใด?  เส้นใยทางศีลธรรมหรือ?  ความเป็นมนุษย์หรือ?  พวกเขาไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะด้วยตนเอง  นั่นเป็นวิธีการพูดในแบบพุทธ ซึ่งไม่ใช่ความจริง และไม่เกี่ยวอะไรกับความจริงเลย  การแต่งงานของมนุษย์ได้รับการจัดการเตรียมการและการลิขิตจากพระเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือลายลักษณ์อักษร คำจำกัดความหรือแนวคิด พวกเราควรเข้าใจการแต่งงานในหนทางนี้  เจ้ามีคำจำกัดความและแนวคิดเรื่องการแต่งงานที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริงผ่านพระพระวจนะที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์และผ่านสามัคคีธรรมนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  แนวคิดนี้ คำจำกัดความนี้ไม่ถูกบิดเบี้ยว นี่ไม่ใช่ทัศนคติแบบโลกสวย นับประสาอะไรกับการเข้าใจและถูกนิยามโดยอารมณ์ของมนุษย์  ในทางกลับกัน สิ่งนี้มีรากฐาน เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่บนพระวจนะและการกระทำของพระเจ้า ทั้งยังตั้งอยู่บนการจัดการเตรียมการและการลิขิตของพระองค์  เมื่อถึงจุดนี้แล้ว ทุกคนย่อมจับความเข้าใจและคำจำกัดความพื้นฐานของการแต่งงานได้แล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ขณะนี้ที่เจ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เจ้าจะไม่ยึดติดกับเรื่องเพ้อฝันที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริงเกี่ยวกับการแต่งงานอีกต่อไป หรือการพร่ำบ่นเกี่ยวกับการแต่งงานจะน้อยลงใช่หรือไม่?  อาจมีบางคนที่กล่าวว่า “การแต่งงานเป็นสิ่งที่ได้รับการลิขิตจากพระเจ้า—ตรงนี้ไม่มีอะไรให้พูดถึง—แต่การแต่งงานที่พังไม่เป็นท่าเล่า  ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องอะไรกัน?”  ในเรื่องนี้มีเหตุผลอยู่มากมาย  มวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของประเด็นปัญหา พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าความพึงพอใจทางตัณหาและความชอบส่วนตนจนถึงจุดของการสนับสนุนความเลวร้าย การแต่งงานของพวกเขาจึงพังไม่เป็นท่า  นี่เป็นหัวข้อที่แยกต่างหาก ซึ่งพวกเราจะไม่พูดถึงไปมากกว่านี้

พวกเรามาพูดถึงการช่วยเหลือและการอยู่เป็นเพื่อนกันและกันในการแต่งงานเถิด  พระเจ้าตรัสว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น”  บรรดาผู้ที่แต่งงานแล้วรู้ว่าการแต่งงานนำประโยชน์มากมายมาสู่ครอบครัวและสู่ชีวิตของคนคนหนึ่งอย่างที่พวกเขาไม่เคยคิดฝัน  เดิมทีผู้คนโดดเดี่ยวและอ้างว้างมากยามที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไม่มีใครที่ไว้ใจได้ ไม่มีใครให้พูดคุยด้วย ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ชีวิตแห้งแล้งและอับจนหนทางอย่างยิ่ง  ทันทีที่พวกเขาแต่งงาน พวกเขาก็ไม่ต้องทนทุกข์กับความโดดเดี่ยวและความอ้างว้างนี้อีกต่อไป  พวกเขามีคนที่วางใจได้  บางครั้งพวกเขาก็พรั่งพรูความทุกข์ระทมของตัวเองกับคู่ชีวิตของตน และบางครั้งพวกเขาก็แบ่งปันอารมณ์ต่างๆ และความชื่นบาน หรือแม้กระทั่งระบายความโกรธของตน  บางครั้งพวกเขาก็พรั่งพรูความในใจแก่กันและกัน และชีวิตก็ดูน่าชื่นบานและมีความสุข  พวกเขาเป็นคนที่ไว้วางใจของกันและกัน และพวกเขาเชื่อในกันและกัน ดังนั้นนอกจากไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว พวกเขายังได้รับประสบการณ์ความปีติยินดีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ทั้งยังได้ชื่นชมความสุขของการมีคู่ชีวิต  นอกจากภาวะอารมณ์ อารมณ์ และความรู้สึกนานาประการ รวมถึงความคิดต่างๆ ที่ต้องแสดงออก ผู้คนยังต้องเผชิญกับประเด็นปัญหามากมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในชีวิตประจำวันและในกระบวนการดำรงชีวิต ประเด็นปัญหาทั้งหลายเช่น สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้า อาหาร และที่อยู่อาศัย  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคนสองคนต้องการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน และพวกเขาจำเป็นต้องสร้างโกดังขนาดเล็กขึ้นมา  ผู้ชายต้องเป็นคนก่ออิฐ เรียงก้อนอิฐเพื่อก่อกำแพง และผู้หญิงก็สามารถช่วยเหลือเขาได้โดยการยื่นอิฐให้เขาและผสมปูน หรือซับเหงื่อและหาน้ำให้เขาดื่ม  พวกเขาสองคนต่างพูดคุยและหัวเราะไปด้วยกัน และเขาก็มีผู้ช่วย ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดี  งานเสร็จสิ้นก่อนที่ฟ้าจะมืดเสียด้วยซ้ำ  การนี้เหมือนอุปรากรจีนโบราณที่ชื่อ “คู่รักธิดาสวรรค์” พรรณนาว่า “ข้าตักน้ำ ส่วนเจ้ารดน้ำในสวน”  มีอะไรอีก?  (“ท่านไถนาและข้าทอผ้า”)  ถูกต้อง  คนหนึ่งทอผ้าในขณะที่อีกคนไถนา  คนหนึ่งเป็นนายหญิงในบ้าน อีกคนหนึ่งเป็นนายท่านนอกบ้าน  การใช้ชีวิตในหนทางนี้นับว่าดีทีเดียว  คนเราสามารถเรียกการนี้ได้ว่าการส่งเสริมกันอย่างลงตัว หรือการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง  ในชีวิตนั้น ทักษะของฝ่ายชายแสดงทักษะของตนด้วยวิธีนี้ และในส่วนที่เขาขาดพร่องหรือขาดทักษะก็ได้รับการชดเชยจากฝ่ายหญิง สำหรับจุดอ่อนของฝ่ายหญิง ฝ่ายชายก็ให้อภัยเธอ ช่วยเหลือเกื้อกูลเธอ และเธอยังได้แสดงจุดแข็งของตนเอง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ชายในครอบครัวด้วย  สามีและภรรยาต่างทำหน้าที่ของตน เรียนรู้จากจุดแข็งของแต่ละฝ่ายเพื่อชดเชยจุดอ่อนของตนเอง และร่วมกันปกป้องความปรองดองในครอบครัว รวมถึงชีวิตและความอยู่รอดของทั้งครอบครัว  แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่ามิตรภาพก็คือ ทั้งสองคนต่างเกื้อหนุนและช่วยเหลือกันและกันไปตลอดชีวิต ผ่านวันเวลาไปด้วยดีไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวยก็ตาม  โดยสรุปแล้วดังที่พระเจ้าตรัสว่า การที่ผู้ชายอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี ดังนั้นพระองค์จึงทรงจัดการเตรียมการแต่งงานแทนมนุษย์—ให้ผู้ชายตัดฟืนและทำงานในเรือกสวนไร่นา ส่วนผู้หญิงทำอาหาร ทำความสะอาด ซ่อมแซม และคอยดูแลทั้งครอบครัว  แต่ละคนทำงานของตนเองเป็นอย่างดี ทำในสิ่งที่พวกเขาแต่ละคนจำเป็นต้องทำในชีวิต และวันเวลาของพวกเขาก็ผ่านไปอย่างมีความสุข  ชีวิตของมนุษย์ค่อยๆ พัฒนาออกไปสู่ภายนอกจนครอบคลุมทั้งหมดจากจุดนี้จุดเดียว โดยมนุษย์ได้สืบพันธุ์และเพิ่มจำนวนมาจนถึงปัจจุบัน  ดังนั้นการแต่งงานจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งต่อมวลมนุษย์ในภาพรวม—จำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาของพวกเขา และจำเป็นอย่างยิ่งต่อพวกเขาในฐานะปัจเจกบุคคล  ความหมายที่แท้จริงของการแต่งงานไม่ใช่แค่เพื่อเพิ่มจำนวนเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเพื่อให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการคู่ชีวิตให้กับผู้ชายและผู้หญิงแต่ละคน เป็นคนที่จะอยู่เป็นเพื่อนกันไปในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าในเวลาที่ลำบากยากเย็นหรือเจ็บปวด หรือสบายอกสบายใจ ชื่นบานยินดี และมีความสุข—ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว พวกเขามีใครบางคนที่วางใจได้ เป็นคนที่มีความคิดและหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา และแบ่งปันความโศกเศร้า ความเจ็บปวด ความสุข และความชื่นบานยินดีไปกับพวกเขา  นี่คือความหมายเบื้องหลังการที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการการแต่งงานแก่ผู้คน และเป็นความต้องการส่วนบุคคลของมนุษย์แต่ละคน  ในเวลาที่พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์นั้น พระองค์ไม่ต้องประสงค์ให้พวกเขาอยู่เพียงลำพัง ดังนั้นพระองค์จึงทรงจัดการเตรียมการการแต่งงานให้พวกเขา  ในการแต่งงาน ผู้ชายและผู้หญิงต่างมีบทบาทแตกต่างกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาได้อยู่เป็นเพื่อนกันและเกื้อหนุนกันและกัน ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างดี รวมถึงก้าวเดินบนถนนแห่งชีวิตด้วยดี  ประการหนึ่งคือพวกเขาสามารถอยู่เป็นเพื่อนกัน และอีกประการหนึ่งคือพวกเขาสามารถเกื้อหนุนกันและกันได้—นี่คือความหมายและความจำเป็นในการดำรงอยู่ของการแต่งงาน  แน่นอนว่านี่เป็นความเข้าใจและท่าทีที่ผู้คนพึงมีต่อการแต่งงาน ทั้งยังเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พวกเขาควรลุล่วงในเรื่องของการแต่งงานอีกด้วย

พวกเรามาย้อนกลับไปดูที่ปฐมกาลบทที่ 3 ข้อ 6 กันเถิด  พระเจ้าตรัสกับผู้หญิงว่า “เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากมากขึ้นแก่เจ้า และเมื่อเจ้ามีครรภ์ เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด ถึงกระนั้น เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า”  นี่เป็นหน้าที่ที่พระเจ้าประทานแก่เพศหญิง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคำบัญชาด้วย โดยพระองค์ทรงลิขิตบทบาทที่ผู้หญิงจะแสดงในการแต่งงาน และเป็นความรับผิดชอบที่เธอจะรับเอาไป  ผู้หญิงต้องให้กำเนิดบุตร ซึ่งในแง่หนึ่งเป็นการลงโทษต่อการฝ่าฝืนครั้งก่อนของเธอ และในอีกแง่หนึ่งเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของการแต่งงานที่เธอควรจะยอมรับในฐานะผู้หญิง  เธอจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตร และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เธอจะให้กำเนิดบุตรด้วยความระทมทุกข์  ด้วยเหตุนี้หลังจากเข้าสู่การแต่งงานแล้ว ผู้หญิงไม่ควรปฏิเสธการมีลูกเพราะกลัวความทุกข์  นี่เป็นความผิดพลาด  การตั้งครรภ์เป็นความรับผิดชอบที่เจ้าพึงยอมรับ  เพราะฉะนั้นหากเจ้าต้องการมีใครบางคนมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ช่วยเหลือเจ้าในชีวิต เช่นนั้นเจ้าต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบและภาระผูกพันอันดับแรกที่เจ้าต้องรับไว้กับตัวเมื่อเข้าสู่การแต่งงาน  หากมีผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันไม่อยากตั้งท้อง”  เช่นนั้นผู้ชายย่อมจะกล่าวว่า “ถ้าคุณไม่อยากตั้งท้อง ผมก็ไม่ต้องการคุณ”  หากเจ้าไม่ต้องการทนทุกข์เพราะความเจ็บปวดของการให้กำเนิดบุตร เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรแต่งงาน  เจ้าไม่ควรเข้าสู่การแต่งงาน เจ้าไม่คู่ควรกับการนี้  ในเรื่องของการเข้าสู่การแต่งงาน สิ่งแรกที่เจ้าพึงกระทำในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งคือการมีลูก และยิ่งไปกว่านั้นคือการทนทุกข์  หากเจ้าไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรเข้าสู่การแต่งงาน  แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้หญิง แต่อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าในฐานะผู้หญิง  การตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรเป็นข้อพึงประสงค์แรกที่มีต่อผู้หญิง  ข้อพึงประสงค์ที่สองคือ “เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า”  การเป็นคู่ชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง—ในฐานะผู้หญิง การแต่งงานกับผู้ชายพิสูจน์ว่าเจ้าคือคู่ชีวิตของเขา และเมื่อพูดตามหลักความเชื่อในระดับหนึ่งว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของเขา ดังนั้นหัวใจของเจ้าจึงต้องมีความปรารถนาต่อเขา นั่นหมายความว่าเขาต้องอยู่ในหัวใจของเจ้า  เมื่อเขาอยู่ในหัวใจของเจ้าแล้วเท่านั้นเจ้าจึงสามารถดูแลเขาและอยู่เป็นเพื่อนเขาได้อย่างเต็มใจ  แม้ยามที่สามีของเจ้าล้มป่วย ยามที่เขาเผชิญความลำบากยากเย็นและความพ่ายแพ้ หรือยามที่เขาเผชิญกับความล้มเหลว เผชิญกับการสะดุด หรือความขุ่นข้องหมองใจต่อผู้คนหรือต่อชีวิตของเขาเอง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงสามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตนในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ทะนุถนอมเขา ให้คุณค่ากับเขา ดูแลเขา เตือนสติเขา ชูใจเขา รวมถึงแนะนำและหนุนใจเขาด้วยวิธีการอย่างผู้หญิงคนหนึ่ง  นี่คือมิตรภาพที่เป็นจริงซึ่งดีกว่า  มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่การแต่งงานของเจ้าจะมีความสุข และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจึงจะสามารถลุล่วงความรับผิดชอบตามแบบฉบับผู้หญิงของตนได้  แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบที่พ่อแม่ของเจ้าไว้วางใจมอบหมายให้เจ้า ทว่ามาจากพระเจ้า  นี่เป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงลุล่วง  ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง นี่คือหนทางที่เจ้าพึงยอมรับ  นี่คือหนทางที่เจ้าควรปฏิบัติและเอาใจใส่ดูแลสามีของเจ้า นี่เป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า  หากผู้หญิงคนหนึ่งไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี และแน่นอนว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ได้รับการยอมรับ เพราะเธอล้มเหลวแม้กระทั่งการทำตามข้อพึงประสงค์ขั้นต่ำที่สุดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้หญิง กล่าวคือ “เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า”  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  ในฐานะคู่ชีวิตของชายคนหนึ่ง เจ้าสามารถชื่นชูและดูแลสามีของเจ้าได้ในยามที่สิ่งทั้งหลายราบรื่น ในยามที่เขามีเงินและอำนาจ ในยามที่เขาเชื่อฟังและดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ในยามที่เขาทำให้เจ้ามีความสุขและพึงพอใจในทุกสิ่ง  แต่เมื่อเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็น ความเจ็บป่วย ความคับข้องใจ ความล้มเหลว ความท้อแท้ หรือความผิดหวัง เมื่อสิ่งทั้งหลายไม่เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงลุล่วง ไม่สามารถชูใจเขาได้อย่างจริงใจ เตือนสติเขา หนุนใจเขา หรือเกื้อหนุนเขาได้  ในกรณีนี้เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี เพราะเจ้าไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของผู้หญิงคนหนึ่ง และเจ้าไม่ใช่คู่ชีวิตที่ดีสำหรับผู้ชายคนหนึ่ง  ดังนั้นคนเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าผู้หญิงเช่นนั้นเป็นผู้หญิงไม่ดี?  เรียกว่า “ไม่ดี” คงเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด เจ้าไม่มีมโนธรรมและเหตุผลที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ ซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี—เจ้าคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ไร้ความเป็นมนุษย์  มิได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ?  (เป็นเช่นนั้น)  พวกเราพูดถึงข้อพึงประสงค์ที่มีต่อผู้หญิงจบแล้ว  พระเจ้าได้ตรัสถึงความรับผิดชอบของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีต่อสามีของเธอ ซึ่งก็คือ “เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า”  คำว่า “ปรารถนา” นี้ไม่ใช่เรื่องของความรักหรือความรักใคร่เอ็นดู ทว่าคำนี้หมายความว่าเขาต้องอยู่ในหัวใจของเจ้า  เขาต้องเป็นที่รักของเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติต่อเขาในฐานะคนที่เจ้ารัก ในฐานะคู่ชีวิตของเจ้า  เขาคือคนที่เจ้าต้องทะนุถนอม อยู่เป็นเพื่อน และเอาใจใส่ เป็นคนที่เจ้าต้องดูแลกันและกันไปจนสิ้นชีวิต  เจ้าต้องดูแลและเชิดชูเขาเป็นสิ่งล้ำค่าด้วยหัวใจทั้งหมดของเจ้า  นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “ปรารถนา”  แน่นอนว่าเมื่อพระเจ้าตรัสในที่นี้ว่า “เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า”  วลีที่ว่า “จะยังปรารถนา” คือหลักคำสอนที่ประทานต่อผู้คน  ในฐานะผู้หญิงที่มีความเป็นมนุษย์และเป็นผู้หญิงที่เป็นที่ยอมรับ เจ้าจึงควรมีความปรารถนาอยู่ที่สามีของตน  นอกจากนี้ พระเจ้ามิได้ทรงบอกให้เจ้าปรารถนาทั้งต่อสามีของตนและต่อชายอื่น  พระเจ้ามิได้ตรัสเช่นนี้ใช่หรือไม่?  (พระองค์มิได้ตรัสเช่นนี้)  พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้หญิงสัตย์ซื่อต่อสามีของเธอ และเป็นคนเดียวในหัวใจของเธอ คนเดียวที่เธอมุ่งมาดปรารถนาคือสามีของเธอ  พระองค์ไม่ต้องประสงค์ให้เธอเปลี่ยนคนที่เธอรู้สึกรักใคร่ไปมา หรือทำตัวสำส่อน ไม่สัตย์ซื่อต่อสามีของตน หรือปรารถนาผู้อื่นที่อยู่นอกการแต่งงานของเธอ  ในทางกลับกัน พระองค์ทรงต้องการให้เธอปรารถนาคนที่เธอแต่งงานและใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกัน  ชายผู้นี้คือคนที่เจ้าควรมุ่งปรารถนาโดยแท้จริง เขาคือคนที่เจ้าควรใช้การอุตสาหะพยายามทั้งชีวิตไปกับการดูแล เชิดชูว่าล้ำค่า เอาใจใส่ อยู่เป็นเพื่อน ช่วยเหลือ และเกื้อหนุน  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  นี่เป็นสิ่งดีมิใช่หรือ?  (ใช่)  สิ่งดีๆ ประเภทนี้ปรากฏอยู่ในหมู่นกและสัตว์ปีก และอยู่ท่ามกลางอาณาจักรของสรรพสัตว์ที่เหลือ แต่สิ่งนี้แทบไม่ปรากฏอยู่ในหมู่มนุษย์—เจ้าย่อมเห็นได้ว่าซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างหนักเพียงไร!  พวกเราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับภาระผูกพันขั้นพื้นฐานที่สุดที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงลุล่วงในการแต่งงานอย่างชัดเจนแล้ว รวมถึงหลักธรรมที่เธอควรปฏิบัติต่อสามีของตน  นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นอีก นั่นก็คือ การแต่งงานที่พระเจ้าทรงลิขิตและทรงจัดการเตรียมการนั้นเป็นการมีคู่สมรสคนเดียว  พวกเราจะหาข้อมูลพื้นฐานของเรื่องนี้ได้จากส่วนใดในพระคัมภีร์?  พระเจ้าทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งจากร่างกายของผู้ชายเพื่อสร้างผู้หญิง—พระองค์ไม่ได้ทรงชักกระดูกซี่โครงจากมนุษย์เกินหนึ่งซี่เพื่อสร้างผู้หญิงหลายคน  พระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น  จึงกล่าวได้ว่า พระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงเพียงคนเดียวให้กับผู้ชายเพียงคนเดียวที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น  นี่ย่อมหมายความว่าผู้ชายคนนี้มีคู่ชีวิตเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น  ผู้ชายคนนี้มีคู่ชีวิตเพียงหนึ่งเดียว และผู้หญิงคนนี้ก็มีคู่ชีวิตเพียงหนึ่งเดียว นอกจากนี้ ในเวลาเดียวกันพระเจ้าได้ทรงตักเตือนหญิงผู้นี้ด้วยว่า “เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า”  ใครคือสามีของเจ้า?  คนที่เจ้าเข้าสู่การแต่งงานด้วยนั่นเอง ไม่ใช่ใครอื่น  ไม่ใช่คนรักลับๆ ของเจ้า และไม่ใช่คนต้นแบบที่มีชื่อเสียงที่เจ้าชื่นชู อีกทั้งไม่ใช่เจ้าชายรูปงามในฝันของเจ้า  นี่คือสามีของเจ้า และเจ้ามีเพียงคนเดียวเท่านั้น  นี่คือการแต่งงานที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้—การมีคู่สมรสคนเดียว  การนี้แฝงอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  พระเจ้าตรัสว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น”  พระเจ้ามิได้ตรัสว่าพระองค์จะทรงสร้างคู่อุปถัมภ์ให้เจ้า 2-3 คนหรือมากกว่านั้น นั่นไม่จำเป็น  คนเดียวก็เพียงพอแล้ว  พระเจ้าไม่ได้ตรัสด้วยว่าผู้หญิงหนึ่งคนควรแต่งงานกับสามีหลายคน หรือผู้ชายหนึ่งคนควรมีภรรยาหลายคน  พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างคู่สมรสหลายคนให้กับผู้ชายหนึ่งคน และพระองค์ก็ไม่ได้ทรงชักกระดูกซี่โครงจากผู้ชายหลายคนมาสร้างเป็นผู้หญิงหลายคน ดังนั้นคู่สมรสของผู้ชายคนหนึ่งจึงเป็นได้แค่ผู้หญิงที่ถูกสร้างขึ้นจากกระดูกซี่โครงของเขาเองเท่านั้น  นี่มิใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  (เป็นข้อเท็จจริง)  แล้วในภายหลังของการพัฒนามวลมนุษย์ การมีภรรยาหลายคนก็ถือกำเนิดขึ้น เช่นเดียวกับการมีสามีหลายคน  การแต่งงานเช่นนั้นผิดปกติ และไม่ใช่การแต่งงานโดยสิ้นเชิง  นี่เป็นการผิดประเวณีทั้งสิ้น  มีข้อยกเว้นสำหรับรูปการณ์แวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์อยู่เพียงไม่กี่ประการ อย่างเช่น ผู้ชายเสียชีวิตและภรรยาของเขาแต่งงานใหม่  การนี้ถูกลิขิตและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า ซึ่งถือว่าได้รับอนุญาตแล้ว  โดยสรุปคือ การแต่งงานคงไว้ซึ่งการมีคู่สมรสคนเดียวเสมอ  มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?  (เป็นเช่นนี้)  จงดูโลกแห่งธรรมชาติเถิด  ห่านป่ามีคู่ครองเพียงตัวเดียว  หากมนุษย์ฆ่าห่านตัวหนึ่งทิ้ง ห่านอีกตัวจะไม่มีวัน “แต่งงานใหม่” อีกเลย—มันจะกลายเป็นห่านที่ไร้คู่  มีคำกล่าวว่าเวลาฝูงห่านบิน โดยปกติแล้วตัวที่บินนำหน้ามักเป็นห่านที่ไร้คู่  ชีวิตของห่านที่ไร้คู่นั้นยากลำบาก  มันต้องทำสิ่งต่างๆ ที่ห่านตัวอื่นในฝูงไม่เต็มใจทำ  เวลาที่ห่านตัวอื่นกำลังกินอาหารหรือพักผ่อน มันก็ต้องรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยให้กับห่านที่เหลือในฝูง  มันไม่สามารถกินและนอนได้ มันต้องจดจ่ออยู่ความปลอดภัยรอบตัวเพื่อปกป้องฝูง  มีหลายสิ่งที่มันไม่สามารถทำได้ มันได้แต่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่สามารถมีรักใหม่ได้  มันไม่สามารถมีคู่อีกได้ตราบจนชั่วชีวิต  ห่านป่ารักษากฎเกณฑ์ที่พระเจ้าลิขิตไว้ให้พวกมันเสมอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาจนกระทั่งปัจจุบัน แต่มนุษย์กลับตรงกันข้าม  เหตุใดมนุษย์จึงตรงกันข้ามเหลือเกิน?  เพราะมนุษย์เป็นพวกที่ซาตานทำให้เสื่อมทราม และเพราะพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในความเลวร้ายและความสำส่อน พวกเขาไม่สามารถอยู่อย่างมีคู่สมรสคนเดียวได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถค้ำจุนบทบาทในการแต่งงานของตนหรือรักษาความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พวกเขาพึงกระทำได้  เรื่องนั้นไม่จริงหรอกหรือ?  (จริง)

พวกเรามาอ่านกันต่อกันเถิด  พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า”  คำว่า “ปกครอง” หมายความว่าอย่างไร?  หมายถึงการกำกับควบคุมด้วยไม้เรียว ทำให้ผู้หญิงกลายเป็นทาสใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วหมายความว่าอย่างไร?  (ดูแลเธอและมีความรับผิดชอบต่อเธอ)  แนวคิดของคำว่า “ความรับผิดชอบ” นี้ใกล้ขึ้นเล็กน้อย  การปกครองในที่นี้เกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่ผู้หญิงล่อลวงผู้ชายให้ทำบาป  เพราะผู้หญิงละเมิดพระวจนะของพระเจ้าและถูกทดลองโดยงูมาก่อน จากนั้นก็นำผู้ชายให้ถูกล่อลวงเช่นเดียวกับเธอ ให้ทรยศพระเจ้า พระเจ้ากริ้วเธอเล็กน้อย ด้วยเหตุนั้นพระองค์จึงทรงมีพระประสงค์ให้เธองดเว้นจากการเป็นผู้ริเริ่ม โดยให้ปรึกษาผู้ชายในทุกสิ่งที่เธอทำ การให้ยอมให้ผู้ชายเป็นเจ้านายย่อมดีที่สุดสำหรับเธอ  แล้วผู้หญิงได้รับโอกาสให้เป็นเจ้านายหรือไม่?  พวกเธออาจได้รับโอกาสนั้น  ผู้หญิงสามารถปรึกษาสามีของเธอ และสามารถเป็นเจ้านายได้เช่นกัน แต่การไม่ให้ตัดสินใจด้วยตัวเองย่อมจะดีที่สุดสำหรับเธอ เธอต้องปรึกษาสามี ปรึกษาผู้ชายของเธอ  การให้เธอปรึกษาสามีในเรื่องใหญ่ๆ นั้นดีที่สุด  ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงแต่ต้องคอยติดตามสามีของเจ้าเท่านั้น เจ้ายังต้องช่วยสามีของเจ้าจัดการหน้าที่ต่างๆ ภายในบ้านอีกด้วย  ที่สำคัญกว่านั้น บทบาทที่สามีของเจ้าควรเติมเต็มในครอบครัวและการแต่งงานคือในฐานะเจ้านาย ดังนั้นเจ้าควรปรึกษาสามีของตนในสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำ  จากความแตกต่างระหว่างเพศ ผู้หญิงจึงเสียเปรียบผู้ชายทั้งในความคิด ความอดกลั้น ทัศนคติ หรือเรื่องภายนอกประเภทใดก็ตาม ในทางกลับกัน ผู้ชายย่อมได้เปรียบมากกว่าผู้หญิง  เพราะฉะนั้นจากความแตกต่างระหว่างเพศนี้ พระเจ้าจึงประทานสิทธิอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์แก่ผู้ชาย—ในครอบครัวผู้ชายย่อมเป็นเจ้านาย ส่วนผู้หญิงเป็นฝ่ายอุปถัมภ์  ผู้หญิงจำเป็นต้องช่วยเหลือสามี หรือติดตามสามีของเธอในการจัดการเรื่องเล็กและใหญ่ทั้งหลาย  แต่เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “เขาจะปกครองตัวเจ้า” พระองค์ไม่ได้ทรงหมายความว่าเพศชายมีสถานะสูงส่งกว่าเพศหญิง หรือเพศชายควรมีอำนาจเหนือสังคมทั้งหมด  มิได้เป็นเช่นนั้น  ในการตรัสเช่นนี้ พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับการแต่งงานเท่านั้น พระองค์เพียงตรัสถึงครอบครัวและเรื่องสัพเพเหระในบ้านที่ผู้ชายและผู้หญิงต้องจัดการ  เมื่อเป็นเรื่องสัพเพเหระในบ้าน พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ให้ผู้ชายควบคุมหรือขู่เข็ญผู้หญิงไปเสียทุกเรื่อง ในทางกลับกัน ผู้ชายจำเป็นต้องแบกรับภาระและความรับผิดชอบต่อครอบครัวของตนอย่างแข็งขัน และในขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องสนใจดูแลผู้หญิงที่ค่อนข้างอ่อนแอกว่า และเขาจำเป็นต้องให้การนำที่ถูกต้อง  คนเราย่อมเห็นได้จากจุดนี้ว่า ผู้ชายได้รับมอบหมายความรับผิดชอบอันเป็นเอกลักษณ์บางอย่าง  ตัวอย่างเช่น ผู้ชายควรเป็นคนแรกในการรับผิดชอบเรื่องสำคัญๆ ทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง เขาไม่ควรผลักผู้หญิงลงไปในบาดาลไฟ และไม่ควรปล่อยให้เธอทนทุกข์กับการเสียศักดิ์ศรี การกลั่นแกล้ง และการเหยียบย่ำของสังคม  ผู้ชายควรเป็นคนแรกในความรับผิดชอบนี้  การที่พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “เขาจะปกครองตัวเจ้า” ไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถกระตุ้นผู้หญิงได้ด้วยไม้เรียว หรือสามารถควบคุมเธอ หรือทำให้เธอตกเป็นทาสเพื่อปฏิบัติต่อเธอตามอำเภอใจได้ ภายใต้เงื่อนไขเบื้องต้นและกรอบของการแต่งงาน เพศชายและเพศหญิงต่างเท่าเทียมกันเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพียงแต่ผู้ชายเป็นสามี และพระเจ้าได้ประทานสิทธิ์และความรับผิดชอบนี้ให้แก่เขา  นี่เป็นเพียงความรับผิดชอบประเภทหนึ่ง ไม่ใช่อำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ และไม่ใช่เหตุผลที่จะปฏิบัติต่อผู้หญิงราวกับเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่คน  พวกเจ้าสองคนเท่าเทียมกัน  ทั้งชายและหญิงต่างก็ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า เพียงแต่มีข้อพึงประสงค์อันเป็นเอกลักษณ์ต่อเพศชาย ซึ่งประการหนึ่งคือเขาต้องแบกรับภาระและความรับผิดชอบต่อครอบครัว และอีกประการหนึ่งคือ เมื่อมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ผู้ชายต้องก้าวออกมาอย่างกล้าหาญและแบกรับความรับผิดชอบกับภาระผูกพันที่เขาพึงแบกรับในบทบาทของเพศชาย ในบทบาทของสามี—ปกป้องผู้หญิง ทำเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้หญิงของตนทำในสิ่งที่ผู้หญิงไม่ควรทำ หรือพูดอย่างไม่เป็นทางการก็คือ ป้องกันเธอจากช่วงเวลาที่ยากลำบาก และป้องกันเธอจากการทนทุกข์ที่ผู้หญิงไม่ควรจะได้รับ  ตัวอย่างเช่น ผู้ชายบางคนยกภรรยาตนเองให้ไปเป็นนางบำเรอหรือคนรักของหัวหน้าตน โดยหากินจากเรือนร่างของภรรยาของพวกเขาเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง มีชีวิตที่ดีและร่ำรวย ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ และทำให้ผู้อื่นยกย่องพวกเขา  เมื่อสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายหลังจากขายภรรยาของตน พวกเขาก็เลิกให้ค่าผู้หญิงของตนและไม่ต้องการเธออีกต่อไป  นี่เป็นผู้ชายประเภทไหนกัน?  ผู้ชายแบบนั้นไม่มีอยู่หรือ?  (มีอยู่)  ผู้ชายคนนี้ไม่ชั่วร้ายหรอกหรือ?  (ชั่วร้าย)  จุดประสงค์ของการปกครองผู้หญิงคือการให้เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบของตนและปกป้องเธอ  นี่ก็เพราะในแง่ของเพศสภาพนั้น เพศชายได้เปรียบกว่าเพศหญิงในแง่ของแนวคิด มุมมอง ระดับ และความรู้เชิงลึกต่างๆ ที่พวกเขามีต่อสิ่งทั้งหลาย นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้  เพราะฉะนั้น การที่พระเจ้าประทานผู้หญิงให้แก่ผู้ชายโดยตรัสว่า “เขาจะปกครองตัวเจ้า” ความรับผิดชอบที่ผู้ชายควรลุล่วงก็คือการแบกรับภาระของครอบครัว หรือปกป้องและทะนุถนอมผู้หญิงของตน เห็นใจและเข้าใจเธอในยามที่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ไม่ใช่ผลักไสเธอไปสู่การทดลองแต่ให้แบกรับความรับผิดชอบทั้งหลายที่สามีและผู้ชายคนหนึ่งพึงกระทำ  ในหนทางนี้ เจ้าจะลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าพึงมีต่อครอบครัวและภายใต้กรอบของการแต่งงาน และเจ้าจะทำให้ผู้หญิงของเจ้ารู้สึกว่าเจ้าคู่ควรกับความไว้วางใจของเธอ เจ้าคือคนที่เธอจะใช้ชีวิตด้วย เจ้าคือคนที่เชื่อถือได้ และไหล่ของเจ้าก็พึ่งพาได้  เมื่อผู้หญิงของเจ้าพึ่งพาเจ้า เมื่อเธอต้องการให้เจ้าผู้เป็นสามีของเธอตัดสินใจในการจัดการกับเรื่องร้ายแรงบางอย่างที่เกิดขึ้น เจ้าต้องไม่หนีไปนอน ไปดื่มเหล้า ไปเล่นพนัน หรือออกไปเตร็ดเตร่อยู่บนถนน  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ นี่คือความขลาดกลัว  เจ้าไม่ใช่ผู้ชายที่ดี เจ้าไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้าพึงกระทำ  หากในฐานะผู้ชาย เจ้าต้องการให้ผู้หญิงของตนออกหน้าในเรื่องสำคัญทุกๆ เรื่อง และหากเจ้าผลักไสเธอที่มีบทบาทเปราะบางกว่าตนไปยังบาดาลไฟ ผลักเธอไปสู่ที่ที่คลื่นและลมแรงที่สุด ผลักเธอไปสู่วังวนของเรื่องราวที่ซับซ้อนนานาประการ เช่นนั้นแล้วนี่ก็ไม่ใช่บางสิ่งที่ผู้ชายที่ดีพึงกระทำ อีกทั้งไม่ใช่หนทางที่สามีที่ดีพึงประพฤติ  ความรับผิดชอบของเจ้าไม่ใช่แค่ทำให้ผู้หญิงของเจ้าปรารถนาในตัวเจ้า อยู่เป็นเพื่อนเจ้า และช่วยเหลือเจ้าให้มีชีวิตที่ดีเท่านั้น นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของการนี้ เจ้ายังมีความรับผิดชอบที่เจ้าพึงกระทำอีกด้วย  เธอได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเธอที่มีต่อเจ้าแล้ว—เจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าที่มีต่อเธอแล้วหรือยัง?  การมอบอาหารดีๆ หรือเสื้อผ้าที่อบอุ่นให้เธอ รวมถึงทำให้หัวใจของเธอโล่งสบายนั้นไม่เพียงพอ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือในเรื่องราวใหญ่โตและข้อพิพาทต่างๆ นานาทั้งผิดและถูก เจ้าควรสามารถช่วยเธอจัดการทุกสิ่งได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และแม่นยำ เพื่อป้องกันไม่ให้เธอมีความกังวลใดๆ ทำให้เธอสามารถได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากเจ้า และเห็นว่าเจ้าลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้าพึงกระทำในฐานะสามี  นี่คือต้นกำเนิดของความสุขของผู้หญิงในการแต่งงาน มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?  (เป็นเช่นนั้น)  ไม่ว่าคำพูดของเจ้าของหวานซึ้งเพียงใด หรือเจ้าทำให้เธอหลงเสน่ห์อย่างไร หรือเจ้าอยู่เป็นเพื่อนเธอได้มากแค่ไหน หากในเรื่องใหญ่ๆ ผู้หญิงของเจ้าไม่สามารถพึ่งพาเจ้าหรือไว้วางใจเจ้าได้ หากเจ้าไม่แบกรับความรับผิดชอบที่เจ้าพึงกระทำ แล้วปล่อยให้ผู้หญิงบอบบางต้องออกโรงและสู้ทนกับการหยามเกียรติ หรือสู้ทนกับความเจ็บปวดใดก็ตามแทน เช่นนั้นแล้วผู้หญิงคนนั้นจะไม่สามารถรู้สึกถึงความสุขหรือความชื่นบานยินดีได้ และเธอจะไม่เห็นความหวังในตัวเจ้าเลย  ดังนั้นผู้หญิงคนใดที่แต่งงานกับผู้ชายเช่นนั้นย่อมจะรู้สึกโชคร้ายในการแต่งงาน อีกทั้งรู้สึกว่าวันเวลาและชีวิตในอนาคตของเธอช่างไร้ความหวังและไร้ความสว่าง เพราะเธอแต่งงานกับผู้ชายที่พึ่งพาไม่ได้ ผู้ชายที่ไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตนเอง ใจเสาะ ไร้ประโยชน์ และขี้ขลาด เธอย่อมจะรู้สึกไม่มีความสุข  ดังนั้น ผู้ชายจึงจำเป็นต้องแบกรับความรับผิดชอบของตนเอง  ประการหนึ่งนั้น นี่คือข้อพึงประสงค์ที่มีต่อความเป็นมนุษย์ และอีกประการหนึ่ง—ซึ่งสำคัญกว่านั้น—คือพวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องนี้จากทัศนคติของพระเจ้า  นี่คือความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พระเจ้าได้ประทานแก่ผู้ชายทุกคนในการแต่งงาน  ดังนั้นเมื่อพูดกับผู้หญิง หากเจ้าต้องการแต่งงานและได้พบคู่ชีวิตของตน เช่นนั้นแล้ว อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องดูว่าผู้ชายคนนี้พึ่งพาได้หรือไม่เป็นอันดับแรก  ส่วนรูปลักษณ์ภายนอก ความสูง หลักฐานการศึกษาของเขา ไม่ว่าเขาร่ำรวยหรือไม่ และไม่ว่าหาเงินเก่งหรือไม่ล้วนเป็นเรื่องรอง  กุญแจสำคัญคือการดูว่าบุคคลนี้มีความเป็นมนุษย์และมีสำนึกของความรับผิดชอบหรือไม่ พวกเขามีไหล่ที่กว้างและหนาหรือไม่ และเมื่อเจ้าพึ่งพาเขา เขาจะล้มลงหรือสามารถพยุงเจ้าขึ้นมาได้ และเขาเป็นคนที่พึ่งพาได้หรือไม่  พูดให้ถูกต้องก็คือ เขาสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของสามีตามที่พระเจ้าตรัสไว้ได้หรือไม่ เขาเป็นบุคคลประเภทนั้นหรือไม่ หากไม่นับเรื่องการเดินตามหนทางของพระเจ้า อย่างน้อยที่สุดเขาควรเป็นใครบางคนที่มีความเป็นมนุษย์ในสายพระเนตรของพระเจ้า  เมื่อคนสองคนใช้ชีวิตด้วยกัน ไม่สำคัญว่าพวกเขายากจนหรือร่ำรวย คุณภาพชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างไร ในบ้านของพวกเขามีอะไรบ้าง หรือลักษณะนิสัยของพวกเขาเข้ากันได้หรือไม่ อย่างน้อยที่สุดผู้ชายที่เจ้าแต่งงานด้วยก็ต้องลุล่วงภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่เขามีต่อเจ้า มีสำนึกของความรับผิดชอบต่อเจ้า มีเจ้าอยู่ในหัวใจของเขา  ไม่ว่าเขาชื่นชอบหรือรักเจ้าหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดเขาจำเป็นต้องมีเจ้าอยู่ในหัวใจของตน ลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เขาพึงกระทำในกรอบของการแต่งงาน  เมื่อนั้นชีวิตของเจ้าจะชื่นบานยินดี วันเวลาของเจ้าจะมีความสุข และเส้นทางในอนาคตของเจ้าจะไม่พร่ามัว  หากผู้ชายที่ผู้หญิงคนหนึ่งแต่งงานด้วยนั้นพึ่งพาไม่ได้อยู่เสมอ วิ่งหนีและหลบซ่อนในขณะที่มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งเขายังคุยโวและโอ้อวดยามที่ไม่มีอะไรผิดพลาดราวกับเขามีทักษะดีเยี่ยมและเป็นลูกผู้ชายที่แข็งแรง แต่เมื่อเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเขาก็กลับกลายเป็นเต้าหู้ เจ้าคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะผิดหวังหรือไม่?  (ผิดหวัง)  เธอจะมีความสุขหรือไม่?  (ไม่มี)  ผู้หญิงที่ดีและเหมาะสมจะคิดว่า “ฉันดูแลและทะนุถนอมเขาอยู่เสมอ ฉันเต็มใจที่จะทนทุกข์กับสิ่งใดก็ตาม เต็มใจที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเองในฐานะภรรยา แต่ฉันไม่สามารถมองเห็นอนาคตกับผู้ชายคนนี้เลย”  การแต่งงานเช่นนั้นย่อมเจ็บปวดมิใช่หรือ?  ความเจ็บปวดที่ผู้หญิงคนนี้รู้สึกไม่ได้เกี่ยวข้องผู้ชายคนนี้ที่เป็นคู่ชีวิตของเธอหรอกหรือ?  (เกี่ยวข้อง)  นี่คือความรับผิดชอบของผู้ชายใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผู้ชายคนนี้ควรคิดทบทวนตนเอง  เขาไม่อาจพร่ำบ่นอยู่ตลอดเวลาว่าผู้หญิงคนนี้จู้จี้จุกจิก ชอบบ่นและจ้องจับผิด  ทั้งสองฝ่ายต้องทบทวนตนเองร่วมกันว่าพวกเขากำลังลุล่วงภาระผูกพันและความรับผิดชอบของตนเองอยู่หรือไม่ และพวกเขากำลังทำตามพระวจนะของพระเจ้าหลังจากได้ฟังแล้วหรือไม่  หากพวกเขาไม่ได้กำลังลุล่วงภาระผูกพันและความรับผิดชอบดังกล่าว พวกเขาก็ต้องรีบกลับตัว รีบวางตนเองให้ถูกต้องและแก้ไขสถานการณ์ การนี้ยังไม่สายจนเกินไป  นี่เป็นหนทางที่ดีในการปฏิบัติตนใช่หรือไม่?  (ใช่)

ตอนนี้พวกเราจงอ่านต่อกันเถิด  หลังจากนี้คือคำบัญชาอีกประการหนึ่งที่พระเจ้าทรงมีต่ออาดัม บรรพบุรุษลำดับแรกของมวลมนุษย์  พระเจ้าตรัสว่า “เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งไม่ให้กินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากตลอดชีวิต ต้นไม้และพืชที่มีหนามจะงอกขึ้นบนดินแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชตามท้องทุ่ง เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับไปเป็นดิน เพราะเจ้าถูกนำมาจากดิน และเพราะเจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม” (ปฐมกาล 3:17-19)  โดยหลักแล้ว บทตอนนี้คือคำบัญชาของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้ชาย  ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมเป็นเช่นไร เมื่อพระเจ้าได้ประทานคำบัญชาแก่ผู้ชาย คำบัญชาของพระองค์ย่อมเป็นภาระผูกพันและเป็นงานที่พวกเขาพึงต้องลุล่วงในครอบครัวและในกรอบของการแต่งงาน  พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เพศชายค้ำจุนความเป็นอยู่ของครอบครัวหลังการแต่งงาน ซึ่งก็คือพวกเขาต้องทำงานหนักตลอดชีวิตเพื่อคงความเป็นอยู่ของตน  ผู้ชายจำเป็นต้องคงความเป็นอยู่ของครอบครัว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้แรงงาน พูดตามภาษาสมัยใหม่ก็คือ พวกเขาจำเป็นต้องออกไปหางานและทำงานเพื่อหาเงิน หรือจำเป็นต้องออกไปเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์จากดิน และเก็บเกี่ยวเพื่อคงความเป็นอยู่ของครอบครัว  ผู้ชายต้องตรากตรำทำงานและใช้น้ำพักน้ำแรงเลี้ยงดูทั้งครอบครัว เพื่อคงความเป็นอยู่ของพวกเขาเอาไว้  นี่คือคำบัญชาที่พระเจ้าทรงมีต่อสามี ต่อผู้ชายทั้งหลาย นี่เป็นความรับผิดชอบของพวกเขา  เพราะฉะนั้นภายใต้กรอบของการแต่งงาน ผู้ชายไม่อาจเน้นย้ำกับการกล่าวว่า “โธ่ สุขภาพของฉันนี่แย่จริงๆ”  “โธ่ งานช่างหายากในสังคมปัจจุบัน ฉันเครียดเหลือเกิน!”  “ฉันโตมาแบบพ่อแม่คอยตามใจ ฉันทำงานอะไรไม่ได้หรอก!”  หากเจ้าไม่สามารถทำงานอะไรได้เลย แล้วเจ้าแต่งงานทำไม?  หากเจ้าไม่สามารถจุนเจือครอบครัวได้ และไม่มีความสามารถที่จะใช้แรงงานเพื่อรับผิดชอบความเป็นอยู่ของทั้งครอบครัวได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าแต่งงานทำไม?  นี่เป็นการพูดอย่างไร้ความรับผิดชอบ  ประการหนึ่งคือพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้ชายทำงานอย่างขยันขันแข็ง และอีกประการหนึ่งคือ พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้พวกเขาใช้น้ำพักน้ำแรงเพื่อหาอาหารจากแผ่นดินโลก  แน่นอนว่าทุกวันนี้พระองค์มิได้ทรงยืนกรานให้เจ้าหาอาหารจากแผ่นดินโลก ทว่าการใช้แรงงานนั้นเป็นสิ่งจำเป็น  นั่นคือสาเหตุที่ร่างกายของผู้ชายทั้งกำยำและแข็งแกร่งเหลือเกิน ขณะที่เปรียบเทียบกันแล้วร่างกายของผู้หญิงอ่อนแอ พวกเขาแตกต่างกัน  พระเจ้าทรงสร้างกายภาพที่ต่างกันให้แก่ผู้ชายและผู้หญิง  โดยธรรมชาติแล้วผู้ชายควรใช้แรงงานและทำงานเพื่อคงความเป็นอยู่และจุนเจือครอบครัวของตน นั่นคือบทบาทของเขา เขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของครอบครัว  ในทางกลับกัน ผู้หญิงไม่ได้รับการทรงบัญชาจากพระเจ้าเช่นนั้น  เพราะฉะนั้นผู้หญิงสามารถเก็บเกี่ยวในสิ่งที่เธอไม่ได้หว่าน และรอรับประทานอาหารสำเร็จรูปโดยไม่ทำอะไรเลยได้หรือ?  นั่นก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน  ถึงแม้พระเจ้าไม่ได้ทรงบัญชาให้ผู้หญิงค้ำจุนความเป็นอยู่ของครอบครัว เธอก็ไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ ได้  จงอย่าคิดว่าเพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงบัญชาผู้หญิง พวกเธอจึงสามารถปลีกตัวหลบเลี่ยงในเรื่องนี้ได้  มิได้เป็นเช่นนั้นเลย  ผู้หญิงก็ต้องลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเธอเช่นกัน พวกเธอควรช่วยเหลือสามีของตนในการคงความเป็นอยู่ของครอบครัว  ผู้หญิงไม่เพียงต้องเป็นคู่ชีวิตเท่านั้น—ในขณะเดียวกันเธอก็ต้องช่วยเหลือสามีของตนลุล่วงความรับผิดชอบและภารกิจที่เขามีในครอบครัวด้วย  เธอไม่สามารถหลบไปยืนอยู่ข้างๆ จับตาดูและล้อเลียนสามีของตน อีกทั้งไม่สามารถเฝ้ารออาหารสำเร็จรูปได้  ทั้งสองคนจำเป็นต้องสามัคคีกัน  ในหนทางนี้ ภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่ผู้ชายกับผู้หญิงพึงลุล่วงย่อมจะลุล่วงทั้งหมด และจะเสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี

พวกเรามาอ่านกันต่อเถิด  พระเจ้าตรัสว่า “ต้นไม้และพืชที่มีหนามจะงอกขึ้นบนดินแก่เจ้าและเจ้าจะกินพืชตามท้องทุ่ง”  เจ้าเห็นไหมว่า นอกจากการใช้แรงงานที่พระเจ้าประทานแก่ผู้ชายแล้ว ยังมีภาระอื่นเพิ่มเติมด้วย แค่เจ้าใช้แรงงานนั้นยังไม่เพียงพอ ในท้องทุ่งมีวัชพืชงอกขึ้นมาซึ่งเจ้าต้องถอนทิ้งอีกด้วย  นี่หมายความว่าหากเจ้าเป็นชาวนา เจ้าก็มีงานที่ต้องทำเพิ่มเติมนอกจากการเพาะปลูก  เจ้ายังต้องถอนวัชพืช และเจ้าไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ ได้ เจ้าต้องใช้แรงงานอย่างหนักมากพอเพื่อคงความเป็นอยู่ของครอบครัวไว้ ดังที่พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า”  วลีนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่ามีการเพิ่มภาระให้พวกผู้ชายนอกเหนือจากการใช้แรงงานของพวกเขาด้วย  จนถึงเมื่อใด?  “จนเจ้ากลับไปเป็นดิน”  จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของเจ้า เมื่อเจ้าสิ้นสุดการเดินทางของชีวิต จากนั้นเจ้าก็จะไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตนในหนทางนี้อีกต่อไป และความรับผิดชอบของเจ้าก็จะลุล่วง  นี่เป็นคำแนะนำที่พระเจ้าประทานแก่ผู้ชายทั้งหลาย และเป็นพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่พวกผู้ชาย ทั้งยังเป็นความรับผิดชอบและภาระที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเขาด้วย  ไม่ว่าเจ้าเต็มใจหรือไม่ นี่เป็นการลิขิตของพระเจ้า และเจ้าไม่สามารถหนีรอดไปได้  ดังนั้นในทุกสังคมหรือในมวลมนุษย์ทั้งปวง ไม่ว่าคนเรามองการนี้จากมุมมองส่วนตัวหรือมุมมองที่เป็นจริง ผู้ชายย่อมมีความเครียดในการอยู่รอดบนแผ่นดินโลกมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้หญิง ซึ่งต้องพูดถึงอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่าเป็นผลจากการลิขิตและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า  ในเรื่องนี้ ผู้ชายจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องนี้จากทัศนคติของพระเจ้า รวมถึงแบกรับความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พวกเขาพึงกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้ที่อยู่ในกรอบของการแต่งงานซึ่งมีครอบครัวและคู่สมรสก็ไม่ควรพยายามหลบหนีหรือปฏิเสธการลุล่วงความรับผิดชอบของตนเพราะชีวิตนั้นยากลำบาก ขมขื่น หรือเหน็ดเหนื่อยเกินไป  หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันไม่ต้องการทำความรับผิดชอบนี้ และฉันก็ไม่ต้องการที่จะใช้แรงงาน”  เช่นนั้นเจ้าก็สามารถเลือกที่จะถอนตัวจากการแต่งงานหรือปฏิเสธการแต่งงานได้  ดังนั้นก่อนเจ้าจะแต่งงาน เจ้าต้องไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดีเสียก่อน คิดและเข้าใจอย่างชัดเจนว่าความรับผิดชอบใดที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้ชายที่แต่งงานแล้วรับเอาไว้ เจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบเหล่านั้นได้หรือไม่ เจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีหรือไม่ เจ้าสามารถแสดงบทบาทของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ทำตามพระบัญชาของพระเจ้าที่มีต่อเจ้า และเจ้าสามารถแบกรับภาระของครอบครัวที่พระเจ้าจะประทานแก่เจ้าได้หรือไม่ หากเจ้ารู้สึกว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะทำทั้งหมดนี้ให้ดี หรือหากเจ้าขาดความเต็มใจที่จะทำเช่นนี้—หากเจ้าไม่ต้องการทำทั้งหมดนี้—หากเจ้าปฏิเสธความรับผิดชอบและภาระผูกพันนี้ ปฏิเสธที่จะแบกรับภาระภายในบ้านและในกรอบของการแต่งงาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ควรแต่งงาน  สำหรับทั้งผู้ชายและผู้หญิง การแต่งงานบ่งบอกถึงความรับผิดชอบและภาระ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ  ถึงแม้การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ แต่จากความเข้าใจของเรา อย่างน้อยที่สุดการแต่งงานก็เป็นเรื่องจริงจัง และผู้คนควรปรับท่าทีที่พวกเขามีต่อเรื่องนี้ให้ถูกต้อง  การแต่งงานไม่ใช่เพื่อการเล่นสนุกกับตัณหาทางกามารมณ์ และไม่ใช่เพื่อตอบสนองความต้องการอารมณ์เพียงชั่วครู่ของตนเอง นับประสาอะไรกับการสนองความอยากรู้อยากเห็นของคนเรา  การแต่งงานเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพัน และแน่นอนว่ายิ่งไปกว่านั้นแล้ว การแต่งงานถือเป็นการยืนยันและเป็นการพิสูจน์ความจริงว่าผู้ชายหรือผู้หญิงมีความสามารถและความเชื่อที่จะแบกรับความรับผิดชอบของการแต่งงานหรือไม่  หากเจ้าไม่รู้ว่า เจ้ามีความสามารถที่จะแบกรับความรับผิดชอบและภาระผูกพันจากการแต่งงานหรือไม่ หากเจ้าไม่รู้ปริมาณของสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง หรือหากเจ้าไม่ต้องการที่จะแต่งงาน—หรือหากเจ้าถึงขนาดเบื่อหน่ายแนวคิดนี้—หากเจ้าไม่ต้องการแบกรับความรับผิดชอบและภาระผูกพันของชีวิตครอบครัวไม่ว่าในเรื่องสัพเพเหระหรือเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น และเจ้าต้องการที่จะเป็นโสด—“พระเจ้าตรัสว่าการอยู่ลำพังนั้นไม่ดี แต่ฉันคิดว่าการอยู่ลำพังนั้นดีทีเดียว”—เช่นนั้นเจ้าก็สามารถปฏิเสธการแต่งงาน หรือถึงขนาดทิ้งการแต่งงานของเจ้าไปเลย  การนี้แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล และแต่ละคนก็สามารถเลือกได้อย่างอิสระ  แต่ไม่ว่าเจ้าพูดเช่นไร หากเจ้าดูจากสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับคำกล่าวและการลิขิตที่พระเจ้าทรงมีต่อการแต่งงานของมวลมนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่มนั้น เจ้าจะเห็นว่าการแต่งงานไม่ใช่เกม และไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ซึ่งแน่นอนว่าจะนับประสาอะไรกับการเป็นหลุมฝังศพตามที่ผู้คนพรรณนาถึง  การแต่งงานเป็นสิ่งที่ได้รับการจัดการเตรียมการและการลิขิตโดยพระเจ้า  นับแต่จุดเริ่มต้นของมนุษย์ พระเจ้าได้ทรงลิขิตและทรงจัดการเตรียมการสิ่งนี้ไว้แล้ว  ดังนั้นคำกล่าวทางโลกเหล่านั้นที่ว่า—“การแต่งงานคือหลุมฝังศพ” “การแต่งงานคือเมืองในวงล้อม” “การแต่งงานคือโศกนาฏกรรม” “การแต่งงานคือความวิบัติ” และอื่นๆ—คำกล่าวเหล่านั้นเป็นจริงหรือไม่?  (ไม่)  คำกล่าวเหล่านั้นไม่เป็นจริง  นี่เป็นเพียงความเข้าใจที่มวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามมีต่อการแต่งงานหลังจากถูกทำให้บิดเบี้ยว ทำให้เสื่อมทราม และประทับตราบาปให้  หลังจากบิดเบี้ยว ทำให้เสื่อมทราม และประทับตราบาปให้กับการแต่งงานที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว พวกเขาก็วิพากษ์วิจารณ์การแต่งงานเช่นกัน โดยพ่นความเท็จที่ไม่เหมาะสมบางประการ เผยแพร่ตรรกะวิบัติ และผลก็คือบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต่างเริ่มหลงผิด จนพวกเขามีทัศนะที่ไม่ถูกต้องและผิดปกติต่อการแต่งงานไปด้วย  พวกเจ้าก็เคยถูกทำให้หลงผิดและทำให้เสื่อมทรามมาแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วผ่านการสามัคคีธรรมของพวกเรา หลังจากที่เจ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องและแม่นยำเกี่ยวกับการแต่งงาน เมื่อมีใครบางคนถามเจ้าอีกครั้งว่า “คุณรู้ไหมว่าการแต่งงานคืออะไร?” เจ้าจะยังคงกล่าวว่า “การแต่งงานคือหลุมฝังศพ” อยู่อีกหรือไม่?  (ไม่)  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าควรกล่าวเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่)  ทำไมถึงไม่ควร?  เนื่องจากการแต่งงานนั้นได้รับการจัดการเตรียมการและการลิขิตจากพระเจ้า มนุษย์จึงควรปฏิบัติต่อการแต่งงานอย่างถูกต้อง  หากผู้คนปฏิบัติตนอย่างไม่รู้จักยั้งคิดและหลงระเริงกับตัณหาของตน ล้อเล่นกับความสำส่อนและทำให้เกิดผลชั่วทั้งหลายตามมา โดยกล่าวว่าการแต่งงานคือหลุมฝังศพ เช่นนั้นแล้วเราก็สามารถกล่าวได้เพียงว่า พวกเขากำลังขุดหลุมฝังศพของตนเองและกำลังสร้างปัญหาให้กับตัวเอง  ซึ่งพวกเขาพร่ำบ่นไม่ได้  การนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า  ไม่ถูกต้องหรือ?  การกล่าวว่าการแต่งงานคือหลุมฝังศพเป็นการบิดเบี้ยวและเป็นการกล่าวโทษของซาตานต่อการแต่งงานและต่อเรื่องที่เป็นบวก  ยิ่งสิ่งนั้นเป็นบวกมากเท่าไร ซาตานกับมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามก็ยิ่งทำให้สิ่งนั้นบิดเบี้ยวจนกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น  นี่ไม่ชั่วร้ายหรอกหรือ?  หากคนคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในบาป พัวพันกับความสำส่อนและรักสามเส้า เหตุใดผู้คนจึงไม่พูดถึงเรื่องนั้น?  หากคนคนหนึ่งผิดประเวณี เหตุใดผู้คนจึงไม่พูดเช่นนั้นเล่า?  การแต่งงานที่ถูกต้องเหมาะสมไม่ใช่การผิดประเวณี และไม่ใช่ความสำส่อน ไม่ใช่การสนองตัณหาทางกามารมณ์ และไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช่หลุมฝังศพอย่างแน่นอน  นี่คือบางสิ่งที่เป็นบวก  พระเจ้าได้ทรงลิขิตและทรงจัดการเตรียมการการแต่งงานของมนุษย์ และพระองค์ก็ได้ประทานความไว้วางพระทัยมอบหมายและประทานพระบัญชาต่อการนี้ แน่นอนว่ายิ่งไปกว่านั้นคือ พระองค์ได้ประทานความรับผิดชอบและภาระผูกพันในการแต่งงานแก่ทั้งสองฝ่ายในรูปแบบของคำบัญชา รวมถึงคำตรัสของพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่ถือเป็นการแต่งงาน  การแต่งงานสามารถประกอบด้วยผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงหนึ่งคนเท่านั้น  ในพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงสร้างผู้ชายหนึ่งคนขึ้นมา จากนั้นก็ทรงสร้างผู้ชายอีกคนหนึ่ง แล้วให้พวกเขาแต่งงานกันใช่หรือไม่?  ไม่ใช่ ไม่มีการแต่งงานของเพศเดียวกัน ระหว่างผู้ชายสองคนหรือผู้หญิงสองคน  มีเพียงการแต่งงานของผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงหนึ่งคนเท่านั้น  การแต่งงานประกอบด้วยผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงหนึ่งคน ที่ไม่เพียงแต่เป็นคู่ชีวิตเท่านั้น ทว่ายังเป็นผู้ช่วยที่อยู่เป็นเพื่อนกันและกัน ดูแลกันและกัน และลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของพวกเขาไปด้วยกัน ใช้ชีวิตเป็นอย่างดีและอยู่เป็นเพื่อนกันและกันอย่างถูกต้องเหมาะสมบนเส้นทางชีวิตของพวกเขา อยู่เป็นเพื่อนกันผ่านทุกช่วงเวลาที่ลำบากยากเย็นในชีวิต ทุกช่วงเวลาต่างๆ อันเป็นเอกลักษณ์ และแน่นอนว่า พวกเขายังก้าวผ่านช่วงเวลาปรกติธรรมดาไปด้วยกันอีกด้วย  นี่คือความรับผิดชอบในการแต่งงานที่ทั้งสองฝ่ายพึงรับเอามาเอง ทั้งยังเป็นความไว้วางพระทัยมอบหมายที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขาด้วยเช่นกัน  ความไว้วางพระทัยมอบหมายของพระเจ้าคืออะไร?  ความไว้วางพระทัยมอบหมายของพระเจ้าคือหลักธรรมที่ผู้คนพึงยึดถือและปฏิบัติ  ดังนั้นสำหรับทุกคนที่แต่งงาน การแต่งงานย่อมมีความหมาย  สิ่งนี้มีผลกระทบเพิ่มเติมต่อประสบการณ์ส่วนตัวและความรู้ของเจ้า รวมไปถึงการเติบโต ความเป็นผู้ใหญ่ และความเพียบพร้อมของความเป็นมนุษย์ของเจ้า  และในทางกลับกัน หากเจ้ายังไม่แต่งงานและเพียงใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ของเจ้า หรือใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาทั้งชีวิต หรือหากเจ้ามีการแต่งงานที่ผิดปกติ เป็นการแต่งงานที่ไร้ศีลธรรมหรือไม่ได้รับการทรงลิขิตจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์ย่อมไม่ใช่ประสบการณ์ชีวิต ความรู้ หรือการเผชิญหน้า และไม่ใช่การเติบโต ความเป็นผู้ใหญ่ และความเพียบพร้อมของความเป็นมนุษย์ที่เจ้าจะได้รับจากการแต่งงานที่ถูกที่ควร  ในการแต่งงาน นอกจากคนสองคนได้รับประสบการณ์ของการอยู่เป็นเพื่อนกันและเกื้อหนุนกันแล้ว แน่นอนว่าพวกเขายังได้รับประสบการณ์ของความไม่ลงรอยกัน การโต้เถียง และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชีวิตอีกด้วย  ขณะเดียวกันพวกเขายังได้รับประสบการณ์ความเจ็บปวดของการมีลูกด้วยกัน และประสบการณ์ของการอบรมสั่งสอนและเลี้ยงดูลูก รวมถึงการหาเงินเลี้ยงดูบุพการีของตน การเฝ้ามองลูกหลานในรุ่นต่อไปเติบโต เฝ้ามองลูกหลานในรุ่นต่อไปแต่งงานและมีลูกเช่นเดียวกับพวกเขา ซ้ำรอยเส้นทางเดิมของพวกเขา  ในหนทางนี้ ประสบการณ์ ความรู้ หรือสิ่งที่ประสบพบเจอในชีวิตของผู้คนย่อมรุ่มรวยและหลากหลายทีเดียวใช่หรือไม่?  (ใช่)  หากเจ้าเคยมีประสบการณ์ชีวิตเช่นนั้นก่อนที่เจ้าจะเชื่อในพระเจ้า ก่อนที่เจ้าจะยอมรับพระราชกิจ พระวจนะ การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้าสามารถนมัสการพระเจ้าและติดตามพระเจ้าได้หลังจากที่เจ้ามาเชื่อในพระองค์ เช่นนั้นแล้ว ชีวิตของเจ้าก็จะค่อนข้างอุดมสมบูรณ์มากกว่าคนส่วนใหญ่ ประสบการณ์และความเข้าใจส่วนตัวของเจ้าจะยิ่งใหญ่กว่าคนเหล่านั้นเล็กน้อย  แน่นอนว่า ทั้งหมดที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า ภายใต้กรอบของการแต่งงานที่พระเจ้าทรงลิขิตนั้น เจ้าควรทำตามความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตนเอง ความรับผิดชอบและภาระผูกพันของผู้ชายและผู้หญิง รวมถึงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของสามีและภรรยาอย่างตั้งใจจริง  เหล่านี้คือสิ่งที่ควรทำให้เสร็จสิ้น  หากเจ้าไม่ดำเนินการตามความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า เช่นนั้นแล้วการแต่งงานของเจ้าจะเป็นปัญหายุ่งเหยิง และจะล้มเหลว ในท้ายที่สุดการแต่งงานของเจ้าจะพังทลาย  เจ้าจะมีประสบการณ์กับการแต่งงานที่พังทลายและล้มเหลว รวมไปถึงปัญหา สิ่งที่พัวพันกัน ความเจ็บปวด และความวุ่นวายอันเกิดจากการแต่งงาน  หากทั้งสองฝ่ายที่เข้าสู่การแต่งงานด้วยกันไม่สามารถมีการเริ่มต้นและทำตามความรับผิดชอบและภาระผูกพันด้วยตัวเองได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะโต้เถียงและขัดแย้งกันเอง  ยิ่งเวลาผ่านไป พวกเขาก็จะยิ่งโต้เถียงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ความขัดแย้งของพวกเขาจะถลำลึกลงทุกที และรอยร้าวจะเริ่มปรากฏในการแต่งงานของพวกเขา เมื่อรอยร้าวเหล่านั้นคงอยู่ยาวนานขึ้น พวกเขาจะไม่สามารถซ่อมกระจกที่แตกร้าวจากการแต่งงานของพวกเขาได้ และการแต่งงานเช่นนั้นจะมุ่งหน้าไปสู่การแตกหัก ไปสู่การทำลายล้างอย่างแน่นอน—การแต่งงานดังกล่าวย่อมล้มเหลวอย่างแท้จริง  ดังนั้นจากทัศนคติของเจ้า การแต่งงานที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้จึงไม่เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้า และเจ้าคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม  เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?  เพราะในกรอบของการแต่งงาน เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดตามข้อพึงประสงค์และคำบัญชาของพระเจ้าเลย เจ้าไล่ตามไขว่คว้าการตอบสนองความประสงค์ของตนเอง การตอบสนองความชอบส่วนตนและความปรารถนาของเจ้าเอง รวมถึงการตอบสนองจินตนาการของเจ้าอย่างเห็นแก่ตัว  เจ้าไม่ยับยั้งตนเองหรือเปลี่ยนแปลงตนเองในนามคู่ชีวิตของเจ้า และไม่สู้ทนต่อความเจ็บปวดใดๆ ทั้งสิ้น ในทางกลับกัน เจ้าเพียงตอกย้ำคำแก้ตัวของตนเอง ผลประโยชน์และความชอบส่วนตนของตัวเอง และเจ้าไม่เคยคิดถึงคู่ของเจ้าเลย  ท้ายที่สุดจะเกิดอะไรขึ้น?  การแต่งงานของเจ้าจะพังทลาย  ต้นตอของการแตกหักนี้คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน  ผู้คนเห็นแก่ตัวมากเกินไปจนแม้แต่สามีและภรรยาที่ควรเป็นหนึ่งเดียวกันก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ไม่สามารถเห็นอกเห็นใจกัน เข้าใจกัน ชูใจและยอมรับกันและกัน หรือเปลี่ยนแปลงและล้มเลิกสิ่งต่างๆ เพื่อกันและกัน  เจ้าย่อมเห็นได้ว่ามวลมนุษย์เสื่อมทรามไปมากเพียงใด  การแต่งงานไม่สามารถยับยั้งความประพฤติของผู้คน และไม่สามารถทำให้ผู้คนล้มเลิกความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนได้ จึงไม่มีหลักธรรมทางศีลธรรมหรือการปฏิบัติอันดีจากสังคมที่สามารถทำให้ผู้คนดีขึ้นหรือสามารถรักษามโนธรรมและเหตุผลของพวกเขาไว้ได้  ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องของการแต่งงาน ผู้คนจึงควรมารู้จักการแต่งงานจากหนทางที่พระเจ้าทรงลิขิตการแต่งงานให้แก่มนุษย์ในตอนแรก  แน่นอนว่าพวกเขาควรเข้าใจเรื่องนี้จากทัศนคติของพระเจ้าด้วย  การทำความเข้าใจทั้งหมดนี้จากทัศนคติของพระเจ้าเป็นความบริสุทธิ์ และเมื่อผู้คนสามารถทำความเข้าใจทั้งหมดนี้ได้ แง่มุมและมุมมองที่พวกเขามองการแต่งงานก็จะถูกต้อง  สาเหตุที่พวกเขาจำเป็นต้องมีแง่มุมและมุมมองที่ถูกต้องต่อการแต่งงานไม่ใช่เพื่อทำให้พวกเขารู้จักแนวคิดและคำจำกัดความที่ถูกต้องของการแต่งงานเท่านั้น แต่เพื่อทำให้ผู้คนมีวิธีปฎิบัติที่ถูกที่ควร ถูกต้อง แม่นยำ เหมาะสม และมีเหตุผลในยามที่พวกเขาเผชิญหน้ากับการแต่งงานอีกด้วย แล้วพวกเขาก็จะได้ไม่ถูกซาตานหรือแนวคิดต่างๆ นานาของกระแสเลวในโลกพาให้หลงผิดต่อวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อการแต่งงาน  เมื่อเจ้าเลือกการแต่งงานบนรากฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเจ้าที่เป็นผู้หญิงจำเป็นต้องมองดูให้ชัดเจนว่าคู่ของเจ้าคือคนประเภทที่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของผู้ชายตามที่พระเจ้าตรัสไว้หรือไม่ เขาคู่ควรที่เจ้าจะไว้วางใจมอบชีวิตทั้งชีวิตของเจ้าให้แก่เขาหรือไม่  พวกเจ้าที่เป็นผู้ชายก็จำเป็นต้องมองดูให้ชัดเจนว่า ผู้หญิงคนนี้คือคนประเภทที่สามารถละวางผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อชีวิตครอบครัวและเพื่อสามีของเธอได้หรือไม่ สามารถเปลี่ยนแปลงข้อบกพร่องและข้อเสียของเธอได้หรือไม่  เจ้าต้องพิจารณาทั้งหมดนี้และอื่นๆ อีกมากมาย  จงอย่าหลับหูหลับตาเลือกการแต่งงานโดยพึ่งพาจินตนาการ หรือพึ่งพาความสนใจหรืองานอดิเรกเพียงชั่วคราวของเจ้า นับประสาอะไรกับการที่เจ้าควรพึ่งพาแนวคิดที่ผิดพลาดเรื่องความรักและแนวคิดแบบโรแมนติกที่ซาตานปลูกฝังในตัวเจ้า  ด้วยการสามัคคีธรรมนี้ ทุกคนย่อมเข้าใจอย่างชัดเจนถึงแนวคิด มุมมอง แง่มุม และจุดยืนที่ผู้คนควรมีต่อการแต่งงาน รวมไปถึงการปฏิบัติที่พวกเขาควรเลือกและหลักธรรมที่พวกเขาควรยึดถือในเรื่องของการแต่งงานใช่หรือไม่?  (ใช่)

วันนี้พวกเรายังไม่ได้กล่าวถึงการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของการแต่งงาน พวกเราเพียงแจกแจงเรื่องคำจำกัดความและแนวคิดของการแต่งงานเท่านั้น  เราไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้วหรือ?  (พระองค์กล่าวอย่างชัดเจนแล้ว)  เราได้กล่าวถึงเรื่องนี้โดยชัดเจนแล้ว  พวกเจ้ายังมีการพร่ำบ่นใดเกี่ยวกับการแต่งงานอยู่หรือไม่?  (ไม่มี)  แล้วคนที่เจ้าเคยแต่งงานด้วย คนที่เจ้าจากมานั้น เจ้ามีความเป็นปฏิปักษ์ใดกับพวกเขาหรือไม่?  (ไม่มี)  ความเข้าใจและมุมมองที่ผิดปกติและลำเอียงทั้งหลายที่พวกเจ้ามีต่อการแต่งงาน หรือแม้กระทั่งความเพ้อฝันแบบเด็กๆ ของเจ้าซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเหล่านั้นยังคงมีอยู่หรือไม่?  (ไม่มี)  ขณะนี้เจ้าควรอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น  แต่การแต่งงานไม่ใช่เรื่องง่ายของสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน  การแต่งงานกล่าวถึงชีวิตของผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ อีกทั้งกล่าวถึงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของผู้คน และนอกจากนี้ยังมีมาตรฐานและหลักธรรมอันสัมพันธ์กับชีวิตจริงอื่นๆ ที่พระเจ้าได้ทรงตักเตือนผู้คน มีพระประสงค์ต่อพวกเขา และทรงบัญชาพวกเขาด้วย  สิ่งเหล่านี้เป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ผู้คนควรทำให้เสร็จสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พวกเขาเองพึงรับมา  นี่คือคำจำกัดความที่เป็นรูปธรรมของการแต่งงาน และเป็นนัยสำคัญของการดำรงอยู่อันเป็นรูปธรรมของการแต่งงานซึ่งผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงครอบครอง  เอาละ วันนี้พวกเราจะจบลงเพียงเท่านี้  สวัสดี!

วันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 2023

เชิงอรรถ:

ก. ข้อความต้นฉบับไม่มีวลีดังต่อไปนี้ “สิ่งที่มนุษย์เรียกว่า ‘ความรักแบบโรแมนติก’ เป็นเพียงการรวมตัวกันของความรักและความหลงใหล”

ข. ข้อความต้นฉบับไม่มีวลีดังต่อไปนี้ “และเป็นอย่างที่ผู้คนจากบางชนชาติกล่าวว่า”

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (13)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (10)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger