56. หน้าที่ของฉันกลายเป็นเชิงธุรกรรมแลกเปลี่ยนไปได้อย่างไร?

โดย เจินเฉิง, ประเทศจีน

ใน ค.ศ. 2008 ฉันน้อมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย  ฉันเข้าใจจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าว่าจุดประสงค์ของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าในยุคสุดท้ายและการแสดงความจริงของพระองค์ก็เพื่อชำระมนุษยชาติให้สะอาดอย่างถ้วนทั่ว ช่วยผู้คนให้รอดจากบาป และนำพวกเขาเข้าสู่บั้นปลายอันงดงาม  ฉันตื่นเต้นมากและต้องการสละตนเองในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อพระเจ้า  ไม่นานนักผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งก็จัดแจงให้ฉันให้น้ำแก่บรรดาผู้มาใหม่และดูแลกลุ่มการชุมนุมสองสามกลุ่ม  เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดี ฉันจึงปิดคลินิกที่ฉันเปิดกิจการมาหลายปีและใช้เวลากลางวันทำงานในคริสตจักร  ต่อมา เนื่องจากการจับกุมและข่มเหงที่พรรคคอมมิวนิสต์ดำเนินการ สามีของฉันจึงหย่าขาดจากฉัน  ในช่วงหลายปีนั้น ฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉันห่างไกลจากบ้านเสมอ และแม้ว่าบางครั้งฉันจะรู้สึกอ่อนแอ แต่ทันทีที่ฉันคิดว่าพระเจ้าทรงจดจำความทุกข์ที่ฉันสู้ทน ฉันก็มีความเชื่อและพละกำลัง

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2017 ผู้นำคริสตจักรพิจารณาภาวะร่างกายที่ย่ำแย่และอาการความดันโลหิตสูงของฉัน และให้ฉันหยุดทำหน้าที่สักระยะเพื่อให้ตัวฉันได้พักผ่อนบ้าง  ฉันรู้สึกไม่พอใจมากและคิดว่า “พระเจ้ากำลังจะทรงสรุปปิดพระราชกิจ ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญยิ่งที่ฉันจะทำหน้าที่และตระเตรียมความประพฤติที่ดี  ถ้าไม่มีหน้าที่ให้ปฏิบัติ ฉันจะมีบั้นปลายและจุดจบที่ดีได้อย่างไร?  ถ้าฉันไม่ได้รับพรในท้ายที่สุด การทำงานหนักและการยอมลำบากมาตลอดหลายปีนี้ก็จะสูญเปล่าหรือไม่?”  ในภายหลัง พี่น้องหญิงคนหนึ่งรับฉันไปอยู่ด้วย  เธอสามัคคีธรรมกับฉันในเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้าและช่วยเหลือฉัน แต่พอได้เห็นว่าเธอยุ่งอยู่กับหน้าที่ของเธอเสมอ ฉันก็อิจฉาเอามากๆ  ฉันทำหน้าที่ไม่ได้เพราะฉันไม่สบาย  พระเจ้าทรงใช้ภาวะของฉันมาทำให้ฉันขาดคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่ของฉันอย่างนั้นหรือ?  พระองค์กำลังพยายามที่จะเปิดโปงฉันและกำจัดฉันออกไปหรือเปล่า?  ความคิดเช่นนี้ทำให้ฉันอ่อนเปลี้ยไปหมดทั้งตัว และฉันรู้สึกเศร้าหมองและไร้ความหวังอย่างสิ้นเชิง  ฉันยังเข้าใจพระเจ้าผิดๆ และพร่ำบ่นพระองค์อีกด้วย ฉันนึกถึงที่ฉันเลิกล้มทุกสิ่งทุกอย่างและทนทุกข์มากมายเหลือเกินโดยไม่ปริปากบ่นอะไรสักคำตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้  แล้วฉันลงเอยแบบนี้ได้อย่างไร?  ในตอนนั้นฉันไม่สามารถทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้เลยจริงๆ และฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับพระองค์ในการอธิษฐาน  ฉันไม่อยากอาหารและนอนหลับได้ไม่ดี  หัวใจของฉันมีแต่ความมืดมิด พอพี่น้องหญิงคนนั้นเห็นฉันเป็นแบบนี้ ก็ตัดแต่งฉันโดยพูดว่า “คุณไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าจริง เหมือนเป็นคนละคนไปแล้วตอนนี้  คุณไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง” การถูกตัดแต่งเช่นนี้เป็นสิ่งที่ฉันรับฟังได้ยากมาก และฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าในการแสวงหาของฉันว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้วิธีรับมือสถานการณ์นี้ ข้าพระองค์ไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และไม่รู้ว่าควรเดินบนเส้นทางไหน  ข้าพระองค์กำลังใช้ชีวิตอยู่ในความมืดและทุกข์ใจจริงๆ  ได้โปรดประทานความรู้แจ้งและนำข้าพระองค์ด้วยเถิด”

ฉันเฝ้าอธิษฐานและแสวงหาอย่างหนักตลอดสองสามวันถัดมา  ในเช้าวันหนึ่งก็มีประโยคหนึ่ง จากพระวจนะของพระเจ้าผุดขึ้นมาในใจฉันว่า “เจ้ามีหน้าตาเหมือนผู้หนึ่งซึ่งสามารถได้รับพรหรือไม่?”  ฉันรีบเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาบทตอนนี้  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “หลังจากหลายพันปีแห่งความเสื่อมทราม มนุษย์ด้านชาและปัญญาทึบ เขาได้กลายเป็นปีศาจตนหนึ่งซึ่งต่อต้านพระเจ้า จนถึงขนาดที่ความเป็นกบฏของมนุษย์ต่อพระเจ้านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหลาย และกระทั่งมนุษย์เองก็ไม่สามารถที่จะพรรณนาพฤติกรรมอันเป็นกบฏของเขาได้อย่างครบถ้วน—ด้วยเหตุที่มนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และได้ถูกซาตานพาออกนอกลู่นอกทางไปถึงขนาดที่ว่าเขาไม่รู้ว่าจะหันไปทางใด  แม้กระทั่งวันนี้ มนุษย์ยังคงทรยศพระเจ้า กล่าวคือ เมื่อมนุษย์เห็นพระเจ้า เขาทรยศพระองค์ และเมื่อเขาไม่สามารถเห็นพระเจ้า เขาก็ทรยศพระองค์ด้วยเช่นกัน  มีแม้กระทั่งพวกที่เมื่อได้เป็นประจักษ์พยานในคำสาปแช่งของพระเจ้าและพระพิโรธของพระเจ้าแล้ว ก็ยังคงทรยศพระองค์  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าสำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้ว และมโนธรรมของมนุษย์ก็ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้วด้วยเช่นกัน  มนุษย์ที่เราเฝ้ามองคือสัตว์เดียรัจฉานตัวหนึ่งในเครื่องแต่งกายของมนุษย์ เขาเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง และไม่สำคัญว่าเขาพยายามทำตัวให้ดูเหมือนน่าเวทนาต่อหน้าต่อตาของเราเพียงใด เราจะไม่มีวันเมตตาเขา ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่มีการจับความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างขาวกับดำ ในความแตกต่างระหว่างความจริงกับสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง  สำนึกรับรู้ของมนุษย์ด้านชายิ่งนัก กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะได้รับพร สภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาต่ำศักดิ์ยิ่งนัก กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะมีอธิปไตยของกษัตริย์  เขาจะสามารถเป็นกษัตริย์ของใครได้ ด้วยสำนึกรับรู้เช่นนั้น?  เขาที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นจะสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่มีความละอายใจจริงๆ!  เขาคือผู้เคราะห์ร้ายที่ทะนงตนคนหนึ่ง!  สำหรับพวกเจ้าที่ปรารถนาจะได้รับพร เราขอแนะนำให้เจ้าหากระจกเงาบานหนึ่งแล้วมองดูภาพสะท้อนอันน่าเกลียดของเจ้าเองเสียก่อน—เจ้ามีสิ่งจำเป็นในการเป็นกษัตริย์หรือไม่?  เจ้ามีหน้าตาเหมือนผู้หนึ่งซึ่งสามารถได้รับพรหรือไม่?  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเลยแม้แต่น้อยและเจ้ายังไม่ได้นำความจริงใดๆ มาปฏิบัติเลย กระนั้นเจ้ายังคงปรารถนาที่จะมีวันพรุ่งนี้ที่น่าอัศจรรย์อยู่อีก  เจ้ากำลังหลอกตัวเอง!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า)  ฉันยังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับการอวยพร เพื่อให้ได้รับการปูนบำเหน็จ และเพื่อให้ได้รับมงกุฏ  สิ่งนี้มีอยู่ในหัวใจของทุกคนมิใช่หรือ?  เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งนี้มีอยู่ในหัวใจของทุกคน  ถึงแม้ผู้คนมักจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กัน และถึงกับปกปิดเหตุจูงใจและความอยากจะได้รับพระพรของตน ความอยากและเหตุจูงใจนี้ที่อยู่ลึกในหัวใจของผู้คนนั้นไม่สามารถสั่นคลอนได้เสมอมา  ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจทฤษฎีฝ่ายวิญญาณมากเพียงไหน พวกเขามีประสบการณ์หรือมีความรู้ใด พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ใดได้ พวกเขาสู้ทนความทุกข์มากมายเพียงใด หรือพวกเขาจ่ายราคามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยปล่อยมือจากแรงจูงใจที่อยากได้พรซึ่งซ่อนอยู่ลึกๆ ในหัวใจของตน และตรากตรำรับใช้แรงจูงใจนี้อยู่เงียบๆ เสมอ  นี่เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ลึกที่สุดภายในหัวใจของผู้คนมิใช่หรือ?  หากไร้ซึ่งแรงจูงใจในการได้รับพระพร พวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้าด้วยท่าทีเช่นใด?  ผู้คนจะกลายเป็นเช่นไรหากแรงจูงใจในการได้รับพระพรซึ่งซ่อนอยู่ในหัวใจของพวกเขาถูกกำจัดออกไป?  เป็นไปได้ว่าผู้คนมากมายจะกลายเป็นคนคิดลบ ขณะที่บางคนจะกลายเป็นคนที่ขาดแรงจูงใจในหน้าที่ของตน  พวกเขาจะหมดสิ้นความสนใจต่อการเชื่อในพระเจ้าของตน ราวกับจิตใจของพวกเขาได้อันตรธานไป  พวกเขาจะดูราวกับถูกกระชากหัวใจออกไป  นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงกล่าวว่าแรงจูงใจที่จะได้พระพรเป็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกในหัวใจของผู้คน  บางทีขณะที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือใช้ชีวิตคริสตจักร พวกเขาก็รู้สึกว่าสามารถละทิ้งครอบครัวของตนและยินดีสละตนเองเพื่อพระเจ้า และรู้สึกว่าตอนนี้พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับแรงจูงใจของตนในการได้รับพระพร อีกทั้งได้ละวางแรงจูงใจนี้ และไม่ถูกแรงจูงใจนี้ควบคุมหรือบีบบังคับอีกต่อไป  จากนั้นพวกเขาก็คิดว่า พวกเขาไม่มีแรงจูงใจที่จะได้รับพระพรอีกต่อไป ทว่าพระเจ้ามิได้ทรงเชื่อเช่นนั้น  ผู้คนมองดูเรื่องราวต่างๆ อย่างผิวเผินเท่านั้น  หากไร้ซึ่งบททดสอบ พวกเขาย่อมรู้สึกดีเกี่ยวกับตนเอง  ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ออกจากคริสตจักรหรือไม่ยอมรับพระนามของพระเจ้า และพวกเขายืนกรานที่จะสละตนเพื่อพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าตนเองเปลี่ยนไปแล้ว  พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยความมีใจกระตือรือร้นส่วนตนหรือแรงกระตุ้นชั่วขณะในการปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกต่อไป  ในทางกลับกันพวกเขาเชื่อว่าตนเองสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง รวมถึงสามารถแสวงหาและปฏิบัติความจริงอย่างต่อเนื่องพลางปฏิบัติหน้าที่ไปด้วย เพื่อให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และพวกเขาสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงบางอย่าง  อย่างไรก็ตาม เมื่อมีสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับบั้นปลายและจุดจบของผู้คนโดยตรงเกิดขึ้น พวกเขาประพฤติตนอย่างไร?  ความจริงย่อมได้รับการเปิดเผยอย่างครบถ้วน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตในชีวิต)  คำพิพากษาของพระเจ้าทำให้ฉันไม่มีที่ให้หลบซ่อน  เมื่อก่อนนี้ฉันรู้ตามทฤษฎีว่าความเชื่อในพระเจ้าไม่อาจเป็นไปเพื่อพร แต่ฉันก็ไม่ได้รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง สถานการณ์นี้พลันตีแผ่แรงจูงใจของฉันที่อยากได้พร  ฉันทิ้งบ้านและการงานในช่วงสองสามปีมานี้เพื่อมาทำหน้าที่ของฉันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  ฉันคิดว่าด้วยการยอมจ่ายราคาทั้งหมดนี้ ฉันย่อมจะได้รับความเห็นชอบและพรจากพระเจ้าเป็นแน่ และคิดว่าฉันจะมีบั้นปลายที่ดี ดังนั้นฉันจึงมีแรงจูงใจในการทำหน้าที่ของฉันอย่างมาก  ตอนนี้ ฉันทำหน้าที่ไม่ได้เพราะสุขภาพของฉัน ฉันเลยคิดว่าฉันได้สูญเสียบั้นปลายของตัวเองไปแล้วและความฝันของฉันที่จะได้พรก็เป็นอันสูญสลาย  ฉันไม่เพียงแต่นึกเสียใจที่ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ยังติเตียนพระเจ้า คิดหาเหตุผลมาเจรจากับพระองค์ และต่อต้านพระองค์ ฉันหดหู่จนไม่ยอมขยับตัว  ฉันทำเหมือนการพลีอุทิศของฉันคือต้นทุนในการค้าขายแลกเปลี่ยนพรกับพระเจ้า คิดไปว่าความทุกข์และการสร้างคุณูปการของฉันหมายความว่าพระเจ้าทรงติดค้างฉันเป็นบั้นปลายและจุดจบที่ดี  เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น ฉันก็พร่ำบ่นและติเตียนพระเจ้า  เบื้องหลังความคิดลบของฉันจึงมีเหตุจูงใจที่จะได้รับพรซ่อนอยู่  มุมมองในความเชื่อของฉันคือการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า และใช้พระองค์เพื่อที่จะได้รับพร  นี่คือการเล่นไม่ซื่อกับพระเจ้าและต้านทานพระองค์  คุณูปการและการสละสิ่งต่างๆ ของเปาโลทำไปเพื่อเจรจาทำข้อตกลงกับพระเจ้าและเรียกร้องมงกุฎแห่งความชอบธรรมจากพระองค์  นี่เป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างร้ายแรง และเขาก็ถูกลงโทษ  หลังจากที่ฉันพลีอุทิศและสละบางสิ่งบางอย่าง ฉันก็เรียกร้องบำเหน็จ สัญญา และพรจากพระเจ้าเช่นกัน  พอฉันไม่ได้อย่างที่หวัง ฉันก็เข้าใจพระเจ้าผิดและติเตียนพระองค์ และถึงขั้นคิดที่จะทรยศพระองค์  ฉันแตกต่างจากเปาโลกตรงไหน?  ฉันมีเหตุผลและมโนธรรมสักเศษเสี้ยวหรือไม่?  ฉันสละเวลาบางส่วนและยอมลำบากในหน้าที่อยู่บ้าง แต่เพราะฉันไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง และยังคงเต็มไปด้วยความเสื่อมทรามและความไม่บริสุทธิ์ ฉันจึงไม่สามารถทำหน้าที่ของตนให้ได้ผลดี และบางครั้งฉันถึงกับก่อให้เกิดการหยุดชะงัก  ในหนทางนี้ฉันจึงกำลังใช้คุณูปการและการสละของฉันมาเป็นต้นทุนเพื่อพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้าและพยายามให้ได้พร  ฉันช่างไร้ยางอายอย่างเหลือเชื่อจริงๆ!  ถ้าสุขภาพของฉันไม่ได้หยุดยั้งฉันจากการทำหน้าที่ ฉันก็คงไม่มีวันมองเห็นการไล่ตามไขว่คว้าพรอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสมในความเชื่อของตัวเอง และคงจะเดินต่อไปบนเส้นทางที่ผิดจนลงเอยเหมือนอย่างเปาโลไม่มีผิดในท้ายที่สุด  ความคิดเหล่านี้ทำให้ฉันยังคงมีความกลัวหลงเหลืออยู่ และฉันก็ตระหนักว่าการที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมสถานการณ์นี้คือความรักและความรอดที่พระองค์ทรงมีให้ฉัน!  ฉันเต็มไปด้วยความเสียใจและการตำหนิตัวเองทันทีที่ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และฉันอธิษฐานทั้งน้ำตาว่า “โอ พระเจ้า!  ข้าพระองค์สำนึกขอบคุณในความรอดของพระองค์เหลือเกิน  หากไม่ถูกเปิดโปงเช่นนี้ ข้าพระองค์ก็คงต่อต้านพระองค์โดยไม่ได้ล่วงรู้สาเหตุ  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจต่อพระองค์และเลิกไล่ตามไขว่คว้าพร  ข้าพระองค์ต้องการเพียงไล่ตามเสาะหาความจริง ปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์เท่านั้น”

หลังการอธิษฐานฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม ซึ่งพรรณนาถึงประสบการณ์ที่เปโตรมีกับกระบวนการถลุง  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เราทำให้เขาต้องพบกับการทดสอบนับครั้งไม่ถ้วน—การทดสอบที่โดยธรรมชาติแล้วได้ทิ้งให้เขาอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย—แต่ท่ามกลางการทดสอบหลายร้อยครั้งเหล่านี้ เขาไม่เคยสูญสิ้นความเชื่อในเราหรือรู้สึกผิดหวังในเราเลยแม้สักครั้งเดียว  แม้ในยามที่เราพูดว่าเราละทิ้งเขาแล้ว เขาก็ยังคงไม่ท้อแท้ และยังคงรักเราต่อไปในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและโดยสอดคล้องกับหลักธรรมแห่งการปฏิบัติในอดีตกาล  เราบอกเขาว่าเราจะไม่สรรเสริญเขาแม้ว่าเขาจะรักเรา ว่าท้ายที่สุดแล้วเราจะขับเขาไปอยู่ในมือของซาตาน  แต่ท่ามกลางการทดสอบเช่นนั้น การทดสอบที่ไม่ได้เกิดกับเนื้อหนังของเขา แต่เป็นการทดสอบแห่งวจนะ เขาก็ยังคงอธิษฐานต่อเราแล้วกล่าวว่า ‘โอ พระเจ้า!  ท่ามกลางสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง มีบุคคล เรื่องราว หรือเหตุการณ์ใดที่ไม่อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์?  เมื่อพระองค์ทรงกรุณาข้าพระองค์ หัวใจของข้าพระองค์ก็ชื่นบานเป็นอันมากกับความกรุณาของพระองค์  เมื่อพระองค์พิพากษาข้าพระองค์ แม้ข้าพระองค์อาจไม่ควรค่า แต่ข้าพระองค์ก็มีสำนึกมากขึ้นถึงความมิอาจหยั่งถึงได้แห่งกิจการของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจและพระปัญญา  แม้เนื้อหนังของข้าพระองค์จะทนทุกข์กับความยากลำบาก แต่วิญญาณของข้าพระองค์ก็ได้รับการชูใจ  ข้าพระองค์จะไม่สรรเสริญพระปัญญาและกิจการของพระองค์ได้อย่างไร?  ต่อให้ข้าพระองค์ต้องตายหลังจากที่ได้รู้จักพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ตายอย่างเปรมปรีดิ์และมีความสุขได้อย่างไร?  องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!  พระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะให้ข้าพระองค์เห็นพระองค์จริงหรือ?  ข้าพระองค์ไม่เหมาะที่จะได้รับการพิพากษาจากพระองค์จริงหรือ?  เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีบางสิ่งบางอย่างในตัวข้าพระองค์ที่พระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะเห็น?’  ในระหว่างการทดสอบเช่นนั้น ถึงแม้ว่าเปโตรจะไม่สามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของเราได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แต่ก็เป็นที่ประจักษ์ว่าเขาภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติที่ถูกเราใช้ (ถึงแม้เขาจะได้รับการพิพากษาจากเราเพื่อให้มนุษยชาติได้เห็นบารมีและความโกรธของเรา) และชัดเจนว่าเขาไม่ได้เศร้าหมองกับการทดสอบเหล่านี้  เนื่องจากความจงรักภักดีของเขาเบื้องหน้าเรา และเนื่องจากพรที่เรามอบแก่เขา เขาจึงเป็นแบบอย่างและต้นแบบสำหรับมนุษย์มานานหลายพันปี  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรเอาอย่างโดยแท้หรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 6)  ฉันมองเห็นในพระวจนะของพระเจ้าว่าเปโตรไม่ถูกชะตากรรมหรือบั้นปลายของเขาตีกรอบ  แม้กระทั่งเมื่อพระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะไม่ทรงเห็นชอบในตัวเปโตรแม้ว่าเขาจะรักพระองค์ก็ตาม และจะทรงส่งตัวเขาให้ซาตานในท้ายที่สุด เปโตรก็ยังคงไล่ตามเสาะหาที่จะรักพระเจ้าต่อไป และนบนอบจนตัวตาย  ไม่มีอะไรในเชิงธุรกรรมแลกเปลี่ยนหรือไม่บริสุทธิ์ในความรักที่เปโตรมีต่อพระเจ้าเลย  นี่คือความรักและความเชื่อฟังที่แท้จริง  ฉันพบเส้นทางปฏิบัติจากพระวจนะของพระเจ้า และเต็มใจเสาะแสวงที่จะรักพระเจ้าเหมือนอย่างเปโตร  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อฉันอย่างไร ไม่ว่าฉันจะมีจุดจบหรือบั้นปลายหรือไม่ ฉันก็จะนบนอบต่อกฏเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  แม้ว่าในเวลานั้นฉันจะไม่สามารถทำหน้าที่ของฉันในคริสตจักรได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ฉันได้ชื่นชมสิ่งบำรุงเลี้ยงจากพระวจนะของพระเจ้า และมีประสบการณ์บางอย่าง ฉันจึงสามารถเขียนถึงสิ่งที่ฉันผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อเป็นพยานให้พระองค์ได้  นี่ก็เป็นการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเช่นกัน  หลังจากนี้ฉันเริ่มสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยๆ ไตร่ตรองพระวจนะของพระองค์ และเขียนคำพยานจากประสบการณ์  ฉันรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ายิ่งขึ้นอย่างมาก และเลิกกังวลเรื่องอนาคตและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้  ฉันรู้สึกถึงการปลดปล่อยและความผ่อนคลายอันยิ่งใหญ่  หลังพักฟื้นมาช่วงหนึ่ง ความดันโลหิตของฉันก็กลับเป็นปกติ และฉันได้กลับไปทำหน้าที่ของตนเองในคริสตจักร

ฉันนึกว่าหลังจากประสบการณ์นั้นแล้ว ตัวเองมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับทรรศนะของตนในเรื่องความเชื่อในพระเจ้า และนึกว่าฉันจะไม่ถูกความหวังที่จะได้รับพรจำกัดควบคุมอีกแล้ว  แต่ไม่นานความอยากได้อยากมีพรก็กลับมาอีก

ในตอนนั้นฉันทำหน้าที่เป็นผู้นำคริสตจักร  ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ผู้นำของพวกเราขอให้พวกเราตรวจสอบความสามารถในการทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้นำกลุ่มแต่ละคนและบอกพวกเราว่าจะเลือกผู้คนที่ตลบตะแลงหรือผู้คนที่ไม่ยอมรับความจริงมารับตำแหน่งนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด  เมื่อได้ฟังดังนี้ ฉันก็คิดว่าฉันต้องลงมือทำตามนี้ทันที และคิดว่าการใช้คนผิดสามารถสร้างความเสียหายให้แก่งานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงได้  ถ้ากรณีนี้เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ฉันอาจถูกปลดเอาได้เท่านั้น แต่นี่ยังจะเป็นการฝ่าฝืนและเป็นการประพฤติชั่วอีกด้วย  หนึ่งเดือนต่อมามีการเปลี่ยนแปลงบุคลากรตามความจำเป็น และฉันรู้สึกมีความสุขมาก  แต่น่าประหลาดใจที่ในเวลาไม่นานผู้นำของพวกเราก็พบว่าหนึ่งในผู้คนที่ฉันเลือกเป็นคนตลบตะแลง  นี่ทำให้ฉันเสียใจมาก  ฉันรู้สึกว่าตัวเองทำหน้าที่ได้ไม่ดี และทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก  หลังจากนั้นไม่นานพี่น้องชายหญิงได้รายงานว่าคนที่ฉันเลือกอีกคนหนึ่งก็มีอุปนิสัยที่โอหังมาก  เขาทำหน้าที่แบบเผด็จการ ไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของคนอื่น และยังดุว่าและจำกัดควบคุมพี่น้องชายหญิง  เมื่อเห็นปัญหาในงานเกิดตามกันมาติดๆ ฉันก็พลันรู้สึกขยับตัวไม่ออก  ฉันรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจความจริงอย่างตื้นเขิน และขาดพร่องความเป็นจริงความจริง  ถ้ามีอะไรอื่นผิดพลาดอีกและส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร นั่นย่อมจะเป็นความชั่วอันใหญ่หลวง  แล้วอย่างนั้น อนาคตและบั้นปลายของฉันจะไม่จบสิ้นหรอกหรือ?  ฉันรู้สึกว่าฉันควรเปลี่ยนหน้าที่ทันที  เช้าวันหนึ่งฉันเริ่มรู้สึกเวียนหัว และเห็นว่าความดันโลหิตของฉันสูงกว่าปกติมาก  ฉันบอกผู้นำถึงอาการทางร่างกายของฉัน โดยคิดว่าในเมื่อฉันมีปัญหาด้านสุขภาพ ถ้าเธอเปลี่ยนหน้าที่ให้ฉัน ก็จะดีมาก  แบบนั้นฉันจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบมากเหมือนเมื่อก่อน  ฉันพูดกับพี่น้องหญิงคนที่ทำงานกับฉันว่า “ถ้าให้ฉันกลับบ้าน ฉันก็เต็มใจที่จะทำตาม และจะทำหน้าที่อะไรก็ตามที่ฉันทำได้หลังจากนั้น”  พอฉันพูดเช่นนี้ พี่น้องหญิงก็ตัดแต่งฉัน บอกว่าฉันกำลังแสดงความคิดลบออกมาและควรทบทวนตนเอง  ฉันไม่อยากยอมรับเรื่องนี้  ฉันคิดว่าฉันสามารถเชื่อฟังและเต็มใจที่จะทำหน้าที่อะไรก็ได้ที่ฉันทำได้  นั่นเป็นการแสดงให้เห็นความคิดลบตรงไหน?  แต่แล้วฉันก็คิดได้ว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้เธอพูดแบบนั้น ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อขอการทรงนำจากพระองค์ให้ฉันสามารถรู้สภาวะของตัวเอง

จากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ไม่ว่าพวกเขาจะถูกทดสอบอย่างไร ความสวามิภักดิ์ของบรรดาผู้ที่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สำหรับพวกที่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา ทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อเนื้อหนังของพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมเปลี่ยนทัศนะที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า และอาจถึงขั้นแยกห่างจากพระเจ้า  เช่นนั้นคือพวกที่จะไม่ตั้งมั่นในเบื้องปลาย พวกที่แสวงหาเพียงพรของพระเจ้าและไม่มีความพึงปรารถนาที่จะสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้าและมอบอุทิศตัวพวกเขาเองแด่พระองค์  ผู้คนต่ำช้าเช่นนั้นทั้งหมดจะถูกขับไล่เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไปถึงบทอวสาน และพวกเขาไม่ควรค่าแก่ความเห็นอกเห็นใจใดๆ  พวกที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมไม่สามารถรักพระเจ้าอย่างแท้จริงได้  เมื่อสภาพแวดล้อมมีความปลอดภัยและมั่นคงหรือเมื่อมีผลกำไรให้ทำ พวกเขาจะเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเต็มที่ แต่เมื่อสิ่งที่พวกเขาอยากได้อยากมีถูกประนีประนอมลงมาหรือถูกหักล้างในที่สุด พวกเขาก็ลุกฮือทันที  แม้แต่ในระยะชั่วข้ามคืนเท่านั้น พวกเขาก็อาจเปลี่ยนจากบุคคลที่ยิ้มแย้มและ ‘ใจดี’ เป็นฆาตกรที่น่าเกลียดและดุดัน ที่พลันปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณในวันวานของพวกเขาประดุจศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขาโดยไม่มีเหตุผลใดๆ  หากผีเหล่านี้ไม่ถูกไล่ออกไป ผีเหล่านี้ซึ่งจะลงมือฆ่าโดยไม่มีการกะพริบตา พวกมันจะไม่กลายเป็นอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์)  พระวจนะที่พิพากษาและเปิดเผยของพระเจ้าทำให้ฉันรู้สึกละอายแก่ใจ  ฉันคือคนแบบที่พระองค์ทรงเผยให้เห็นโดยแท้มิใช่หรือ?  ฉันมีใจกระตือรือร้นและทำงานหนักเมื่อคิดว่าหน้าที่ของฉันจะทำให้เกิดพร  ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ฉันก็จะพลันไม่เป็นมิตรและไม่ต้องการทำหน้าที่นั้นอีกต่อไป  ฉันเอาแต่คิดถึงอนาคตและบั้นปลายของฉันเท่านั้น  เมื่อฉันทำหน้าที่ผิดพลาด ฉันไม่ได้ทบทวนหรือแสวงหาความจริงเกี่ยวกับความล้มเหลวของตน หรือชดเชยข้อบกพร่องทั้งหลายของตนเอง หรือเพียรพยายามที่จะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ฉันกลับกลัวที่จะรับผิดชอบและทำให้อนาคตของฉันตกอยู่ในอันตราย  ฉันอยากบ่ายเบี่ยงให้พ้นหน้าที่นี้และเปลี่ยนไปทำหน้าที่ที่รับผิดชอบน้อยกว่า โดยใช้ความดันโลหิตของฉันเป็นข้ออ้าง  ภายนอกฉันดูมีเหตุผลดี แต่ฉันมีเหตุจูงใจที่น่าดูหมิ่นซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง  ฉันตลบตะแลงเหลือเกิน!

ฉันเริ่มทบทวนว่าอะไรคือรากเหง้าที่แท้จริงของการที่ฉันไล่ตามไขว่คว้าพรอยู่เสมอในความเชื่อของตนเอง  ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง  มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์  ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตัวเองเพื่อพระเจ้า นั่นเป็นไปเพื่อที่จะได้รับพร และเมื่อพวกเขาจงรักภักดีต่อพระองค์ นั่นก็เป็นไปเพื่อที่จะได้รับรางวัล  โดยสรุปแล้ว ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพร ได้รับรางวัล และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  ในสังคม ผู้คนทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่เพื่อที่จะได้รับพร  เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ไม่มีหลักฐานถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  ฉันเรียนรู้จากพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าว่าฉันนึกถึงอนาคตและบั้นปลายของตนเองอยู่เสมอเพราะฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำยิ่ง “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “อย่ากระดิกแม้แต่นิ้วเดียวหากไม่ได้รางวัล” กฎแห่งความอยู่รอดเยี่ยงซาตานเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติของฉันมานานแล้ว ทำให้ฉันยิ่งเห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่น และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากขึ้นทุกที  ฉันคิดถึงผลตอบแทนส่วนตัวในทุกสิ่งที่ตนทำ  เมื่อมองดูเส้นทางในความเชื่อของฉันตลอดเวลาหลายปีนั้น จุดเริ่มต้นในการทำหน้าที่ของฉัน คือการได้รับพร ได้รับบำเหน็จ มีบั้นปลายที่ดีซึ่งเป็นการเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ในท้ายที่สุด  เวลาหลายปีที่ฉันทำงานหนักและทนทุกข์ไม่ใช่การสละเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ทั้งหมดเป็นไปเพื่อที่จะใช้พระเจ้า เล่นไม่ซื่อกับพระองค์ ทำข้อตกลงกับพระองค์ ไม่ได้เป็นไปเพื่อที่จะรักหรือทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเลย  ฉันจะได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีความเชื่อได้อย่างไร?  การที่สามารถฝึกฝนในฐานะผู้นำคนหนึ่งได้นั้นเป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า—น้ำพระทัยของพระเจ้าคือการให้ฉันได้ฝึกใช้ความจริงแก้ไขปัญหาและเรียนรู้ที่จะมีวิจารณญาณและความรู้ความเข้าใจเชิงลึก แต่ฉันกลับมองไม่เห็นความล้ำค่าของโอกาสนี้  ฉันไม่ได้ทำให้ตัวเองถึงพร้อมด้วยความจริงและเข้าสู่ความจริง และเอาแต่คิดถึงอนาคตและชะตากรรมของตนเองเท่านั้น  ฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ฉันรู้ว่าฉันต้องกลับใจและไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่อย่างนั้นฉันก็จะลงเอยด้วยการถูกทำลายอย่างแน่นอน

ในการเฝ้าเดี่ยวครั้งหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ความว่า “เหตุผลเดียวที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ทรงเข้ามาสู่เนื้อหนังก็เนื่องจากความต้องการที่จำเป็นของมนุษย์ที่เสื่อมทราม เป็นเพราะความจำเป็นของมนุษย์นั่นเอง ไม่ใช่ของพระเจ้า และการพลีอุทิศและความทุกข์ทั้งหมดของพระองค์นั้นล้วนเป็นไปเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของมวลมนุษย์ และมิใช่เพื่อประโยชน์ของพระเจ้าพระองค์เอง  ไม่มีข้อดีและข้อเสียหรือรางวัลตอบแทนอันใดเลยสำหรับพระเจ้า พระองค์จะไม่ได้เก็บเกี่ยวพืชผลในอนาคตบางอย่าง แต่พืชผลนั้นเองที่ติดค้างพระองค์มาแต่เดิม  ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำและทรงพลีอุทิศให้แก่มวลมนุษย์นั้นมิใช่เพื่อที่พระองค์อาจจะทรงได้รับรางวัลตอบแทนอันใหญ่หลวงทั้งหลาย  แต่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของมวลมนุษย์โดยล้วน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกขณะ)  เมื่อใคร่ครวญเรื่องนี้ ความรักของพระเจ้าก็ดลใจฉันอย่างลึกซึ้ง  พระเจ้า—ผู้ทรงสูงสุด บริสุทธิ์ และทรงเกียรติ—ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ถึงสองครั้งเพื่อช่วยมวลมนุษย์ที่แสนจะเสื่อมทรามให้รอด ทรงทนทุกข์กับความอัปยศอดสูและความเจ็บปวดอย่างสาหัส  องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์ โดยจ่ายราคาเป็นพระชนม์ชีพของพระองค์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาที่ประเทศจีนในยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด และถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและโลกศาสนาข่มเหง ไล่ล่า และใส่ร้ายตลอดมา  พระองค์ทรงทนทุกข์กับทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะทรงพระราชกิจท่ามกลางพวกเรา เพื่อประทานพระวจนะของพระองค์แก่พวกเราโดยไม่ทรงต้องการอะไรตอบแทน เพียงเพื่อช่วยพวกเราให้รอดจากอิทธิพลของซาตานเท่านั้น  พระเจ้าทรงจ่ายราคามหาศาลเช่นนี้เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด โดยไม่เคยทรงคำนึงถึงว่าจะทรงได้กำไรหรือขาดทุน  พระองค์ไม่ทรงประสงค์สิ่งตอบแทนจากพวกเรา พระองค์ไม่ทรงเรียกร้องอะไรจากพวกเรา  ความรักของพระเจ้านั้นแท้จริงและไม่เห็นแก่ตัว  แก่นแท้ของพระเจ้างดงามและดีงามเหลือเกิน! แล้วดูฉันสิ ฉันเคยพูดว่าฉันมีความเชื่อและต้องการที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ฉันไม่ได้จริงใจต่อพระองค์เลย  ฉันอ้างตัวว่าสละเพื่อพระองค์ก็เพื่อจะหาทางทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเป็นพรเท่านั้น  นี่คือการใช้พระเจ้าและเล่นไม่ซื่อกับพระองค์  ฉันได้เห็นว่าตัวเองเห็นแก่ตัว ตลบตะแลง ด้อยค่า และน่าละอายเพียงใด  คนอย่างฉันจะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ไม่ว่าการพลีอุทิศของตนเองจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม  ฉันยังได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มนุษย์ควรพยายามลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพยายามรักพระเจ้าโดยไม่สร้างตัวเลือกอื่น เพราะพระเจ้าทรงคู่ควรกับความรักของมนุษย์  บรรดาผู้ที่พยายามรักพระเจ้าไม่ควรแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวใดๆ หรือแสวงหาสิ่งซึ่งพวกเขาถวิลหาเป็นการส่วนตัว นี่คือวิถีทางที่ถูกต้องที่สุดของการไล่ตามเสาะหา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน)  ฉันมองเห็นในพระวจนะของพระเจ้าว่าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเราไม่ควรมีความเชื่อเพื่อให้ใด้รับพร  พวกเราควรไล่ตามเสาะหาที่จะรักพระเจ้าและพยายามทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นี่คือหนทางดำเนินชีวิตที่มีความหมายที่สุด  ฉันกล่าวคำอธิษฐานนี้ต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการกลับใจต่อพระองค์ เลิกแสวงหาพร  ไม่ว่าบั้นปลายสุดท้ายของข้าพระองค์จะเป็นอย่างไร ข้าพระองค์ก็ต้องการที่จะทำหน้าที่ของตนให้ดีเพื่อตอบแทนความรักของพระองค์เท่านั้น”  ทันทีที่ฉันแก้ไขสภาวะของตนให้ถูกต้อง ความดันโลหิตของฉันก็คงที่

ในเวลาต่อมา ฉันยังได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน ความว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่  หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา  การได้รับพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมกับพรของพระเจ้าหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา  การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำเป็นอย่างน้อย  เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง  เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้าว่า การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา  โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา  ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์)  “ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าผู้คนจะสามารถบรรลุความรอดหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาทำหน้าที่ใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถเข้าใจและได้รับความจริงได้หรือไม่ และขึ้นอยู่กับว่าในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าต่อโดยสมบูรณ์ มอบตนเองให้ความกรุณาแห่งการจัดการเตรียมการของพระองค์ ไม่คำนึงถึงอนาคตและบั้นปลายของตน และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติดีพอได้หรือไม่  พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ และสิ่งเหล่านี้คือมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้เพื่อประเมินวัดมวลมนุษย์ทั้งปวง  มาตรฐานเหล่านี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ และเจ้าต้องจดจำการนี้ไว้  จงจารึกมาตรฐานเหล่านี้ไว้ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า และไม่ว่าเมื่อไรก็ตามจงอย่านึกถึงการค้นหาเส้นทางอื่นบางเส้นทางในการไล่ตามไขว่คว้าบางสิ่งที่ไม่เป็นจริง  ข้อพึงประสงค์และมาตรฐานทั้งหลายที่พระเจ้าทรงมีสำหรับทุกคนที่ต้องการบรรลุความรอดก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล สิ่งเหล่านั้นยังคงเป็นอย่างเดิมไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าช่วยให้ฉันเข้าใจว่าหน้าที่ของพวกเราไม่เกี่ยวอะไรกับการที่พวกเราจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งในท้ายที่สุด  กุญแจสำคัญในการได้รับการช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์อยู่ที่พวกเราสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความจริง และสามารถเปลี่ยนอุปนิสัยของตนหรือไม่  ฉันจะได้ทำหน้าที่อะไรและเมื่อไรนั้นล้วนกำหนดพิจารณาโดยพระเจ้า และจุดจบกับบั้นปลายของฉันก็ยิ่งขึ้นอยู่กับการปกครองและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเข้าไปใหญ่  สิ่งที่ฉันควรทำคือยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและอุทิศตนทำหน้าที่ของฉัน  ฉันยังตระหนักอีกว่าการรับใช้ในฐานะผู้นำคริสตจักรของฉันนั้นคือการยกชูของพระเจ้าและคือการที่พระเจ้าประทานโอกาสให้ฉันฝึกฝนปฏิบัติ  เปิดโอกาสให้ฉันมองเห็นข้อเสียและความขาดตกบกพร่องของตนในระหว่างที่ทำหน้าที่  การแสวงหาความจริงและการเข้าใจหลักธรรมความจริงในทุกแง่ทุกมุมสามารถเร่งให้ฉันเจริญเติบโตในชีวิตได้เร็วขึ้น เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ฉันก็เลิกรู้สึกอึดอัดกับอนาคตและชะตากรรมของตนเอง และไม่อยากเปลี่ยนหน้าที่อีกต่อไป  ฉันสามารถนบนอบและทำหน้าที่ของตนได้อย่างหนักแน่นมั่นคง แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขทุกปัญหาที่เกิดขึ้น  เมื่อเวลาผ่านไป ฉันจับความเข้าใจในหลักธรรมบางอย่างได้อย่างช้าๆ และผิดพลาดในหน้าที่ของตนน้อยลงเรื่อยๆ  การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและไม่ทำหน้าที่ของตนเพื่อพรนับเป็นการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจริงๆ  หน้าที่ของฉันมีพระเจ้าทรงนำตลอดมา และมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ  ขอคำขอบคุณจงมีแด่ความรอดของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 55. ฉันค้นพบที่ทางของตัวเองแล้ว

ถัดไป: 57. จงไล่ตามเสาะหาความจริงให้มากยิ่งขึ้นในยามชรา

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger