ก. ว่าด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า

529. ในความกว้างใหญ่ของจักรวาลและพื้นฟ้า สรรพสิ่งทรงสร้างเกินคณานับดำรงชีวิตอยู่และสืบพันธุ์ ปฏิบัติตามกฎวัฏจักรแห่งชีวิต และยึดมั่นอยู่กับกฎเกณฑ์เดียวซึ่งคงที่ พวกที่ตายไปนำเอาเรื่องราวของการดำเนินชีวิตติดตัวไปด้วย และผู้ที่กำลังดำรงชีวิตอยู่ก็สร้างประวัติอันน่าเวทนาซ้ำแบบเดียวกับพวกที่ดับสูญไปแล้ว และดังนั้น มวลมนุษย์จึงอดไม่ได้ที่จะถามตัวเขาเองว่า พวกเรามีชีวิตไปทำไม? และทำไมพวกเราจึงต้องตาย? ใครบัญชาโลกนี้? และใครสร้างมวลมนุษย์นี้ขึ้นมา? มวลมนุษย์ถูกสร้างโดยแม่ธรณีจริงหรือ? มวลมนุษย์เป็นผู้ควบคุมชะตากรรมของตัวเขาเองจริงหรือ?…เหล่านี้คือคำถามต่างๆ ที่มนุษย์ได้ตั้งคำถามตลอดมาไม่เคยหยุดเป็นเวลาหลายพันปี โชคร้ายก็คือ ยิ่งมนุษย์กลายเป็นย้ำคิดอยู่กับคำถามเหล่านี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งเกิดความกระหายในวิทยาศาสตร์ขึ้นมามากตามกันเท่านั้น วิทยาศาสตร์ให้ความพึงพอใจเพียงรวบรัดและความชื่นชมยินดีเพียงชั่วคราวของเนื้อหนัง แต่ไม่พอเพียงเลยแม้แต่น้อยที่จะปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากความอ้างว้างเดียวดาย ความเหงา และแค่พอจะปกปิดความสะพรึงกลัวและความท้อแท้สิ้นหวังลึกๆ ภายในวิญญาณของเขาเท่านั้น มนุษยชาติแค่ใช้ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ที่เขาสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและเข้าใจได้ด้วยสมองเพื่อทำให้หัวใจของเขาหมดความรู้สึก กระนั้นความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ดังกล่าวก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดมนุษยชาติจากการสำรวจความล้ำลึกทั้งหลาย มนุษยชาติแค่ไม่รู้ว่าใครคือผู้ครองอธิปไตยเหนือจักรวาลและทุกสรรพสิ่ง นับประสาอะไรกับเรื่องการเริ่มต้นและอนาคตของมนุษยชาติน้อยเข้าไปอีก มนุษยชาติก็แค่มีชีวิตท่ามกลางกฎนี้อย่างจำยอม ไม่มีใครเลยที่สามารถหลีกหนีได้ และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงกฎนี้ได้ เนื่องเพราะท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งมวลและในฟ้าสวรรค์นั้น มีเพียงองค์หนึ่งเดียวตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาลผู้ซึ่งทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยได้มองเห็น องค์หนึ่งเดียวที่มนุษย์ไม่เคยได้รู้จัก เป็นผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเชื่อในการดำรงอยู่ของพระองค์—กระนั้น พระองค์ก็ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งเป่าลมหายใจเข้าไปในบรรพบุรุษของมนุษยชาติ และให้ชีวิตแก่มนุษยชาติ พระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้จัดเตรียมและบำรุงเลี้ยงมนุษยชาติ ให้โอกาสเขาได้ดำรงอยู่ และพระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงนำมนุษยชาติมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ผู้นี้เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นองค์หนึ่งเดียวซึ่งมนุษยชาติพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด พระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งทั้งมวล และปกครองสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในจักรวาล พระองค์ทรงบัญชาฤดูกาลทั้งสี่ และเป็นพระองค์ที่ทรงก่อให้เกิดสายลม น้ำค้างแข็ง หิมะ และสายฝน พระองค์ทรงนำพาแสงแดดมาสู่มนุษยชาติ และนำมาซึ่งราตรีกาล เป็นพระองค์ที่ทรงวางแผนผังฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก จัดเตรียมเทือกเขา ทะเลสาบ และแม่น้ำ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในนั้นให้กับมนุษย์ กิจการของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน พระปรีชาญาณของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน และสิทธิอำนาจของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน ธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์แต่ละประการเหล่านี้คือรูปจำแลงของกิจการของพระองค์ และแต่ละประการเผยพระปรีชาญาณและสิทธิอำนาจของพระองค์ ใครกันเล่าที่ตัวพวกเขาสามารถจะได้รับการยกเว้นจากอธิปไตยของพระองค์? และใครกันเล่าที่สามารถปลดตัวพวกเขาเองออกจากการออกแบบของพระองค์? ทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่ภายใต้การเขม้นมองของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระองค์ กิจการของพระองค์และฤทธานุภาพของพระองค์ไม่ได้ทิ้งทางเลือกไว้ให้กับมนุษย์ นอกเหนือจากให้รับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่จริงและครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดที่นอกเหนือจากพระองค์สามารถบัญชาจักรวาลได้ นับประสาอะไรกับการจัดเตรียมให้กับมนุษยชาตินี้อย่างไม่สิ้นสุด ไม่ว่าเจ้าสามารถระลึกรู้ถึงกิจการของพระเจ้าได้หรือไม่ และไม่ว่าเจ้าเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือไม่ ไม่มีข้อกังขาใดว่า ชะตากรรมของเจ้านั้นถูกกำหนดโดยพระเจ้า และไม่มีข้อกังขาเลยว่า พระเจ้าจะทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งเสมอ การดำรงอยู่และสิทธิอำนาจของพระองค์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่มนุษย์ระลึกรู้ได้และจับใจความได้หรือไม่ มีเพียงพระองค์ที่รู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของมนุษย์ และมีเพียงพระองค์ที่สามารถกำหนดชะตากรรมของมนุษยชาติ ไม่ว่าเจ้าจะสามารถยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้หรือไม่ อีกไม่นานนัก มนุษยชาติก็จะเป็นพยานรู้เห็นสิ่งทั้งหมดนี้ด้วยตาของพวกเขาเอง และนี่คือข้อเท็จจริงที่พระเจ้าจะทรงนำมาปฏิบัติในอีกไม่ช้านาน มนุษยชาติมีชีวิตอยู่และตายไปภายใต้สายพระเนตรของพระเจ้า มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อการบริหารจัดการของพระเจ้า และเมื่อเขาปิดตาลงเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขาก็ปิดตาเพื่อการบริหารจัดการนี้ด้วยเช่นกัน มนุษย์มาและไป กลับไปกลับมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหมดนั้นเป็นส่วนของอธิปไตยของพระเจ้าและการออกแบบของพระองค์โดยไม่มีข้อยกเว้น การบริหารจัดการของพระเจ้านั้นไม่เคยหยุดยั้ง มีความก้าวหน้าอยู่เป็นนิตย์ พระองค์จะทรงทำให้มนุษยชาติตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ ไว้วางใจในอธิปไตยของพระองค์ มองดูกิจการต่างๆ ของพระองค์ และกลับคืนสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ นี่คือแผนการของพระองค์ และพระราชกิจซึ่งพระองค์ทรงบริหารจัดการมาตลอดเวลาหลายพันปี

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น

530. จากเมื่อครั้งที่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นการทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง ฤทธานุภาพของพระเจ้าก็ได้เริ่มแสดงออกและเปิดเผยออกไป เพราะพระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อสร้างทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าพระองค์จะได้ทรงสร้างพวกมันในลักษณะใด ไม่ว่าพระองค์จะได้ทรงสร้างพวกมันเพราะเหตุใด ทุกสรรพสิ่งก็ได้เริ่มมีขึ้นมาและยืนหยัดมั่นคงและดำรงอยู่เนื่องจากพระวจนะของพระเจ้า นี่คือสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง ในกาลก่อนที่มวลมนุษย์จะได้ปรากฏขึ้นในโลกนี้นั้น พระผู้สร้างได้ทรงใช้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระองค์เพื่อสร้างทุกสรรพสิ่งให้แก่มวลมนุษย์ และได้ทรงใช้วิธีการอันเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์เพื่อตระเตรียมสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่เหมาะสมให้แก่มวลมนุษย์ ทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงทำนั้น อยู่ในการตระเตรียมให้แก่มวลมนุษย์ ผู้ซึ่งจะได้รับลมปราณของพระองค์ในไม่ช้า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในเวลาก่อนที่มวลมนุษย์จะถูกสร้างขึ้น สิทธิอำนาจของพระเจ้าได้รับการแสดงออกไปในสิ่งทรงสร้างทั้งปวงที่แตกต่างไปจากมวลมนุษย์ ในสิ่งทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่เฉกเช่นฟ้าสวรรค์ ดวงสว่าง ทะเล และแผ่นดิน และในพวกที่มีขนาดเล็กพอกันกับสัตว์และนกทั้งหลาย ตลอดจนแมลงและจุลินทรีย์ทุกจำพวก รวมถึงแบคทีเรียต่างๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ละสิ่งได้ถูกมอบชีวิตให้โดยพระวจนะของพระผู้สร้าง แต่ละสิ่งได้แพร่หลายเนื่องจากพระวจนะของพระผู้สร้าง และแต่ละสิ่งได้ดำรงชีวิตภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้างเนื่องจากพระวจนะของพระองค์ ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ได้รับลมปราณของพระผู้สร้าง แต่พวกมันยังคงได้แสดงออกไปให้เห็นถึงความทรงพลังของชีวิตที่พระผู้สร้างได้ประทานให้พวกมันโดยผ่านทางรูปแบบและโครงสร้างที่แตกต่างกันของพวกมัน ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ได้รับความสามารถในการพูดที่พระผู้สร้างได้ทรงมอบให้แก่มวลมนุษย์ แต่พวกมันแต่ละสิ่งก็ได้รับหนทางหนึ่งในการแสดงออกถึงชีวิตของพวกมันที่พระผู้สร้างได้ประทานให้พวกมัน และเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากภาษาของมนุษย์ สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างไม่เพียงแต่มอบความทรงพลังของชีวิตให้แก่สิ่งที่เป็นวัตถุที่ดูเหมือนนิ่งอยู่กับที่ เพื่อที่พวกมันจะไม่มีวันปลาสนาการไปเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงมอบสัญชาตญาณในการสืบพันธุ์และทวีจำนวนให้แก่สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งด้วย เพื่อที่พวกมันจะไม่มีวันอันตรธานไป และเพื่อที่พวกมันจะได้ส่งต่อธรรมบัญญัติและหลักธรรมแห่งการอยู่รอดที่พระผู้สร้างได้ทรงประสิทธิ์ประสาทให้พวกมันรุ่นแล้วรุ่นเล่า ลักษณะที่พระผู้สร้างทรงนำสิทธิอำนาจของพระองค์มาใช้นั้น ไม่ได้ยึดติดอย่างแข็งทื่อต่อทัศนคติแบบมหัพภาคหรือจุลภาค และไม่จำกัดอยู่กับรูปแบบใด พระองค์ทรงสามารถบัญชาการปฏิบัติงานของจักรวาลและถือครองอธิปไตยเหนือการมีชีวิตและความตายของทุกสรรพสิ่ง และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงสามารถยักย้ายทุกสรรพสิ่งเพื่อให้พวกมันรับใช้พระองค์ พระองค์ทรงสามารถบริหารจัดการการทำงานทั้งหมดของภูเขา แม่น้ำ และทะเลสาบ และปกครองทุกสรรพสิ่งภายในสิ่งเหล่านั้น และที่เหนือไปกว่านั้น พระองค์ทรงสามารถจัดเตรียมสิ่งที่ทุกสรรพสิ่งจำเป็นต้องมี นี่คือการสำแดงของสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างท่ามกลางทุกสรรพสิ่งที่นอกเหนือจากมวลมนุษย์ การสำแดงเช่นนั้นไม่ใช่เป็นไปในเวลาเพียงชั่วชีวิตหนึ่งเท่านั้น มันจะไม่มีวันยุติ ไม่หยุดพัก อีกทั้งมันไม่สามารถถูกปรับเปลี่ยนหรือทำลายโดยบุคคลหรือสิ่งอันใดได้ อีกทั้งไม่สามารถถูกเพิ่มหรือลดโดยบุคคลหรือสิ่งอันใดได้—เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถแทนที่พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างได้ และดังนั้น สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างจึงไม่สามารถถูกแทนที่โดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ได้ ไม่สามารถบรรลุถึงได้โดยสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดๆ จงดูบรรดาทูตสื่อสารและทูตสวรรค์ของพระเจ้าเป็นตัวอย่าง พวกเขาไม่มีฤทธานุภาพของพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะมีสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และเหตุผลที่ว่า เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นก็เป็นเพราะพวกเขาไม่มีแก่นแท้ของพระผู้สร้าง สิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้าง อาทิ ทูตสื่อสารและทูตสวรรค์ของพระเจ้านั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถทำบางสิ่งบางอย่างในนามของพระเจ้าได้ แต่ก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีพลังอำนาจบางอย่างที่มนุษย์ไม่มี แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า พวกเขาไม่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้าในการที่จะสร้างทุกสรรพสิ่ง ในการบัญชาทุกสรรพสิ่ง และในการถือครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง ดังนั้น ความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าจึงไม่สามารถถูกแทนที่โดยสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดๆ และในทำนองเดียวกันนั้น สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าก็ไม่สามารถถูกแทนที่โดยสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดๆ ในพระคัมภีร์ เจ้าเคยอ่านเรื่องทูตสื่อสารคนใดของพระเจ้าที่ได้สร้างทุกสรรพสิ่งหรือไม่? เหตุใดหรือพระเจ้าจึงไม่เคยส่งทูตสื่อสารหรือทูตสวรรค์องค์ใดของพระองค์ไปสร้างทุกสรรพสิ่ง? นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า และดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความสามารถในการนำสิทธิอำนาจของพระเจ้าไปใช้ พวกเขาทั้งหมดอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง และอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง เช่นเดียวกับสิ่งทรงสร้างทั้งปวง และดังนั้น ในหนทางเดียวกันนี้ พระผู้สร้างก็ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขาและองค์อธิปัตย์ของพวกเขาด้วยเช่นกัน ท่ามกลางพวกเขาแต่ละองค์—ไม่ว่าพวกเขาจะสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย มีอำนาจยิ่งใหญ่หรือน้อยนิด—ก็ไม่มีสักองค์เดียวที่สามารถก้าวล้ำสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้ และดังนั้น จึงไม่มีสักองค์เดียวท่ามกลางพวกเขาที่สามารถแทนที่พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างได้ พวกเขาจะไม่มีวันได้รับการเรียกขานว่าพระเจ้า และจะไม่มีวันสามารถกลายเป็นพระผู้สร้างได้ เหล่านี้คือความจริงและข้อเท็จจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

531. พระเจ้าทรงเฝ้ามองทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างให้เริ่มมีขึ้นมาและยืนหยัดมั่นคงโดยเนื่องมาจากพระวจนะของพระองค์ และเริ่มเปลี่ยนแปลงทีละน้อย ณ เวลานี้ พระเจ้าพึงพอพระทัยหรือไม่ กับสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นด้วยพระวจนะของพระองค์ และปฏิบัติการต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงสัมฤทธิ์ผล? คำตอบก็คือว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในที่นี้? ที่ว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” นั้นเป็นตัวแทนของสิ่งใด? มันเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใด? มันหมายความว่า พระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพและพระปัญญาที่จะทำให้สิ่งที่พระองค์ได้ทรงวางแผนการและได้ทรงบัญญัติไว้ให้สำเร็จลุล่วง ที่จะทำให้เป้าหมายที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้สำเร็จลุล่วง เมื่อพระเจ้าได้ทรงทำให้พระกิจแต่ละอย่างครบบริบูรณ์แล้วนั้น พระองค์รู้สึกเสียพระทัยหรือไม่? คำตอบก็ยังคงเป็นว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่เพียงแต่พระองค์จะไม่รู้สึกเสียพระทัย แต่ยังพึงพอพระทัยแทน ที่ว่าพระองค์ไม่รู้สึกเสียพระทัยนั้นหมายความว่าอย่างไรหรือ? มันหมายความว่าแผนการของพระเจ้านั้นเพียบพร้อม ว่าฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระองค์นั้นเพียบพร้อม และว่าเฉพาะโดยสิทธิอำนาจของพระองค์เท่านั้นที่ความเพียบพร้อมเช่นนั้นจะสามารถสำเร็จลุล่วงได้ เมื่อมนุษย์ปฏิบัติกิจอย่างหนึ่ง เขาจะสามารถเห็นว่าดี เหมือนที่พระเจ้าทรงเห็นหรือไม่? ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทำสามารถสำเร็จลุล่วงถึงความเพียบพร้อมได้หรือไม่? มนุษย์สามารถทำบางสิ่งบางอย่างให้ครบบริบูรณ์อย่างถาวรชั่วกัลปาวสานได้หรือไม่? ดังเช่นที่มนุษย์กล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดเพียบพร้อม มีเพียงดีกว่าเท่านั้น” ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์ทำสามารถบรรลุถึงความเพียบพร้อมได้ เมื่อพระเจ้าได้ทรงเห็นว่าทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงกระทำและสัมฤทธิ์ผลไปนั้นดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำนั้นถูกกำหนดโดยพระวจนะของพระองค์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อ “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” ทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงทำก็ได้มีรูปแบบถาวร ถูกจำแนกชั้นไปตามชนิด และได้รับตำแหน่ง จุดประสงค์ และการทำหน้าที่อันตายตัวอย่างถาวรตลอดชั่วกัลปาวสาน ยิ่งไปกว่านั้น บทบาทของพวกมันท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และการเดินทางที่พวกมันต้องทำในระหว่างการบริหารจัดการทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าก็ได้ถูกพระเจ้าลิขิตไว้แล้ว และมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ นี่คือธรรมบัญญัติจากสวรรค์ที่พระผู้สร้างได้ทรงมอบให้แก่ทุกสรรพสิ่ง

“พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” พระวจนะเรียบง่ายที่ไม่มีใครซาบซึ้งเหล่านี้ ซึ่งบ่อยครั้งถูกละเลยไปนั้น เป็นพระวจนะที่มีธรรมบัญญัติจากสวรรค์และประกาศิตจากสวรรค์ที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้แก่สรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวง พระวจนะเหล่านั้นเป็นอีกรูปจำแลงหนึ่งของสิทธิอำนาจของพระเจ้า รูปจำแลงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น และลุ่มลึกมากขึ้น โดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์แล้ว พระผู้สร้างไม่เพียงแค่ทรงสามารถได้รับทั้งหมดที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ว่าจะได้รับ และสัมฤทธิ์ผลทั้งหมดที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ว่าจะสัมฤทธิ์ผลเท่านั้น แต่ยังทรงสามารถควบคุมทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทรงสามารถปกครองทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำไว้ให้อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระองค์ได้อีกด้วย และยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดล้วนเป็นระบบและเป็นปกติสม่ำเสมอ ทุกสรรพสิ่งยังได้แพร่หลาย ดำรงอยู่ และพินาศไปโดยพระวจนะของพระองค์ด้วยเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้น พวกมันได้ดำรงอยู่ท่ามกลางธรรมบัญญัติที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้โดยสิทธิอำนาจของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดเลยที่ได้รับการยกเว้น! ธรรมบัญญัตินี้ได้เริ่มต้นขึ้นในทันทีทันใดที่ “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” และมันจะดำรงอยู่ ดำเนินต่อไป และทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเรื่อยมาจนกระทั่งถึงวันที่มันถูกถอดถอนโดยพระผู้สร้าง! สิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างไม่เพียงแต่สำแดงอยู่ในความสามารถของพระองค์ในการสร้างทุกสรรพสิ่งและบัญชาทุกสรรพสิ่งให้เริ่มมีขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังสำแดงอยู่ในความสามารถของพระองค์ในการปกครองดูแลและถือครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และประทานความกระปรี้กระเปร่าและความทรงพลังแก่ทุกสรรพสิ่ง และยิ่งไปกว่านั้น ในความสามารถของพระองค์ในการทำให้ทุกสรรพสิ่งที่พระองค์จะทรงสร้างในแผนการของพระองค์ปรากฏขึ้นและดำรงอยู่ในโลกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นในรูปทรงที่เพียบพร้อม และโครงสร้างชีวิตที่เพียบพร้อม และบทบาทที่เพียบพร้อมอย่างถาวรไปตลอดชั่วกัลปาวสาน และเช่นเดียวกันนั้น มันยังได้สำแดงอยู่ในวิธีที่พระดำริของพระผู้สร้างไม่ตกอยู่ใต้ข้อจำกัดบังคับอันใด ไม่ถูกจำกัดโดยกาลเวลา พื้นที่ หรือภูมิประเทศ พระอัตลักษณ์อันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างจะคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาลเช่นเดียวกับสิทธิอำนาจของพระองค์ สิทธิอำนาจของพระองค์จะเป็นตัวแทนและสัญลักษณ์ของพระอัตลักษณ์อันทรงเอกลักษณ์ของพระองค์เสมอ และสิทธิอำนาจของพระองค์จะดำรงอยู่เคียงข้างกับพระอัตลักษณ์ของพระองค์ไปตลอดกาล

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

532. พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้สรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวงมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์และนบนอบต่ออำนาจครอบครองของพระองค์ พระองค์จะทรงบัญชาทุกสรรพสิ่ง เพื่อที่ทุกสรรพสิ่งจะได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ สิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าทั้งหมด รวมถึงสัตว์ พืชพรรณ มวลมนุษย์ ภูเขาและแม่น้ำ และทะเลสาบ—ทั้งหมดล้วนต้องมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ ทุกสรรพสิ่งในท้องฟ้าและบนผืนดินต้องมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถมีตัวเลือกใดและทั้งหมดต้องนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ การนี้ประกาศกฤษฎีกาโดยพระเจ้า และเป็นสิทธิอำนาจของพระเจ้า พระเจ้าทรงบัญชาทุกสิ่งทุกอย่าง และทรงจัดระเบียบและทรงจัดลำดับทุกสรรพสิ่ง โดยที่แต่ละสิ่งนั้นได้รับการแยกชั้นตามชนิด และได้รับการแบ่งสรรตำแหน่งของพวกมันเองโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่สำคัญว่ามันจะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถล้ำเลิศกว่าพระเจ้าได้ ทุกสรรพสิ่งรับใช้มวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และไม่มีสิ่งใดเลยที่กล้าที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรือทำการเรียกร้องใดๆ จากพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน

533. ก่อนที่มนุษยชาตินี้จะเกิดขึ้น ห้วงจักรวาล—กล่าวคือ ดาวเคราะห์ทั้งมวลและหมู่ดาวทั้งหมดในฟ้าสวรรค์—ได้ดำรงอยู่มาก่อนแล้ว ในระดับมหัพภาค เทห์ฟากฟ้าเหล่านี้มีการโคจรอย่างเป็นปกติตลอดมาภายใต้การควบคุมของพระเจ้าสำหรับการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของพวกมัน ไม่ว่าจะผ่านไปหลายปีดีดักอย่างไรก็ตาม ดาวเคราะห์ใดไปถึงจุดใด ณ เวลาจำเพาะใด ดาวเคราะห์ใดทำหน้าที่ใดและเมื่อใด ดาวเคราะห์ใดโคจรไปตามวงโคจรใด และมันจะอันตรธานหรือถูกแทนที่เมื่อใด—สิ่งทั้งมวลเหล่านี้ดำเนินไปโดยไม่มีความผิดพลาดแม้แต่น้อย ตำแหน่งของดาวเคราะห์และระยะห่างระหว่างดาวเคราะห์ทั้งหมดเป็นไปตามแบบแผนต่างๆ อันรัดกุม ซึ่งทั้งหมดนั้นสามารถใช้ข้อมูลอันเที่ยงตรงมาพรรณนาได้ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางที่ดาวเคราะห์เดินทางร่วมกันไป ความเร็วและรูปแบบของวงโคจร เมื่อใดดาวเคราะห์จะไปอยู่ตรงตำแหน่งใด—ทั้งหมดนี้สามารถคำนวณได้อย่างเที่ยงตรงและอธิบายด้วยกฎพิเศษต่างๆ ได้ ดาวเคราะห์ทั้งหลายได้ดำเนินตามกฎเหล่านี้มาหลายกัปหลายกัลป์โดยปราศจากการเบี่ยงเบนแม้แต่น้อย ไม่มีอำนาจใดสามารถเปลี่ยนหรือขัดขวางวงโคจรของพวกมันหรือแบบแผนที่พวกมันดำเนินตามได้ เนื่องเพราะกฎพิเศษต่างๆ ที่กำกับดูแลการเคลื่อนไหวของพวกมันและข้อมูลอันเที่ยงตรงที่อธิบายกฎเหล่านั้นถูกสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว ดาวเคราะห์ทั้งหลายจึงทำตามกฎเหล่านี้โดยอัตโนมัติภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระผู้สร้าง ในระดับมหัพภาค ไม่เป็นการยากที่มนุษย์จะค้นพบแบบแผนบางอย่าง ข้อมูลบางอย่าง และกฎหรือปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดและไม่สามารถอธิบายได้บางอย่าง แม้มนุษยชาติไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง และไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างได้ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาและทรงมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้ระลึกรู้ถึงการดำรงอยู่แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง กระนั้นก็ตาม เหล่านักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักฟิสิกส์ทั้งหลายของมนุษย์ก็กำลังค้นพบกันมากขึ้นทุกทีว่า การดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล และหลักการกับแบบแผนที่บงการการเคลื่อนที่ของพวกมันทั้งหมดนั้น ถูกกำกับดูแลและควบคุมโดยพลังงานมืดอันไพศาลและมองไม่เห็นอย่างหนึ่ง ข้อเท็จจริงนี้บีบให้มนุษย์ยอมเผชิญหน้าและยอมรับรู้ว่า มีองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงฤทธิ์ในท่ามกลางแบบแผนการเคลื่อนที่เหล่านี้ที่คอยจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่งทุกอย่าง ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นเหนือปกติ และแม้ว่าไม่มีใครสามารถมองเห็นโฉมพระพักตร์ที่แท้จริงของพระองค์ได้ พระองค์ก็ทรงกำกับดูแลและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในทุกชั่วขณะ ไม่มีมนุษย์หรือกำลังบังคับใดที่สามารถล่วงพ้นอธิปไตยของพระองค์ได้ ครั้นได้เผชิญกับข้อเท็จจริงนี้แล้ว มนุษย์ย่อมต้องระลึกรู้ว่า กฎต่างๆ ที่กำลังกำกับดูแลการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งนั้นไม่สามารถถูกมนุษย์ควบคุมได้ ไม่สามารถถูกใครก็ตามเปลี่ยนแปลงได้ เขาต้องยอมรับอีกด้วยว่า มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าใจกฎเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน และกฎเหล่านี้ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ถูกบงการโดยองค์อธิปไตยองค์หนึ่ง เหล่านี้คือการแสดงออกทั้งหมดของสิทธิอำนาจแห่งพระเจ้าที่มวลมนุษย์สามารถรับรู้ได้ในระดับมหัพภาค

ในระดับจุลภาคนั้น ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ ทะเล และผืนแผ่นดินทั้งหมดที่มนุษย์อาจมองเห็นบนแผ่นดินโลก ทุกฤดูกาลที่เขาผ่านประสบการณ์ ทุกสรรพสิ่งที่อาศัยแผ่นดินโลกอยู่ รวมถึงพืชพรรณ สัตว์ จุลชีพ และมนุษย์ ล้วนอยู่ภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระเจ้า ภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระเจ้านั้น ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นหรืออันตรธานไปโดยสอดคล้องกับพระดำริของพระองค์ กฎทั้งหลายเกิดขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ก็เจริญเติบโตและเพิ่มทวีคูณโดยเป็นไปตามกฎเหล่านี้ ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งใดอยู่เหนือกฎเหล่านี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? มีเพียงคำตอบเดียวก็คือ เป็นเพราะสิทธิอำนาจของพระเจ้า หรือพูดอีกอย่างว่า เป็นเพราะพระดำริของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า เพราะการกระทำส่วนพระองค์ของพระเจ้าพระองค์เอง นี่หมายความว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้าและพระกมลของพระเจ้านี่เองที่ให้กำเนิดกฎเหล่านี้ซึ่งขยับย้ายและเปลี่ยนแปลงไปตามพระดำริแห่งพระองค์ การขยับย้ายและการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นหรือเลือนหายไปก็เพื่อประโยชน์แห่งแผนการของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

534. ทันทีที่พระวจนะของพระเจ้าถูกดำรัสออกไป สิทธิอำนาจของพระเจ้าก็เข้าบัญชาพระราชกิจนี้ และข้อเท็จจริงที่ให้สัญญาโดยพระโอษฐ์ของพระเจ้าก็ค่อยๆ เริ่มกลายเป็นความเป็นจริง ผลลัพธ์ก็คือ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเริ่มปรากฏขึ้นท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง เหมือนกันอย่างยิ่งกับลักษณะที่ต้นหญ้ากลับเป็นสีเขียวเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ดอกไม้ผลิบาน ตาอ่อนแตกจากต้นไม้ นกเริ่มขับขาน ห่านป่าหวนคืน และท้องทุ่งก็คับคั่งไปด้วยผู้คน…ทุกสรรพสิ่งชุบฟื้นคืนมาด้วยการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ และนี่คือกิจการอันเปี่ยมปาฏิหาริย์ของพระผู้สร้าง เมื่อพระเจ้าทรงทำพระสัญญาของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วง ทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และแผ่นดินโลกจะเริ่มต้นใหม่และเปลี่ยนแปลงไปตามพระดำริของพระเจ้า—ไม่มีสิ่งใดได้รับการยกเว้น เมื่อข้อผูกพันหรือสัญญาหนึ่งถูกดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ทุกสรรพสิ่งจะทำหน้าที่เพื่อการทำให้ข้อผูกพันหรือสัญญานั้นลุล่วง และถูกยักย้ายเพื่อประโยชน์ของการทำให้ข้อผูกพันหรือสัญญานั้นลุล่วง สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงถูกจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง โดยแสดงบทบาทตามลำดับของพวกมัน และปฏิบัติหน้าที่ตามลำดับของพวกมัน นี่คือการสำแดงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง เจ้าเห็นสิ่งใดในการนี้หรือ? เจ้ารู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้อย่างไร? สิทธิอำนาจของพระเจ้ามีช่วงขอบเขตหรือไม่? มีจำกัดเวลาหรือไม่? สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า มีความสูงที่แน่นอนหรือมีความยาวที่แน่นอน? สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า มีขนาดหรือความแข็งแรงที่แน่นอน? สามารถวัดตามมิติทั้งหลายของมนุษย์ได้หรือไม่? สิทธิอำนาจของพระเจ้าไม่กระพริบเปิดและปิด ไม่มาและไป และไม่มีผู้ใดสามารถวัดได้ว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปมากเพียงใด เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรบุคคลหนึ่ง พระพรนี้จะดำเนินต่อเนื่องไป และความต่อเนื่องของมันจะเป็นสักขีพยานถึงสิทธิอำนาจอันไม่อาจประเมินได้ของพระเจ้า และจะเปิดโอกาสให้มวลมนุษย์ได้เห็นการปรากฏอีกครั้งของพลังชีวิตอันมิอาจดับสลายได้ของพระผู้สร้าง ครั้งแล้วครั้งเล่า การแสดงสิทธิอำนาจของพระองค์แต่ละครั้งคือการสาธิตแสดงอันเพียบพร้อมของพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ซึ่งสาธิตแสดงแก่ทุกสรรพสิ่ง และแก่มวลมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่สำเร็จลุล่วงโดยสิทธิอำนาจของพระองค์นั้นวิจิตรบรรจงเกินกว่าจะเปรียบ และไร้ข้อตำหนิโดยสิ้นเชิง สามารถกล่าวได้ว่าพระดำริของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ สิทธิอำนาจของพระองค์ และพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำให้สำเร็จลุล่วงนั้นล้วนเป็นภาพสวยงามอย่างมิอาจหาใดเปรียบได้ และสำหรับสิ่งทรงสร้างทั้งหลายนั้น ภาษาของมวลมนุษย์ก็ไม่สามารถร้อยเรียงเป็นคำพูดสละสลวยถึงนัยสำคัญและคุณค่าของมันได้ เมื่อพระเจ้าทรงทำพระสัญญากับบุคคลหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาก็เป็นที่คุ้นเคยของพระเจ้าดุจดังหลังพระหัตถ์ของพระองค์เอง ไม่ว่าพวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ที่ใด หรือพวกเขาทำสิ่งใด ภูมิหลังของพวกเขาก่อนหรือหลังจากที่พวกเขาได้รับพระสัญญา หรือกลียุคที่เกิดในสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพวกเขาจะใหญ่หลวงเพียงใดก็ตาม ไม่สำคัญว่าเวลาจะล่วงเลยไปมากเพียงใดหลังจากที่พระวจนะของพระเจ้าได้ถูกตรัสไป สำหรับพระองค์แล้วมันเป็นราวกับว่าพระวจนะเหล่านั้นเพิ่งได้ถูกดำรัสไป นี่เป็นการกล่าวว่าพระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพ และทรงมีสิทธิอำนาจชนิดที่พระองค์ทรงสามารถควบคุม ลุล่วง และอยู่ในร่องครรลองของพระสัญญาทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำกับมนุษย์ได้ และไม่ว่าพระสัญญานั้นจะเป็นสิ่งใด ไม่ว่าต้องใช้เวลายาวนานเพียงใดในการทำให้ลุล่วงอย่างครบบริบูรณ์ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าความสำเร็จลุล่วงของพระสัญญานั้นสัมผัสวงเขตที่กว้างขวางเพียงใดก็ตาม—ยกตัวอย่างเช่น เวลา ภูมิประเทศ เชื้อชาติ และอื่นๆ—พระสัญญานี้ก็จะสำเร็จลุล่วงและได้รับการทำให้ลุล่วง และยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จลุล่วงและการทำให้ลุล่วงของพระสัญญาจะไม่พึงต้องมีความพยายามของพระองค์เลยแม้เพียงน้อยนิด การนี้พิสูจน์ถึงสิ่งใดหรือ? มันพิสูจน์ให้เห็นว่า สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้านั้นมีความกว้างขวางเพียงพอที่จะควบคุมทั้งจักรวาล และมวลมนุษย์ทั้งผอง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

535. ในพัฒนาการของมวลมนุษย์วันนี้นั้น สามารถกล่าวได้ว่า วิทยาศาสตร์ของมวลมนุษย์นั้นกำลังเฟื่องฟู และสามารถบรรยายได้ว่า ความสัมฤทธิ์ผลในการสำรวจเชิงวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ช่างน่าประทับใจ ต้องกล่าวว่า ความสามารถของมนุษย์นั้นกำลังเติบโตยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งที่มวลมนุษย์ยังไม่สามารถทำได้ กล่าวคือ มวลมนุษย์ได้สร้างเครื่องบิน เรือบรรทุกเครื่องบิน และระเบิดปรมาณูแล้ว มวลมนุษย์ได้ไปในห้วงอวกาศ ได้เดินบนดวงจันทร์ ได้ประดิษฐ์คิดค้นอินเทอร์เน็ต และได้มาใช้ชีวิตในแนวที่เปี่ยมเทคโนโลยี แต่กระนั้นมวลมนุษย์ก็ยังไม่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจได้ สัญชาตญาณของสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกอย่าง และธรรมบัญญัติที่พวกมันใช้ดำรงชีวิต และวัฏจักรแห่งความมีชีวิตและความตายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด—ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเกินกว่าพลังอำนาจทางวิทยาศาสตร์ของมวลมนุษย์ และมวลมนุษย์ก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ด้วย ณ จุดนี้ ต้องกล่าวว่า ไม่สำคัญว่าวิทยาศาสตร์ของมนุษย์จะบรรลุความสำเร็จสูงส่งเพียงใด มันก็ไม่สามารถเทียบกันได้กับสิ่งใดก็ตามจากพระดำริของพระผู้สร้าง และมันไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความเปี่ยมปาฏิหาริย์แห่งการทรงสร้างของพระผู้สร้างและอิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระองค์ มีมหาสมุทรมากมายยิ่งนักบนแผ่นดินโลก แต่กระนั้น มหาสมุทรเหล่านั้นก็ไม่เคยฝ่าฝืนขีดจำกัดของพวกมันและขึ้นมาบนแผ่นดินตามใจชอบเลย และเป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับพวกมันแต่ละแห่ง พวกมันจึงอยู่ ณ ที่ใดก็ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญชาพวกมัน และหากไม่ได้รับการอนุญาตจากพระเจ้า พวกมันจะไม่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างอิสระ หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า พวกมันก็ไม่อาจล่วงล้ำกันได้ และสามารถเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อพระเจ้าตรัสเช่นนั้นเท่านั้น และที่ซึ่งมันไปและหยุดอยู่ ก็ถูกกำหนดพิจารณาโดยสิทธิอำนาจของพระเจ้า

กล่าวตรงๆ ก็คือ “สิทธิอำนาจของพระเจ้า” หมายความว่า มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ในการตัดสินว่าจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างไร และมันจะเสร็จสิ้นไปในลักษณะใดก็ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา ธรรมบัญญัติแห่งทุกสรรพสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับพระเจ้า และมิได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ อีกทั้งมนุษย์ไม่สามารถปรับเปลี่ยนมันได้ มันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้โดยความปรารถนาของมนุษย์ แต่กลับถูกเปลี่ยนแปลงโดยพระดำริของพระเจ้า พระปัญญาของพระเจ้า และพระบัญชาของพระเจ้าแทน นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถปฏิเสธได้ ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง จักรวาล ท้องฟ้าที่มีดวงดาว และฤดูกาลทั้งสี่ของปี สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและไม่ประจักษ์แก่ตาของมนุษย์—พวกมันล้วนดำรงอยู่ ทำหน้าที่ และเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีความผิดพลาดเลยแม้แต่นิดเดียว ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า ตามคำสั่งของพระเจ้า ตามพระบัญญัติทั้งหลายของพระเจ้า และตามธรรมบัญญัติทั้งหลายแห่งปฐมกาลของการทรงสร้าง ไม่มีบุคคลแม้สักคนเดียวหรือวัตถุแม้สักสิ่งเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติของพวกมันได้ หรือเปลี่ยนแปลงครรลองตามธรรมชาติที่พวกมันใช้ทำหน้าที่ พวกมันได้เริ่มมีขึ้นมาเนื่องจากสิทธิอำนาจของพระเจ้า และพินาศไปเนื่องจากสิทธิอำนาจของพระเจ้า นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยแท้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

536. ตัวสิทธิอำนาจเองนั้น สามารถอธิบายได้ว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า ประการแรก อาจกล่าวได้อย่างแน่นอนว่า ทั้งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพนั้นเป็นเชิงบวก ทั้งสองสิ่งนั้นไม่มีความเชื่อมโยงกับสิ่งใดที่เป็นเชิงลบเลย และไม่มีความเกี่ยวโยงกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ ฤทธานุภาพของพระเจ้าสามารถสร้างสิ่งทั้งหลายในรูปแบบใดก็ได้ที่มีชีวิตและความทรงพลัง และการนี้ได้รับการกำหนดพิจารณาโดยชีวิตของพระเจ้า พระเจ้าคือชีวิต ดังนั้นพระองค์จึงทรงเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ยิ่งไปกว่านั้น สิทธิอำนาจของพระเจ้าสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าทุกคำ กล่าวคือ เริ่มมีขึ้นมาตามพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และดำรงชีวิตและสืบพันธุ์โดยการทรงบัญชาของพระเจ้า ซึ่งหลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงปกครองและทรงบัญชาสิ่งมีชีวิตทั้งปวง และจะไม่มีวันมีการเบี่ยงเบนตลอดไปตลอดกาลนาน ไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดที่มีสิ่งเหล่านี้ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงครองและถือครองฤทธานุภาพเช่นนั้น และดังนั้น มันจึงถูกเรียกว่าสิทธิอำนาจ นี่คือความทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นคำว่า “สิทธิอำนาจ” เอง หรือแก่นแท้ของสิทธิอำนาจนี้ แต่ละอย่างสามารถเกี่ยวข้องกับพระผู้สร้างได้เท่านั้น เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของสิทธิอำนาจและแก่นแท้อันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง และมันเป็นตัวแทนสิทธิอำนาจและพระสถานะของพระผู้สร้าง นอกเหนือจากพระผู้สร้างแล้วก็ไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดที่สามารถเกี่ยวข้องกับคำว่า “สิทธิอำนาจ” ได้ นี่คือการตีความคำว่าสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

537. “เราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก” เหล่านี้คือพระวจนะดั้งเดิมที่พระผู้สร้างได้ตรัสกับมวลมนุษย์ ขณะที่พระองค์ได้ตรัสพระวจนะเหล่านี้ รุ้งก็ได้ปรากฏขึ้นต่อสายตาของมนุษย์ และมันคงอยู่ ณ ที่นั้นมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ทุกคนเคยเห็นรุ้งดังกล่าว และเมื่อเจ้ามองเห็นมัน เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันปรากฏขึ้นมาอย่างไร? วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถพิสูจน์มัน หรือหาที่ตั้งของแหล่งกำเนิดของมัน หรือระบุตำแหน่งแห่งหนของมันได้ นั่นก็เป็นเพราะรุ้งคือหมายสำคัญแห่งพันธสัญญาที่ตั้งขึ้นระหว่างพระผู้สร้างกับมนุษย์ มันไม่จำเป็นต้องใช้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ มันไม่ได้ถูกทำขึ้นโดยมนุษย์ อีกทั้งมนุษย์ไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนมันได้ มันเป็นความต่อเนื่องของสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างหลังจากที่พระองค์ได้ตรัสพระวจนะของพระองค์แล้ว พระผู้สร้างทรงใช้วิธีการเฉพาะของพระองค์เองเพื่อยึดปฏิบัติตามพันธสัญญาของพระองค์กับมนุษย์และพระสัญญาของพระองค์ และดังนั้น การที่พระองค์ทรงใช้รุ้งเป็นหมายสำคัญแห่งพันธสัญญานี้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งขึ้นนั้น เป็นประกาศิตจากสวรรค์และธรรมบัญญัติที่จะคงอยู่ตลอดกาลไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นในด้านของพระผู้สร้างหรือมวลมนุษย์ที่ทรงสร้าง ธรรมบัญญัติอันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้นี้ ต้องกล่าวว่าเป็นการสำแดงแท้จริงอีกประการของสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างภายหลังจากการทรงสร้างทุกสรรพสิ่งของพระผู้สร้าง และต้องกล่าวว่าสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างนั้นไร้ขีดจำกัด การที่พระองค์ทรงใช้รุ้งเป็นหมายสำคัญนั้น คือการสืบเนื่องและการขยายสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง นี่คืออีกหนึ่งปฏิบัติการที่พระเจ้าทรงปฏิบัติโดยการใช้พระวจนะของพระองค์ และเป็นหมายสำคัญแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงตั้งขึ้นกับมนุษย์โดยใช้พระวจนะ พระองค์ได้ทรงบอกกับมนุษย์ถึงสิ่งที่พระองค์ได้ตัดสินพระทัยแน่วแน่ที่จะทำให้เกิดขึ้น และลักษณะที่มันจะถูกทำให้ลุล่วงและสัมฤทธิ์ผล เรื่องนั้นจึงได้ลุล่วงไปตามพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าในหนทางนี้เอง มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงครองฤทธานุภาพเช่นนั้น และวันนี้ หลายพันปีหลังจากที่พระองค์ได้ตรัสพระวจนะเหล่านี้ มนุษย์ยังคงสามารถมองดูรุ้งที่ถูกตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า เนื่องจากพระวจนะเหล่านั้นที่พระเจ้าดำรัสไว้ สิ่งนี้จึงได้คงอยู่โดยไม่ปรับเปลี่ยนและไม่เปลี่ยนแปลงเรื่อยมาจนกระทั่งถึงวันนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถนำรุ้งนี้ออกไปได้ ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติทั้งหลายของมันได้ และมันดำรงอยู่เพียงเพราะพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างแน่นอน “พระเจ้าทรงดีงามเช่นเดียวกับพระวจนะของพระองค์ และพระวจนะของพระองค์จะสำเร็จลุล่วง และสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้สำเร็จลุล่วงนั้นจะคงอยู่ตลอดกาล” พระวจนะดังกล่าวสำแดงไว้ ณ ที่นี้อย่างชัดเจน และนั่นเป็นหมายสำคัญและคุณลักษณะที่ชัดเจนของสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า หมายสำคัญหรือคุณลักษณะเช่นนั้นไม่มีอยู่หรือมองไม่เห็นในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ทั้งยังมองไม่เห็นในสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดๆ มันเป็นของพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์เท่านั้น และมันจำแนกความต่างของพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ที่ทรงครองโดยพระผู้สร้างเท่านั้นออกจากอัตลักษณ์และแก่นแท้ของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งหลาย ในขณะเดียวกัน มันยังเป็นหมายสำคัญและพระลักษณะเฉพาะที่ไม่มีวันจะถูกก้าวล้ำโดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ นอกเหนือจากพระเจ้าพระองค์เอง

การที่พระเจ้าทรงตั้งพันธสัญญาของพระองค์กับมนุษย์เป็นปฏิบัติการที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่พระองค์ได้ตั้งพระทัยที่จะใช้เพื่อสัมพันธ์สนิทกับมนุษย์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงหนึ่งและบอกให้มนุษย์รู้ถึงน้ำพระทัยของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้เอง พระองค์จึงได้ทรงใช้วิธีการที่เป็นเอกลักษณ์ โดยใช้หมายสำคัญพิเศษเพื่อตั้งพันธสัญญากับมนุษย์ หมายสำคัญซึ่งเป็นพระสัญญาแห่งพันธสัญญาที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้กับมนุษย์ ดังนั้น การตั้งพันธสัญญานี้เป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่? แล้วมันยิ่งใหญ่อย่างไรเล่า? นี่คือสิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับพันธสัญญาอย่างแท้จริง กล่าวคือ มันไม่ใช่พันธสัญญาที่ตั้งขึ้นระหว่างมนุษย์คนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่งกับอีกกลุ่มหนึ่ง หรือประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่ง แต่เป็นพันธสัญญาที่ตั้งขึ้นระหว่างพระผู้สร้างกับมวลมนุษย์ทั้งปวง และมันจะยังคงใช้การได้ไปจนกระทั่งถึงวันพระผู้สร้างทรงเลิกล้มทุกสรรพสิ่ง ผู้บริหารพันธสัญญานี้คือพระผู้สร้าง และผู้ธำรงรักษามันก็คือพระผู้สร้างเช่นกัน กล่าวสั้นๆ คือ ความครบบริบูรณ์ของพันธสัญญาแห่งรุ้งที่ตั้งขึ้นกับมวลมนุษย์นี้ได้ลุล่วงและสัมฤทธิ์ผลตามบทสนทนาระหว่างพระผู้สร้างกับมวลมนุษย์ และยังคงเป็นเช่นนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งถึงวันนี้ สิ่งทรงสร้างทั้งหลายสามารถทำสิ่งอื่นใดได้อีกหรือ นอกเหนือจากนบนอบ เชื่อฟัง เชื่อ ซาบซึ้ง เป็นพยาน และสรรเสริญสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง? เพราะไม่มีสิ่งใดนอกจากพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์ที่ทรงมีฤทธานุภาพในการตั้งพันธสัญญาเช่นนั้น การปรากฏของรุ้งครั้งแล้วครั้งเล่านั้น เป็นการประกาศแจ้งต่อมวลมนุษย์และร้องเรียกให้เขาสนใจต่อพันธสัญญาระหว่างพระผู้สร้างกับมวลมนุษย์ ในการปรากฏอย่างต่อเนื่องของพันธสัญญาระหว่างพระผู้สร้างกับมวลมนุษย์นี้ สิ่งที่ถูกสาธิตแสดงต่อมวลมนุษย์ไม่ใช่รุ้งหรือตัวพันธสัญญาเอง แต่เป็นสิทธิอำนาจอันมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ของพระผู้สร้าง การปรากฏของรุ้งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ นั้น สาธิตแสดงกิจการอันน่าสะทกสะท้านและเปี่ยมปาฏิหาริย์ของพระผู้สร้างในสถานที่ซ่อนเร้นทั้งหลาย และในขณะเดียวกันก็เป็นภาพสะท้อนที่สำคัญยิ่งถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างที่จะไม่มีวันเลือนรางไป และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นี่มิใช่การแสดงสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างอีกแง่มุมหนึ่งหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

538. หลังจากได้อ่านในปฐมกาล 18:18 ที่มีความว่า “แน่ทีเดียวอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้รับพรก็เพราะเขา” แล้วนั้น พวกเจ้าสามารถรู้สึกได้หรือไม่ ถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า? พวกเจ้าสามารถสำนึกรับรู้ได้หรือไม่ ถึงความเหนือธรรมดาของพระผู้สร้าง? พระวจนะของพระเจ้านั้นแน่นอน พระเจ้าตรัสพระวจนะเช่นนั้นมิใช่เพราะความมั่นใจในความสำเร็จของพระองค์ หรือมิใช่เป็นตัวแทนความมั่นใจในความสำเร็จของพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระวจนะเหล่านั้นกลับเป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจแห่งถ้อยดำรัสของพระเจ้า และเป็นพระบัญญัติที่ทำให้พระวจนะของพระเจ้าลุล่วง มีอยู่สองการแสดงออกในที่นี้ที่พวกเจ้าควรให้ความสนใจ เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “แน่ทีเดียวอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้รับพรก็เพราะเขา” นั้น มีองค์ประกอบใดของความกำกวมอยู่ในพระวจนะเหล่านี้หรือไม่? มีองค์ประกอบใดของความกังวลหรือไม่? มีองค์ประกอบใดของความเกรงกลัวหรือไม่? เป็นเพราะคำว่า “แน่ทีเดียว” และคำว่า “จะได้” ในถ้อยดำรัสของพระเจ้า องค์ประกอบเหล่านี้ซึ่งเป็นองค์ประกอบเฉพาะของมนุษย์และแสดงออกบ่อยครั้งในตัวเขานั้น จึงไม่เคยมีความสัมพันธ์อันใดกับพระผู้สร้างเลย คงจะไม่มีผู้ใดกล้าใช้คำพูดเช่นนั้นเมื่อปรารถนาให้ผู้อื่นได้ดี คงจะไม่มีผู้ใดกล้าอวยพรผู้อื่นด้วยความแน่นอนเช่นนั้นที่จะให้พวกเขามีชนชาติที่ยิ่งใหญ่และทรงพละกำลัง หรือสัญญาว่าประชาชาติทั้งปวงบนแผ่นดินโลกจะได้รับการอวยพรก็เพราะเขา ยิ่งพระวจนะของพระเจ้าแน่นอนมากขึ้นเท่าใด พระวจนะเหล่านั้นก็ยิ่งพิสูจน์บางอย่างมากขึ้นเท่านั้น—แล้วบางอย่างนั้นคือสิ่งใดเล่า? พระวจนะเหล่านั้นพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีสิทธิอำนาจเช่นนั้น ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์สามารถทำให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จลุล่วงได้ และว่าความสำเร็จลุล่วงของสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ พระเจ้าทรงมีความแน่นอนในพระทัยของพระองค์โดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่นิดเดียวในทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงอวยพรอับราฮัม ยิ่งไปกว่านั้น ความครบถ้วนบริบูรณ์ของการนี้ย่อมจะสำเร็จลุล่วงไปโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ และไม่มีกำลังบังคับใดที่จะสามารถปรับเปลี่ยน เป็นอุปสรรค ลดคุณค่า หรือรบกวนการลุล่วงของมันได้ ไม่ว่าสิ่งอื่นใดจะได้เกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเพิกถอนหรือมีอิทธิพลเหนือการทำให้ลุล่วงและความสำเร็จลุล่วงของพระวจนะของพระเจ้าได้ นี่คืออิทธิฤทธิ์อย่างยิ่งของพระวจนะที่ดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระผู้สร้าง และสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างซึ่งไม่ยอมทนการปฏิเสธของมนุษย์! เมื่อได้อ่านพระวจนะเหล่านี้แล้ว เจ้ายังรู้สึกกังขาอยู่หรือไม่? พระวจนะเหล่านี้ได้ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และมีฤทธานุภาพ พระบารมี และสิทธิอำนาจในพระวจนะของพระเจ้า อิทธิฤทธิ์และสิทธิอำนาจเช่นนั้น และความหลีกเลี่ยงไม่ได้ของความสำเร็จลุล่วงของข้อเท็จจริงนั้น ไม่สามารถบรรลุได้โดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ และไม่สามารถก้าวล้ำได้โดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงสามารถสนทนากับมวลมนุษย์ด้วยพระกระแสเสียงและทำนองเสียงเช่นนั้น และข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า พระสัญญาของพระองค์มิใช่คำพูดที่ว่างเปล่า หรือคำอวดตัวที่ไร้ผล แต่เป็นการแสดงออกถึงสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ที่ไม่สามารถก้าวล้ำได้โดยบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งอันใด

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

539. เมื่อพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น” นี่คือพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงตั้งขึ้นกับอับราฮัม และมันก็จะสำเร็จลุล่วงไปจนชั่วกัลปาวสานดังเช่นพันธสัญญาแห่งรุ้ง และมันยังเป็นพระสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงทำแก่อับราฮัมด้วยเช่นกัน มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีคุณสมบัติเหมาะสมและมีความสามารถที่จะทำพระสัญญานี้ให้กลายเป็นจริงได้ ไม่ว่ามนุษย์จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่ามนุษย์จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม และไม่ว่ามนุษย์จะมีทรรศนะหรือคำนึงถึงมันอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้จะลุล่วงไปอย่างพอดิบพอดีตามพระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสไป พระวจนะของพระเจ้าจะไม่ปรับเปลี่ยนเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในเจตจำนงหรือมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และมันจะไม่ปรับเปลี่ยนเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งอันใด ทุกสรรพสิ่งอาจปลาสนาการไป แต่พระวจนะของพระเจ้าจะคงอยู่ตลอดกาล ในความเป็นจริงแล้ว วันที่ทุกสรรพสิ่งปลาสนาการไปนั้น ก็คือวันที่พระวจนะของพระเจ้าลุล่วงอย่างครบบริบูรณ์พอดี เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง พระองค์ทรงครองสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง ฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง และพระองค์ทรงควบคุมทุกสรรพสิ่งและพลังชีวิตทั้งหมด พระองค์ทรงสามารถทำให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า หรือทำให้บางสิ่งบางอย่างกลายเป็นความว่างเปล่าได้ และพระองค์ทรงควบคุมการแปลงสภาพของทุกสรรพสิ่งจากมีชีวิตอยู่ให้ตายได้ กล่าวคือ สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่สามารถเรียบง่ายไปกว่าการเพิ่มทวีเมล็ดพันธุ์ของใครบางคน การนี้ฟังดูเป็นเรื่องเพ้อฝันสำหรับมนุษย์ เหมือนกับเทพนิยายเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระองค์ตัดสินพระทัยและทรงสัญญาที่จะทำนั้นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน อีกทั้งไม่ใช่เทพนิยาย ตรงกันข้าม มันเป็นข้อเท็จจริงที่พระเจ้าได้ทรงมองเห็นแล้ว และที่จะต้องสำเร็จลุล่วงอย่างแน่ใจได้เลย พวกเจ้าซาบซึ้งกับการนี้หรือไม่? ข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์ว่าพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมมีจำนวนมากมายหรือไม่? พวกเขามีจำนวนมากมายเพียงใด? พวกเขามีจำนวนมากมายดัง “ดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล” ที่พระเจ้าได้ตรัสไว้หรือไม่? พวกเขาได้แพร่กระจายไปทั่วประชาชาติและภูมิภาคทั้งปวง ไปถึงทุกที่ในโลกหรือไม่? ข้อเท็จจริงนี้สำเร็จลุล่วงโดยผ่านทางสิ่งใด? มันสำเร็จลุล่วงโดยสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าใช่หรือไม่? พระวจนะของพระเจ้าได้ถูกทำให้ลุล่วงต่อไป และกลายเป็นข้อเท็จจริงอยู่เนืองนิตย์มาเป็นเวลาหลายร้อยหรือหลายพันปีหลังจากที่พระวจนะของพระเจ้าได้ถูกตรัสไป นี่คืออิทธิฤทธิ์แห่งพระวจนะของพระเจ้า และเป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งในปฐมกาลนั้น พระเจ้าได้ตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” และความสว่างก็เกิดขึ้น การนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ลุล่วงไปในเวลาอันสั้นมาก และไม่มีความล่าช้าในความสำเร็จลุล่วงของการนั้นและในการทำให้การนั้นลุล่วง กล่าวคือ ผลแห่งพระวจนะของพระเจ้านั้นเกิดขึ้นฉับพลัน ทั้งสองนั้นเป็นการเผยแสดงสิทธิอำนาจของพระเจ้า แต่เมื่อตอนที่พระเจ้าได้ทรงอวยพรให้อับราฮัมนั้น พระองค์ได้ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นแก่นแท้อีกด้านหนึ่งของสิทธิอำนาจของพระเจ้า ตลอดจนข้อเท็จจริงที่ว่า สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างนั้นเกินกว่าการคิดคำนวณ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ได้ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างในด้านที่เป็นจริงยิ่งขึ้นและวิจิตรบรรจงยิ่งขึ้น

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

540. หลังจากพระเจ้าได้ทรงอวยพรอับราฮัมและโยบแล้ว พระเจ้ามิได้ทรงพำนักในที่ซึ่งพระองค์สถิตอยู่ อีกทั้งพระองค์มิได้ทรงตั้งฑูตสื่อสารของพระองค์ให้ทำงาน ในขณะที่ทรงรอดูว่าจุดจบจะเป็นเช่นใด ในทางตรงกันข้าม ทันทีที่พระเจ้าได้ดำรัสพระวจนะของพระองค์ ทุกสรรพสิ่งก็ได้เริ่มปฏิบัติตามพระราชกิจที่พระเจ้าได้ตั้งพระทัยว่าจะทำ ภายใต้การทรงนำของสิทธิอำนาจของพระเจ้า และมีการตระเตรียมผู้คน สิ่งทั้งหลาย และเป้าหมายทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงพึงประสงค์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทันทีที่พระวจนะได้ถูกดำรัสออกไปจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ก็ได้เริ่มมีการนำสิทธิอำนาจของพระเจ้ามาใช้ไปทั่วทั้งแผ่นดิน และพระองค์ได้ทรงกำหนดช่วงระยะเวลาที่จะทำให้พระสัญญาที่พระองค์ได้ทรงทำไว้กับอับราฮัมและโยบนั้นสำเร็จลุล่วงและได้รับการทำให้ลุล่วง ในขณะที่ทรงทำการวางแผนการและการตระเตรียมทั้งหมดที่เหมาะสมให้แก่ทุกอย่างที่พึงประสงค์สำหรับทุกขั้นตอนและแต่ละช่วงระยะสำคัญที่พระองค์ได้ทรงวางแผนที่จะดำเนินการ ในระหว่างเวลานี้ พระเจ้าไม่เพียงแต่ได้ทรงยักย้ายทูตสื่อสารของพระองค์เท่านั้น แต่ยังได้ทรงยักย้ายทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ได้สร้างขึ้นด้วย กล่าวคือ ภายในวงเขตที่มีการใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นไม่เพียงประกอบด้วยบรรดาทูตสื่อสารเท่านั้น แต่ยังมีทุกสรรพสิ่งในการทรงสร้างซึ่งได้ถูกยักย้ายเพื่อปฏิบัติตามพระราชกิจที่พระองค์ได้ตั้งพระทัยที่จะทำให้สำเร็จลุล่วง เหล่านี้คือลักษณะเฉพาะในการนำสิทธิอำนาจของพระเจ้ามาใช้ ในการจินตนาการของพวกเจ้านั้น บางคนอาจจะมีการเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าดังต่อไปนี้ นั่นคือ พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจ และพระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพ และดังนั้น พระเจ้าเพียงแค่ต้องทรงคงอยู่ในสวรรค์ชั้นที่สาม หรือในสถานที่ที่ตายตัวแห่งหนึ่ง และไม่ต้องทรงพระราชกิจเฉพาะอันใดเลย และความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจของพระเจ้าก็ครบบริบูรณ์อยู่ภายในพระดำริของพระองค์ บางคนอาจยังเชื่ออีกด้วยว่า ถึงแม้พระเจ้าจะได้ทรงอวยพรให้อับราฮัม แต่พระเจ้าก็ไม่ได้จำเป็นต้องทรงทำสิ่งใด และเพียงพอแล้วที่พระองค์ได้ตรัสพระวจนะของพระองค์เท่านั้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ หรือ? เห็นได้ชัดว่าไม่! ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ สิทธิอำนาจของพระองค์ก็เที่ยงแท้และเป็นจริง มิใช่ว่างเปล่า ความแท้และความเป็นจริงของสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าค่อยๆ เปิดเผยและเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในการทรงสร้างทุกสรรพสิ่งของพระองค์ ในการควบคุมเหนือทุกสรรพสิ่งของพระองค์ และในกระบวนการที่พระองค์ทรงนำและทรงบริหารจัดการมวลมนุษย์ ทุกวิธีการ ทุกมุมมอง และทุกรายละเอียดเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือมวลมนุษย์และทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า และพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำให้สำเร็จลุล่วง ตลอดจนการเข้าใจทุกสรรพสิ่งของพระองค์—ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนพิสูจน์อย่างแท้จริงว่าสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าไม่ใช่พระวจนะที่ว่างเปล่า สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ถูกแสดงออกไปและถูกเปิดเผยอยู่เป็นนิจ และอยู่ในทุกสรรพสิ่ง การสำแดงและการเปิดเผยเหล่านี้กล่าวถึงการดำรงอยู่จริงของสิทธิอำนาจของพระเจ้า เพราะพระองค์กำลังทรงใช้สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์เพื่อดำเนินพระราชกิจของพระองค์ต่อไป และเพื่อบัญชาทุกสรรพสิ่ง และเพื่อปกครองทุกสรรพสิ่งในทุกชั่วขณะ ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระองค์ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ทั้งโดยบรรดาทูตสวรรค์หรือโดยทูตสื่อสารทั้งหลายของพระเจ้า พระเจ้าได้ตัดสินพระทัยว่าพระองค์จะประทานพระพรใดให้แก่อับราฮัมและโยบ—มันเป็นการตัดสินพระทัยของพระเจ้า ถึงแม้ว่าบรรดาทูตสื่อสารของพระเจ้าจะได้ไปเยือนอับราฮัมและโยบโดยตนเอง แต่การกระทำของพวกเขาก็มีพื้นฐานอยู่บนพระบัญญัติของพระเจ้า และการกระทำของพวกเขาก็เป็นไปภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า และในทำนองเดียวกัน บรรดาทูตสื่อสารก็อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า ถึงแม้ว่ามนุษย์จะเห็นว่าบรรดาทูตสื่อสารของพระเจ้าไปเยือนอับราฮัม และไม่ได้เป็นพยานว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงกระทำสิ่งใดโดยพระองค์เองในบันทึกของพระคัมภีร์ แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว มีเพียงองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งทรงใช้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจเท่านั้น ที่เป็นพระเจ้าพระองค์เอง และการนี้ไม่ยอมทนการกังขาอันใด จากมนุษย์คนใด! ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้เห็นว่าบรรดาทูตสวรรค์และทูตสื่อสารทั้งหลายมีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่และได้แสดงปาฏิหาริย์ทั้งหลาย หรือเห็นว่าพวกเขาได้ทำสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงมีพระบัญชา แต่การกระทำของพวกเขาก็เป็นเพียงเพื่อประโยชน์แห่งการทำให้พระบัญชาของพระเจ้าครบบริบูรณ์เท่านั้น และไม่ใช่การแสดงถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้าแต่อย่างใด—เพราะไม่มีมนุษย์หรือวัตถุใดที่จะมีหรือครองสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างในการสร้างทุกสรรพสิ่งและปกครองทุกสรรพสิ่ง ดังนั้น ไม่มีมนุษย์หรือวัตถุใดที่จะสามารถแสดงออกหรือนำสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างมาใช้ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

541. พระเจ้าทรงสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพิสูจน์พระอัตลักษณ์ของพระองค์เองได้หรือไม่? สำหรับพระเจ้าแล้ว นี่คือของเด็กเล่น—มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก พระองค์ทรงสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพิสูจน์พระอัตลักษณ์และเนื้อแท้ของพระองค์ได้ทุกที่ ทุกเวลา แต่พระเจ้าทรงมีวิธีการทำสิ่งต่างๆ—โดยมีแผนและอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พระองค์ไม่ทรงทำสิ่งต่างๆ โดยไม่เลือกหน้า แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น พระองค์ทรงมองหาเวลาที่เหมาะสมและโอกาสที่เหมาะสมในการทำบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์จะทรงอนุญาตให้มนุษย์เห็นได้ บางสิ่งบางอย่างที่ชุ่มไปด้วยความหมายอย่างแท้จริง พระองค์ทรงพิสูจน์สิทธิอำนาจและพระอัตลักษณ์ของพระองค์ในหนทางนี้ ดังนั้นแล้ว การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายเป็นการพิสูจน์พระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูเจ้าหรือไม่? พวกเรามาดูบทตอนต่อไปนี้ของพระคัมภีร์กันเถิด: “เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า ‘ลาซารัส ออกมาเถิด’ คนตายนั้นก็ออกมา…” เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงทำเช่นนี้ พระองค์ตรัสเพียงอย่างเดียวว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด” จากนั้นลาซารัสก็ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ—สิ่งนี้สำเร็จลุล่วงเพียงเพราะพระวจนะไม่กี่คำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดำรัสออกมา ในช่วงระหว่างเวลานี้ องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงตั้งแท่นบูชา และพระองค์ไม่ได้ทรงกระทำการอื่นใด พระองค์แค่ตรัสสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวนี้ นี่ควรเรียกว่าการอัศจรรย์หรือพระบัญชา? หรือมันเป็นศาสตร์เวทมนตร์คาถาบางอย่าง? จากภายนอกแล้ว ดูเหมือนว่าสามารถเรียกสิ่งนี้ได้ว่าเป็นการอัศจรรย์ และหากเจ้ามองสิ่งนี้จากมุมมองสมัยใหม่ แน่นอนว่าเจ้าก็จะยังคงเรียกสิ่งนี้ว่าการอัศจรรย์ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นเวทมนตร์ประเภทที่ควรจะเรียกวิญญาณกลับจากความตาย และสิ่งนี้ไม่ใช่ศาสตร์เวทมนตร์คาถาประเภทใดๆ อย่างแน่นอน หากพูดว่าการอัศจรรย์นี้เป็นการแสดงเล็กๆ ให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างอย่างเป็นปกติที่สุดก็ถูกต้องแล้ว นี่คือสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจที่จะให้บุคคลคนหนึ่งตาย ที่จะให้วิญญาณของเขาออกจากร่างกายของเขาและกลับสู่แดนคนตายหรือที่ใดก็ตามที่มันควรไป กรอบเวลาการตายของบุคคลและสถานที่ที่พวกเขาจะไปหลังจากที่ตาย—สิ่งเหล่านี้พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนด พระองค์ตัดสินพระทัยเรื่องเหล่านี้ทุกที่และทุกเวลา โดยไม่ถูกจำกัดจากพวกมนุษย์ เหตุการณ์ วัตถุ พื้นที่ หรือภูมิศาสตร์ หากพระองค์ทรงต้องประสงค์จะทำมัน พระองค์ทรงสามารถทำมันได้ เพราะทุกสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ และทุกสรรพสิ่งถือกำเนิด ใช้ชีวิต และพินาศตามพระวจนะของพระองค์และสิทธิอำนาจของพระองค์ พระองค์ทรงสามารถทำให้ชายที่ตายแล้วเป็นขึ้นจากตาย และสิ่งนี้คือบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์ทรงสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา นี่คือสิทธิอำนาจที่มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ครอบครอง

เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ เช่นการนำลาซารัสกลับจากความตาย เป้าหมายของพระองค์คือการให้หลักฐานเพื่อให้พวกมนุษย์และซาตานมองเห็น และเพื่อให้พวกมนุษย์และซาตานรู้ว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับมวลมนุษย์ ชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ได้รับการกำหนดโดยพระเจ้า และว่าถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ยังทรงเป็นผู้บัญชาโลกฝ่ายกายที่สามารถมองเห็นได้ และโลกฝ่ายวิญญาณที่พวกมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ นี่เป็นไปเพื่อให้มวลมนุษย์และซาตานรู้ว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับมวลมนุษย์ไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของซาตาน นี่คือการเผยและการแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และยังเป็นวิธีหนึ่งที่พระเจ้าทรงส่งสารถึงทุกสรรพสิ่ง ว่าชีวิตและความตายของมวลมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า การที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายเป็นหนึ่งในวิธีที่พระผู้สร้างทรงสอนและแนะนำมวลมนุษย์ นี่คือการกระทำที่เป็นรูปธรรมที่พระองค์ทรงใช้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจเพื่อแนะนำและจัดเตรียมมวลมนุษย์ นี่คือวิธีหนึ่งที่พระผู้สร้างทรงทำให้มวลมนุษย์สามารถมองเห็นความจริงโดยไม่ใช้พระวจนะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้บัญชาทุกสรรพสิ่ง นี่คือวิธีหนึ่งที่พระองค์ทรงบอกมวลมนุษย์โดยผ่านทางการกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงว่าไม่มีความรอดอื่นใดนอกเหนือจากความรอดโดยผ่านทางพระองค์ วิถีทางที่ไร้พระสุรเสียงที่พระองค์ทรงใช้เพื่อแนะนำมวลมนุษย์นี้อยู่ชั่วนิรันดร์ ลบไม่ออก และนำความตกใจและความรู้แจ้งที่ไม่มีวันเลือนรางไปมาสู่หัวใจของมนุษย์ การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า—นี่มีผลกระทบที่ลึกซึ้งต่อผู้ติดตามทุกๆ คนของพระเจ้า การนี้ทำให้ความเข้าใจ นิมิตว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถบัญชาชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ได้เกิดติดตรึงอยู่ในทุกผู้คนที่เข้าใจเหตุการณ์นี้อย่างลึกซึ้ง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

542. นับแต่ชั่วขณะที่เจ้าเข้ามาในโลกนี้พร้อมกับเสียงร้องจ้า เจ้าก็เริ่มทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง เจ้าแสดงไปตามบทบาทของเจ้าและเริ่มการเดินทางของชีวิตของเจ้า เพื่อแผนของพระเจ้าและเพื่อการทรงลิขิตของพระองค์ ไม่ว่าเจ้าจะมีภูมิหลังอย่างไร และการเดินทางข้างหน้าของเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของฟ้าได้ และไม่มีใครควบคุมชะตาลิขิตของตนเองได้ เพราะมีเพียงพระองค์ผู้ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งเท่านั้นที่ทรงสามารถทำงานเช่นนั้นได้ นับตั้งแต่วันที่มนุษย์ได้มาสู่การดำรงอยู่ พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจเช่นนี้มาตลอด บริหารจัดการจักรวาล กำกับกฎเกณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับทุกสรรพสิ่งและวิถีโคจรของทุกสรรพสิ่งเหล่านั้น เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างเงียบเชียบและไม่รู้ตัว ด้วยความอ่อนหวานและหยาดฝน ตลอดจนหยดน้ำค้างจากพระเจ้า เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์อยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระหัตถ์พระเจ้าโดยไม่รู้ตัว หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าสิ่งใดและทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์

543. หากการเกิดของคนเราถูกลิขิตชะตาโดยชีวิตก่อนหน้าของคนเรา เช่นนั้นแล้วความตายก็เป็นเครื่องหมายแสดงบทอวสานของชะตาลิขิตนั้น หากการเกิดของคนเราคือตอนเริ่มต้นภารกิจของคนเราในชีวิตนี้ เช่นนั้นแล้ว ความตายของคนเราก็เป็นเครื่องหมายแสดงบทอวสานของภารกิจของคนเรา เนื่องจากพระผู้สร้างได้ทรงกำหนดชุดของรูปการณ์แวดล้อมที่ตายตัวสำหรับกำเนิดของบุคคลหนึ่งเอาไว้แล้ว มันจึงไม่จำเป็นต้องพูดว่า พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมชุดรูปการณ์แวดล้อมที่ตายตัวสำหรับความตายของคนเราไว้แล้วเช่นกัน พูดได้อีกอย่างว่า ไม่มีใครเลยที่เกิดมาโดยบังเอิญ ไม่มีความตายของใครเลยที่มาถึงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และทั้งการเกิดและความตายนั้นจำเป็นต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กับชีวิตในปัจจุบันและชีวิตก่อนหน้าของคนเรา ทั้งรูปการณ์แวดล้อมของการเกิดและความตายของคนเราได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วโดยพระผู้สร้าง นี่คือชะตาลิขิตของบุคคล ชะตากรรมของบุคคล เนื่องจากมีคำอธิบายมากมายสำหรับกำเนิดของบุคคลหนึ่ง จึงเป็นความจริงเช่นกันที่ความตายของบุคคลจะเกิดขึ้นเป็นธรรมดาภายใต้ชุดรูปการณ์แวดล้อมพิเศษอันหลากหลายของมันเอง นี่คือเหตุผลสำหรับอายุขัยที่แปรปรวนของผู้คนและลักษณะกับเวลาแห่งความตายของพวกเขาที่แตกต่างกันไป ผู้คนบางคนแข็งแรงและมีสุขภาพดี ทว่าตายลงตั้งแต่อายุยังน้อย คนอื่นๆ อ่อนแอและเจ็บออดๆ แอดๆ ทว่ามีชีวิตอยู่จนถึงวัยชราและจากไปอย่างสงบ บ้างก็พินาศลงด้วยสาเหตุที่ไม่เป็นธรรมชาติ ส่วนคนอื่นๆ ตายอย่างเป็นธรรมชาติ บ้างก็จบชีวิตของพวกเขาไกลบ้าน ส่วนคนอื่นๆ ปิดเปลือกตาลงเป็นครั้งสุดท้ายโดยมีผู้เป็นที่รักอยู่เคียงข้าง ผู้คนบางคนตายกลางอากาศ คนอื่นๆ ตายใต้พื้นโลก บ้างก็จมลงใต้น้ำ คนอื่นๆ สูญหายไปในความวิบัติ บ้างก็ตายในเวลาเช้า คนอื่นๆ ตายตอนกลางคืน…ทุกคนต้องการกำเนิดที่เด่นดัง ชีวิตที่เจิดจรัส และความตายที่มีเกียรติ แต่ไม่มีใครสามารถไปไกลเกินกว่าชะตาลิขิตของพวกเขาเองได้ ไม่มีใครสามารถหลีกพ้นอธิปไตยของพระผู้สร้างได้ นี่เป็นชะตากรรมของมนุษย์ มนุษย์สามารถวางแผนสำหรับอนาคตของพวกเขาได้ทุกประเภท แต่ไม่มีใครสามารถวางแผนลักษณะและเวลาเกิดของพวกเขาและลักษณะกับเวลาของการลาจากโลกนี้ของพวกเขา แม้ว่าผู้คนทำดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงและต้านทานการมาของความตาย ความตายก็ยังคงคืบคลานเข้ามาใกล้อย่างเงียบกริบโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยอยู่ดี ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะพินาศลงเมื่อใดหรือเช่นไร ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าเมื่อใดมันจะเกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่มนุษยชาติที่กุมพลังอำนาจของชีวิตและความตายเอาไว้ ไม่ใช่ชีวิตบางอย่างในโลกธรรมชาติ แต่เป็นพระผู้สร้างผู้ทรงสิทธิอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ ชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ไม่ใช่ผลลัพธ์ของกฎบางอย่างแห่งโลกธรรมชาติ แต่เป็นผลสืบเนื่องของอธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

544. ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า ทุกบุคคลยอมรับอธิปไตยของพระองค์และการจัดการเตรียมการของพระองค์ในเชิงรุกหรือไม่ก็ในเชิงรับ และไม่ว่าคนเราดิ้นรนอย่างไรในครรลองชีวิตของคนเรา ไม่ว่าคนเราเดินไปบนเส้นทางคดเคี้ยวสักกี่สาย ในท้ายที่สุดแล้ว คนเราจะกลับคืนสู่วงโคจรแห่งชะตากรรมที่พระผู้สร้างได้ทรงขีดเส้นไว้ให้พวกเขา นี่คือความมิอาจถูกพิชิตได้แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างและลักษณะที่สิทธิอำนาจของพระองค์ควบคุมและกำกับดูแลจักรวาล การควบคุมและกำกับดูแลในรูปแบบของความมิอาจถูกพิชิตได้นี้นี่เองที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบกฎต่างๆ ที่ลิขิตชีวิตของทุกสรรพสิ่ง อำนวยให้มนุษย์มาเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยปราศจากการแทรกแซง ทำให้โลกหมุนตามปกติและเคลื่อนไปข้างหน้าวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า พวกเจ้าได้เป็นพยานให้กับข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้และเจ้าเข้าใจพวกมัน ไม่ว่าจะอย่างผิวเผินหรือลึกซึ้ง และความลึกซึ้งของความเข้าใจของเจ้าก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับความจริง และขึ้นอยู่กับความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า เจ้ารู้จักความจริงความเป็นจริงดีเพียงใด เจ้าผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว เจ้ารู้จักแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าดีเพียงใด—เหล่านี้ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งของความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การดำรงอยู่ของอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าขึ้นอยู่กับการที่มนุษย์นบนอบหรือไม่นบนอบต่อพวกมันหรือไม่? ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจนี้ถูกกำหนดโดยการที่มนุษยชาตินบนอบหรือไม่นบนอบต่อสิทธิอำนาจนี้หรือไม่? สิทธิอำนาจของพระเจ้าดำรงอยู่ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นอย่างไร ในทุกสถานการณ์ พระเจ้าทรงสั่งการและจัดการเตรียมการทุกชะตากรรมมนุษย์และทุกสรรพสิ่งตามพระดำริของพระองค์และความปรารถนาของพระองค์ ความเปลี่ยนแปลงของมนุษย์จะไม่ส่งผลให้การนี้เปลี่ยนแปลงไป มันเป็นอิสระจากเจตจำนงของมนุษย์ ไม่สามารถถูกแก้ไขดัดแปลงโดยความเปลี่ยนแปลงใดๆ ของกาลเวลา พื้นที่ และภูมิประเทศ เนื่องเพราะสิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นคือแก่นแท้ของพระองค์นั่นเอง ไม่ว่ามนุษย์จะสามารถรู้จักและยอมรับอธิปไตยของพระเจ้าได้หรือไม่ และไม่ว่ามนุษย์จะสามารถนบนอบต่ออธิปไตยนี้ได้หรือไม่—ข้อพิจารณาทั้งสองนี้ไม่ได้ดัดแปลงแก้ไขข้อเท็จจริงที่ว่าอธิปไตยของพระเจ้าอยู่เหนือชะตากรรมมนุษย์แม้แต่น้อย กล่าวได้ว่า ไม่ว่ามนุษย์มีท่าทีเช่นไรต่ออธิปไตยของพระเจ้า ท่าทีนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงกุมอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์และเหนือทุกสรรพสิ่งได้อยู่ดี ต่อให้เจ้าไม่นบนอบต่ออธิปไตยของพระเจ้า พระองค์ก็ยังทรงบัญชาชะตากรรมของเจ้าอยู่ดี ต่อให้เจ้าไม่สามารถรู้จักอธิปไตยของพระองค์ สิทธิอำนาจของพระองค์ก็ยังคงมีอยู่จริง สิทธิอำนาจของพระเจ้าและข้อเท็จจริงที่อธิปไตยของพระเจ้าอยู่เหนือชะตากรรมมนุษย์นั้นเป็นอิสระจากเจตจำนงของมนุษย์ และไม่เปลี่ยนแปลงไปตามการเลือกชอบหรือทางเลือกของมนุษย์ สิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นอยู่ในทุกแห่งหน ทุกโมงยาม ทุกขณะเวลา ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะจากไป แต่สิทธิอำนาจของพระองค์จะไม่มีวันจากไป เพราะพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์ทรงครองสิทธิอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ และสิทธิอำนาจของพระองค์ไม่ถูกจำกัดหรือขีดคั่นโดยผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งต่างๆ โดยห้วงอวกาศ หรือภูมิประเทศ ตลอดเวลาทั้งหมด พระเจ้าทรงกวัดไกวสิทธิอำนาจของพระองค์ แสดงพระอิทธิฤทธิ์ของพระองค์ สืบสานพระราชกิจการบริหารจัดการของพระองค์ดังพระองค์ได้ทรงทำเสมอ ตลอดเวลาทั้งหมด พระองค์ทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง ทรงจัดเตรียมเพื่อทุกสรรพสิ่ง ทรงจัดวางเรียบเรียงทุกสรรพสิ่ง—ดังเช่นที่พระองค์ได้ทรงทำเสมอ ไม่มีใครเลยที่เปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้ มันคือข้อเท็จจริง มันคือความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนับแต่ครั้งโบราณกาล!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

545. ความจริงต่างๆ ที่เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าคือความจริงที่ทุกบุคคลต้องคำนึงถึงอย่างจริงจัง ต้องได้รับประสบการณ์และเข้าใจด้วยหัวใจของพวกเขา เพราะความจริงเหล่านี้มีผลต่อชีวิตของทุกบุคคล ต่ออดีต ปัจจุบัน และอนาคตของทุกบุคคล ต่อหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญยิ่งยวดที่ทุกบุคคลต้องผ่านในชีวิต ต่อความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าและท่าทีที่คนเราควรใช้เผชิญกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า และต่อบั้นปลายสุดท้ายของทุกบุคคลเป็นธรรมดา ดังนั้นจึงต้องใช้พลังงานทั้งชีวิตในการรู้จักและทำความเข้าใจความจริงเหล่านี้ เมื่อเจ้ามองดูสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างตรงๆ เต็มตา เมื่อเจ้ายอมรับอธิปไตยของพระองค์ เจ้าจะค่อยๆ มาตระหนักและเข้าใจความจริงของการดำรงอยู่ของสิทธิอำนาจของพระเจ้า แต่หากเจ้าไม่เคยระลึกรู้สิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่เคยยอมรับอธิปไตยของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้ามีชีวิตอยู่กี่ปี เจ้าก็จะไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าแม้แต่น้อยเลย หากเจ้าไม่รู้จักและเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้วไซร้ เมื่อเจ้าไปถึงสุดปลายถนน ต่อให้เจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามาหลายทศวรรษ เจ้าก็จะไม่มีอะไรมาแสดงให้เห็นว่าชีวิตเจ้าสัมฤทธิ์สิ่งใดบ้าง และเจ้าก็จะไม่มีความรู้แม้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมมนุษย์เป็นธรรมดา นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าเศร้ามากหรอกหรือ? ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าได้เดินมาไกลเพียงใดแล้วในชีวิต ไม่ว่าตอนนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว ไม่ว่าการเดินทางที่เหลือของเจ้าอาจยาวไกลสักเท่าใด ก่อนอื่น เจ้าต้องระลึกรู้สิทธิอำนาจของพระเจ้าและจริงจังกับมัน และยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าคือองค์เจ้านายผู้ทรงเอกลักษณ์ของเจ้า การบรรลุความรู้ที่ชัดเจนแม่นยำและการเข้าใจความจริงเหล่านี้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมมนุษย์คือบทเรียนภาคบังคับสำหรับทุกคน มันคือกุญแจของการรู้จักชีวิตมนุษย์และการบรรลุความจริง เช่นนั้นคือชีวิตแห่งการทำความรู้จักพระเจ้า เป็นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของมันที่ทุกคนต้องเผชิญในแต่ละวัน ซึ่งไม่มีใครเลยที่สามารถเลี่ยงหนีได้ หากใครบางคนปรารถนาที่จะใช้ทางลัดในการไปถึงเป้าหมายนี้ เช่นนั้นแล้ว เราบอกเจ้าตอนนี้เลยว่า มันเป็นไปไม่ได้! หากเจ้าต้องการหลีกหนีอธิปไตยของพระเจ้า นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่! พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงองค์เดียวของมนุษย์ พระเจ้าคือองค์เจ้านายแต่เพียงองค์เดียวของชะตากรรมมนุษย์ และดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะลิขิตชะตากรรมของเขาเอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะก้าวออกนอกชะตากรรมนั้น ไม่ว่าคนเราจะมีความสามารถมากมายขนาดไหน คนเราก็ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อชะตากรรมของผู้อื่น นับประสาอะไรที่จะสามารถจัดวางเรียบเรียง จัดการเตรียมการ ควบคุม หรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมเหล่านั้น มีเพียงพระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ เท่านั้นที่ทรงลิขิตทุกสรรพสิ่งให้กับมนุษย์ เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ซึ่งกุมอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ และดังนั้นจึงมีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงเป็นองค์เจ้านายผู้ทรงเอกลักษณ์ของมนุษย์ สิทธิอำนาจของพระเจ้าไม่เพียงกุมอธิปไตยเหนือมนุษยชาติที่ทรงสร้างมาเท่านั้น แต่เหนือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้ทรงสร้างซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดสามารถมองเห็นได้ เหนือหมู่ดาว และเหนือห้วงจักรวาลอีกด้วย นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้ ข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่จริง ซึ่งไม่มีบุคคลใดหรือสิ่งใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากยังมีพวกเจ้าสักคนหนึ่งไม่พึงพอใจกับสิ่งต่างๆ ตามที่พวกมันเป็นอยู่ โดยเชื่อว่าเจ้ามีทักษะหรือความสามารถพิเศษบางอย่าง และยังคิดไปอีกว่าด้วยจังหวะแห่งโชคดีบางอย่าง เจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงรูปการณ์แวดล้อมต่างๆ ในปัจจุบันของเจ้าได้ หรือไม่เช่นนั้นก็หลีกหนีพวกมันได้ หากเจ้าพยายามที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเจ้าเองโดยใช้ความพยายามของมนุษย์ ซึ่งจะส่งผลให้เจ้าโดดเด่นกว่ามิตรสหายของเจ้าและทำให้มีชื่อเสียงและโชควาสนา เช่นนั้นแล้ว เราบอกเจ้าเลยว่า เจ้ากำลังทำสิ่งต่างๆ ให้ยากสำหรับตัวเจ้าเอง เจ้าแค่กำลังหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น เจ้ากำลังขุดหลุมศพให้ตัวเอง! สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจะค้นพบว่าตัวเจ้าได้เลือกทางผิดไป และความพยายามต่างๆ ของเจ้านั้นสูญเปล่า ความทะเยอทะยานของเจ้า ความอยากที่จะดิ้นรนต่อต้านชะตากรรม และการประพฤติปฏิบัติอันผิดมหันต์ของตัวเจ้าเองจะนำเจ้าล่องไปตามถนนที่ไม่มีทางย้อนคืน และเจ้าจะต้องจ่ายราคาที่สาสมกับการกระทำนี้ แม้ว่าในตอนนี้เจ้ามองไม่เห็นความรุนแรงของผลสืบเนื่องที่ตามมา แต่เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับความจริงต่อไปและซึ้งคุณค่าของความจริงอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า พระเจ้าคือองค์เจ้านายของชะตากรรมมนุษย์ เจ้าจึงจะมาตระหนักอย่างช้าๆ ในสิ่งที่เราพูดถึงในวันนี้และความนัยที่แท้จริงของมัน การที่เจ้าจะมีหัวใจและจิตวิญญาณอย่างแท้จริงหรือไม่ และการที่เจ้าจะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งรักความจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่าทีที่เจ้ามีต่ออธิปไตยของพระเจ้าและต่อความจริงว่าเป็นท่าทีแบบใด โดยธรรมชาติแล้ว นี่จึงเป็นสิ่งที่กำหนดว่าเจ้าสามารถที่จะรู้จักและเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงหรือไม่ หากในชีวิตของเจ้า เจ้าไม่เคยเลยที่จะสำนึกรับรู้ถึงอธิปไตยของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และยิ่งไม่เคยระลึกรู้และยอมรับสิทธิอำนาจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไร้คุณค่าอย่างถึงที่สุด และไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าจะเป็นเป้าของความเกลียดและการปฏิเสธของพระเจ้า อันเนื่องมาจากเส้นทางที่เจ้าได้ใช้เดินและทางเลือกที่เจ้าได้เลือกไป แต่ในพระราชกิจของพระเจ้า บรรดาผู้ที่สามารถยอมรับการทดสอบของพระองค์ ยอมรับอธิปไตยของพระองค์ นบนอบต่อสิทธิอำนาจของพระองค์ และค่อยๆ ได้รับประสบการณ์จริงของพระวจนะของพระองค์ จะได้บรรลุความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระองค์ พวกเขาจะกลายเป็นขึ้นตรงต่อพระผู้สร้างอย่างแท้จริง ผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่จะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

546. พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้ขึ้นมา พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์นี้ขึ้นมา และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเป็นสถาปนิกแห่งวัฒนธรรมกรีกโบราณและอารยธรรมมนุษย์ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงปลอบประโลมมวลมนุษย์นี้ และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงดูแลเอาใจใส่มวลมนุษย์นี้ทั้งคืนและวัน พัฒนาการและความก้าวหน้าของมนุษย์นั้นไม่สามารถแยกออกจากอำนาจอธิปไตยของพระเจ้าได้ และประวัติศาสตร์และอนาคตของมวลมนุษย์เองก็หาได้พ้นไปจากการออกแบบของพระเจ้า หากเจ้าเป็นคริสตชนแท้คนหนึ่ง เจ้าย่อมจะเชื่ออย่างแน่นอนว่า ความรุ่งเรืองและความตกต่ำของประเทศใดหรือชนชาติใดก็ตามอุบัติขึ้นตามการออกแบบของพระเจ้า พระเจ้าแต่เพียงลำพังเท่านั้นที่ทรงรู้ชะตากรรมของประเทศหรือชาตินั้น และพระเจ้าเพียงลำพังเท่านั้นที่ทรงควบคุมครรลองของมวลมนุษย์นี้ หากมวลมนุษย์ปรารถนาจะมีชะตากรรมที่ดี หากประเทศหนึ่งปรารถนาจะมีชะตากรรมที่ดี มนุษย์ก็จะต้องกราบไหว้พระเจ้าเพื่อนมัสการ กลับใจ และสารภาพต่อพระพักตร์ของพระเจ้า หรือหากไม่เช่นนั้น ชะตากรรมและปลายทางของมนุษย์ก็จะต้องเป็นมหันตภัยอย่างหนึ่งซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง

547. ชะตากรรมของมนุษยชาติและของจักรวาลนั้นเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับอธิปไตยของพระผู้สร้าง ผูกติดอยู่กับการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้างโดยมิอาจแยกออกจากกันได้ ในท้ายที่สุดแล้ว ชะตากรรมเหล่านี้ก็ไม่อาจแยกออกจากสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้ ในกฎแห่งทุกสรรพสิ่ง มนุษย์จึงมาเข้าใจการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้างและอธิปไตยของพระองค์ ในกฎเกณฑ์แห่งการอยู่รอดของทุกสรรพสิ่ง เขาจึงมารับรู้การกำกับดูแลของพระผู้สร้าง ในชะตากรรมของทุกสรรพสิ่ง เขาจึงได้อนุมานวิธีต่างๆ ที่พระผู้สร้างทรงใช้อธิปไตยและการควบคุมของพระองค์เหนือทุกสรรพสิ่ง และในวงจรชีวิตของมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง มนุษย์จึงมามีประสบการณ์อย่างแท้จริงกับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างสำหรับทุกสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิต มาเป็นพยานว่าการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการเหล่านั้นอยู่เหนือกฎ กฎเกณฑ์ และขนบประเพณีทางโลกทั้งหมด พลังอำนาจและกำลังบังคับอื่นๆ ทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษยชาติจึงถูกบีบให้ยอมระลึกรู้ว่าอธิปไตยของพระผู้สร้างมิอาจถูกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดฝ่าฝืนได้ ระลึกรู้ว่าไม่มีกำลังบังคับใดสามารถช่วงชิงหรือดัดแปลงเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ที่พระผู้สร้างได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า ภายใต้กฎและกฎเกณฑ์แห่งพระเจ้านี่เองที่มนุษย์และทุกสรรพสิ่งล้วนมีชีวิตอยู่และขยายเผ่าพันธุ์รุ่นแล้วรุ่นเล่า นี่ไม่ใช่รูปจำแลงที่แท้จริงของสิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

548. ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ พระองค์ก็ทรงเฉียบขาดและมีหลักธรรมอย่างยิ่งในการกระทำของพระองค์ และทรงดำรงความเที่ยงแท้ต่อพระวจนะของพระองค์ ความเฉียบขาดของพระองค์และหลักธรรมในการกระทำของพระองค์แสดงให้เห็นถึงความมิอาจล่วงเกินได้ของพระผู้สร้างและความไม่สามารถเหนือกว่าได้ของสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงครองสิทธิอำนาจสูงสุด และทุกสรรพสิ่งอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงมีฤทธานุภาพในการปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง แต่พระเจ้าก็ไม่เคยทรงหยุดชะงักหรือทำให้แผนการของพระองค์เองต้องเสียหาย และแต่ละครั้งที่พระองค์ทรงนำสิทธิอำนาจของพระองค์มาใช้ มันก็จะสอดคล้องอย่างเคร่งครัดกับหลักธรรมของพระองค์เอง และปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกตรัสออกไปจากพระโอษฐ์ของพระองค์อย่างเที่ยงตรง และปฏิบัติตามขั้นตอนและวัตถุประสงค์ของแผนการของพระองค์ ไม่จำเป็นต้องกล่าวว่า ทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงปกครองนั้นก็เชื่อฟังหลักธรรมทั้งหลายในการนำสิทธิอำนาจของพระเจ้ามาใช้ด้วยเช่นกัน และไม่มีมนุษย์หรือสิ่งใดเลยที่ได้รับการยกเว้นจากการจัดการเตรียมการของสิทธิอำนาจของพระองค์ อีกทั้งพวกเหล่านั้นก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนหลักธรรมในการนำสิทธิอำนาจของพระองค์มาใช้เช่นกัน ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น บรรดาผู้ที่ได้รับการอวยพรจะได้รับโชควาสนาที่สิทธิอำนาจของพระองค์ทำให้เกิดขึ้น และพวกที่ถูกสาปแช่งก็ได้รับการลงโทษของพวกเขาเนื่องจากสิทธิอำนาจของพระเจ้า ภายใต้อธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้านั้น ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งอันใดที่จะได้รับการยกเว้นจากการนำสิทธิอำนาจของพระองค์มาใช้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถปรับเปลี่ยนหลักธรรมในการนำสิทธิอำนาจของพระองค์มาใช้ได้ สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างไม่ถูกปรับเปลี่ยนโดยการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยใด และในทำนองเดียวกันนี้ หลักธรรมในการนำสิทธิอำนาจของพระองค์มาใช้ก็ไม่ปรับเปลี่ยนด้วยเหตุผลใดเช่นกัน สวรรค์และแผ่นดินโลกอาจก้าวผ่านมหากลียุค แต่สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างจะไม่เปลี่ยนแปลง ทุกสรรพสิ่งอาจอันตรธาน แต่สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างจะไม่มีวันปลาสนาการไป นี่คือแก่นแท้ของสิทธิอำนาจอันมิอาจเปลี่ยนแปลงได้และมิอาจล่วงเกินได้ของพระผู้สร้าง และนี่คือความทรงเอกลักษณ์ยิ่งของพระผู้สร้าง!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

549. ซาตานไม่เคยกล้าที่จะฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น มันยังรับฟังและเชื่อฟังคำสั่งและคำบัญชาเฉพาะของพระเจ้าอย่างระมัดระวังอยู่เสมอ ไม่เคยกล้าที่จะเยาะเย้ยท้าทายคำบัญชาและคำสั่งเหล่านั้น และแน่นอนว่ามันไม่กล้าที่จะปรับเปลี่ยนคำสั่งใดๆ ของพระเจ้าอย่างอิสระ เช่นนั้นเองคือขีดจำกัดทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้สำหรับซาตาน และดังนั้น ซาตานจึงไม่เคยกล้าที่จะข้ามขีดจำกัดเหล่านั้น การนี้มิใช่อิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าหรอกหรือ? การนี้มิใช่คำพยานต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้าหรอกหรือ? ซาตานมีการจับความเข้าใจที่ชัดเจนกว่ามวลมนุษย์มากในเรื่องวิธีประพฤติตนต่อพระเจ้า และวิธีมีทรรศนะต่อพระเจ้า และดังนั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ ซาตานจึงมองเห็นพระสถานะและพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าอย่างชัดเจนยิ่ง และมีความซึ้งคุณค่าอันลึกซึ้งต่ออิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าและหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังการนำสิทธิอำนาจของพระองค์มาใช้ มันไม่กล้าที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปเลย อีกทั้งไม่กล้าที่จะล่วงละเมิดสิ่งเหล่านั้นในหนทางใดเลย หรือที่จะทำสิ่งใดที่เป็นการฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระเจ้า และมันไม่กล้าที่จะท้าทายพระพิโรธของพระเจ้าในหนทางใดเลย ถึงแม้ว่าซาตานจะชั่วและโอหังโดยกำเนิด แต่มันไม่เคยกล้าที่จะข้ามเขตคั่นและขีดจำกัดที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ให้มัน เป็นเวลาหลายล้านปีมาแล้วที่มันยึดปฏิบัติตามเขตคั่นเหล่านี้อย่างเคร่งครัด มันได้ยึดปฏิบัติตามการทรงบัญชาและคำสั่งทุกประการที่พระเจ้าทรงมอบให้กับมัน และไม่เคยกล้าที่จะก้าวข้ามเครื่องหมายนั้นเลย ถึงแม้ว่าซาตานจะมุ่งร้าย แต่มันก็มีปัญญากว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามอยู่มาก มันรู้จักพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้าง และรู้จักเขตคั่นของมันเอง จากการกระทำ “ที่นบนอบ” ของซาตานจะเห็นได้ว่า สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้านั้น เป็นประกาศิตจากสวรรค์ซึ่งซาตานไม่อาจฝ่าฝืนได้ และเห็นได้ว่า เป็นเพราะความทรงเอกลักษณ์และสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างแน่ชัดนั่นเอง ทุกสรรพสิ่งจึงเปลี่ยนแปลงและแพร่กระจายไปอย่างเป็นระเบียบ มวลมนุษย์จึงสามารถดำรงชีวิตและทวีจำนวนขึ้นภายในครรลองที่พระเจ้าทรงสถาปนาขึ้น โดยไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดสามารถทำความเสียหายให้กับคำสั่งนี้ได้ และไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัตินี้ได้—เพราะสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดล้วนมาจากพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง และจากคำสั่งและสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

550. อัตลักษณ์พิเศษของซาตานได้ทำให้ผู้คนมากมายแสดงความสนใจอย่างแรงกล้าในการสำแดงแง่มุมนานาสารพัดของมัน มีแม้กระทั่งผู้คนโง่เขลามากมายที่เชื่อว่าซาตานก็มีสิทธิอำนาจเช่นเดียวกันกับพระเจ้า เพราะซาตานสามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ และสามารถทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมวลมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ มวลมนุษย์จึงสงวนที่ในหัวใจของเขาไว้ให้แก่ซาตาน นอกเหนือจากการนมัสการพระเจ้า และแม้กระทั่งนมัสการซาตานในฐานะพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ทั้งน่าเวทนาและน่ารังเกียจ พวกเขาน่าเวทนาเนื่องจากความไม่รู้เท่าทันของพวกเขา และน่ารังเกียจเนื่องจากความนอกรีตและเนื้อแท้ที่ชั่วในตัวของพวกเขา ณ จุดนี้ เรารู้สึกว่ามันจำเป็นที่จะต้องแจ้งข้อมูลแก่พวกเจ้าว่า สิทธิอำนาจคือสิ่งใด และมันเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใด และมันเป็นตัวแทนของสิ่งใด กล่าวโดยกว้างๆ ก็คือพระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นสิทธิอำนาจ สิทธิอำนาจของพระองค์เป็นสัญลักษณ์ของมไหศวรรย์และแก่นแท้ของพระเจ้า และสิทธิอำนาจของพระเจ้าพระองค์เองเป็นตัวแทนของพระสถานะและพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซาตานกล้าหรือที่จะกล่าวว่ามันโดยตัวมันเองเป็นพระเจ้า? ซาตานกล้าหรือที่จะกล่าวว่า มันได้สร้างทุกสรรพสิ่งและถือครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง? แน่นอนว่ามันไม่กล้า! เพราะมันไม่มีความสามารถในการสร้างทุกสรรพสิ่ง จนถึงทุกวันนี้มันยังไม่เคยสร้างสิ่งใดที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้เลย และไม่เคยสร้างสิ่งใดที่มีชีวิตเลย เพราะมันไม่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า ไม่มีวันเป็นไปได้ที่มันจะสามารถครองพระสถานะและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และสิ่งนี้กำหนดพิจารณาโดยแก่นแท้ของมัน มันมีฤทธานุภาพแบบเดียวกันกับพระเจ้าหรือไม่? แน่นอนว่ามันไม่มี! พวกเราเรียกพฤติการณ์ของซาตาน และปาฏิหาริย์ทั้งหลายที่ซาตานแสดงว่าอย่างไร? มันคือฤทธานุภาพหรือ? สามารถเรียกมันว่าสิทธิอำนาจได้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่! ซาตานชี้นำกระแสความชั่ว และทำให้เกิดความเสียหาย ลดคุณค่า และขัดจังหวะพระราชกิจของพระเจ้าทุกแง่มุม สำหรับหลายพันปีหลังๆ มานี้ นอกจากการทารุณกรรมและการทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม การยั่วยวนและการหลอกลวงมนุษย์ไปในความชั่วช้าและการไม่ยอมรับพระเจ้าจนมนุษย์เดินไปสู่หุบเขาแห่งเงามรณะแล้ว ซาตานได้เคยทำสิ่งใดที่สมควรจะได้รับการรำลึกถึง การชมเชย หรือการทะนุถนอมจากมนุษย์แม้แต่น้อยนิดหรือไม่? หากซาตานได้ครอบครองสิทธิอำนาจและพลังอำนาจ มวลมนุษย์น่าจะได้ถูกมันทำให้เสื่อมทรามแล้วหรือไม่? หากซาตานครอบครองสิทธิอำนาจและพลังอำนาจ มวลมนุษย์จะได้ถูกมันทำอันตรายแล้วหรือไม่? หากซาตานครอบครองพลังอำนาจและสิทธิอำนาจ มวลมนุษย์น่าจะได้ละทิ้งพระเจ้าแล้วหันไปหาความตายแล้วหรือไม่? ในเมื่อซาตานไม่มีสิทธิอำนาจหรือพลังอำนาจ พวกเราควรจะสรุปอย่างไรเกี่ยวกับแก่นแท้ของทุกอย่างที่มันทำ? มีบรรดาผู้ที่นิยามทุกอย่างที่ซาตานทำว่าเป็นแค่เล่ห์เหลี่ยม แต่กระนั้นเราเชื่อว่าคำนิยามเช่นนั้นยังไม่เหมาะสมนัก ความประพฤติชั่วในการทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามของมันเป็นแค่เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้นเองหรือ? กำลังบังคับชั่วที่ซาตานนำมาใช้ทำทารุณกรรมโยบ และความอยากอันดุร้ายของมันในการที่จะทำทารุณกรรมและกลืนกินเขานั้น ไม่อาจที่จะสัมฤทธิ์ผลได้โดยแค่เล่ห์เหลี่ยม เมื่อมองย้อนกลับไป ฝูงแกะฝูงวัวของโยบ ที่กระจัดกระจายออกไปกว้างไกลทั่วเนินเขาและภูเขาได้หายวับไปในชั่วพริบตา โชคลาภอันยิ่งใหญ่ของโยบปลาสนาการไปในชั่วพริบตา การนั้นสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยแค่เล่ห์เหลี่ยมกระนั้นหรือ? ธรรมชาติของทุกอย่างที่ซาตานทำสอดรับและเหมาะกับคำศัพท์เฉพาะในด้านลบอย่างเช่น การลดคุณค่า การขัดจังหวะ การทำลาย การทำอันตราย ความชั่ว ความมุ่งร้าย และความมืด และดังนั้น การเกิดขึ้นของทุกสิ่งที่ชั่วและไม่ชอบธรรมก็ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องโยงใยกับพฤติการณ์ของซาตาน และไม่อาจแยกได้จากแก่นแท้อันชั่วร้ายของซาตาน ไม่ว่าซาตานจะ “ทรงพลัง” เพียงใด ไม่ว่ามันจะฮึกเหิมหรือทะเยอทะยานเพียงใด ไม่ว่าความสามารถของมันในการก่อความเสียหายจะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ว่ากลเม็ดที่มันใช้ยั่วยวนและทำให้มนุษย์เสื่อมทรามจะมีขอบเขตกว้างเพียงใด ไม่ว่าเล่ห์กลและกลอุบายที่มันใช้ข่มขวัญมนุษย์จะฉลาดแยบยลเพียงใด ไม่ว่ารูปแบบในการที่มันดำรงอยู่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้เพียงใด แต่มันไม่เคยสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตได้สักสิ่งเดียว ไม่เคยสามารถกำหนดธรรมบัญญัติหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ สำหรับการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่ง และไม่เคยสามารถปกครองและควบคุมวัตถุใดได้เลย ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ตลอดทั่วทั้งจักรวาลและพื้นฟ้านั้นไม่มีบุคคลใดสักคนเดียวหรือวัตถุใดสักสิ่งเดียวที่เกิดมาจากมัน หรือดำรงอยู่เนื่องจากมัน ไม่มีบุคคลใดสักคนเดียวหรือวัตถุใดสักสิ่งเดียวที่มันปกครอง หรือที่มันควบคุม ในทางตรงกันข้าม มันไม่เพียงแต่ต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันยังต้องเชื่อฟังคำสั่งและคำบัญชาทั้งหมดของพระเจ้า หากไม่ได้รับการอนุญาตจากพระเจ้า ก็เป็นการยากที่ซาตานจะสัมผัสได้แม้กระทั่งน้ำสักหยดหรือทรายสักเม็ดบนแผ่นดิน หากไม่ได้รับการอนุญาตจากพระเจ้า ซาตานก็ไม่แม้กระทั่งเป็นอิสระที่จะเคลื่อนย้ายมดไปมาบนแผ่นดินด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่จะเคลื่อนย้ายมวลมนุษย์ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมา ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น ซาตานด้อยค่ากว่าดอกลิลลี่บนภูเขา นกที่บินอยู่ในอากาศ ปลาในทะเล และหนอนแมลงบนแผ่นดินโลก บทบาทของมันท่ามกลางทุกสรรพสิ่งก็คือเพื่อรับใช้ทุกสรรพสิ่งและทำงานให้แก่มวลมนุษย์ และรับใช้พระราชกิจของพระเจ้าและแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ไม่ว่าธรรมชาติของมันจะมุ่งร้ายเพียงใด และไม่ว่าแก่นแท้ของมันจะชั่วเพียงใด สิ่งเดียวที่มันสามารถทำได้คือยึดปฏิบัติตามหน้าที่รับผิดชอบของมันอย่างเป็นหน้าที่ นั่นคือ การปรนนิบัติพระเจ้า และการจัดเตรียมความเป็นขั้วตรงข้ามให้กับพระเจ้า เช่นนั้นเองที่เป็นเนื้อแท้และตำแหน่งของซาตาน แก่นแท้ของมันไม่ได้เชื่อมโยงกับชีวิต ไม่ได้เชื่อมโยงกับพลังอำนาจ ไม่ได้เชื่อมโยงกับสิทธิอำนาจ มันเป็นเพียงแค่ของเล่นในพระหัตถ์ของพระเจ้า แค่เครื่องจักรในการปรนนิบัติพระเจ้าเท่านั้น!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

551. แม้ว่าซานตานจะได้มองโยบด้วยสายตาอันละโมบ แต่หากไม่ได้รับการอนุญาตจากพระเจ้าแล้ว มันก็ไม่กล้าที่จะแตะต้องแม้ขนสักเส้นเดียวบนร่างกายของโยบ ถึงแม้ว่าซาตานจะชั่วและโหดร้ายโดยกำเนิด แต่หลังจากพระเจ้าได้ทรงออกคำสั่งของพระองค์แก่มัน มันก็ไม่มีทางเลือกใดนอกจากต้องยึดปฏิบัติตามการทรงบัญชาของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าซานตานจะบ้าระห่ำดังเช่นหมาป่าท่ามกลางฝูงแกะเมื่อกล่าวถึงโยบ แต่มันก็ไม่กล้าที่จะลืมขีดจำกัดที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดให้กับมัน ไม่กล้าที่จะละเมิดคำสั่งของพระเจ้า และในทุกอย่างที่ซาตานทำนั้น มันไม่กล้าที่จะเบี่ยงเบนไปจากหลักธรรมและขีดจำกัดในพระวจนะของพระเจ้า—นี่มิใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ? จากการนี้สามารถมองเห็นว่า ซาตานไม่กล้าขัดพระวจนะใดๆ ของพระยาห์เวห์พระเจ้า สำหรับซาตานแล้วนั้น พระวจนะทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าคือคำสั่งและธรรมบัญญัติจากสวรรค์ คือการแสดงออกถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า—เพราะเบื้องหลังของพระวจนะทุกคำของพระเจ้าแสดงนัยการลงโทษของพระเจ้าต่อพวกที่ละเมิดคำสั่งของพระเจ้า และต่อพวกที่ไม่เชื่อฟังและต่อต้านธรรมบัญญัติจากสวรรค์ ซาตานรู้อย่างชัดเจนว่า หากมันละเมิดคำสั่งของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว มันต้องยอมรับผลพวงที่ตามมาจากการฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระเจ้าและการต่อต้านธรรมบัญญัติจากสวรรค์ แล้วผลพวงที่ตามมาเหล่านี้คือสิ่งใด? ไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่า ผลพวงเหล่านั้นคือการที่มันถูกพระเจ้าลงโทษนั่นเอง การกระทำของซาตานที่มีต่อโยบนั้น เป็นแค่หน่วยจุลภาคแห่งการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามของมัน และเมื่อซาตานกำลังดำเนินการกระทำเหล่านี้ ขีดจำกัดที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดและคำสั่งที่พระองค์ได้ทรงออกให้แก่ซาตานนั้น ก็เป็นแค่หน่วยจุลภาคของหลักธรรมเบื้องหลังทุกอย่างที่มันทำนั่นเอง นอกจากนี้ บทบาทและตำแหน่งของซาตานในเรื่องนี้ ก็เป็นเพียงแค่หน่วยจุลภาคของบทบาทและตำแหน่งในพระราชกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการของพระเจ้า และการไม่เชื่อฟังพระเจ้าโดยสิ้นเชิงของซาตานในการทดลองโยบนั้น เป็นเพียงหน่วยจุลภาคของการที่ซาตานไม่กล้าทำการต่อต้านพระเจ้าแม้แต่นิดเดียวในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า หน่วยจุลภาคเหล่านี้ให้คำเตือนใดแก่พวกเจ้า? ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งรวมถึงซาตานนั้น ไม่มีบุคคลหรือสิ่งใดเลยที่สามารถฝ่าฝืนธรรมบัญญัติและประกาศิตจากสวรรค์ที่พระผู้สร้างทรงกำหนดขึ้นได้ และไม่มีบุคคลหรือสิ่งใดเลยที่กล้าละเมิดธรรมบัญญัติและประกาศิตจากสวรรค์เหล่านี้ เพราะไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดเลยที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือหนีรอดจากการลงโทษที่พระผู้สร้างลงทัณฑ์ต่อพวกที่ไม่เชื่อฟังธรรมบัญญัติและประกาศิตจากสวรรค์เหล่านั้น มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงสามารถตั้งธรรมบัญญัติและประกาศิตจากสวรรค์ได้ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงมีฤทธานุภาพที่จะทำให้พวกมันมีผลบังคับ และมีเพียงฤทธานุภาพของพระผู้สร้างเท่านั้น ที่บุคคลหรือสิ่งอันใดก็ไม่สามารถฝ่าฝืนได้ นี่คือสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง และนี่คือสิทธิอำนาจอันสูงสุดท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ที่สุด และซาตานคือหมายเลขสอง” ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเลยเว้นแต่พระผู้สร้างผู้ทรงครองสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

552. ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามเรื่อยมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว มันได้ทำความชั่วจำนวนนับไม่ถ้วน ได้หลอกลวงผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า และได้ก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายในโลก มันได้ทำทารุณกรรมมนุษย์ หลอกลวงมนุษย์ หลอกล่อมนุษย์ให้ต่อต้านพระเจ้า และได้กระทำพฤติการณ์ชั่วที่ได้ลดคุณค่าและทำให้แผนการบริหารจัดการของพระเจ้างุนงงสับสนครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกระนั้น ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้าแล้ว ทุกสรรพสิ่งและสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทั้งหลายยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง เมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติและการอาละวาดเพ่นพ่านอันชั่วร้ายของซาตานนั้นอัปลักษณ์ยิ่งนัก น่าขยะแขยงและน่าดูหมิ่นยิ่งนัก และช่างเล็กน้อยและอ่อนไหวเปราะบางยิ่งนัก ถึงแม้ว่าซาตานจะเดินอยู่ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง แต่มันก็ไม่สามารถมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยนิดในผู้คน สิ่งของ หรือวัตถุใดๆ ที่พระเจ้าได้ทรงบัญชา หลายพันปีได้ผ่านพ้นไปแล้ว และมวลมนุษย์ก็ยังคงชื่นชมความสว่างและอากาศที่พระเจ้าประทานให้ ยังคงหายใจด้วยลมปราณที่พระเจ้าพระองค์เองทรงถ่ายทอดออกมา ยังคงชื่นชมดอกไม้ นก ปลา และแมลงทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น และชื่นชมทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้ วันและคืนยังคงแทนที่กันอย่างต่อเนื่อง ฤดูกาลทั้งสี่ยังคงปรับเปลี่ยนตามปกติ ห่านป่าที่บินอยู่ในท้องฟ้าจากไปในฤดูหนาว และยังคงหวนคืนมาในฤดูใบไม้ผลิถัดไป ปลาในน้ำไม่เคยทิ้งแม่น้ำและทะเลสาบ—ซึ่งเป็นบ้านของพวกมัน จักจั่นบนแผ่นดินโลกร้องเพลงออกมาจากใจของพวกมันในระหว่างวันแห่งฤดูร้อน และจิ้งหรีดในพงหญ้าฮัมเพลงแผ่วเบาเป็นจังหวะเดียวกับสายลมในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ห่านป่ารวมตัวกันเป็นฝูง ในขณะที่นกอินทรียังคงสันโดษ ความภาคภูมิของสิงโตยังคงค้ำชูตนเองโดยการล่า กวางเอลก์ไม่ไถลห่างไปจากหญ้าและดอกไม้…สิ่งทรงสร้างมีชีวิตทุกประเภทท่ามกลางทุกสรรพสิ่งจากไปและหวนคืนมา และแล้วก็จากไปอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงนับล้านที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว—แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือสัญชาตญาณและธรรมบัญญัติแห่งการอยู่รอด พวกมันดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การจัดเตรียมและการบำรุงเลี้ยงของพระเจ้า และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงสัญชาตญาณของพวกมันได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถลดคุณค่ากฎเกณฑ์ในการอยู่รอดของพวกมันได้ ถึงแม้ว่ามวลมนุษย์ผู้ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งจะถูกซาตานหลอกลวงและทำให้เสื่อมทราม แต่มนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถยอมสละน้ำที่พระเจ้าทรงทำไว้ และอากาศที่พระเจ้าทรงทำไว้ และทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไว้ และมนุษย์ยังคงดำรงชีวิตและแพร่หลายในพื้นที่นี้ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ สัญชาตญาณของมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป มนุษย์ยังคงพึ่งพาสายตาของเขาในการมอง พึ่งพาหูของเขาในการได้ยิน พึ่งพาสมองของเขาในการคิด พึ่งพาหัวใจของเขาในการเข้าใจ พึ่งพาขาและเท้าของเขาในการเดิน พึ่งพามือของเขาในการทำงาน และอื่นๆ สัญชาตญาณทั้งหมดที่พระเจ้าได้ประทานให้มนุษย์เพื่อให้เขาสามารถยอมรับการจัดเตรียมของพระเจ้าได้นั้นยังคงไม่ปรับเปลี่ยน ปฏิภาณทั้งหลายที่มนุษย์ใช้เพื่อร่วมมือกับพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง ปฏิภาณของมวลมนุษย์สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความต้องการฝ่ายจิตวิญญาณของมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความอยากพบต้นกำเนิดของตนของมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความโหยหาที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระผู้สร้างของมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นคือรูปการณ์แวดล้อมปัจจุบันของมวลมนุษย์ ผู้ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า และผู้ซึ่งได้ทนฝ่าการทำลายล้างนองเลือดที่ซาตานเป็นผู้ทำ ถึงแม้ว่ามวลมนุษย์ได้ถูกซาตานเหยียบย่ำ และไม่ใช่อาดัมกับเอวาจากปฐมกาลแห่งการทรงสร้างอีกต่อไปแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยสิ่งทั้งหลายที่เป็นปรปักษ์กับพระเจ้า เช่น ความรู้ จินตนาการ มโนคติที่หลงผิด และอื่นๆ และเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว มวลมนุษย์ยังคงเป็นมวลมนุษย์แบบเดียวกันกับที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา มวลมนุษย์ยังคงได้รับการปกครองและจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า และยังคงดำรงชีวิตอยู่ภายในครรลองที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดขึ้น และดังนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า มวลมนุษย์ผู้ซึ่งถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้วนั้นเพียงแค่ถูกปกคลุมด้วยคราบสกปรก มีท้องที่ร้องโครกคราก มีปฏิกิริยาที่เชื่องช้าไปสักหน่อย มีความจำที่ไม่ดีเท่าที่เคยเป็น และชราภาพขึ้นเล็กน้อย—แต่การทำหน้าที่และสัญชาตญาณทั้งหมดของมนุษย์นั้นไม่มีการเสียหายเลยโดยสิ้นเชิง นี่คือมวลมนุษย์ที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะช่วยให้รอด มวลมนุษย์นี้เพียงแต่ต้องได้ยินการทรงเรียกของพระผู้สร้าง และได้ยินพระสุรเสียงของพระผู้สร้าง และเขาจะยืนขึ้นและรีบค้นหาตำแหน่งแหล่งกำเนิดของเสียงนั้น มวลมนุษย์นี้เพียงแต่ต้องมองเห็นพระรูปกายของพระผู้สร้าง และเขาจะกลายเป็นไร้ความใส่ใจในสิ่งอื่นใดทั้งหมด และละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะอุทิศตนต่อพระเจ้า และแม้กระทั่งจะวางชีวิตของเขาลงเพื่อพระองค์ เมื่อหัวใจของมวลมนุษย์เข้าใจพระวจนะเปี่ยมน้ำใสใจจริงของพระผู้สร้าง มวลมนุษย์จะไม่ยอมรับซาตานและมาอยู่เคียงข้างพระผู้สร้าง เมื่อมวลมนุษย์ได้ชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายของเขาโดยหมดจดแล้ว และได้รับการจัดเตรียมและการบำรุงเลี้ยงของพระผู้สร้างอีกครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อนั้น ความจำของมวลมนุษย์จะฟื้นคืนมา และ ณ เวลานี้เอง มวลมนุษย์จึงจะได้หวนคืนสู่อำนาจครอบครองของพระผู้สร้างแล้วอย่างแท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

553. สิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นมิอาจมีมนุษย์คนใดเลียนแบบได้ และพระอัตลักษณ์และพระสถานะของพระเจ้าก็มิอาจมีมนุษย์คนใดปลอมมาเป็นได้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะสามารถเลียนแบบพระกระแสเสียงที่พระเจ้าตรัส แต่เจ้าก็ไม่สามารถเลียนแบบแก่นแท้ของพระเจ้าได้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะสามารถยืนในที่ของพระเจ้าและปลอมเป็นพระเจ้าได้ แต่เจ้าจะไม่มีวันสามารถทำสิ่งที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทำ และจะไม่มีวันสามารถปกครองและบัญชาทุกสรรพสิ่งได้ ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว เจ้าจะเป็นสิ่งที่ทรงสร้างเล็กๆ สิ่งหนึ่งตลอดไป และไม่ว่าทักษะและความสามารถของเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์มากเพียงใด แต่ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของเจ้าแล้วนั้น เจ้าอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง ถึงแม้ว่าเจ้าจะสามารถกล่าวคำพูดที่อวดกล้าบางคำ แต่นี่ก็ไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีแก่นแท้ของพระผู้สร้าง อีกทั้งไม่สามารถเป็นสิ่งแทนว่าเจ้ามีสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าคือแก่นแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ได้เรียนรู้หรือเพิ่มเติมจากภายนอก แต่เป็นแก่นแท้ภายในพระองค์ของพระเจ้าพระองค์เอง และดังนั้น สัมพันธภาพระหว่างพระผู้สร้างกับสรรพสิ่งที่ทรงสร้างจึงไม่มีวันสามารถปรับเปลี่ยนได้เลย ในฐานะหนึ่งในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง มนุษย์ต้องรักษาตำแหน่งของเขาเอง และประพฤติตนอย่างมีจิตสำนึก จงคุ้มกันสิ่งที่พระผู้สร้างทรงมอบความไว้วางพระทัยแก่เจ้าอย่างเป็นหน้าที่ จงอย่ากระทำการล้ำเส้น หรือทำสิ่งทั้งหลายที่นอกเหนือช่วงความสามารถของเจ้า หรือที่เป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า จงอย่าพยายามที่จะยิ่งใหญ่ หรือกลายเป็นยอดมนุษย์ หรือเหนือสิ่งอื่นใด จงอย่าพยายามที่จะกลายเป็นพระเจ้า นี่คือวิธีที่ผู้คนไม่ควรอยากที่จะเป็น การพยายามที่จะกลายเป็นยิ่งใหญ่หรือยอดมนุษย์นั้นช่างไร้สาระ การเสาะแสวงที่จะกลายเป็นพระเจ้ายิ่งเป็นที่เสื่อมเสียยิ่งกว่า มันน่าขยะแขยงและน่าดูหมิ่นนัก สิ่งที่น่าชมเชยและสิ่งที่สิ่งทรงสร้างทั้งหลายควรจะยึดมั่นไว้มากกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ การกลายเป็นสิ่งทรงสร้างที่แท้จริง นี่คือเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่ผู้คนทุกคนควรไล่ตามเสาะหา

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

ก่อนหน้า: 11. พระวจนะว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า

ถัดไป: ข. ว่าด้วยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger