2. เกี่ยวกับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระคัมภีร์แถลงอย่างชัดเจนว่า “แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลาแม้แต่บรรดาทูตแห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว(มัทธิว 24:36)  ไม่มีใครรู้เวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา ทว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังให้คำพยานว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาเรียบร้อยแล้ว  พวกคุณรู้การนี้ได้อย่างไรกัน?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง

“เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” (มัทธิว 25:6)

“นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20)

“แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27)

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

เนื่องจากว่าพวกเรากำลังตามหารอยพระบาทของพระเจ้า จึงจำเป็นที่พวกเราต้องค้นหาน้ำพระทัยของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า ถ้อยดำรัสของพระองค์—เพราะที่ใดก็ตามที่มีพระวจนะใหม่ๆ ที่พระเจ้าตรัส พระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่ที่นั่น และที่ใดที่มีก้าวพระบาทของพระเจ้า กิจการต่างๆ ของพระเจ้าก็อยู่ที่นั่น  ที่ใดก็ตามที่มีการทรงแสดงออกของพระเจ้า ที่นั่นพระเจ้าทรงปรากฏ และที่ใดที่พระเจ้าทรงปรากฏ ที่นั่นความจริง หนทาง และชีวิตดำรงอยู่  ในการค้นหารอยพระบาทของพระเจ้า พวกเจ้าได้ละเลยคำว่า “พระเจ้าคือความจริง หนทาง และชีวิต” และดังนั้น ผู้คนมากมายแม้ในเวลาที่พวกเขาได้รับความจริงจึงไม่เชื่อว่าพวกเขาได้พบรอยพระบาทของพระเจ้าแล้ว และพวกเขายิ่งไม่ยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้า  เป็นความผิดพลาดร้ายแรงยิ่งนัก!  การทรงปรากฏของพระเจ้าไม่สามารถลงรอยกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้ และพระเจ้ายิ่งไม่สามารถจะปรากฏโดยคำขอของมนุษย์  พระเจ้าทรงทำการเลือกและทรงทำแผนการของพระองค์เองเมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์ของพระองค์เองและวิธีการของพระองค์เอง  ไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจใด พระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นต้องหารือกับมนุษย์หรือหาคำแนะนำของเขา นับประสาอะไรที่จะต้องทรงแจ้งให้ทุกๆ คนรู้ถึงพระราชกิจของพระองค์  นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า ซึ่งยิ่งไปกว่านั้นควรได้รับการยอมรับจากทุกคน  หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะประจักษ์ในการทรงปรากฏของพระเจ้า ตามก้าวพระบาทของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเดินออกห่างจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเสียก่อน  เจ้าต้องไม่เรียกร้องให้พระเจ้าทรงทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น นับประสาอะไรที่เจ้าจะควรวางพระองค์ไว้ในขอบเขตของเจ้าเองและจำกัดพระองค์ไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง  แต่เจ้ากลับควรเรียกร้องตัวพวกเจ้าเองว่าพวกเจ้าควรที่จะแสวงหารอยพระบาทของพระเจ้าอย่างไร เจ้าควรที่จะยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้าอย่างไร และเจ้าควรที่จะยอมจำนนต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอย่างไร กล่าวคือ นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ เนื่องจากมนุษย์ไม่ใช่ความจริง และไม่ได้ครอบครองความจริง เขาจึงควรแสวงหา ยอมรับ และเชื่อฟัง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่

วันนี้พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจใหม่  เจ้าอาจไม่มีความสามารถที่จะยอมรับวจนะเหล่านี้และวจนะเหล่านี้อาจดูแปลกสำหรับเจ้า แต่เราจะแนะนำให้เจ้าไม่ตีแผ่ความเป็นธรรมชาติของเจ้า เพราะมีเพียงผู้คนที่หิวและกระหายอย่างแท้จริงต่อความชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถได้รับความจริง และมีเพียงผู้คนที่มีใจศรัทธาอย่างแท้จริงเท่านั้นที่สามารถได้รับการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระองค์  ผลลัพธ์ทั้งหลายนั้นได้มาจากการแสวงหาความจริงด้วยความสงบเปี่ยมสติสัมปชัญญะ มิใช่ด้วยการวิวาทและการโต้เถียง  เมื่อเราพูดว่า “วันนี้พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจใหม่แล้ว” เรากำลังอ้างอิงถึงเรื่องของการทรงกลับสู่เนื้อหนังของพระเจ้า  บางทีวจนะเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เจ้ารู้สึกอะไร บางทีเจ้าอาจดูหมิ่นวจนะเหล่านี้ หรือแม้แต่บางทีวจนะเหล่านี้เป็นที่สนใจของเจ้าอย่างยิ่ง  ไม่ว่าในกรณีใด เราหวังว่าบรรดาผู้ที่โหยหาอย่างแท้จริงให้พระเจ้าทรงปรากฏพระองค์จะสามารถเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงนี้และพินิจพิเคราะห์มันอย่างรอบคอบ แทนที่จะด่วนสรุปต่างๆ นานาเกี่ยวกับมัน นั่นคือสิ่งที่บุคคลซึ่งมีปัญญาควรทำ

ไม่ใช่การยากที่จะสืบค้นเข้าไปในสิ่งเช่นนี้ แต่ก็จำเป็นที่พวกเราแต่ละคนต้องรู้ความจริงข้อนี้ กล่าวคือ พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า  ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา  เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด  หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส  ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์  และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก  หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์มืดบอดและไม่รู้เท่าทัน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ

พระเจ้าทรงนิ่งเงียบและไม่เคยทรงปรากฏต่อพวกเรา กระนั้นพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่เคยหยุด  พระองค์สำรวจโลกทั้งใบและบัญชาการทุกสรรพสิ่งและมองดูถ้อยคำและความประพฤติทั้งหมดของมนุษย์  พระองค์ดำเนินการบริหารจัดการของพระองค์ด้วยขั้นตอนที่ได้ไตร่ตรองตัดสินไว้และโดยสอดคล้องกับแผนของพระองค์ อย่างเงียบเชียบและไร้ผลกระทบรุนแรง แต่ฝีพระบาทของพระองค์ขยับก้าวหน้า ก้าวแล้วก้าวเล่า เข้าใกล้มนุษยชาติมากขึ้นทุกที และพระที่นั่งเพื่อการพิพากษาของพระองค์ถูกนำมาใช้ในจักรวาลด้วยความเร็วแห่งสายฟ้า ซึ่งตามมาด้วยพระบัลลังก์ของพระองค์ที่เคลื่อนลงสู่กลางหมู่พวกเราโดยทันใด  ช่างเป็นฉากอันเปี่ยมพระบารมีอะไรเช่นนี้ ช่างเป็นเวทีเงียบอันภูมิฐานและเคร่งขรึมอะไรเช่นนี้!  ดุจดั่งนกพิราบและประหนึ่งสิงโตคำราม พระวิญญาณเสด็จมาท่ามกลางพวกเรา  พระองค์ทรงเป็นพระปรีชาญาณ พระองค์ทรงเป็นความชอบธรรมและพระบารมี และพระองค์เสด็จอย่างลับๆ มาท่ามกลางพวกเรา ทรงกวัดแกว่งสิทธิอำนาจและเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา  ไม่มีใครตระหนักรู้ถึงการเสด็จมาถึงของพระองค์ ไม่มีใครต้อนรับการเสด็จมาถึงของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์กำลังจะทรงทำ  ชีวิตของมนุษย์ดำเนินต่อไปเหมือนเมื่อก่อน หัวใจของเขาไม่แตกต่าง และวันเวลาก็ผันผ่านไปตามปกติ  พระเจ้าทรงดำเนินพระชนม์ชีพท่ามกลางพวกเรา มนุษย์คนหนึ่งซึ่งเหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ ในฐานะของหนึ่งในผู้ติดตามที่ไม่มีความสำคัญที่สุดและผู้เชื่อธรรมดาคนหนึ่ง  พระองค์ทรงมีสิ่งเสาะแสวงของพระองค์เอง เป้าหมายของพระองค์เอง และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงมีเทวสภาพที่ไม่มีมนุษย์ธรรมดาผู้ใดมี  ไม่มีใครสังเกตเห็นการดำรงอยู่ของเทวสภาพของพระองค์และไม่มีใครล่วงรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเนื้อแท้ของพระองค์กับธาตุแท้ของมนุษย์  พวกเรามีชีวิตร่วมกับพระองค์ อย่างไร้ข้อจำกัดและปราศจากความกลัว เพราะในสายตาของพวกเรา พระองค์เป็นเพียงผู้เชื่อที่ไม่มีความสำคัญอะไรเลย  พระองค์ทรงเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของพวกเราและความคิดและความคิดเห็นของพวกเราทั้งหมดถูกตีแผ่เฉพาะพระพักตร์พระองค์  ไม่มีใครสนใจการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ ไม่มีใครจินตนาการใดๆ เกี่ยวกับพระราชภารกิจของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครมีความสงสัยแม้แต่น้อยเกี่ยวกับพระอัตลักษณ์ของพระองค์ ทั้งหมดที่พวกเราทำคือดำเนินการไล่ตามเสาะหาของพวกเราต่อไปราวกับว่าพระองค์ไม่ทรงมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา…

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงแสดงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “โดยผ่านทาง” พระองค์โดยบังเอิญ และแม้ว่านั่นจะให้ความรู้สึกไม่คาดฝันอย่างมาก อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ยังระลึกได้ว่านั่นเป็นถ้อยดำรัสที่มาจากพระเจ้าและยอมรับมันจากพระเจ้าโดยไม่ลังเล  นั่นเป็นเพราะไม่ว่าใครเป็นผู้แสดงพระวจนะเหล่านี้ ตราบเท่าที่พระวจนะเหล่านั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเราก็ควรยอมรับและไม่อาจปฏิเสธได้  ถ้อยดำรัสถัดไปอาจผ่านมาทางฉัน หรือทางเธอ หรือทางคนอื่น  ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามทั้งหมดล้วนเป็นพระคุณของพระเจ้า  แต่ไม่สำคัญว่าจะเป็นใคร พวกเราไม่อาจนมัสการบุคคลผู้นี้ เพราะไม่ว่าอะไรก็ตาม บุคคลผู้นี้ไม่สามารถเป็นพระเจ้าไปได้ อีกทั้งไม่มีทางแม้แต่น้อยที่พวกเราจะเลือกบุคคลธรรมดาเช่นนี้ให้เป็นพระเจ้าของพวกเรา  พระเจ้าของพวกเราทรงยิ่งใหญ่และควรค่าแก่การให้เกียรติอย่างยิ่ง บุคคลที่ไร้ความสำคัญเช่นนี้จะสามารถยืนอยู่ในที่ของพระองค์ได้อย่างไรกัน?  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรากำลังรอให้พระเจ้าเสด็จมาและทรงนำพวกเรากลับสู่อาณาจักรสวรรค์ ดังนั้นใครบางคนที่ไร้ความสำคัญเช่นนั้นจะมีความสามารถมากพอสำหรับภารกิจที่สำคัญและยากลำบากเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?  หากองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาอีกครั้ง ต้องเป็นบนก้อนเมฆสีขาว เพื่อที่มวลชนทั้งหมดอาจจะได้เห็น  นั่นจะช่างงามสง่ายิ่งนัก!  เป็นไปได้อย่างไรกันที่พระองค์ทรงสามารถซ่อนพระองค์ได้อย่างแนบเนียนท่ามกลางผู้คนธรรมดาสามัญกลุ่มหนึ่ง?

และกระนั้น ก็บุคคลธรรมดาสามัญผู้ซึ่งซ่อนตัวท่ามกลางผู้คนผู้นี้นี่เอง ที่กำลังทำงานใหม่เพื่อช่วยพวกเราให้รอด  พระองค์ไม่ทรงเสนอคำอธิบายใดๆ ให้พวกเรา อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงบอกพวกเราว่าเหตุใดพระองค์จึงเสด็จมา แต่เพียงแค่ทรงพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยจะทำตามขั้นตอนที่ได้ทรงไตร่ตรองตัดสินไว้แล้วและโดยสอดคล้องกับแผนของพระองค์  พระวจนะและถ้อยดำรัสของพระองค์กลายเป็นเพิ่มความถี่ขึ้นเรื่อยๆ  จากการปลอบประโลม การเตือนสติ การเตือนความจำ และการตักเตือน จนถึงการตำหนิและการบ่มวินัย จากน้ำเสียงที่สุภาพและอ่อนโยน จนถึงถ้อยคำที่รุนแรงและเปี่ยมบารมี—ทั้งหมดนี้คือการมอบความปรานีให้แก่มนุษย์และปลูกฝังความกลัวในตัวเขา  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ตรัสจี้ไปโดนความลับทั้งหลายซึ่งซ่อนลึกภายในพวกเรา พระวจนะของพระองค์ทิ่มแทงหัวใจของพวกเรา ทิ่มแทงจิตวิญญาณของพวกเรา และทิ้งให้พวกเราเต็มไปด้วยความละอายอันสุดจะทน จนแทบจะไม่รู้ว่าจะซ่อนตัวพวกเราเองที่ใด  พวกเราเริ่มสงสัยว่าพระเจ้าในหัวใจของบุคคลผู้นี้ทรงรักพวกเราอย่างแท้จริงหรือไม่และจริงๆ แล้วพระองค์กำลังทรงคิดจะทำอะไร  บางที พวกเราเพียงสามารถได้รับความปลาบปลื้มยินดีภายหลังสู้ทนความทุกข์เหล่านี้แล้วเท่านั้นหรือ?  ในหัวของพวกเรา พวกเรากำลังคำนวณ…เกี่ยวกับบั้นปลายที่จะมาถึงและเกี่ยวกับโชคชะตาในอนาคตของพวกเรา  ถึงกระนั้นก็ตาม เช่นเดียวกับเมื่อก่อน ไม่มีใครในพวกเราเชื่อว่าพระเจ้าทรงรับสภาพมนุษย์ก็เพื่อที่จะทรงพระราชกิจท่ามกลางพวกเรา  แม้ว่าพระองค์จะทรงร่วมทางมากับพวกเราเป็นเวลานานเช่นนี้แล้ว ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ตรัสหลายต่อหลายถ้อยคำกับพวกเราไปแล้วแบบซึ่งหน้า แต่พวกเราก็ยังคงไม่เต็มใจที่จะยอมรับคนธรรมดาสามัญเช่นนี้ให้เป็นพระเจ้าแห่งอนาคตของพวกเรา และพวกเรายิ่งไม่เต็มใจที่จะวางใจมอบการควบคุมอนาคตของพวกเราและโชคชะตาของพวกเราให้กับบุคคลที่ไร้ความสำคัญผู้นี้  พวกเราชื่นชมกับสิ่งหล่อเลี้ยงอันไม่รู้จบแห่งน้ำเพื่อชีวิต และโดยผ่านทางพระองค์ พวกเรามีชีวิตเผชิญหน้ากันกับพระเจ้า  แต่พวกเราเพียงแค่รู้สึกขอบคุณสำหรับพระคุณขององค์พระเยซูเจ้าในสวรรค์เท่านั้น และไม่เคยให้ความใส่ใจต่อความรู้สึกของบุคคลธรรมดาสามัญผู้มีเทวสภาพผู้นี้  แม้กระนั้น เช่นเดียวกับเมื่อก่อน พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์โดยซ่อนพระองค์อยู่ในเนื้อหนังอย่างถ่อมพระทัย ให้การแสดงออกซ่อนอยู่ภายในสุดของพระทัยของพระองค์ ราวกับไม่ทรงรู้สึกยินดียินร้ายใดๆ ต่อการที่มนุษยชาติปฏิเสธพระองค์ ราวกับทรงให้อภัยชั่วนิรันดร์ต่อความไร้เดียงสาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์ และทรงยอมผ่อนปรนตลอดกาลต่อท่าทีอันไร้ซึ่งความเคารพของมนุษย์ที่มีต่อพระองค์

มนุษย์ซึ่งไร้ความสำคัญผู้นี้ได้นำพวกเราเข้าสู่ขั้นตอนแล้วขั้นตอนเล่าในพระราชกิจของพระเจ้าโดยที่พวกเราไม่รู้แม้แต่น้อย  พวกเราก้าวผ่านการทดสอบมากมายนับไม่ถ้วน แบกรับการสั่งสอนเหลือคณานับ และถูกทดสอบโดยความตาย  พวกเราเรียนรู้ถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและเปี่ยมบารมีของพระเจ้า ชื่นชมไปกับความรักและความปรานีของพระองค์อีกด้วย ได้มาซาบซึ้งในฤทธานุภาพและพระปรีชาญาณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เป็นพยานต่อความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้า และมองดูความพึงปรารถนาอันแรงกล้าของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด  ในถ้อยคำของบุคคลธรรมดาสามัญผู้นี้ พวกเราได้รู้ถึงพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้า ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ได้รู้จักธรรมชาติและธาตุแท้ของมนุษย์ และได้เห็นหนทางสู่ความรอดและความเพียบพร้อม  พระวจนะของพระองค์ทำให้พวกเรา “ตาย” และพระวจนะเหล่านี้ทำให้พวกเราได้ “เกิดใหม่” พระวจนะของพระองค์นำพาความสบายมาให้พวกเรา แต่ก็ทิ้งให้พวกเราสลายอับปางไปกับความรู้สึกผิดและความรู้สึกเป็นหนี้ พระวจนะของพระองค์นำพาความชื่นบานและสวัสดิภาพมาให้พวกเรา แต่ก็มีความเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดติดมาด้วย บางครั้งพวกเราเป็นเหมือนลูกแกะที่กำลังจะถูกเชือดในพระหัตถ์ของพระองค์ บางครั้งพวกเราเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของพระองค์และชื่นชมกับความรักอันอ่อนโยนของพระองค์ บางครั้งพวกเราเป็นเหมือนศัตรูของพระองค์ และภายใต้การจับจ้องของพระองค์ก็ถูกเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านด้วยพระพิโรธของพระองค์  พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ได้รับการทรงช่วยให้รอดโดยพระองค์ พวกเราเป็นหนอนแมลงในสายพระเนตรของพระองค์ และพวกเราเป็นลูกแกะหลงทางที่พระองค์ตั้งพระทัยตามหาทั้งกลางวันและกลางคืน  พระองค์ทรงมีความปรานีต่อพวกเรา พระองค์ทรงดูแคลนพวกเรา พระองค์ทรงยกพวกเราขึ้น พระองค์ทรงปลอบโยนและเตือนสติพวกเรา พระองค์ทรงนำทางพวกเรา พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเรา พระองค์ทรงสั่งสอนและบ่มวินัยพวกเรา และพระองค์ถึงกับสาปแช่งพวกเรา  ทั้งกลางคืนและกลางวัน พระองค์ไม่เคยทรงหยุดกังวลเกี่ยวกับพวกเราและทรงคุ้มครองปกป้องและดูแลพวกเรา ทั้งกลางคืนและกลางวัน ไม่เคยทรงห่างจากข้างกายพวกเรา แต่ทรงหลั่งพระโลหิตจากพระหทัยของพระองค์เพื่อประโยชน์ของพวกเราและจ่ายทุกราคาเพื่อพวกเรา  ภายในถ้อยคำของมนุษย์ตัวเล็กๆ และธรรมดาสามัญผู้นี้ พวกเราได้ชื่นชมในความบริบูรณ์ของพระเจ้าและมองดูบั้นปลายที่พระเจ้าทรงมอบไว้ให้พวกเรา แต่กระนั้นก็ตาม ความทะนงตัวยังคงก่อกวนให้เกิดความยุ่งยากภายในหัวใจของพวกเราและพวกเราก็ยังคงไม่เต็มใจอย่างจริงจังที่จะยอมรับบุคคลเช่นนี้ในฐานะพระเจ้าของพวกเรา  แม้ว่าพระองค์ได้ประทานมานาให้พวกเรามากมาย สิ่งที่ให้ความชื่นชมมากมาย แต่เหล่านี้ไม่มีสิ่งใดสามารถแทนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าในหัวใจพวกเราได้  พวกเราเพียงให้เกียรติอัตลักษณ์และสถานภาพพิเศษของบุคคลผู้นี้ด้วยความฝืนใจอย่างยิ่งยวดเท่านั้น  ตราบเท่าที่พระองค์ไม่เปิดพระโอษฐ์เพื่อขอให้พวกเรารับรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า พวกเราจะไม่มีวันตัดสินใจด้วยตนเองที่จะยอมรับพระองค์ในฐานะพระเจ้าที่จะทรงมาถึงในไม่ช้า แต่ก็ได้ทรงพระราชกิจท่ามกลางพวกเรามานานมากแล้ว

พระเจ้าทรงเปล่งถ้อยดำรัสของพระองค์ต่อไป โดยใช้วิธีการและมุมมองต่างๆ นานา เพื่อเตือนสอนพวกเราเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเราควรทำ ในขณะเดียวกันก็ทรงเก็บพระสุรเสียงไว้แต่ภายในพระหทัยของพระองค์ พระวจนะของพระองค์นำพาพลังชีวิต แสดงให้พวกเราเห็นหนทางที่พวกเราควรเดิน และทำให้พวกเราสามารถเข้าใจว่าอะไรคือความจริง  พวกเราเริ่มถูกดึงดูดด้วยพระวจนะของพระองค์ พวกเราเริ่มจดจ่อกับพระกระแสเสียงและลักษณะที่พระองค์ตรัส และในจิตใต้สำนึก พวกเราเริ่มให้ความสนใจในความรู้สึกที่อยู่ภายในที่สุดของบุคคลซึ่งแสนจะธรรมดาผู้นี้  พระหทัยของพระองค์แทบกลั่นออกมาเป็นโลหิตในการทรงพระราชกิจแทนพวกเรา บรรทมไม่สนิทและเสวยไม่ได้เพื่อพวกเรา ทรงกันแสงเพื่อพวกเรา ทรงทอดถอนพระหทัยเพื่อพวกเรา ทรงพระประชวรเทวษเพื่อพวกเรา ทรงทนทุกข์กับการเหยียดหยามเพื่อประโยชน์ของบั้นปลายและความรอดของพวกเรา และความด้านชาและความเป็นกบฏของพวกเรารินพระอัสสุชลและพระโลหิตจากพระหทัยของพระองค์  การเป็นและการมีในแบบนี้ไม่ได้เป็นของบุคคลธรรมดาทั่วไป และไม่สามารถถูกครอบครองหรือบรรลุได้โดยมนุษย์ผู้เสื่อมทรามคนใด  พระองค์แสดงให้เห็นถึงความยอมผ่อนปรนและความอดทนที่ไม่มีบุคคลธรรมดาสามัญคนใดจะมีได้ และความรักของพระองค์ไม่ใช่บางสิ่งที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างใดๆ จะมีได้  ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่จะสามารถรู้ความคิดทั้งหมดของพวกเรา หรือมีความเข้าใจอย่างชัดเจนและบริบูรณ์ในธรรมชาติและธาตุแท้ของพวกเรา หรือตัดสินความเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของมนุษยชาติ หรือตรัสกับพวกเราและทรงพระราชกิจกับพวกเราเช่นนี้ในนามของพระเจ้าในสวรรค์  ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่ทรงมีสิทธิอำนาจ พระปรีชาญาณ และพระเกียรติภูมิของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นถูกนำมาแสดงไว้อย่างบริบูรณ์ในพระองค์  ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่สามารถบอกทางให้พวกเราและนำพาแสงสว่างมาให้พวกเรา  ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่สามารถเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหลายที่พระเจ้าไม่ได้ทรงเปิดเผยตั้งแต่การทรงสร้างจวบจนวันนี้  ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่สามารถช่วยพวกเราให้รอดจากพันธนาการของซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวพวกเราเอง  พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้า  พระองค์ทรงแสดงออกถึงพระหทัยส่วนในสุดของพระเจ้า คำเตือนสติของพระเจ้า และพระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง  พระองค์ได้ทรงเริ่มยุคใหม่ ยุคสมัยใหม่ และทรงนำมาซึ่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกแห่งใหม่และพระราชกิจใหม่ และพระองค์ได้ทรงนำพาความหวังมาให้พวกเรา ยุติชีวิตที่พวกเราได้ดำเนินมาในความคลุมเครือและทรงทำให้ความเป็นตัวตนทั้งหมดของพวกเราได้มองดูเส้นทางสู่ความรอดอย่างแจ่มชัดเต็มตา  พระองค์ได้ทรงพิชิตความเป็นตัวตนทั้งหมดของพวกเราและทรงได้หัวใจของพวกเราไป  นับแต่ชั่วขณะนั้นเป็นต้นมาจิตใจของพวกเราก็กลายเป็นรู้สึกตัวขึ้นมาและจิตวิญญาณของพวกเราก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนมา บุคคลธรรมดาไร้ความสำคัญผู้นี้ที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเราและถูกพวกเราปฏิเสธมาเนิ่นนาน—นี่ไม่ใช่องค์พระเยซูเจ้าผู้ซึ่งอยู่ในความคิดของพวกเราตลอดเวลา ทั้งในยามตื่นหรือยามฝัน และคือผู้ที่พวกเราถวิลหาทั้งกลางคืนและกลางวันหรอกหรือ?  เป็นพระองค์นั่นเอง!  เป็นพระองค์นั่นเองจริงๆ!  พระองค์คือพระเจ้าของพวกเรา!  พระองค์คือความจริง หนทางและชีวิต!  พระองค์ได้ทรงทำให้พวกเราสามารถมีชีวิตอีกครั้งและเห็นความสว่าง และหยุดหัวใจพวกเราไม่ให้ร่อนเร่เฉไฉ  พวกเราได้กลับสู่พระนิเวศของพระเจ้า พวกเราได้กลับสู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระองค์ พวกเราได้เผชิญหน้ากันกับพระองค์ พวกเราได้เป็นพยานโฉมพระพักตร์ของพระองค์ และพวกเราได้เห็นถนนที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า  ในเวลานี้หัวใจของพวกเราถูกพระองค์ทรงพิชิตโดยครบบริบูรณ์ พวกเราไม่สงสัยอีกต่อไปว่าพระองค์เป็นใคร ไม่ต่อต้านพระราชกิจของพระองค์และพระวจนะของพระองค์อีกต่อไป และพวกเราหมอบศิโรราบเฉพาะพระพักตร์พระองค์  พวกเราไม่ปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่าการติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเรา และได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระองค์ และตอบแทนพระคุณของพระองค์และตอบแทนความรักของพระองค์ที่มีต่อพวกเรา และเชื่อฟังการเรียบเรียงจัดวางและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และร่วมมือกับพระราชกิจของพระองค์ และทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราสามารถทำได้เพื่อทำสิ่งที่พระองค์วางพระทัยมอบหมายให้พวกเราจนเสร็จสิ้นครบถ้วน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 4: มองดูการทรงปรากฏของพระเจ้าในการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์

ก่อนหน้า: 1. พวกคุณให้คำพยานว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์โดยได้เสด็จลงมายังแผ่นดินโลกอย่างลับๆ และกำลังทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นจากพระนิเวศของพระเจ้า  นั่นเป็นไปได้อย่างไรกัน?  พระคัมภีร์เผยพระวจนะอย่างชัดแจ้งว่า “เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง(มัทธิว 24:30)  “นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์(วิวรณ์ 1:7)  พวกเราเชื่อว่า เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา พระองค์ควรทรงทำเช่นนั้นด้วยหมู่เมฆและทรงปรากฏอย่างเปิดเผยต่อกลุ่มชนทั้งผอง  แต่พวกคุณก็ยังให้คำพยานว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เรียบร้อยแล้วและได้เสด็จลงมายังแผ่นดินโลกอย่างลับๆ ซึ่งต่างไปจากความเข้าใจของพวกเราอย่างสิ้นเชิง  กำลังเกิดอะไรขึ้นตรงนี้หรือ?

ถัดไป: 3. พวกคุณให้คำพยานว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาในเนื้อหนัง  แล้วตอนนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหนเล่า?  ทำไมพวกเราจึงยังไม่ได้เห็นพระองค์เลย?  ต้องมองเห็นก่อนจึงจะเชื่อ ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเรายังไม่ได้เห็นพระองค์นั้น พิสูจน์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ได้ทรงกลับมา  ฉันจะเชื่อก็ต่อเมื่อฉันมองเห็น

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger