ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (11)

พวกเราสามัคคีธรรมถึงไหนกันแล้วในการชุมนุมครั้งก่อน?  พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อ “การปล่อยมือ” ในเรื่องของการแต่งงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบท “ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร”  พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อการแต่งงานมาหลายครั้งแล้ว—ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมเรื่องใดเป็นหลัก?  (พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องการปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงาน การแก้ไขแนวคิดและความเข้าใจบางอย่างที่คลาดเคลื่อนซึ่งผู้คนที่แต่งงานแล้วมีต่อการแต่งงานให้ถูกต้อง รวมทั้งการมีท่าทีที่ถูกต้องต่อความต้องการทางเพศ  ในตอนท้าย พวกเราสามัคคีธรรมว่าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตแต่งงานไม่ใช่ภารกิจของพวกเรา)  พวกเราสามัคคีธรรมในหัวข้อ “การปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงาน” แล้วพวกเจ้าเข้าใจมากเพียงใดและจำได้มากเท่าใด?  โดยหลักแล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงความคิดเห็นและความอยากได้อยากมีต่างๆ ที่ไม่อยู่กับความเป็นจริง ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่รู้จักโต และไม่สมเหตุสมผล ซึ่งผู้คนมีต่อการแต่งงานมิใช่หรือ?  (ใช่)  การทำความเข้าใจและเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการแต่งงาน และการมีแนวทางที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงาน—นี่คือท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อการแต่งงาน  การแต่งงานไม่ควรถูกมองเป็นเกม อีกทั้งไม่ควรถูกมองว่าเป็นบางสิ่งเพื่อตอบสนองเรื่องเพ้อฝันและการไล่ตามไขว่คว้าที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงทั้งปวงของคนเรา  เรื่องเพ้อฝันต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานประกอบด้วยอะไรบ้าง?  เรื่องเพ้อฝันเหล่านี้มีความสัมพันธ์บางอย่างกับท่าทีต่างๆ ที่ผู้คนมีต่อชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องเพ้อฝันเหล่านี้สัมพันธ์กับคำกล่าว การตีความ และท่าทีต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานที่ผู้คนรับมาจากโลกและสังคม  คำกล่าว การตีความ และท่าทีเหล่านี้คือคำกล่าวและทัศนะนานัปการที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงและเทียมเท็จ ซึ่งเอามาจากสังคมและกลุ่มคนทั้งปวงในหมู่มวลมนุษย์  เหตุใดผู้คนจึงต้องปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้?  เพราะสิ่งเหล่านี้มาจากมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม เพราะเป็นทัศนะและท่าทีสารพัดอย่างเกี่ยวกับการแต่งงานที่เกิดจากโลกที่เลวร้าย แล้วทัศนะและท่าทีเหล่านี้ก็เบี่ยงเบนอย่างสิ้นเชิงจากคำนิยามและแนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงานที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้ให้แก่มวลมนุษย์  แนวคิดและคำนิยามของการแต่งงานที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้ให้แก่มวลมนุษย์มุ่งเน้นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของมนุษย์มากกว่า รวมทั้งความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และเหตุผลที่ผู้คนควรมีในชีวิต  คำนิยามที่พระเจ้าทรงมีต่อการแต่งงานเตือนสติผู้คนถึงวิธีรับผิดชอบอย่างถูกต้องภายในกรอบของชีวิตแต่งงานเป็นสำคัญ  ถ้าเจ้ายังไม่ได้แต่งงานและยังไม่ได้เริ่มลุล่วงความรับผิดชอบในชีวิตแต่งงาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องในคำนิยามที่พระเจ้าทรงมีต่อการแต่งงานอยู่ดี—นี่คือแง่หนึ่ง  อีกแง่หนึ่งก็คือพระเจ้าทรงเตือนสติผู้คนให้เตรียมแบกรับความรับผิดชอบที่พวกเขาควรมีภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน  การแต่งงานไม่ใช่เกมให้เล่นสนุก หรือเป็นเหมือนการเล่นพ่อแม่ลูกของเด็กๆ  สิ่งแรกที่คนเราต้องมีแนวคิดและต้องรู้อยู่ในใจก็คือว่า การแต่งงานคือเครื่องหมายของความรับผิดชอบ  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเป็นการเตรียมตัวหรือทำตัวให้พร้อมสำหรับความรับผิดชอบที่ควรทำให้ลุล่วงตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติของตน  แล้วแนวคิด ความเข้าใจ และคำกล่าวเกี่ยวกับการแต่งงานที่มาจากซาตานและโลกที่เลวร้ายมุ่งเน้นอะไรมากกว่า?  สิ่งเหล่านั้นมุ่งเน้นการเล่นกับอารมณ์และความต้องการทางเพศ การตอบสนองความต้องการทางกาย และตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นทางเนื้อหนังต่อเพศตรงข้าม และแน่นอนว่ามุ่งเน้นการตอบสนองความไม่เป็นแก่นสารของมนุษย์มากกว่า  สิ่งเหล่านั้นไม่เคยเอ่ยถึงความรับผิดชอบหรือความเป็นมนุษย์ และยิ่งไม่เคยกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานซึ่งบัญญัติโดยพระเจ้า กล่าวคือฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ควรแบกรับความรับผิดชอบของตน ลุล่วงภาระผูกพัน และทำทุกสิ่งที่ชายและหญิงควรทำให้ดีภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน  การตีความ คำกล่าว และท่าทีต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานที่โลกใช้ล้างสมองผู้คนนั้น มุ่งตอบสนองอารมณ์และความต้องการของมนุษย์ สำรวจอารมณ์และความมุ่งมาดปรารถนา และแสวงหาตามอารมณ์และความมุ่งมาดปรารถนามากกว่า  เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้ายอมรับคำกล่าว ความเข้าใจ หรือท่าทีต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานที่มาจากสังคม เช่นนั้นแล้วการที่แนวคิดชั่วๆ เหล่านี้จะส่งผลมาถึงเจ้าก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้  กล่าวให้แน่ชัดลงไปก็คือ เจ้าจะพลอยถูกทัศนะเรื่องการแต่งงานที่มาจากโลกทำให้เสื่อมทรามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เมื่อเจ้าถูกแนวคิดและทัศนะเหล่านี้ทำให้เสื่อมทราม และได้รับผลจากมันไปแล้ว เมื่อนั้นเจ้าก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกแนวคิดเหล่านี้ควบคุมได้ และพร้อมกันนั้น เจ้าก็จะยอมให้ทัศนะเหล่านี้หลอกและบงการเหมือนที่พวกผู้ไม่เชื่อทำกันอีกด้วย  เมื่อผู้ไม่เชื่อยอมรับแนวคิดและทัศนะด้านการแต่งงานเหล่านี้ พวกเขาย่อมพูดคุยเรื่องความรักและการตอบสนองความต้องการทางเพศของตน  ในทำนองเดียวกัน เมื่อเจ้ายอมรับแนวคิดและทัศนะเหล่านี้อย่างไม่มีขอบเขต เจ้าก็จะพูดคุยเรื่องความรักและการตอบสนองความต้องการทางเพศของเจ้าเองไปด้วย  นี่เป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ และเจ้าย่อมจะไม่สามารถหนีพ้น  ขณะที่เจ้าไม่มีคำนิยามที่ถูกต้องของการแต่งงาน ไม่มีความเข้าใจและท่าทีที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงาน ก็เป็นธรรมดาที่เจ้าจะยอมรับทัศนะและคำกล่าวต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานที่มาจากโลก สังคม และมวลมนุษย์  ตราบใดที่เจ้าได้ยินได้ฟังแนวคิดเหล่านี้ ตราบใดที่เจ้ามองเห็น รับรู้ และตราบใดที่เจ้าไม่มีภูมิคุ้มกันที่จะต่อสู้กับแนวคิดเหล่านี้ ตราบนั้นบรรยากาศทางสังคมแบบนี้ย่อมจะส่งผลต่อเจ้าโดยที่เจ้าไม่รู้ตัว และเจ้าก็จะยอมรับทัศนะและคำกล่าวเรื่องการแต่งงานเหล่านี้โดยไม่ทันรู้ตัว  เมื่อเจ้ายอมรับสิ่งเหล่านี้เข้ามาไว้ในตัวเจ้า เมื่อนั้นแนวคิดและทัศนะเหล่านี้ย่อมจะส่งผลต่อท่าทีที่เจ้ามีต่อการแต่งงานอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้  และเพราะเจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสุญญากาศ จึงง่ายมากที่คำกล่าวต่างๆ ที่มาจากโลก สังคม และมวลมนุษย์ เกี่ยวกับการแต่งงาน จะส่งผลต่อเจ้าและถึงกับควบคุมเจ้า  ทันทีที่สิ่งเหล่านี้ควบคุมเจ้าเอาไว้ ก็ยากมากที่เจ้าจะพาตัวเองหลุดเป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้ และเจ้าก็อดไม่ได้ที่จะเพ้อฝันว่าชีวิตแต่งงานของเจ้าเองควรเป็นเช่นไร

คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงเรื่องเพ้อฝันต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงาน และเรื่องเพ้อฝันเหล่านี้ก็เกิดจากความเข้าใจและทัศนะที่ผิดนานัปการ ซึ่งมวลมนุษย์ที่เลวทรามมีต่อการแต่งงาน  ความเข้าใจและทัศนะเหล่านี้ ไม่ว่าจะเฉพาะเจาะจงหรือเป็นเรื่องทั่วไป ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงควรปล่อยมือไป  ประการแรก พวกเขาควรปล่อยมือจากคำนิยามและความเข้าใจต่างๆ ที่ผิดเกี่ยวกับการแต่งงาน ประการที่สอง พวกเขาควรเลือกคู่ครองของตนอย่างถูกต้อง และประการที่สาม ผู้ที่แต่งงานแล้วควรมีท่าทีที่ถูกต้องต่อชีวิตแต่งงานของตน  คำว่า “ถูกต้อง” ในที่นี้หมายถึงท่าทีและความรับผิดชอบที่ผู้คนควรมีต่อชีวิตแต่งงานที่พระเจ้าทรงกำหนดและบัญชาให้พวกเขามี  ผู้คนควรเข้าใจว่าการแต่งงานไม่ใช่สัญลักษณ์ของความรัก และการเข้าสู่ชีวิตแต่งงานก็ไม่ใช่การเข้าพิธีวิวาห์ หรือเข้าสุสาน และยิ่งไม่ใช่ชุดวิวาห์ แหวนเพชร คริสตจักร การกล่าวปฏิญาณว่าจะรักกันชั่วนิรันดร์ อาหารค่ำใต้แสงเทียน ความรู้สึกชวนฝัน หรือโลกของสองเรา—สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สัญญะของการแต่งงาน  ดังนั้นเมื่อพวกเราพูดถึงการแต่งงาน สิ่งแรกที่เจ้าควรทำคือขจัดเรื่องเพ้อฝันเกี่ยวกับการแต่งงานที่ถูกปลูกฝังอยู่ในหัวใจของเจ้าออกไป พร้อมกับสิ่งเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เกิดจากเรื่องเพ้อฝันที่เจ้ามีเกี่ยวกับการแต่งงาน  เมื่อสามัคคีธรรมถึงการตีความที่ถูกต้องของการแต่งงานและชำแหละแนวคิดต่างๆ ที่บิดเบือนเกี่ยวกับการแต่งงานซึ่งเกิดจากโลกอันเลวทรามของซาตาน พวกเจ้าย่อมมาเข้าใจคำนิยามของการแต่งงานได้อย่างถูกต้องมากขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  สำหรับผู้ที่ยังไม่แต่งงาน การกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ย่อมทำให้พวกเจ้ารู้สึกมั่นคงขึ้นบ้างในเรื่องของการแต่งงานมิใช่หรือ?  ช่วยให้พวกเจ้ามีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกมากขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของพวกเจ้ามีมากขึ้นในแง่ใด?  (เรื่องเพ้อฝันที่ข้าพระองค์เคยมีเกี่ยวกับการแต่งงานประกอบด้วยสิ่งที่คลุมเครือ เช่น ดอกไม้ แหวนเพชร ชุดวิวาห์ และการกล่าวปฏิญาณว่าจะรักกันชั่วนิรันดร์  ตอนนี้หลังจากที่ฟังพระเจ้าประทานสามัคคีธรรม ข้าพระองค์ก็เข้าใจว่าแท้จริงแล้วการแต่งงานได้รับการบัญญัติจากพระเจ้า และเป็นเรื่องที่คนสองคนอยู่ด้วยกัน สามารถคำนึงถึงกัน ดูแลกัน และรับผิดชอบกันและกันได้  เป็นเรื่องของสำนึกรับผิดชอบ และทัศนะในเรื่องของการแต่งงานแบบนี้ก็สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่า ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งของที่คลุมเครือเหล่านั้น)  เจ้ามีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกมากขึ้นจริงไหม?  กล่าวโดยทั่วไปก็คือ เจ้ามีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกมากขึ้น  หากกล่าวในส่วนของรายละเอียดปลีกย่อยแล้ว มาตรฐานสำหรับวัตถุที่เจ้าเคยชื่นชมและหลงใหลมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่?  (มี)  เจ้าเคยพูดอยู่เสมอว่าอยากจะพบเจอชายที่สูง หล่อ รวย หรือหญิงที่รวย สวย ขาว แล้วตอนนี้เจ้าสนใจอะไร?  อย่างน้อยที่สุดเจ้าย่อมสนใจความเป็นมนุษย์ของใครคนหนึ่ง สนใจว่าใครคนหนึ่งพึ่งพาได้และมีสำนึกรับผิดชอบหรือไม่  จงบอกเราเถิดว่าถ้าใครสักคนเลือกคู่ครองตามแนวทางนี้ ตามวัตถุประสงค์นี้ และวิธีนี้ พวกเขามีความน่าจะเป็นที่จะมีชีวิตสมรสที่มีความสุข หรือไม่มีความสุขและหย่าร้างมากกว่ากัน?  (มีความน่าจะเป็นมากกว่าที่พวกเขาจะมีความสุข)  ค่อนข้างมีความน่าจะเป็นมากกว่าที่พวกเขาจะมีความสุข  ทำไมพวกเราถึงไม่พูดว่ารับรองได้เต็มร้อยว่าชีวิตแต่งงานแบบนี้จะเป็นชีวิตแต่งงานที่มีความสุข?  เรื่องนี้มีสาเหตุอยู่กี่ข้อ?  อย่างน้อยที่สุด สาเหตุหนึ่งก็คือผู้คนอาจผิดพลาดได้ และไม่สามารถมองเห็นคนคนนั้นได้อย่างชัดเจนก่อนที่จะแต่งงานกับพวกเขา  สาเหตุอีกข้อหนึ่งก็คือก่อนที่จะแต่งงาน ใครคนหนึ่งอาจมีความคิดฝันที่วิเศษเกี่ยวกับการแต่งงาน นึกว่า “เราสองคนมีบุคลิกที่เข้ากันได้และมีความใฝ่ฝันร่วมกัน  เขายังสัญญากับฉันด้วยว่าหลังจากที่เราทั้งคู่แต่งงานกันแล้ว เขาเต็มใจที่จะรับผิดชอบและลุล่วงภาระผูกพันที่เขามีต่อฉัน และเขาจะไม่มีวันทำให้ฉันผิดหวัง”  อย่างไรก็ดี พอแต่งงานกันแล้ว ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งในชีวิตแต่งงานจะเป็นไปตามที่พวกเขาปรารถนา ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะราบรื่น  นอกจากนี้ บางคนก็รักความจริงและรักสิ่งที่เป็นบวก ขณะที่บางคนอาจดูเหมือนมีความเป็นมนุษย์ซึ่งไม่ใช่ว่าเลวหรือชั่ว แต่พวกเขาไม่ได้รักสิ่งที่เป็นบวกและไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อทั้งสองแต่งงานและใช้ชีวิตด้วยกัน สำนึกรับผิดชอบหรือสำนึกในภาระผูกพันที่พอมีอยู่บ้างในความเป็นมนุษย์ของเขานั้นก็ค่อยๆ หมดไป ตัวเขาเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา  จงบอกเราเถิดว่าถ้าหนึ่งในคู่สมรสไล่ตามเสาะหาความจริงและอีกฝ่ายไม่ทำ ถ้าเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่ฝ่ายเดียว และเขาไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด เจ้าจะทนเขาได้นานเพียงใด?  (ไม่นาน)  เจ้าจะฝืนใจยอมผ่อนปรนและทนนิสัยบางอย่างในการใช้ชีวิต หรือข้อเสียหรือข้อบกพร่องเล็กน้อยบางอย่างในความเป็นมนุษย์ของเขาได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเจ้าสองคนย่อมจะไม่พูดภาษาเดียวกันหรือมีการไล่ตามเสาะหาที่เหมือนกัน  เขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือรักสิ่งที่เป็นบวก และเขาก็ชอบสิ่งที่เป็นกระแสอันชั่วของโลกอยู่เสมอ  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเจ้าสองคนย่อมพูดจากันน้อยลงเรื่อยๆ ความใฝ่ฝันของพวกเจ้าเคลื่อนห่างจากกัน และในไม่ช้าความอยากลุล่วงความรับผิดชอบของเขาก็หมดไป  ชีวิตสมรสแบบนี้ใช่ชีวิตสมรสที่มีความสุขหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้าเจ้าไม่มีความสุข เจ้าควรทำอย่างไร?  (ถ้าคนสองคนไปด้วยกันไม่ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรแยกทางกันให้เร็วที่สุดเมื่อมีโอกาส)  ถูกต้อง  นับแต่เริ่มมีแนวคิดเช่นนี้จนถึงตอนที่พวกเขาแยกทางกันย่อมใช้เวลานานเท่าใด?  ตอนแรกคนสองคนไปด้วยกันได้ดี แล้วพอไปด้วยกันได้ดีสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มกระทบกระทั่งกัน  หลังกระทบกระทั่งกัน พวกเขาก็คืนดีกัน แล้วเมื่อคืนดีกัน ฝ่ายหญิงก็มองเห็นว่าฝ่ายชายไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเธอจึงสู้ทน และหลังจากที่สู้ทนเช่นนี้ไปพักหนึ่ง ทั้งสองก็เริ่มโต้เถียงกันอีก  เมื่อขัดแย้งกันจนถึงที่สุด เรื่องราวก็สงบลงอีกครั้ง และเธอก็คิดว่า “พวกเราไม่เหมาะกัน และนี่ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ฉันนึกเอาไว้ในตอนต้น  การใช้ชีวิตร่วมกันนั้นเจ็บปวด  พวกเราควรหย่ากันไหม?  แต่กว่าเราสองคนจะมาถึงจุดนี้ก็ยากมาก พวกเราเลิกและกลับมาคืนดีกันหลายครั้งมาก  ฉันต้องไม่หย่ากับเขาง่ายๆ อย่างนั้น  ฉันควรสู้ทนไปก่อน  การใช้ชีวิตคนเดียวไม่มีทางดีเท่าการใช้ชีวิตด้วยกันสองคน”  ดังนั้นเธอจึงสู้ทนไปอีกปีหรือสองปี ยิ่งมองเขา เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ และยิ่งนานเข้า เธอก็ยิ่งหงุดหงิด  การใช้ชีวิตด้วยกันไม่ได้ทำให้เธอมีความสุข และทั้งสองก็พูดจาด้วยคลื่นที่ตรงกันน้อยลงทุกที  เธอเห็นข้อเสียของเขาเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกอยากทนและยอมผ่อนปรนให้เขาน้อยลงทุกที  ผ่านไปได้ห้าหรือหกปี เธอก็รับไม่ได้อีกต่อไป โกรธจัด และอยากตัดความสัมพันธ์กับเขาอย่างสิ้นเชิง  ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเลิกขาดในครั้งนี้ เธอต้องใคร่ครวญเรื่องทั้งหมดนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ และต้องคิดให้ชัดเจนและถี่ถ้วนว่าเธอจะใช้ชีวิตอย่างไรหลังจากหย่าแล้ว  เมื่อคิดเรื่องทั้งหมดถี่ถ้วนแล้ว เธอกลับไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ แต่หลังจากคิดทบทวนอีกหลายครั้ง เธอก็ตัดสินใจอย่างเสียไม่ได้ว่าจะผละจากสามี คิดไปว่า “ฉันจะหย่าเขา  การใช้ชีวิตตามลำพังอย่างมีสันติสุขย่อมดีกว่านี้”  ทั้งสองโต้เถียงกันเสมอและไปด้วยกันไม่ได้  สิ่งที่เธอเคยทนยอมรับได้ ตอนนี้กลับทนไม่ได้  การมองเห็นเขาทำให้เธอขุ่นใจ การฟังเขาพูดทำให้เธอโกรธ และแม้แต่การได้ยินเสียงของเขา เห็นรูปลักษณ์ของเขา เห็นเสื้อผ้าและสิ่งของที่เขาใช้ ก็ทำให้เธอรู้สึกคลื่นเหียนและพะอืดพะอม  เรื่องนี้ไปถึงจุดที่เกินจะทนได้ที่ทั้งสองกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน และเธอจำต้องหย่าขาดจากเขา  การที่เธอจำต้องหย่าขาดจากเขามีข้อกล่าวอ้างว่าอย่างไร?  การที่ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันนั้นเจ็บปวดเกินไป สู้เธอใช้ชีวิตตัวคนเดียวยังจะดีเสียกว่า  เมื่อสิ่งต่างๆ มาถึงจุดนี้ เธอย่อมจะไม่ยอมเกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป  ไม่มีความรู้สึกอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป เธอตรึกตรองอย่างละเอียดและคิดตกแล้วว่าการใช้ชีวิตด้วยตนเองย่อมดีกว่า เหมือนกับที่ผู้ไม่เชื่อมักจะบอกว่า “เมื่อคุณอยู่ตัวคนเดียว คุณก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของใครอื่น”  หาไม่แล้ว เธอก็จะต้องคิดเรื่องของเขาอยู่เสมอ สงสัยว่า “เขากินอะไรหรือยัง?  แต่งตัวให้ดีหรือเปล่า?  นอนหลับดีไหม?  เขาเหนื่อยมากไหมที่ไปทำงานไกลบ้าน?  ถูกกลั่นแกล้งหรือเปล่า?  เขารู้สึกอย่างไรบ้าง?”  เธอต้องคอยกังวลเรื่องของเขาตลอดเวลา  แต่ตอนนี้เธอเห็นว่าการใช้ชีวิตตัวคนเดียวมีสันติสุขมากกว่า ไม่มีใครให้คิดคำนึงหรือนึกห่วง  ผู้ชายเยี่ยงนั้นไม่คู่ควรกับการที่เธอจะใช้ชีวิตแบบนั้นเพื่อเขา  เขาไม่คู่ควรกับความห่วงใยที่เธอมีให้ ไม่คู่ควรกับความรักของเธอ ไม่คู่ควรที่เธอจะคอยรับผิดชอบอะไรให้ และเขาไม่มีอะไรที่ควรค่าที่จะรักเลย  ท้ายที่สุดเธอจึงฟ้องหย่า ชีวิตแต่งงานของทั้งสองสิ้นสุดลงแล้ว และเธอก็ไม่เคยหันกลับไปมอง ไม่เคยเสียใจในการตัดสินใจของตน  มีชีวิตแต่งงานแบบนี้อยู่ใช่หรือไม่?  (ใช่)  นอกจากนี้ยังมีการแต่งงานที่เกิดขึ้นด้วยสาเหตุต่างๆ กัน เช่น ความใจดีมีเมตตาและความคุมแค้นในอดีตจากชีวิตก่อนหน้านี้ของคนเรา  ดังที่พวกเราเสวนากันไปแล้วว่าบางคนมาอยู่ด้วยกันก็เพราะฝ่ายหนึ่งติดหนี้อีกฝ่ายหนึ่ง  ระหว่างสามีภรรยา ไม่ฝ่ายหญิงติดค้างฝ่ายชาย ก็ฝ่ายชายติดค้างฝ่ายหญิง  ในชีวิตหนก่อน ฝ่ายหนึ่งอาจเอาเปรียบมากเกินไป ติดค้างมากเกินไป ดังนั้นในชีวิตนี้ พวกเขาจึงถูกจัดให้อยู่ด้วยกันเพื่อให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ของตนได้  ชีวิตแต่งงานมากมายที่เป็นแบบนี้ย่อมเป็นชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุข แต่พวกเขาก็ไม่อาจหย่าร้างได้  ไม่ว่าจะถูกบีบให้อยู่ด้วยกันเพราะมีครอบครัว หรือเพราะลูกๆ ของตน หรือเพราะเหตุอื่นบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด สามีภรรยาก็ไปด้วยกันไม่ได้ พวกเขาจึงทะเลาะกันอยู่เสมอ มีปากเสียงกันตลอดเวลา และบุคลิก ผลประโยชน์ การไล่ตามเสาะหา รวมทั้งงานอดิเรกของพวกเขาก็ไม่เข้ากันเลย  พวกเขาไม่ชอบหน้ากัน และการอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้ทำให้ฝ่ายใดมีความสุขแม้แต่น้อย แต่พวกเขาก็หย่ากันไม่ได้ ดังนั้นทั้งสองจึงอยู่ด้วยกันไปจนตาย  เมื่อความตายใกล้เข้ามา พวกเขาก็ต้องเหน็บแนมคู่ของตนอยู่ดีว่า “ฉันไม่อยากเจอเธอในชีวิตหน้า!”  ทั้งสองเกลียดกันมากเลยใช่ไหม?  แต่ในชีวิตนี้ พวกเขาหย่ากันไม่ได้ และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้  ชีวิตสมรสนานาชนิดเหล่านี้ ไม่ว่าจะมีโครงสร้างหรือที่มาเช่นไร ไม่ว่าพวกเจ้าจะแต่งงานหรือยังไม่แต่งงาน ไม่ว่าในกรณีใด พวกเจ้าก็ควรปล่อยมือจากเรื่องเพ้อฝันต่างๆ ที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงและไร้เดียงสาซึ่งพวกเจ้ามีต่อการแต่งงานไปเสีย พวกเจ้าควรเผชิญหน้าการแต่งงานให้ถูกต้องและไม่ทำเป็นเล่นกับอารมณ์และความต้องการของผู้คน และยิ่งไม่ควรติดบ่วงของทัศนะที่ผิดเกี่ยวกับการแต่งงาน ซึ่งสังคมใช้ล้างสมองเจ้า ครุ่นคิดอยู่เสมอว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรกับชีวิตแต่งงาน เช่น คู่ครองของเจ้ารักเจ้าหรือไม่?  เจ้ารู้สึกได้หรือไม่ว่าคู่ของเจ้ารักเจ้า?  เจ้ายังรักคู่ของเจ้าหรือไม่?  เจ้ายังมีความรักให้คู่ของเจ้ามากเพียงใด?  คู่ครองของเจ้ายังคงรู้สึกอะไรกับเจ้าอยู่หรือเปล่า?  เจ้ายังคงรู้สึกอะไรกับคู่ของเจ้าหรือไม่?  ไม่มีความจำเป็นต้องรู้สึกอะไรแบบนี้หรือครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้—นี่เป็นแนวคิดที่ไร้สาระและไม่มีความหมายทั้งสิ้น  ยิ่งเจ้าคิดทบทวนเรื่องเหล่านี้ เจ้าก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตแต่งงานของเจ้ากำลังวิกฤต และยิ่งเจ้าถลำลึกลงไปในห้วงนึกคิดเหล่านี้ ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าเจ้าติดบ่วงของชีวิตแต่งงานเข้าให้แล้ว และแน่นอนว่าเจ้าย่อมจะไม่มีความสุขหรือรู้สึกมั่นคง  นี่เป็นเพราะเมื่อเจ้าถลำลึกลงไปในแนวคิด ทัศนะ และห้วงนึกคิดเหล่านี้ ชีวิตแต่งงานของเจ้าย่อมจะผิดรูปผิดร่าง ความเป็นมนุษย์ของเจ้าเริ่มบิดเบี้ยว และเจ้าเองก็ถูกแนวคิดและทัศนะต่างๆ ที่สังคมมีต่อการแต่งงาน เข้าควบคุมและลักเอาตัวไปอีกด้วย  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องทัศนะและคำกล่าวต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานที่มาจากสังคมและมวลมนุษย์ที่ชั่ว เจ้าต้องสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง และเจ้าต้องไม่ยอมรับทัศนะและคำกล่าวเหล่านี้อีกด้วย  ไม่ว่าผู้อื่นจะกล่าวว่าอย่างไรหรือคำกล่าวที่พวกเขามีต่อการแต่งงานจะเปลี่ยนไปเช่นไร ในที่สุดแล้วผู้คนก็ไม่ควรทิ้งคำนิยามที่พระเจ้าทรงมีต่อการแต่งงาน และไม่ควรปล่อยให้ทัศนะด้านการแต่งงานของโลกอันเลวทรามส่งผลกับตนหรือบดบังสายตาของตน  กล่าวตามตรงก็คือ การแต่งงานคือการเริ่มต้นช่วงชีวิตที่ต่างออกไปของคนเรา จากวัยหนุ่มสาวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่  นั่นคือ หลังจากที่เจ้ากลายเป็นผู้ใหญ่ เจ้าก็เข้าสู่ช่วงชีวิตที่ต่างออกไป และในชีวิตช่วงนี้ เจ้าย่อมเข้าพิธีแต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเจ้า  นับจากวันที่เจ้าเริ่มใช้ชีวิตกับคนคนนั้น ก็หมายความว่าในฐานะภรรยาหรือสามี เจ้าต้องแบกรับความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งปวงในชีวิตแต่งงาน และที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเจ้าทั้งสองต้องเผชิญเรื่องทั้งปวงในชีวิตแต่งงานด้วยกัน  กล่าวอีกอย่างคือ การแต่งงานเป็นสัญญะถึงการที่คนคนหนึ่งผละจากพ่อแม่ของตน กล่าวอำลาชีวิตโสด และเข้าสู่ชีวิตคู่พร้อมกับใครอีกคน  นี่คือช่วงที่คนสองคนเผชิญชีวิตด้วยกัน  ช่วงระยะนี้เป็นสัญญะว่าเจ้าจะเข้าสู่ช่วงชีวิตที่ต่างออกไป และแน่นอนว่าเจ้าจะเผชิญบททดสอบทุกรูปแบบของชีวิต  การที่เจ้าจะรับมือชีวิตภายในกรอบของชีวิตแต่งงานอย่างไร และเจ้ากับคู่ของเจ้าจะร่วมกันเผชิญเรื่องทั้งปวงที่พานพบภายในกรอบของชีวิตแต่งงานอย่างไร อาจเป็นบททดสอบของเจ้า หรืออาจเป็นการทำให้เจ้าเพียบพร้อมก็ได้ หรืออาจเป็นความวิบัติก็ได้  แน่นอนเช่นกันว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเป็นแหล่งกำเนิดประสบการณ์ชีวิตที่มากขึ้น สามารถเป็นแหล่งที่ให้ความเข้าใจชีวิตที่ลึกซึ้งขึ้น และทำให้เจ้าซาบซึ้งในคุณค่าของชีวิตมากขึ้น จริงไหม?  (จริง)  พวกเราจะจบการสรุปหัวข้อการมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงานและเรื่องเพ้อฝันต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานไว้ตรงนี้

ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมอีกหัวข้อหนึ่ง ซึ่งก็คือ การไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสไม่ใช่ภารกิจของเจ้า  ตอนที่สามัคคีธรรมหัวข้อนี้ พวกเราย้ำว่าอะไร?  (ว่าพวกเราต้องไม่ฝากความสุขในชีวิตของตนเองไว้กับคู่ครอง และต้องไม่ทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นการเอาใจคู่ครองเพียงเพื่อดึงดูดใจพวกเขาหรือปกป้องสิ่งที่พวกเราเรียกกันว่าความรัก  พวกเราต้องไม่ลืมว่าตัวเองคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พวกเราควรลุล่วงในชีวิตแต่งงานไม่มีอะไรขัดแย้งกับหน้าที่และความรับผิดชอบที่พวกเราควรลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง)  มีผู้คนมากมายทำให้ความสุขในชีวิตของตนขึ้นอยู่กับชีวิตแต่งงานของตนเอง และเป้าหมายในการไล่ตามเสาะหาความสุขของพวกเขาก็คือการไล่ตามไขว่คว้าความสุขและความสมบูรณ์แบบของชีวิตสมรส  พวกเขาเชื่อว่าถ้าชีวิตแต่งงานของตนเป็นชีวิตแต่งงานที่มีความสุขและตนเองก็มีความสุขกับคู่ครอง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะมีชีวิตที่มีความสุข ดังนั้นพวกเขาจึงมองว่าความสุขในชีวิตแต่งงานของตนคือภารกิจชั่วชีวิตที่จะต้องสัมฤทธิ์โดยการใช้ความพยายามอย่างไม่ลดละ  ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเขาเข้าสู่ชีวิตสมรส หลายคนจึงเค้นสมองคิดหาสิ่งต่างๆ มากมายที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อรักษาชีวิตสมรสของตนให้ “สดใหม่”  คำว่า “สดใหม่” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความตามที่พวกเขากล่าวกันว่า ไม่ว่าพวกเขาจะแต่งงานกันมานานเท่าใด คนทั้งสองก็รู้สึกเหมือนตัวติดกันอยู่เสมอและจะไม่มีวันผละจากอีกฝ่ายไปได้ เหมือนตอนที่พวกเขาเริ่มคบหากันนั่นเอง ทั้งสองอยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลาและไม่อยากแยกจากกันแต่อย่างใด  ยิ่งกว่านั้น ตลอดเวลาไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด พวกเขาก็คิดคำนึงและถวิลหาคู่ของตนอยู่เสมอ หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยสุ้มเสียง รอยยิ้ม คำพูด และพฤติกรรมของอีกฝ่าย  ถ้าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงของคู่ครองสักวัน หัวใจของพวกเขาย่อมรู้สึกอ้างว้าง และถ้าพวกเขาไม่เห็นหน้าคู่ครองของตนสักวัน พวกเขาย่อมรู้สึกราวกับว่าตนนั้นสูญเสียดวงจิตไปแล้ว  พวกเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือสัญลักษณ์และเครื่องหมายของความสุขในชีวิตสมรส  ดังนั้นบางคนที่เรียกกันว่าแม่บ้านเต็มตัวจึงอยู่กับบ้านและรู้สึกว่าการรอให้สามีกลับมาบ้านคือสิ่งที่มีความสุขที่สุด  ถ้าสามีกลับบ้านไม่ตรงเวลา พวกเธอย่อมโทรหา แล้วคำถามแรกที่ออกจากปากของพวกเธอคืออะไร?  (เธอจะกลับถึงบ้านเมื่อไร?)  ดูเหมือนพวกเจ้ามักจะได้ยินเรื่องอย่างนี้—คำถามนี้ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของหลายๆ คน  คำถามแรกก็คือ “เธอจะกลับถึงบ้านเมื่อไร?”  ทันทีที่พวกเขาถามเช่นนี้ ไม่ว่าจะได้รับคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไข้ใจของผู้หญิงที่อยู่ในชีวิตสมรสที่มีความสุขก็เผยตัวออกมาแล้ว  นี่คือสภาวะที่ปกติในชีวิตของผู้ที่ไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรส  พวกเธอรอคอยเงียบๆ อยู่ที่บ้านให้คู่ของตนกลับมาจากที่ทำงาน  ถ้าพวกเธอออกไปข้างนอก พวกเธอย่อมไม่กล้าไปไกลหรือออกไปนาน กลัวว่าคู่ของตนจะกลับมาเจอบ้านที่ไม่มีคนอยู่แล้วจะรู้สึกน้อยใจ ผิดหวัง และเสียใจมาก  ผู้คนเหล่านี้เต็มไปด้วยความหวังและความเชื่อในการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสของตน และไม่ลังเลที่จะจ่ายราคาใดๆ หรือลงมือเปลี่ยนแปลงอะไร  ถึงกับมีบางคนที่หลังจากมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ก็ยังไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสต่อไปเหมือนที่เคยทำ เสาะแสวงที่จะรักคู่ครองและไถ่ถามคู่ครองอยู่เสมอว่าพวกเขารักตนหรือไม่  เพราะฉะนั้น ระหว่างการชุมนุม ผู้หญิงก็อาจคิดไปว่า “สามีของฉันกลับถึงบ้านหรือยัง?  ถ้าถึงแล้ว เขากินอะไรหรือยัง?  เหนื่อยหรือเปล่า?  ฉันยังอยู่ในการชุมนุมนี้และรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย  ฉันรู้สึกนิดๆ เหมือนตัวเองทำให้เขาผิดหวัง”  พอเข้าชุมนุมครั้งต่อไป เธอจึงถามสามีว่า “คุณคิดว่าจะกลับมากี่โมง?  ถ้ากลับมาตอนที่ฉันออกไปชุมนุม คุณจะเหงาหรือเปล่า?”  สามีของเธอย่อมตอบว่า “ฉันจะไม่เหงาได้อย่างไร?  บ้านว่างเปล่าและฉันก็อยู่คนเดียว  ปกติแล้วพวกเราอยู่ที่นี่ด้วยกันเสมอ มาตอนนี้จู่ๆ ฉันกลับอยู่ที่นี่ตามลำพัง  ทำไมเธอถึงต้องเข้าชุมนุมอยู่เรื่อย?  เธอสามารถเข้าชุมนุม แต่จะดีมากเลยถ้าเธอถึงบ้านก่อนฉันได้!”  ในหัวใจของเธอ เธอรู้ว่า “เขาไม่ได้ขออะไรมาก ฉันก็แค่ต้องอยู่บ้านก่อนเขากลับมาเท่านั้น”  ในการชุมนุมครั้งต่อไป เธอจึงเฝ้ามองนาฬิกา และพอเห็นว่าเกือบจะถึงเวลาที่สามีจะเลิกงาน เธอก็นั่งไม่ติดอีกต่อไปและกล่าวว่า “พวกคุณชุมนุมกันไปเถิด ฉันมีเรื่องต้องจัดการที่บ้าน เลยต้องขอตัวไปก่อน”  เธอรีบกลับบ้านและคิดว่า “เยี่ยมเลย สามียังไม่กลับ!  ฉันจะรีบทำอาหารและจัดเก็บบ้าน พอเขากลับมา เขาก็จะเห็นได้ว่าบ้านสะอาด ได้กลิ่นอาหาร และรู้ว่ามีคนอยู่บ้าน  การที่เราสองคนอยู่กันพร้อมหน้าได้เมื่อถึงเวลาอาหารเป็นเรื่องที่วิเศษ!  แม้ฉันจะมีเวลาชุมนุมน้อยลง ได้ฟังน้อยลง และได้อะไรน้อยลง แต่การที่สามารถกลับบ้านได้ก่อนสามีและทำอาหารร้อนๆ ให้เขานี้เป็นเรื่องที่ดีมาก แล้วนี่ก็สำคัญต่อการดำรงรักษาชีวิตแต่งงานที่มีความสุขเอาไว้เป็นอย่างมาก”  แต่นั้นมาเธอมักจะทำเช่นนี้ในการชุมนุม และในบางโอกาสก็มีการชุมนุมเลยเวลา พอเธอรีบกลับบ้านก็พบว่าสามีของเธออยู่ที่บ้านแล้ว  เขาไม่พอใจและผิดหวังในตัวเธอนิดหน่อย และบ่นพึมพำว่า “เธอจะไม่ไปชุมนุมสักครั้งไม่ได้หรือ?  ไม่รู้หรือว่าฉันรู้สึกอย่างไรเวลาเธอไม่อยู่บ้านและฉันกลับมาไม่เห็นเธออยู่ที่นี่?  ฉันเสียใจนะ!”  เธอรู้สึกตื้นตันใจมากที่ได้ฟังเช่นนี้และคิดว่า “ที่พูดมานี้เขาหมายความว่าเขารักฉันมากและจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีฉัน  เขาเสียใจเมื่อเห็นว่าฉันไม่อยู่ที่นี่  ฉันมีความสุขจริงๆ!  แม้จะฟังดูเหมือนเขาโกรธหน่อยๆ แต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงความรักที่เขามีให้ฉันอยู่ดี  คราวหน้าฉันต้องคอยสังเกต และไม่ว่าการชุมนุมจะนานกี่ชั่วโมง ฉันก็ต้องกลับมาบ้านแต่เนิ่นๆ  ฉันจะทำให้เขาผิดหวังที่มารักฉันไม่ได้  ถ้าฉันได้รับน้อยลงนิดและฟังพระวจนะของพระเจ้าในที่ชุมนุมน้อยลงหน่อยก็ไม่สำคัญ”  นับแต่นั้นมาเวลาเธอเข้าชุมนุม สิ่งที่เธอนึกได้ก็มีแต่เรื่องกลับบ้านเพื่อให้คู่ควรกับความรักของสามี และเพื่อดำรงรักษาความสุขที่เธอไล่ตามไขว่คว้าในชีวิตแต่งงานของตน  เธอมีความรู้สึกรางๆ ว่าถ้าเธอไม่ถึงบ้านแต่เนิ่นๆ เช่นนั้นแล้วเธอก็จะทำให้สามีผิดหวังที่มารักเธอ และถ้าเธอทำให้เขาผิดหวังเช่นนั้นอยู่ร่ำไป เธอก็นึกสงสัยว่าเขาจะออกไปหาคนอื่นและไม่รักเธออย่างเคยหรือไม่  เธอเชื่อว่าการรักและได้รับรักย่อมเป็นความสุขเสมอ และการประคับประคองความสัมพันธ์ของการรักและเป็นที่รักเอาไว้ก็คือสิ่งที่เธอไล่ตามไขว่คว้าในชีวิต เป็นสิ่งที่เธอมุ่งมั่นที่จะไล่ตามไขว่คว้า ดังนั้น นั่นจึงเป็นสิ่งที่เธอทำอย่างไร้ข้อจำกัดหรือความลังเล  ถึงกับมีบางคนที่พอไปปฏิบัติหน้าที่ของตนห่างไกลจากบ้าน ก็มักจะบอกผู้นำของตนว่า “ฉันค้างคืนนอกบ้านไม่ได้  ฉันแต่งงานแล้ว ดังนั้นถ้าฉันไม่กลับบ้าน สามีจะเหงา  เวลาเขาตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วฉันไม่อยู่ตรงนั้น เขาก็จะเสียใจ  พอเขาลืมตาตื่นในตอนเช้าและฉันไม่อยู่ตรงนั้นด้วย เขาก็จะรู้สึกน้อยใจ  ถ้าฉันไม่กลับบ้านบ่อยเข้า สามีจะไม่สงสัยในความสัตย์ซื่อและบริสุทธิ์ใจของฉันหรอกหรือ?  ตอนแต่งงานกัน พวกเราตกลงกันไว้ว่าพวกเราจะสัตย์ซื่อต่อกัน  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็ต้องรักษาคำสัญญา  ฉันอยากเป็นคนที่คู่ควรกับเขา เพราะไม่มีใครอื่นในโลกนี้ที่รักฉันเหมือนเขา  ดังนั้น เพื่อที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจและพิสูจน์ว่าฉันสัตย์ซื่อต่อเขาอย่างแท้จริง ฉันจึงค้างนอกบ้านไม่ได้เป็นอันขาด  ไม่ว่างานของคริสตจักรจะยุ่งเพียงใดหรือหน้าที่ของฉันจะเร่งด่วนอย่างไร ฉันก็ต้องกลับไปนอนบ้านไม่ว่าจะดึกขนาดไหนก็ตาม”  เธอบอกว่านี่เป็นไปเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ใจและความสัตย์ซื่อของเธอ แต่นี่เป็นเพียงการพูดไปตามแบบแผนเท่านั้น พูดไปอย่างนั้นเอง แท้จริงแล้วเธอกลัวว่าชีวิตสมรสของเธอจะไม่มีความสุขและพังทลาย  เธอยอมสูญเสียหน้าที่และทิ้งหน้าที่ที่เธอควรปฏิบัติเพื่อที่จะดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสของตนเอาไว้ ราวกับว่าความสุขในชีวิตสมรสคือแรงจูงใจและต้นตอของทุกสิ่งที่เธอทำ  หากไม่มีชีวิตแต่งงานที่มีความสุข เธอก็จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ หากไร้ซึ่งชีวิตแต่งงานที่มีความสุข เธอก็จะไม่สามารถเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดีงามได้  เธอมองว่าการไม่ทำให้สามีผิดหวังที่มารักเธอและยังคงเป็นที่รักต่อไปนั้นคือเครื่องหมายของความสุขในชีวิตสมรส และเป็นเป้าหมายในชีวิตให้เธอไล่ตามไขว่คว้าด้วย  ถ้าวันหนึ่งเธอรู้สึกว่าเธอไม่ได้เป็นที่รักยิ่งอีกต่อไป หรือทำอะไรผิดและทำให้สามีผิดหวังที่มารักเธอ ทำให้เขาผิดหวังในตัวเธอ และไม่พอใจเธอ เธอย่อมจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเสียสติ เธอจะไม่เข้าชุมนุมหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกต่อไป และต่อให้คริสตจักรอยากให้เธอปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง เธอก็จะหาข้ออ้างสารพัดอย่างมาปฏิเสธ  ตัวอย่างเช่น เธอบอกว่าเธอรู้สึกไม่สบายหรือที่บ้านมีเรื่องด่วน และเธอถึงกับสรรหาข้ออ้างบางอย่างที่ไร้สาระ ซึ่งแล้วแต่เธอจะนึกออก เพื่อจะได้ไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ  ผู้คนเหล่านี้มองว่าความสุขในชีวิตสมรสมีความสำคัญที่สุดในชีวิต  บางคนถึงกับมอบทุกสิ่งที่สามารถมอบให้ได้เพื่อดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสของตน และไม่ลังเลที่จะจ่ายทุกราคาเพื่อผูกและกุมหัวใจของคู่สมรสเอาไว้ เพื่อให้คู่ของตนรักตนอยู่เสมอ เพื่อให้พวกเขาไม่มีวันสูญสิ้นความรู้สึกรักที่ทั้งสองมีเมื่อแรกแต่งงานกัน และไม่มีวันสูญสิ้นความรู้สึกเบื้องต้นที่พวกตนมีต่อการแต่งงาน  ถึงกับมีผู้หญิงบางคนที่เสียสละยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ กล่าวคือ บ้างก็ยกดั้งจมูก บ้างก็เหลาคาง บ้างก็ผ่าตัดเสริมหน้าอกและดูดไขมัน พลางสู้ทนความเจ็บปวดทุกอย่าง  ผู้หญิงบางคนถึงขั้นคิดว่าน่องของตนหนาไป พวกเธอจึงไปทำศัลยกรรมให้ขาเรียวลง และในที่สุดก็ทนทุกข์กับเส้นประสาทที่ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถลุกยืนได้อีกต่อไป  เมื่อสามีของผู้หญิงแบบนี้มองเห็นเช่นนี้ เขาก็กล่าวว่า “เมื่อก่อนเธอมีขาที่หนาใหญ่ แต่เธอก็ยังเป็นคนที่ปกติ  ตอนนี้เธอลุกยืนไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้  ฉันต้องการหย่า!”  เจ้าดูเอาเถิด เธอจ่ายราคาสูงขนาดนั้น แล้วนี่ก็คือสิ่งที่เธอได้ในท้ายที่สุด  นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงบางคนที่แต่งตัวสวยทุกวัน ฉีดน้ำหอมและผัดหน้าทาแป้ง  พวกเธอใช้เครื่องสำอางสารพัดชนิดแต่งหน้าของตน เช่น ลิปสติก ที่ปัดแก้ม และอายแชโดว์ เพื่อให้ตนเองดูสาวและสวย จะได้ดึงดูดใจคู่ครองและทำให้คู่ครองรักพวกเธอเหมือนที่เคยรักในตอนแรก  ในทำนองเดียวกัน ผู้ชายก็เสียสละมากมายเพื่อความสุขในชีวิตสมรสเช่นกัน  บางคนได้รับการบอกกล่าวว่า “คุณเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่มีคนรู้จักดี  ผู้คนแถวนี้รู้จักคุณกันมากมายเกินไป นี่ทำให้คุณเสี่ยงที่จะถูกแจ้งความและจับกุมได้ง่าย ดังนั้นคุณต้องไปจากที่นี่และไปปฏิบัติหน้าที่ของคุณที่อื่น”  จากนั้นเขาก็รู้สึกทุกข์ใจและคิดว่า “แต่ถ้าฉันจากไป นั่นย่อมหมายความว่าชีวิตแต่งงานของฉันจบสิ้นแล้วหรือเปล่า?  ทุกอย่างจะเริ่มพังทลายแล้วหรือ?  ถ้าฉันจากบ้านไป ภรรยาของฉันจะคบหากับคนอื่นหรือเปล่า?  นับแต่นี้ไปพวกเรามีแต่จะแยกทางกันเดินใช่ไหม?  เราสองคนจะไม่มีวันอยู่ด้วยกันอีกแล้วใช่ไหม?”  เขาว้าวุ่นใจเมื่อคิดเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มต่อรองว่า “ผมอยู่ต่อได้ไหม?  ต่อให้ผมกลับบ้านอาทิตย์ละครั้งก็ไม่เป็นไร—ผมต้องดูแลครอบครัวของผม!”  อันที่จริงเขาไม่ได้คิดเรื่องดูแลครอบครัวจริงๆ  เขากลัวว่าภรรยาของเขาจะหนีไปกับคนอื่นและเขาจะไม่มีวันมีความสุขในชีวิตสมรสอีก  หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความกลัว เขาไม่อยากให้ความสุขในชีวิตสมรสของเขาหายสูญไปแบบนี้  ในหัวใจของผู้คนแบบนี้ ความสุขในชีวิตสมรสสำคัญกว่าทุกสิ่ง และถ้าไม่มีสิ่งนี้ พวกเขาย่อมรู้สึกเหมือนตนไร้ดวงจิตอย่างสิ้นเชิง  พวกเขาเชื่อว่า “ความรักคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของการมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุข  เป็นเพราะฉันรักภรรยาของตัวเองและเพราะเธอเองก็รักฉันเท่านั้น พวกเราถึงมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุขและสามารถอยู่กันมาได้นานอย่างนี้  ถ้าฉันต้องสูญเสียความรักครั้งนี้ไปและรักนี้ต้องสิ้นสุดลงเพราะฉันเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง เช่นนั้นก็ย่อมจะหมายความว่าความสุขในชีวิตสมรสของฉันจบสิ้นแล้ว และฉันก็จะไม่สามารถมีความสุขในชีวิตสมรสเช่นนี้ได้อีกใช่ไหม?  ถ้าไม่มีความสุขในชีวิตสมรส จะเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคน?  ชีวิตของภรรยาฉันจะเป็นอย่างไรเมื่อไม่มีความรักของฉัน?  จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันถ้าฉันสูญเสียความรักของภรรยาไป?  การปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและสัมฤทธิ์ภารกิจของมนุษย์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าจะสามารถชดเชยความสูญเสียนี้ได้หรือ?”  พวกเขาไม่รู้ พวกเขาไม่มีคำตอบ และพวกเขาก็ไม่เข้าใจความจริงในแง่นี้  เพราะฉะนั้น เมื่อพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้ผู้ที่ไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสก่อนสิ่งอื่นใด ออกจากบ้านไปยังสถานที่อันห่างไกลเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐและปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาจึงมักจะรู้สึกคับใจ อับจนหนทาง และถึงกับกระวนกระวายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าตนอาจสูญเสียความสุขในชีวิตสมรสไปในไม่ช้า  บางคนละทิ้งหรือไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ของตนเพื่อที่จะประคับประคองความสุขในชีวิตสมรสเอาไว้ และบ้างก็ถึงขั้นไม่ยอมรับการจัดแจงครั้งสำคัญจากพระนิเวศของพระเจ้า  นอกจากนี้ยังมีบางคนที่มักจะพยายามหาทางรู้ว่าคู่สมรสของตนรู้สึกอย่างไรเพื่อที่จะประคับประคองความสุขในชีวิตสมรสของตนไว้  ถ้าคู่สมรสของพวกเขารู้สึกไม่พอใจสักนิดหรือแม้แต่แย้มพรายให้รู้ว่าไม่ยินดีหรือไม่พอใจในความเชื่อของพวกเขา ในเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าที่พวกเขาเลือกเดิน และในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาย่อมเปลี่ยนเส้นทางและยอมอ่อนข้อให้ทันที  การที่จะประคับประคองความสุขในชีวิตสมรสเอาไว้นั้น พวกเขามักจะยอมอ่อนข้อให้คู่สมรสของตน ต่อให้หมายถึงการละทิ้งโอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน ยกเลิกกำหนดการไปชุมนุม การอ่านพระวจนะของพระเจ้า และการเฝ้าเดี่ยวทางฝ่ายวิญญาณเพื่อที่จะแสดงให้คู่สมรสเห็นว่าตนอยู่ตรงนั้น ป้องกันไม่ให้คู่สมรสรู้สึกโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงา และทำให้คู่สมรสรู้สึกถึงความรักที่ตนมีให้ พวกเขายอมทำเช่นนี้มากกว่าที่จะยอมสูญเสียหรือคงอยู่โดยไม่มีความรักจากคู่สมรส  นี่เป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าถ้าตนยอมทิ้งความรักของคู่สมรสเพื่อความเชื่อหรือเพื่อเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าที่ตนเลือกไว้ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมหมายความว่าพวกเขาละทิ้งความสุขในชีวิตสมรสและจะไม่สามารถรู้สึกถึงความสุขในชีวิตสมรสนั้นอีกต่อไป และแล้วพวกเขาก็จะเป็นใครบางคนที่เปล่าเปลี่ยว น่าเวทนา และน่ารันทด  การเป็นคนที่น่ารันทดและน่าเวทนาหมายถึงอะไร?  หมายถึงคนที่ไร้ซึ่งความรักหรือความชื่นชูจากอีกคนหนึ่ง  แม้ผู้คนเหล่านี้จะเข้าใจคำสอนบางอย่างและนัยสำคัญของการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์ และแน่นอน พวกเขาเข้าใจว่าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขาควรปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่เพราะพวกเขาฝากความสุขของตนเองไว้กับคู่สมรส และแน่นอนว่าเพราะพวกเขาทำให้ความสุขของตนเองขึ้นอยู่กับความสุขในชีวิตสมรสแม้จะเข้าใจและรู้ว่าตนควรทำเช่นไรก็ตาม พวกเขาจึงยังคงปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสไม่ได้  พวกเขามองอย่างผิดๆ ว่าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสคือภารกิจที่พวกเขาควรทำให้ลุล่วงในชีวิตนี้ และมองอย่างผิดๆ ว่าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสคือภารกิจที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรไล่ตามไขว่คว้าให้สำเร็จ  นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดหรอกหรือ?  (ใช่)

การไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสมีอะไรผิด?  สอดคล้องกับคำนิยามที่พระเจ้าทรงมีต่อการแต่งงานและสิ่งที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้คู่สมรสทำหรือไม่?  (ไม่)  มีอะไรผิดไป?  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าตรัสไว้ว่าการที่ผู้ชายใช้ชีวิตตัวคนเดียวนั้นไม่ดี ดังนั้นพระองค์จึงทรงสร้างคู่สมรสให้เขา และคู่สมรสนี้ก็อยู่เป็นเพื่อนเขา  นั่นคือคำนิยามที่พระเจ้าทรงมีต่อการแต่งงานไม่ใช่หรือ?  นี่เป็นส่วนหนึ่งของการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสไม่ใช่หรือ?  คนสองคนอยู่เคียงข้างกันและรับผิดชอบกันและกัน—แบบนั้นผิดตรงไหน?”  มีความแตกต่างกันหรือไม่ระหว่างการรับผิดชอบภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน กับการคิดอย่างไม่รอมชอมว่าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสคือภารกิจของคนเรา?  (มี)  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  (พวกเขามองว่าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสคือภารกิจที่สำคัญที่สุดของตน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ การปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้างคือความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา  พวกเขาเข้าใจเป้าหมายที่ควรไล่ตามเสาะหาในชีวิตผิดไป)  มีใครอยากพูดเรื่องนี้อีกหรือไม่?  (เวลาที่ใครบางคนไม่สามารถใช้แนวทางที่ถูกต้องในเรื่องความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พวกเขาควรลุล่วงในชีวิตแต่งงาน พวกเขาจะใช้เวลาและพลังงานของตนไปกับการประคับประคองชีวิตแต่งงานเอาไว้  อย่างไรก็ดี แนวทางที่ถูกต้องสำหรับความรับผิดชอบในชีวิตแต่งงาน ก่อนอื่นเลยก็คือการไม่ลืมว่าตนคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และควรใช้เวลาส่วนใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ของตนและสัมฤทธิ์สิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ทำ รวมทั้งภารกิจที่พระเจ้าประทานแก่ตนด้วย  จากนั้นจึงควรลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ตนมีภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน  สองสิ่งนี้แตกต่างกัน)  การไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสใช่เป้าหมายที่ผู้คนควรไล่ตามไขว่คว้าในชีวิตหลังจากแต่งงานแล้วหรือไม่?  นี่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการแต่งงานที่พระเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้หรือไม่?  (ไม่มี)  พระเจ้าประทานการแต่งงานแก่มนุษย์ พระองค์ประทานสภาพแวดล้อมที่เจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของชายหรือหญิงภายในกรอบของชีวิตแต่งงานแก่เจ้า  พระเจ้าประทานการแต่งงานแก่เจ้า ซึ่งหมายความว่าพระองค์ประทานคู่ครองแก่เจ้า  คู่ครองคนนี้จะอยู่เคียงข้างเจ้าจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตนี้ และจะอยู่เคียงข้างเจ้าไปทุกช่วงชีวิต  คำว่า “อยู่เคียงข้าง” นี้เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าคู่ของเจ้าจะช่วยเหลือและดูแลเจ้า มีส่วนร่วมในทุกสิ่งที่เจ้าพบเจอในชีวิต  นั่นคือ ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญสิ่งต่างๆ มากมายเพียงใด เจ้าก็จะไม่เผชิญสิ่งเหล่านั้นตามลำพังอีกต่อไป แต่เจ้าทั้งสองจะเผชิญสิ่งเหล่านั้นด้วยกัน  การใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นและผ่อนคลายลงบ้าง โดยที่คนทั้งสองต่างทำสิ่งที่พวกเขาควรทำ แต่ละฝ่ายนำทักษะและข้อดีของตนมาใช้ และเริ่มต้นชีวิตของพวกตน  เรื่องราวก็ง่ายเช่นนั้นเอง  อย่างไรก็ดี พระเจ้าไม่เคยมีข้อกำหนดแก่ผู้คนว่า “เรามอบการแต่งงานให้แก่เจ้า  ตอนนี้เจ้าแต่งงานแล้ว ดังนั้นก็แน่นอนว่าเจ้าต้องรักคู่ของเจ้าจวบจนวาระสุดท้ายและป้อยอพวกเขาอยู่เสมอ—นี่คือภารกิจของเจ้า”  พระเจ้าประทานการแต่งงานแก่เจ้า ประทานคู่ครอง และสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ต่างออกไปแก่เจ้า  ภายในสภาพแวดล้อมและสถานการณ์เช่นนี้ของการดำรงชีวิต พระองค์ทรงให้คู่ครองของเจ้ามีส่วนร่วมและเผชิญหน้าทุกสิ่งพร้อมกับเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระขึ้นและง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ทรงเปิดโอกาสให้เจ้าซาบซึ้งในคุณค่าของช่วงชีวิตที่ต่างออกไป  อย่างไรก็ดี พระเจ้าไม่ได้ทรงขายเจ้าให้แก่ชีวิตแต่งงาน  ที่กล่าวเช่นนี้เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าชีวิตของเจ้า ชะตากรรมของเจ้า ภารกิจ เส้นทางชีวิตที่เจ้าเดิน ทิศทางชีวิตที่เจ้าเลือก และความเชื่ออย่างที่เจ้ามีนั้น พระเจ้าไม่ได้เอาทั้งหมดนั้นไปยื่นให้คู่ครองของเจ้าตัดสินใจแทนเจ้า  พระองค์ไม่เคยตรัสว่าประเภทของชะตากรรม การไล่ตามเสาะหา เส้นทางชีวิต และทัศนคติที่ผู้หญิงมีต่อชีวิตจำต้องให้สามีของเธอตัดสินใจ หรือว่าประเภทของชะตากรรม การไล่ตามเสาะหา ทัศนคติต่อชีวิต และชีวิตที่ผู้ชายมี ก็ต้องให้ภรรยาของเขาเป็นคนตัดสินให้  พระเจ้าไม่เคยตรัสอะไรทำนองนี้และไม่ได้ทรงลิขิตสิ่งต่างๆ ไว้แบบนี้  เจ้าดูเอาเถิด พระเจ้าตรัสอะไรแบบนี้ตอนที่พระองค์บัญญัติการแต่งงานแก่มวลมนุษย์หรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าไม่เคยตรัสว่าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสคือภารกิจในชีวิตของหญิงหรือชาย และไม่เคยตรัสว่าเจ้าต้องดำรงรักษาความสุขในชีวิตแต่งงานของเจ้าให้ดีเพื่อให้ภารกิจในชีวิตของเจ้าสำเร็จลุล่วงและเพื่อให้เจ้าประสบความสำเร็จในการประพฤติปฏิบัติตนอย่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—พระเจ้าไม่เคยตรัสอะไรเช่นนี้  และพระเจ้าก็ไม่ได้ตรัสเช่นกันว่า “เจ้าต้องเลือกเส้นทางชีวิตภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน  การที่เจ้าจะได้รับความรอดหรือไม่ย่อมจะตัดสินจากชีวิตแต่งงานของเจ้าและโดยคู่สมรสของเจ้า  คู่สมรสของเจ้าจะเป็นผู้กำหนดทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิตและชะตากรรมของเจ้า”  พระเจ้าเคยตรัสอะไรแบบนี้หรือไม่?  (ไม่เคย)  พระเจ้าทรงสถาปนาการแต่งงานให้เจ้าและประทานคู่ครองแก่เจ้า  เจ้าเข้าสู่การแต่งงาน แต่อัตลักษณ์และสถานะของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง—เจ้ายังคงเป็นเจ้า  ถ้าเจ้าเป็นหญิง เช่นนั้นแล้วเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าก็ยังคงเป็นหญิง ถ้าเจ้าเป็นชาย เช่นนั้นแล้วเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าก็ยังคงเป็นชาย  แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายมีเหมือนกัน นั่นคือไม่ว่าเจ้าจะเป็นชายหรือหญิง เบื้องหน้าพระผู้สร้าง พวกเจ้าล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน พวกเจ้ายอมผ่อนปรนให้กันและรักกัน ช่วยเหลือและเกื้อหนุนกัน นี่คือการลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเจ้า  อย่างไรก็ดี เมื่ออยู่เบื้องหน้าพระเจ้า ความรับผิดชอบที่เจ้าควรลุล่วงและภารกิจที่เจ้าควรสัมฤทธิ์ไม่อาจแทนที่ด้วยความรับผิดชอบที่เจ้าลุล่วงเพื่อคู่ครองของตนได้  เพราะฉะนั้น เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อคู่ครอง กับหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติเบื้องหน้าพระเจ้า สิ่งที่เจ้าควรเลือกก็คือการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ใช่การลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อคู่ครอง  นี่คือทิศทางและจุดหมายที่เจ้าควรเลือก และแน่นอนว่าเป็นภารกิจที่เจ้าควรสัมฤทธิ์ด้วย  อย่างไรก็ดี บางคนทำให้การไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสหรือการลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อคู่ครอง คอยเอาใจใส่ ดูแล และรักคู่ครอง กลายเป็นภารกิจในชีวิตของตน ซึ่งผิด และมองว่าคู่ครองของตนคือท้องฟ้า คือโชคชะตาของตน—เช่นนี้ย่อมผิด  โชคชะตาของเจ้าอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า ไม่ได้ถูกคู่ครองของเจ้ากำกับดูแล  การแต่งงานไม่อาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเจ้าได้ และไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงกำกับดูแลโชคชะตาของเจ้าอยู่  ส่วนเรื่องประเภทของทัศนคติที่เจ้าพึงมีต่อชีวิตและเส้นทางที่เจ้าพึงเดินนั้น เจ้าควรแสวงหาสิ่งเหล่านี้ในพระวจนะซึ่งเป็นหลักคำสอนและข้อกำหนดของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคู่ครองของเจ้าและไม่ใช่เรื่องที่จะให้คู่ครองตัดสินใจ  นอกจากการลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเขามีต่อเจ้าแล้ว พวกเขาไม่ควรควบคุมโชคชะตาของเจ้าหรือเรียกร้องให้เจ้าเปลี่ยนทิศทางชีวิตของตน หรือตัดสินว่าเจ้าควรเดินเส้นทางใด หรือตัดสินใจว่าเจ้าควรมีทัศนคติเช่นไรต่อชีวิต และยิ่งไม่ควรตีกรอบหรือขัดขวางไม่ให้เจ้าไล่ตามเสาะหาความรอด  ในส่วนของการแต่งงานนั้น สิ่งที่ผู้คนสามารถทำได้มีแต่ยอมรับการแต่งงานจากพระเจ้าและยึดปฏิบัติตามคำนิยามของการแต่งงานที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้ให้แก่มนุษย์เท่านั้น โดยทั้งสามีและภรรยาต่างก็ลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่มีต่อกัน  สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ก็คือการตัดสินโชคชะตา ชีวิตก่อนเก่า ชีวิตในปัจจุบัน หรือชีวิตหน้าของคู่ครองของตน นับประสาอะไรกับชั่วนิรันดร์กาล  มีแต่พระผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถตัดสินบั้นปลายของเจ้า โชคชะตา และเส้นทางที่เจ้าเดินได้  เพราะฉะนั้น ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ว่าบทบาทของเจ้าจะเป็นภรรยาหรือสามี ความสุขที่เจ้าควรไล่ตามเสาะหาในชีวิตนี้ย่อมเกิดจากการที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและสัมฤทธิ์ภารกิจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ไม่ได้เกิดจากชีวิตแต่งงาน และยิ่งไม่ได้เกิดจากการที่เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบของภรรยาหรือสามีภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน  แน่นอนว่าเส้นทางที่เจ้าเลือกเดินและทัศนคติต่อชีวิตที่เจ้าเลือกใช้นั้นไม่ควรตั้งอยู่บนความสุขในชีวิตสมรส และยิ่งไม่ควรให้คู่สมรสคนใดคนหนึ่งเป็นคนกำหนด—นี่คือสิ่งที่เจ้าพึงเข้าใจ  ดังนั้น เมื่อเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน ผู้คนที่เอาแต่ไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสและมองว่าการไล่ตามไขว่คว้านี้เป็นภารกิจของตน ควรปล่อยมือจากความคิดและทัศนะเช่นนี้ เปลี่ยนวิธีปฏิบัติ และเปลี่ยนทิศทางที่ตนมุ่งหน้าไปในชีวิต  เจ้ากำลังเข้าสู่การแต่งงานและการใช้ชีวิตร่วมกับคู่ครองของตนภายใต้การสถาปนาของพระเจ้าเท่านั้นเอง และการลุล่วงความรับผิดชอบของภรรยาหรือสามียามที่ใช้ชีวิตร่วมกันย่อมเพียงพอแล้ว  ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าจะเดินเส้นทางใดและมีทัศนคติเช่นใดต่อชีวิตนั้น คู่ครองของเจ้าไม่มีภาระผูกพันและไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจในเรื่องเหล่านี้  แม้เจ้าจะแต่งงานและมีคู่สมรสแล้ว แต่ผู้ที่เรียกกันว่าคู่สมรสของเจ้าก็ทำได้เพียงถือครองความหมายของการเป็นคู่สมรสที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ให้เท่านั้น  พวกเขาทำได้เพียงลุล่วงความรับผิดชอบของคู่สมรสคนหนึ่ง และเจ้าก็สามารถเลือกและตัดสินใจในเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับคู่สมรสของเจ้าได้ทุกเรื่อง  แน่นอนว่าที่ยิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ สิ่งที่เจ้าเลือกและการตัดสินใจของเจ้าไม่ควรอิงตามความชอบส่วนตัวและความเข้าใจของเจ้าเอง แต่อิงพระวจนะของพระเจ้า  พวกเจ้าเข้าใจสามัคคีธรรมในเรื่องนี้หรือไม่?  (เข้าใจ)  เพราะฉะนั้น การกระทำของคู่ครองคนใดก็ตามที่ไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสทุกวิถีทางหรือเสียสละทุกอย่างภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน ย่อมจะไม่เป็นที่จดจำของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะลุล่วงภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อคู่ครองดีเพียงใดหรือสมบูรณ์แบบเพียงใด หรือใช้ชีวิตได้สมกับความคาดหวังของคู่ครองของเจ้ามากเพียงใด—กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าเจ้าจะดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสได้ดีหรือสมบูรณ์แบบเพียงใด หรือความสุขของเจ้าจะน่าอิจฉาเพียงใด—ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้านั้นลุล่วงภารกิจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแล้ว หรือพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน  บางทีเจ้าอาจจะเป็นภรรยาหรือสามีที่เพียบพร้อม แต่นั่นก็ยังคงอยู่ในกรอบของชีวิตแต่งงาน  พระผู้สร้างทรงประเมินว่าเจ้าเป็นคนแบบใดโดยดูว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างไรเมื่ออยู่เบื้องหน้าพระองค์ เจ้าเดินบนเส้นทางแบบใด ทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิตเป็นเช่นไร เจ้าไล่ตามเสาะหาอะไรในชีวิต และเจ้าสัมฤทธิ์ภารกิจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างไร  พระเจ้าย่อมประเมินเส้นทางที่เจ้าเดินในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและบั้นปลายในอนาคตของเจ้าตามสิ่งเหล่านี้  พระองค์ไม่ได้ประเมินโดยดูว่าเจ้าลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตนในฐานะภรรยาหรือสามีอย่างไร หรือความรักที่เจ้ามีให้คู่ครองนั้นสร้างความยินดีให้แก่พระองค์หรือไม่  สำหรับเรื่องการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสไม่ใช่ภารกิจของเจ้านั้น วันนี้เราให้รายละเอียดเหล่านี้เป็นการปิดท้ายหัวข้อดังกล่าว  เจ้าจงดูเถิด ถ้าเราไม่สามัคคีธรรมถึงปัญหาเหล่านี้ ผู้คนก็อาจจะคิดว่าพวกเขาพอจะเข้าใจและรู้เรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เมื่อเกิดเรื่องบางอย่างกับพวกเขาเข้าจริงๆ พวกเขากลับติดอยู่กับปัญหาลวงโลกมากมายและถูกมันขวางเอาไว้ พวกเขาอยากลุล่วงภาระผูกพันของภรรยาหรือสามี ขณะเดียวกันก็อยากทำสิ่งที่มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำนั้นให้ดีอีกด้วย  อย่างไรก็ตาม เมื่อสองอย่างนี้ขัดแย้งหรือตรงข้ามกัน และขัดขวางกัน พวกเขาก็ไม่ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าตนควรจัดการอย่างไร  หลังการสามัคคีธรรมเรื่องนี้ในลักษณะนี้แล้ว คราวนี้ชัดเจนหรือยัง?  (ชัดเจนแล้ว)  มีความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ผู้คนเชื่อว่าดีงามและถูกต้องอยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนทางหนึ่ง กับสิ่งที่เป็นบวก ถูกต้อง และดีงามตามความจริงอีกทางหนึ่ง  เมื่ออธิบายความแตกต่างนี้ให้ชัดแจ้ง เรื่องราวก็ย่อมชัดเจน  สิ่งที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นบวกและดีงามนั้นมักจะเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความรู้สึกต่างๆ ของมนุษย์ และไม่เชื่อมโยงกับความจริง  คำว่า “ไม่เชื่อมโยง” นี้เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง  ถ้าเจ้ามองว่าสิ่งที่คลาดเคลื่อนและสิ่งที่ไม่ใช่ความจริงคือสิ่งที่เป็นบวกและเป็นความจริง ทำตามและยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้อย่างแข็งทื่อ เชื่อไปว่าสิ่งเหล่านี้คือความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถเดินบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้ และเจ้าจะลงเอยด้วยการอยู่ห่างไกลจากความจริง  แล้วนั่นเป็นความรับผิดชอบของใคร?

หัวข้อที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปก็คือ ผู้คนควรปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรส และการลุล่วงแต่เพียงความรับผิดชอบของตนภายในกรอบของชีวิตแต่งงานย่อมเพียงพอแล้ว  พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสจบแล้ว ดังนั้น คราวนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมอีกประเด็นหนึ่งคือ พวกเจ้าไม่ใช่ทาสของชีวิตแต่งงาน  นี่เป็นประเด็นที่พวกเราควรสามัคคีธรรม  หลังจากแต่งงานแล้ว บางคนเชื่อว่าอย่างไร?  “ตอนนี้ชีวิตของฉันถูกกำหนดให้เป็นแบบนี้แล้ว  ฉันถูกลิขิตให้ใช้ชีวิตกับคนคนนี้ไปชั่วชีวิต  พ่อแม่และผู้อาวุโสในครอบครัวไม่ใช่คนที่ฉันจะพึ่งพาได้ตลอดชีวิต เพื่อนๆ ของฉันก็ไม่ใช่  ดังนั้นใครคือคนที่ฉันจะพึ่งพาได้ตลอดชีวิต?  คนที่ฉันแต่งงานด้วยคือคนที่ฉันจะพึ่งพาได้ชั่วชีวิต”  ภายใต้การกระตุ้นเตือนของความคิดแบบนี้ ผู้คนมากมายย่อมมองว่าการแต่งงานสำคัญมาก เชื่อไปว่าทันทีที่แต่งงาน พวกเขาย่อมจะมีชีวิตที่มั่นคง มีที่พักพิงให้หลบภัย และมีคนให้บอกความในใจ  ผู้หญิงย่อมกล่าวว่า “ด้วยการแต่งงาน ฉันจึงมีอ้อมแขนที่แข็งแกร่งให้พึ่งพา”  ฝ่ายชายก็กล่าวว่า “ด้วยการแต่งงาน ฉันจึงมีบ้านที่สงบสุข ไม่เคว้งคว้างอีกต่อไป แค่คิดเรื่องนี้ก็ทำให้ฉันมีความสุข  ดูคนโสดรอบตัวฉันสิ  ผู้หญิงตะลอนไปเรื่อยๆ ทั้งวัน ไม่มีใครให้พึ่งพิง ไม่มีบ้านที่มั่นคง และไม่มีไหล่ให้ซบหน้าร้องไห้ ส่วนผู้ชายก็ไม่มีบ้านที่อบอุ่น  พวกเขาช่างน่าสงสาร!”  ดังนั้น เมื่อพวกเขานึกถึงความสุขในชีวิตสมรสของตน พวกเขาจึงคิดว่ามันเต็มอิ่มและน่าพอใจทีเดียว  นอกจากรู้สึกพอใจแล้ว พวกเขายังรู้สึกว่าตนควรทำบางสิ่งให้กับชีวิตแต่งงานและบ้านของตน  เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเขาแต่งงาน บางคนจึงเตรียมตัวอุทิศทุกสิ่งที่ตนสามารถทำได้ให้แก่ชีวิตแต่งงาน พวกเขาเตรียมที่จะพากเพียร ดิ้นรน และพยายามให้หนักเพื่อชีวิตแต่งงานของตน  บ้างก็ขวนขวายหาเงินและทนทุกข์กัน และแน่นอนว่ายิ่งฝากความสุขในชีวิตของตนไว้กับคู่ครองมากขึ้นอีก  พวกเขาเชื่อว่าการที่พวกเขาจะมีความสุขและเบิกบานในชีวิตหรือไม่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับว่าคู่ของตนเป็นเช่นไร เป็นคนดีหรือไม่ บุคลิกและความสนใจของคู่ครองตรงกับของพวกเขาหรือไม่ คู่ของพวกเขาเป็นคนที่สามารถหาเลี้ยงและดูแลครอบครัวได้หรือไม่ เป็นคนที่จะสามารถดูแลให้พวกเขามีปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อชีวิตได้อย่างแน่นอนในอนาคต และมอบครอบครัวที่มีความสุข มั่นคง และวิเศษให้แก่พวกเขาได้หรือไม่ และเป็นคนที่สามารถชูใจพวกเขาในยามที่เผชิญความเจ็บปวด ความทุกข์ร้อน ความล้มเหลว หรือความยุ่งยากบางอย่างได้หรือไม่  และเพื่อที่จะพิสูจน์ยืนยันเรื่องเหล่านี้ พวกเขาจึงให้ความสนใจคู่ครองของตนเป็นพิเศษเวลาใช้ชีวิตร่วมกัน  พวกเขาเฝ้าสังเกตและบันทึกความคิดอ่าน ทัศนะ วาจา  พฤติกรรม และทุกความเคลื่อนไหวของคู่ครองด้วยความเอาใจใส่และสนใจเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนด้วย  พวกเขาจดจำความคิด ทัศนะ คำพูด และพฤติกรรมทั้งหมดที่คู่ของตนเผยให้เห็นในชีวิตเอาไว้อย่างละเอียด เพื่อให้พวกตนสามารถเข้าใจคู่ครองได้ดีขึ้น  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็หวังให้คู่ครองของตนเข้าใจตนดีขึ้นด้วย พวกเขาปล่อยให้คู่ครองเข้ามาอยู่ในหัวใจของตน และปล่อยให้ตนเองเข้าไปอยู่ในหัวใจของคู่ครอง เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างกวดขันกันได้มากขึ้น หรือเพื่อให้ตนเองเป็นคนแรกที่ปรากฏตัวต่อหน้าคู่ครองเมื่อใดก็ตามที่มีบางสิ่งเกิดขึ้น เป็นคนแรกที่ช่วยเหลือคู่ครอง คนแรกที่ลุกขึ้นมาเกื้อหนุนคู่ครอง ให้กำลังใจคู่ครอง และเป็นแรงสนับสนุนที่หนักแน่นมั่นคง  ในภาวะความเป็นอยู่แบบนี้ สามีและภรรยาแทบจะไม่พยายามแยกแยะว่าคู่ของตนเป็นคนเช่นไร ใช้ชีวิตตามความรู้สึกของตนเพื่อคู่ครองทุกอย่าง และใช้ความรู้สึกของตนดูแลคู่ครอง ผ่อนปรนให้พวกเขา รับมือข้อเสีย ข้อบกพร่อง และการไล่ตามไขว่คว้าของพวกเขาด้วยความรู้สึกของตนทั้งสิ้น จนถึงขั้นตอบสนองทุกสิ่งที่คู่ครองของตนต้องการ  ตัวอย่างเช่น สามีของหญิงคนหนึ่งกล่าวว่า “คุณชุมนุมนานเกินไปแล้ว  ไปร่วมชุมนุมครึ่งชั่วโมงก็พอ จากนั้นก็กลับมาบ้าน”  เธอก็ตอบว่า “ฉันจะพยายามให้ดีที่สุด”  แน่นอนว่าครั้งถัดมาเธอย่อมไปชุมนุมอยู่ครึ่งชั่วโมง แล้วจากนั้นก็กลับบ้าน และคราวนี้สามีของเธอก็บอกว่า “ต้องอย่างนี้สิ  คราวหน้าแค่ไปให้เห็นหน้าแล้วก็กลับมาก็พอ”  เธอก็ตอบว่า “อ้อ คุณคิดถึงฉันมากขนาดนั้นเชียว!  อย่างนั้นก็ได้ ฉันจะพยายามให้ดีที่สุด”  แน่นอนว่าเมื่อไปชุมนุมในครั้งต่อมา เธอก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง ผ่านไประมาณสิบนาที เธอก็กลับมาบ้าน  สามีของเธอพอใจและมีความสุขมาก เขากล่าวว่า “นี่ยิ่งดีกว่าเดิม!”  ถ้าเขาอยากให้เธอไปทางทิศตะวันออก เธอย่อมไม่กล้าไปทางทิศตะวันตก ถ้าเขาอยากให้เธอหัวเราะ เธอย่อมไม่กล้าร้องไห้  เขาเห็นเธออ่านพระวจนะของพระเจ้าและฟังเพลงนมัสการ เขาเกลียดที่เห็นดังนั้นและรู้สึกขัดเคือง จึงกล่าวว่า “การอ่านถ้อยคำเหล่านั้นและร้องเพลงเหล่านั้นตลอดเวลามีประโยชน์อะไร?  คุณแค่ไม่อ่านถ้อยคำเหล่านั้นหรือร้องเพลงเหล่านั้นตอนที่ฉันอยู่บ้านไม่ได้หรือ?”  เธอก็ตอบว่า “ได้สิ ได้ ฉันจะไม่อ่านอีกแล้ว”  เธอไม่กล้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังเพลงนมัสการอีกต่อไป  แล้วเพราะข้อเรียกร้องจากสามี เธอจึงเข้าใจในที่สุดว่าเขาไม่ชอบที่เธอเชื่อในพระเจ้าหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นเธอจึงคอยอยู่เป็นเพื่อนเขาเวลาเขาอยู่บ้าน ดูโทรทัศน์ด้วยกัน กินอาหาร คุยเล่น และแม้กระทั่งฟังเขาระบายเรื่องคับข้องใจต่างๆ  เธอจะทำทุกสิ่งเพื่อเขา ตราบใดที่นั่นทำให้เขามีความสุข  เธอเชื่อว่าทั้งหมดนี้คือความรับผิดชอบที่คู่สมรสพึงลุล่วง  แล้วเมื่อใดกันที่เธออ่านพระวจนะของพระเจ้า?  เธอรอให้สามีออกไปข้างนอก จากนั้นก็ล็อกประตูตามหลังและรีบลงมืออ่าน  เมื่อเธอได้ยินเสียงคนที่ประตู เธอก็รีบเก็บหนังสือ และกลัวมากเสียจนไม่กล้าอ่านอีกต่อไป  แล้วพอเปิดประตู เธอก็เห็นว่าสามียังไม่กลับมา—เป็นการเข้าใจผิดไปเอง เธอจึงอ่านหนังสือต่อ  ระหว่างที่อ่านไปเรื่อยๆ นั้น เธอก็รู้สึกใจหายใจคว่ำ เกร็งและหวาดกลัว คิดไปว่า “ถ้าเกิดเขากลับมาบ้านจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น?  ตอนนี้ฉันไม่ควรอ่านอีกแล้ว  ฉันจะโทรหาเขาและถามว่าเขาอยู่ที่ไหน จะกลับมาเมื่อไร?”  ด้วยเหตุนี้เธอจึงโทรหาเขา และเขาก็บอกว่า “วันนี้งานยุ่งนิดหน่อย ดังนั้นฉันอาจจะถึงบ้านตอนบ่ายสามหรือสี่โมงไปแล้ว”  นี่ทำให้เธอสงบลง แต่จิตใจของเธอจะนิ่งสงบพอให้เธออ่านพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ได้ จิตใจของเธอถูกรบกวนไปแล้ว  เธอจึงรีบอธิษฐานเบื้องหน้าพระเจ้า แล้วเธอกล่าวว่าอย่างไร?  เธอกล่าวหรือไม่ว่าการเชื่อในพระเจ้าของเธอไร้ซึ่งความเชื่อ เธอกลัวสามีของตัวเองและไม่สามารถทำจิตใจให้สงบนิ่งเพื่อที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้?  เธอรู้สึกว่าเธอพูดเรื่องเหล่านี้ไม่ออก ดังนั้นเธอจึงไม่มีอะไรที่จะบอกพระเจ้า  แต่แล้วเธอก็หลับตาและประสานมือเข้าด้วยกัน  เธอสงบลงและไม่รู้สึกลุกลี้ลุกลนมากนัก ดังนั้นเธอจึงไปอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่พระวจนะก็ไม่เข้าหัว  เธอจึงคิดว่า “ตอนนี้ฉันอ่านถึงไหนแล้ว?  ฉันไตร่ตรองไปถึงไหนแล้ว?  ฉันลืมไปเลยว่าตัวเองคิดอะไรอยู่?”  ยิ่งคิดเรื่องนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดและอึดอัด จึงคิดว่า “วันนี้ฉันจะไม่อ่านแล้ว  ถ้าฉันพลาดการเฝ้าเดี่ยวฝ่ายวิญญาณคราวนี้สักครั้งย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”  พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?  ชีวิตเป็นไปด้วยดีสำหรับเธอหรือไม่?  (ไม่)  นี่คือความทุกข์ในชีวิตสมรสหรือความสุขในชีวิตสมรส?  (ความทุกข์)  ถึงตอนนี้ คนโสดบางคนก็อาจจะพูดว่า “ดังนั้นคุณก็กระโจนเข้ากองไฟไปแล้วใช่ไหม?  การแต่งงานไม่มีอะไรดีเลยจริงไหม?  ดูสิว่าชีวิตของฉันยอดเยี่ยมเพียงใด ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องของใครอื่น และไม่มีใครมาหยุดยั้งไม่ให้ฉันเข้าชุมนุมและทำหน้าที่ของตนเองในเวลาที่ฉันอยากทำ”  และเพื่อที่จะให้คู่ครองของเจ้ารู้สึกพอใจในตัวเจ้า และยอมให้เจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือเข้าชุมนุมเป็นนบางโอกาส เจ้าจึงลุกแต่เช้ามืดมาทำอาหารเช้าทุกวัน จัดบ้าน ทำความสะอาด ให้ข้าวไก่ เลี้ยงอาหารสุนัข และทำงานสารพัดอย่างที่เหน็ดเหนื่อย—แม้กระทั่งงานที่ปกติแล้วผู้ชายเขาทำกัน  และเพื่อที่จะทำให้สามีของตนพอใจ เจ้ายอมทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนหญิงรับใช้ผู้ชรา  ก่อนที่เขาจะถึงบ้าน เจ้าก็ขัดรองเท้าหนังให้เขาและจัดเตรียมรองเท้าแตะเอาไว้ให้ พอเขากลับมาบ้านแล้ว เจ้าก็รีบปัดฝุ่นให้เขา ช่วยเขาถอดเสื้อโค้ตและแขวนให้ พลางถามว่า “วันนี้ร้อนมาก เธอร้อนหรือเปล่า?  หิวน้ำไหม?  วันนี้อยากกินอะไร?  จะกินอาหารรสเปรี้ยวหรือว่ารสเผ็ด?  อยากเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือเปล่า?  ถอดเสื้อผ้าชุดนั้นมา ฉันจะเอาไปซักให้”  เจ้าเป็นเหมือนหญิงรับใช้ผู้ชราหรือทาส ทำเกินขอบเขตความรับผิดชอบที่เจ้าควรลุล่วงภายในกรอบของชีวิตแต่งงานไปแล้ว  เจ้าพร้อมทำทุกอย่างที่สามีของเจ้าต้องการ และมองว่าเขาเป็นเจ้านายของเจ้า  ในครอบครัวแบบนี้ย่อมมีความแตกต่างทางสถานะระหว่างคู่สมรสทั้งสองอย่างชัดเจนคือ ฝ่ายหนึ่งเป็นทาส อีกฝ่ายเป็นนาย ฝ่ายหนึ่งอ่อนน้อมและถ่อมตัว อีกฝ่ายดูดุและมีอำนาจ ฝ่ายหนึ่งพินอบพิเทา อีกฝ่ายก็พองโตเพราะความโอหัง  เห็นได้ชัดว่าสถานะของคนทั้งคู่ภายในกรอบของชีวิตแต่งงานไม่เท่าเทียมกัน  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  ทาสคนนี้ด้อยค่าตัวเองมิใช่หรือ?  (ใช่)  คนเป็นทาสด้อยค่าตัวเธอเอง  เจ้าไม่ทำตามความรับผิดชอบในการแต่งงานที่พระเจ้าทรงสถาปนาให้แก่มวลมนุษย์ และทำเกินเลยไปมาก  สามีของเจ้าไม่ลุล่วงความรับผิดชอบและไม่ทำอะไร กระนั้นเจ้าก็ยังจะรอรับใช้คู่สมรสอยู่อย่างนี้ นบนอบอำนาจของเขา เต็มใจเป็นทาสและหญิงรับใช้ชราที่คอยรับใช้และทำทุกสิ่งให้เขา—เจ้าเป็นคนแบบไหนกัน?  แท้จริงแล้วใครคือองค์เจ้านายของเจ้ากันแน่?  ทำไมเจ้าถึงไม่ปฏิบัติต่อพระเจ้าแบบนี้บ้าง?  พระเจ้าทรงลิขิตให้คู่ครองของเจ้าหาเลี้ยงชีวิตของเจ้า นี่คือสิ่งที่เขาควรทำ เจ้าไม่ได้ติดค้างอะไรเขาแต่อย่างใด  เจ้าทำสิ่งที่เจ้าพึงทำ ลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าพึงลุล่วง—แล้วเขาทำหรือไม่?  เขาทำสิ่งที่เขาพึงทำหรือไม่?  ในชีวิตแต่งงาน ไม่ใช่ว่าฝ่ายใดน่าเกรงขามก็เป็นเจ้านาย และฝ่ายใดที่ขยันและทำได้มากที่สุดก็ควรเป็นทาส  ในชีวิตสมรส ทั้งสองฝ่ายควรลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อกันและอยู่เคียงข้างกัน  ทั้งสองฝ่ายมีความรับผิดชอบต่อกัน และทั้งคู่ก็มีภาระผูกพันให้ลุล่วงและมีสิ่งที่ต้องทำภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน  เจ้าควรทำตามบทบาทของเจ้า ไม่ว่าบทบาทของเจ้าจะเป็นอะไร เจ้าก็ควรทำสิ่งที่เจ้าพึงทำในบทบาทนั้น  ถ้าเจ้าไม่ทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  กล่าวเป็นภาษาชาวบ้านก็คือเจ้านั้นไร้ค่า  แล้วถ้าใครสักคนไร้ค่า แต่เจ้ายังคงพร้อมทำทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการได้และเต็มใจที่จะเป็นทาสของพวกเขาได้ นั่นย่อมโง่เขลาอย่างสิ้นเชิงและทำให้เจ้าไม่มีค่าอะไร  การเชื่อในพระเจ้ามีอะไรผิด?  การที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าเป็นการทำชั่วกระนั้นหรือ?  การอ่านพระวจนะของพระเจ้ามีปัญหากระนั้นหรือ?  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เที่ยงธรรมและมีเกียรติทั้งสิ้น  เวลาทางการข่มเหงผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า นี่แสดงให้เห็นสิ่งใด?  แสดงให้เห็นว่ามวลมนุษย์ชั่วนัก เป็นตัวแทนของกองกำลังอันชั่วและซาตาน  ไม่ใช่ตัวแทนของความจริงหรือพระเจ้า  เพราะฉะนั้น การเชื่อในพระเจ้าจึงไม่ได้หมายความว่าเจ้าอยู่ใต้ผู้อื่นหรือด้อยกว่าผู้อื่น  ในทางตรงกันข้าม การที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าทำให้เจ้าประเสริฐกว่าผู้คนทางโลก การที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงทำให้เจ้ามีเกียรติในสายพระเนตรของพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงมองว่าเจ้านั้นคือแก้วตาดวงใจของพระองค์  กระนั้นเจ้ากลับด้อยค่าตนเองและใจกว้างยอมเป็นทาสของคู่สมรสเพียงเพื่อที่จะประจบเอาใจอีกฝ่ายในชีวิตสมรสของเจ้า  ทำไมเจ้าถึงไม่ทำแบบนี้เวลาปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง?  ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้ไม่ได้?  นี่คือการแสดงออกถึงความต่ำต้อยของมนุษย์มิใช่หรือ?  (ใช่)

พระเจ้าทรงบัญญัติการแต่งงานให้แก่เจ้า เพียงเพื่อให้เจ้าเรียนรู้ที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตนเอง เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับอีกคนอย่างมีสันติสุขและแบ่งปันชีวิตกัน มีประสบการณ์ว่าชีวิตที่เจ้ามีส่วนร่วมกับคู่ครองนั้นเป็นเช่นไรและควรรับมือเรื่องทั้งหมดที่พวกเจ้าพบเจอด้วยกันอย่างไร ทำให้ชีวิตของเจ้ารุ่มรวยขึ้นและยิ่งแตกต่างออกไป  อย่างไรก็ดี พระเจ้าไม่ได้ขายเจ้าให้กับชีวิตแต่งงาน และแน่นอนว่าพระองค์ไม่ได้ขายเจ้าให้ไปเป็นทาสของคู่ครองของเจ้า  เจ้าไม่ใช่ทาสของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ใช่นายทาสของเจ้าเช่นกัน  พวกเจ้าทั้งสองเท่าเทียมกัน  เจ้าเพียงแต่มีความรับผิดชอบในฐานะภรรยาหรือสามีต่อคู่ครองของเจ้า และเมื่อเจ้าลุล่วงความรับผิดชอบเหล่านี้ พระเจ้าก็จะทรงมองว่าเจ้านั้นเป็นภรรยาหรือสามีที่ดีพอ  ไม่มีอะไรที่คู่ครองของเจ้ามี แล้วเจ้าไม่มี และเจ้าก็ไม่ได้แย่กว่าคู่ครองของเจ้า  ถ้าเจ้าเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตน เข้าชุมนุมบ่อยๆ อ่านพลางอธิษฐานตามพระวจนะของพระเจ้า และมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงยอมรับและเป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ เป็นชีวิตที่ปกติซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี  ไม่มีอะไรน่าละอายในเรื่องนี้ และเจ้าก็ไม่ต้องรู้สึกเหมือนติดค้างคู่ครองเพราะเจ้าใช้ชีวิตเช่นนี้—เจ้าไม่ได้ติดค้างพวกเขา  ถ้าเจ้าต้องการ เจ้าก็มีภาระผูกพันที่จะเป็นคำพยานถึงพระราชกิจของพระเจ้าให้คู่ครองของเจ้าฟัง  อย่างไรก็ดี ถ้าพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และไม่เดินบนเส้นทางเดียวกันกับเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นและไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องบอกหรืออธิบายอะไร หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อหรือเส้นทางที่เจ้าเดินอยู่แก่พวกเขา และพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้  พวกเขามีความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่จะต้องเกื้อหนุน ให้กำลังใจ และปกป้องเจ้า  ถ้าพวกเขาทำดังนี้ไม่ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่มีความเป็นมนุษย์  เพราะเหตุใด?  เพราะเจ้าเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นเพราะเจ้าเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องนั่นเอง ครอบครัวและคู่ครองของเจ้าจึงได้รับพรและได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าไปพร้อมกับเจ้า  จึงถูกต้องแล้วที่คู่ครองจะนึกขอบคุณในเรื่องนี้ ไม่ใช่เลือกปฏิบัติหรือรังแกเจ้าเพราะความเชื่อของเจ้า หรือเพราะเจ้ากำลังถูกข่มเหง หรือเชื่อไปว่าเจ้าควรทำงานบ้านและเรื่องอื่นๆ ให้มากขึ้น หรือเชื่อว่ามีบางสิ่งที่เจ้าติดค้างพวกเขาอยู่  เจ้าไม่ได้ติดค้างพวกเขาทั้งในทางอารมณ์ ทางวิญญาณ หรือในทางใด—พวกเขาเสียอีกที่ติดค้างเจ้า  เป็นเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า พวกเขาจึงได้ชื่นชมพระคุณและพรจากพระเจ้าเพิ่มขึ้น และได้รับสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษ  ที่บอกว่า “พวกเขาได้รับสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษ” เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าคนแบบนั้นไม่สมควรได้รับสิ่งเหล่านี้และไม่ควรได้สิ่งเหล่านี้ไว้  ทำไมพวกเขาถึงไม่ควรได้ไว้?  เพราะพวกเขาไม่ติดตามพระเจ้าหรือยอมรับพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระคุณที่พวกเขาได้ชื่นชมจึงมาจากความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า  พวกเขาได้ประโยชน์ไปพร้อมกับเจ้า และชื่นชมพรร่วมกับเจ้า จึงเป็นการถูกต้องแล้วที่พวกเขาจะนึกขอบคุณเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เพราะพวกเขาได้ชื่นชมพรที่เพิ่มขึ้นมานี้ รวมทั้งพระคุณนี้ พวกเขาจึงควรลุล่วงความรับผิดชอบของตนให้มากขึ้นและสนับสนุนการที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าให้มากขึ้น  เป็นเพราะคนคนหนึ่งในบ้านเชื่อในพระเจ้า ธุรกิจครอบครัวของบางคนจึงดำเนินไปด้วยดีและประสบความสำเร็จอย่างมาก  พวกเขาทำเงินได้มาก ครอบครัวก็มีชีวิตที่ดี พวกเขาร่ำรวยทางวัตถุสิ่งของ และคุณภาพชีวิตของพวกเขาก็ดีขึ้น—ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  ครอบครัวของเจ้าจะสามารถได้ทั้งหมดนี้ไว้หรือไม่ถ้าพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า?  บางคนบอกว่า “พระเจ้าทรงลิขิตให้พวกเขามีชะตากรรมที่ร่ำรวย”  ถูกต้องที่พระเจ้าทรงลิขิตเรื่องนี้ แต่ถ้าครอบครัวของพวกเขาไม่มีคนที่เชื่อในพระเจ้าคนหนึ่งคนนั้น ธุรกิจของพวกเขาย่อมจะไม่ได้รับพระคุณและพรมากขนาดนั้น  เป็นเพราะพวกเขามีคนที่เชื่อในพระเจ้าอยู่หนึ่งคน และเพราะคนที่เชื่อในพระเจ้านั้นมีความเชื่อที่แท้จริง ไล่ตามเสาะหาด้วยใจจริง และเต็มใจที่จะอุทิศตนและสละตนเพื่อพระเจ้า คู่สมรสที่ไม่เชื่อของพวกเขาจึงพลอยได้รับพระคุณและพรเป็นพิเศษ  พระเจ้าทรงทำเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ได้ง่ายมาก  ผู้ไม่เชื่อกลับไม่พอใจอยู่ดี ถึงกับข่มและรังแกผู้ที่เชื่อในพระเจ้า  การข่มเหงที่ผู้เชื่อได้รับจากประเทศและสังคมนี้เป็นความวิบัติสำหรับพวกเขาแล้ว แต่สมาชิกครอบครัวของพวกเขากลับยิ่งซ้ำเติมและเพิ่มความกดดัน  ในรูปการณ์เช่นนี้ ถ้าเจ้ายังคงเชื่อว่าเจ้าทำให้พวกเขาผิดหวังและเต็มใจที่จะเป็นทาสของชีวิตแต่งงานของเจ้า เช่นนั้นแล้ว นั่นก็เป็นสิ่งที่เจ้าไม่ควรทำโดยแท้  ไม่เป็นไรถ้าพวกเขาไม่สนับสนุนการที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า ไม่เป็นไรเช่นกันถ้าพวกเขาไม่ปกป้องการที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า  พวกเขาเป็นอิสระที่จะไม่ทำสิ่งเหล่านี้  อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่ควรปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงทาสเพราะเหตุที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า  เจ้าไม่ใช่ทาส เจ้าคือมนุษย์ เป็นคนที่มีศักดิ์ศรีและเที่ยงธรรม  อย่างน้อยที่สุดเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และไม่ใช่ทาสของใคร  ถ้าเจ้าต้องเป็นทาส เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นได้แต่ทาสของความจริง ทาสของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ทาสของคนคนใด และยิ่งไม่สามารถให้คู่สมรสเป็นนายทาสของเจ้า  ในแง่ของสัมพันธภาพทางเนื้อหนัง นอกจากพ่อแม่ของเจ้าแล้ว คนที่ใกล้ชิดเจ้าที่สุดในโลกนี้ก็คือคู่สมรสของเจ้า  กระนั้น เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้า พวกเขาจึงทำเหมือนเจ้าเป็นศัตรู เล่นงาน และข่มเหงเจ้า  พวกเขาคัดค้านการเข้าชุมนุมของเจ้า ถ้าพวกเขาได้ฟังเรื่องนินทาว่าร้าย พวกเขาย่อมกลับบ้านมาดุว่าและรังแกเจ้า  แม้ในยามที่เจ้าอธิษฐานหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ไปกระทบกระเทือนความเป็นปกติในชีวิตของพวกเขาแต่อย่างใด พวกเขาก็จะดุว่าและต่อต้านเจ้าอยู่ดี และถึงกับทุบตีเจ้า  จงบอกเราเถิดว่านี่เป็นเรื่องแบบใด?  พวกเขาคือปีศาจมิใช่หรือ?  นี่คือคนที่ใกล้ชิดเจ้าที่สุดกระนั้นหรือ?  คนแบบนี้สมควรแล้วหรือที่เจ้าจะลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อพวกเขา?  (ไม่)  ไม่ พวกเขาไม่คู่ควร!  แล้วบางคนที่อยู่ในชีวิตแต่งงานแบบนี้ก็ยังคงพร้อมจะทำทุกอย่างตามความต้องการของคู่ครอง เต็มใจที่จะเสียสละทุกสิ่ง เสียสละเวลาที่ควรใช้ปฏิบัติหน้าที่ของตน โอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน แม้กระทั่งโอกาสที่จะได้รับความรอด  พวกเขาไม่ควรทำเรื่องเหล่านี้ และอย่างน้อยที่สุด พวกเขาควรทิ้งแนวคิดแบบนี้ไปเสีย  นอกจากติดค้างพระเจ้าแล้ว ผู้คนไม่ได้ติดค้างอะไรใคร  เจ้าไม่ได้ติดค้างพ่อแม่ของเจ้า สามี ภรรยา ลูกๆ ของเจ้า และยิ่งไม่ได้ติดค้างเพื่อนฝูงของเจ้า—เจ้าไม่ได้ติดค้างอะไรใครเลย  ทุกสิ่งที่ผู้คนมีล้วนถือกำเนิดในพระเจ้า รวมถึงการแต่งงานของพวกเขาด้วย  ถ้าพวกเราต้องพูดคุยกันเรื่องการติดค้าง ผู้คนก็ติดค้างพระเจ้าเท่านั้น  แน่นอนว่าพระเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้เจ้าจ่ายคืนพระองค์ พระองค์เพียงแต่ขอให้เจ้าเดินไปตามเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง  เจตนารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าในเรื่องการแต่งงานก็คือให้เจ้าไม่สูญเสียศักดิ์ศรีและความซื่อตรงเพราะชีวิตแต่งงาน ไม่ใช่กลายเป็นคนที่ไม่มีเส้นทางที่ถูกต้องให้ไล่ตามเสาะหา ไม่มีทัศนคติต่อชีวิตที่เป็นของตนเองหรือทิศทางของตนเองที่จะไล่ตามเสาะหา และไม่กลายเป็นคนที่ถึงกับยอมทิ้งการไล่ตามเสาะหาความจริง ทิ้งโอกาสที่จะได้รับความรอด และทิ้งพระบัญชาหรือภารกิจที่พระเจ้าประทานแก่ตน แล้วเต็มใจกลายเป็นทาสของชีวิตแต่งงานแทน  ถ้าเจ้าจัดการชีวิตแต่งงานของตนเองแบบนี้ เช่นนั้นแล้วสู้ให้เจ้าไม่แต่งงานเลยยังจะดีเสียกว่า และชีวิตโสดย่อมจะเหมาะกับเจ้ามากกว่า  ถ้าไม่ว่าจะทำอย่างไร เจ้าก็ไม่สามารถเป็นอิสระจากสถานการณ์หรือโครงสร้างแบบนี้ของชีวิตสมรสได้ เช่นนั้นแล้วหากเจ้าถอนตัวจากชีวิตแต่งงานอย่างสิ้นเชิงก็ย่อมจะดีที่สุด และจะดีเสียกว่าหากเจ้าใช้ชีวิตอย่างคนที่เป็นไทแก่ตน  ดังที่เรากล่าวไปแล้วว่าพระประสงค์ของพระเจ้าในการสถาปนาการแต่งงานก็เพื่อให้เจ้าสามารถมีคู่ครอง ฝ่าชีวิตที่มีขึ้นมีลงและผ่านพ้นทุกช่วงชีวิตไปพร้อมกับคู่ของเจ้า เพื่อให้เจ้าไม่โดดเดี่ยวหรือเปลี่ยวเหงาในแต่ละช่วงของชีวิต มีคนคู่เคียง คนที่เจ้าบอกเล่าความคิดอ่านในส่วนลึกที่สุดให้ฟัง คนที่จะชูใจและดูแลเจ้า  อย่างไรก็ดี พระเจ้าไม่ได้ทรงใช้การแต่งงานมาพันธนาการหรือมัดมือมัดเท้าเจ้า เพื่อให้เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเองและกลายเป็นทาสของชีวิตสมรส  พระเจ้าทรงบัญญัติการแต่งงานให้แก่เจ้าและจัดเตรียมคู่ครองไว้ให้เจ้า พระองค์ไม่ได้หานายทาสให้เจ้า หรืออยากให้เจ้าถูกชีวิตคู่ตีกรอบจนไร้ซึ่งการไล่ตามเสาะหาของตนเอง ไม่มีเป้าหมายในชีวิตของตน ไม่มีทิศทางที่ถูกต้องสำหรับการไล่ตามเสาะหา และไม่มีสิทธิ์ที่จะแสวงหาความรอด  ตรงกันข้าม ไม่ว่าเจ้าจะแต่งงานหรือไม่ สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าก็คือสิทธิ์ที่จะไล่ตามเสาะหาเป้าหมายชีวิตของเจ้าเอง สร้างทัศนคติที่ถูกต้องต่อชีวิต และแสวงหาความรอด  ไม่มีใครสามารถเอาสิทธิ์นี้ไปจากเจ้า และไม่มีใครสามารถแทรกแซงสิทธิ์นี้ได้ รวมถึงคู่สมรสของเจ้าด้วย  ดังนั้นพวกเจ้าคนใดทำตัวเป็นทาสในชีวิตสมรสของตน ก็ควรละมือจากวิถีชีวิตแบบนี้เสีย ละทิ้งแนวคิดหรือแนวทางปฏิบัติที่อยากเป็นทาสในชีวิตสมรสของตน และทิ้งสถานการณ์เช่นนั้นไว้เบื้องหลัง  จงอย่าให้คู่ครองตีกรอบเจ้า และอย่าให้ภาวะอารมณ์ ทัศนะ วาจา ท่าที หรือแม้กระทั่งการกระทำของคู่ครองส่งผล จำกัด ควบคุม หรือพันธนาการเจ้าเอาไว้  จงทิ้งทั้งหมดนั้นไว้เบื้องหลัง และพึ่งพาพระเจ้าอย่างกล้าแกร่งและห้าวหาญ  เมื่อเจ้าอยากอ่านพระวจนะของพระเจ้า เมื่อนั้นก็จงอ่านพระวจนะของพระเจ้า เข้าชุมนุมเมื่อเจ้าควรเข้าชุมนุม เพราะเจ้าคือมนุษย์ ไม่ใช่สุนัข และเจ้าไม่จำเป็นต้องให้ใครมากำกับพฤติกรรมของเจ้าหรือกวดขันหรือควบคุมชีวิตของเจ้า  เจ้ามีสิทธิ์ที่จะเลือกเป้าหมายและทิศทางชีวิตของเจ้าเอง—พระเจ้าประทานสิทธิ์นี้แก่เจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าต้องการให้เจ้าทำงานบางอย่าง เมื่อพระนิเวศของพระเจ้ามอบหน้าที่แก่เจ้า ตามหน้าที่แล้วเจ้าก็ควรทิ้งทุกสิ่งโดยไม่เลือกหรืออิดออด ปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าควรทำ และทำภารกิจที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าให้เสร็จสมบูรณ์  ถ้างานนี้ต้องให้เจ้าจากบ้านไปสิบวันหรือหนึ่งเดือน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ทำพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำนั้นให้เสร็จสมบูรณ์ และทำให้พระเจ้าพอพระทัย—นี่คือท่าที ความมุ่งมั่น และแรงปรารถนาที่ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงควรมี  ถ้างานนี้ต้องให้เจ้าห่างบ้านสักหกเดือน หนึ่งปี หรืออย่างไม่มีกำหนด เช่นนั้นแล้วโดยหน้าที่ เจ้าก็ควรทิ้งครอบครัวและคู่สมรสของเจ้าไปทำภารกิจที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าให้เสร็จสมบูรณ์  เพราะนี่คือช่วงเวลาที่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและหน้าที่ของเจ้าต้องการเจ้ามากที่สุด ไม่ใช่เวลาที่ชีวิตแต่งงานและคู่ครองของเจ้าต้องการเจ้ามากที่สุด  เพราะฉะนั้น เจ้าต้องไม่คิดว่าถ้าเจ้าแต่งงานแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเป็นทาสของชีวิตแต่งงาน หรือเป็นเรื่องเสื่อมเสียถ้าชีวิตแต่งงานของเจ้าสิ้นสุดหรือพังทลาย  ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องเสื่อมเสีย และเจ้าต้องมองรูปการณ์ที่ชีวิตสมรสสิ้นสุดว่าเป็นอย่างไรและพระเจ้าทรงจัดเตรียมอะไรไว้ให้  ถ้านั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตและกำกับดูแล ไม่ได้เกิดจากมนุษย์ เช่นนั้นแล้วก็ย่อมเป็นเรื่องที่เปี่ยมสง่าราศี เป็นเกียรติอย่างหนึ่ง เพราะเจ้าย่อมวางมือและสิ้นสุดชีวิตแต่งงานของเจ้าด้วยเหตุอันสมควรแล้ว เจ้าเสาะแสวงที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยและสัมฤทธิ์ภารกิจของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะทรงจดจำและยอมรับ และเป็นสาเหตุที่เรากล่าวว่าเป็นเรื่องที่เปี่ยมสง่าราศี ไม่ใช่เรื่องเสื่อมเสีย!  แม้ชีวิตแต่งงานของบางคนจะสิ้นสุดเพราะคู่ครองทอดทิ้งและทรยศพวกเขา—พูดภาษาชาวบ้านก็คือ พวกเขาถูกทิ้งและถูกไล่ออกมา—นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย  ตรงกันข้าม เจ้าควรพูดว่า “นี่เป็นเกียรติแก่ฉัน  เพราะอะไร?  เพราะชีวิตแต่งงานของฉันมาถึงจุดนี้และจบลงแบบนี้ก็ด้วยการลิขิตและกำกับดูแลของพระเจ้า  การทรงนำของพระเจ้านั่นเองที่พาให้ฉันทำเช่นนี้  ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงบันดาลให้เขาไล่ฉันออกมาอยู่ข้างถนนอย่างนี้ ฉันก็คงจะไม่มีความเชื่อและความกล้าอย่างแท้จริงที่จะก้าวเดินแบบนี้  ขอขอบคุณอธิปไตยและการนำของพระเจ้า!  ขอพระสิริทั้งปวงจงมีแด่พระเจ้า!”  นี่คือเกียรติอย่างหนึ่ง  ในชีวิตแต่งงานทุกรูปแบบ เจ้าสามารถมีประสบการณ์เช่นนี้ได้ เจ้าสามารถเลือกที่จะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องภายใต้การนำของพระเจ้า สัมฤทธิ์ภารกิจที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า ทิ้งคู่สมรสไว้ด้วยหลักเหตุผลเช่นนี้และด้วยแรงจูงใจแบบนี้ แล้วก็สิ้นสุดชีวิตแต่งงานของเจ้าเสีย นี่คือสิ่งที่ควรยินดี  อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่คู่ควรแก่การยินดีปรีดา นั่นก็คือเจ้าไม่ใช่ทาสของชีวิตแต่งงานของเจ้าอีกต่อไป  เจ้าหนีพ้นการเป็นทาสของชีวิตแต่งงานแล้ว และเจ้าก็ไม่ต้องวิตกกังวล รู้สึกเจ็บปวด และดิ้นรนเพราะเจ้าเป็นทาสของชีวิตแต่งงานของเจ้าและอยากหลุดเป็นอิสระแต่ก็ทำไม่ได้อีกต่อไป  นับแต่นั้นเป็นต้นไปเจ้าย่อมหนีพ้นแล้ว เจ้าเป็นอิสระ และนั่นเป็นเรื่องที่ดีงาม  เมื่อกล่าวเช่นนี้ เราก็หวังว่าผู้ที่ชีวิตแต่งงานเคยจบลงอย่างเจ็บปวดและยังคงตกอยู่ใต้เงื้อมเงาของเรื่องนี้ จะสามารถปล่อยมือจากชีวิตแต่งงานของตนได้อย่างแท้จริง ปล่อยมือจากเงื้อมเงาที่มันทิ้งไว้ให้เจ้า ปล่อยมือจากความเกลียดชัง ความโกรธ และแม้กระทั่งความเจ็บปวดที่มันหลงเหลือไว้ให้เจ้า และไม่รู้สึกเจ็บปวดและโกรธเคืองเพราะว่าความเสียสละและความอุตสาหะทั้งมวลที่เจ้าทำให้คู่ครองนั้นได้รับการตอบแทนเป็นการนอกใจ การทรยศ และคำหยามหยันจากพวกเขาอีกต่อไป  เราหวังให้พวกเจ้าทิ้งทั้งหมดนั้นไว้เบื้องหลัง และยินดีปรีดาว่าเจ้าไม่ใช่ทาสของชีวิตแต่งงานของเจ้าอีกต่อไป ยินดีปรีดาว่าเจ้าไม่ต้องทำอะไรหรือเสียสละโดยไม่จำเป็นให้กับนายทาสในชีวิตแต่งงานของเจ้าอีกต่อไป แต่กลับเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องภายใต้การทรงนำและอธิปไตยของพระเจ้าแทน ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่เสียใจและไม่มีอะไรให้วิตกกังวลอีกต่อไป  แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็นห่วง กังวล หรือกระวนกระวายถึงคู่สมรสของเจ้า หรือคิดหมกมุ่นถึงเขาอยู่ในใจอีกแล้ว ทุกสิ่งย่อมจะดีงามนับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าไม่จำเป็นต้องหารือเรื่องส่วนตัวกับคู่สมรสของเจ้าอีกแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องถูกพวกเขาตีกรอบอีกแล้ว  เจ้าเพียงแต่ต้องแสวงหาความจริง มองหาหลักธรรมและหลักการในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  เจ้าเป็นอิสระแล้วและไม่ใช่ทาสของชีวิตแต่งงานของเจ้าอีกต่อไป  โชคดีที่เจ้าทิ้งฝันร้ายของชีวิตแต่งงานไว้เบื้องหลังแล้ว เจ้ามาอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว ไม่ถูกชีวิตแต่งงานควบคุมไว้อีกต่อไป มีเวลามากขึ้นที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า เข้าชุมนุม และอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ  เจ้าเป็นอิสระอย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องทำตัวแบบใดแบบหนึ่งตามอารมณ์ของใครอื่นอีกต่อไป เจ้าไม่จำเป็นต้องฟังใครบางคนส่งเสียงเหน็บแนมดังๆ อีกต่อไป เจ้าไม่ต้องคำนึงถึงอารมณ์หรือความรู้สึกของใครอีกแล้ว—เจ้ากำลังใช้ชีวิตโสด เยี่ยมไปเลย!  เจ้าไม่ใช่ทาสอีกต่อไป เจ้าสามารถออกมาจากสภาพแวดล้อมที่เจ้าเคยมีความรับผิดชอบต่างๆ ให้ลุล่วงเพื่อผู้คนทั้งหลาย เจ้าสามารถเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง และปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—การได้ทำแต่สิ่งนี้เท่านั้นช่างวิเศษนัก!  เจ้าไม่ต้องมีปากเสียง วิตกกังวล ยุ่งยากใจ ยอมผ่อนปรน สู้ทน ทุกข์ใจ หรือโกรธเคืองอะไรในชีวิตแต่งงานของเจ้าอีกแล้ว เจ้าไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าชิงชังและสถานการณ์ที่ซับซ้อนนั้นอีกแล้ว  นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ดี และทุกสิ่งก็กำลังดำเนินไปด้วยดี  เมื่อใครบางคนมาอยู่เบื้องหน้าพระผู้สร้าง พวกเขาย่อมกระทำการและพูดจาตามพระวจนะของพระเจ้าและตามหลักธรรมความจริง  ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่มีข้อพิพาทอันยุ่งเหยิงเหล่านั้นอีกต่อไป และหัวใจของเจ้าก็สงบลงได้  ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องดี แต่น่าเสียดายที่บางคนยังคงเต็มใจที่จะเป็นทาสอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าชิงชังเช่นนั้นของชีวิตสมรส และพวกเขาก็ไม่ยอมหนีออกมาหรือทิ้งมันไว้ข้างหลัง  ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เราก็ยังคงหวังว่า ต่อให้ผู้คนเหล่านี้ไม่ยอมสิ้นสุดชีวิตแต่งงานของตน และไม่ยอมมีชีวิตอยู่โดยทิ้งชีวิตแต่งงานที่พังทลายไว้เบื้องหลัง อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ควรเป็นทาสของชีวิตสมรสของตน  ไม่ว่าคู่สมรสของเจ้าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถพิเศษหรือมีความเป็นมนุษย์เช่นไร สถานะของพวกเขาจะสูงส่งเพียงใด พวกเขาจะมีทักษะและความสามารถสักเท่าใด พวกเขาก็ไม่ใช่นายของเจ้าอยู่ดี  พวกเขาคือคู่สมรสของเจ้า เป็นคนที่เสมอกับเจ้า  พวกเขาไม่ได้ประเสริฐไปกว่าเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้ต่ำต้อยกว่าพวกเขา  ถ้าพวกเขาไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตนในชีวิตสมรสได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีสิทธิ์ว่ากล่าวพวกเขา และเป็นภาระผูกพันของเจ้าที่จะบริหารจัดการและอบรมสั่งสอนพวกเขา  จงอย่าด้อยค่าตัวเองและปล่อยให้ตัวเองถูกหลอกใช้เพราะเจ้านึกว่าพวกเขาน่าเกรงขามเกินไปหรือกลัวว่าพวกเขาจะเบื่อเจ้า ปฏิเสธหรือทอดทิ้งเจ้า หรือเพราะเจ้าอยากจะรักษาความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสให้ดำเนินต่อไป เต็มใจรอมชอมให้ตัวเจ้าเป็นทาสของพวกเขาและเป็นทาสของชีวิตแต่งงานของตนเอง—นี่ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม  ภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน คนเราไม่ควรประพฤติตนเช่นนี้ หรือลุล่วงความรับผิดชอบกันแบบนี้  พระเจ้าไม่ได้ขอให้เจ้าเป็นทาส หรือขอให้เจ้าเป็นนาย  พระองค์ทรงขอให้เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบของตนเท่านั้น และนั่นคือสาเหตุที่เจ้าต้องเข้าใจสิ่งที่เจ้าพึงรับผิดชอบในชีวิตแต่งงานให้ถูกต้อง และเจ้าควรเข้าใจบทบาทของเจ้าในชีวิตแต่งงานให้ถูกต้องและมองบทบาทนี้อย่างชัดเจนด้วย  ถ้าบทบาทของเจ้าบิดเบี้ยวและไม่สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์หรือสอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสถาปนาเอาไว้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรตรวจสอบตนเองและตรึกตรองว่าจะออกจากสภาวะนี้อย่างไร  ถ้าสามารถว่ากล่าวคู่สมรสของเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วก็จงว่ากล่าว ถ้าการว่ากล่าวคู่สมรสจะพาให้เจ้าทนทุกข์จากผลที่ไม่พึงปรารถนา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรเลือกทำสิ่งที่ฉลาดขึ้นและเหมาะสมกว่าเดิม  ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ถ้าเจ้าอยากไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความรอด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องละทิ้งแนวคิดหรือแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเป็นทาสของชีวิตแต่งงานของตนเสีย  เจ้าไม่ใช่ทาสของชีวิตแต่งงาน แต่เจ้าควรทิ้งบทบาทนั้นไว้เบื้องหลัง เป็นมนุษย์ที่แท้จริง เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง และพร้อมกันนั้นก็ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไปด้วย  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันเรื่อง “ผู้คนไม่ควรเป็นทาสของชีวิตแต่งงาน” บอกกล่าวผู้คนให้ทิ้งทัศนะที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานเสีย  กล่าวคือ บางคนนึกว่าพวกเขาต้องทำให้ชีวิตแต่งงานดำเนินต่อไปและทำทุกอย่างที่ตนสามารถทำได้เพื่อรักษาชีวิตแต่งงานไม่ให้พังทลายและสิ้นสุด  และเพื่อที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายนี้ พวกเขาจึงประนีประนอม  พวกเขายอมเสียสละการไล่ตามเสาะหาที่เป็นบวกของตนไปมากมายเพื่อทำให้ชีวิตแต่งงานดำเนินต่อไป และกลายเป็นทาสของชีวิตแต่งงานด้วยความเต็มใจ  ผู้คนเหล่านี้เข้าใจการคงอยู่และความหมายของชีวิตแต่งงานผิดไป ท่าทีที่พวกเขามีต่อชีวิตแต่งงานจึงผิด เพราะฉะนั้นพวกเขาควรทิ้งความคิดและทัศนะที่ผิดเช่นนั้นเสีย ออกห่างจากสภาวะที่บิดเบี้ยวแบบนี้ของชีวิตสมรส มีท่าทีที่ถูกต้องต่อชีวิตสมรส และจัดการปัญหาเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในชีวิตสมรสอย่างถูกต้อง—นี่เป็นประเด็นที่สามที่ผู้คนควรละทิ้งในเรื่องของชีวิตแต่งงาน  อันดับถัดไป พวกเราจะสามัคคีธรรมประเด็นที่สี่เกี่ยวกับชีวิตแต่งงาน นั่นคือ ชีวิตแต่งงานไม่ใช่บั้นปลายของเจ้า  นี่ก็เป็นประเด็นหนึ่งเช่นกัน  ในเมื่อเป็นหัวข้อที่พวกเราสามัคคีธรรม นี่จึงเป็นประเด็นที่แสดงถึงสถานการณ์ปัจจุบันในชีวิตแต่งงานของผู้คน  มีอยู่ในสภาวการณ์ทุกรูปแบบของชีวิตสมรส  นี่ยังเป็นท่าทีอย่างหนึ่งที่ผู้คนมีต่อชีวิตแต่งงานหรือเป็นสภาวะอย่างหนึ่งของการดำรงชีวิตอีกด้วย ดังนั้นพวกเราจึงควรสามัคคีธรรมประเด็นนี้และอธิบายให้กระจ่าง  หลังจากแต่งงานแล้ว ผู้หญิงบางคนนึกว่าตนพบชายที่ใช่  พวกเธอเชื่อว่าจะสามารถพึ่งพาและไว้ใจผู้ชายคนนี้ได้ เขาจะเป็นแรงสนับสนุนที่หนักแน่นมั่นคงบนเส้นทางชีวิตของพวกเธอได้ และเมื่อพวกเธอจำเป็นต้องพึ่งพาเขา เขาย่อมจะมีความสามารถและเป็นที่พึ่งพาได้  ผู้ชายบางคนก็คิดว่าตนพบหญิงที่ใช่  เธอสวยและใจกว้าง อ่อนโยนและคำนึงถึงผู้อื่น มีคุณธรรมและความเข้าอกเข้าใจ  เมื่อมีผู้หญิงคนนี้ พวกเขาก็เชื่อว่าตนจะมีชีวิตที่มั่นคง มีบ้านที่สงบสุขและอบอุ่น  เมื่อผู้คนแต่งงาน พวกเขาล้วนคิดว่าตนนั้นโชคดีและมีความสุข  ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเมื่อตนแต่งงาน คู่ครองก็คือสัญลักษณ์ของชีวิตในอนาคตที่ตนเลือกเอาไว้ และแน่นอนว่าชีวิตแต่งงานของพวกเขาก็คือบั้นปลายที่พวกเขาแสวงหาในชีวิตนี้  นี่หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าทุกคนที่แต่งงานย่อมเชื่อว่าชีวิตแต่งงานคือบั้นปลายของพวกเขา และเมื่อพวกเขามีชีวิตสมรสดังกล่าว ชีวิตแต่งงานย่อมเป็นบั้นปลายของพวกเขา  คำว่า “บั้นปลาย” หมายถึงอะไร?  หมายถึงที่ยืน  พวกเขาฝากความสำเร็จในภายภาคหน้า อนาคต และความสุขของตนไว้กับชีวิตแต่งงานและคู่ครองที่เข้าสู่การแต่งงานด้วยกัน ดังนั้น หลังจากแต่งงาน พวกเขาจึงนึกว่าตนจะไม่มีวันต้องการอะไรอีกหรือวิตกกังวลเรื่องอะไรอีกต่อไป  นี่เป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าตนพบบั้นปลายของตนแล้ว และบั้นปลายนี้ก็รวมทั้งคู่ครองและบ้านที่พวกเขาสร้างร่วมกับคนคนนั้น  ในเมื่อพวกเขาพบบั้นปลายของตนแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาอะไรหรือมุ่งหวังอะไรอีกต่อไป  แน่นอนว่าจากท่าทีและทัศนะที่ผู้คนมีต่อชีวิตแต่งงาน ก็ย่อมเป็นผลดีต่อความมั่นคงของโครงสร้างของชีวิตสมรส  อย่างน้อยที่สุด ถ้าชายหรือหญิงมีคู่ครองที่แน่นอนซึ่งเป็นเพศตรงข้ามเป็นคู่สมรสของตน พวกเขาย่อมจะไม่มีเรื่องนอกใจหรือมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศตรงข้ามมากไปกว่านั้น  นี่ย่อมเป็นผลดีต่อคู่สมรสส่วนใหญ่  อย่างน้อยที่สุด หัวใจของพวกเขาก็ลงหลักปักฐานในส่วนของความสัมพันธ์ พวกเขาจะต้องใจในเพศตรงข้ามที่เป็นคู่ครองตามปกติเพียงคนเดียว และคู่สมรสปกติที่เป็นเพศตรงข้ามย่อมจะให้ความมั่นคงแก่พวกเขาในสภาพความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน—นี่เป็นเรื่องที่ดี  อย่างไรก็ตาม เมื่อใครบางคนเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน ถ้าพวกเขามองว่าชีวิตแต่งงานคือบั้นปลายของตน พลางมองว่าทุกสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา ทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิต เส้นทางที่พวกเขาเดินในชีวิต และสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขาทำ เป็นเรื่องไม่จำเป็นที่เอาไว้ทำยามว่าง เช่นนั้นแล้ว การให้ชีวิตแต่งงานเป็นบั้นปลายของตนโดยไม่ทันสังเกตรู้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี แต่กลับจะกลายเป็นอุปสรรค เป็นเครื่องสะดุดและกีดขวางการไล่ตามเสาะหาเป้าหมายที่ถูกต้องในชีวิต การมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อชีวิต และแม้กระทั่งการไล่ตามเสาะหาความรอดของตน  นี่เป็นเพราะเมื่อคนที่แต่งงานนึกไปว่าคู่ครองของตนคือบั้นปลายและโชคชะตาของตนในชีวิตนี้ พวกเขาย่อมเชื่อว่าภาวะอารมณ์อันหลากหลายของคู่ครอง ความสุขและความทุกข์ของคู่ครองเชื่อมโยงอยู่กับตน และความสุข ความทุกข์ รวมทั้งภาวะอารมณ์อันหลากหลายของตนเองก็เชื่อมโยงอยู่กับคู่ครอง ดังนั้น ชีวิต ความตาย ความสุข และความเบิกบานของคู่ครองย่อมเชื่อมโยงกับชีวิต ความตาย ความสุข และความเบิกบานของตนเอง  ด้วยเหตุนี้ แนวคิดของผู้คนเหล่านี้ที่ว่าชีวิตแต่งงานคือบั้นปลายชีวิตของตน จึงทำให้การไล่ตามเสาะหาเส้นทางชีวิต สิ่งที่เป็นบวก และความรอดของพวกเขา เชื่องช้าและนิ่งมาก  ถ้าคู่สมรสของคนที่ติดตามพระเจ้าเลือกที่จะไม่ติดตามพระเจ้าและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ทางโลกแทน เช่นนั้นแล้ว คนที่ติดตามพระเจ้าย่อมจะได้รับผลกระทบที่ร้ายแรงจากคู่ครองของตน  ตัวอย่างเช่น ผู้เป็นภรรยาเชื่อว่าเธอควรเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง ควรออกจากงานมาปฏิบัติหน้าที่ของเธอ สละและอุทิศตนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ส่วนสามีของเธอก็คิดว่า “การเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องดี แต่พวกเรายังคงต้องใช้ชีวิต  ถ้าเราทั้งคู่ปฏิบัติหน้าที่ของตน แล้วใครจะหาเงิน?  ใครจะจุนเจือทางบ้าน?  ใครจะประคับประคองชีวิตของคนในครอบครัวเอาไว้?”  ด้วยทัศนะเช่นนี้ เขาจึงเลือกที่จะทำงานและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ทางโลกต่อไป เขาไม่ได้กล่าวว่าเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และเขาก็ไม่ได้กล่าวเช่นกันว่าเขาต่อต้านการเชื่อ  ภรรยาที่เชื่อในพระเจ้าก็คิดอยู่เสมอว่า “สามีของฉันคือบั้นปลายของฉัน  เฉพาะเมื่อเขาสบายดีเท่านั้น ฉันจึงจะสบายดี  ถ้าเขารู้สึกไม่ดี เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะรู้สึกดี  เราสองคนก็เหมือนตั๊กแตนที่ผูกไว้ด้วยเชือกเส้นเดียวกัน  พวกเราร่วมสุขร่วมเศร้า มีชีวิตและตายด้วยกัน  เขาไปที่ไหน ฉันย่อมไปที่นั้น  ตอนนี้พวกเราคิดเห็นไม่ตรงกันเรื่องการเลือกเส้นทาง และเริ่มมีรอยร้าวให้เห็น อย่างนี้พวกเราจะคืนดีกันได้อย่างไร?  ฉันอยากติดตามพระเจ้า แต่เขาไม่สนใจความเชื่อในพระเจ้า  ถ้าเขาไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะก้าวหน้าในความเชื่อของตน และจะไม่รู้สึกอยากติดตามพระเจ้าอีกต่อไป  นี่เป็นเพราะตั้งแต่ต้น ฉันคิดว่าเขาคือท้องฟ้าของฉัน เป็นโชคชะตาของฉัน  ฉันจะไปจากเขาไม่ได้  ถ้าเขาไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่เชื่อกันทั้งคู่ และถ้าเขาเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นพวกเราทั้งคู่ก็จะเชื่อ  ถ้าเขาไม่เชื่อในพระเจ้า ฉันย่อมจะรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรบางอย่าง ราวกับว่าดวงจิตของฉันถูกพรากไป”  เธอรู้สึกกระวนกระวายและกังวลในเรื่องนี้ตลอดเวลา  เธอมักจะอธิษฐาน หวังว่าสามีของเธอจะเชื่อในพระเจ้าได้  แต่ไม่ว่าเธอจะอธิษฐานเช่นไร สามีก็ไม่สะท้านสะเทือนและไม่เชื่อในพระเจ้า  เธอจึงทุกข์ใจ—เธอควรจะทำอย่างไร?  ไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้ ดังนั้นเธอจึงพยายามอย่างที่สุด ถ้าสามีอยู่บ้าน เธอก็จะพาเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า  สามีของเธอก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าและฟังเธออ่านโดยไม่ได้รังเกียจอะไร แต่เขาก็ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะร่วมสามัคคีธรรม  เขาแค่ไม่โต้แย้งเธอเพราะทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน  เมื่อขอให้หัดร้องเพลงนมัสการ เขาก็ทำตามและหัดร้อง หลังจากหัดร้องเพลงนมัสการแล้ว เขาก็ไม่ได้บอกว่าเขาหัดร้องครบทุกเพลงแล้วหรือว่าชอบเพลงเหล่านั้น  เมื่อขอให้เข้าชุมนุม เมื่อใดที่เขาพอจะมีเวลาว่าง เขาก็จะไปชุมนุมกับภรรยา แต่ปกติแล้วเขาจะยุ่งอยู่กับการทำงานและหาเงิน  เขาไม่เคยพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระเจ้า ไม่เคยริเริ่มที่จะขอเข้าชุมนุมหรือปฏิบัติหน้าที่  สรุปแล้ว เขาไม่ได้ยินดียินร้ายกับเรื่องทั้งหมดนี้  เขาไม่ได้ต่อต้านการเชื่อในพระเจ้า แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนเช่นกัน และไม่ได้แสดงให้เห็นว่าตนมีท่าทีเช่นใดในเรื่องดังกล่าว  ฝ่ายภรรยาผู้เชื่อในพระเจ้าก็ให้ความใส่ใจในเรื่องนี้ จดจำเอาไว้ และกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเราแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน เราสองคนเป็นครอบครัวกันแล้ว ถ้าฉันเข้าสู่ราชอาณาจักร เช่นนั้นเขาก็ต้องเข้าด้วย  ถ้าเขาไม่ตามฉันมาในเรื่องความเชื่อ เช่นนั้นเขาก็จะไม่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรหรือได้รับความรอด และเมื่อเป็นอย่างนั้น ฉันก็จะไม่อยากมีชีวิตอยู่เหมือนกัน และต้องการที่จะตาย”  แม้เธอจะยังไม่ตาย แต่ในหัวใจแล้ว เธอรู้สึกกังวล เจ็บปวด และทรมานเพราะเรื่องนี้อยู่เสมอ คิดไปว่า “ถ้าวันหนึ่งความวิบัติมาถึงและเขาตายในความวิบัติ ฉันจะทำอย่างไร?  ตอนนี้มีโรคระบาดใหญ่อย่างนี้  ถ้าเขาติดโรค เช่นนั้นฉันก็จะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป  เขาไม่ได้พูดว่าต่อต้านการที่ฉันเชื่อในพระเจ้า แต่ถ้าวันหนึ่งเขาพูดขึ้นมาจริงๆ ว่าเขาไม่อยากให้ฉันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว ฉันจะทำอย่างไร?”  เธอกังวลว่าเมื่อถึงเวลานั้น เธอจะทำตามสามีของตนและเลือกที่จะไม่เชื่อในพระเจ้า และจะทรยศพระเจ้า  นี่เป็นเพราะในหัวใจของเธอนั้น สามีคือดวงจิตของเธอ เป็นชีวิตของเธอ และยิ่งไปกว่านั้นเขาคือท้องฟ้าของเธอ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ  สามีที่อยู่ในหัวใจของเธอนั้นรักเธออย่างที่สุด และเธอก็คือคนที่รักสามีของเธอมากที่สุด  แต่ตอนนี้เธอกำลังประสบปัญหาว่า ถ้าสามีต่อต้านการที่เธอเชื่อในพระเจ้า และคำอธิษฐานของเธอไม่เป็นผล จะทำอย่างไรต่อไป?  เธอกลัดกลุ้มเรื่องนี้มาก  เมื่อเธอต้องไปปฏิบัติหน้าที่ของตนไกลบ้าน แม้จะอยากปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าเช่นกัน แต่พอได้ยินว่าตนต้องจากบ้านและเดินทางไปไกลเพื่อปฏิบัติหน้าที่ และต้องห่างบ้านไปนาน เธอก็รู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เธอกังวลว่าเมื่อจากบ้านไปแล้ว สามีของเธอจะไม่มีใครคอยดูแล เธอเองก็จะคิดถึงสามีและไม่สามารถเลิกกังวลเรื่องของเขาได้  เธอจะเป็นห่วงเขา ถวิลหา และจะถึงกับรู้สึกว่าเธอไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้หากไม่มีเขาอยู่ข้างกาย เธอจะสูญสิ้นความหวังและทิศทางชีวิต และจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างสุดหัวใจอีกด้วย  คราวนี้ เพียงเธอคิดเรื่องนี้ขึ้นมา หัวใจของเธอก็เจ็บปวดแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกรณีที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นจริง  ดังนั้น เวลาอยู่ในคริสตจักร เธอจึงไม่เคยกล้าขอไปปฏิบัติหน้าที่ของตนในที่แห่งอื่น หรือถ้ามีงานบางอย่างที่ต้องให้ใครบางคนจากไปเป็นเวลานานๆ และค้างแรมนอกบ้าน เธอก็ไม่เคยกล้าเสนอตัวทำงานนั้นหรือกล้าตกลงรับคำขอแบบนั้น  เธอเพียงแต่ทำทุกสิ่งที่เธอสามารถทำได้ ส่งจดหมายให้พี่น้องชายหญิง หรือบางครั้งก็เป็นเจ้าภาพจัดการชุมนุมให้พวกเขาที่บ้านของเธอ แต่เธอไม่เคยกล้าอยู่ห่างจากสามีของตนเต็มวัน  ถ้ามีรูปการณ์พิเศษบางอย่างขึ้นมาจริงๆ และสามีต้องเดินทางไปทำงานหรือห่างบ้านไปไม่กี่วัน เช่นนั้นแล้วก่อนที่จะสามีจะจากไป เธอก็จะร้องไห้อยู่ที่บ้านสักสองหรือสามวัน ร้องไห้จนดวงตาบวมปูดเป็นลูกมะเขือเทศ  ทำไมเธอถึงร้องไห้?  เธอกังวลว่าสามีจะตายเพราะเครื่องบินตกและจะไม่พบแม้แต่ร่างของเขา หากเป็นเช่นนั้น เธอจะทำอย่างไร?  เธอจะมีชีวิตอยู่และผ่านพ้นวันเวลาไปได้อย่างไร?  ท้องฟ้าของเธอจะหายวับ และย่อมจะให้ความรู้สึกเหมือนว่าหัวใจของเธอถูกลักเอาไป  แค่คิดก็ทำให้เธอหวาดหวั่นแล้ว และนั่นคือสาเหตุที่เธอร้องไห้เมื่อคิดขึ้นมา  สามีของเธอยังไม่ทันจากไปด้วยซ้ำ เธอก็ร้องไห้มาสองสามวันแล้ว และยังคงร้องไห้ต่อไปจนกระทั่งเขากลับมา ร้องไห้มากมายจนสามีรำคาญและเปรยว่า “ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรไป?  ฉันยังไม่ตายสักหน่อย แต่เธอกลับร้องไห้  เธอกำลังแช่งให้ฉันตายอยู่หรือเปล่า?”  เขาทำอะไรไม่ได้ และเธอก็เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด พลางพูดว่า “ฉันแค่ไม่อยากให้เธอไปไหน ฉันไม่อยากให้เธออยู่ไกลตา”  เธอเอาชะตากรรมและบั้นปลายของตนเป็นเดิมพันแลกกับสามีที่เธอเข้าสู่ชีวิตแต่งงานด้วย และแม้การทำเช่นนี้จะโง่เขลาหรือไม่รู้จักโต แต่ก็มีผู้คนแบบนี้อยู่ดี  แล้วผู้ชายเป็นเช่นนี้มากกว่าหรือผู้หญิงเป็นมากกว่า?  (ผู้หญิง)  ดูเหมือนผู้หญิงจะเป็นเช่นนี้มากกว่า เป็นไปได้ว่าผู้หญิงอ่อนแอนิดหน่อย  ระหว่างชายและหญิง ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายจากใครไป พวกเขาจะยังคงมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่?  (ได้)  ไม่ว่าใครจะไปจากใคร นั่นใช่สิ่งที่เจ้าสามารถเลือกได้หรือไม่?  นั่นใช่สิ่งที่เจ้าสามารถควบคุมได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ไม่ได้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถควบคุมได้ ดังนั้นเจ้าจึงหลงอยู่ในเรื่องเพ้อฝันอันโง่เขลา แล้วเจ้าก็ร้องไห้ รู้สึกกลัดกลุ้ม กังวล และเจ็บปวด—ทั้งหมดนี้มีประโยชน์อะไรหรือไม่?  (ไม่มี)  ผู้คนเหล่านี้รู้สึกว่าการสามารถมองดูคู่ครองของตน กุมมือของอีกฝ่าย และใช้ชีวิตไปพร้อมกับคู่ครองได้นั้น หมายความว่าตนย่อมมีแรงสนับสนุนไปตลอดชีวิต เหมือนได้รับการปลอบประโลมและชูใจ  พวกเขานึกว่าตนจะไม่มีความกังวลเรื่องอาหารหรือเสื้อผ้า ไม่มีอะไรให้ห่วงใย และคู่ครองก็คือบั้นปลายของตนเอง  ผู้ไม่เชื่อมีคำกล่าวอย่างหนึ่งว่า “ถ้าฉันมีเธอในชีวิตนี้ ฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีก”  นี่คือความรู้สึกที่ผู้คนเหล่านี้มีต่อชีวิตแต่งงานและคู่ครองอยู่ในส่วนลึกสุดของหัวใจ พวกเขารู้สึกเป็นสุขเมื่อคู่ครองเป็นสุข กระวนกระวายเมื่อคู่ครองกระวนกระวาย และพวกเขาย่อมทนทุกข์เมื่อคู่ครองของตนทนทุกข์  ถ้าคู่ครองตาย พวกเขาก็ไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปเช่นกัน  และหากคู่ครองตีจากและไปรักคนอื่น พวกเขาย่อมทำอย่างไร?  (ไม่อยากมีชีวิตอยู่)  บ้างก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงฆ่าตัวตาย และบางคนก็เสียสติ  จงบอกเราเถิดว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องอะไร?  คนแบบไหนถึงจะเสียสติ?  การเสียสติแสดงให้เห็นว่าพวกเขาถูกครอบงำ  ผู้หญิงบางคนเชื่อว่าสามีของตนคือบั้นปลายของชีวิตตน และเมื่อพวกเธอพบชายดังกล่าวแล้ว พวกเธอก็จะไม่มีวันรักชายอื่นอีก—นี่คือกรณี “ถ้าฉันมีเขาในชีวิตนี้ ฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีก”  แต่สามีของเธอก็ทำให้เธอผิดหวัง ตีจากเพื่อไปรักคนอื่น และไม่ต้องการเธออีกแล้ว  ดังนั้นในที่สุดย่อมเกิดอะไรขึ้น?  จากนั้นก็แน่นอนว่าเธอย่อมเกลียดเพศตรงข้ามทุกคน  เมื่อเธอเห็นผู้ชายอีกคน เธอก็อยากถ่มน้ำลายใส่เขา อยากสาปแช่งและทุบตีเขา  เธอเกิดแนวโน้มที่จะทำอะไรรุนแรง และสำนึกในเหตุผลของเธอก็ผิดเพี้ยน  มีบางคนที่เสียสติไปจริงๆ  นี่คือผลสืบเนื่องเมื่อผู้คนไม่เข้าใจชีวิตแต่งงานอย่างถูกต้อง

ผู้คนเหล่านี้มองว่าชีวิตแต่งงานคือสัญลักษณ์ของการที่ตนประสบความสำเร็จในการไล่ตามไขว่คว้าความสุข รวมทั้งบั้นปลายและเป้าหมายในชีวิตที่พวกเขาฝันถึงมานานและสัมฤทธิ์แล้วในตอนนี้  สำหรับพวกเขาแล้ว ชีวิตสมรสคือวัตถุประสงค์ข้อสุดท้ายของชีวิต และสิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าในชีวิตสมรสก็คือการใช้ชีวิตนี้ร่วมกับคู่ครองของตน แก่เฒ่าไปด้วยกัน มีชีวิตอยู่และตายด้วยกัน  และเพื่อที่จะพิสูจน์ยืนยันความคิดอ่านและแนวคิดที่ว่าชีวิตแต่งงานคือบั้นปลายของพวกเขา พวกเขาจึงทำหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตแต่งงานที่อยู่นอกเหนือการใช้เหตุผลและขอบเขตความรับผิดชอบของคนคนหนึ่ง  สิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตความรับผิดชอบของคนคนหนึ่งนี้ประกอบด้วยเรื่องสุดโต่งทั้งหลายที่ทำให้พวกเขาสูญเสียความซื่อตรง ศักดิ์ศรี และเป้าหมายที่ตนไล่ตามไขว่คว้า  ตัวอย่างเช่น พวกเขามักจะสอดส่องคู่ครองของตนว่าอยู่กับใครบ้างในแต่ละวัน คู่ครองทำอะไรเวลาออกไปข้างนอก ติดต่อเพศตรงข้ามบ้างหรือไม่ มีปฏิสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเพศตรงข้ามคนอื่นๆ ที่เกินขอบเขตของมิตรภาพบ้างหรือไม่  นอกจากนี้ยังมีบางคนที่หมดเวลาไปมากกับการเฝ้าสังเกตและหยั่งเชิงว่าคู่ครองมีท่าทีกับตนอย่างไร เพื่อดูว่าคู่ครองมีตนอยู่ในใจหรือไม่และยังรักตนอยู่หรือไม่  นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงบางคนที่ดมเสื้อผ้าสามีเมื่อพวกเขาถึงบ้าน ตรวจดูเสื้อผ้าว่ามีเส้นผมของผู้หญิงบ้างหรือไม่ ตรวจตราเสื้อเชิ้ตว่ามีรอยลิปสติกของหญิงอื่นหรือไม่  พวกเธอยังตรวจดูโทรศัพท์มือถือของสามีด้วยว่ามีหมายเลขของหญิงคนใดที่พวกเธอไม่รู้จักหรือเปล่า ถึงขั้นตรวจดูว่าสามีมีหมายเลขโทรศัพท์อยู่กี่หมายเลข คบค้าสมาคมกับใครบ้าง และสิ่งที่สามีบอกเวลาโทรศัพท์คุยกันทุกวันนั้นจริงหรือไม่  ตัวอย่างเช่น หญิงคนหนึ่งโทรหาสามีและถามว่า “เธออยู่ที่ไหน?  ทำอะไรอยู่?”  สามีก็ตอบว่า “ฉันอยู่ที่ทำงาน กำลังตรวจเอกสาร”  เธอก็บอกว่า “ถ่ายรูปเอกสารที่เธอตรวจอยู่ แล้วส่งมาให้ฉันหน่อย”  สามีก็ทำตามที่เธอบอก และแล้วเธอก็ถามว่า “ใครอยู่ในสำนักงานกับเธอ?”  เขาก็ตอบว่า “มีแต่ฉันคนเดียว”  เธอก็บอกว่า “เธอวิดีโอคอลมาได้ไหม ฉันจะได้เห็นว่ามีใครอยู่ในสำนักงานอีกบ้าง?”  เขาจึงวิดีโอคอลหาเธอ แล้วเธอก็เห็นว่าดูเหมือนจะมีร่างผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินจากไป ดังนั้นเธอจึงถามว่า “ที่บอกมานั้นไม่จริง ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”  เขาก็ตอบว่า “นั่นเป็นแค่คนทำความสะอาด”  เธอจึงตอบว่า “อ้อ ก็ดี”  เมื่อนั้นเท่านั้นเธอจึงรู้สึกผ่อนคลาย  ผู้คนแบบนี้ย่อมตรวจดูโทรศัพท์มือถือของสามี ดูว่าสามีอยู่ที่ไหน แต่ละชั่วโมงของวันนั้นๆ เขาทำอะไรอยู่  พวกเธอมีความคาดหวังในชีวิตแต่งงานของตนสูงมาก และยิ่งมีความรู้สึกไม่มั่นคงมากกว่านั้นอีก  แน่นอนว่าพวกเธอมีความอยากครอบครองและควบคุมคู่สมรสของตนเป็นอย่างมาก  เนื่องจากพวกเธอมั่นใจว่าคู่สมรสคือบั้นปลายของตน เป็นคนที่พวกเธอต้องอยู่ด้วยและควรอยู่ด้วยไปชั่วชีวิต ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเธอจะยอมให้ชีวิตแต่งงานมีรอยร้าว หรือแม้แต่รอยตำหนิหรือปัญหาเล็กน้อย—ทั้งหมดนี้พวกเธอยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้  ดังนั้น พวกเธอจึงใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปกับการสอดส่องคู่สมรส หยั่งเสียงคู่สมรส สอบถามถึงความเคลื่อนไหวและที่ที่เขาอยู่ และเข้าสู่การควบคุมคู่สมรสของตน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่สมรสนอกใจ นี่เป็นเรื่องที่พวกเธอยอมให้ไม่ได้  พวกเธอจึงอาละวาด กลิ้งเกลือก ร้องไห้ สร้างปัญหา และขู่จะฆ่าตัวตาย  บางคนถึงกับเอาปัญหาของตนเข้าที่ชุมนุมและหารือวิธีการต่างๆ ร่วมกับพี่น้องชายหญิงโดยกล่าวว่า “เขาคือรักแรกของฉัน เป็นผู้ชายที่ฉันรักมากที่สุด  ตลอดชีวิตฉันไม่เคยกุมมือหรือสัมผัสผิวของชายอื่นเลยด้วยซ้ำ  เขาคือผู้ชายเพียงคนเดียวสำหรับฉัน เป็นท้องฟ้าของฉัน และเป็นคนที่ใช่ในชีวิตนี้  เขาไปกับคนอื่นและฉันก็รับสิ่งที่เขาทำกับฉันไม่ได้เลย”  บางคนบอกเธอว่า “การรับไม่ได้มีประโยชน์อะไร?  คุณเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้หรือ?  คนอื่นมองเห็นได้ตั้งนานแล้วว่าสามีของคุณมีแนวโน้มที่จะเป็นแบบนี้”  เธอจึงตอบว่า “ไม่ว่าเขาจะมีแนวโน้มแบบนี้หรือไม่ ฉันก็ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ดี  ใครจะช่วยฉันคิดหาวิธีทำโทษเขาและพยายามหยุดยั้งไม่ให้เมียน้อยของเขามาแทนที่ฉันบ้าง?”  เจ้าดูเอาเถิด เธอเสียใจมากจนเอาปัญหาของตนเองมาสามัคคีธรรมในที่ชุมนุม  นี่ใช่สามัคคีธรรมหรือไม่?  นี่คือการระบายความคิดเห็นที่ไม่เหมาะสมออกมา ระบายถ้อยความที่เป็นลบ และแพร่ข้อมูลที่เป็นลบ  นี่เป็นเรื่องของเจ้าเอง แล้วถ้าเจ้ากลับบ้าน ปิดประตู ทุบตีเขา และมีปากเสียงกัน นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้า แต่เจ้าต้องไม่เอาปัญหาของตนเองมาพูดคุยกับพี่น้องชายหญิงในที่ชุมนุม  ถ้าเจ้าอยากแสวงหาความจริงในที่ชุมนุม เจ้าก็อาจกล่าวว่า “มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับฉัน ดังนั้นฉันจะพาตัวเองออกจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไรโดยไม่ถูกเขาบีบคั้น?  ฉันจะไม่ให้เรื่องนี้ส่งผลต่อความเชื่อที่ฉันมีในพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างไร?”  ไม่เป็นไรหากเจ้าจะแสวงหาความจริง แต่ถ้าเจ้าไปชุมนุมและพูดถึงเรื่องที่พวกเจ้าทุ่มเถียงกัน เช่นนั้นแล้ว นั่นก็เป็นสิ่งที่เจ้าไม่ควรทำ  เหตุใดเจ้าจึงไม่ควรทำเช่นนั้น?  เจ้าประสบปัญหานี้และตอนนี้ก็พบว่าตัวเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์ชีวิตแบบนี้เพราะความเข้าใจที่เจ้ามีต่อชีวิตแต่งงานนั้นไม่ถูกต้อง  จากนั้นเจ้าก็อยากเอาข้อพิพาทและผลสืบเนื่องเหล่านี้มาให้พี่น้องชายหญิงของเจ้าสามัคคีธรรม นี่ไม่เพียงส่งผลต่อผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังไม่เกิดประโยชน์กับเจ้าอีกด้วย  เจ้าพูดถึงข้อพิพาทของเจ้า แต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความจริงและไม่มีวุฒิภาวะ สิ่งที่พวกเขาทำได้จึงมีแต่ช่วยคิดหาแนวทางให้เจ้าและพิจารณาเรื่องที่พวกเจ้าทุ่มเถียงกัน  ไม่เพียงพวกเขาจะช่วยให้เจ้ามีการเข้าสู่ที่เป็นบวกไม่ได้เท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับทำให้เรื่องราวแย่ลงและทำให้ปัญหายิ่งร้ายแรงและซับซ้อนขึ้นอีกด้วย  ผู้คนส่วนใหญ่เลอะเลือนและไม่เข้าใจความจริงหรือน้ำพระทัยของพระเจ้า—ผู้คนแบบนี้จะให้ความช่วยเหลือที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าแก่เจ้าได้หรือ?  บางคนกล่าวว่า “คุณจะเป็นภรรยาของเขาตามกฎหมายเสมอไป  ความชั่วจะไม่มีวันเอาชนะความยุติธรรมได้”  นี่ใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  บางคนก็บอกว่า “อย่ายอมหลีกทางให้เมียน้อย แล้วพวกเราจะได้เห็นกันว่าเธอจะมาแทนที่คุณได้หรือเปล่า!”  นี่ใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  การได้ฟังผู้คนพูดเรื่องเหล่านี้ทำให้เจ้ามีความสุขหรือว่าทำให้เจ้าโมโห?  พวกเขาพูดเรื่องเหล่านี้เพื่อทำให้เจ้าหัวร้อนหรือเพื่อให้เจ้าเข้าใจความจริงและมีเส้นทางปฏิบัติ?  บางคนก็บอกว่า “ฉันเข้าใจเรื่องทั้งหมด  สมัยนี้ไม่มีผู้ชายดีๆ  ไม่ว่าคนไหนพอมีเงินก็กลับกลายเป็นคนเลวทั้งนั้น”  นี่ใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วจากนั้นก็มีคนพูดว่า “คุณต้องไม่ทนเรื่องอย่างนี้  คุณต้องให้เมียน้อยคนนั้นรู้ว่าคุณจะไม่ยอมให้รังแกกันง่ายๆ อย่างนั้น  ทำให้เธอเห็นว่าใครใหญ่  ไปที่ที่เธอทำงานและบอกทุกคน อาละวาด แล้วบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเมียน้อยของสามีคุณ  คุณเป็นภรรยาของเขาตามกฎหมาย ทุกคนจะเข้าข้างคุณแน่นอน ไม่เข้าข้างเธอคนนั้น  บีบให้เธอยอมหลีกทางและถอยให้”  นี่ใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  คำกล่าวเหล่านี้คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้คนส่วนใหญ่มิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนก็พูดอย่างค่อนข้างสงวนท่าทีว่า “เขาอยู่กับคุณมาทั้งชีวิต คุณยังไม่เอือมเขาอีกหรือ?  ถ้าเขาอยากอยู่กับคนอื่น เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไปเถิด  ตราบใดที่เขาเอาเงินมาให้ทางบ้านและคุณก็มีกินมีดื่ม นั่นก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?  คุณควรมีความสุข แล้วเขาก็จะไม่มากวนใจคุณตลอดเวลา  ตราบใดที่เขายังกลับมาบ้านและรับรู้ว่านี่คือบ้านของเขา นั่นย่อมเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?  คุณจะโกรธเรื่องอะไร?  ที่จริงแล้วเรื่องนี้คุณได้เปรียบ”  นี่ฟังดูชูใจ แต่ใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  คนดีๆ จะพูดอะไรอย่างนี้หรือไม่?  (ไม่)  ถ้าไม่เจตนาที่จะยุให้แตกกันหรือยุให้ตีกัน ก็เจตนาที่จะทำให้เย็นลงและประนีประนอมอย่างไร้หลักธรรม  ในที่นี้มีสักคำหรือไม่ที่สะท้อนมุมมองที่ภรรยาควรมีในเรื่องดังกล่าว มุมมองที่ทั้งถูกต้องและสอดคล้องกับความจริง?  (ไม่มี)  ผู้คนส่วนใหญ่กล่าวสิ่งต่างๆ แบบนี้กันมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่พิสูจน์เรื่องอะไร?  (ผู้คนส่วนใหญ่ค่อนข้างเลอะเลือนและแนวคิดที่พวกเขามีก็ไม่ช่วยอะไร)  ผู้คนส่วนใหญ่เลอะเลือน พวกเขาไม่แสวงหาความจริง และไม่เข้าใจความจริง  ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งใดคือความจริง และไม่เข้าใจว่าพระเจ้าทรงมีข้อกำหนดอย่างไรกับมนุษย์บ้าง  กล่าวให้เจาะจงลงไปก็คือ ในเรื่องของชีวิตแต่งงาน แท้จริงแล้วผู้คนไม่เข้าใจว่าตามพระวจนะและคำนิยามที่พระเจ้าทรงมีต่อการแต่งงานแล้ว พวกเขาควรจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่งงานในลักษณะที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่ทำตัวอารมณ์ร้อน

ไม่ว่าเจ้าจะประสบปัญหาอะไร เรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก เจ้าก็ต้องจัดการปัญหานั้นโดยมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการและมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้าเสมอ  แล้วหลักการในพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตสมรสมีว่าอย่างไร?  ความจริงมีหลักเกณฑ์ว่าอย่างไร?  คู่สมรสของเจ้าไม่สัตย์ซื่อต่อชีวิตคู่ นั่นคือปัญหาของเขา  แต่เจ้าไม่สามารถยอมให้ปัญหาของเขาส่งผลต่อเจ้าเรื่องการมีท่าทีและสำนึกรับผิดชอบที่ถูกต้องต่อชีวิตคู่ได้  เขาคือคนทำผิด แต่เจ้าก็ไม่อาจยอมให้การกระทำผิดของเขาส่งผลต่อท่าทีที่เจ้าควรมีต่อชีวิตแต่งงาน  เจ้าเชื่อว่าเขาคือบั้นปลายของเจ้า แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เจ้าคิด ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น  พระเจ้าไม่เคยกำหนดหรือลิขิตไว้ดังนั้นเช่นกัน  เพียงแต่เจ้ายืนกรานที่จะเชื่อว่าเขาคือบั้นปลายของเจ้า เป็นคู่แท้ของเจ้า เพราะความรักใคร่ ความอยากได้อยากมีของมนุษย์ และกล่าวให้แน่ชัดลงไปก็คือ เพราะความอารมณ์ร้อนของมนุษย์  การที่เจ้ายืนกรานที่จะเชื่อเช่นนั้นย่อมผิด  ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อมาก่อนว่าอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเจ้าก็ควรเปลี่ยนแนวทางเสียในตอนนี้ และดูว่าความคิดอ่านและท่าทีที่ถูกต้องตามที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนมีนั้นเป็นเช่นไร  เมื่อคู่สมรสของเจ้าไม่สัตย์ซื่อ เจ้าควรรับมือเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าไม่ควรทะเลาะและสร้างปัญหา ไม่ควรอาละวาดและกลิ้งเกลือกกับพื้น  เจ้าควรเข้าใจว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น ท้องฟ้าไม่ได้ถล่มลงมา ความฝันที่เจ้ามีต่อบั้นปลายของตนเองก็ไม่ได้แหลกสลาย และแน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าชีวิตสมรสของเจ้าต้องสิ้นสุดและพังทลาย ยิ่งไม่ได้หมายความว่าชีวิตสมรสของเจ้าล้มเหลวหรือเดินมาสุดทางแล้ว  เพียงแต่ว่าเป็นเพราะทุกคนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และเพราะผู้คนได้รับอิทธิพลจากกระแสนิยมอันเลวและแนวทางปฏิบัติทั่วไปของโลก และพวกเขาไม่มีภูมิคุ้มกันที่จะป้องกันตัวเองจากกระแสนิยมอันเลว ผู้คนจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่ผิดพลาด การไม่สัตย์ซื่อ การนอกใจในชีวิตสมรส และการทำให้คู่ครองของตนผิดหวัง  ถ้าเจ้ามองปัญหานี้จากแง่มุมนี้ เช่นนั้นแล้วปัญหาก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก  คู่สมรสทุกครอบครัวต่างก็ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมทั่วไปของโลก รวมทั้งกระแสนิยมอันเลวและแนวทางปฏิบัติทั่วไปของสังคมกันทั้งสิ้น  นอกจากนี้ ถ้ามองในแง่ของตัวบุคคลแล้ว ผู้คนย่อมมีความต้องการทางเพศ และได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์ต่างๆ อีกด้วย เช่น เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิงในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ รวมทั้งกระแสนิยมจำพวกสื่อลามกในสังคม  จึงเป็นการยากที่ผู้คนจะยึดปฏิบัติตามหลักธรรมที่พวกเขาควรค้ำชู  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นการยากที่ผู้คนจะรักษาบรรทัดฐานทางศีลธรรมเอาไว้  ขอบเขตของความต้องการทางเพศนั้นพังทลายได้ง่าย ความต้องการทางเพศโดยตัวมันเองไม่ได้เสื่อมทราม แต่เป็นเพราะผู้คนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทั่วไปแบบนี้ พวกเขาจึงผิดพลาดได้ง่ายเมื่อเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง และนี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจให้ชัดแจ้ง  ไม่มีใครที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแล้วจะสามารถทนต่อการทดลองหรือการล่อใจในสภาพแวดล้อมทั่วไปแบบนี้ได้  ความต้องการทางเพศของมนุษย์อาจท่วมท้นขึ้นมาได้ทุกเมื่อและทุกหนแห่ง และผู้คนก็ย่อมจะนอกใจกันเมื่อใดก็ได้และที่ใดก็ได้  นี่ไม่ใช่เพราะความต้องการทางเพศมีปัญหาในตัวมันเอง แต่เพราะมีบางสิ่งผิดไปในตัวผู้คน  ผู้คนจะใช้ความต้องการทางเพศของตนทำสิ่งต่างๆ ที่พาให้ตนเองสิ้นศีลธรรม จริยธรรม และความซื่อตรงของตน เช่น นอกใจ คบชู้ มีเมียน้อย และอื่นๆ  ดังนั้นในฐานะคนที่เชื่อในพระเจ้า ถ้าเจ้าสามารถมองเรื่องเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรรับมือเรื่องเหล่านี้ได้อย่างมีเหตุผล  เจ้าคือมนุษย์ที่เสื่อมทราม และเขาก็เป็นมนุษย์ที่เสื่อมทรามเช่นกัน ดังนั้นเจ้าก็ต้องไม่เรียกร้องให้เขาเป็นเหมือนเจ้าและสัตย์ซื่ออยู่เสมอเพียงเพราะเจ้าสามารถซื่อสัตย์ต่อชีวิตคู่ของเจ้าได้ เรียกร้องว่าเขาต้องไม่นอกใจเป็นอันขาด  เวลาเกิดเรื่องแบบนั้น เจ้าควรเผชิญหน้าอย่างถูกต้อง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ทุกคนมีโอกาสที่จะพานพบสภาพแวดล้อมหรือการทดลองดังกล่าว  เจ้าสามารถจับตามองคู่สมรสของเจ้าเหมือนเหยี่ยว แต่นั่นย่อมจะไม่สำคัญ ยิ่งเจ้าเฝ้ามองเขาอย่างใกล้ชิด เรื่องก็จะยิ่งเกิดโดยไวและเร็ววันขึ้น  นั่นเป็นเพราะทุกคนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทั่วไปเช่นนี้ของสังคมที่เลว และมีน้อยคนนักที่ไม่ทำตัวสำส่อน  พวกเขาถูกกีดกันไม่ให้ทำตัวเช่นนั้นเพราะสถานการณ์หรือเงื่อนไขของพวกเขาเท่านั้น  มีไม่กี่เรื่องที่มนุษย์เลิศกว่าสัตว์เดรัจฉาน  อย่างน้อยที่สุดสัตว์เดรัจฉานก็มีปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณทางเพศของตนโดยธรรมชาติ แต่มนุษย์ไม่เป็นเช่นนั้น  มนุษย์สามารถสำส่อนและมีเพศสัมพันธ์กับผู้ร่วมสายโลหิตได้ทั้งที่มีสติรู้ตัว—มีแต่คนเท่านั้นที่สำส่อนไม่เลือกหน้าได้  เพราะฉะนั้น ในสภาพแวดล้อมทั่วไปของสังคมอันเลวนี้ ไม่เพียงผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น แต่แทบทุกคนสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้  นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ และคนเราก็ไม่สามารถหนีพ้นปัญหานี้  ดังนั้น ในเมื่อเรื่องเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมให้เกิดกับสามีของเจ้า?  แท้จริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติมาก  เพียงเพราะว่าภาวะอารมณ์ของเจ้าพัวพันอยู่กับเขา เวลาถูกเขาทิ้งขว้าง เจ้าจึงไม่สามารถก้าวข้ามและไม่อาจทนรับได้  ถ้าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับใครคนอื่น เจ้าก็จะแค่ยิ้มมุมปากและคิดว่า “นั่นปกติโดยแท้  ทุกคนในสังคมก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ?”  คำกล่าวนั้นบอกว่าอย่างไร?  อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเค้ก?  (พวกเขาอยากมีเค้กของตัวเองและอยากกินด้วย)  เหล่านี้คือคำกล่าวและเรื่องที่นิยมกันตามกระแสอันเลวของโลก  นี่คือสิ่งที่น่าชมเชยสำหรับผู้ชาย  ถ้าผู้ชายไม่ได้เค้กไว้และไม่สามารถกินเค้กได้สักชิ้น ก็แสดงว่าชายคนนั้นไม่มีความสามารถและผู้คนก็จะหัวเราะเยาะเขา  ดังนั้นเมื่อเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผู้หญิง เธอจึงสามารถอาละวาด กลิ้งเกลือก และระบายความอารมณ์ร้อนของตนได้ ร้องไห้ สร้างปัญหา และไม่ยอมกินอะไรเพราะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เธออยากตาย อยากผูกคอฆ่าตัวตาย  ผู้หญิงบางคนโกรธมากจนเสียสติ  นี่ย่อมเกี่ยวข้องกับท่าทีที่เธอมีต่อชีวิตแต่งงานโดยแทบมิอาจสังเกตเห็นได้ และแน่นอนว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับแนวคิดของเธอที่ว่า “คู่สมรสคือบั้นปลายของเธอเอง”  หญิงคนนั้นเชื่อว่าเมื่อสามีของเธอทำให้ชีวิตแต่งงานพังทลาย เขาย่อมทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจและความใฝ่ฝันอันแสนวิเศษที่เธอมีต่อบั้นปลายชีวิตของตน  และเพราะสามีเป็นคนแรกที่ทำลายสมดุลในชีวิตแต่งงานของทั้งคู่ คนแรกที่ผิดกติกา เพราะเขาทิ้งเธอ ละเมิดคำปฏิญาณของการแต่งงาน และทำให้ความฝันอันสวยงามของเธอกลายเป็นฝันร้าย นี่จึงทำให้เธอแสดงออกในลักษณะเหล่านี้และมีพฤติกรรมที่สุดโต่งเหล่านี้  ถ้าผู้คนยอมรับความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะประพฤติตนอย่างมีเหตุผลขึ้นบ้าง  เมื่อเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับพวกเขา ผู้คนปกติทั่วไปย่อมจะรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจ พวกเขาย่อมจะร้องไห้และทนทุกข์  แต่เมื่อพวกเขาสงบลงและใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ใคร่ครวญสภาพแวดล้อมทั่วไปของสังคม แล้วจากนั้นก็ใคร่ครวญสถานการณ์ตามจริงว่าทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาก็ย่อมจะรับมือเรื่องราวได้อย่างมีเหตุผลและถูกต้อง และจะปล่อยให้เรื่องราวนั้นผ่านไปแทนที่จะยึดไว้เหมือนสุนัขหวงกระดูก  ที่บอกว่า “ปล่อยผ่าน” เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าในเมื่อสามีของเจ้าทำเรื่องเช่นนี้ไปแล้วและไม่สัตย์ซื่อต่อชีวิตสมรส เจ้าก็ควรยอมรับข้อเท็จจริงนี้เสีย นั่งลงคุยกับเขาและถามว่า “เธอคิดจะทำอย่างไรต่อไป?  ทีนี้เราสองคนจะทำอย่างไร?  พวกเราควรรักษาชีวิตแต่งงานเอาไว้หรือสิ้นสุดชีวิตคู่และเลือกที่จะแยกย้ายกันไป?”  จงนั่งคุยกันก็พอ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะหรือสร้างปัญหา  ถ้าสามีของเจ้ายืนกรานที่จะสิ้นสุดชีวิตแต่งงาน เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร  ผู้ไม่เชื่อมักจะพูดกันว่า “ในทะเลมีปลาอุดม”  “ผู้ชายก็เหมือนรถเมล์—เดี๋ยวก็มาอีกคันเสมอ” และคำกล่าวอีกอย่างบอกว่าอย่างไร?  “อย่าถางป่าเพื่อไม้ต้นเดียว”  แล้วไม่เพียงไม้ต้นนี้จะอัปลักษณ์เท่านั้น แต่เนื้อในยังผุอีกด้วย  คำกล่าวเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  นี่คือสิ่งที่ผู้ไม่เชื่อใช้ปลอบใจตนเอง แต่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ดังนั้นการนึกคิดและทัศนะที่ถูกต้องควรเป็นเช่นไร?  เมื่อเจ้าพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ก่อนอื่นเจ้าไม่ควรอารมณ์ร้อน เจ้าต้องควบคุมความโกรธเคืองและกล่าวว่า “พวกเรามาคุยกันอย่างสงบเถิด  เธอคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”  เขาย่อมกล่าวว่า “ฉันคิดจะพยายามต่อไปกับเธอ”  จากนั้นเจ้าก็กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็มาพยายามกันต่อ  อย่ามีเรื่องนอกใจอีก ทำตามความรับผิดชอบของเธอในฐานะสามี และเราสองคนจะขีดเส้นใต้จบเรื่องนี้ได้  ถ้าเธอทำเช่นนั้นไม่ได้ อย่างนั้นพวกเราก็เลิกกันและต่างคนต่างไป  พระเจ้าอาจจะทรงลิขิตไว้ว่าชีวิตคู่ของพวกเราควรจบลงตรงนี้  ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็เต็มใจที่จะนบนอบการจัดเตรียมของพระองค์  เธอสามารถเดินไปบนทางกว้าง ส่วนฉันจะเดินไปตามเส้นทางของความเชื่อในพระเจ้า และพวกเราจะไม่ส่งผลต่อกัน  ฉันจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของเธอ และเธอก็ไม่ควรตีกรอบฉันเอาไว้  ชะตากรรมของฉันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเธอและเธอก็ไม่ใช่บั้นปลายของฉัน  พระเจ้าทรงตัดสินชะตากรรมและบั้นปลายของฉัน  ในชีวิตนี้ฉันจะหยุดยั้งลงตรงไหนเป็นที่สุดท้ายและเป็นบั้นปลายของฉัน—ฉันต้องถามพระเจ้า พระองค์ทรงรู้ พระองค์ทรงครองอธิปไตย และฉันอยากนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระองค์  ไม่ว่าอย่างไร ถ้าเธอไม่อยากร่วมชีวิตกับฉันต่อไป เช่นนั้นพวกเราก็จะแยกกันอย่างสันติ  แม้ฉันจะไม่มีทักษะอะไรเป็นพิเศษและครอบครัวนี้ก็พึ่งพาเธอด้านการเงิน แต่ฉันย่อมจะมีชีวิตต่อไปได้โดยไม่มีเธออยู่ดี และจะใช้ชีวิตให้ดี  พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้นกกระจอกอดตาย ดังนั้นพระองค์จะทรงทำเพื่อฉันซึ่งเป็นมนุษย์ที่มีลมหายใจอีกมากเพียงใด  ฉันมีมือมีเท้า ฉันดูแลตัวเองได้  เธอไม่จำเป็นต้องกังวล  ถ้าพระเจ้าทรงลิขิตว่าฉันจะอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิตโดยไม่มีเธอคู่เคียง เช่นนั้นแล้วฉันก็เต็มใจที่จะนบนอบ ฉันเต็มใจที่จะยอมรับข้อเท็จจริงนี้โดยไม่พร่ำบ่น”  การทำเช่นนี้เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?  (ใช่)  ยอดเยี่ยมใช่หรือไม่?  ไม่จำเป็นต้องมีปากเสียงและทะเลาะกัน และยิ่งไม่จำเป็นต้องสร้างปัญหาอย่างไม่รู้จบเพื่อให้ทุกคนรู้กันทั่วในที่สุด—ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเช่นนั้น  ชีวิตแต่งงานไม่ใช่เรื่องของใครนอกจากตัวเจ้ากับสามี  ถ้าเกิดความขัดแย้งขึ้นในชีวิตแต่งงาน เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าทั้งสองก็ต้องแก้ไขความขัดแย้งและทนรับผลสืบเนื่อง  ในฐานะคนที่เชื่อในพระเจ้า เจ้าควรนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้าไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไรก็ตาม  แน่นอนว่าเมื่อเป็นเรื่องของชีวิตแต่งงาน ไม่ว่าจะมีรอยร้าวเช่นใดเกิดขึ้นหรือมีผลเช่นใดตามมา ไม่ว่าชีวิตสมรสจะดำเนินต่อไปหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะเริ่มต้นใหม่ในชีวิตแต่งงานของเจ้า หรือชีวิตสมรสของเจ้าจะสิ้นสุดลงเดี๋ยวนั้น ชีวิตแต่งงานก็ไม่ใช่บั้นปลายของเจ้า และคู่สมรสของเจ้าก็ไม่ใช่เช่นกัน  เขาเพียงแต่ถูกพระเจ้าลิขิตให้ปรากฏตัวในชีวิตของเจ้าและในการดำรงอยู่ของเจ้า เพื่อมีบทบาทเป็นเพื่อนเคียงข้างเจ้าบนเส้นทางที่เจ้าเดินไปในชีวิต  ถ้าเขาสามารถเป็นเพื่อนเคียงข้างเจ้าได้ตลอดจนสุดทางและอยู่กับเจ้าจวบจนวาระสุดท้าย เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้นแล้ว และเจ้าก็ควรขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณของพระองค์  ถ้ามีปัญหาในชีวิตแต่งงาน ไม่ว่าจะเกิดรอยร้าวหรือมีบางสิ่งที่เจ้าไม่ชอบใจเกิดขึ้น แล้วในที่สุดชีวิตแต่งงานของเจ้าก็สิ้นสุดลง นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่มีบั้นปลายอีกต่อไป ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้ชีวิตของเจ้าตกอยู่ในความมืดมิด หรือไร้ความสว่าง และเจ้าก็ไร้อนาคต  อาจเป็นไปได้ว่าการที่ชีวิตสมรสของเจ้าสิ้นสุดลงคือการเริ่มต้นชีวิตที่วิเศษกว่าเดิม  ทั้งหมดนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเป็นเรื่องที่พระเจ้าจะทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดเตรียม  เป็นไปได้ว่าการที่ชีวิตสมรสของเจ้าสิ้นสุดลงทำให้เจ้าได้ทำความเข้าใจและซาบซึ้งในคุณค่าของชีวิตคู่มากขึ้น เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น  แน่นอนว่าสำหรับเจ้าแล้วอาจเป็นไปได้ว่าการที่ชีวิตแต่งงานของเจ้าสิ้นสุดลงนั้นคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญเกี่ยวกับเป้าหมายและทิศทางชีวิตของเจ้า รวมทั้งเส้นทางที่เจ้าเดิน  สิ่งที่เจ้าได้รับย่อมจะไม่ใช่ความทรงจำที่มืดมัว และยิ่งไม่ใช่ความทรงจำที่เจ็บปวด ไม่ใช่ประสบการณ์และผลลัพธ์ที่เป็นลบไปเสียทั้งหมด แต่การสิ้นสุดนั้นย่อมจะนำประสบการณ์เชิงรุกที่เป็นบวกมาให้ ซึ่งเจ้าไม่อาจมีได้ถ้าเจ้ายังคงอยู่ในชีวิตแต่งงาน  ถ้าชีวิตแต่งงานของเจ้ายังดำเนินต่อไป บางทีเจ้าอาจจะมีชีวิตพื้นๆ ที่ต่ำต้อยและจืดชืดเช่นนี้เสมอไปจวบจนวาระสุดท้ายของเจ้า  อย่างไรก็ดี ถ้าชีวิตแต่งงานของเจ้าสิ้นสุดและพังทลาย เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องไม่ดี  ก่อนหน้านี้เจ้าเคยถูกความสุขและความรับผิดชอบในชีวิตสมรสบีบคั้น รวมทั้งภาวะอารมณ์หรือวิธีใช้ชีวิตที่คอยเป็นห่วงคู่สมรสของเจ้า คอยดูแลเขา คำนึงถึงเขา เอาใจใส่ และกังวลเรื่องของเขา  อย่างไรก็ดี เริ่มจากวันที่ชีวิตแต่งงานของเจ้าสิ้นสุดลง รูปการณ์ทั้งปวงในชีวิตของเจ้า เป้าหมายในการใช้ชีวิตของเจ้าและสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาในชีวิตย่อมก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงและรอบด้าน และต้องกล่าวว่าความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นกับเจ้าก็เพราะการสิ้นสุดชีวิตสมรสของเจ้า  อาจเป็นไปได้ว่าผลลัพธ์ ความเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์ให้เจ้าได้รับจากการแต่งงานที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ให้เจ้า และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์ให้เจ้าได้ไว้ โดยทรงนำทางให้เจ้าสิ้นสุดชีวิตสมรสของเจ้าเอง  แม้เจ้าจะเจ็บช้ำและก้าวเดินบนเส้นทางที่คดเคี้ยว แม้เจ้าจะเสียสละและรอมชอมโดยไม่จำเป็นภายในกรอบของชีวิตแต่งงานอยู่บ้าง แต่สิ่งที่เจ้าได้รับในท้ายที่สุดนั้นไม่อาจได้มาหากยังอยู่ในชีวิตแต่งงาน  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด การปล่อยมือจากความคิดและทัศนะที่ว่า “ชีวิตแต่งงานคือบั้นปลายของเจ้า” ย่อมถูกต้องแล้ว  ไม่ว่าชีวิตแต่งงานของเจ้าจะดำเนินต่อไปหรือเผชิญวิกฤติ หรือเผชิญการเลิกรา หรือจบสิ้นไปแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม ตัวชีวิตแต่งงานเองนั้นไม่ใช่บั้นปลายของเจ้า  นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ

ผู้คนไม่ควรเก็บงำความคิดและทัศนะที่ว่า “ชีวิตแต่งงานคือบั้นปลายของคนคนหนึ่ง” เอาไว้  ความคิดและทัศนะเช่นนี้ย่อมคุกคามอิสรภาพและสิทธิ์ในการเลือกเส้นทางชีวิตของเจ้าอย่างมาก  ที่ว่า “คุกคาม” นี้เราหมายความว่าอย่างไร?  เหตุใดเราจึงใช้คำนี้?  เราหมายความว่าเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเลือก หรือเมื่อใดก็ตามที่เจ้ากล่าวอะไรหรือยอมรับทัศนะอันใด ถ้านั่นเชื่อมโยงกับความสุขในชีวิตสมรสของเจ้าหรือความสมบูรณ์ของชีวิตคู่ของเจ้า หรือแม้แต่เชื่อมโยงกับแนวคิดที่ว่าคู่ครองคือบั้นปลายของเจ้าและเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญที่สุดของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะถูกมัดมือมัดเท้า และเจ้าจะถึงกับระมัดระวังและรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อเป็นเช่นนี้ เจตจำนงเสรีของเจ้า สิทธิ์ของเจ้าที่จะเลือกเส้นทางชีวิต รวมทั้งสิทธิ์ที่จะไล่ตามเสาะหาสิ่งที่เป็นบวกและไล่ตามเสาะหาความจริง ย่อมจะถูกความคิดและทัศนะเช่นนี้พันธนาการเอาไว้ และจะถึงขั้นถูกริบไปหมดโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว ดังนั้นเจ้าย่อมจะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยความถี่ที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ  การที่เจ้าไม่ค่อยมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าย่อมหมายความว่าอย่างไร?  ความหวังของเจ้าที่จะได้รับความรอดจะค่อยๆ หดหายไป และรูปการณ์ในชีวิตของเจ้าก็จะน่าเวทนา น่าสงสาร มืดมน และเลวทราม  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะเจ้าฝากฝังความหวัง ความคาดหวัง เป้าหมายและทิศทางชีวิตทั้งมวลของเจ้าไว้กับคู่ครองที่เจ้าเข้าสู่ชีวิตแต่งงานด้วย และเจ้าก็มองว่าคู่ครองคือทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า  แท้จริงแล้วเพราะเจ้ามองว่าคู่ครองคือทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า คู่ครองจึงริบเอาสิทธิ์ทั้งหมดของเจ้าไปจากเจ้า พวกเขาลวงตาและบังตาเจ้า ยึดเอาความซื่อตรงและศักดิ์ศรีไปจากเจ้า ยึดเอาการคิดอ่านและการใช้เหตุผลตามปกติไปจากเจ้า ลิดรอนสิทธิ์ของเจ้าที่จะเชื่อในพระเจ้าและเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต สิทธิ์ที่จะมีทัศนคติที่ถูกต้อง และสิทธิ์ที่จะไล่ตามเสาะหาความรอด  พร้อมกันนั้นคู่ครองก็เข้ากำกับและควบคุมสิทธิ์ทั้งหมดนี้ของเจ้า นั่นคือสาเหตุที่เรากล่าวว่าผู้คนแบบนี้ใช้ชีวิตกันอย่างน่าสงสาร เลวทราม และต่ำต้อย  เมื่อคู่สมรสของคนแบบนี้รู้สึกไม่มีความสุขบ้างในบางเรื่องหรืออึดอัดบางอย่าง แม้แต่การกล่าวว่าในใจของตนรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง คนเหล่านี้ก็จะหวาดกลัวจนกินหรือนอนไม่ได้ไปหลายวัน พวกเขาถึงกับมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยน้ำตาที่ไหลพราก—พวกเขาไม่เคยรู้สึกว้าวุ่นและกระวนกระวายเกี่ยวกับสิ่งใดในชีวิตเท่านี้มาก่อน พวกเขาวิตกกังวลจริงๆ—ทันทีที่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น พวกเขาก็เหมือนจะตาย  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  พวกเขาเชื่อว่าฟ้ากำลังจะถล่ม กำลังสำคัญที่สนับสนุนตนอยู่ก็จวนเจียนจะถล่มทลายอยู่ใต้เท้าของตน และนี่ย่อมหมายความว่าพวกเขาก็จะพลอยจบสิ้นไปด้วย  พวกเขาไม่เชื่อว่าความเป็นความตายของคนคนหนึ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง และพวกเขาก็กลัวเหลือเกินว่าพระเจ้าจะพรากคู่สมรสไปจากพวกเขา ทำให้พวกเขาสูญเสียคู่ครอง สูญเสียแรงสนับสนุน สูญเสียท้องฟ้า และสูญเสียดวงจิตของตน—นี่คือการเป็นกบฏอย่างยิ่ง  พระเจ้าประทานชีวิตแต่งงานแก่เจ้า และเมื่อเจ้ามีแรงเกื้อหนุนและคู่ครองแล้ว เจ้าก็ลืมเรื่องของพระเจ้าไปสิ้น เจ้าไม่ต้องการพระองค์อีกต่อไป  คู่ครองของเจ้ากลายเป็นพระเจ้าของเจ้า เป็นเจ้านายและแรงเกื้อหนุนของเจ้า  นี่คือการคิดคดทรยศและเป็นการกระทำที่เป็นกบฏที่สุดที่คนเราจะสามารถทำต่อพระเจ้าได้  ถึงกับมีบางคนที่เมื่อคู่สมรสโกรธเคืองนิดหน่อยหรือเจ็บป่วย ก็หวาดกลัวเสียจนไม่เข้าชุมนุมไปหลายวัน  พวกเขาไม่บอกใคร และไม่ส่งมอบหน้าที่ของตนให้คนอื่นทำ พวกเขาหายตัวไปเฉยๆ เหมือนแค่ระเหยหายไป  ความเป็นความตายของคู่สมรสคือสิ่งที่พวกเขาห่วงใยที่สุดและเป็นสิ่งที่พวกเขาใส่ใจที่สุดแล้วในชีวิต ไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าเรื่องนี้ได้—นี่สำคัญสำหรับพวกเขายิ่งกว่าพระเจ้า พระบัญชาของพระเจ้า และหน้าที่ของตน  ผู้คนเยี่ยงนี้สูญสิ้นอัตลักษณ์ คุณค่า และความหมายที่พวกเขาควรมีในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงรังเกียจคนเหล่านี้  พระเจ้าประทานชีวิตที่เป็นหลักเป็นฐานและคู่ครองแก่เจ้าเพียงเพื่อให้เจ้าสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นและมีใครสักคนคอยดูแลเจ้า มีคนคู่เคียงเจ้า ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าสามารถลืมพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ หรือทิ้งภาระผูกพันที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและทิ้งเป้าหมายชีวิตของเจ้าที่จะไล่ตามเสาะหาความรอดทันทีที่เจ้ามีคู่สมรส แล้วจากนั้นก็ดำรงชีวิตเพื่อคู่สมรสของเจ้า  ถ้าเจ้าทำตัวเช่นนี้จริง ถ้าเจ้าใช้ชีวิตแบบนี้จริง เช่นนั้นแล้วเราก็หวังว่าเจ้าจะเปลี่ยนแนวทางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ไม่ว่าใครคนนั้นจะสำคัญต่อเจ้าเพียงใด หรือพวกเขาจะสำคัญต่อชีวิตของเจ้า การดำรงชีวิต หรือเส้นทางชีวิตของเจ้าเพียงใด พวกเขาก็ไม่ใช่บั้นปลายของเจ้า เพราะพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ที่เสื่อมทรามเท่านั้น  พระเจ้าทรงจัดเตรียมคู่สมรสคนปัจจุบันไว้ให้เจ้า และเจ้าก็สามารถร่วมชีวิตกับพวกเขา  ถ้าพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของพระองค์และจัดเตรียมคนอื่นให้แก่เจ้า เจ้าก็ยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อยู่ดี ดังนั้นคู่สมรสคนปัจจุบันของเจ้าจึงไม่ใช่คนเดียวเท่านั้นของเจ้า และไม่ใช่บั้นปลายของเจ้า  พระเจ้าเท่านั้นคือผู้ที่เจ้าฝากบั้นปลายของเจ้าเอาไว้ และพระเจ้าเท่านั้นคือผู้ที่มวลมนุษย์ฝากบั้นปลายของตนเอาไว้  ถ้าเจ้าจากพ่อแม่ไป เจ้าก็เอาตัวรอดและดำรงชีวิตได้อยู่ดี และแน่นอนว่าถ้าเจ้าผละจากคู่ครอง เจ้าก็ยังคงดำรงชีวิตได้อยู่ดี  พ่อแม่ไม่ใช่บั้นปลายของเจ้า คู่สมรสก็ไม่ใช่เช่นกัน  เพียงเพราะเจ้ามีคู่ครอง มีคนไว้ฝากจิต ฝากใจ ฝากเนื้อหนังด้วย ก็จงอย่าลืมสิ่งต่างๆ ที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปเสีย  ถ้าเจ้าลืมพระเจ้า ลืมสิ่งที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ ลืมหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติ และลืมว่าอัตลักษณ์ของเจ้าคืออะไร เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสูญเสียมโนธรรมและเหตุผลไปสิ้น  ไม่ว่าชีวิตของเจ้าจะเป็นเช่นไรในตอนนี้ ไม่ว่าเจ้าจะแต่งงานแล้วหรือยังไม่แต่งงาน อัตลักษณ์ของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้างก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ไม่มีใครสามารถเป็นบั้นปลายของเจ้าได้ และเจ้าก็ไม่สามารถฝากตัวกับใครได้  พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถประทานบั้นปลายอันเหมาะสมแก่เจ้า พระเจ้าเท่านั้นคือผู้ที่มวลมนุษย์ฝากการอยู่รอดของตนเอาไว้ และย่อมจะเป็นเช่นนี้เสมอไป  เรื่องนี้ชัดเจนหรือไม่?  (ชัดเจน)

พวกเราจะเสร็จสิ้นสามัคคีธรรมเรื่องการแต่งงานกันตรงนี้  ถ้าพวกเจ้าอยากแสดงแนวคิด ทัศนะ หรือแสดงความรู้สึกของตนเอง ก็ขอให้ทำเสียในตอนนี้  (ข้าพระองค์เคยมีทัศนะและความคิดว่าชีวิตแต่งงานคือบั้นปลายของคนเรา  ถ้าคู่สมรสของข้าพระองค์นอกใจ เช่นนั้นข้าพระองค์ย่อมจะรู้สึกสิ้นหวังและรู้สึกว่าจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้  ข้าพระองค์เคยฟังพี่น้องชายหญิงบางคนบอกว่าพวกเขาก็เคยมีประสบการณ์อย่างนี้ และการก้าวผ่านอะไรแบบนี้ก็เจ็บปวดมาก  แต่วันนี้พอฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าแล้ว ข้าพระองค์ก็สามารถมีแนวทางที่ถูกต้องในเรื่องนี้ได้  ข้อแรก พระเจ้าตรัสว่าในสังคมอันเลวนี้ คนเราอาจถูกผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายในโลกภายนอกยั่วยวนเอาได้ และเป็นเรื่องง่ายมากที่พวกเขาจะผิดพลาด ดังนั้นข้าพระองค์จึงเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ในคราวนี้  ข้อสอง พวกเราต้องมีแนวทางที่ถูกต้องต่อคู่สมรส  คู่สมรสไม่ใช่บั้นปลายในชีวิตของพวกเรา  พระเจ้าเท่านั้นที่เป็นบั้นปลายของพวกเรา และด้วยการพึ่งพาพระเจ้าเท่านั้นที่พวกเราจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้อย่างแท้จริง  ข้าพระองค์รู้สึกว่าตอนนี้ตนเองพอจะมีความเข้าใจใหม่ๆ ในเรื่องนี้บ้างแล้ว)  ดีมาก  ทัศนะและท่าทีทั้งหมดเกี่ยวกับความจริงที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปนี้ มีเจตนาที่จะทำให้ผู้คนสามารถสลัดความคิดและทัศนะทุกรูปแบบที่บิดเบี้ยว ไม่ถูกต้อง และเป็นลบทิ้งไป จากนั้นก็สามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้เพื่อที่ว่าเมื่อผู้คนพบเจอเรื่องดังกล่าว พวกเขาจะได้มีความคิดและทัศนะที่ถูกต้องคอยส่งเสริม สามารถมีเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อให้พวกเขาไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ถูกซาตานชักพาให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้อีกต่อไป พวกเราสามัคคีธรรมสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ผู้คนไม่ทำเรื่องที่สุดโต่ง สามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างจากพระเจ้า นบนอบการจัดเตรียมของพระเจ้าในทุกเรื่อง และเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง  การเป็นคนเช่นนี้คือหนทางที่ถูกต้อง  เอาละ พวกเราจบสามัคคีธรรมในวันนี้กันตรงนี้เถิด  ลาก่อน!

4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (10)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (12)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger