การเข้าสู่ชีวิต 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 406

เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า รักและทำให้พระองค์พอพระทัย พวกเขาย่อมทำให้พระวิญญาณของพระเจ้ารู้สึกถึงหัวใจของพวกเขา ซึ่งย่อมทำให้พระองค์พอพระทัย พวกเขาใช้หัวใจของตนทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และด้วยเหตุนี้จึงได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระองค์  หากเจ้าปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ และสร้างสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องมอบหัวใจของเจ้าให้พระองค์ก่อน  มีเพียงเมื่อเจ้าสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระองค์และทุ่มเทหัวใจของเจ้าให้พระองค์โดยบริบูรณ์แล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถพัฒนาชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติได้ทีละน้อย  หากในการเชื่อของผู้คนในพระเจ้า พวกเขาไม่ได้มอบหัวใจของพวกเขาให้พระองค์ หากหัวใจของพวกเขาไม่ได้อยู่กับพระองค์ และพวกเขาไม่ปฏิบัติต่อพระภาระของพระองค์เสมือนเป็นภาระของตนเอง เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งที่พวกเขาทำก็คือการฉ้อโกงพระเจ้า เป็นการกระทำตามอย่างผู้คนที่เคร่งศาสนา และย่อมจะไม่ได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้า  พระเจ้าไม่อาจได้รับสิ่งใดจากบุคคลประเภทนี้ พวกเขาทำได้แต่เพียงเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้แก่พระราชกิจของพระองค์เท่านั้น  คนเหล่านี้เป็นเหมือนเครื่องตกแต่งพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น—พวกเขามาจับจองพื้นที่ชั่วคราวและเป็นขยะ และพระเจ้าย่อมไม่ทรงใช้พวกเขา  ไม่เพียงไม่มีโอกาสที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงงานในตัวพวกเขาเท่านั้น แต่ยังไม่มีคุณค่าอันใดในการทำให้พวกเขาเพียบพร้อมอีกด้วย  บุคคลจำพวกนี้คือซากศพที่เดินได้โดยแท้  ไม่มีส่วนใดในตัวพวกเขาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงใช้งานได้—พวกเขาถูกซาตานครอบงำจนหมดสิ้นและถูกมันทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ  พระเจ้าจะทรงขับผู้คนเหล่านี้ออกไป  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ผู้คนในยุคปัจจุบัน พระองค์ไม่เพียงทรงใช้ส่วนที่พึงใช้ในตัวพวกเขาเพื่อทำให้สิ่งทั้งหลายสำเร็จเท่านั้น—พระองค์ยังทรงเปลี่ยนแปลงและทำให้ส่วนที่ไม่พึงปรารถนาในตัวพวกเขานั้นเพียบพร้อมอีกด้วย  หากเจ้าสามารถทุ่มเทหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้าและสงบใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีโอกาสและมีคุณสมบัติให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ มีโอกาสและคุณสมบัติที่จะได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระองค์  ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เจ้าจะมีโอกาสที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเยียวยาข้อบกพร่องของเจ้า  เมื่อเจ้ามอบหัวใจของเจ้าให้พระเจ้า ในด้านบวกนั้น เจ้าจะสามารถมีการเข้าสู่ที่ลึกกว่าเดิมและบรรลุความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในระดับที่สูงขึ้นได้  ส่วนในด้านลบ เจ้าจะได้รู้จักสิ่งที่เจ้าขาดและรู้จักข้อบกพร่องของเจ้าเองมากขึ้น และเจ้าจะโหยหามากขึ้นและพยายามมากขึ้นที่จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า  นอกเหนือจากนี้ เจ้าจะไม่นิ่งเฉย เจ้าจะสามารถเข้าสู่ได้อย่างกระตือรือร้น  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าคือบุคคลที่ถูกต้อง  สมมุติว่าหัวใจของเจ้าสามารถสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เช่นนั้นแล้วการที่เจ้าจะได้รับการสรรเสริญจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ และการที่เจ้าจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะสามารถเข้าสู่อย่างกระตือรือร้นได้หรือไม่เป็นสำคัญ  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความรู้แจ้งแก่ผู้คนและทรงใช้พวกเขา พระองค์ไม่เคยทำให้พวกเขาคิดลบ พระองค์ทรงทำให้พวกเขาก้าวหน้าอย่างแข็งขันอยู่เสมอ  และเมื่อพระองค์ทรงทำเช่นนี้ ผู้คนก็ยังมีจุดอ่อนอยู่ดี แต่พวกเขาจะไม่ดำเนินชีวิตตามจุดอ่อนเหล่านั้น  พวกเขาไม่ประวิงความก้าวหน้าในชีวิตของตนและพยายามที่จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าต่อไป  นี่คือมาตรฐาน  หากเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้ามีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว  หากคนคนหนึ่งคิดลบอยู่เสมอ และหากว่าแม้หลังจากที่ได้รับความรู้แจ้งและได้มารู้จักตัวเองแล้ว พวกเขายังคงคิดลบและนิ่งเฉย และพวกเขาไม่สามารถลุกขึ้นมาทำงานกับพระเจ้าแล้วไซร้ พวกเขาก็เพียงได้รับพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้สถิตอยู่กับพวกเขา  ความคิดลบของพวกเขาหมายความว่าหัวใจของพวกเขาไม่ได้หันหาพระเจ้าและวิญญาณของพวกเขาไม่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้า  ทุกคนควรเข้าใจตามนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าคือสิ่งสำคัญยิ่ง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 407

จากประสบการณ์ สามารถเห็นได้ว่าการสงบใจของคนเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด  นี่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาเรื่องชีวิตฝ่ายวิญญาณและความก้าวหน้าในชีวิตของผู้คน  การไล่ตามเสาะหาความจริงและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้าจะเกิดผลก็ต่อเมื่อหัวใจของเจ้าสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้น  นั่นเป็นเพราะเจ้าได้มาแบกรับภาระเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เพราะเจ้ารู้สึกอยู่เสมอว่าเจ้ากำลังขาดพร่องหลายด้านเหลือเกิน รู้สึกว่ามีความจริงหลายประการที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ มีความเป็นจริงมากมายที่เจ้าจำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้วย และรู้สึกว่าเจ้าควรแสดงให้เห็นการคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้าเสมอ ให้ความรู้สึกเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้กำลังกดทับอยู่บนตัวเจ้าด้วยแรงกำลังที่ทำให้เจ้าหายใจไม่ออก และดังนั้นหัวใจของเจ้าจึงรู้สึกหนักอึ้ง (แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่ในสภาวะที่คิดลบก็ตาม)  คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับความรู้แจ้งจากพระวจนะของพระเจ้า และได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้า  เนื่องจากภาระของพวกเขา เนื่องจากพวกเขารู้สึกหนักหน่วงในหัวใจ และสามารถพูดได้ว่าเนื่องจากราคาที่พวกเขาได้จ่ายไปและความทุกข์ที่พวกเขาสู้ทนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาจึงได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระองค์  เพราะพระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติเป็นพิเศษต่อใครคนใดคนหนึ่ง  พระองค์จึงทรงยุติธรรมในการปฏิบัติของพระองค์ต่อผู้คนเสมอ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงมอบให้ผู้คนโดยสุดแต่พระทัยหรือโดยไม่มีเงื่อนไข  นี่เป็นแง่มุมหนึ่งของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  ในชีวิตจริงนั้นผู้คนส่วนใหญ่ยังทำได้ไม่ถึงขอบเขตนี้  อย่างน้อยที่สุด หัวใจของพวกเขายังต้องหันมาหาพระเจ้าให้หมดทั้งดวงเสียก่อน ดังนั้นอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาจึงยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ อันใด  นี่เป็นเพราะพวกเขาเพียงดำเนินชีวิตอยู่ในพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น และพวกเขายังไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  หลักเกณฑ์ที่ผู้คนต้องทำให้ถึงเพื่อที่พระเจ้าจะทรงใช้พวกเขามีดังต่อไปนี้คือ หัวใจของพวกเขาต้องหันเข้าหาพระเจ้า พวกเขาต้องรับเอาภาระจากพระวจนะของพระองค์ พวกเขาต้องมีหัวใจที่โหยหา และพวกเขาต้องแน่วแน่ที่จะแสวงหาความจริง  มีแต่ผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่จะมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  และสามารถได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระองค์อยู่เนืองๆ  ผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้นั้นภายนอกแล้วดูเหมือนไม่มีเหตุผลและไม่มีสัมพันธภาพที่ปกติกับผู้อื่น แต่พวกเขาระมัดระวังคำพูดคำจา รู้จักกาละเทศะ และสามารถสงบใจเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้เสมอ  นี่คือบุคคลประเภทที่คู่ควรแก่การให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้โดยแท้  ผู้คนที่ “ไม่มีเหตุผล” ที่พระเจ้าตรัสถึงนี้ดูเหมือนจะไม่มีสัมพันธภาพที่ปกติกับผู้อื่น และพวกเขาไม่สนใจที่จะแสดงความรักให้คนเห็นหรือปฏิบัติให้เห็น แต่เมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมถึงเรื่องราวฝ่ายวิญญาณ พวกเขาสามารถเปิดใจของตน และให้ความรู้แจ้งและความกระจ่างที่พวกเขาได้รับจากประสบการณ์จริงของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแก่ผู้อื่นได้อย่างไม่เห็นแก่ตนเอง  นั่นคือการแสดงออกซึ่งความรักที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและเป็นการสนองน้ำพระทัยของพระองค์  เมื่อผู้อื่นใส่ร้ายป้ายสีและเยาะเย้ยถากถางพวกเขา  พวกเขาก็หลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองได้รับอิทธิพลจากผู้คน เรื่องราว หรือสิ่งภายนอก  และยังคงสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  พวกเขาดูเหมือนจะมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในแบบของพวกเขาเอง  ไม่ว่าผู้อื่นจะทำเช่นไร หัวใจของพวกเขาก็ไม่เคยผละจากพระเจ้า  ในยามที่ผู้อื่นกำลังพูดคุยและหัวเราะกัน หัวใจของพวกเขายังคงอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  พวกเขาใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์หรืออธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนอย่างเงียบๆ แสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์  ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญแก่การดำรงรักษาสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างผู้คน และพวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่มีปรัชญาในการดำรงชีวิต  พวกเขาดูมีชีวิตชีวา ควรค่าที่จะรัก และไร้เดียงสา แต่พวกเขาก็มีความสงบบางอย่างด้วย  นี่คือสภาพเสมือนของบุคคลประเภทที่พระเจ้าทรงใช้ สิ่งทั้งหลาย เช่น ปรัชญาในการดำรงชีวิตหรือ “เหตุผลตามปกติ” ย่อมใช้ไม่ได้กับบุคคลประเภทนี้  พวกเขาได้ทุ่มเทหัวใจทั้งดวงของพวกเขาให้แก่พระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาดูเหมือนจะมีแต่พระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนเท่านั้น  นี่คือบุคคลประเภทที่ “ไม่มีเหตุผล” ที่พระเจ้าตรัสถึง  และเป็นบุคคลประเภทนี้นี่เองที่พระเจ้าทรงใช้งาน  เครื่องหมายที่แสดงถึงบุคคลที่พระเจ้าทรงใช้งานก็คือ ไม่ว่าเมื่อไรหรือที่ไหน หัวใจของพวกเขาก็อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ และไม่ว่าผู้อื่นจะเสเพลเช่นไร หรือผู้อื่นจะหลงระเริงไปกับตัณหาและเนื้อหนังมากเพียงใด หัวใจของบุคคลผู้นี้ก็ไม่เคยผละจากพระเจ้า และพวกเขาไม่ทำตามฝูงชน  บุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่เหมาะกับการทรงใช้งานของพระเจ้า  และเฉพาะบุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่จะถูกทำให้เพียบพร้อมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  หากเจ้าไม่สามารถเป็นเช่นนี้ได้แล้วไซร้ เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะให้พระเจ้าทรงรับไว้หรือให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้เพียบพร้อม

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าคือสิ่งสำคัญยิ่ง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 408

หากเจ้าต้องการสร้างสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า เจ้าก็ต้องหันหัวใจเข้าหาพระองค์ เมื่อมีรากฐานดังนี้แล้ว เจ้าก็จะมีสัมพันธภาพที่ปกติกับผู้อื่นด้วย  หากเจ้าไม่มีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะทำเช่นไรเพื่อรักษาสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับผู้อื่นไว้ ไม่ว่าเจ้าจะทำงานหนักเพียงใดหรือเจ้าจะออกแรงมากเพียงใด ทั้งหมดนั้นจะเป็นเรื่องของปรัชญาในการดำรงชีวิตของมนุษย์  เจ้าย่อมจะปกป้องฐานะที่เจ้ามีท่ามกลางผู้คนและได้รับการสรรเสริญจากพวกเขาผ่านทางมุมมองอย่างมนุษย์และปรัชญาของมนุษย์ มากกว่าที่จะสร้างสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างผู้คนด้วยกันตามพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าไม่สนใจสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับผู้คน และรักษาสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าแทน หากเจ้าเต็มใจที่จะมอบหัวใจของเจ้าให้พระเจ้าและเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังพระองค์ เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพระหว่างผู้คนของเจ้าก็จะกลายเป็นปกติไปเอง  และแล้วสัมพันธภาพเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นบนเนื้อหนัง แต่จะสร้างบนรากฐานที่เป็นความรักของพระเจ้า  เจ้าแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางเนื้อหนังกับผู้อื่นเลย แต่ในระดับวิญญาณนั้นจะมีการสามัคคีธรรมและมีความรักให้กัน มีความชูใจและการจัดเตรียมให้แก่กันในหมู่พวกเจ้า  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนรากฐานของความปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย—สัมพันธภาพเหล่านี้ไม่ได้ดำรงรักษาไว้ด้วยปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตของมนุษย์ สัมพันธภาพเหล่านี้ก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติเมื่อคนเราแบกรับภาระให้พระเจ้า  สัมพันธภาพเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยความพยายามที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ของเจ้า เจ้าเพียงต้องปฏิบัติตามหลักธรรมในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  เจ้าเต็มใจที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าเต็มใจที่จะเป็นบุคคลที่ “ไม่มีเหตุผล” เฉพาะพระพักตร์พระองค์หรือไม่?  เจ้าเต็มใจที่จะมอบหัวใจทั้งดวงของเจ้าให้พระเจ้าและไม่สนใจฐานะของเจ้าในหมู่ผู้อื่นหรือไม่?  ในบรรดาผู้คนทั้งหมดที่เจ้ามีปฏิสัมพันธ์ด้วยนั้น เจ้ามีสัมพันธภาพที่ดีที่สุดกับใคร?  เจ้ามีสัมพันธภาพที่แย่ที่สุดกับใคร?  สัมพันธภาพที่เจ้ามีกับผู้คนนั้นปกติหรือไม่?  เจ้าปฏิบัติต่อผู้คนทั้งปวงอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่?  เจ้ารักษาสัมพันธภาพที่มีกับผู้อื่นตามปรัชญาในการดำรงชีวิตของเจ้า หรือเจ้าสร้างสัมพันธภาพเหล่านั้นบนรากฐานที่เป็นความรักของพระเจ้า?  เมื่อผู้คนไม่ได้มอบหัวใจของพวกเขาให้พระเจ้า วิญญาณของพวกเขาย่อมเชื่องช้า ด้านชา และไม่รู้สึกตัว  ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจะไม่มีวันมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า และพวกเขาจะไม่มีวันสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตน  การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเราคือกระบวนการมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้าทั้งดวง น้อมรับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวจนะของพระองค์  พระราชกิจของพระเจ้าเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าสู่ได้อย่างกระตือรือร้น และทำให้พวกเขาสามารถปลดเปลื้องด้านลบของตนหลังจากที่ได้รู้จักด้านลบเหล่านั้นแล้ว  เมื่อเจ้ามอบหัวใจของเจ้าให้พระเจ้าแล้ว เจ้าก็จะสามารถรู้สึกได้ทุกครั้งที่วิญญาณของเจ้าได้รับการดลใจอยู่บ้าง และรู้จักทุกส่วนของความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระเจ้า  หากเจ้าพากเพียรต่อไป เจ้าจะค่อยๆ เข้าสู่เส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำให้เจ้าเพียบพร้อม  ยิ่งหัวใจของเจ้าสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่าใด วิญญาณของเจ้าก็จะยิ่งอ่อนไหวและละเอียดอ่อนขึ้นและจะยิ่งล่วงรู้ได้มากขึ้นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจวิญญาณของเจ้าเช่นไร และสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็จะเป็นปกติยิ่งขึ้นเท่านั้นด้วย  สัมพันธภาพที่ปกติระหว่างผู้คนนั้นสร้างขึ้นบนรากฐานของการหันหัวใจของตนเข้าหาพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยความมานะพยายามอย่างมนุษย์  หากหัวใจของคนคนหนึ่งไม่มีพระเจ้า เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพที่พวกเขามีกับผู้อื่นก็เป็นเพียงสัมพันธภาพทางเนื้อหนังเท่านั้น  สัมพันธภาพเหล่านั้นไม่ปกติ เป็นการปล่อยตัวปล่อยใจไปตามตัณหา และพระเจ้าทรงเกลียดและชังสัมพันธภาพเหล่านั้น  หากเจ้ากล่าวว่าวิญญาณของเจ้าได้รับการดลใจ แต่เจ้าเต็มใจที่จะสามัคคีธรรมกับผู้คนที่เจ้าชอบและเคารพเท่านั้น และเจ้ามีอคติและไม่ยอมพูดจากับผู้คนที่เจ้าไม่ชอบเวลาที่พวกเขามาแสวงหากับเจ้า นี่ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์เพิ่มเติมว่าเจ้าถูกอารมณ์ครอบงำและเจ้าไม่มีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าเลย  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้ากำลังพยายามที่จะหลอกลวงพระเจ้าและปกปิดความอัปลักษณ์ของเจ้าเอง  เจ้าอาจจะสามารถแบ่งปันความรู้บางอย่างที่เจ้ามีได้ แต่หากเจตนาของเจ้าผิด เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำย่อมดีงามตามมาตรฐานของมนุษย์เท่านั้น และพระเจ้าจะไม่ทรงสรรเสริญเจ้า  การกระทำของเจ้าจะถูกขับเคลื่อนตามเนื้อหนังของเจ้าเอง ไม่ใช่ตามพระภาระของพระเจ้า  เจ้าเหมาะที่จะให้พระเจ้าทรงใช้งานก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถสงบใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์และมีปฏิสัมพันธ์ที่ปกติกับทุกคนที่รักพระองค์เท่านั้น  หากเจ้าทำเช่นนั้นได้แล้วไซร้ ไม่ว่าเจ้าจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเช่นไร เจ้าก็จะไม่ทำไปตามปรัชญาของการดำรงชีวิต เจ้าจะคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้าและดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์  มีผู้คนเช่นนี้กี่คนในหมู่พวกเจ้า?  สัมพันธภาพที่เจ้ามีกับคนอื่นปกติจริงหรือ?  สัมพันธภาพเหล่านั้นสร้างขึ้นบนรากฐานใด?  มีปรัชญาในการดำรงชีวิตอยู่ภายในตัวเจ้ากี่ข้อ?  เจ้าปลดเปลื้องปรัชญาเหล่านั้นทิ้งไปหรือยัง?  หากหัวใจของเจ้าไม่สามารถหันเข้าหาพระเจ้าได้โดยบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้เป็นของพระเจ้า—เจ้ามาจากซาตาน ในท้ายที่สุดเจ้าก็จะกลับคืนไปหาซาตาน และเจ้าย่อมไม่สมควรที่จะเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้า  เจ้าต้องตรวจสอบสิ่งเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าคือสิ่งสำคัญยิ่ง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 409

ในการเชื่อในพระเจ้า อย่างน้อยเจ้าต้องแก้ไขประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า  หากเจ้าไม่มีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว การเชื่อในพระเจ้าของเจ้าก็จะไม่มีความหมาย  การสร้างสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่สามารถสัมฤทธิ์ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยหัวใจที่นิ่งสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  การมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าหมายถึงการสามารถที่จะไม่สงสัยและไม่ปฏิเสธพระราชกิจใดๆ ของพระองค์ และสามารถนบนอบต่อพระราชกิจของพระองค์ได้  และหมายถึงการมีเจตนาที่ถูกต้องในการสถิตของพระเจ้า ไม่วางแผนการต่างๆ เพื่อตัวเจ้าเอง และคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งครอบครัวของพระเจ้าเป็นอันดับแรกในทุกสิ่ง ทั้งยังหมายถึงการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าและการเชื่อฟังการจัดการเตรียมการต่างๆ ของพระเจ้า  เจ้าต้องสามารถทำให้หัวใจของเจ้านิ่งสงบในการสถิตของพระเจ้าในทุกสิ่งที่เจ้าทำ  แม้เมื่อเจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าก็ยังคงต้องทำหน้าที่ และทำให้ความรับผิดชอบต่างๆ ของเจ้าลุล่วงอย่างสุดความสามารถของเจ้า  ทันทีที่น้ำพระทัยของพระเจ้าได้รับการเปิดเผยแก่เจ้า จงลงมือทำตามนั้น แล้วทุกสิ่งจะไม่สายเกินไป  เมื่อสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้ากลายเป็นปกติแล้ว เจ้าจะมีสัมพันธภาพที่ปกติกับผู้คนด้วย  เพื่อที่จะสร้างสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า ทั้งหมดต้องถูกสร้างบนรากฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ เจ้าต้องแก้ไขทรรศนะของเจ้าให้ถูกต้อง และต้องแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง  เจ้าต้องปฏิบัติความจริงเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงแล้ว และไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็ต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหาด้วยหัวใจที่เชื่อฟังพระเจ้า  ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ เจ้าก็จะสามารถธำรงรักษาสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้าได้  ในเวลาเดียวกับที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม เจ้าก็ต้องทำให้แน่ใจว่าเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และไม่กล่าวสิ่งใดที่ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลพี่น้องชายหญิงอีกด้วย  อย่างน้อยที่สุด เจ้าต้องไม่ทำสิ่งใดที่ขัดแย้งกับมโนธรรมของเจ้าและต้องไม่ทำสิ่งใดที่น่าละอายอย่างเด็ดขาด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ต้านทานหรือเป็นกบฏต่อพระเจ้า เจ้าต้องไม่ทำอย่างเด็ดขาด และเจ้าต้องไม่ทำสิ่งใดที่ก่อความไม่สงบให้แก่งานหรือชีวิตของคริสตจักร  จงเป็นคนที่ยุติธรรมและมีเกียรติในทุกสิ่งที่เจ้ากระทำ และจงทำให้แน่ใจว่าทุกการกระทำของเจ้าเป็นสิ่งที่สามารถนำเสนอเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้  แม้ว่าเนื้อหนังอาจจะอ่อนแอในบางครั้ง แต่เจ้าต้องสามารถให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์แห่งครอบครัวของพระเจ้าเป็นอันดับแรกโดยไม่ละโมบหาผลกำไรส่วนตัว ไม่ทำสิ่งใดที่เห็นแก่ตัวหรือน่าดูหมิ่น ทบทวนตัวเจ้าเองให้บ่อย  ในหนทางนี้เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้บ่อย และสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็จะกลายเป็นปกติอย่างสมบูรณ์

ในทุกสิ่งที่เจ้าทำนั้น เจ้าต้องตรวจดูว่าเจตนาของเจ้าถูกต้องหรือไม่  หากเจ้าสามารถกระทำการได้ตามข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็เป็นปกติ  นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำสุด  จงมองค้นเข้าไปในเจตนาต่างๆ ของเจ้า และหากเจ้าพบว่ามีเจตนาที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้น ก็จงสามารถที่จะหันหลังให้เจตนาเหล่านั้นและกระทำการให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เจ้าก็จะกลายเป็นใครบางคนที่ถูกต้องเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ซึ่งย่อมแสดงให้เห็นว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้านั้นปกติ และว่าทุกสิ่งที่เจ้าทำนั้นเป็นไปเพื่อพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อตัวเจ้าเอง  ในทุกสิ่งที่เจ้าทำและทุกสิ่งที่เจ้าพูด จงสามารถแก้ไขหัวใจของเจ้าให้ถูกต้องและมีการกระทำที่ชอบธรรม และจงอย่าให้อารมณ์ของเจ้านำหน้า อีกทั้งไม่กระทำการตามเจตจำนงของเจ้าเอง  นี่คือหลักธรรมที่บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าต้องประพฤติปฏิบัติ  สิ่งเล็กน้อยต่างๆ สามารถเปิดเผยเจตนาทั้งหลายและวุฒิภาวะของบุคคลหนึ่งได้ และดังนั้นการที่ใครบางคนจะเข้าสู่เส้นทางแห่งการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า พวกเขาต้องแก้ไขเจตนาของตนและสัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าให้เป็นปกติเสียก่อน  เจ้าสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อสัมพันธภาพของเจ้ากับพระองค์เป็นปกติเท่านั้น เมื่อนั้นเท่านั้น การจัดการ การตัดแต่ง การบ่มวินัย และกระบวนการถลุงของพระเจ้าจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ผลตามเจตนาในตัวเจ้าได้  กล่าวคือ หากมนุษย์สามารถดูแลรักษาพระเจ้าไว้ในหัวใจของพวกเขาและไม่ไล่ตามเสาะหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือคิดถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ (ในความหมายทางเนื้อหนัง) ของตัวพวกเขาเอง แต่กลับแบกภาระแห่งการเข้าสู่ชีวิต ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างสุดความสามารถของพวกเขา และนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้า—หากเจ้าสามารถทำการนี้ได้ เช่นนั้นแล้ว เป้าหมายต่างๆ ที่เจ้าไล่ตามเสาะหาก็จะถูกต้อง และสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็จะกลายเป็นปกติ  การแก้ไขสัมพันธภาพของคนเรากับพระเจ้าให้ถูกต้องนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นขั้นตอนแรกของการเข้าสู่การเดินทางฝ่ายวิญญาณของคนเรา  แม้ว่าชะตากรรมของมนุษย์จะอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและถูกพระเจ้าลิขิตไว้ล่วงหน้า และมนุษย์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้  แต่การที่เจ้าจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าหรือจะได้รับการรับไว้โดยพระองค์นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นปกติหรือไม่  อาจมีหลายส่วนของเจ้าที่อ่อนแอหรือไม่เชื่อฟัง—แต่ตราบเท่าที่ทรรศนะต่างๆ ของเจ้าและเจตนาทั้งหลายของเจ้านั้นถูกต้อง และตราบเท่าที่สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้านั้นถูกต้องและปกติ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็มีคุณสมบัติที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  หากเจ้าไม่มีสัมพันธภาพที่ถูกต้องกับพระเจ้า และกระทำการเพื่อเนื้อหนังหรือครอบครัวของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะทำงานหนักสักเพียงใด ก็ย่อมจะสูญเปล่า  หากสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้านั้นปกติ เช่นนั้นแล้ว สิ่งอื่นที่เหลือก็จะเข้าที่เข้าทางไปเอง  พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรดูสิ่งอื่นใด นอกจากว่าทรรศนะในการเชื่อในพระเจ้านั้นของเจ้าถูกต้องหรือไม่ กล่าวคือ เจ้าเชื่อในผู้ใด เจ้าเชื่อเพื่อผู้ใด และเจ้าเชื่อเพราะเหตุใด  หากเจ้าสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนและฝึกฝนปฏิบัติโดยมีทรรศนะที่อารีอารอบ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะก้าวหน้าในชีวิตของเจ้า และรับรองว่าเจ้าจะเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้อง  หากสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าไม่ปกติ และทรรศนะต่างๆ เกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเบี่ยงเบน เช่นนั้นแล้ว ทุกสิ่งก็สูญเปล่า และไม่ว่าเจ้าจะเชื่ออย่างหนักแน่นสักเพียงใด เจ้าก็จะไม่ได้รับสิ่งใดเลย  หลังจากที่สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้ากลายเป็นปกติแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะได้รับคำสรรเสริญจากพระองค์ เมื่อเจ้าละทิ้งเนื้อหนัง อธิษฐาน ทนทุกข์ สู้ทน นบนอบ ช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงของเจ้า สละตัวเจ้าเองมากขึ้นเพื่อพระเจ้า และอื่นๆ  สิ่งที่เจ้าทำจะมีคุณค่าและนัยสำคัญหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจตนาของเจ้าถูกต้องหรือไม่และทรรศนะของเจ้าถูกต้องหรือไม่  ทุกวันนี้ผู้คนมากมายเชื่อในพระเจ้าราวกับว่าพวกเขากำลังเอียงคอมองดูนาฬิกา—มุมมองต่างๆ ของพวกเขาจึงบิดเบี้ยว และต้องได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องด้วยการฝ่าพ้นอุปสรรคให้สำเร็จ  หากปัญหานี้ได้รับการแก้ไข ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยดี หากไม่ได้รับการแก้ไข ทุกสิ่งก็จะไม่มีผล  ผู้คนบางคนประพฤติตัวดีต่อหน้าเรา แต่ลับหลังเรา ทั้งหมดที่พวกเขาทำคือต้านทานเรา  นี่เป็นการสำแดงถึงความคดโกงและการเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และบุคคลประเภทนี้เป็นข้ารับใช้ของซาตาน พวกเขาเป็นรูปจำแลงตามแบบฉบับของซาตาน ที่มาทดสอบพระเจ้า  หากเจ้าสามารถนบนอบต่องานของเราและวจนะของเราได้ เจ้าก็เป็นบุคคลที่ถูกต้องเท่านั้น  ตราบเท่าที่เจ้าสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ตราบเท่าที่เจ้าสามารถนำเสนอทุกสิ่งที่เจ้าทำเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ และประพฤติตนอย่างยุติธรรมและมีเกียรติในทุกสิ่งที่เจ้าทำ ตราบเท่าที่เจ้าไม่ทำสิ่งที่น่าละอายหรือสิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้อื่น และตราบเท่าที่เจ้าดำเนินชีวิตในความสว่างและไม่ยอมให้ตัวเจ้าถูกซาตานหลอกใช้ เช่นนั้นแล้ว สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็จะเป็นไปตามแบบแผนอันถูกต้องเหมาะสม

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นเช่นไร?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 410

การเชื่อในพระเจ้านั้นจำเป็นที่เจ้าจะต้องแก้ไขเจตนาและทรรศนะทั้งหลายของเจ้าให้อยู่ในแบบแผนที่ถูกต้องเหมาะสม เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และวิธีที่ถูกต้องที่จะใช้ปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า สภาพแวดล้อมทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ มนุษย์ที่พระเจ้าทรงเป็นพยานยืนยันให้ และพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง  เจ้าต้องไม่ปฏิบัติตามแนวคิดของเจ้าเองหรือคิดหากลอุบายหยุมหยิมมาใช้  ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใด เจ้าต้องสามารถแสวงหาความจริงและนบนอบต่อพระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง  หากเจ้าปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าและเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของชีวิต เช่นนั้นแล้ว หัวใจของเจ้าก็ต้องมีชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้าเสมอ  จงอย่าทำตัวเสเพล อย่าติดตามซาตาน อย่ายอมให้ซาตานมีโอกาสดำเนินงานของมัน และอย่ายอมให้ซาตานใช้ประโยชน์จากตัวเจ้า  เจ้าต้องมอบตัวเจ้าเองแด่พระเจ้าโดยบริบูรณ์ และยอมให้พระเจ้าปกครองเหนือเจ้า

เจ้าเต็มใจเป็นข้ารับใช้ของซาตานกระนั้นหรือ?  เจ้าเต็มใจให้ซาตานหลอกใช้กระนั้นหรือ?  เจ้าเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาพระองค์เพื่อที่พระองค์อาจทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม หรือเพื่อที่เจ้าอาจกลายเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้แก่พระราชกิจของพระเจ้ากันเล่า?  เจ้าอยากได้ชีวิตที่เปี่ยมความหมาย ที่พระเจ้าทรงได้ตัวเจ้าไว้ หรือชีวิตที่ไร้ค่าและว่างเปล่ามากกว่ากัน?  เจ้าชอบที่จะให้พระเจ้าทรงใช้งานเจ้า หรือให้ซาตานหลอกใช้มากกว่ากัน?  เจ้าชอบที่จะให้พระวจนะและความจริงของพระเจ้าเติมเต็มตัวเจ้า หรือปล่อยให้ความบาปและซาตานเติมเต็มตัวเจ้ามากกว่ากัน?  จงพิจารณาสิ่งเหล่านี้อย่างระมัดระวัง  ในชีวิตประจำวันของเจ้านั้น เจ้าต้องเข้าใจว่าถ้อยคำใดที่เจ้ากล่าวและสิ่งใดที่เจ้าทำที่อาจก่อให้เกิดความผิดปกติในสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้า แล้วจากนั้นจงแก้ไขตัวเจ้าเองเพื่อเข้าสู่ลักษณะที่ถูกต้อง  จงตรวจดูถ้อยคำต่างๆ ของเจ้า การกระทำของเจ้า แต่ละความเคลื่อนไหวของเจ้า และความคิดและแนวคิดทั้งหมดของเจ้าตลอดเวลา  จงมีความเข้าใจที่เหมาะสมเกี่ยวกับสภาวะที่แท้จริงของเจ้าและจงเข้าสู่ลักษณะแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  นี่เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า  ด้วยการประเมินว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าปกติหรือไม่ เจ้าย่อมจะสามารถแก้ไขเจตนาของเจ้าให้ถูกต้อง เข้าใจแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ และเข้าใจตัวเจ้าเองอย่างแท้จริงได้ และในการทำเช่นนั้น เจ้าจะสามารถเข้าสู่ประสบการณ์ที่แท้จริง ละทิ้งตัวเจ้าเองอย่างแท้จริง และนบนอบด้วยเจตนา  ขณะที่เจ้ามีประสบการณ์กับเรื่องที่ว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าปกติหรือไม่นี้ เจ้าจะสบโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า และสามารถจับความเข้าใจในสภาวะแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างมากมาย  เจ้าจะสามารถมองทะลุเพทุบายของซาตานได้มาก และเข้าใจแผนสมคบคิดต่างๆ ของมันได้  มีเพียงเส้นทางสายนี้เท่านั้นที่นำไปสู่การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  เจ้าย่อมแก้ไขสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าให้ถูกต้องจนเจ้าสามารถนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์ได้ทั้งหมด และจนเจ้าสามารถเข้าสู่ประสบการณ์ที่แท้จริงอย่างลึกซึ้งมากขึ้นอีก และได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นอีก  เมื่อเจ้าฝึกฝนปฏิบัติการมีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า ในกรณีส่วนใหญ่มักจะประสบความสำเร็จด้วยการละทิ้งเนื้อหนังและผ่านทางการร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแท้จริง  เจ้าควรเข้าใจว่า “หากปราศจากหัวใจที่ให้ความร่วมมือแล้ว ก็ยากที่จะได้รับพระราชกิจของพระเจ้า หากเนื้อหนังไม่ทนทุกข์ ก็จะไม่มีพรใดๆ จากพระเจ้า หากวิญญาณไม่ต่อสู้ดิ้นรน ซาตานก็จะไม่ถูกทำให้อับอาย”  หากเจ้าปฏิบัติและเข้าใจหลักธรรมเหล่านี้อย่างถ่องแท้ ทรรศนะเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง  ในการฝึกฝนปฏิบัติในปัจจุบันของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าต้องทิ้งชุดความคิดที่ “แสวงหาขนมปังเพื่อสนองความหิว” เจ้าต้องทิ้งชุดความคิดว่า “ทุกสิ่งเป็นการกระทำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้คนไม่อาจแทรกแซงได้”  ทุกคนที่กล่าวเช่นนั้นคิดว่า “ผู้คนสามารถทำอะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ และเมื่อถึงเวลา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงพระราชกิจของพระองค์  ผู้คนไม่จำเป็นต้องควบคุมเนื้อหนังหรือให้ความร่วมมือ ทั้งหมดที่สำคัญคือการที่พวกเขาได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์”  ความคิดเห็นเหล่านี้ล้วนเหลวไหลทั้งสิ้น  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่สามารถที่จะทรงพระราชกิจได้  มุมมองประเภทนี้นี่เองที่ขัดขวางพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง  บ่อยครั้งที่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์สำเร็จได้โดยผ่านทางความร่วมมือของมนุษย์  พวกที่ไม่ให้ความร่วมมือและไม่มีความตั้งใจแน่วแน่ แต่ปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตน และได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระเจ้า ช่างมีความคิดที่เฟ้อจริงๆ  นี่เรียกว่า  “การปรนเปรอตัวเองและให้อภัยซาตาน”  คนเช่นนี้ไม่มีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า  เจ้าน่าจะพบเจอการสำแดงและเปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานภายในตัวเจ้าเองเป็นอันมาก และพบเจอการปฏิบัติใดๆ ที่เจ้ามี ซึ่งวิ่งสวนทางกับสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ในขณะนี้  เจ้าจะสามารถละทิ้งซาตานได้หรือไม่ในครานี้?  เจ้าควรบรรลุสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า กระทำการในทางที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ ของพระเจ้า และกลายเป็นคนใหม่ที่มีชีวิตใหม่  จงอย่ามัวพะวงถึงการฝ่าฝืนในอดีต จงอย่าสำนึกเสียใจจนเกินควร จงสามารถที่จะยืนหยัดและร่วมมือกับพระเจ้า และจงปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ที่เป็นของเจ้าให้ลุล่วง  โดยวิธีนี้สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็จะกลายเป็นปกติ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นเช่นไร?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 411

หากหลังจากอ่านเรื่องนี้แล้ว เจ้าเพียงอ้างว่ายอมรับวจนะเหล่านี้ แต่หัวใจของเจ้ายังคงไม่รู้สึกอะไรอยู่เหมือนเดิม และเจ้าไม่พยายามทำให้สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นปกติ ก็ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญแก่สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้า  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าทรรศนะต่างๆ ของเจ้ายังไม่ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง เจตนาของเจ้ายังไม่ได้อยู่ที่การได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าและการถวายพระสิริแด่พระองค์ แต่อยู่ที่การยอมให้แผนสมคบคิดต่างๆ ของซาตานมีชัยและอยู่ที่การสัมฤทธิ์เป้าหมายของเจ้าเองแทน  ผู้คนเช่นนี้เก็บงำเจตนาที่ผิดและทรรศนะที่ไม่ถูกต้องเอาไว้  ไม่ว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใดหรือพระองค์ตรัสถึงสิ่งนั้นเช่นไร ผู้คนเยี่ยงนี้ก็ยังคงไม่แยแสอย่างสิ้นเชิงและไม่ได้ถูกแปลงสภาพเลยแม้แต่นิดเดียว  หัวใจของพวกเขาไม่รู้สึกถึงความยำเกรงและพวกเขาไม่ละอายใจ  บุคคลเช่นนี้เป็นคนโฉดเขลาที่ไร้วิญญาณ  จงอ่านถ้อยดำรัสทุกคำของพระเจ้า และจงนำไปปฏิบัติทันทีที่เจ้าเข้าใจถ้อยดำรัสเหล่านั้น  อาจมีหลายครั้งที่เนื้อหนังของเจ้าเคยอ่อนแอ หรือเจ้าเคยเป็นกบฏ หรือเจ้าเคยต้านทาน ไม่ว่าเจ้าเคยประพฤติตัวเช่นไรในอดีต ก็มีผลสืบเนื่องเพียงเล็กน้อย และไม่สามารถขัดขวางชีวิตของเจ้าไม่ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ได้  ตราบใดที่เจ้าสามารถมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าได้ในวันนี้ ก็ย่อมมีความหวัง  หากมีความเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้าทุกครั้งที่เจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้า และผู้อื่นบอกได้ว่าชีวิตของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ก็แสดงว่าบัดนี้สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นปกติแล้ว สัมพันธภาพดังกล่าวได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติกับผู้คนตามการฝ่าฝืนของพวกเขา  ทันทีที่เจ้าได้เข้าใจและกลายมาเป็นตระหนักรู้ ตราบเท่าที่เจ้าสามารถเลิกกบฏหรือเลิกต้านทานได้ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะยังคงมีความปรานีต่อเจ้า  เมื่อเจ้ามีความเข้าใจและความตั้งใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เมื่อนั้นสภาวะของเจ้าในการสถิตของพระเจ้าก็จะกลายเป็นปกติ  ไม่ว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใด จงพิจารณาสิ่งต่อไปนี้ขณะที่เจ้ากำลังกระทำสิ่งนั้น กล่าวคือ พระเจ้าจะทรงคิดอย่างไรหากฉันทำเช่นนี้?  จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชายหญิงของฉันไหม?  จะเป็นผลดีต่อพระราชกิจในพระนิเวศของพระเจ้าไหม?  ไม่ว่าจะเป็นการอธิษฐาน การสามัคคีธรรม การพูดจา การทำงาน หรือในการติดต่อกับผู้อื่น จงตรวจดูเจตนาของเจ้า และตรวจสอบว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นปกติหรือไม่  หากเจ้าไม่สามารถหยั่งรู้เจตนาและความคิดของเจ้าเองได้ นี่ก็หมายความว่าเจ้าขาดพร่องการแยกแยะ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเข้าใจความจริงน้อยเกินไป  หากเจ้าสามารถเข้าใจทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำได้อย่างชัดเจน และสามารถล่วงรู้สิ่งต่างๆ ผ่านทางมุมมองแห่งพระวจนะของพระองค์ โดยยืนอยู่ฝั่งเดียวกับพระองค์ เช่นนั้นแล้ว ทรรศนะของเจ้าก็จะเริ่มถูกต้อง  ด้วยเหตุนี้ การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับใครก็ตามที่เชื่อในพระเจ้า ทุกคนควรถือว่านี่เป็นภารกิจที่มีความสำคัญสูงสุดและเป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเขา  ทุกสิ่งที่เจ้าทำนั้นวัดได้ด้วยการที่ว่าเจ้ามีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าหรือไม่  หากสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นปกติและเจตนาของเจ้าถูกต้องแล้วไซร้ ก็จงลงมือ  ในการธำรงรักษาสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า เจ้าต้องไม่กลัวที่จะทนทุกข์กับความสูญเสียต่างๆ ที่จะเกิดแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้า เจ้าจะยอมให้ซาตานมีชัยชนะไม่ได้ เจ้าจะยอมให้ซาตานมาซื้อตัวเจ้าไปไม่ได้ และเจ้าจะยอมให้ซาตานมาทำให้เจ้าเป็นตัวตลกไม่ได้  การมีเจตนาเช่นนี้คือสัญญาณที่บ่งชี้ว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นปกติ—ไม่ใช่เพื่อเนื้อหนัง แต่เพื่อสันติสุขของวิญญาณ เพื่อการได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเพื่อสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าต่างหาก  การที่จะเข้าสู่สภาวะที่ถูกต้องนั้น เจ้าต้องสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้าและแก้ไขทรรศนะต่างๆ เกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าให้ถูกต้อง  นี่เป็นไปเพื่อที่พระเจ้าอาจทรงรับเจ้าไว้ และเพื่อที่พระองค์อาจสำแดงดอกผลแห่งพระวจนะของพระองค์ในตัวเจ้า และประทานความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่เจ้ามากยิ่งขึ้น  ในหนทางนี้ เจ้าย่อมจะเข้าสู่ลักษณะที่ถูกต้องแล้ว  จงกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าแห่งยุคนี้ต่อไป จงเข้าสู่ลักษณะแห่งการทรงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นปัจจุบัน จงกระทำตามข้อเรียกร้องต่างๆ ของพระเจ้าในวันนี้ อย่าถือตามวิธีการปฏิบัติต่างๆ อันล้าสมัย อย่าเกาะติดวิธีเก่าๆ ในการทำสิ่งต่างๆ และจงเข้าสู่ลักษณะแห่งการทำงานของวันนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ด้วยประการฉะนี้ สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็จะกลายเป็นปกติโดยบริบูรณ์ และเจ้าย่อมจะออกเดินไปในร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นเช่นไร?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 412

ยิ่งผู้คนยอมรับพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งรู้แจ้งมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็จะยิ่งหิวและกระหายในการไล่ตามเสาะหาการรู้จักพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  พวกที่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถมีประสบการณ์ที่มั่งคั่งยิ่งขึ้นและลึกซึ้งยิ่งขึ้น และพวกเขาคือพวกเดียวเท่านั้นที่ชีวิตของพวกเขาสามารถเติบโตต่อไปได้ดั่งดอกงา  ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาชีวิตควรปฏิบัติต่อการนี้ให้เป็นงานเต็มเวลาของพวกเขา พวกเขาควรรู้สึกว่า “หากปราศจากพระเจ้า ฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ หากปราศจากพระเจ้า ฉันไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จได้เลย หากปราศจากพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างก็ว่างเปล่า”  ดังนั้น พวกเขาจึงควรมีปณิธานอีกด้วยว่า “หากไม่ได้อยู่เฉพาะพระพักตร์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันจะไม่ทำอะไรเลย และหากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าไม่มีผลกระทบเลย เช่นนั้นแล้วฉันก็ไม่ใยดีที่จะทำสิ่งใด”  จงอย่าตามใจตัวพวกเจ้าเอง  ประสบการณ์ชีวิตมาจากความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า และสิ่งเหล่านี้คือการตกผลึกของความพยายามตามความคิดส่วนตัวของพวกเจ้า  สิ่งที่พวกเจ้าควรเรียกร้องจากตัวพวกเจ้าเองคือสิ่งนี้: “เมื่อมาถึงเรื่องของประสบการณ์ชีวิต ฉันไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองทำตามอำเภอใจได้”

บางครั้ง เมื่ออยู่ในสภาพเงื่อนไขผิดปกติ เจ้าสูญเสียการสถิตของพระเจ้า และกลายเป็นไม่สามารถรู้สึกถึงพระเจ้าได้เมื่อเจ้าอธิษฐาน  นั่นเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกกลัวในเวลาเช่นนั้น  เจ้าควรเริ่มต้นค้นหาในทันที  หากเจ้าไม่ทำ พระเจ้าก็จะทรงอยู่ห่างจากเจ้า และเจ้าก็จะไร้ซึ่งการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์—และยิ่งไปกว่านั้น ไร้ซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์—เป็นเวลาหนึ่งวัน สองวัน แม้กระทั่งหนึ่งเดือนหรือสองเดือน  ในสถานการณ์เหล่านี้ เจ้าจะรู้สึกมึนชาอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ และถูกซาตานจับเป็นเชลยอีกครั้ง จนถึงจุดที่เจ้าสามารถกระทำการอะไรก็ได้ในทุกรูปแบบ  เจ้าละโมบความอุดมด้วยโภคทรัพย์ หลอกลวงบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า ดูภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เล่นไพ่นกกระจอก และแม้กระทั่งสูบบุหรี่และดื่มโดยไร้ความมีวินัย  หัวใจของเจ้าได้ไถลห่างไปไกลจากพระเจ้า เจ้าได้ไปตามหนทางของเจ้าเองอย่างลับๆ และเจ้าได้ทำการตัดสินต่อพระราชกิจของพระเจ้าโดยพลการ  ในบางกรณี ผู้คนตกต่ำถึงขนาดที่พวกเขาไม่รู้สึกถึงความอับอายหรือความขวยเขินในการกระทำบาปที่เกี่ยวกับเรื่องทางเพศ  บุคคลประเภทนี้ได้ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงละทิ้ง ในข้อเท็จจริงแล้ว พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หายไปในบุคคลเช่นนั้นมานานแล้ว  คนเราเพียงแค่สามารถเห็นพวกเขาจมดิ่งลงสู่ความเสื่อมทรามลึกลงไปเรื่อยๆ ขณะที่มือของมารร้ายก็ยื่นออกไปไกลยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  ในท้ายที่สุด พวกเขาปฏิเสธการมีอยู่ของหนทางนี้ และถูกซาตานจับเป็นเชลยเนื่องจากพวกเขาทำบาป  หากเจ้าค้นพบว่าเจ้ามีเพียงการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังขาดพร่องพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นก็เป็นสถานการณ์ที่อันตรายที่จะเข้าไปอยู่เสียแล้ว  เมื่อเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะรู้สึกถึงการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังอยู่ที่ปากเหวแห่งความตาย  หากเจ้าไม่กลับใจ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้หวนกลับคืนไปสู่ซาตานไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว และเจ้าก็จะไปอยู่ท่ามกลางพวกที่ถูกขับออกไป  ดังนั้น เมื่อเจ้าค้นพบว่าเจ้าอยู่ในสภาวะที่มีเพียงการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น (เจ้าไม่ได้ทำบาป เจ้าควบคุมตัวเจ้าเอง และเจ้าไม่ทำอะไรอันเป็นการต้านทานพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้ง) แต่เจ้าขาดพร่องพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (เจ้าไม่รู้สึกว่าถูกขับเคลื่อนเมื่อเจ้าอธิษฐาน เจ้าไม่ได้รับความรู้แจ้งหรือความกระจ่างที่แจ่มชัดเมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าไม่แยแสในเรื่องการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ไม่เคยมีการเติบโตใดเลยในชีวิตของเจ้า และเจ้าได้ถูกพรากความกระจ่างอันยิ่งใหญ่ไปนานแล้ว)—ในเวลาเช่นนั้น เจ้าต้องระมัดระวังมากขึ้น  เจ้าต้องไม่ตามใจตัวเอง เจ้าต้องไม่ปล่อยใจไปตามบุคลิกลักษณะของเจ้าเองมากไปกว่านี้  การสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจหายไปเมื่อใดก็ได้  นี่คือเหตุผลที่สถานการณ์เช่นนั้นเป็นอันตรายมาก  หากเจ้าพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะอย่างนี้ จงพยายามพลิกฟื้นสิ่งทั้งหลายให้กลับมาดีขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่เจ้าสามารถทำได้  ก่อนอื่น เจ้าควรกล่าวคำอธิษฐานแห่งการกลับใจและขอให้พระเจ้าทรงหยิบยื่นความเมตตาของพระองค์ให้แก่เจ้าอีกครั้ง  จงอธิษฐานอย่างจริงจังจริงใจมากขึ้น และจงสงบใจของเจ้าเพื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น  ด้วยรากฐานนี้ เจ้าต้องใช้เวลามากขึ้นในการอธิษฐาน เพิ่มความพยายามของเจ้าเป็นสองเท่าอีกครั้งในการขับร้อง การอธิษฐาน การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  เมื่อเจ้าอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอที่สุด หัวใจของเจ้าจะถูกซาตานครอบงำได้ง่ายที่สุด  เมื่อการนั้นเกิดขึ้น หัวใจของเจ้าจะถูกเอาไปจากพระเจ้าและส่งคืนกลับไปยังซาตาน ด้วยเหตุนั้นเจ้าจึงไร้ซึ่งการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ในเวลาเช่นนั้น มันยากขึ้นเป็นสองเท่าที่จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กลับคืนมา  เป็นการดีกว่าที่จะแสวงหาพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในขณะที่พระองค์ยังคงทรงอยู่กับเจ้า ซึ่งจะช่วยให้พระเจ้าประทานความรู้แจ้งของพระองค์แก่เจ้าได้มากขึ้นและไม่ทำให้พระองค์ทรงละทิ้งเจ้า  การอธิษฐาน การขับร้องเพลงนมัสการ การทำหน้าที่รับผิดชอบของเจ้า และการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า—ทั้งหมดนี้ทำไปเพื่อที่ซาตานจะได้ไม่มีโอกาสทำงานของมัน และเพื่อที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้ทรงพระราชกิจภายในตัวเจ้า  หากเจ้าไม่ได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กลับคืนมาในหนทางนี้ หากเจ้าเพียงแค่รอคอย เช่นนั้นแล้วการได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กลับคืนมาจะไม่ง่ายเลยเมื่อเจ้าได้สูญเสียการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปแล้ว นอกเสียจากว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงขับเคลื่อนเจ้าเป็นพิเศษ หรือได้ทรงทำให้เจ้ากระจ่างและรู้แจ้งเป็นการเฉพาะ  แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ก็ไม่ได้ใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองวันเพื่อที่สภาวะของเจ้าจะฟื้นตัว บางครั้งเวลาอาจผ่านไปถึงหกเดือนโดยที่ไม่มีการฟื้นตัวใดๆ  ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผู้คนหย่อนยานกับตัวเองมากเกินไป ไม่สามารถได้รับประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายในหนทางปกติ และด้วยเหตุนี้จึงถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงละทิ้ง  แม้ว่าเจ้าจะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กลับคืนมา พระราชกิจของพระเจ้าในปัจจุบันก็ยังคงอาจจะไม่ชัดเจนมากนักสำหรับเจ้า เพราะเจ้าได้ล้าหลังไปมากในประสบการณ์ชีวิตของเจ้า ราวกับว่าเจ้าได้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเป็นระยะทางหนึ่งหมื่นไมล์  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายหรอกหรือ?  อย่างไรก็ดี เราบอกผู้คนเช่นนั้นว่า มันยังไม่สายเกินไปที่จะกลับใจเสียบัดนี้ แต่ก็บอกด้วยว่ามีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อ นั่นคือ เจ้าต้องทำงานหนักขึ้น และไม่ปล่อยใจไปกับความเกียจคร้าน  หากคนอื่นๆ อธิษฐานห้าครั้งในหนึ่งวัน เจ้าต้องอธิษฐานสิบครั้ง หากคนอื่นๆ กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเป็นเวลาสองชั่วโมงต่อวัน เจ้าจะต้องทำเช่นนั้นเป็นเวลาสี่หรือหกชั่วโมง และหากคนอื่นๆ ฟังเพลงนมัสการเป็นเวลาสองชั่วโมง เจ้าต้องฟังอย่างน้อยที่สุดเป็นเวลาครึ่งวัน  จงสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยๆ และคิดถึงความรักของพระเจ้า จนกระทั่งเจ้าถูกขับเคลื่อน หัวใจของเจ้ากลับสู่พระเจ้า และเจ้าไม่กล้าไถลห่างไปจากพระเจ้าอีกต่อไป—เฉพาะเมื่อนั้นเท่านั้นการปฏิบัติของเจ้าจึงจะเกิดผล เฉพาะเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถฟื้นคืนสภาวะปกติก่อนหน้านั้นของเจ้าได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีเข้าสู่สภาวะปกติ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 413

พวกเจ้าได้เดินมาบนสัดส่วนที่น้อยมากของเส้นทางแห่งการเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า และพวกเจ้ายังไม่ได้เข้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้อง ดังนั้นพวกเจ้าจึงยังคงห่างไกลจากการตอบสนองมาตรฐานของพระเจ้า  ณ ตอนนี้ วุฒิภาวะของพวกเจ้ายังไม่เพียงพอที่จะตอบสนองข้อเรียกร้องของพระองค์  เนื่องจากขีดความสามารถและธรรมชาติอันเสื่อมทรามของพวกเจ้า พวกเจ้าจึงปฏิบัติต่อพระราชกิจของพระเจ้าอย่างไม่ระมัดระวังเสมอ พวกเจ้าไม่ได้ทำอย่างจริงจัง  นี่เป็นข้อบกพร่องอันร้ายแรงที่สุดของพวกเจ้า  แน่นอนว่า ไม่มีใครเลยที่สามารถยืนยันมั่นใจถึงเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนิน  พวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่เข้าใจในเส้นทางนั้นและไม่สามารถมองเห็นเส้นทางนั้นได้อย่างชัดเจน  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าส่วนมากไม่ได้คิดอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ และนับประสาอะไรที่พวกเจ้าจะนำเข้ามาไว้ในหัวใจ  หากพวกเจ้ายังคงดำเนินต่อไปในหนทางนี้ ใช้ชีวิตอยู่ในความเพิกเฉยต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเส้นทางที่พวกเจ้าดำเนินไปในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าก็จะเปล่าประโยชน์  นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่ได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเต็มกำลังของพวกเจ้า ในอันที่จะพยายามตอบสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า และเพราะพวกเจ้าไม่ให้ความร่วมมืออย่างดีกับพระเจ้า  ใช่ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจต่อพวกเจ้า หรือว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงขับเคลื่อนพวกเจ้า  นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่ใส่ใจระมัดระวังจนพวกเจ้าไม่ได้ตั้งใจกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างจริงจัง  พวกเจ้าต้องพลิกสถานการณ์นี้โดยทันทีและเดินไปบนเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้นำทางผู้คนไป  นี่คือหัวข้อหลักในวันนี้  “เส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้นำทาง” อ้างถึงการได้รับความรู้แจ้งในวิญญาณ การมีความรู้เรื่องพระวจนะของพระเจ้า การได้รับความชัดเจนบนเส้นทางข้างหน้า การที่สามารถก้าวไปทีละก้าวเพื่อเข้าสู่ความจริง และการมาถึงของความรู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าเกี่ยวกับพระเจ้า  เส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้นำทางผู้คนนั้นในเบื้องต้นเป็นเส้นทางสู่ความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นในพระวจนะของพระเจ้า ปราศจากการเบี่ยงเบนหรือความเข้าใจผิด  และบรรดาผู้ที่เดินบนเส้นทางนี้จะเดินตรงไปตามเส้นทาง  เพื่อที่จะสัมฤทธิ์การนี้ พวกเจ้าจำเป็นต้องทำงานอย่างกลมกลืนไปกับพระเจ้า หาเส้นทางที่ถูกต้องเพื่อปฏิบัติ และเดินในเส้นทางที่ทรงนำทางโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  นี่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือในส่วนของมนุษย์ นั่นคือ สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำเพื่อตอบสนองข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าที่มีต่อพวกเจ้า และวิธีที่พวกเจ้าต้องประพฤติตนเพื่อเข้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า

การก้าวไปบนเส้นทางที่ทรงนำทางโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจดูซับซ้อน แต่เจ้าจะพบว่ามันเรียบง่ายกว่าเดิมมากเมื่อเส้นทางแห่งการปฏิบัตินั้นชัดเจนสำหรับเจ้า  ข้อเท็จจริงก็คือผู้คนมีความสามารถทั้งหมดตามที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากพวกเขา—ไม่ได้เสมือนเป็นการที่พระองค์กำลังพยายามสอนหมูให้บิน  ในทุกสถานการณ์ พระเจ้าทรงหาทางที่จะแก้ปัญหาของผู้คนและทำให้พวกเขาคลายความวิตกกังวล  พวกเจ้าทุกคนต้องเข้าใจการนี้ อย่าเข้าใจผิดในพระเจ้า  ผู้คนได้รับการนำทางโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าไปตามเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนินไป  ดังที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ พวกเจ้าต้องมอบหัวใจให้กับพระเจ้า  นี่คือความพร้อมพื้นฐานสำหรับการเดินไปบนเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทาง  พวกเจ้าต้องทำการนี้เพื่อที่จะเข้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้อง  บุคคลหนึ่งจะทำงานแห่งการมอบหัวใจของพวกเขาให้แก่พระเจ้าอย่างมีสติอย่างไรหรือ?  ในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและอธิษฐานต่อพระองค์ พวกเจ้าทำอย่างไม่ใส่ใจระมัดระวัง—พวกเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าขณะทำงาน  นี่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการมอบหัวใจให้กับพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  พวกเจ้ากำลังคิดถึงเรื่องราวในบ้านหรือการงานทั้งหลายของเนื้อหนัง  พวกเจ้ามีสองใจอยู่ตลอดเวลา  นี่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการทำจิตใจให้เงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  นี่เป็นเพราะหัวใจของเจ้าตรึงติดอยู่กับการงานภายนอกเสมอ และไร้ความสามารถที่จะหันกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้  หากเจ้าอยากให้หัวใจของเจ้าสงบอย่างแท้จริงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้วไซร้ เจ้าต้องทำงานแห่งการให้ความร่วมมืออย่างมีสติ  กล่าวคือพวกเจ้าทุกคนจะต้องมีเวลาเพื่อการอุทิศของพวกเจ้า เวลาที่พวกเจ้าละวางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย ทำหัวใจของพวกเจ้าให้นิ่งและอยู่ในความเงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ทุกคนต้องเก็บบันทึกแห่งการอุทิศเป็นรายบุคคล ซึ่งบันทึกความรู้ของพวกเขาในเรื่องพระวจนะของพระเจ้า และเรื่องที่จิตวิญญาณของพวกเขารู้สึกถูกขับเคลื่อนอย่างไร ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะลึกซึ้งหรือผิวเผิน ทุกคนจะต้องทำหัวใจให้สงบเงียบอย่างมีสติเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  หากเจ้าสามารถทุ่มเทอุทิศเวลาหนึ่งหรือสองชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณอันแท้จริงแล้วไซร้ ชีวิตของเจ้าในวันนั้นก็จะรู้สึกมั่งคั่งและหัวใจของเจ้าก็จะแจ่มสว่างและชัดเจน  หากเจ้าใช้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณเช่นนี้ทุกวัน เช่นนั้นแล้วหัวใจของเจ้าก็จะสามารถกลับคืนไปเป็นสิ่งทรงครองของพระเจ้าได้มากขึ้น จิตวิญญาณของเจ้าจะกลายเป็นเข้มแข็งขึ้นทุกขณะ สภาพเงื่อนไขของเจ้าจะมีการปรับปรุงอยู่เนืองนิตย์ เจ้าจะกลายเป็นสามารถเดินไปบนเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทางได้มากขึ้น และพระเจ้าจะประทานพรให้แก่เจ้ามากขึ้น  จุดประสงค์ของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเจ้าก็คือการที่จะได้รับไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างมีสติ  ไม่ใช่การทำตามกฎระเบียบหรือปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา แต่เพื่อให้ปฏิบัติโดยสอดประสานไปกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริง บ่มวินัยให้กับร่างกายของเจ้าได้อย่างแท้จริง—นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ ดังนั้นพวกเจ้าจึงควรทำการนี้ด้วยความพยายามอย่างถึงที่สุด  ยิ่งเจ้าให้ความร่วมมือและหมายมั่นในความพยายามมากขึ้นเท่าใด หัวใจของเจ้าก็จะสามารถกลับไปสู่พระเจ้าได้มากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็จะยิ่งสามารถทำหัวใจของเจ้าให้เงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น  เมื่อถึงจุดหนึ่ง พระเจ้าก็จะทรงกุมหัวใจของเจ้าไว้อย่างครบบริบูรณ์  จะไม่มีใครสามารถทำให้หัวใจของเจ้าหวั่นไหวหรือยึดเอาหัวใจของเจ้าไปได้ และเจ้าก็จะเป็นของพระเจ้าโดยสมบูรณ์  หากเจ้าเดินตามเส้นทางนี้แล้วไซร้ พระวจนะของพระเจ้าก็จะเผยตนต่อเจ้าตลอดเวลาและให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าไม่เข้าใจ—นี่จะสัมฤทธิ์ได้ทั้งหมดก็โดยอาศัยความร่วมมือของเจ้า  นี่คือเหตุที่พระเจ้าตรัสอยู่เสมอว่า “ผู้ที่ปฏิบัติโดยสอดประสานไปกับเรา เราจะให้รางวัลมากขึ้นเป็นสองเท่า”  พวกเจ้าต้องมองเห็นเส้นทางนี้อย่างชัดเจน  หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะเดินในเส้นทางที่ถูกต้องแล้วไซร้ พวกเจ้าก็ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  พวกเจ้าต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อบรรลุชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ  ณ จุดเริ่มต้น เจ้าอาจไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ในการไล่ตามเสาะหานี้ แต่เจ้าต้องไม่ยอมให้ตัวเองถดถอยหรือจมปลักอยู่กับสิ่งที่เป็นลบ—เจ้าต้องทำงานหนักต่อไป!  ยิ่งเจ้าใช้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณมากขึ้นเท่าใด หัวใจของเจ้าก็จะถูกครอบครองโดยพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น จะเป็นกังวลในเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ จะแบกรับเอาภาระนี้ไว้เสมอ  หลังจากนั้น จงเปิดเผยความจริงที่อยู่ภายในสุดของเจ้าต่อพระเจ้าโดยผ่านทางชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเจ้า จงบอกกับพระองค์ถึงสิ่งที่เจ้าเต็มใจกระทำ สิ่งที่เจ้ากำลังนึกถึงอยู่ ความเข้าใจและทรรศนะของเจ้าที่มีต่อพระวจนะของพระองค์  จงอย่าได้หน่วงเหนี่ยวสิ่งใดแม้แต่เพียงเสี้ยวเล็กๆ!  จงฝึกพูดคำพูดที่อยู่ภายในหัวใจของเจ้าและเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของเจ้ากับพระเจ้า หากนั่นอยู่ในหัวใจของเจ้าแล้วไซร้ จงกล่าวสิ่งนั้นออกมาตามใจชอบเถิด  ยิ่งเจ้าพูดออกมาในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกถึงความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าได้มากขึ้นเท่านั้น  และหัวใจของเจ้าก็จะถูกกระชับใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  เมื่อการนี้เกิดขึ้น เจ้าจะรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเป็นที่รักของเจ้ามากยิ่งกว่าใครอื่น  เจ้าจะเคียงข้างไม่มีวันออกห่างจากพระเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  หากเจ้าปฏิบัติในทางอุทิศฝ่ายจิตวิญญาณดังนี้เป็นประจำทุกวัน และไม่ให้การปฏิบัตินี้ออกห่างจากใจของเจ้า แต่ให้ถือปฏิบัติเสมือนเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งใหญ่ในชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระวจนะของพระเจ้าจะเข้าครอบครองหัวใจเจ้า  นี่คือความหมายของการได้รับการสัมผัสจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  ประหนึ่งว่าหัวใจของเจ้าเป็นของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าสิ่งที่เจ้ารักอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดเวลา  ไม่มีใครสามารถนำสิ่งนั้นไปจากเจ้าได้  เมื่อการนี้เกิดขึ้น พระเจ้าจะดำรงพระชนม์ชีพอยู่ภายในตัวเจ้าและทรงมีที่อยู่ในหัวใจเจ้าอย่างแท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่เป็นปกตินำทางผู้คนไปบนร่องครรลองที่ถูกต้อง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 414

ความเชื่อในพระเจ้าทำให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งเป็นรากฐานเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ของพระวจนะของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริง  การปฏิบัติในปัจจุบันของพวกเจ้าทั้งหมดในการอธิษฐาน ในการเข้ามาใกล้พระเจ้า ในการร้องเพลงสรรเสริญ การสรรเสริญ การทำสมาธิ และการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้านั้น รวมกันเป็น “ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ” หรือไม่?  ไม่มีพวกเจ้าคนใดดูจะรู้เลย  ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติไม่ได้จำกัดแค่การปฏิบัติสิ่งทั้งหลาย อย่างเช่นการอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ การมีส่วนร่วมในชีวิตของคริสตจักร และการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  แต่ยังเกี่ยวพันถึงการใช้ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ใหม่และสว่างไสวด้วย  สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ว่าเจ้าปฏิบัติอย่างไร แต่เป็นดอกผลที่มาจากการปฏิบัติของเจ้า  ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติจำเป็นต้องเกี่ยวพันกับการอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือการไตร่ตรองเกี่ยวกับพระวจนะของพระองค์ ไม่ว่าการปฏิบัติเช่นนั้นจริงๆ แล้วจะมีผลลัพธ์ใดๆ หรือนำไปสู่ความเข้าใจที่แท้จริงหรือไม่ก็ตาม  ผู้คนเหล่านี้มุ่งเน้นที่การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ผิวเผิน โดยไม่มีความคิดใดๆ ถึงผลลัพธ์ของพวกมัน พวกเขาคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในพิธีกรรมของศาสนา ไม่ใช่ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในคริสตจักร และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะเป็นประชากรของราชอาณาจักร  การอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ และการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของพวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ทำไปเพราะความจำต้องทำและเพื่อให้ตามสมัยนิยมได้ทัน ไม่ใช่ทำเพราะความเต็มใจหรือทำจากหัวใจ  ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะอธิษฐานหรือร้องเพลงมากเพียงใดก็ตาม ความพยายามของพวกเขาจะไม่ผลิดอกออกผล เพราะสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติเป็นเพียงกฎเกณฑ์และพิธีกรรมของศาสนา พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ  พวกเขามุ่งเน้นแค่การเอะอะโวยวายว่าพวกเขาปฏิบัติอย่างไรเท่านั้น และพวกเขาปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าเหมือนเป็นกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตาม  ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้กำลังนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ พวกเขาเพียงกำลังสนองความต้องการของเนื้อหนัง และปฏิบัติเพื่อให้คนอื่นมองเห็น  กฎเกณฑ์และพิธีกรรมทางศาสนาเหล่านี้ต่างมีต้นกำเนิดจากมนุษย์ และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ อีกทั้งพระองค์ยังไม่ต้องทรงอยู่ภายใต้กฎหมายใดๆ  แต่พระองค์ทรงกระทำสิ่งใหม่ๆ ทุกวัน และสำเร็จลุล่วงพระราชกิจภาคปฏิบัติ  เช่นเดียวกับผู้คนในคริสตจักรแห่งหลักการพึ่งตนเองสามด้านที่จำกัดตัวเองแค่การปฏิบัติ เช่น การเข้าร่วมนมัสการตอนเช้าทุกวัน การถวายคำอธิษฐานตอนเย็นและการอธิษฐานขอบคุณก่อนมื้ออาหาร และการขอบคุณในทุกสรรพสิ่ง—ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติมากเพียงใดและไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติยาวนานเพียงใดก็ตาม พวกเขาจะไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกฎเกณฑ์และมีหัวใจที่ยึดติดกับวิธีการปฏิบัติ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่สามารถปฏิบัติพระราชกิจได้ เพราะหัวใจของพวกเขาถูกกฎเกณฑ์และมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์จับจองอยู่  ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงไร้ความสามารถที่จะเข้ามาแทรกแซงและปฏิบัติพระราชกิจกับพวกเขาได้ และพวกเขาสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายเท่านั้น  ผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถรับคำสรรเสริญจากพระเจ้าได้ตลอดกาล

ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติคือชีวิตที่ใช้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เมื่ออธิษฐาน คนเราสามารถทำให้หัวใจของเขานิ่งสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ และโดยผ่านทางการอธิษฐาน คนเราสามารถแสวงหาความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รู้พระวจนะของพระเจ้า และเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  ด้วยการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ ผู้คนสามารถได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นและละเอียดถี่ถ้วนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจในปัจจุบันของพระเจ้า  นอกจากนี้พวกเขายังสามารถได้รับเส้นทางแห่งการปฏิบัติใหม่ และจะไม่เกาะติดกับสิ่งเก่าๆ สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติทั้งหมดจะเป็นไปเพื่อการทำให้การเติบโตในชีวิตสัมฤทธิ์ผล  สำหรับเรื่องของการอธิษฐานแล้ว การอธิษฐานไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพูดคำบางคำที่ฟังดูเสนาะหู หรือการร่ำไห้ออกมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสดงออกว่าเจ้าติดหนี้พระองค์มากเพียงใด ตรงกันข้ามจุดประสงค์ของการอธิษฐานนั้นคือ เพื่อฝึกอบรมตนเองในการใช้จิตวิญญาณ เปิดโอกาสให้คนเราสามารถทำให้ใจของตนสงบลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ เพื่อฝึกอบรมตนเองในการแสวงหาการทรงนำจากพระวจนะของพระเจ้าในทุกๆ เรื่อง เพื่อให้หัวใจของตนสามารถเข้าใกล้ความสว่างใหม่ๆ ได้ในแต่ละวัน และเพื่อให้คนเราไม่นิ่งเฉยหรือเกียจคร้าน และอาจย่างเท้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องในการนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ  ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่มุ่งเน้นที่วิธีการปฏิบัติ แต่พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและทำให้การเติบโตของชีวิตสัมฤทธิ์ผล  นี่คือจุดที่พวกเขาได้หลงผิดไป  นอกจากนี้ยังมีบางคนที่สามารถรับความสว่างใหม่ได้ แต่วิธีการปฏิบัติของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลง  พวกเขานำมโนคติอันหลงผิดเก่าๆ ทางศาสนามากับตัวพวกเขาในขณะที่พวกเขามองหาว่าจะได้รับพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาได้รับจึงยังคงเป็นคำสอนที่แต้มสีไปด้วยมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา พวกเขาไม่ได้รับความสว่างของวันนี้เลย  ผลก็คือการปฏิบัติของพวกเขาด่างพร้อย การปฏิบัติของพวกเขาเป็นการปฏิบัติเก่าๆ เดิมๆ ในรูปลักษณ์ใหม่  ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติได้ดีเพียงใดก็ตาม พวกเขาก็เป็นพวกคนหน้าซื่อใจคด  พระเจ้าทรงนำผู้คนให้ทำสิ่งใหม่ๆ ทุกวัน ทรงเรียกร้องให้พวกเขาได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความเข้าใจใหม่ๆ ในแต่ละวัน และทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาไม่ล้าสมัยและทำสิ่งใดซ้ำซาก  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่วิธีการปฏิบัติของเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย และหากเจ้ายังคงกระตือรือร้นและติดธุระวุ่นวายกับเรื่องภายนอก แต่เจ้ายังไม่มีหัวใจที่สงบที่จะนำมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อชื่นชมพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับสิ่งใดเลย  เมื่อเป็นเรื่องของการยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า หากเจ้าไม่วางแผนให้แตกต่างออกไป ไม่เริ่มทำการปฏิบัติของเจ้าในหนทางใหม่ และไม่ไล่ตามเสาะหาความเข้าใจใหม่ใดๆ แต่ยังเกาะติดกับสิ่งเก่าๆ และได้รับความสว่างใหม่เพียงจำกัดอยู่บ้าง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหนทางที่เจ้าปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วผู้คนเช่นเจ้าจะอยู่ในกระแสนี้แต่ในนามเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนเหล่านั้นเป็นพวกฟาริสีของศาสนาที่อยู่นอกกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 415

ในการใช้ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกตินั้น คนเราต้องมีความสามารถที่จะได้รับความสว่างใหม่ทุกวัน และไล่ตามเสาะหาความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า  คนเราต้องมองเห็นความจริงอย่างชัดเจน พบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในทุกเรื่อง ค้นพบคำถามใหม่ๆ โดยผ่านทางการอ่านพระวจนะของพระเจ้าในแต่ละวัน และตระหนักถึงความไม่พอเพียงของตนเอง เพื่อที่คนเราอาจมีหัวใจที่ถวิลหาและแสวงหาที่จะขับเคลื่อนการเป็นอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของเขา และเพื่อที่คนเราอาจนิ่งสงบเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้ตลอดเวลา กลัวอยู่ลึกๆ ว่าจะตามไม่ทัน  บุคคลที่มีหัวใจที่ถวิลหาและแสวงหาเช่นนั้น ผู้ที่เต็มใจจะบรรลุซึ่งการเข้าสู่อยู่เสมอ จะอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องของชีวิตฝ่ายวิญญาณ  ผู้ที่ได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ที่ปรารถนาจะทำให้ดีขึ้น ผู้ที่เต็มใจจะไล่ตามเสาะหาการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า ผู้ที่ถวิลหาความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในพระวจนะของพระเจ้า ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาสิ่งเหนือธรรมชาติแต่จะยอมจ่ายราคาที่แท้จริงแทน ผู้ที่ใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้ที่บรรลุการเข้าสู่จริงๆ เพื่อให้ประสบการณ์ของพวกเขาจริงแท้และเป็นจริงยิ่งขึ้น ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาคำพูดและคำสอนที่ว่างเปล่า หรือไล่ตามเสาะหาเพื่อให้รู้สึกถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ ผู้ที่ไม่บูชาบุคลิกภาพที่ยิ่งใหญ่ใดๆ—ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่ได้เข้าสู่ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติแล้ว  ทุกสิ่งที่พวกเขาทำมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การเติบโตในชีวิตเพิ่มเติมเกิดการสัมฤทธิ์ผล และเพื่อทำให้พวกเขาสดชื่นและมีชีวิตชีวาในจิตวิญญาณ และเพื่อให้พวกเขามีความสามารถที่จะบรรลุการเข้าสู่ได้อย่างแข็งขันเสมอ  โดยปราศจากการตระหนักถึงการนี้ พวกเขาจึงได้มาเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง  บรรดาผู้ที่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติพบเสรีภาพและอิสรภาพแห่งจิตวิญญาณในแต่ละวัน และพวกเขาสามารถฝึกฝนปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าได้ในหนทางที่เป็นอิสระจนทำให้พระองค์สมดังพระทัย  สำหรับผู้คนเหล่านี้ การอธิษฐานไม่ใช่พิธีรีตองหรือขั้นตอน พวกเขามีความสามารถที่จะก้าวทันความสว่างใหม่ได้ในแต่ละวัน  ตัวอย่างเช่น ผู้คนฝึกอบรมตนเองให้นิ่งสงบหัวใจของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และหัวใจของพวกเขาสามารถนิ่งสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริง และไม่มีผู้ใดสามารถรบกวนพวกเขาได้  ไม่มีบุคคลใด เหตุการณ์ใดหรือสิ่งใดที่สามารถบังคับชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติของพวกเขาได้  การฝึกอบรมเช่นนั้นถูกมุ่งหมายให้เกิดผลลัพธ์ การฝึกอบรมดังกล่าวไม่ได้ถูกมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้คนปฏิบัติตามกฎเกณฑ์  การปฏิบัตินี้ไม่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการเติบโตในชีวิตของผู้คน  หากเจ้าเห็นว่าการปฏิบัตินี้เป็นกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตามเท่านั้น ชีวิตของเจ้าก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  เจ้าอาจมีส่วนร่วมในการปฏิบัติแบบเดียวกันกับผู้อื่น แต่ขณะที่พวกเขามีความสามารถที่จะก้าวทันพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในท้ายที่สุดได้ เจ้ากลับจะถูกขับออกจากกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  เจ้าไม่ได้กำลังหลอกลวงตัวเจ้าเองอยู่หรือ?  จุดประสงค์ของพระวจนะเหล่านี้มีเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้นิ่งสงบหัวใจของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ให้หันหัวใจของพวกเขาเข้าหาพระเจ้า เพื่อที่พระราชกิจของพระเจ้าในตัวพวกเขาจะไม่พบกับอุปสรรคขัดขวางและอาจเกิดดอกผล  เมื่อนั้นเท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 416

เจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการอธิษฐานในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า  มนุษย์ละเลยในเรื่องของการอธิษฐาน  คำอธิษฐานเคยเป็นแบบขอไปที โดยมนุษย์แค่ทำไปอย่างพอเป็นพิธีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้น  ไม่มีมนุษย์ผู้ใดถวายหัวใจของเขาอย่างเต็มเปี่ยมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเข้าร่วมในการอธิษฐานที่แท้จริงกับพระเจ้า  มนุษย์อธิษฐานต่อพระเจ้าก็ต่อเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นเท่านั้น  ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เจ้าเคยอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  เคยมีห้วงเวลาที่เจ้าหลั่งรินน้ำตาแห่งความเจ็บปวดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่?  เคยมีห้วงเวลาที่เจ้าได้มารู้จักตนเองเฉพาะพระพักตร์พระองค์ไหม?  เจ้าเคยทำการอธิษฐานด้วยหัวใจต่อหัวใจกับพระเจ้าไหม?  คำอธิษฐานมาได้ด้วยการหมั่นปฏิบัติ กล่าวคือ หากเจ้าไม่ได้อธิษฐานที่บ้านตามปกติแล้ว เจ้าก็จะไม่มีทางอธิษฐานในคริสตจักรได้ และหากโดยปกติแล้ว เจ้าไม่ได้อธิษฐานในกลุ่มเล็กๆ เจ้าก็จะไม่สามารถอธิษฐานในกลุ่มใหญ่ๆ ได้  หากเจ้าไม่เข้าใกล้พระเจ้าหรือตรึกตรองพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำแล้ว เจ้าก็จะไม่มีอะไรจะกล่าวเมื่อถึงเวลาที่จะต้องอธิษฐาน และแม้เจ้าจะอธิษฐานจริงๆ ก็ตาม เจ้าก็จะเพียงแค่ขยับปากปาวๆ ไปเท่านั้น มันจะไม่ใช่การอธิษฐานที่แท้จริง

การอธิษฐานที่แท้จริงคืออะไร  การอธิษฐานที่แท้จริงคือการทูลพระเจ้าว่าอะไรอยู่ในหัวใจของเจ้า คือการเข้าสนิทกับพระเจ้าพร้อมกับจับความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระองค์ คือการสื่อสารกับพระเจ้าผ่านทางพระวจนะของพระองค์ คือการรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้าเป็นพิเศษ คือการสำนึกรับรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ ณ ที่นั้นตรงหน้าเจ้า และคือการเชื่อว่าเจ้ามีบางสิ่งต้องทูลพระองค์  หัวใจของเจ้ารู้สึกว่าถูกเติมเต็มด้วยแสงสว่าง และเจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงน่ารักน่าชื่นชอบเพียงใด  เจ้ารู้สึกว่าได้รับการดลใจเป็นพิเศษ และการได้ฟังเจ้าพูดก็นำความปลาบปลื้มมาสู่บรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า  พวกเขาจะรู้สึกว่าถ้อยคำที่เจ้ากล่าวนั้นเป็นถ้อยคำที่อยู่ภายในหัวใจของพวกเขา เป็นถ้อยคำที่พวกเขาปรารถนาจะกล่าว ราวกับว่าถ้อยคำของเจ้านั้นเป็นตัวแทนถ้อยคำของพวกเขาเอง  นี่คือสิ่งที่การอธิษฐานที่แท้จริงเป็น  หลังจากที่เจ้าเข้าร่วมการอธิษฐานที่แท้จริงแล้ว หัวใจของเจ้าจะพบสันติสุขและจะได้รู้จักกับความปลาบปลื้ม  พลังที่จะรักพระเจ้าสามารถเพิ่มขึ้น และเจ้าจะรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่มีคุณค่าหรือนัยสำคัญใดในชีวิตยิ่งใหญ่กว่าการรักพระเจ้า  ทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าการอธิษฐานของเจ้ามีประสิทธิผล  เจ้าเคยอธิษฐานด้วยวิธีดังกล่าวบ้างไหม?

แล้วเนื้อหาของการอธิษฐานล่ะ  การอธิษฐานของเจ้าควรดำเนินไปทีละขั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะที่แท้จริงของหัวใจของเจ้าและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เจ้ามาเข้าสนิทกับพระเจ้าตามน้ำพระทัยของพระองค์และตามที่พระองค์ทรงพึงประสงค์จากมนุษย์  เมื่อเจ้าเริ่มกิจวัตรแห่งการอธิษฐาน ก่อนอื่นจงมอบหัวใจของเจ้าให้พระเจ้า  จงอย่าพยายามจับความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า—แค่พยายามกล่าวถ้อยคำในหัวใจของเจ้าต่อพระเจ้าเท่านั้น  เมื่อเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า จงกล่าวด้วยถ้อยคำดังนี้: “โอ พระเจ้า มีเพียงวันนี้เท่านั้นที่ข้าพระองค์ตระหนักว่าข้าพระองค์เคยไม่เชื่อฟังพระองค์  ข้าพระองค์เสื่อมทรามและน่ารังเกียจจริงๆ  ข้าพระองค์เพียงใช้ชีวิตไปอย่างไร้ประโยชน์  นับแต่วันนี้ ข้าพระองค์จะมีชีวิตเพื่อพระองค์  ข้าพระองค์จะใช้ชีวิตที่มีความหมายและจะทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์ ขอให้พระวิญญาณของพระองค์ทรงพระราชกิจในตัวข้าพระองค์ตลอดเวลา และให้ความกระจ่างและให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์อย่างต่อเนื่อง  ขอข้าพระองค์กล่าวคำพยานที่แข็งขันและดังกึกก้องเฉพาะพระพักตร์พระองค์  ขอให้ซาตานได้เห็นพระสิริของพระองค์ ให้สักขีพยานของพระองค์และบทพิสูจน์แห่งชัยชนะของพระองค์ปรากฏในตัวพวกเรา”  เมื่อเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ หัวใจของเจ้าจะถูกปลดปล่อยเป็นอิสระอย่างครบบริบูรณ์  เมื่อได้อธิษฐานเช่นนี้ หัวใจของเจ้าจะยิ่งใกล้ชิดพระเจ้า และหากเจ้าสามารถอธิษฐานเช่นนี้บ่อยครั้ง พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงพระราชกิจในตัวเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  หากเจ้าร้องเรียกพระเจ้าเช่นนี้เสมอๆ และสร้างปณิธานของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า สักวันหนึ่งก็จะถึงวันที่ปณิธานของเจ้าเป็นที่ยอมรับเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ครั้นหัวใจของเจ้าและการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้าได้ถูกรับไว้โดยพระเจ้าแล้ว เจ้าก็ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์ในท้ายที่สุด  สำหรับพวกเจ้า การอธิษฐานมีความสำคัญสูงสุด  เมื่อเจ้าอธิษฐานและเจ้าได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หัวใจของเจ้าจะถูกขับเคลื่อนโดยพระเจ้า และพละกำลังที่จะรักพระเจ้าก็จะปรากฏออกมา  หากเจ้าไม่อธิษฐานด้วยหัวใจของเจ้า หากเจ้าไม่เปิดหัวใจของเจ้าเพื่อเข้าสนิทกับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าก็จะไม่มีหนทางสำหรับการทรงพระราชกิจในตัวเจ้า  หากหลังจากได้อธิษฐานและกล่าวถ้อยคำจากหัวใจของเจ้าแล้ว พระวิญญาณของพระเจ้ายังไม่เริ่มพระราชกิจของพระองค์ และเจ้าไม่ได้รับแรงดลใจอะไรเลย เช่นนั้นแล้วนี่แสดงว่าหัวใจของเจ้าขาดความจริงใจ ถ้อยคำของเจ้าไม่เป็นจริงและยังคงไม่บริสุทธิ์  หากหลังจากอธิษฐานแล้ว เจ้ามีสำนึกรับรู้ถึงความปลาบปลื้ม เช่นนั้นแล้วการอธิษฐานของเจ้าก็ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจในตัวเจ้า  ในฐานะผู้ที่รับใช้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้ามิอาจปราศจากการอธิษฐาน  หากเจ้ามองเห็นอย่างแท้จริงว่า การเข้าสนิทกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีความหมายและมีคุณค่าแล้ว เจ้าจะสามารถละทิ้งการอธิษฐานได้หรือ?  ไม่มีใครสามารถอยู่โดยปราศจากการเข้าสนิทกับพระเจ้า  หากปราศจากการอธิษฐาน เจ้าจะมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง ในพันธนาการของซาตาน หากปราศจากการอธิษฐานที่แท้จริง เจ้าจะมีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของความมืด  เราหวังว่าบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าจะสามารถเข้าร่วมการอธิษฐานที่แท้จริงในทุกๆ วัน  นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการทำตามกฎเกณฑ์ต่างๆ แต่เกี่ยวกับการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ อย่างหนึ่งอย่างใด  เจ้าเต็มใจที่จะสละการนอนหลับและความชื่นชมยินดีเล็กน้อย เพื่อลุกขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อการอธิษฐานยามเช้าและชื่นชมไปกับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าอธิษฐานด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์และดื่มและกินพระวจนะของพระเจ้าเช่นนี้แล้ว เจ้าจะยิ่งเป็นที่ยอมรับต่อพระองค์มากขึ้น  หากเจ้าทำสิ่งนี้ทุกเช้า หากทุกวันเจ้าปฏิบัติการมอบหัวใจของเจ้าให้พระเจ้า สื่อสารและมีส่วนร่วมกับพระองค์ เช่นนั้นแล้วความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าย่อมจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และเจ้าจะยิ่งมีความสามารถที่จะจับความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ดีขึ้น  เจ้ากล่าวว่า “โอ พระเจ้า!  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ลุล่วง  ข้าพระองค์มีความสามารถที่จะอุทิศการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของข้าพระองค์แด่พระองค์เท่านั้น เพื่อที่พระองค์อาจทรงได้รับพระสิริจากพวกเรา เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงพระเกษมสำราญไปกับคำพยานที่พวกเรากลุ่มนี้กล่าวออกมา  ข้าพระองค์ขอร้องให้พระองค์ทรงพระราชกิจในตัวพวกเรา เพื่อที่ข้าพระองค์จะสามารถรักพระองค์อย่างแท้จริง และทำให้พระองค์สมดังพระทัยและไล่ตามเสาะหาพระองค์ในฐานะเป้าหมายของข้าพระองค์”  เมื่อเจ้ารับภาระนี้แล้ว พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมอย่างแน่นอน  เจ้าไม่ควรอธิษฐานเพื่อผลประโยชน์ของตัวเจ้าเองเท่านั้น แต่เจ้าควรอธิษฐานเพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและเพื่อรักพระองค์อีกด้วย  นี่คือการอธิษฐานประเภทที่แท้จริงที่สุด  เจ้าเป็นผู้ที่อธิษฐานเพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?

ในอดีตนั้น พวกเจ้าไม่รู้วิธีอธิษฐาน และเจ้าได้ละเลยเรื่องการอธิษฐาน  บัดนี้ เจ้าต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อฝึกฝนตัวเองให้อธิษฐาน  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะเรียกพละกำลังภายในตัวเจ้าให้มารักพระเจ้าได้ เจ้าจะอธิษฐานอย่างไร?  เจ้าพูดว่า “โอ พระเจ้า หัวใจของข้าพระองค์ไม่สามารถรักพระองค์ได้อย่างแท้จริง  ข้าพระองค์ต้องการรักพระองค์ แต่ข้าพระองค์ขาดพละกำลัง  ข้าพระองค์ควรทำอย่างไร?  ขอพระองค์ทรงเปิดดวงตาฝ่ายวิญญาณของข้าพระองค์ และขอพระวิญญาณของพระองค์ขับเคลื่อนหัวใจของข้าพระองค์เพื่อที่ว่า เมื่อข้าพระองค์มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ข้าพระองค์จะโยนทุกสิ่งที่เป็นลบทิ้งไป ยุติการถูกจำกัดโดยบุคคลใดๆ เรื่องใดๆ หรือสิ่งใดๆ และแผ่วางหัวใจอันเปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์ของข้าพระองค์เฉพาะพระพักตร์พระองค์ และเพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ถวายการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของข้าพระองค์เฉพาะพระพักตร์พระองค์  ข้าพระองค์พร้อมแล้ว ไม่ว่าพระองค์อาจทรงทดสอบข้าพระองค์ในลักษณะเช่นไรก็ตาม  บัดนี้ ข้าพระองค์ไม่ได้คำนึงถึงโอกาสที่มองว่าเป็นไปได้ในอนาคตของข้าพระองค์อีกทั้งข้าพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ภายใต้แอกแห่งความตาย  ด้วยหัวใจที่รักพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะแสวงหาหนทางชีวิตนั้น  ทุกเรื่อง ทุกสิ่ง—ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ชะตากรรมของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และพระองค์ทรงกุมชีวิตที่แท้จริงของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์  บัดนี้ ข้าพระองค์พยายามที่จะรักพระองค์ และโดยไม่คำนึงว่าพระองค์จะทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์รักพระองค์หรือไม่ โดยไม่คำนึงถึงว่าซาตานจะแทรกแซงอย่างไร ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะรักพระองค์” เมื่อเจ้าเผชิญกับปัญหานี้ จงอธิษฐานเช่นนี้  หากเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ทุกวัน พละกำลังที่จะรักพระเจ้าก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยกิจวัตรของการอธิษฐาน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 417

เราจะเข้าสู่การอธิษฐานที่แท้จริงอย่างไร

ขณะอธิษฐาน เจ้าต้องมีหัวใจที่เงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเจ้าต้องมีหัวใจที่จริงใจ  เจ้ากำลังเข้าสนิทและอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างแท้จริง—เจ้าต้องไม่พยายามป้อยอพระเจ้าโดยใช้คำพูดที่ฟังเสนาะหู  การอธิษฐานควรเพ่งศูนย์กลางไปยังสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะทำให้สำเร็จลุล่วงในขณะนี้  จงขอให้พระเจ้าทรงมอบการรู้แจ้งและความกระจ่างที่มากกว่าเดิม จงนำสภาวะที่แท้จริงของเจ้าและปัญหาของเจ้าเข้าสู่การสถิตของพระองค์ในยามที่เจ้าอธิษฐาน รวมถึงปณิธานที่เจ้าได้ตั้งไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  การอธิษฐานไม่ได้เป็นเรื่องของการปฏิบัติไปตามขั้นตอน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแสวงหาพระเจ้าด้วยหัวใจที่จริงใจ  จงขอให้พระเจ้าปกป้องหัวใจของเจ้า เพื่อที่หัวใจของเจ้าอาจเงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้บ่อยครั้ง เพื่อว่าในสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงวางเจ้าไว้ เจ้าจะได้รู้จักตนเอง ดูหมิ่นตนเองและละทิ้งตนเอง ส่งผลให้เจ้าได้มีความสัมพันธ์ที่ปกติกับพระเจ้าและกลายเป็นผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง

อะไรคือนัยสำคัญของการอธิษฐาน

การอธิษฐานเป็นหนึ่งในหลายวิธีที่มนุษย์ร่วมมือกับพระเจ้า เป็นวิถีทางหนึ่งที่มนุษย์ใช้เรียกหาพระเจ้า และเป็นกระบวนการที่พระวิญญาณของพระเจ้าใช้ดลใจมนุษย์  อาจกล่าวได้ว่า บรรดาผู้ที่ไม่อธิษฐานคือคนตายที่ไร้วิญญาณ ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเขาไร้ศักยภาพที่จะได้รับการดลใจจากพระเจ้า  เมื่อไร้การอธิษฐานก็ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตฝ่ายวิญญาณปกติได้ นับประสาอะไรกับการตามให้ทันพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  การอยู่โดยปราศจากการอธิษฐานคือการตัดขาดความสัมพันธ์ของคนเรากับพระเจ้า และคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้มาซึ่งคำชมเชยของพระเจ้า  ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า ยิ่งคนเราอธิษฐานมากเท่าใด นั่นก็คือคนเรายิ่งได้รับการดลใจจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น เราจะยิ่งถูกเติมเต็มด้วยปณิธานมากขึ้นเท่านั้น และเราจะยิ่งสามารถได้รับการรู้แจ้งใหม่ๆ จากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ผลลัพธ์ก็คือบุคคลประเภทนี้สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างรวดเร็วมาก

ประสิทธิผลอะไรที่การอธิษฐานหมายจะสัมฤทธิ์?

ผู้คนอาจสามารถปฏิบัติกิจวัตรแห่งการอธิษฐานและเข้าใจนัยสำคัญของการอธิษฐานได้ แต่การทำให้การอธิษฐานเกิดประสิทธิผลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  การอธิษฐานไม่ใช่กรณีของการทำไปอย่างพอเป็นพิธี การทำตามขั้นตอน หรือการท่องพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  กล่าวคือการอธิษฐานไม่ใช่การกล่าวถ้อยคำเฉพาะบางคำเยี่ยงนกแก้วนกขุนทอง และไม่ไช่การเลียนแบบผู้อื่น  ในการอธิษฐานนั้น คนเราต้องเข้าถึงสภาวะที่เราสามารถมอบหัวใจให้พระเจ้าได้ โดยวางหัวใจของเราอย่างเปิดกว้างเพื่อให้พระเจ้าทรงขับเคลื่อนได้  หากจะให้การอธิษฐานนั้นมีประสิทธิผลแล้ว การอธิษฐานจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการอ่านพระวจนะของพระเจ้า  โดยการอธิษฐานจากภายในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เราจึงจะสามารถได้รับการรู้แจ้งและการได้รับความกระจ่างมากขึ้น  การสำแดงต่างๆ ของการอธิษฐานที่แท้จริงคือ การมีหัวใจซึ่งโหยหาสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงขอ และยิ่งไปกว่านั้น ความปรารถนาต่างๆ ที่จะสำเร็จลุล่วงในสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้อง การรังเกียจสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจ และจากนั้น ด้วยการก่อร่างขึ้นต่อไปบนฐานรากนี้ ก็จะมีการได้รับความเข้าใจ และการมีความรู้และความกระจ่างแจ้งบางอย่างเกี่ยวกับความจริงที่พระเจ้าทรงอธิบายโดยละเอียด  เมื่อมีปณิธานมุ่งมั่น มีความเชื่อ มีความรู้ และมีเส้นทางของการปฏิบัติตามหลังการอธิษฐาน เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นการอธิษฐานที่แท้จริง และการอธิษฐานประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถส่งประสิทธิผล  แต่การอธิษฐานจะต้องตั้งอยู่บนความชื่นชมยินดีในพระวจนะของพระเจ้า จะต้องถูกสถาปนาบนฐานรากแห่งการเข้าสนิทกับพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ และหัวใจต้องมีความสามารถที่จะแสวงหาพระเจ้าและกลายเป็นนิ่งสงบเฉพาะพระพักตร์พระองค์  การอธิษฐานแบบนี้ได้เข้าสู่ระยะของการเข้าสนิทกับพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยกิจวัตรของการอธิษฐาน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 418

ความรู้พื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับการอธิษฐานคือ

1. อย่ากล่าวอะไรก็ตามที่แวบเข้ามาในใจโดยอย่างมืดบอด  จะต้องมีภาระหนึ่งอยู่ในหัวใจของเจ้า นั่นก็คือ เจ้าต้องมีวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งเมื่อเจ้าอธิษฐาน

2. คำอธิษฐานต้องบรรจุไปด้วยพระวจนะของพระเจ้า ต้องมีรากฐานอยู่บนพระวจนะของพระเจ้า

3. ขณะกำลังอธิษฐาน อย่ารื้อฟื้นปัญหาเดิมๆ ราวกับเป็นเรื่องใหม่  คำอธิษฐานของเจ้าควรสัมพันธ์กับพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า  และเมื่อเจ้าอธิษฐาน จงบอกพระเจ้าถึงความคิดส่วนลึกที่สุดของเจ้า

4. การอธิษฐานเป็นกลุ่มต้องวนเวียนอยู่รอบๆ ศูนย์กลางหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องเป็นพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์

5. ทุกคนต้องเรียนรู้การอธิษฐานทูลขอ  นี่เป็นวิธีหนึ่งซึ่งแสดงการคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน

ชีวิตแห่งการอธิษฐานของแต่ละคนตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจในนัยสำคัญของการอธิษฐานและความรู้พื้นฐานของการอธิษฐาน  ในชีวิตประจำวัน จงอธิษฐานบ่อยๆ เพื่อข้อบกพร่องของเจ้าเอง จงอธิษฐานเพื่อให้บังเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าและจงอธิษฐานบนพื้นฐานของความรู้ในพระวจนะของพระเจ้า  แต่ละบุคคลควรกำหนดชีวิตแห่งการอธิษฐานของพวกเขาเอง พวกเขาควรอธิษฐานเพื่อให้ได้รู้จักพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาควรอธิษฐานเพื่อแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  จงแผ่วางรูปการณ์แวดล้อมส่วนตัวทั้งหลายของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และจงเป็นจริงโดยไม่ต้องวุ่นวายกังวลกับวิธีที่เจ้าอธิษฐาน และประเด็นสำคัญคือเพื่อที่จะบรรลุความเข้าใจที่แท้จริง และเพื่อที่จะได้รับประสบการณ์จริงจากพระวจนะของพระเจ้า  บุคคลที่ไล่ตามเสาะหาเพื่อเข้าสู่ชีวิตฝ่ายวิญญาณต้องมีความสามารถที่จะอธิษฐานได้ในหลากหลายวิธี  การอธิษฐานเงียบ โดยครุ่นคิดถึงพระวจนะของพระเจ้า ทำความรู้จักกับพระราชกิจของพระเจ้า—เหล่านี้คือตัวอย่างทั้งหมดของการงานที่มีจุดประสงค์ของสามัคคีธรรมฝ่ายวิญญาณเพื่อประโยชน์ต่อการสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตฝ่ายวิญญาณปกติ ซึ่งจะปรับปรุงให้สภาวะต่างๆ ของคนเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าดียิ่งขึ้นตลอดเวลา และผลักดันให้คนเราสร้างความก้าวหน้าในชีวิตมากยิ่งขึ้นเสมอ  กล่าวสั้นๆ ก็คือ ทุกสิ่งที่เจ้ากระทำไม่ว่าจะเป็นการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรืออธิษฐานอย่างเงียบๆ หรือป่าวประกาศเสียงดัง เป็นไปเพื่อให้เจ้ามีความสามารถที่จะมองเห็นพระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ในตัวเจ้าได้อย่างชัดเจน  ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ทุกสิ่งที่เจ้าทำไปนั้นได้ถูกทำไปเพื่อที่จะไปให้ถึงมาตรฐานต่างๆ ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ และเพื่อเชิดชูชีวิตของเจ้าขึ้นไปสู่ความสูงระดับใหม่  ขั้นต่ำสุดที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมนุษย์คือมนุษย์มีความสามารถที่จะเปิดใจของเขาต่อพระองค์ได้  หากมนุษย์มอบหัวใจที่แท้จริงของเขาให้พระเจ้าและกล่าวในสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเขาอย่างแท้จริงแล้ว พระเจ้าก็เต็มพระทัยที่จะทรงพระราชกิจในตัวเขา  สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนามิใช่หัวใจที่บิดเบี้ยวของมนุษย์ แต่เป็นหัวใจที่บริสุทธิ์และซื่อตรง  หากมนุษย์ไม่พูดจากใจของเขาต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงขับเคลื่อนหัวใจของเขาหรือทรงพระราชกิจในตัวเขา  ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของการอธิษฐานคือการทูลต่อพระเจ้าจากหัวใจของเจ้า บอกพระองค์ถึงข้อบกพร่องหรืออุปนิสัยดื้อรั้นของเจ้า เปิดเผยตัวตนของเจ้าอย่างหมดเปลือกเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เช่นนี้เท่านั้น พระเจ้าจึงจะทรงสนใจในการอธิษฐานของเจ้า มิเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะทรงซ่อนเร้นพระพักตร์ของพระองค์จากเจ้า  เกณฑ์กำหนดต่ำสุดสำหรับการอธิษฐานคือเจ้าพึงต้องมีความสามารถที่จะนิ่งสงบหัวใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และหัวใจเจ้าต้องไม่ออกห่างจากพระเจ้า  อาจเป็นไปได้ว่าในระยะนี้ เจ้าไม่ได้รับความเข้าใจเชิงลึกที่ใหม่ขึ้นหรือสูงขึ้น แต่เจ้าจำต้องใช้การอธิษฐานเพื่อรักษาสถานภาพที่เป็นอยู่—เจ้าต้องไม่ถอยหลัง  นี่เป็นสิ่งเล็กน้อยที่สุดที่เจ้าต้องสัมฤทธิ์  หากเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์แม้แต่สิ่งนี้ได้ เช่นนั้นแล้วก็ย่อมพิสูจน์ว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณของเจ้าไม่ได้อยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้อง  ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเจ้าจะไร้ความสามารถที่จะยึดมั่นในนิมิตที่เจ้าเคยมีมาแต่ต้น เจ้าจะสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า และปณิธานของเจ้าจะจางหายไปตามลำดับ  สัญญาณหนึ่งซึ่งบ่งบอกว่าเจ้าได้เข้าสู่ชีวิตฝ่ายวิญญาณแล้วหรือไม่ก็คือ การได้เห็นว่าการอธิษฐานของเจ้านั้นอยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้องหรือไม่  ผู้คนทุกคนต้องเข้าสู่ความเป็นจริงนี้ พวกเขาทุกคนต้องทำงานในการฝึกฝนตนเองอย่างมีสติในการอธิษฐาน ไม่รอคอยอย่างนิ่งเฉย แต่ตั้งสติแสวงหาการได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เช่นนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะเป็นผู้คนที่แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริง

เมื่อเจ้าเริ่มอธิษฐาน อย่าทำเกินความสามารถของตนเองและหวังว่าจะสัมฤทธิ์ทุกสิ่งพร้อมกันในคราวเดียว  เจ้าไม่สามารถทำการเรียกร้องที่ฟุ้งเฟ้อโดยคาดหมายว่าทันทีที่เจ้าเปิดปากของเจ้าเจ้าจะได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเจ้าจะได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่าง หรือพระเจ้าจะทรงโปรยปรายพระคุณลงบนตัวเจ้า  นั่นจะไม่เกิดขึ้น พระเจ้าไม่ทรงแสดงสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ  พระเจ้าทรงยอมรับการอธิษฐานของผู้คนในเวลาของพระองค์เอง และบางครั้ง พระองค์ทรงทดสอบความเชื่อของเจ้าเพื่อดูว่าเจ้าจงรักภักดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์หรือไม่  ยามเจ้าอธิษฐาน เจ้าต้องมีความเชื่อ ความมานะบากบั่นและปณิธาน  ตอนที่เพิ่งเริ่มการฝึกฝน ผู้คนส่วนใหญ่ถอดใจ ก็เพราะพวกเขาพลาดการถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  แบบนี้ใช้ไม่ได้!  เจ้าต้องมานะบากบั่น เจ้าต้องมุ่งเน้นไปที่ความรู้สึกถึงการขับเคลื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์และไปที่การแสวงหาและการท่องสำรวจ  บางครั้ง เส้นทางแห่งการปฏิบัติของเจ้าไม่ถูกต้อง และบางครา แรงจูงใจและมโนคติอันหลงผิดส่วนตัวทั้งหลายของเจ้าไม่สามารถยึดมั่นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ และดังนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าจึงไม่สามารถขับเคลื่อนเจ้าได้  ในเวลาอื่นๆ พระเจ้าก็จะทรงมองว่าเจ้าจงรักภักดีหรือไม่  กล่าวสั้นๆ ก็คือในการฝึกฝน เจ้าควรยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น  หากเจ้าค้นพบว่าเจ้ากำลังไม่ตรงลู่ตรงทางบนเส้นทางของการปฏิบัติของเจ้า เจ้าก็สามารถเปลี่ยนวิธีการอธิษฐานของเจ้าได้  ตราบที่เจ้าเสาะแสวงด้วยหัวใจที่จริงใจและโหยหาที่จะได้รับ ตราบนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงนี้อย่างแน่นอน  บางคราวเจ้าอธิษฐานด้วยหัวใจที่จริงใจ แต่กลับไม่รู้สึกเสมือนว่าเจ้าได้ถูกขับเคลื่อนโดยเฉพาะ  ในคราวต่างๆ ที่เป็นเช่นนี้ เจ้าต้องพึ่งพาความเชื่อ ไว้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงสอดส่องดูแลการอธิษฐานของเจ้า เจ้าต้องมีความมานะบากบั่นในการอธิษฐานของเจ้า

จงเป็นบุคคลที่ซื่อตรง จงอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อกำจัดความหลอกลวงในหัวใจของเจ้าออกไป  จงชำระตัวเจ้าให้บริสุทธิ์โดยผ่านการอธิษฐานตลอดเวลา ได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณของพระเจ้าผ่านทางการอธิษฐาน แล้วอุปนิสัยของเจ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนไป  ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่แท้จริงคือชีวิตแห่งการอธิษฐาน—เป็นชีวิตที่ได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  กระบวนการของการถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์  ชีวิตที่ไม่ได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่ชีวิตฝ่ายวิญญาณ แต่เป็นชีวิตของพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น  เฉพาะบรรดาผู้ที่ถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์บ่อยๆ เท่านั้นที่ได้เข้าสู่ชีวิตฝ่ายวิญญาณ  อุปนิสัยของมนุษย์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ณ ขณะที่เขาอธิษฐาน  ยิ่งพระวิญญาณของพระเจ้าขับเคลื่อนเขามากเท่าใด เขาก็จะยิ่งกลายเป็นมั่นใจและเชื่อฟังมากขึ้นเท่านั้น  ดังนั้น หัวใจของเขาก็จะถูกชำระให้บริสุทธิ์ทีละน้อยด้วยเช่นกัน และอุปนิสัยของเขาก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง  นั่นคือผลของการอธิษฐานที่แท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยกิจวัตรของการอธิษฐาน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 419

ไม่มีขั้นตอนใดสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้ามากไปกว่าการสงบใจของเจ้าเมื่ออยู่ในการสถิตของพระองค์  มันคือบทเรียนหนึ่งที่ผู้คนทั้งปวงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเข้าสู่ในปัจจุบัน  เส้นทางที่จะเข้าสู่การสงบใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามีดังนี้

1. ถอนหัวใจของเจ้าออกมาจากเรื่องราวต่างๆ ภายนอก  จงสงบใจเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเจ้าต้องไม่แบ่งปันความสนใจไปทางอื่น นอกจากการอธิษฐานต่อพระเจ้า

2. ด้วยหัวใจของเจ้าที่สงบอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า จงกิน ดื่ม และชื่นชมไปกับพระวจนะของพระเจ้า

3. จงครุ่นคิดและไตร่ตรองความรักของพระเจ้าและใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระเจ้าในหัวใจของเจ้า

อันดับแรก จงเริ่มจากแง่มุมของการอธิษฐาน  จงอธิษฐานโดยที่ไม่แบ่งปันความสนใจไปทางอื่น และจงทำในเวลาที่กำหนดตายตัว  ไม่ว่าเจ้าจะถูกกดดันเพียงใดในเรื่องของเวลา ไม่ว่างานของเจ้าจะรัดตัวเพียงใด หรือเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าก็ตาม จงอธิษฐานทุกวันตามปกติ และกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติ  ตราบเท่าที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าสิ่งรอบตัวเจ้าจะเป็นอย่างไรก็ตาม เจ้าจะมีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่งในจิตวิญญาณของเจ้า และเจ้าจะไม่ถูกผู้คน เหตุการณ์ต่างๆ หรือสิ่งทั้งหลายรอบตัวเจ้ารบกวน  เมื่อเจ้าไตร่ตรองพระเจ้าในหัวใจของเจ้าอย่างเป็นธรรมดา สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกจะไม่สามารถรบกวนเจ้าได้  นี่คือความหมายของการครอบครองวุฒิภาวะ  เริ่มต้นด้วยการอธิษฐาน: การอธิษฐานอย่างเงียบๆ เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าจะได้ผลดีที่สุด  หลังจากนั้น จงกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เสาะแสวงความสว่างในพระวจนะของพระเจ้าโดยการไตร่ตรองพระวจนะเหล่านั้น ค้นหาเส้นทางในการฝึกฝนปฏิบัติ รู้จุดประสงค์ของพระเจ้าในการตรัสพระวจนะของพระองค์ และเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นโดยปราศจากการเบี่ยงเบน  โดยธรรมดาสามัญแล้ว การที่จะสามารถเข้าไปใกล้ชิดพระเจ้าในหัวใจของเจ้า การไตร่ตรองความรักของพระเจ้า และการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า โดยไม่ถูกรบกวนจากสิ่งทั้งหลายภายนอก ควรเป็นเรื่องปกติสำหรับเจ้า  เมื่อหัวใจของเจ้าได้สัมฤทธิ์ความสงบสุขในระดับหนึ่งแล้ว เจ้าจะสามารถคิดทบทวนได้อย่างเงียบๆ และไตร่ตรองความรักของพระเจ้าและเข้าใกล้พระองค์ได้อย่างแท้จริงภายในตัวของเจ้าเอง ไม่ว่าสิ่งรอบตัวเจ้าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็จะไปถึงจุดที่คำสรรเสริญค่อยๆ รินไหลเข้ามาเติมเต็มในหัวใจของเจ้า และดีกว่าการอธิษฐานเสียด้วยซ้ำ  จากนั้นเจ้าก็จะได้ครอบครองวุฒิภาวะบางอย่าง  หากเจ้ามีความสามารถที่จะสัมฤทธิ์สภาวะการเป็นอยู่ดังที่ได้อธิบายข้างต้น มันจะเป็นข้อพิสูจน์ที่แสดงว่าหัวใจของเจ้าสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง  นี่คือบทเรียนพื้นฐานบทแรก  เพียงหลังจากที่ผู้คนมีความสามารถที่จะสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้แล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถรับการสัมผัสจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ และได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถเข้าสนิทกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริง รวมทั้งจับความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  แล้วพวกเขาก็จะได้เข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องในชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขา  เมื่อการฝึกอบรมของพวกเขาในการใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้มาถึงความลึกซึ้งที่ระดับหนึ่ง และพวกเขามีความสามารถที่จะตัดขาดจากตัวเอง ดูหมิ่นตัวเอง และใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้แล้ว หัวใจของพวกเขาก็จะสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง  การมีความสามารถที่จะดูหมิ่นตัวเอง สาปแช่งตัวเอง และตัดขาดจากตัวเองได้นั้น เป็นผลที่สัมฤทธิ์ได้โดยพระราชกิจของพระเจ้า และไม่อาจทำสำเร็จโดยตัวผู้คนเองตามลำพังได้  ด้วยเหตุนี้ การฝึกฝนปฏิบัติในการนิ่งสงบหัวใจของคนเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าจึงเป็นบทเรียนที่ผู้คนควรเข้าสู่ในทันที  สำหรับผู้คนบางคน ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไร้ความสามารถที่จะสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ตามปกติ แต่พวกเขายังไม่สามารถนิ่งสงบหัวใจของตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าขณะกำลังอธิษฐานอีกด้วย  นี่เป็นเรื่องที่ต่ำกว่ามาตรฐานของพระเจ้ายิ่งนัก!  หากหัวใจของเจ้าไม่อาจสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ เจ้าจะสามารถถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือ?  หากเจ้าเป็นผู้ที่ไม่สามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ เจ้าก็มีแนวโน้มที่จะวอกแวกเสียสมาธิยามที่มีใครบางคนแวะเวียนมาหา หรือในขณะที่คนอื่นๆ กำลังพูดคุยกัน และจิตใจของเจ้าก็อาจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังทำอะไรต่ออะไรกันอยู่ อันเป็นกรณีที่เจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  หากหัวใจของเจ้าสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าจะไม่ถูกรบกวนโดยสิ่งใดๆ ที่กำลังดำเนินไปในโลกภายนอก หรือถูกบุคคลใด เหตุการณ์ใดหรือสิ่งใดจับจอง  หากเจ้ามีการเข้าสู่สภาวะนี้ สภาวะที่เป็นลบทั้งหลายและสิ่งที่เป็นลบทั้งมวล—ไม่ว่าจะเป็นมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ ปรัชญาต่างๆ สำหรับการดำเนินชีวิต สัมพันธภาพอันผิดปกติระหว่างผู้คน และแนวคิดและความคิด และอื่นๆ ก็จะปลาสนาการไปโดยธรรมชาติ  เนื่องจากเจ้าใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าเสมอ และหัวใจของเจ้าก็เข้าไปใกล้ชิดพระเจ้าเสมอและถูกจับจองด้วยพระวจนะของพระเจ้าในปัจจุบันเสมอ สิ่งทั้งหลายที่เป็นลบเหล่านั้นจะหลุดพ้นไปจากเจ้าโดยที่เจ้าไม่ทันได้รู้ตัว  เมื่อสิ่งใหม่ๆ และเป็นบวกจับจองเจ้าไว้ สิ่งทั้งหลายที่เป็นลบที่มีอยู่เดิมก็จะไม่มีที่อยู่ ดังนั้นจงอย่าให้ความสนใจกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบเหล่านั้น  เจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามควบคุมสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น  เจ้าควรมุ่งเน้นที่การอยู่อย่างสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า กิน ดื่ม และชื่นชมไปกับพระวจนะของพระเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ ขับร้องเพลงสรรเสริญในการถวายการสรรเสริญพระเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ และยอมให้พระเจ้ามีโอกาสได้ทรงใช้ความพยายามกับเจ้า ด้วยขณะนี้พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมด้วยพระองค์เอง และพระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะได้หัวใจของเจ้า พระวิญญาณของพระองค์ทรงขับเคลื่อนหัวใจของเจ้า และหากได้ปฏิบัติตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนเจ้าได้มาใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า เจ้าจะทำให้พระเจ้าสมดังพระทัย  หากเจ้าให้ความสนใจในการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และมีส่วนร่วมในการสามัคคีธรรมที่เกี่ยวกับความจริงมากขึ้น เพื่อให้ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วบรรดามโนคติที่หลงผิดทางศาสนา รวมทั้งการมองเห็นตัวเองชอบธรรมเสมอ และความคิดว่าตนเองสำคัญกว่าผู้อื่นของเจ้าก็จะปลาสนาการไปหมดสิ้น และเจ้าก็จะรู้ว่าจะสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าอย่างไร รักพระเจ้าอย่างไร และทำให้พระเจ้าสมดังพระทัยได้อย่างไร  และโดยที่เจ้าไม่ทันได้ตระหนักในเรื่องนี้ บรรดาสิ่งต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าจะค่อยๆ กระจัดกระจายออกไปจากจิตสำนึกของเจ้าจนหมดสิ้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องการสงบจิตใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 420

การใคร่ครวญและอธิษฐานไปกับพระวจนะของพระเจ้าในขณะที่กำลังกินและดื่มพระวจนะในปัจจุบันของพระองค์เป็นขั้นตอนแรกที่จะก้าวไปสู่การอยู่อย่างสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  หากเจ้าสามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณทั้งหมดสัมฤทธิ์ได้โดยการมีใจที่สงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ในขณะที่กำลังอธิษฐาน เจ้าจะต้องสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  เมื่อเจ้าสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในยามที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะสามารถได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่าง และสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจที่แท้จริงในพระวจนะของพระเจ้าได้  ในกิจกรรมต่างๆ ของการครุ่นคิดและการร่วมสามัคคีธรรมตามปกติของเจ้าและการเข้าไปใกล้ชิดพระเจ้าในหัวใจของเจ้า เมื่อเจ้าได้กลายเป็นสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าจะสามารถชื่นชมการใกล้ชิดอันจริงแท้กับพระเจ้า ได้มีความเข้าใจถ่องแท้ถึงความรักของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ และได้แสดงออกถึงความอาทรและความเอาใจใส่ที่แท้จริงต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ยิ่งเจ้ามีความสามารถที่จะสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างเป็นปกติธรรมดามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งได้รับการให้ความกระจ่างมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็จะยิ่งมีความสามารถที่จะเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเอง สิ่งที่เจ้ายังขาดอยู่ สิ่งที่เจ้าควรเข้าสู่ หน้าที่ที่เจ้าควรทำการปรนนิบัติ และข้อบกพร่องที่อยู่ภายในตัวเจ้า—ได้มากขึ้นเท่านั้น  ทั้งหมดนี้สัมฤทธิ์ได้โดยการสงบใจในการสถิตของพระเจ้า  หากเจ้าบรรลุความลึกซึ้งในสันติสุขของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว เจ้าจะสามารถจับความเข้าใจความล้ำลึกบางอย่างของจิตวิญญาณ จับความเข้าใจว่าในขณะนี้พระเจ้าทรงปรารถนาจะกระทำการอันใดในตัวเจ้า จับความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น จับความเข้าใจหากเจ้าให้ความสนใจถึงส่วนในสุดของพระวจนะของพระเจ้า แก่นแท้ของพระวจนะของพระเจ้า การเป็นอยู่ของพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าจะสามารถมองเห็นเส้นทางแห่งการฝึกฝนปฏิบัติได้อย่างชัดเจนและถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น  หากเจ้าไม่สัมฤทธิ์ความลึกซึ้งที่เพียงพอในการนิ่งสงบในจิตวิญญาณของเจ้า เจ้าก็จะได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าจะรู้สึกว่าได้รับการเสริมกำลังอยู่ภายใน และจะรู้สึกถึงความชื่นชมยินดีและความสงบสุขในปริมาณหนึ่ง แต่เจ้าจะไม่จับความเข้าใจสิ่งใดที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น  เราได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า หากผู้คนไม่นำพละกำลังทุกหยาดหยดของตนออกมาใช้ ก็คงจะเป็นการยากที่พวกเขาจะได้ยินเสียงของเราหรือได้เห็นหน้าของเรา  การนี้อ้างอิงถึงการสัมฤทธิ์ความลึกซึ้งในการสงบใจของคนเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และไม่ใช่เป็นการใช้ความพยายามอย่างผิวเผิน  บุคคลที่สามารถสงบใจในการสถิตของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงจะสามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการผูกมัดทางโลกได้ทุกอย่าง และจะได้บรรลุการครอบครองโดยพระเจ้า  ทุกคนที่ไม่สามารถสงบใจอยู่ในการสถิตของพระเจ้าได้ เป็นพวกที่ไร้ศีลธรรมและทำทุกอย่างไปตามอำเภอใจอย่างแน่นอน ทุกคนที่สามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ คือผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้าต่อพระเจ้า และเป็นผู้ที่โหยหาพระเจ้า  มีเพียงผู้ที่สงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้นที่เห็นคุณค่าของชีวิต เห็นคุณค่าของการสามัคคีธรรมในจิตวิญญาณ กระหายในพระวจนะของพระเจ้า และไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้ใดก็ตามที่ไม่เห็นคุณค่าของการสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและไม่ได้ฝึกฝนปฏิบัติการสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เป็นคนที่ผิวเผินและไร้ประโยชน์ ผูกติดอยู่กับทางโลกและปราศจากชีวิต ต่อให้พวกเขาพูดว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็แค่พูดพล่อยเพียงลมปากที่ขาดความจริงใจเท่านั้น  ผู้ที่ท้ายที่สุดแล้วได้ถูกพระเจ้าทำให้มีความเพียบพร้อมและครบบริบูรณ์ คือคนที่สามารถทำใจให้สงบในการสถิตของพระองค์ได้  ดังนั้น ผู้ที่มีใจสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าจึงจะได้รับพระคุณเป็นพรอันยิ่งใหญ่  ผู้คนที่วันทั้งวันแทบจะไม่ใช้เวลากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า  ผู้ที่หมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับกิจการต่างๆ ภายนอกและให้คุณค่ากับการเข้าสู่ชีวิตเพียงน้อยนิด—คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นพวกคนหน้าซื่อใจคด ไร้ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของการเติบโตในอนาคต  ผู้ที่สามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและผู้ที่สามารถเข้าสนิทกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริงต่างหากที่เป็นคนของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องการสงบจิตใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 421

การที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับพระวจนะของพระองค์เป็นชีวิตของเจ้านั้น อันดับแรกคือเจ้าจะต้องทำใจให้สงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสียก่อน  ต่อเมื่อเจ้าสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้วเท่านั้น พระเจ้าจึงจะทำให้เจ้ากระจ่างแจ้งและมอบความรู้ให้แก่เจ้า  ยิ่งผู้คนสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะสามารถรับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น  ทั้งหมดนี้กำหนดให้ผู้คนต้องมีความศรัทธาและความเชื่อ ด้วยเหตุนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้  บทเรียนพื้นฐานสำหรับการเข้าสู่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณก็คือการสงบใจอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  ต่อเมื่อเจ้าสงบใจอยู่ในการสถิตของพระเจ้าแล้วเท่านั้น การฝึกอบรมฝ่ายจิตวิญญาณของเจ้าทั้งหมดจึงจะเกิดประสิทธิภาพ  หากหัวใจของเจ้าไม่สามารถสงบได้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าจะไร้ความสามารถที่จะรับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  หากหัวใจของเจ้าสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ว่าเจ้าจะกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นใครคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  หากหัวใจของเจ้าสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเข้าไปใกล้ชิดพระเจ้าไม่ว่าเจ้าจะกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม นี่พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นบุคคลที่สงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  หากว่า เมื่อเจ้ากำลังพูดคุยกับคนอื่นๆ  หรือกำลังเดิน เจ้ามีความสามารถที่จะพูดได้ว่า “ใจของฉันกำลังเข้าไปใกล้ชิดพระเจ้า และไม่ได้มุ่งเน้นที่สิ่งต่างๆ ภายนอก และฉันสามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้” เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือใครคนหนึ่งที่มีใจสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  จงอย่าเข้าไปมีส่วนร่วมกับอะไรก็ตามที่ดึงใจของเจ้าไปหาเรื่องราวต่างๆ ภายนอก หรือกับผู้คนที่พรากหัวใจของเจ้าไปจากพระเจ้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตามที่สามารถหันเหหัวใจของเจ้าไปจากการอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า จงเลิกยุ่งเกี่ยวกับมันเสีย หรืออยู่ห่างมันไว้  นี่เป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าต่อชีวิตของเจ้า  บัดนี้เป็นเวลาอันสมควรพอดีสำหรับพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นเวลาที่พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมด้วยพระองค์เอง  หากว่า ขณะนี้ เจ้าไม่สามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คงไม่ใช่ใครบางคนที่จะได้หวนคืนสู่หน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งต่างๆ ที่นอกเหนือไปจากพระเจ้า ย่อมไม่มีทางที่เจ้าจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมจากพระเจ้าได้  พวกที่สามารถได้ยินถ้อยดำรัสเช่นนั้นจากพระเจ้า แต่กลับไม่สามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้ในวันนี้ คือผู้คนที่ไม่ได้รักความจริงและไม่ได้รักพระเจ้า  หากเจ้าจะไม่ถวายตัวเจ้าในตอนนี้ แล้วเจ้ากำลังรออะไรอยู่?  การถวายตัวก็คือการทำให้หัวใจของคนเรามีความสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  นั่นจะเป็นการมอบถวายที่แท้จริง  ผู้ใดก็ตามที่ถวายหัวใจของตนให้แก่พระเจ้าอย่างแท้จริง บัดนี้ได้รับความมั่นใจว่าจะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์โดยพระเจ้า  ไม่มีสิ่งใด—ไม่สำคัญว่าจะเป็นอะไร—ที่สามารถรบกวนเจ้าได้ ไม่ว่าจะเป็นการมาปรับแต่งเจ้าหรือมาจัดการกับเจ้า หรือไม่ว่าเจ้าจะประสบกับความผิดหวังหรือความล้มเหลวหรือไม่ หัวใจของเจ้าก็ควรสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ  ไม่ว่าผู้คนจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร หัวใจของเจ้าควรสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์แวดล้อมอะไรก็ตาม—ไม่ว่าเจ้าจะถูกรุมเร้าจากความทุกข์ยาก ความทุกข์ การข่มเหง หรือการทดสอบที่แตกต่างออกไป—หัวใจของเจ้าควรสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ นั่นคือเส้นทางไปสู่การถูกทำให้มีความเพียบพร้อม  ครั้นเจ้าสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น พระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าจึงจะกลายเป็นชัดเจนต่อเจ้า แล้วเจ้าจึงจะสามารถฝึกฝนปฏิบัติได้อย่างถูกต้องมากขึ้น และปราศจากการเบี่ยงเบนของความกระจ่างและความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  สามารถจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างชัดแจ้งยิ่งกว่าเดิม อันจะช่วยให้การรับใช้ของเจ้ามีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น จับความเข้าใจในการขยับเคลื่อนไปและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้น และทำให้มั่นใจในการใช้ชีวิตภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เฉกนั้นคือผลที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยการสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง  ยามที่ผู้คนไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างชัดเจน ไม่มีเส้นทางที่จะฝึกฝนปฏิบัติ ไม่จับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือขาดหลักการต่างๆ สำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ การนี้เป็นเพราะหัวใจของพวกเขาไม่ได้สงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  จุดประสงค์ของการสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าก็เพื่อการได้เป็นคนที่มุ่งมั่นจริงจังและเป็นคนที่ยึดหลักความเป็นจริงจากการปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี เพื่อแสวงหาความถูกต้องและความโปร่งใสในพระวจนะของพระเจ้า และท้ายที่สุดเพื่อจะได้ไปถึงจุดที่มีความเข้าใจในความจริงและรู้จักพระเจ้า

หากมีไม่บ่อยครั้งนักที่หัวใจของเจ้าสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าย่อมไม่มีวิถีทางที่จะทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมได้  การไม่มีความแน่วแน่ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการไม่มีหัวใจ และบุคคลที่ปราศจากหัวใจย่อมไม่สามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ บุคคลเช่นนั้นไม่รู้หรอกว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจมากมายเพียงใด หรือพระองค์ตรัสมากแค่ไหน และพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าจะฝึกฝนปฏิบัติอย่างไร  นี่ไม่ใช่บุคคลที่ปราศจากหัวใจหรอกหรือ?  บุคคลที่ปราศจากหัวใจจะสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือ?  พระเจ้าไม่ทรงมีวิถีทางที่จะทำให้ผู้คนที่ปราศจากหัวใจมีความเพียบพร้อมได้—พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ใช้ในงานบรรทุก พระเจ้าตรัสไว้อย่างชัดเจนและโปร่งใสเป็นยิ่งนัก ทว่าหัวใจของเจ้ายังคงไม่รู้สึกซาบซึ้ง และเจ้าก็ยังคงอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้  เจ้าไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานหน้าโง่ตัวหนึ่งหรอกหรือ?  ผู้คนบางคนหลงผิดในการฝึกสงบใจอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  เมื่อถึงเวลาหุงหาอาหาร พวกเขาก็ไม่หุงหาอาหาร และครั้นได้เวลาทำงานบ้าน พวกเขาก็ไม่ทำงานบ้าน เอาแต่อธิษฐานและครุ่นคิดต่อไป  การสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ได้หมายถึงการไม่หุงหาอาหารหรือไม่ทำงานบ้าน หรือไม่ใช้ชีวิตของคนเรา ตรงกันข้าม มันคือการสามารถที่จะทำหัวใจของเราให้สงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในสภาวการณ์ปกติทุกอย่างได้ และการมีที่สถิตสำหรับพระเจ้าในหัวใจของคนเรา  ในเวลาที่เจ้าอธิษฐาน เจ้าควรคุกเข่าอย่างเหมาะสมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้วจึงอธิษฐาน แต่ยามที่เจ้าทำงานบ้านหรือเตรียมอาหาร ให้สงบใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า หรือร้องเพลงสรรเสริญ  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด เจ้าควรมีหนทางของเจ้าเองในการฝึกฝนปฏิบัติ เจ้าควรทำทุกอย่างที่เจ้าทำได้เพื่อเข้าไปใกล้ชิดพระเจ้า และเจ้าควรพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อสงบใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ยามที่รูปการณ์แวดล้อมเอื้ออำนวย จงอธิษฐานอย่างเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น ยามที่รูปการณ์แวดล้อมไม่อำนวย จงเข้าไปใกล้ชิดพระเจ้าในหัวใจของเจ้าในยามที่กำลังปฏิบัติภารกิจตรงหน้า  ยามที่เจ้าสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าก็จงกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ ยามที่เจ้าสามารถอธิษฐานได้ก็จงอธิษฐาน ยามที่เจ้าสามารถไตร่ตรองพระเจ้าได้ก็จงไตร่ตรองพระองค์  กล่าวได้อีกอย่างว่า จงทำให้เต็มที่เพื่อฝึกฝนตัวเจ้าเองสำหรับการเข้าสู่ตามสภาวะแวดล้อมของเจ้า  คนบางคนสามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ในยามไม่มีอะไรให้กังวล แต่ทันทีที่บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น จิตใจของพวกเขาก็เหม่อลอยไป  นั่นไม่ใช่การสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  วิธีที่ถูกต้องที่จะได้รับประสบการณ์ก็คือ ไม่ว่าจะในรูปการณ์แวดล้อมใดก็ตาม หัวใจของคนเราจะไม่พรากจากพระเจ้า หรือรู้สึกถูกรบกวนจากผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งต่างๆ ภายนอก และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เราจะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งมีใจสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง  บางคนพูดว่า เวลาที่พวกเขาอธิษฐานในหมู่ผู้ชุมนุม หัวใจของพวกเขาสามารถสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ แต่ในการสามัคคีธรรมกับคนอื่นๆ พวกเขาไม่สามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ และความคิดของพวกเขาจะลอยเตลิดไปไกล  นี่ไม่ใช่การสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะนี้ หัวใจของพวกเขามิอาจสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้เสมอไป  ด้วยเหตุนี้ พวกเจ้าจะต้องเพิ่มความพยายามในการฝึกฝนตัวพวกเจ้าเองในด้านนี้ เข้าสู่ ทีละขั้น ไปตามร่องครรลองที่ถูกต้องของประสบการณ์ชีวิต และเริ่มดำเนินการไปบนเส้นทางของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องการสงบจิตใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 422

พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้ามีไว้เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเจ้า เป้าหมายของพระองค์มิใช่เพียงเพื่อทำให้พวกเจ้าเข้าใจหรือรู้จักพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์  นั่นไม่เพียงพอ  พวกเจ้าเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการจับใจความ ดังนั้น พวกเจ้าไม่ควรมีความลำบากยากเย็นในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เพราะพระวจนะของพระเจ้าส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษามนุษย์ และพระองค์ตรัสอย่างเรียบง่ายมาก  ตัวอย่างเช่น เจ้ามีความสามารถอย่างเพียบพร้อมในการเรียนรู้สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้เจ้าเข้าใจและปฏิบัติตาม นี่เป็นบางสิ่งที่บุคคลปกติซึ่งมีปฏิภาณแห่งการจับใจความควรจะสามารถทำได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระวจนะที่พระเจ้ากำลังตรัสในช่วงระยะปัจจุบันนั้นชัดเจนและโปร่งใสเป็นพิเศษ และพระเจ้ากำลังทรงชี้ชัดถึงหลายสิ่งที่ผู้คนไม่ได้พิจารณา รวมถึงลักษณะทั้งหมดของสภาวะแบบมนุษย์  พระวจนะของพระองค์โอบอ้อมทั้งมวลและชัดเจนดั่งความสว่างของพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นในตอนนี้ ผู้คนเข้าใจถึงประเด็นปัญหามากมายแต่ก็ยังมีบางสิ่งที่ขาดหายไป ซึ่งก็คือผู้คนที่นำพระวจนะของพระองค์ไปปฏิบัติ  ผู้คนต้องได้รับประสบการณ์กับแง่มุมทั้งหมดของความจริงในรายละเอียด และสำรวจค้นและแสวงหาความจริงในรายละเอียดที่มากขึ้น แทนที่จะแค่รอดูดซับเอาสิ่งใดก็ตามที่ถูกทำให้มีอยู่เพื่อพวกเขา มิฉะนั้นพวกเขาย่อมกลายเป็นอะไรที่มากกว่าปรสิตเพียงเล็กน้อย  พวกเขารู้จักพระวจนะของพระเจ้าแต่ยังไม่ได้นำมันไปปฏิบัติ  บุคคลประเภทนี้ไม่รักความจริงและจะถูกขับออกไปในท้ายที่สุด  การเป็นเสมือนเปโตรแห่งทศวรรษ 1990 นั้นหมายความว่า พวกเจ้าแต่ละคนควรปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า มีการเข้าสู่ที่แท้จริงในประสบการณ์ของพวกเจ้า และได้รับความรู้แจ้งมากยิ่งขึ้นและยิ่งใหญ่ขึ้นในความร่วมมือของพวกเจ้ากับพระเจ้า ซึ่งจะเป็นการเพิ่มการให้ความช่วยเหลือแก่ชีวิตของพวกเจ้าเองเรื่อยไป  หากพวกเจ้าได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมายแต่เข้าใจเพียงความหมายของตัวบทและขาดความรู้โดยตรงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่รู้จักพระวจนะของพระเจ้า  เท่าที่เจ้าคิดคำนึงนั้น พระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่ชีวิต แต่เป็นเพียงความหมายตามตัวอักษรซึ่งไร้ชีวิต  และหากเจ้าเพียงดำรงชีวิตอยู่ในการถือปฏิบัติตามความหมายของตัวอักษรซึ่งไร้ชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถจับความเข้าใจแก่นแท้ของพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าจะไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์  จนเมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ในประสบการณ์จริงของเจ้าแล้วเท่านั้น ความหมายทางจิตวิญญาณของพระวจนะของพระเจ้าจึงจะเปิดกว้างต่อเจ้า และมันเป็นไปโดยผ่านทางประสบการณ์ที่เจ้าสามารถจับความเข้าใจความหมายทางจิตวิญญาณของความจริงมากมายและสามารถไขกุญแจความล้ำลึกทั้งหลายของพระวจนะของพระเจ้าได้เท่านั้น  หากเจ้าไม่นำมันไปปฏิบัติแล้วไซร้ ไม่ว่าพระวจนะของพระองค์จะชัดเจนเพียงใด ทั้งหมดที่เจ้าได้จับความเข้าใจไปก็คือความหมายตามตัวอักษรและบรรดาคำสอนอันว่างเปล่าซึ่งได้กลายเป็นกฎข้อบังคับทางศาสนาสำหรับเจ้า  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกฟาริสีได้ทำลงไปหรอกหรือ?  หากพวกเจ้าปฏิบัติตามและได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า มันจะกลายเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงต่อพวกเจ้า หากเจ้าไม่ได้พยายามที่จะปฏิบัติตามมัน เช่นนั้นแล้วพระวจนะของพระเจ้าในสายตาเจ้าก็เป็นมากกว่าตำนานของสวรรค์ชั้นที่สามเพียงเล็กน้อย  ในข้อเท็จจริงนั้น กระบวนการแห่งการเชื่อในพระเจ้าคือกระบวนการของการที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ตลอดจนการได้รับการทรงรับไว้โดยพระองค์ หรือกล่าวให้ชัดเจนขึ้นก็คือ การเชื่อในพระเจ้าคือการมีความรู้และความเข้าใจในพระวจนะของพระองค์ และการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะและการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นเองคือความเป็นจริง เบื้องหลังการเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้า  หากพวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าและหวังว่าจะได้ชีวิตนิรันดร์โดยไม่พยายามปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ช่างโง่เขลา  นี่คงจะเป็นเช่นการไปงานเลี้ยงและเพียงมองไปที่อาหารและเรียนรู้สิ่งทั้งหลายซึ่งมีรสอร่อยด้วยหัวใจโดยปราศจากการลิ้มรสชาติอันใดของมันตามจริงเท่านั้น ย่อมจะเป็นเหมือนการไม่ได้กินหรือดื่มสิ่งใดที่นั่น บุคคลเช่นนี้จะไม่ใช่คนโง่คนหนึ่งหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริง เจ้าควรนำมันไปสู่การปฏิบัติ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 423

ความจริงที่มนุษย์จำเป็นต้องครองนั้นมีอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า และมันก็เป็นความจริงที่ให้ประโยชน์และช่วยเหลือมวลมนุษย์มากที่สุด  มันเป็นยาชูกำลังและเสบียงอาหารที่ร่างกายของพวกเจ้าจำเป็นต้องมี เป็นบางสิ่งที่ช่วยมนุษย์ฟื้นฟูสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของเขา  มันคือความจริงหนึ่งซึ่งมนุษย์ควรมีพร้อมเอาไว้ ยิ่งพวกเจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร ชีวิตของพวกเจ้าก็จะยิ่งเบ่งบานรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น และความจริงจะยิ่งกลับกลายเป็นชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น  ในขณะที่พวกเจ้าเติบโตขึ้นทางวุฒิภาวะ พวกเจ้าจะมองเห็นสิ่ง ทั้งหลายของโลกฝ่ายวิญญาณได้อย่างชัดเจนขึ้น และพวกเจ้าจะมีความแข็งแกร่งที่จะมีชัยเหนือซาตานมากขึ้นเท่านั้น  ความจริงจำนวนมากที่พวกเจ้าไม่เข้าใจจะถูกทำให้ชัดเจนเมื่อพวกเจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  คนส่วนใหญ่พึงพอใจเพียงแค่เข้าใจตัวบทของพระวจนะของพระเจ้าและมุ่งเน้นการเตรียมตัวเองให้พร้อมไปด้วยคำสอนแทนที่จะเป็นการทำให้ประสบการณ์ในการฝึกฝนปฏิบัติของพวกเขานั้นลึกซึ้งขึ้น แต่นั่นไม่ใช่หนทางของพวกฟาริสีหรอกหรือ?  ดังนั้นแล้ววลีที่ว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือชีวิต” สามารถเป็นจริงสำหรับพวกเขาได้อย่างไร?  ชีวิตของบุคคลหนึ่งไม่สามารถเติบโตได้อย่างง่ายดายโดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่จะเติบโตได้อย่างง่ายดายก็ต่อเมื่อนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติแล้วเท่านั้น  หากมันเป็นการเชื่อของเจ้าที่เข้าใจว่า พระวจนะของพระเจ้าคือทั้งหมดที่จำเป็นต้องมีในการมีชีวิตและวุฒิภาวะ เช่นนั้นแล้วความเข้าใจของเจ้าก็บิดเบี้ยว  การเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริงเกิดขึ้นเมื่อเจ้าปฏิบัติตามความจริง และเจ้าต้องเข้าใจว่า “มีแต่การนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติเท่านั้น จึงจะสามารถมีวันเข้าใจมันได้” ในวันนี้ หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า เจ้าสามารถพูดได้เพียงว่าเจ้ารู้จักพระวจนะของพระเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าเจ้าเข้าใจพระวจนะเหล่านั้น  บางคนกล่าวว่าหนทางเดียวที่จะนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติได้ก็คือการเข้าใจมันเสียก่อน แต่นี่ถูกต้องแค่เพียงบางส่วนและแน่นอนว่าไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด  ก่อนที่เจ้าจะมีความรู้เกี่ยวกับความจริง เจ้าไม่เคยได้รับประสบการณ์กับความจริงนั้น  การรู้สึกว่าเจ้าเข้าใจบางสิ่งที่เจ้าได้ยินในคำเทศนาไม่ใช่การเข้าใจอย่างแท้จริง—นี่เป็นแค่การครองคำพูดตามตัวอักษรของความจริง และมันก็ไม่เหมือนกับการเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่อยู่ในนั้น  การมีแค่ความรู้เพียงผิวเผินเกี่ยวกับความจริงไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเข้าใจมันตามจริงหรือมีความรู้เกี่ยวกับมัน ความหมายที่แท้จริงของความจริงมาจากการได้รับประสบการณ์กับมันแล้ว  ดังนั้น เฉพาะเมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์กับความจริงแล้วเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเข้าใจมันได้ และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถจับความเข้าใจส่วนที่ซ่อนอยู่ของมันได้  การทำให้ประสบการณ์ของเจ้าลึกซึ้งเป็นหนทางเดียวที่จะจับความเข้าใจความหมายแฝงและเข้าใจแก่นแท้แห่งความจริง  ดังนั้น เจ้าสามารถไปได้ทุกหนทุกแห่งกับความจริง แต่หากไม่มีความจริงในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วจงอย่าคิดพยายามโน้มน้าวแม้แต่สมาชิกในครอบครัวของเจ้า นับประสาอะไรกับผู้คนที่เคร่งศาสนา  หากปราศจากความจริงเจ้าก็เหมือนเกล็ดหิมะที่ปลิวคว้าง แต่ด้วยความจริง เจ้าสามารถมีความสุขและเป็นอิสระ และไม่มีใครสามารถโจมตีเจ้าได้  ไม่สำคัญว่าทฤษฎีหนึ่งจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ไม่สามารถเอาชนะความจริงได้  ด้วยความจริง ตัวพิภพเองก็สามารถถูกแกว่งไกว และภูเขาและทะเลก็ถูกเคลื่อนไหวได้ ในขณะที่การขาดความจริงสามารถนำทางไปสู่การที่กำแพงเมืองอันแข็งแกร่งถูกพวกหนอนแมลงย่นย่อลงจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย  นี่คือ ข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริง เจ้าควรนำมันไปสู่การปฏิบัติ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 424

ณ ช่วงระยะปัจจุบัน มันสำคัญยิ่งชีวิตที่จะรู้ความจริงเสียก่อน และจากนั้นจึงนำมันไปปฏิบัติและเตรียมตัวพวกเจ้าให้มีพร้อมต่อไปด้วยความหมายที่แท้จริงของความจริง  พวกเจ้าควรพยายามบรรลุการนี้  แทนที่จะเป็นแค่การพยายามทำให้ผู้อื่นติดตามคำพูดทั้งหลายของเจ้า เจ้าควรทำให้พวกเขาติดตามการปฏิบัติของเจ้า  เพียงในหนทางนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถพบกับบางสิ่งที่เปี่ยมความหมาย  ไม่สำคัญว่าอะไรจะตกแก่เจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าจะพบเจอใครโดยไม่คาดฝัน ตราบที่เจ้ามีความจริง เจ้าย่อมจะสามารถตั้งมั่นได้  พระวจนะของพระเจ้าคือสิ่งที่นำพาชีวิตมาสู่มนุษย์ ไม่ใช่ความตาย  หากหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เจ้าไม่กลับมามีชีวิต แต่เจ้ายังคงตายไปแล้ว เช่นนั้นแล้วย่อมมีบางอย่างผิดปกติกับเจ้า  หากหลังจากช่วงเวลาหนึ่งเจ้าได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าไปมากมายและได้ยินคำเทศนาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงไปมากมาย แต่เจ้ายังคงอยู่ในสภาพเงื่อนไขของความตาย เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่เห็นคุณค่าของความจริง และเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  หากพวกเจ้าได้พยายามที่จะได้รับพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเจ้าก็คงจะไม่มุ่งเน้นไปที่การเตรียมตัวพวกเจ้าเองให้มีพร้อมด้วยคำสอนและการใช้คำสอนอันหยิ่งยโสสอนผู้อื่น แต่คงจะมุ่งเน้นไปที่การได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและการนำความจริงไปปฏิบัติแทน  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรกำลังพยายามเข้าสู่ในตอนนี้หรอกหรือ?

พระเจ้าทรงมีเวลาจำกัดในการทรงพระราชกิจของพระองค์ในมนุษย์ ดังนั้นแล้ว บทอวสานใดเล่าที่สามารถมีได้หากเจ้าไม่ร่วมมือกับพระองค์?  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงต้องประสงค์ให้พวกเจ้าฝึกฝนปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์อยู่เสมอทันทีที่พวกเจ้าเข้าใจมัน?  เป็นเพราะพระเจ้าทรงได้เปิดเผยพระวจนะของพระองค์แก่พวกเจ้า และขั้นตอนต่อไปของพวกเจ้าคือการฝึกฝนปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านั้นจริงๆ  ขณะที่เจ้าฝึกฝนปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านี้ พระเจ้าก็จะทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำจนเสร็จ  นั่นคือวิธีที่จะทำมันให้เสร็จสิ้น  พระวจนะของพระเจ้าเปิดโอกาสให้มนุษย์เบ่งบานในชีวิตและไม่ครององค์ประกอบอันใดที่สามารถทำให้มนุษย์เบี่ยงเบนหรือกลายเป็นนิ่งเฉย  เจ้ากล่าวว่าเจ้าได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าและฝึกฝนปฏิบัติตามพระวจนะนั้น แต่เจ้ายังคงไม่ได้รับพระราชกิจใดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  คำพูดของเจ้าสามารถหลอกได้เพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น  ผู้คนอื่นๆ อาจไม่รู้ว่าเจตนาของเจ้าถูกต้องหรือไม่ แต่เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่พระเจ้าจะไม่ทรงทราบ?  เป็นไปได้อย่างไรที่ผู้อื่นฝึกฝนปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและรับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์และไม่ได้รับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์?  พระเจ้าทรงมีอารมณ์ความรู้สึกหรือไม่?  หากเจตนาของเจ้าถูกต้องอย่างแท้จริงและเจ้าให้ความร่วมมือ เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณของพระเจ้าก็จะอยู่กับเจ้า  ผู้คนบางคนต้องการปักธงจองตำแหน่งเสมอ แต่เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงไม่ทรงปล่อยให้พวกเขาลุกขึ้นมานำคริสตจักร?  ผู้คนบางคนเพียงลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา  ปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาและก่อนที่พวกเขาจะทันรู้ตัวพวกเขาก็ได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าไปแล้ว  นั่นเป็นไปได้อย่างไรกัน?  พระเจ้าทรงตรวจสอบภายในสุดของหัวใจมนุษย์ และผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงต้องทำเช่นนั้นด้วยเจตนาที่ถูกต้อง  ผู้คนที่ไม่มีเจตนาที่ถูกต้องไม่สามารถตั้งมั่นได้  ณ แก่นกลางของมัน เป้าหมายของพวกเจ้าคือการปล่อยให้พระวจนะของพระเจ้ามีผลภายในตัวของพวกเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มันคือการมีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าในการที่พวกเจ้าปฏิบัติตามพระวจนะนั้น  บางทีความสามารถของพวกเจ้าในการจับใจความพระวจนะของพระเจ้านั้นต่ำ แต่เมื่อพวกเจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ทรงสามารถเยียวยารักษาข้อตำหนินี้ได้ ดังนั้นพวกเจ้าจะไม่เพียงต้องรู้ความจริงหลายประการเท่านั้น แต่พวกเจ้ายังต้องปฏิบัติตามความจริงเหล่านั้นด้วยเช่นกัน  นี่คือจุดมุ่งเน้นอันใหญ่หลวงที่สุดที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้  พระเยซูได้ทรงสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามไปมากมายในช่วงเวลาสามสิบสามปีครึ่งของพระองค์  พระองค์ได้ทรงทนทุกข์อย่างใหญ่หลวงยิ่งนักก็เพียงเพราะพระองค์ทรงปฏิบัติตามความจริง ทรงทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่งและใส่พระทัยเฉพาะน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น  นี่เป็นความทุกข์ที่พระองค์คงจะไม่ได้ก้าวผ่านหากพระองค์ทรงรู้ความจริงโดยปราศจากการปฏิบัติตามความจริงนั้น  หากพระเยซูทรงติดตามคำสอนของพวกยิวและทรงติดตามพวกฟาริสีแล้ว พระองค์ก็คงจะไม่ได้ทนทุกข์  เจ้าสามารถเรียนรู้จากกิจการทั้งหลายของพระเยซูว่า ประสิทธิผลของพระราชกิจของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์มาจากความร่วมมือของมนุษย์ และนี่คือบางสิ่งที่พวกเจ้าต้องระลึกรู้  พระเยซูจะได้ทรงทนทุกข์ดังที่พระองค์ได้ทรงทำไปบนกางเขนหรือ หากพระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติตามความจริง?  พระองค์จะได้ทรงสามารถอธิษฐานคำอธิษฐานอันเศร้าโศกเช่นนี้ได้หรือ หากพระองค์มิได้ทรงกระทำไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า?  ดังนั้น พวกเจ้าควรทนทุกข์เพื่อประโยชน์ของการปฏิบัติตามความจริง นี่คือความทุกข์ประเภทหนึ่งที่บุคคลหนึ่งควรก้าวผ่าน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริง เจ้าควรนำมันไปสู่การปฏิบัติ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 425

ในการปฏิบัตินั้น การรักษาพระบัญญัติควรเชื่อมโยงกับการนำความจริงไปปฏิบัติ  ในขณะที่รักษาพระบัญญัติอยู่นั้น คนเราจะต้องปฏิบัติความจริง  เมื่อปฏิบัติความจริง คนเราจะต้องไม่ล่วงละเมิดหลักการทั้งหลายในพระบัญญัติ อีกทั้งไม่กระทำการซึ่งขัดกับพระบัญญัติ  เจ้าจะต้องทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากเจ้า  การรักษาพระบัญญัติและการปฏิบัติความจริงนั้นเชื่อมโยงถึงกัน ไม่ขัดแย้งกัน  ยิ่งเจ้าปฏิบัติความจริงมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นสามารถรักษาแก่นสารของพระบัญญัติมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งเจ้าปฏิบัติความจริงมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าตามที่แสดงออกในพระบัญญัติมากขึ้นเท่านั้น  การปฏิบัติความจริงและการรักษาพระบัญญัติไม่ใช่การกระทำที่ขัดแย้งกัน—การกระทำเหล่านี้เชื่อมโยงถึงกัน  ในปฐมกาล มีเพียงหลังจากที่มนุษย์รักษาพระบัญญัติแล้วเท่านั้น เขาจึงสามารถปฏิบัติความจริงและได้มาซึ่งความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่นี่ไม่ใช่เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้า  พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้เจ้าตั้งใจในการนมัสการพระองค์ ไม่ใช่แค่ประพฤติตัวดีเท่านั้น  อย่างไรก็ดี เจ้าต้องรักษาพระบัญญัติอย่างน้อยที่สุดก็โดยผิวเผิน  หลังจากได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์แล้ว ผู้คนจะหยุดการกบฏและการต่อต้านพระองค์ไปทีละน้อย และจะไม่มีความกังขาใดๆ เกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์อีกต่อไป  นี่เป็นวิธีเดียวที่ผู้คนสามารถยึดปฏิบัติตามแก่นสารของพระบัญญัติได้  ดังนั้น แค่การรักษาพระบัญญัติ โดยปราศจากการปฏิบัติความจริง จึงไร้ประสิทธิภาพ และไม่ได้ประกอบขึ้นเป็นการนมัสการที่แท้จริงต่อพระเจ้า ด้วยเหตุที่เจ้ายังไม่ได้มาซึ่งวุฒิภาวะแท้จริง  การรักษาพระบัญญัติโดยปราศจากความจริงเพียงแต่เป็นเหมือนกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างเคร่งครัดเท่านั้น  ในการทำเช่นนั้น พระบัญญัติจะกลายเป็นกฎหมายของเจ้า ซึ่งจะไม่ช่วยให้เจ้าเติบโตในชีวิต  ในทางตรงกันข้าม พระบัญญัติเหล่านั้นจะกลายเป็นภาระของเจ้า และผูกพันเจ้าอย่างแน่นหนาเสมือนธรรมบัญญัติแห่งภาคพันธสัญญาเดิม เป็นสาเหตุให้เจ้าสูญเสียการทรงปรากฏของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ดังนั้น ด้วยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น เจ้าจึงสามารถรักษาพระบัญญัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเจ้ารักษาพระบัญญัติเพื่อที่จะปฏิบัติความจริง  ขณะที่กำลังรักษาพระบัญญัตินั้น เจ้าจะนำความจริงไปปฏิบัติมากยิ่งขึ้นไปอีก และเมื่อปฏิบัติความจริง เจ้าจะได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกว่า พระบัญญัติมีความหมายที่แท้จริงว่าอย่างไร  จุดประสงค์และความหมายเบื้องหลังการที่พระเจ้าทรงเรียกร้องให้มนุษย์รักษาพระบัญญัติไม่ใช่เพียงเพื่อทำให้เขาปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างที่เขาอาจจินตนาการเท่านั้น แต่นั่นเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตของเขามากกว่า  ขอบข่ายของการเติบโตในชีวิตของเจ้าบ่งบอกถึงระดับซึ่งเจ้าจะสามารถรักษาพระบัญญัติได้  แม้ว่าพระบัญญัติจะมีไว้เพื่อให้มนุษย์รักษา แต่แก่นสารของบัญญัติก็จะกลายเป็นมีความชัดเจนผ่านทางประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์เท่านั้น  คนส่วนมากทึกทักเอาว่าการรักษาพระบัญญัติอย่างดีหมายความว่า พวกเขา “เตรียมตัวพร้อมแล้ว และทั้งหมดที่เหลืออยู่ที่ต้องทำคือการตามให้ทัน”  นี่คือแนวคิดชนิดที่ฟุ้งเฟ้อ และไม่ลงรอยกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  บรรดาผู้ที่กล่าวสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นไม่ปรารถนาจะทำความคืบหน้า และพวกเขาปรารถนาเนื้อหนัง  ช่างไร้สาระ!  นั่นไม่ใช่การรักษาไว้ซึ่งความเป็นจริง!  นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า ที่เพียงแค่ปฏิบัติความจริงโดยปราศจากการรักษาพระบัญญัติอย่างแท้จริง  พวกที่ทำสิ่งนี้คือเหล่าคนพิการ พวกเขาเป็นเสมือนผู้คนที่ขาดขาไปข้างหนึ่ง  เพียงแค่การรักษาพระบัญญัติราวกับยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลาย แต่ยังไม่ครอบครองความจริง—นี่ไม่สามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  เช่นเดียวกับบรรดาผู้ที่ขาดดวงตาไปข้างหนึ่ง ผู้คนที่ทำสิ่งนี้ก็ทนทุกข์จากความพิการรูปแบบหนึ่งเช่นกัน  กล่าวได้ว่า หากเจ้ารักษาพระบัญญัติอย่างดีและได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะมีความจริง กล่าวได้ว่า เจ้าจะได้รับวุฒิภาวะที่แท้จริงแล้ว  หากเจ้าปฏิบัติความจริงที่เจ้าควรปฏิบัติ เจ้าจะรักษาพระบัญญัติด้วยเช่นกัน และสองสิ่งนี้ไม่ขัดแย้งกัน  การปฏิบัติความจริงและการรักษาพระบัญญัติคือสองระบบ ซึ่งทั้งคู่นั้นเป็นส่วนประกอบสำคัญของประสบการณ์ชีวิตของคนเรา  ประสบการณ์ของคนเราควรประกอบไปด้วยการผสมผสานการรักษาพระบัญญัติกับการปฏิบัติความจริงเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ใช่การแบ่งแยก  อย่างไรก็ดี มีทั้งความแตกต่างและความเชื่อมโยงระหว่างสองสิ่งนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักษาพระบัญญัติและการปฏิบัติความจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 426

การเผยแพร่พระบัญญัติในยุคใหม่คือคำพยานต่อข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้คนทั้งหมดในกระแสนี้ พวกเหล่านั้นทุกคนที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าวันนี้ ได้เข้าสู่ยุคใหม่แล้ว  นี่คือจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับพระราชกิจของพระเจ้า รวมทั้งเป็นจุดเริ่มต้นของส่วนสุดท้ายในพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า  พระบัญญัติของยุคใหม่เป็นสัญลักษณ์ว่าพระเจ้าและมนุษย์ได้เข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ และเป็นสัญลักษณ์ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น และทรงปฏิบัติพระราชกิจบนแผ่นดินโลกมากกว่านั้นและยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก  เหมือนดั่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงพระราชกิจท่ามกลางคนอิสราเอลและพระเยซูได้ทรงพระราชกิจท่ามกลางคนยิว  พระบัญญัติเหล่านี้ยังเป็นสัญลักษณ์ว่าผู้คนกลุ่มนี้จะได้รับพระบัญชาจากพระเจ้ามากกว่านี้และยิ่งใหญ่กว่านี้เช่นกัน และจะได้รับการจัดเตรียม ได้รับอาหาร ได้รับการสนับสนุน ได้รับการดูแลเอาใจใส่ และได้รับการคุ้มครองปกป้องโดยพระองค์ในลักษณะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ได้รับการฝึกฝนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงโดยพระองค์มากขึ้นไปอีก และได้รับการจัดการ ได้รับการปลดปล่อยและได้รับการถลุงโดยพระวจนะของพระเจ้า  นัยสำคัญของพระบัญญัติแห่งยุคใหม่นั้นค่อนข้างล้ำลึก  พระบัญญัติเหล่านี้บ่งบอกว่า พระเจ้าจะทรงปรากฏบนแผ่นดินโลกจริงๆ จากที่ซึ่งพระองค์จะทรงพิชิตทั้งจักรวาล เปิดเผยให้เห็นพระสิริทั้งหมดของพระองค์ในร่างมนุษย์  พระบัญญัติเหล่านี้บ่งบอกอีกด้วยว่า พระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงกำลังจะทรงพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นบนแผ่นดินโลก เพื่อที่จะทำให้บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรทุกคนมีความเพียบพร้อม  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าจะทรงสำเร็จลุล่วงทุกสิ่งบนแผ่นดินโลกด้วยพระวจนะ และทรงสำแดงประกาศกฤษฎีกาว่า “พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะเสด็จขึ้นสู่ที่สูงสุดและทรงเป็นที่สรรเสริญ และปวงประชาทั้งผองและชนชาติทั้งมวลจะคุกเข่าลงเพื่อนมัสการพระเจ้า ผู้ทรงยิ่งใหญ่”  แม้ว่าพระบัญญัติของยุคใหม่จะมีไว้เพื่อให้มนุษย์รักษา และแม้การทำเช่นนั้นจะเป็นหน้าที่ของมนุษย์และพันธะของเขา ความหมายที่พระบัญญัติเหล่านี้สื่อถึงนั้นค่อนข้างล้ำลึกมากเกินกว่าที่จะแสดงออกได้อย่างครบถ้วนด้วยถ้อยคำหนึ่งหรือสองคำ  พระบัญญัติของยุคใหม่แทนที่ธรรมบัญญัติของภาคพันธสัญญาเดิมและกฎหมายภาคพันธสัญญาใหม่ตามที่เผยแพร่โดยพระยาห์เวห์และพระเยซู  นี่เป็นบทเรียนที่ลึกซึ้งกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่ผู้คนอาจจินตนาการ  มีนัยสำคัญที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแง่มุมหนึ่งต่อพระบัญญัติของยุคใหม่  กล่าวคือ  พระบัญญัติเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นส่วนต่อประสานระหว่างยุคพระคุณและยุคแห่งราชอาณาจักร  พระบัญญัติของยุคใหม่ยุติหลักปฏิบัติและกฎหมายทั้งหมดของยุคเก่า รวมทั้งหลักปฏิบัติทั้งหมดจากยุคของพระเยซูและหลักปฏิบัติทั้งหลายก่อนหน้ายุคนั้น  พระบัญญัติเหล่านี้นำมนุษย์ไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงยิ่งขึ้น  เปิดโอกาสให้เขาเริ่มต้นการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์ด้วยพระองค์เอง พระบัญญัติเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของเส้นทางของการมีความเพียบพร้อม  ด้วยเหตุนี้ พวกเจ้าจึงควรมีท่าทีที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระบัญญัติของยุคใหม่ และทั้งไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติเหล่านี้อย่างส่งเดชอีกทั้งไม่ดูหมิ่นพระบัญญัติเหล่านี้  พระบัญญัติของยุคใหม่ให้ความสำคัญอย่างหนักแน่นกับประเด็นหนึ่ง ว่ามนุษย์จะต้องนมัสการพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงพระองค์เองแห่งวันนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนบนอบต่อเนื้อแท้ของพระวิญญาณในทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงยิ่งขึ้น  พระบัญญัติเหล่านั้นยังเน้นถึงหลักการซึ่งพระเจ้าจะทรงใช้พิพากษามนุษย์ว่ามีความผิดหรือไม่ก็ชอบธรรมอีกด้วย หลังจากที่พระองค์ได้ทรงสำแดงในฐานะดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม กล่าวคือ  การทำบัญญัตินั้นง่ายกว่าการนำไปปฏิบัติ  จากจุดนี้อาจเห็นได้ว่า หากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม พระองค์ก็ย่อมต้องทรงทำเช่นนั้นโดยผ่านทางพระวจนะและการทรงนำของพระองค์เอง และมนุษย์ไม่สามารถสัมฤทธิ์ความเพียบพร้อมได้โดยวิถีแห่งปัญญาโดยกำเนิดของเขาเองเพียงลำพัง  การที่มนุษย์จะสามารถรักษาพระบัญญัติของยุคใหม่ได้หรือไม่นั้น เกี่ยวข้องกับความรู้ของเขาในพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริง  ดังนั้น การที่เจ้าจะสามารถรักษาพระบัญญัติได้หรือไม่นั้น จึงไม่ใช่คำถามที่จะไขปัญหาได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน  นี่เป็นบทเรียนที่ล้ำลึกมากบทหนึ่งที่ต้องเรียนรู้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักษาพระบัญญัติและการปฏิบัติความจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 427

การปฏิบัติความจริงเป็นเส้นทางหนึ่งซึ่งทำให้ชีวิตของมนุษย์สามารถเติบโตได้  หากพวกเจ้าไม่ปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะถูกทิ้งไว้โดยที่ไม่เหลืออะไรมากไปกว่าทฤษฎีและจะไม่มีชีวิตที่แท้จริง  ความจริงคือสัญลักษณ์ของวุฒิภาวะของมนุษย์ และการที่เจ้าจะปฏิบัติความจริงหรือไม่นั้น เกี่ยวข้องกับการที่เจ้ามีวุฒิภาวะที่แท้จริงหรือไม่  หากเจ้าไม่ปฏิบัติความจริง ไม่กระทำการอย่างชอบธรรม หรือโอนเอนไปมาตามอารมณ์และใส่ใจในเนื้อหนังของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมอยู่ห่างจากการรักษาพระบัญญัติ  นี่คือบทเรียนที่ล้ำลึกที่สุดในบรรดาบทเรียนทั้งหลาย  ในแต่ละยุคนั้น มีความจริงมากมายที่ผู้คนจำเป็นต้องเข้าสู่และเข้าใจ แต่เช่นเดียวกันนั้น ในแต่ละยุคก็มีพระบัญญัติที่แตกต่างซึ่งควบคู่กันไปกับความจริงเหล่านั้น  ความจริงทั้งหลายที่ผู้คนปฏิบัตินั้นเกี่ยวข้องกับยุคที่เฉพาะเจาะจง และพระบัญญัติที่พวกเขารักษาก็เป็นเช่นนั้นด้วย  แต่ละยุคมีความจริงทั้งหลายของมันเองให้ปฏิบัติและมีพระบัญญัติให้รักษา  อย่างไรก็ดี เป้าหมายและผลของการที่มนุษย์ปฏิบัติความจริงนั้นแตกต่างกันอย่างสมน้ำสมเนื้อ โดยขึ้นอยู่กับพระบัญญัติที่หลากหลายซึ่งถูกเผยแพร่โดยพระเจ้า—กล่าวคือ ขึ้นอยู่กับยุคที่แตกต่างกัน  อาจกล่าวได้ว่าพระบัญญัติเหล่านั้นรับใช้ความจริง และความจริงมีอยู่เพื่อคงไว้ซึ่งพระบัญญัติ  หากมีเพียงแค่ความจริง เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในพระราชกิจของพระเจ้าให้พูดถึง  อย่างไรก็ดี มนุษย์สามารถระบุขอบข่ายของแนวโน้มในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยการอ้างอิงพระบัญญัติ และมนุษย์สามารถรู้จักยุคซึ่งพระเจ้าทรงพระราชกิจได้  ในศาสนา มีผู้คนมากมายที่สามารถปฏิบัติความจริงซึ่งได้รับการปฏิบัติโดยผู้คนในยุคธรรมบัญญัติ  อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่มีพระบัญญัติของยุคใหม่ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่สามารถรักษาพระบัญญัติเหล่านั้นได้  พวกเขายังคงถือปฏิบัติวิถีเก่าๆ และยังคงเป็นพวกมนุษย์ในยุคกำเนิดโลก  พวกเขาไม่ได้มีพร้อมด้วยวิธีการใหม่ๆ ของพระราชกิจและไม่สามารถมองเห็นพระบัญญัติของยุคใหม่ได้  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงไม่มีพระราชกิจของพระเจ้า  ราวกับว่าพวกเขาแค่มีเปลือกไข่ว่างเปล่าเท่านั้น หากไม่มีลูกไก่อยู่ภายใน ก็ย่อมไม่มีจิตวิญญาณ  หากจะพูดให้ถูกต้องยิ่งขึ้นก็คือ นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่มีชีวิต  ผู้คนเช่นนั้นยังไม่ได้เข้าสู่ยุคใหม่และได้ล้าหลังอยู่หลายก้าว  ดังนั้น การมีความจริงทั้งหลายจากยุคเก่าๆ แต่ไม่มีพระบัญญัติของยุคใหม่จึงไร้ประโยชน์  พวกเจ้าหลายคนปฏิบัติความจริงของวันนี้แต่ไม่รักษาพระบัญญัติของความจริง  เจ้าจะไม่ได้รับอะไรเลย และความจริงที่เจ้าปฏิบัติก็จะไร้ค่าและไร้ความหมาย และพระเจ้าจะไม่ทรงสรรเสริญเจ้า  การปฏิบัติความจริงจะต้องทำภายในขอบเขตของวิธีการทั้งหลายในพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันจะต้องทำโดยตอบรับพระสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงของวันนี้  หากปราศจากการทำเช่นนั้น ทุกสิ่งจะเป็นโมฆะ เหมือนกับการพยายามตักน้ำโดยใช้ตะกร้าไม้ไผ่  นี่ยังเป็นความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของการเผยแพร่พระบัญญัติของยุคใหม่ด้วยเช่นกัน  หากผู้คนยึดปฏิบัติตามพระบัญญัติ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ควรรู้จักพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงผู้ทรงปรากฏเป็นมนุษย์โดยปราศจากความงุนงงสับสน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนควรจับความเข้าใจหลักการแห่งการยึดปฏิบัติตามพระบัญญัติทั้งหลาย  การยึดปฏิบัติตามพระบัญญัติมิได้หมายถึงการติดตามพระบัญญัติเหล่านั้นโดยส่งเดชหรือโดยตามอำเภอใจ แต่หมายถึงการยึดปฏิบัติตามพระบัญญัติเหล่านั้นด้วยพื้นฐานหนึ่ง ด้วยวัตถุประสงค์หนึ่ง และด้วยหลักการทั้งหลาย  สิ่งแรกที่ต้องสัมฤทธิ์ก็คือการให้นิมิตของเจ้ามีความชัดเจน  หากเจ้ามีความเข้าใจละเอียดถี่ถ้วนในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเวลาปัจจุบัน และหากเจ้าเข้าสู่วิธีการของพระราชกิจของวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนในการรักษาพระบัญญัติโดยธรรมชาติ  หากวันนั้นมาถึงเมื่อเจ้ามองทะลุถึงแก่นสารของพระบัญญัติของยุคใหม่และเจ้าสามารถรักษาพระบัญญัติได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้ว  นี่คือนัยสำคัญที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของการปฏิบัติความจริงและการรักษาพระบัญญัติ  การที่เจ้าจะสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าล่วงรู้แก่นสารของพระบัญญัติของยุคใหม่อย่างไร  พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะปรากฏต่อมนุษย์อย่างต่อเนื่อง และพระเจ้าจะทรงพึงประสงค์จากมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ  ดังนั้น ความจริงทั้งหลายซึ่งมนุษย์นำไปปฏิบัติอย่างแท้จริงจะมีจำนวนที่มากขึ้น และจะกลายเป็นยิ่งใหญ่ขึ้น และผลของการรักษาพระบัญญัติจะกลายเป็นล้ำลึกยิ่งขึ้น  ดังนั้น พวกเจ้าจะต้องปฏิบัติความจริงและรักษาพระบัญญัติในเวลาเดียวกัน  ไม่มีผู้ใดควรละเลยเรื่องนี้ ปล่อยให้ความจริงใหม่และพระบัญญัติใหม่ๆ เริ่มต้นขึ้นพร้อมกันในยุคใหม่นี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักษาพระบัญญัติและการปฏิบัติความจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 428

ผู้คนมากมายสามารถพูดถึงการปฏิบัติได้นิดหน่อย และพวกเขาก็สามารถพูดถึงความประทับใจส่วนตัวของพวกเขา แต่ส่วนใหญ่แล้วนั่นคือความกระจ่างที่ได้รับจากคำพูดของผู้อื่น  นั่นไม่รวมถึงสิ่งใดจากการปฏิบัติส่วนตัวของพวกเขาเองเลย อีกทั้งนั่นก็ไม่ได้รวมถึงสิ่งที่พวกเขามองเห็นจากประสบการณ์ของพวกเขาด้วย  เราได้ชำแหละประเด็นนี้ไปแล้วก่อนหน้านี้ จงอย่าได้คิดว่าเราไม่รู้อะไรเลย  เจ้าเป็นเพียงเสือกระดาษ แต่เจ้าพูดถึงการพิชิตซาตาน การเป็นคำพยานแห่งชัยชนะ และการใช้ชีวิตตามพระฉายาของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  นี่ล้วนไร้สาระสิ้นดี!  เจ้าคิดหรือว่า พระวจนะทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสในวันนี้มีไว้ให้เจ้าเลื่อมใส?  ปากของเจ้าพูดถึงการละทิ้งตัวตนเดิมของเจ้าและการนำความจริงมาปฏิบัติ แต่มือของเจ้ายังดำเนินความประพฤติอื่น และหัวใจของเจ้ายังคิดวางแผนกลอุบายอื่น—เจ้าเป็นบุคคลประเภทใดกัน?  เหตุใดหัวใจและมือของเจ้าจึงไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกัน?  การเทศนามากมายได้กลายเป็นคำพูดว่างเปล่า นี่ไม่น่าหัวใจสลายหรอกหรือ?  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติได้ นั่นก็พิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่หนทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ เจ้ายังไม่ได้มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวเจ้า และเจ้ายังไม่ได้รับการทรงนำของพระองค์  หากเจ้ากล่าวว่าเจ้าเพียงมีความสามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้เท่านั้น แต่ไร้ความสามารถที่จะนำมาปฏิบัติได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือบุคคลที่ไม่รักความจริง  พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อช่วยบุคคลประเภทนี้ให้รอด  พระเยซูทรงทนทุกข์ความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่งเมื่อพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อช่วยพวกคนบาปให้รอด เพื่อช่วยคนยากไร้ให้รอด และเพื่อช่วยบรรดาผู้ที่ถ่อมใจให้รอด  การตรึงกางเขนของพระองค์ทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป  หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรจากไปทันทีที่เจ้าสามารถทำได้ จงอย่าได้อ้อยอิ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าในฐานะคนเอารัดเอาเปรียบ  ผู้คนมากมายถึงขั้นพบว่ายากที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ทำสิ่งทั้งหลายที่ต้านทานพระเจ้าอย่างชัดเจน  ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังร้องขอความตายหรอกหรือ?  พวกเขาสามารถพูดถึงการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้อย่างไรกัน?  พวกเขาจะมีความอาจหาญที่จะมองพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่?  การกินอาหารที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่เจ้า การทำสิ่งคดโกงที่ต่อต้านพระเจ้า การมุ่งร้าย การมีความเคลือบแฝง และการมีกลอุบาย แม้ขณะที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เจ้าชื่นชมพระพรที่พระองค์ประทานให้แก่เจ้า—เจ้าไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นเผาไหม้มือของเจ้า ตอนที่เจ้ารับสิ่งเหล่านั้นไว้หรอกหรือ?  เจ้าไม่รู้สึกว่าหน้าของเจ้าแดงขึ้นมาหรอกหรือ?  เมื่อได้ทำบางสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้าไปแล้ว เมื่อได้ดำเนินกลอุบายที่จะ “เป็นอันธพาล” ไปแล้ว เจ้าไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือ?  หากเจ้าไม่รู้สึกสิ่งใดเลย เจ้าจะสามารถพูดถึงอนาคตอันใดได้อย่างไรเล่า?  อนาคตสำหรับตัวเจ้านั้นมันไม่มีไปนานมาแล้ว ดังนั้น ความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าอันใดหรือที่เจ้ายังคงมีได้?  หากเจ้ากล่าวบางสิ่งที่ไร้ยางอาย แต่ไม่รู้สึกถึงการตำหนิใดเลย และหัวใจของเจ้าไม่มีความตระหนักรู้ เช่นนั้นไม่หมายความว่าเจ้าได้ถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้งแล้วหรอกหรือ?  การพูดและการกระทำตามอำเภอใจและอย่างไร้การยับยั้งชั่งใจนั้นได้กลายมาเป็นธรรมชาติของเจ้า เจ้าจะมีวันสามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร?  เจ้าจะสามารถเดินไปทั่วโลกได้อย่างไร?  ใครหรือที่จะถูกเจ้าโน้มน้าวให้เชื่อ?  ผู้ที่รู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของเจ้าจะรักษาระยะห่างของพวกเขา  นี่ไม่ใช่การลงโทษของพระเจ้าหรอกหรือ?  โดยรวมแล้ว หากมีเพียงคำพูดและไม่มีการปฏิบัติ ก็ไม่มีการเติบโต  แม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจกำลังทรงพระราชกิจกับเจ้าในขณะที่เจ้าพูด หากเจ้าไม่ปฏิบัติ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงหยุดพระราชกิจ  หากเจ้ายังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ จะสามารถมีการพูดถึงอนาคตหรือการมอบการเป็นอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้าต่อพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร?  เจ้าเพียงสามารถพูดถึงการถวายการเป็นอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้า แต่เจ้ายังไม่ได้ให้ความรักแท้จริงแก่พระเจ้า  ทั้งหมดที่พระองค์ได้รับจากเจ้าคือการอุทิศด้วยวาจาของเจ้า พระองค์ไม่ทรงได้รับความตั้งใจของเจ้าที่จะปฏิบัติความจริง  นี่อาจเป็นวุฒิภาวะที่จริงแท้ของเจ้าได้หรือไม่?  หากเจ้าจำต้องดำเนินต่อไปเช่นนี้ เมื่อใดเล่าที่เจ้าจะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า?  เจ้าไม่รู้สึกวิตกกังวลกับอนาคตที่มืดมนและหม่นหมองของเจ้าหรือไร?  เจ้าไม่รู้สึกว่าพระเจ้าทรงสูญสิ้นความหวังในตัวเจ้าไปแล้วหรือไร?  เจ้าไม่รู้หรือว่าพระเจ้าทรงพึงปรารถนาที่จะทำให้ผู้คนใหม่ๆ จำนวนมากขึ้นมีความเพียบพร้อม?  สิ่งเก่าๆ จะสามารถยืนตำแหน่งไว้ได้หรือ?  เจ้าไม่ใช่กำลังให้ความสนใจกับพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ นั่นก็คือ เจ้ากำลังรอวันพรุ่งนี้อยู่หรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่บรรลุความรอดคือผู้ที่เต็มใจปฏิบัติตามความจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 429

การยกชูพระวจนะของพระเจ้าและสามารถอธิบายพระวจนะได้อย่างมั่นใจนั้น มิได้หมายความว่าเจ้าครองความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายมิได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าจินตนาการ  เจ้าครองความเป็นจริงหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจ้ากล่าว ทว่าขึ้นอยู่กับการที่เจ้าใช้ชีวิตต่างหาก  เฉพาะเมื่อพระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นชีวิตของเจ้าและเป็นสิ่งที่เจ้าแสดงออกตามธรรมชาติแล้วเท่านั้น จึงสามารถกล่าวว่าเจ้ามีความเป็นจริง และเมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะนับได้ว่าเจ้าได้รับความเข้าใจที่แท้จริงและวุฒิภาวะจริงแล้ว  เจ้าต้องมีความสามารถที่จะทานทนต่อการตรวจสอบเป็นช่วงเวลาอันยาวนาน และเจ้าต้องมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  นี่ต้องไม่ใช่เป็นเพียงการแสดงท่าทางเท่านั้น แต่ต้องหลั่งไหลออกมาจากเจ้าอย่างเป็นธรรมชาติ  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะครองความเป็นจริงอย่างแท้จริง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจึงจะได้รับชีวิตมาแล้ว  เราขอใช้ตัวอย่างจากบททดสอบพวกคนปรนนิบัติซึ่งทุกคนคุ้นเคยกันดีว่า ผู้ใดก็สามารถเสนอทฤษฎีอันเลิศเลอสูงสุดในเรื่องเกี่ยวกับพวกคนปรนนิบัติได้ และทุกคนมีความเข้าใจหัวเรื่องนั้นพอสมควรเลยทีเดียว พวกเขากล่าวถึงเรื่องนั้น และแต่ละวาทะต่างก็เหนือกว่าครั้งที่แล้ว ราวกับเป็นการแข่งขัน  อย่างไรก็ตาม หากมนุษย์ไม่ได้ก้าวผ่านการทดสอบครั้งใหญ่ เช่นนั้นก็เป็นการลำบากยากเย็นมากที่จะกล่าวว่าเขามีคำพยานที่ดีมาให้  กล่าวสั้นๆ ก็คือ การใช้ชีวิตของมนุษย์ยังขาดพร่องอย่างมาก ตรงข้ามกับความเข้าใจของเขาอย่างสิ้นเชิง  ดังนั้น นี่จึงยังไม่กลายเป็นวุฒิภาวะจริงของมนุษย์ และนี่ยังไม่ใช่ชีวิตของมนุษย์  เนื่องจากความเข้าใจของมนุษย์ยังไม่ได้รับการนำพาไปสู่ความเป็นจริง วุฒิภาวะของเขายังคงเป็นดั่งปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นทราย ซึ่งคลอนแคลนและจวนเจียนจะพังทลายลงมา  มนุษย์ครองความเป็นจริงน้อยนิดเกินไป แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะพบความเป็นจริงอันใดในมนุษย์  มีความเป็นจริงน้อยนิดเกินไปที่กำลังหลั่งไหลออกมาจากมนุษย์อย่างเป็นธรรมชาติ และความเป็นจริงทั้งหมดที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตล้วนถูกบังคับมา  นี่เป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่ามนุษย์ไม่ได้ครองความเป็นจริงอันใดเลย  ถึงแม้ผู้คนจะกล่าวอ้างว่าความรักที่พวกเขามีต่อพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่นี่เป็นเพียงสิ่งที่พวกเขากล่าวก่อนที่พวกเขาจะได้เผชิญกับการทดสอบอันใด  ในวันหนึ่ง เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับการทดสอบอย่างฉับพลันทันใด สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาพูดถึงก็จะไม่อยู่ในขั้นตอนเดียวกันกับความเป็นจริงอีกเช่นเคย และนี่จะพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่ามนุษย์ไม่ได้ครองความเป็นจริงอันใดเลย  กล่าวได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับสิ่งซึ่งไม่ตรงกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า และสิ่งที่พึงประสงค์ให้เจ้าวางตัวเองลงเสียก่อน สิ่งเหล่านั้นคือการทดสอบของเจ้า  ก่อนที่น้ำพระทัยของพระเจ้าได้รับการเปิดเผยออกมา ทุกคนก้าวผ่านบททดสอบอันเข้มงวดกวดขัน และการทดสอบอันมหาศาล  เจ้าสามารถหยั่งลึกถึงการนี้หรือไม่?  เมื่อพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทดสอบผู้คน พระองค์ทรงเปิดโอกาสเสมอที่จะให้พวกเขาเลือกตัวเลือกของตัวเองก่อนที่ความเป็นจริงจะได้รับการเปิดเผย  นี่หมายความว่าเมื่อพระเจ้าทรงให้มนุษย์ตกอยู่ภายใต้การทดสอบ พระองค์จะไม่มีวันบอกความจริงกับเจ้า นี่คือลักษณะที่ใช้ตีแผ่ผู้คน  นี่คือหนึ่งหนทางที่พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์จนเสร็จสิ้น เพื่อทรงมองเห็นว่าเจ้ารู้จักพระเจ้าของวันนี้หรือไม่ รวมถึงว่าเจ้าครองความเป็นจริงอันใดหรือไม่  เจ้าเป็นอิสระ จากความกังขาทั้งหลายเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  เจ้าจะสามารถตั้งมั่นอย่างแท้จริงหรือไม่ เมื่อการทดสอบครั้งใหญ่มาถึงเจ้า?  ผู้ใดกล้าพูดว่า “ข้าพเจ้ารับประกันว่าจะไม่มีปัญหาอันใด”?  ผู้ใดกล้ายืนยันว่า “คนอื่นอาจจะมีข้อกังขา แต่ข้าพเจ้าจะไม่มีวัน”?  เช่นเดียวกับตอนที่เปโตรตกอยู่ภายใต้การทดสอบ เขามักจะอวดตัวไปก่อนที่ความจริงจะได้ถูกเปิดเผยออกมาเสมอ  นี่ไม่ใช่ข้อตำหนิส่วนบุคคลที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเปโตร นี่เป็นความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวงที่สุดที่มนุษย์ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ ณ ปัจจุบัน  หากเราจะไปเยี่ยมเยียนสถานที่บางแห่ง หรือไปเยี่ยมเยียนพี่น้องชายหญิงบางคนเพื่อดูว่าพวกเจ้ามีความเข้าใจอย่างไรเกี่ยวกับพระราชกิจในปัจจุบันของพระเจ้า แน่นอนว่า พวกเจ้าคงจะสามารถพูดได้มากมายเกี่ยวกับความรู้ของเจ้า และคงจะดูเหมือนว่าเจ้าไม่มีข้อกังขาอันใดทั้งสิ้น  หากเราจะถามเจ้าว่า “เจ้าสามารถปักใจเชื่อได้จริงไหมว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจในปัจจุบันด้วยพระองค์เอง?  โดยปราศจากข้อกังขาอันใดเลยหรือ?”  แน่นอนที่เจ้าคงตอบว่า “พระราชกิจได้รับการทรงปฏิบัติโดยพระวิญญาณของพระเจ้าอย่างปราศจากข้อกังขาอันใดทั้งสิ้น”  ทันทีที่เจ้าให้คำตอบเช่นนั้น แน่นอนว่าเจ้าคงไม่รู้สึกกังขาเลยแม้แต่น้อย และเจ้าคงจะถึงขั้นรู้สึกพอใจมากทีเดียวเสียด้วยซ้ำ ด้วยคิดว่าเจ้าได้รับความเป็นจริงเพิ่มขึ้นอีกหน่อยแล้ว  พวกที่มีแนวโน้มที่จะเข้าใจสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ คือผู้คนที่ครองความเป็นจริงน้อยกว่า ยิ่งคนเราคิดว่าเราได้รับมามากขึ้นเท่าไร คนเราก็จะยิ่งสามารถตั้งมั่นได้น้อยลงเท่านั้นเมื่อเผชิญหน้ากับการทดสอบทั้งหลาย วิบัติจงมีแก่ผู้ที่โอหังและหยิ่งผยอง วิบัติจงมีแก่ผู้ที่ไม่มีความรู้ใดเลยเกี่ยวกับตนเอง ผู้คนเช่นนี้เชี่ยวชาญการจำนรรจา แต่ทว่าถึงเวลาปฏิบัติตามวาจากลับไม่เอาไหน กับสัญญาณเล็กน้อยที่สุดที่ส่อว่าจะเกิดปัญหา ผู้คนเหล่านี้ก็เริ่มที่จะมีความคลางแคลงใจ และความคิดที่จะล้มเลิกก็แอบย่องเข้ามาในจิตใจของพวกเขา  พวกเขาไม่ได้ครองความเป็นจริงอันใด พวกเขาแค่มีทฤษฎีที่อยู่เหนือศาสนา โดยปราศจากความเป็นจริงอันใดที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ในตอนนี้  เรารู้สึกขยะแขยงที่สุดกับพวกที่เพียงแต่พูดถึงทฤษฎีโดยปราศจากการครองความเป็นจริงอันใด  พวกเขาโห่ร้องสุดเสียงขณะกำลังดำเนินงานของพวกเขาให้เสร็จสิ้น แต่ทันทีที่พวกเขาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง พวกเขาก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า  นี่ไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าผู้คนเหล่านี้ไม่มีความเป็นจริงอันใด?  ไม่ว่าคลื่นลมจะกระหน่ำแรงเพียงใด หากเจ้ายังคงยืนหยัดต่อไปได้โดยไม่ปล่อยให้สักเศษเสี้ยวของความคลางแคลงใจเข้ามาสู่จิตใจของเจ้า และสามารถตั้งมั่นและยังคงปราศจากการปฏิเสธ แม้แต่ในยามที่ไม่มีใครอื่นเหลืออยู่เลย เช่นนั้นแล้วก็จะนับได้ว่าเจ้ามีความเข้าใจอย่างแท้จริง และครองความเป็นจริงอย่างจริงแท้  หากเจ้าหันเหไปตามหนทางใดก็ตามที่กระแสลมพัดพาไป—หากเจ้าคล้อยตามคนหมู่มาก และเรียนรู้ที่จะพูดตามวาทะของผู้อื่นเหมือนนกแก้วนกขุนทอง—เมื่อนั้น ไม่ว่าเจ้าอาจจะมีวาทศิลป์เพียงใด แต่จะไม่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเจ้าครองความเป็นจริง  ฉะนั้นเอง เราจึงขอแนะนำว่าเจ้าอย่าด่วนโห่ร้องวาจาอันว่างเปล่าออกมา  เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้ากำลังจะทรงทำอะไร?  จงอย่าประพฤติเช่นเปโตร หาไม่เจ้าจะนำความอับอายมาสู่ตนเอง และสูญเสียความสามารถที่จะเชิดหน้าชูตาตนเองได้อีกต่อไป นั่นจะไม่ส่งผลดีอันใดต่อใคร  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีวุฒิภาวะที่แท้จริง  ถึงแม้ว่าพระเจ้าได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจไปแล้วอย่างใหญ่หลวง ทว่าพระองค์มิได้ทรงนำพาความเป็นจริงลงมาสู่ผู้คน กล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ พระองค์ไม่เคยทรงตีสอนผู้ใดเป็นส่วนตัว  ผู้คนบางคนถูกตีแผ่ไปแล้วโดยการทดสอบเช่นนั้น โดยที่มือบาปของพวกเขายื่นไกลออกไปทุกที ด้วยคิดว่าเป็นการง่ายที่จะชนะพระเจ้า พวกเขาคิดว่าพวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ  เนื่องจากพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะทนทานได้แม้กระทั่งการทดสอบจำพวกนี้ การทดสอบที่ท้าทายกว่านี้อย่างเช่นการครองความเป็นจริงย่อมไม่ต้องไปถามพวกเขาเลย  ใช่ว่าพวกเขาแค่กำลังพยายามหลอกพระเจ้าหรือไม่?  การครองความเป็นจริงไม่ใช่สิ่งที่แสร้งทำได้ อีกทั้งความเป็นจริงก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถบรรลุได้จากการรู้จักมัน ทว่าขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้า รวมถึงการที่เจ้าสามารถต้านทานการทดสอบทั้งสิ้นได้หรือไม่  เจ้าเข้าใจหรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะการนำความเป็นจริงมาปฏิบัติเท่านั้นที่เป็นการครองความเป็นจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 430

พระเจ้าไม่ได้ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนเพียงแต่มีความสามารถในการพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริง นั่นคงจะง่ายเกินไปไม่ใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสถึงการเข้าสู่ชีวิต?  เหตุใดพระองค์จึงทรงพูดคุยเกี่ยวกับการแปลงสภาพ?  หากผู้คนมีความสามารถเพียงแค่การพูดคุยอันว่างเปล่าเกี่ยวกับความเป็นจริง เมื่อนั้นพวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์การแปลงสภาพในอุปนิสัยของพวกเขาได้อย่างไร?  ทหารที่ดีแห่งราชอาณาจักรไม่ได้รับการฝึกอบรมให้เป็นกลุ่มผู้คนที่เพียงแค่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริงหรืออวดตัวได้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาได้รับการฝึกอบรมให้ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าตลอดเวลา เพื่อที่จะยังคงมีใจเด็ดเดี่ยวต่อไป ไม่ว่าจะเผชิญกับความพลั้งพลาดอันใด และดำเนินชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ และไม่กลับคืนสู่ทางโลก  นี่คือความเป็นจริงที่พระเจ้าตรัส นี่คือข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  ฉะนั้น อย่ามองว่าความเป็นจริงที่พระเจ้าตรัสนั้นเรียบง่ายเกินไป  แค่ความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นไม่เทียบเท่ากับการครองความเป็นจริง  เช่นนั้นไม่ใช่วุฒิภาวะของมนุษย์—นั่นเป็นพระคุณของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ไม่มีส่วนร่วมสนับสนุนอันใดเลย  แต่ละบุคคลต้องสู้ทนความทุกข์ของเปโตร และยิ่งกว่านั้นคือ ครองสง่าราศีของเปโตรที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตหลังจากที่พวกเขาได้รับพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว  การนี้เท่านั้นจึงสามารถเรียกได้ว่าความเป็นจริง  จงอย่าคิดว่าเจ้าครองความเป็นจริงเพียงเพราะว่าเจ้าสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริงได้  เพราะนั่นคือเหตุผลวิบัติ ความคิดเช่นนั้นไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่มีนัยสำคัญแท้จริงอันใดเลย  จงอย่ากล่าวสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นในอนาคต—จงดับคำกล่าวทั้งหลายเช่นนั้นเสียให้สิ้น!  ผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดที่มีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าคือพวกผู้ไม่เชื่อ พวกเขาไม่มีความรู้ที่เป็นจริงอันใด  นับประสาอะไรที่จะมีวุฒิภาวะที่เป็นจริงอันใด  พวกเขาเป็นผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันซึ่งขาดความเป็นจริง  อีกนัยหนึ่งคือ คนเหล่านั้นทั้งหมดที่ดำเนินชีวิตอยู่ภายนอกแก่นแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้าคือผู้ไม่เชื่อ  พวกที่ผู้คนถือว่าเป็นผู้ไม่เชื่อคือสัตว์ร้ายในสายพระเนตรของพระเจ้า และพวกที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นผู้ไม่เชื่อคือผู้คนที่ไม่มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา  ดังนั้นเอง จึงกล่าวได้ว่าพวกที่ไม่ได้ครองความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และผู้ที่ล้มเหลวต่อการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าก็คือผู้ไม่เชื่อ  เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือการทำให้ทุกคนใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์—ไม่ใช่แค่ให้ทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริง แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือทำให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตตามความเป็นจริงจากพระวจนะของพระองค์  ความเป็นจริงที่มนุษย์ล่วงรู้นั้นผิวเผินเกินไป มันไม่มีคุณค่าอันใดเลย และไม่สามารถทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงได้  นั่นต่ำต้อยเกินไป และไม่ควรค่าที่จะพาดพิงถึงด้วยซ้ำ  นั่นขาดพร่องเกินไป และต่ำกว่ามาตรฐานแห่งข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามากเกินไป  พวกเจ้าแต่ละคนจะต้องตกอยู่ภายใต้การตรวจสอบครั้งใหญ่ เพื่อดูว่าผู้ใดท่ามกลางพวกเจ้าที่เพียงแต่รู้วิธีพูดคุยเกี่ยวกับความเข้าใจของเจ้า โดยที่ไม่มีความสามารถที่จะชี้ชัดถึงเส้นทางได้ รวมถึงเพื่อค้นพบว่าผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่เป็นชิ้นขยะที่ไร้ประโยชน์  จงจดจำการนี้ไว้นับจากนี้เป็นต้นไป!  จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับความรู้อันว่างเปล่า จงพูดคุยเกี่ยวกับเส้นทางแห่งการปฏิบัติเท่านั้นและพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริงเท่านั้น  การเปลี่ยนผ่านจากความรู้ที่เป็นจริงไปสู่การปฏิบัติที่แท้จริง และจากนั้นก็เป็นการเปลี่ยนผ่านจากการปฏิบัติไปสู่การใช้ชีวิตที่เป็นจริง  จงอย่าสั่งสอนผู้อื่นและอย่าพูดคุยเกี่ยวกับความรู้ที่เป็นจริง  หากความเข้าใจของเจ้าคือเส้นทางหนึ่ง เช่นนั้นแล้วก็จงปล่อยคำพูดของเจ้าออกมาอย่างอิสระ แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น ก็โปรดปิดปากของเจ้าและหยุดพูดคุยเสีย!  สิ่งที่เจ้าพูดนั้นไร้ประโยชน์  เจ้าพูดถึงความเข้าใจเพื่อที่จะหลอกลวงพระเจ้า และทำให้ผู้อื่นอิจฉาเจ้า  นั่นไม่ใช่ความทะเยอทะยานของเจ้าหรอกหรือ?  เจ้าไม่ได้จงใจหลอกผู้อื่นเล่นหรอกหรือ?  มีคุณค่าอันใดในการนี้บ้างหรือไม่?  หากเจ้าพูดคุยเกี่ยวกับความเข้าใจหลังจากที่เจ้าได้รับประสบการณ์แล้ว เจ้าก็จะไม่ถูกมองว่ากำลังอวดตัว  มิฉะนั้นแล้ว เจ้าก็คือใครบางคนที่พ่นคำพูดอันโอหังออกมา  มีหลายสิ่งหลายอย่างในประสบการณ์จริงของเจ้า ที่เจ้าไม่สามารถเอาชนะได้ และเจ้าไม่สามารถกบฏต่อเนื้อหนังของเจ้าเองได้  เจ้ากำลังทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการเสมอ โดยไม่เคยทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า—ทว่าเจ้ายังมีหน้ามาพูดคุยเกี่ยวกับความเข้าใจในเชิงทฤษฎี  เจ้าช่างไร้ความละอาย!  เจ้ายังหาญกล้าพอที่จะมาพูดถึงความเข้าใจของเจ้าต่อพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าช่างไร้ความละอายอะไรเช่นนี้!  การกล่าวสำนวนโวหารและการอวดตัวได้กลายเป็นธรรมชาติวิสัยของเจ้า และเจ้าได้กลายเป็นเคยชินแล้วกับการทำเช่นนั้น  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าปรารถนาที่จะพูด เจ้าก็ทำเช่นนั้นอย่างง่ายดาย ราบรื่น แต่เมื่อมาถึงการปฏิบัติ เจ้าหลงระเริงอยู่กับความหรูหราอลังการ นี่ไม่ใช่หนทางหนึ่งที่จะหลอกผู้อื่นหรอกหรือ?  เจ้าอาจมีความสามารถที่จะใช้เพทุบายกับพวกมนุษย์ แต่พระเจ้านั้นไม่อาจทรงถูกหลอกลวงได้  พวกมนุษย์ไม่ตระหนักรู้และไม่มีวิจารณญาณ แต่พระเจ้าทรงจริงจังเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ และพระองค์จะไม่ทรงละเว้นเจ้า  บรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าอาจจะให้การสนับสนุนเจ้า ด้วยการสรรเสริญความเข้าใจของเจ้า และเลื่อมใสเจ้า แต่หากเจ้าไม่ได้ครองความเป็นจริงเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ทรงละเว้นเจ้า  บางทีพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงจะไม่แสวงหาความผิดของเจ้า แต่พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงเพิกเฉยต่อเจ้า และนั่นจะลำบากยากเย็นพอแล้วที่เจ้าจะทนรับ เจ้าเชื่อเรื่องนี้หรือไม่?  จงพูดคุยให้มากขึ้นเกี่ยวกับความเป็นจริงแห่งการปฏิบัติ เจ้าได้ลืมไปเรียบร้อยแล้วหรือยัง?  จงพูดคุยให้มากขึ้นเกี่ยวกับเส้นทางแห่งการปฏิบัติ เจ้าได้ลืมไปเรียบร้อยแล้วหรือยัง?  “จงเสนอทฤษฎีอันสูงส่งเลิศเลอทั้งหลายและการพูดคุยฟุ้งเฟ้อไร้คุณค่าให้น้อยลง  เป็นการดีที่สุดที่จะเริ่มการปฏิบัติโดยเริ่มเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย”  เจ้าได้ลืมวจนะเหล่านี้ไปแล้วหรือไร?  เจ้าไม่เข้าใจเลยหรือ?  เจ้าไม่มีการจับใจความน้ำพระทัยของพระเจ้าเลยหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะการนำความเป็นจริงมาปฏิบัติเท่านั้นที่เป็นการครองความเป็นจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 431

พวกเจ้าควรจะเรียนรู้บทเรียนต่างๆ ที่เป็นจริงยิ่งขึ้น  การพูดอันว่างเปล่าและฟังดูสูงส่งที่ผู้คนชื่นชมนั้นไม่มีความจำเป็น  เมื่อพูดถึงความรู้ ความรู้ของแต่ละคนนั้นสูงส่งยิ่งกว่าความรู้ของคนก่อนหน้า แต่พวกเขายังคงไม่มีเส้นทางปฏิบัติ  มีกี่คนที่เข้าใจหลักธรรมแห่งการปฏิบัติ?  มีกี่คนที่ได้เรียนรู้บทเรียนที่แท้จริง?  ผู้ใดสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความเป็นจริงได้?  การสามารถพูดถึงความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีวุฒิภาวะที่แท้จริง  เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าเจ้าเกิดมาฉลาด ว่าเจ้ามีพรสวรรค์  หากเจ้าไม่สามารถชี้ให้เห็นเส้นทาง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมไม่เกิดผลลัพธ์ และเจ้าจะเป็นขยะอันไร้ค่า!  เจ้าไม่ได้เสแสร้งอยู่หรอกหรือหากเจ้าไม่สามารถพูดสิ่งใดเกี่ยวกับเส้นทางปฏิบัติอันแท้จริงได้?  เจ้าไม่ได้กำลังหลอกลวงอยู่หรอกหรือหากเจ้าไม่สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่แท้จริงของเจ้าเองแก่ผู้อื่น อันเป็นการมอบบทเรียนที่พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ของเจ้าหรือให้เส้นทางที่พวกเขาสามารถติดตามได้แก่พวกเขา?  เจ้าไม่ใช่นักแอบอ้างหรอกหรือ?  เจ้ามีคุณค่าอันใด?  บุคคลเช่นนี้ทำได้เพียงแสดงบทบาทของ “ผู้คิดค้นทฤษฎีสังคมนิยม” เท่านั้น ไม่ใช่ “ผู้มีคุณูปการในการช่วยให้เกิดลัทธิสังคมนิยม”  การไม่มีความเป็นจริงคือการไม่มีความจริง  การไม่มีความเป็นจริงคือการไม่มีอะไรดี  การไม่มีความเป็นจริงคือการเป็นซากศพเดินได้  การไม่มีความเป็นจริงคือการเป็น “นักคิดลัทธิมาร์กซ์-เลนิน” โดยไม่มีค่าอ้างอิง  เราขอให้เจ้าแต่ละคนหยุดพูดเรื่องทฤษฎีและพูดถึงบางสิ่งที่เป็นจริง บางสิ่งที่แท้และมีแก่นสาร  ศึกษา “ศิลปะสมัยใหม่” บ้าง พูดสิ่งที่เป็นจริง สร้างคุณูปการที่แท้จริง และมีจิตวิญญาณแห่งการอุทิศตนบ้าง  จงเผชิญหน้าความเป็นจริงในยามที่เจ้าพูด  อย่าปล่อยใจไปกับการพูดที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและเกินจริงเพื่อทำให้ผู้คนรู้สึกสุขใจหรือผุดนั่งขึ้นมาสนใจเจ้า  คุณค่าในการนั้นอยู่ที่ใด?  การทำให้ผู้คนปฏิบัติต่อเจ้าอย่างอบอุ่นนั้นมีประโยชน์อันใด?  จง “มีศิลปะ” ในวาทะของเจ้าสักนิด จงเป็นธรรมในการประพฤติของเจ้าให้มากขึ้นสักหน่อย มีเหตุผลในการที่เจ้าจัดการสิ่งต่างๆ ให้มากขึ้นอีกนิด ทำให้สิ่งที่เจ้าพูดสัมพันธ์กับชีวิตจริงให้มากขึ้นอีกหน่อย จงคิดที่จะนำประโยชน์มาสู่พระนิเวศของพระเจ้าในทุกการกระทำของเจ้า จงฟังมโนธรรมของเจ้าเมื่อเจ้าใช้อารมณ์ จงอย่าตอบแทนความใจดีมีเมตตาด้วยความเกลียดชังหรืออกตัญญูต่อความใจดีมีเมตตา และจงอย่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด หาไม่แล้ว เจ้าจะกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี  เมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า จงตั้งใจเชื่อมโยงพระวจนะเข้ากับความเป็นจริงให้มากขึ้น และเมื่อเจ้าสามัคคีธรรม ก็จงพูดถึงสิ่งที่เป็นจริงให้มากขึ้น  จงอย่าถือดี  การนี้จะไม่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  ในปฏิสัมพันธ์ที่เจ้ามีกับผู้อื่น จงยอมผ่อนปรนให้มากขึ้นอีกนิด โอนอ่อนอีกหน่อย เอื้ออารีอีกนิด และจงเรียนรู้จาก “จิตวิญญาณของอัครมหาเสนาบดี”[ก]  เมื่อเจ้ามีความคิดที่ไม่ดี จงฝึกฝนการละทิ้งเนื้อหนังให้มากขึ้น  เมื่อเจ้าทำงาน จงพูดถึงเส้นทางที่เป็นจริงให้มากขึ้นและไม่ทำตัวสูงส่งเกินไป มิฉะนั้นสิ่งที่เจ้าพูดจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่อาจบรรลุถึงได้  จงลดความสุขสำราญ หมั่นสร้างคุณูปการ—แสดงจิตวิญญาณแห่งการอุทิศตนที่ไม่เห็นแก่ตัวเองของเจ้า  จงคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าให้มากขึ้น ฟังเสียงมโนธรรมของเจ้าให้มากขึ้น มีสติมากขึ้น และจงอย่าลืมว่าพระเจ้าตรัสกับพวกเจ้าอย่างอดทนและจริงจังจริงใจเพียงไรในทุกๆ วัน  จงอ่าน “กาลานุกรมเก่าแก่” ให้บ่อยขึ้น อธิษฐานให้มากขึ้นและสามัคคีธรรมให้บ่อยขึ้น เลิกสับสนเช่นนั้น แสดงสำนึกให้เห็นบ้างและมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเสียบ้าง  เมื่อมือที่เปี่ยมบาปของเจ้ายื่นออกไป จงดึงมันกลับ  อย่าปล่อยให้มันเอื้อมไปไกลนัก ไม่มีประโยชน์อันใด และสิ่งที่เจ้าได้จากพระเจ้าก็จะมีแต่คำสาปแช่ง ดังนั้น จงระมัดระวัง  จงยอมให้หัวใจของเจ้ารู้จักสงสารผู้อื่น และอย่าโจมตีด้วยอาวุธในมืออยู่เสมอ  จงสามัคคีธรรมถึงความรู้เกี่ยวกับความจริงให้มากขึ้นและพูดคุยถึงชีวิตให้มากขึ้น ดำรงคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งการช่วยเหลือผู้อื่น  จงทำให้มากขึ้นและพูดให้น้อยลง  จงปฏิบัติให้มากขึ้นและวิเคราะห์วิจัยให้น้อยลง  จงยอมให้ตัวพวกเจ้าเองได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มากขึ้น และเปิดโอกาสให้พระเจ้าทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมได้มากขึ้น  จงกำจัดองค์ประกอบเยี่ยงมนุษย์ทิ้งไปให้มากขึ้น  เจ้ายังคงมีวิธีการทำสิ่งต่างๆ เยี่ยงมนุษย์มากเกินไป และพฤติกรรมกับลักษณะที่ผิวเผินในการทำสิ่งต่างๆ ของเจ้าก็ยังคงเป็นที่รังเกียจของผู้อื่น ดังนั้น จงขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปให้มากขึ้น  สภาพจิตใจของเจ้ายังคงน่ารังเกียจเกินไป  จงใช้เวลาในการแก้ไขมันให้มากขึ้น  เจ้ายังคงให้สถานะแก่ผู้คนมากเกินไป จงถวายสถานะแด่พระเจ้าให้มากขึ้น และอย่าไร้เหตุผลให้มากนัก  “พระวิหาร” เป็นของพระเจ้าเสมอมา และไม่ควรถูกผู้คนยึดครอง  สรุปสั้นๆ คือ จงมุ่งเน้นความชอบธรรมให้มากขึ้นและมุ่งเน้นอารมณ์ให้น้อยลง  เป็นการดีที่สุดที่จะกำจัดเนื้อหนังทิ้งไป  จงพูดถึงความเป็นจริงให้มากขึ้นและพูดถึงความรู้ให้น้อยลง  สิ่งที่ดีที่สุดคือการหยุดปากและไม่พูดสิ่งใด  จงพูดถึงเส้นทางปฏิบัติให้มากขึ้น และทำการโอ้อวดอันไร้ค่าให้น้อยลง  เป็นการดีที่สุดที่จะเริ่มปฏิบัติเดี๋ยวนี้เลย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงมุ่งเน้นความเป็นจริงให้มากขึ้น

เชิงอรรถ:

ก. จิตวิญญาณของอัครมหาเสนาบดี: คำกล่าวแต่โบราณของจีนที่ใช้บรรยายถึงบุคคลที่ใจกว้างและโอบอ้อมอารี


พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 432

ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนไม่ได้สูงส่งปานนั้นทั้งหมด  ตราบใดที่ผู้คนขยันปฏิบัติอย่างจริงจังตั้งใจ พวกเขาจะได้รับ “คะแนนสอบผ่าน”  กล่าวตามจริงแล้ว การสัมฤทธิ์ความเข้าใจ ความรู้ และการจับใจความแห่งความจริงนั้นซับซ้อนกว่าการปฏิบัติความจริง  ก่อนอื่น จงปฏิบัติให้มากเท่าที่เจ้าเข้าใจ และปฏิบัติสิ่งที่เจ้าจับใจความแล้ว  ในหนทางนี้ เจ้าจะสามารถค่อยๆ สัมฤทธิ์ความรู้ที่แท้จริงและสัมฤทธิ์การจับใจความแห่งความจริง  เหล่านี้คือขั้นตอนและวิถีทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ทำพระราชกิจ  หากเจ้าไม่ปฏิบัติความเชื่อฟังในหนทางนี้ เจ้าก็จะไม่สัมฤทธิ์สิ่งใด  หากเจ้ากระทำการตามเจตจำนงของตนเองตลอดเวลา และไม่ปฏิบัติความเชื่อฟัง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจในตัวเจ้าหรือ?  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจตามที่เจ้าปรารถนาหรือ?  หรือพระองค์ทรงพระราชกิจอย่างสอดคล้องกับสิ่งที่เจ้าขาดพร่อง และบนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า?  หากนี่ไม่ชัดเจนสำหรับเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  เหตุใดผู้คนส่วนใหญ่จึงได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่ก็แค่มีความรู้และไม่สามารถพูดอะไรได้เลยเกี่ยวกับเส้นทางที่แท้จริงในภายหลัง?  เจ้าคิดว่าการมีความรู้มีค่าเท่ากับการมีความจริงกระนั้นหรือ?  นั่นไม่ใช่ทรรศนะที่สับสนหรอกหรือ?  เจ้าสามารถพูดถึงความรู้ได้มากมายเท่าจำนวนเม็ดทรายบนชายหาด กระนั้นสิ่งที่เจ้าพูดก็ไม่ได้มีเส้นทางจริงใดๆ อยู่เลย  เจ้าไม่ได้กำลังพยายามที่จะหลอกผู้คนโดยการทำสิ่งนี้อยู่หรอกหรือ?  เจ้าไม่ได้กำลังเล่นละครอันว่างเปล่า ไม่มีแก่นสารรองรับอยู่หรอกหรือ?  พฤติกรรมอย่างนี้ล้วนเป็นอันตรายต่อผู้คนทั้งสิ้น!  ทฤษฎียิ่งสูงและไร้ซึ่งความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด มันก็ยิ่งไร้ความสามารถในการนำผู้คนให้เข้าไปอยู่ในความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น  ทฤษฎียิ่งสูงมากขึ้นเท่าใด มันก็ยิ่งทำให้เจ้าท้าทายและต่อต้านพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  จงอย่าเอาใจใส่ทฤษฎีฝ่ายวิญญาณมากเกินไป—นี่ไม่มีประโยชน์!  ผู้คนบางคนพูดถึงทฤษฎีฝ่ายวิญญาณมาหลายทศวรรษแล้ว และพวกเขาได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งลัทธิความเชื่อฝ่ายวิญญาณ แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังคงล้มเหลวที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจึงไม่มีหลักธรรมหรือเส้นทางปฏิบัติ  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความเป็นจริงความจริงในตนเอง ดังนั้นพวกเขาจะสามารถพาผู้อื่นเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งความเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาทำได้เพียงนำผู้คนไปผิดทางเท่านั้น  นี่ไม่ใช่การทำร้ายผู้อื่นและตัวพวกเขาเองหรอกหรือ?  อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องสามารถแก้ไขปัญหาอันแท้จริงที่อยู่ตรงหน้าเจ้าได้  นั่นหมายความว่าเจ้าต้องสามารถปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และนำความจริงไปปฏิบัติได้  นี่เท่านั้นคือการเชื่อฟังพระเจ้า  เฉพาะเมื่อเจ้าได้เข้าสู่ชีวิตแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะมีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะทำงานให้พระเจ้า และเฉพาะเมื่อเจ้าสละเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า  จงอย่าสร้างถ้อยแถลงอันใหญ่โตและพูดคุยถึงทฤษฎีอันน่าทึ่งตลอดเวลา นี่ไม่เป็นจริง  การคุยโวถึงทฤษฎีฝ่ายวิญญาณเพื่อทำให้ผู้คนเลื่อมใสเจ้าไม่ใช่การเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า แต่กลับเป็นการโอ้อวดตัวเองเสียมากกว่า  แน่นอนว่านี่ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนและไม่สอนใจพวกเขา และสามารถชักนำให้พวกเขาเคารพบูชาทฤษฎีฝ่ายวิญญาณและไม่มุ่งเน้นที่การปฏิบัติความจริงได้โดยง่าย—และนี่ไม่ใช่การนำผู้คนไปผิดทางหรอกหรือ?  การทำเช่นนี้ต่อไปย่อมจะก่อให้เกิดทฤษฎีและกฎเกณฑ์อันไร้แก่นสารมากมายที่จะจำกัดควบคุมและดักจับผู้คนเอาไว้ ช่างน่าอับอายขายหน้าโดยแท้  ดังนั้นจงกล่าวสิ่งที่เป็นจริงให้มากขึ้น พูดคุยถึงปัญหาที่มีอยู่จริงให้มากขึ้น ใช้เวลาให้มากขึ้นในการค้นหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาที่แท้จริง นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  จงอย่ารอช้าที่จะเรียนรู้การปฏิบัติความจริง กล่าวคือ นี่คือเส้นทางแห่งการเข้าสู่ความเป็นจริง  จงอย่าเอาประสบการณ์และความรู้ของผู้อื่นมาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเจ้าเอง แล้วยกชูสิ่งเหล่านั้นให้ผู้อื่นเลื่อมใส  เจ้าต้องมีการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าเอง  ด้วยการปฏิบัติความจริงและเชื่อฟังพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะมีการเข้าสู่ชีวิต  นี่ควรเป็นสิ่งที่ทุกคนปฏิบัติและมุ่งเน้น

หากสิ่งที่เจ้าสามัคคีธรรมสามารถมอบเส้นทางให้ผู้คนนำไปใช้ได้ เช่นนั้นแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าเจ้ามีความเป็นจริง  ไม่ว่าเจ้าจะพูดสิ่งใด เจ้าต้องพาผู้คนปฏิบัติและมอบเส้นทางที่พวกเขาทุกคนสามารถติดตามได้ให้แก่พวกเขา  จงอย่าเพียงเปิดโอกาสให้พวกเขามีความรู้เท่านั้น  ที่สำคัญกว่านั้นคือการมีเส้นทางให้เดิน  การที่ผู้คนจะเชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องเดินไปบนเส้นทางที่พระเจ้าทรงนำทางในพระราชกิจของพระองค์  กล่าวคือ กระบวนการของการเชื่อในพระเจ้าคือกระบวนการแห่งการเดินไปบนเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทาง  ดังนั้นเจ้าต้องมีเส้นทางที่เจ้าสามารถเดินไปได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม และเจ้าต้องก้าวไปบนเส้นทางแห่งการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  จงอย่ารั้งท้ายมากเกินไป และจงอย่ากังวลกับสิ่งต่างๆ หลายอย่างเกินไป  มีเพียงเมื่อเจ้าเดินไปบนเส้นทางที่พระเจ้าทรงนำโดยไม่ก่อให้เกิดการขัดจังหวะเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และมีเส้นทางแห่งการเข้าสู่  มีเพียงการนี้เท่านั้นที่นับว่าสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและสอดคล้องกับการทำหน้าที่ของมนุษยชาติให้ลุล่วง  ในฐานะบุคคลผู้หนึ่งในกระแสนี้ แต่ละคนควรทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสม จงทำสิ่งที่ผู้คนควรทำให้มากขึ้น และอย่ากระทำการอย่างเอาแต่ใจ  ผู้คนที่ดำเนินงานจะต้องพูดจาให้ชัดเจน ผู้คนที่ติดตามจะต้องมุ่งเน้นการทนฝ่าความยากลำบากและการเชื่อฟังให้มากขึ้น และทุกคนจะต้องอยู่ในที่ของตนและไม่ล้ำเส้น  ทุกคนควรมีความชัดเจนอยู่ในหัวใจว่าพวกเขาควรปฏิบัติอย่างไรและพวกเขาควรลุล่วงหน้าที่ใด  จงเลือกเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ  จงอย่าหลงผิดหรือเลือกทางผิด  เจ้าต้องมองเห็นงานของวันนี้อย่างชัดเจน  การเข้าสู่วิธีการทำงานของวันนี้คือสิ่งที่พวกเจ้าควรปฏิบัติ  นี่คือสิ่งแรกที่พวกเจ้าต้องเข้าสู่  จงอย่าเปลืองคำพูดกับสิ่งอื่นๆ อีกเลย  การทำงานให้กับพระนิเวศของพระเจ้าในวันนี้คือความรับผิดชอบของพวกเจ้า การเข้าสู่วิธีการทำงานของวันนี้คือหน้าที่ของพวกเจ้า และการปฏิบัติตามความจริงของวันนี้คือภาระของพวกเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงมุ่งเน้นความเป็นจริงให้มากขึ้น

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 433

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง กล่าวคือ พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริง พระวจนะทั้งหมดที่พระองค์ตรัสล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริง และความจริงทั้งหมดที่พระองค์ทรงแสดงออกล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่พระวจนะของพระองค์คือสิ่งที่ว่างเปล่า ไม่มีอยู่จริง และไม่น่าเชื่อถือ  ทุกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประสงค์ที่จะนำทางผู้คนไปสู่พระวจนะของพระเจ้า  หากผู้คนเสาะหาการเข้าสู่ความเป็นจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องแสวงหาความเป็นจริง และรู้จักความเป็นจริง ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องมีประสบการณ์กับความเป็นจริง และดำเนินชีวิตตามความเป็นจริง  ยิ่งผู้คนรู้จักความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งสามารถหยั่งรู้มากขึ้นเท่านั้นว่าถ้อยคำของผู้อื่นเป็นจริงหรือไม่ ยิ่งผู้คนรู้จักความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งมีมโนคติอันหลงผิดน้อยลงเท่านั้น ยิ่งผู้คนมีประสบการณ์กับความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งรู้ถึงกิจการของพระเจ้าที่เกี่ยวกับความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็จะยิ่งหลุดพ้นจากความเสื่อมทรามและอุปนิสัยต่ำช้าเยี่ยงซาตานของพวกเขาได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ยิ่งผู้คนมีความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งรู้จักพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็จะยิ่งรังเกียจเนื้อหนังและรักความจริงมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งผู้คนมีความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งเข้ามาใกล้มาตรฐานตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ผู้คนที่พระเจ้าทรงรับไว้คือผู้ซึ่งครองความเป็นจริง คือผู้ที่รู้จักความเป็นจริง และผู้ที่ได้มารู้จักกิจการที่แท้จริงของพระเจ้าโดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับความเป็นจริง  ยิ่งเจ้าให้ความร่วมมือกับพระเจ้าในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และบ่มวินัยร่างกายของเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นเท่านั้น เจ้าก็จะยิ่งได้รับความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็จะยิ่งได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับกิจการที่แท้จริงของพระเจ้าก็จะกลายเป็นมากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าสามารถดำเนินชีวิตในความสว่างปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ เช่นนั้นแล้วเส้นทางปัจจุบันที่ไปสู่การปฏิบัติก็จะมีความชัดเจนต่อเจ้ามากขึ้น และเจ้าจะมีความสามารถมากขึ้นที่จะแยกตนเองออกมาจากมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา และการปฏิบัติเก่าแก่ในอดีต  ความเป็นจริงปัจจุบันนี้คือจุดสำคัญ กล่าวคือ ยิ่งผู้คนมีความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับความจริงก็จะยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น และความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับน้ำพระทัยพระเจ้าก็จะถ่องแท้ยิ่งขึ้นเท่านั้น ความเป็นจริงสามารถเอาชนะตัวอักษรที่เขียนไว้และคำสอนทั้งหมดได้ ความเป็นจริงสามารถเอาชนะทฤษฎีและความเชี่ยวชาญทั้งหมดได้ และยิ่งผู้คนจดจ่อกับความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และหิวกระหายพระวจนะของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าจดจ่อกับความเป็นจริงอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วปรัชญาสำหรับการดำเนินชีวิต มโนคติอันหลงผิดทางศาสนา และบุคลิกลักษณะตามธรรมชาติของเจ้า ก็ย่อมจะถูกลบล้างไปเองภายหลังพระราชกิจของพระเจ้า  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความเป็นจริง และไม่มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงเลยนั้น มีแนวโน้มที่จะไล่ตามเสาะหาสิ่งที่เหนือธรรมชาติ และพวกเขาจะถูกกลลวงอย่างง่ายดาย  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปราศจากวิถีทางที่จะดำเนินพระราชกิจในผู้คนเช่นนั้น และดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่างเปล่า และรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาไม่มีความหมายเลย

พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถทรงพระราชกิจในเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อเจ้าฝึกฝนอย่างแท้จริง แสวงหาอย่างแท้จริง อธิษฐานอย่างแท้จริง และเต็มใจที่จะทนทุกข์เพื่อเห็นแก่การแสวงหาความจริงเท่านั้น  พวกที่ไม่แสวงหาความจริง มีเพียงตัวอักษรที่เขียนไว้กับคำสอน และทฤษฎีที่ว่างเปล่าเท่านั้น และบรรดาผู้ที่ปราศจากความจริงย่อมมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นธรรมดา ผู้คนเช่นนี้ถวิลหารอคอยเพียงให้พระเจ้าทรงเปลี่ยนกายฝ่ายเนื้อหนังของพวกเขาให้เป็นกายจิตวิญญาณ เพื่อพวกเขาจะได้ขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นที่สามเท่านั้น  ผู้คนเหล่านี้ช่างโง่เขลาเบาปัญญานัก!  ทุกคนที่กล่าวสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า หรือเกี่ยวกับความเป็นจริงเลย ผู้คนเช่นนี้ไม่อาจสามารถร่วมมือกับพระเจ้าได้เลย และทำได้เพียงแต่รอคอยอย่างนิ่งเฉยเท่านั้น  หากผู้คนพร้อมจะเข้าใจความจริง และมองเห็นความจริงอย่างชัดเจน และนอกจากนี้ หากพวกเขาพร้อมจะเข้าสู่ความจริง และนำความจริงมาปฏิบัติแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องฝึกฝนอย่างแท้จริง แสวงหาอย่างแท้จริง และหิวและกระหายอย่างแท้จริง  เมื่อเจ้าหิวและกระหาย และเมื่อเจ้าร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแท้จริง พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงสัมผัสเจ้าอย่างแน่นอน และจะทรงพระราชกิจภายในเจ้า ซึ่งจะนำพาความรู้แจ้งมาสู่เจ้ามากยิ่งขึ้น และมอบความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงแก่เจ้ามากยิ่งขึ้น และช่วยให้ชีวิตของเจ้าดีกว่าเดิมมากยิ่งขึ้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักความเป็นจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 434

หากผู้คนหมายจะรู้จักพระเจ้า พวกเขาต้องรู้เสียก่อนว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง และพวกเขาต้องรู้จักพระวจนะของพระเจ้า การทรงปรากฏในเนื้อหนังที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า และพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า  เฉพาะหลังจากที่รู้ว่าพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริงเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถร่วมมือกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และโดยผ่านเส้นทางนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเติบโตในชีวิตของเจ้าได้  พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงเลย ย่อมไม่มีวิถีทางที่จะได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเลย และติดบ่วงอยู่ในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา ใช้ชีวิตอยู่ในจินตนาการของพวกเขา และฉะนั้นเอง พวกเขาจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าเลย  ยิ่งเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็ยิ่งสนิทสนมกับพระองค์มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเจ้าแสวงหาความคลุมเครือ สิ่งที่เป็นนามธรรม และคำสอนมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งไถลห่างจากพระเจ้าไปไกลขึ้นเท่านั้น และดังนั้น เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกว่าการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้านั้นเหนื่อยยากและลำบาก และรู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถเข้าสู่ได้มากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และก้าวสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องรู้จักความเป็นจริง และแยกตัวออกจากสิ่งทั้งหลายที่คลุมเครือและเหนือธรรมชาติ ซึ่งกล่าวได้ว่า ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเจ้าอย่างแท้จริงจากภายในอย่างไร  ในหนทางนี้ หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจได้อย่างจริงแท้ถึงพระราชกิจแท้จริงภายในมนุษย์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าจึงจะได้เข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องในการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า

ปัจจุบันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากความเป็นจริง  พระราชกิจของพระเจ้าเป็นจริงที่สุด และผู้คนสามารถสัมผัสได้ นี่เองคือสิ่งที่ผู้คนสามารถได้รับประสบการณ์ และสัมฤทธิ์ผลได้  ในผู้คนมีสิ่งมากมายที่คลุมเครือและเหนือธรรมชาติ ซึ่งหยุดยั้งพวกเขาจากการรู้จักพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้า  ฉะนั้น ในประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขามักเบี่ยงเบน และมักรู้สึกเสมอว่าสิ่งทั้งหลายนั้นยากลำบาก และการนี้ทั้งหมดล้วนมีสาเหตุมาจากมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา  ผู้คนไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจหลักการทั้งหลายในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ พวกเขาไม่รู้จักความเป็นจริง และดังนั้น พวกเขาจึงมีความรู้สึกที่เป็นลบเสมอในการเข้าสู่ของพวกเขา  พวกเขามองไปที่ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าจากระยะไกล ไร้ความสามารถที่จะสัมฤทธิ์ผลตามข้อพึงประสงค์เหล่านั้นได้ พวกเขาเพียงแค่เห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีอย่างแท้จริง แต่ไม่สามารถพบเส้นทางเพื่อการเข้าสู่ได้  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจด้วยหลักการนี้ กล่าวคือ โดยผ่านความร่วมมือของผู้คน โดยผ่านการที่พวกเขาอธิษฐาน แสวงหา และเข้ามาใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้นอย่างกระตือรือร้น ผลลัพธ์ทั้งหลายจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ได้  และพวกเขาจึงจะสามารถได้รับความรู้แจ้ง และได้รับความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  ซึ่งไม่ใช่กรณีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนินการโดยฝ่ายเดียว หรือที่มนุษย์ดำเนินการโดยฝ่ายเดียว  ทั้งสองฝ่ายต่างสำคัญอย่างขาดไม่ได้ และยิ่งผู้คนร่วมมือมากขึ้นเท่าใด และยิ่งพวกเขาไล่ตามเสาะหาการบรรลุถึงมาตรฐานตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น  มีเพียงความร่วมมืออย่างแท้จริงของผู้คนที่เพิ่มพูนให้กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ที่สามารถก่อให้เกิดประสบการณ์ที่แท้จริง และความรู้ที่เป็นเนื้อแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้าได้  ในที่สุด บุคคลที่เพียบพร้อมจะค่อยๆ  ก่อเกิดขึ้นมา โดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้  พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ในมโนคติอันหลงผิดของผู้คน พระเจ้าทรงเป็นผู้เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ และทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกระทำขึ้นโดยพระเจ้า—พร้อมด้วยผลลัพธ์ที่ผู้คนรอคอยอยู่อย่างนิ่งเฉย ไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรืออธิษฐาน และเพียงแต่รอคอยการสัมผัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์  อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ที่มีความเข้าใจถูกต้องเชื่อเช่นนี้ว่า การดำเนินการของพระเจ้าสามารถไปได้ไกลเท่าที่ฉันให้ความร่วมมือเท่านั้น และผลกระทบที่พระราชกิจของพระเจ้ามีในตัวฉัน ขึ้นอยู่กับวิธีที่ฉันให้ความร่วมมือ  เมื่อพระเจ้าตรัส ฉันควรทำทุกสิ่งที่ฉันสามารถทำได้เพื่อแสวงหา และเพียรพยายามไปสู่พระวจนะของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่ฉันควรจะสัมฤทธิ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักความเป็นจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 435

เจ้าถือพิธีปฏิบัติทางศาสนาอยู่กี่อย่าง?  เจ้าได้กบฏต่อพระวจนะของพระเจ้าและไปตามหนทางของเจ้าเองกี่ครั้งแล้ว?  กี่ครั้งที่เจ้าได้นำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติเพราะเจ้าคำนึงถึงภาระทั้งหลายของพระองค์และพยายามที่จะทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์อย่างแท้จริง?  เจ้าควรเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและนำพระวจนะไปปฏิบัติอย่างสอดคล้อง  จงมีหลักธรรมในทุกการกระทำและทุกความประพฤติของเจ้า กระนั้นนี่ก็ไม่ได้หมายถึงการยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายหรือการฝืนใจทำบางสิ่งเพียงเพื่อสร้างภาพ ในทางกลับกัน นั่นหมายถึงการปฏิบัติความจริงและการดำเนินชีวิตโดยพระวจนะของพระเจ้าต่างหาก  การปฏิบัติเช่นนี้เท่านั้นที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  ครรลองแห่งการกระทำใดที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยนั้นไม่ใช่กฎเกณฑ์อย่างหนึ่ง แต่เป็นการปฏิบัติแห่งความจริง  ผู้คนบางคนมีใจชอบที่จะดึงดูดความสนใจมาสู่ตัวเอง  ยามอยู่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิงของพวกเขา พวกเขาอาจกล่าวว่าพวกเขาเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า แต่ลับหลังคนเหล่านั้น พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงและกระทำการแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง  เหล่านี้มิใช่พวกฟาริสีทางศาสนาหรอกหรือ?  บุคคลหนึ่งซึ่งรักพระเจ้าอย่างแท้จริงและครองความจริงก็คือผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่ไม่อวดแสดงท่าออกมาภายนอกว่าเป็นคนเช่นนั้น  บุคคลเช่นนั้นเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงเมื่อเกิดสถานการณ์ทั้งหลายขึ้น และไม่พูดหรือกระทำการในแบบที่ขัดแย้งกับมโนธรรมของพวกเขา  บุคคลเช่นนี้สาธิตแสดงสติปัญญาเมื่อเกิดเรื่องราวทั้งหลายขึ้น และมีหลักธรรมอยู่ในความประพฤติทั้งหลายของเขาหรือของเธอไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นไร  บุคคลประเภทนี้สามารถจัดเตรียมการปรนนิบัติที่แท้จริงได้  มีบางคนที่พูดแต่ปากว่าตนเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า วันๆ พวกเขาเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดในความวิตกกังวล ทำตัวเศร้าสร้อย  และแสร้งทำเป็นน่าสงสาร  ช่างน่าดูหมิ่นเสียจริง!  หากเจ้าจะถามพวกเขาว่า “คุณบอกฉันได้ไหมเกี่ยวกับว่าคุณเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าอย่างไร?” พวกเขาก็จะพูดไม่ออก  หากเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้าแล้วไซร้ ก็จงอย่าพูดออกไปภายนอกเกี่ยวกับการนี้ แต่จงสาธิตแสดงความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าโดยหนทางแห่งการปฏิบัติแบบลงมือจริงแทน และจงอธิษฐานต่อพระองค์ด้วยหัวใจที่แท้จริง  พวกที่แค่จัดการพระเจ้าด้วยคำพูดและจัดการพอเป็นพิธีล้วนเป็นคนหน้าซื่อใจคดกันทั้งนั้น!  บางคนพูดถึงการเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐาน และเริ่มร่ำไห้ทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐาน โดยปราศจากการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยซ้ำ  ผู้คนเช่นนี้ถูกครอบงำโดยพิธีกรรมและมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายทางศาสนา พวกเขาดำเนินชีวิตโดยพิธีกรรมและมโนคติที่หลงผิดแบบนั้น โดยเชื่อเสมอว่าพระเจ้าทรงยินดีในการกระทำเหล่านั้น และว่าพระองค์ทรงโปรดปรานการอยู่ในทางพระเจ้าแบบผิวเผินหรือน้ำตาอันเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า  สิ่งดีอันใดหรือที่จะสามารถมาจากผู้คนที่ไร้สาระแบบนั้น?  เพื่อที่จะสาธิตแสดงความถ่อมใจ บ้างก็แสร้งทำเป็นอ่อนโยนมีมารยาทยามพูดจาอยู่ต่อหน้าผู้อื่น  บ้างก็จงใจประจบประแจงยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น โดยทำท่าทางเหมือนลูกแกะที่ไร้เรี่ยวแรง  นี่เป็นลักษณะที่เหมาะสมกับประชากรแห่งราชอาณาจักรหรือ?  ประชากรแห่งราชอาณาจักรนั้นควรมีชีวิตชีวาและเป็นอิสระ ไร้เดียงสาและเปิดเผย ซื่อสัตย์และน่ารัก และดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งอิสรภาพ  พวกเขาควรมีความซื่อสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรี และสามารถยืนหยัดเป็นพยานได้ไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด ผู้คนเช่นนั้นเป็นที่รักของทั้งพระเจ้าและมนุษย์  บรรดาผู้ที่เป็นผู้กลับใจใหม่ในความเชื่อนั้นมีการปฏิบัติภายนอกมากเกินไป พวกเขาต้องก้าวผ่านช่วงเวลาของการถูกจัดการและการถูกทำลายเสียก่อน  ผู้คนที่มีความเชื่อในพระเจ้าอยู่ลึกๆ นั้นไม่อาจแยกออกจากผู้อื่นได้เมื่อดูภายนอก แต่การกระทำและความประพฤติทั้งหลายของพวกเขานั้นน่ายกย่อง  ผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถถือได้ว่าดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าประกาศข่าวประเสริฐทุกวันแก่ผู้คนหลากหลายในความพยายามที่จะนำพวกเขามาสู่ความรอด ทว่าในท้ายที่สุดก็ยังกำลังดำเนินชีวิตโดยกฎเกณฑ์และคำสอนทั้งหลายอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่สามารถนำพระสิริมาสู่พระเจ้าได้  ผู้คนเช่นนั้นก็คือพวกบุคคลสำคัญทางศาสนา ตลอดจนพวกคนหน้าซื่อใจคดนั่นเอง  เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนทางศาสนาเหล่านั้นมารวมตัวกัน พวกเขาอาจถามว่า “พี่สาว หมู่นี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง?”  เธออาจตอบกลับไปว่า “ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า และว่าฉันไม่สามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์ได้”  อีกคนอาจกล่าวว่า “ฉันก็รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าเหมือนกัน และรู้สึกว่าฉันไม่สามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์ได้”  ลำพังไม่กี่ประโยคและคำพูดเหล่านี้แสดงให้เห็นสิ่งถ่อยๆ ทั้งหลายที่อยู่ลึกภายในพวกเขา  นั่นคือ คำพูดทั้งหลายดังกล่าวนั้นน่าเกลียดที่สุด และน่าเดียดฉันท์เหลือเกิน  ธรรมชาติของผู้คนแบบนั้นย่อมต่อต้านพระเจ้า  บรรดาผู้คนที่มุ่งเน้นที่ความเป็นจริงย่อมสื่อสารสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และเปิดหัวใจของพวกเขาออกมาในการสามัคคีธรรม  พวกเขาไม่ทำกิจกรรมที่เป็นเท็จแม้สักครั้ง ไม่อวดแสดงทั้งความสุภาพมีมารยาทมากมายเกินขนาดและการหยอกล้อคุยเล่นอันว่างเปล่าไม่จริงใจ  พวกเขาตรงไปตรงมาอยู่เสมอ และไม่ถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ไม่อิงศาสนา  ผู้คนบางคนมีใจชอบการแสดงออกมาภายนอก จนถึงจุดที่ขาดสำนึกอย่างถึงที่สุดด้วยซ้ำ  เมื่อใครบางคนร้องเพลง พวกเขาก็เริ่มเต้นรำ ไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่าข้าวในหม้อของพวกเขาไหม้เสียแล้ว  ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้อยู่ในทางพระเจ้าหรือมีเกียรติ และพวกเขาเหลาะแหละมากเกินไป  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นการสำแดงทั้งหลายของการขาดพร่องความเป็นจริง  เมื่อผู้คนบางคนสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่พูดเรื่องความเป็นหนี้บุญคุณอะไรเลยต่อพระเจ้า แต่ลึกลงไปนั้น พวกเขายังคงไว้ซึ่งความรักที่แท้จริงต่อพระองค์  ความรู้สึกของเจ้าในเรื่องการเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับผู้คนอื่นๆ เจ้าเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า ไม่ใช่มนุษยชาติ  มีประโยชน์อะไรที่เจ้าจะพูดถึงเรื่องนี้กับคนอื่นอยู่เนืองนิตย์?  เจ้าต้องให้ความสำคัญแก่การเข้าสู่ความเป็นจริง ไม่ใช่แก่ความคึกคักกระตือรือร้นหรือการอวดแสดงภายนอกใดๆ  ความประพฤติดีแบบผิวเผินของมนุษย์ทั้งหลายเป็นตัวแทนของอะไรหรือ?  สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวแทนของเนื้อหนัง และแม้แต่การปฏิบัติภายนอกที่ดีที่สุดก็ไม่เป็นตัวแทนของชีวิต สิ่งเหล่านั้นสามารถแสดงออกได้เพียงภาวะอารมณ์แบบปัจเจกบุคคลของเจ้าเองเท่านั้น  การปฏิบัติภายนอกทั้งหลายของมนุษยชาติไม่สามารถทำให้ความพึงปรารถนาของพระเจ้าลุล่วงได้  เจ้าพูดถึงการเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าของเจ้าอยู่เนืองนิตย์ ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่สามารถจัดหาให้กับชีวิตของผู้อื่น หรือสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขารักพระเจ้าได้  เจ้าเชื่อหรือว่าการกระทำเหล่านั้นของเจ้าจะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย?  เจ้ารู้สึกว่าการกระทำทั้งหลายของเจ้าเป็นไปในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และว่าการกระทำเหล่านั้นอยู่ฝ่ายวิญญาณ แต่ในความจริง การกระทำเหล่านั้นช่างไร้สาระทั้งสิ้น!  เจ้าเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้เจ้ายินดีและสิ่งที่เจ้าเต็มใจที่จะทำคือสิ่งเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงปีติยินดีเป็นแน่แท้  ความชอบทั้งหลายของเจ้าเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้หรือ?  บุคลิกลักษณะของบุคคลหนึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้หรือ?  สิ่งที่เจ้ายินดีก็คือสิ่งที่พระเจ้าทรงชิงชังพอดี และนิสัยทั้งหลายของเจ้าคือนิสัยเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงเกลียดและปฏิเสธพอดี  หากเจ้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ เช่นนั้นแล้ว จงไปอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่มีความจำเป็นที่จะพูดถึงการนั้นกับคนอื่นๆ  หากเจ้าไม่อธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และกลับดึงความสนใจมาสู่ตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ต่อหน้าผู้อื่นแทน นี่จะสามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าได้หรือ?  หากการกระทำทั้งหลายของเจ้ามีจริงอยู่เสมอในการปรากฏภายนอกเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว นี่ก็หมายความว่าเจ้าไร้ประโยชน์อย่างสุดขั้ว  พวกที่เพียงดำเนินความประพฤติดีแบบผิวเผินและไร้ความเป็นจริงเป็นมนุษย์ลักษณะใดหรือ?  ผู้คนเช่นนั้นก็เป็นแค่พวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดและบุคคลสำคัญทางศาสนาเท่านั้นเอง!  หากพวกเจ้าไม่สลัดการปฏิบัติภายนอกของพวกเจ้าทิ้งและไร้ความสามารถที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายได้ เช่นนั้นแล้ว องค์ประกอบเหล่านั้นของความหน้าซื่อใจคดในพวกเจ้าก็จะเติบโตมากยิ่งขึ้นไปอีก  ยิ่งองค์ประกอบของความหน้าซื่อใจคดของเจ้ามีมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีการต้านทานต่อพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ท้ายที่สุด ผู้คนเช่นนั้นก็ย่อมจะถูกขับออกไปอย่างแน่นอน!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในความเชื่อ คนเราต้องมุ่งความสนใจไปที่ความเป็นจริง—การมีส่วนในพิธีกรรมทางศาสนาหาใช่ความเชื่อไม่

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 436

เพื่อที่จะฟื้นคืนสภาพเสมือนกับบุคคลปกติ กล่าวคือ เพื่อสัมฤทธิ์สภาวะความเป็นมนุษย์ปกตินั้น ผู้คนไม่สามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ด้วยคำพูดของพวกเขาเท่านั้น  การกระทำดังกล่าวรังแต่จะทำร้ายตัวพวกเขาเอง และไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่หรือการเปลี่ยนสภาพของพวกเขาแต่อย่างใด  ดังนั้น ในการบรรลุถึงการเปลี่ยนสภาพ ผู้คนต้องปฏิบัติทีละเล็กทีละน้อย  พวกเขาต้องค่อยๆ เข้าสู่ แสวงหาและท่องสำรวจทีละนิดทีละหน่อย เข้าสู่จากด้านที่เป็นบวก และใช้ชีวิตแห่งความจริงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ชีวิตแห่งวิสุทธิชน  หลังจากนั้น สิ่งของจริง เหตุการณ์จริง และสภาพแวดล้อมจริงทั้งหลายจะทำให้ผู้คนมีการฝึกฝนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ผู้คนไม่จำเป็นต้องทำการปรนนิบัติแต่ปากใดๆ เลย พวกเขาแค่ต้องฝึกฝนในสภาพแวดล้อมจริงแทน  ในตอนแรกผู้คนจะได้ตระหนักว่าพวกเขามีขีดความสามารถในระดับที่ต่ำ และจากนั้นพวกเขาจะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างปกติ และเข้าสู่และปฏิบัติอย่างปกติเช่นกัน  พวกเขาจะได้รับความเป็นจริงด้วยหนทางนี้เท่านั้น และการทำเช่นนี้คือหนทางที่การเข้าสู่อาจเกิดขึ้นได้รวดเร็วมากขึ้น  เพื่อที่จะเปลี่ยนสภาพผู้คน ต้องมีความสัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่บ้าง  พวกเขาต้องปฏิบัติกับสิ่งจริง เหตุการณ์จริง และสภาพแวดล้อมจริง  คนเราสามารถสัมฤทธิ์การฝึกฝนที่แท้จริงโดยการอาศัยชีวิตในคริสตจักรเพียงลำพังได้หรือไม่?  ผู้คนสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงด้วยหนทางนี้ได้หรือ?  ไม่!  หากผู้คนไม่สามารถเข้าสู่ชีวิตจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนสภาพวิถีชีวิตและหนทางในการทำสิ่งต่างๆ แบบเก่าๆ ของพวกเขาได้  ซึ่งไม่ได้เป็นเพราะความเกียจคร้านและการที่พึ่งพิงผู้อื่นเป็นอย่างมากของผู้คนเสียทั้งหมด แต่เป็นเพราะผู้คนเพียงไม่มีความสามารถที่จะใช้ชีวิต และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงมีเกี่ยวกับสภาพเสมือนของบุคคลปกติ  ในอดีต ผู้คนพูดคุย เจรจา สนทนาอยู่เสมอ—และพวกเขาถึงขั้นกลายเป็น “นักปราศรัย”—แต่ไม่มีพวกเขาคนใดเลยที่แสวงหาการเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยในชีวิตของพวกเขา  ในทางกลับกัน พวกเขาแสวงหาแต่ทฤษฎีที่ลึกซึ้งอย่างหูหนวกตาบอดแทน  ดังนั้น ผู้คนในวันนี้จึงต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบความเชื่อในพระเจ้าทางศาสนานี้ในชีวิตของพวกเขา  พวกเขาต้องเข้าสู่การปฏิบัติโดยการมุ่งความคิดที่หนึ่งเหตุการณ์ หนึ่งสิ่ง หนึ่งบุคคล  พวกเขาต้องทำด้วยการมุ่งเน้น—เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถบรรลุผลลัพธ์ได้  การเปลี่ยนสภาพของผู้คนเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงในธาตุแท้ของพวกเขา  พระราชกิจต้องมุ่งไปที่ธาตุแท้ของผู้คน ชีวิตของพวกเขา ความเกียจคร้าน การพึ่งพิง และการคิดเองไม่เป็นของพวกเขา—พวกเขาจะสามารถรับการเปลี่ยนสภาพได้ด้วยหนทางนี้เท่านั้น

ถึงแม้ว่าชีวิตในคริสตจักรสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ในบางด้าน แต่กุญแจสำคัญก็ยังคงเป็นว่า ชีวิตจริงสามารถเปลี่ยนสภาพผู้คนได้  ธรรมชาติเก่าๆ ของคนเราไม่สามารถถูกเปลี่ยนสภาพได้โดยไม่มีชีวิตจริง  พวกเรามาดูพระราชกิจของพระเยซูในช่วงระหว่างยุคพระคุณเป็นตัวอย่าง  เมื่อพระเยซูทรงเลิกล้มธรรมบัญญัติก่อนหน้าและจัดตั้งพระบัญญัติแห่งยุคใหม่ พระองค์ตรัสโดยใช้ตัวอย่างจริงจากชีวิตจริง  เมื่อพระเยซูทรงนำสาวกของพระองค์ผ่านทุ่งข้าวสาลีในวันสะบาโต สาวกของพระองค์เกิดหิวโหยและเด็ดรวงข้าวออกมากิน  พวกฟาริสีเห็นเหตุการณ์นี้ และกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้กำลังถือปฏิบัติตามวันสะบาโต  พวกเขายังกล่าวว่าผู้คนไม่ได้รับอนุญาตให้ช่วยเหลือลูกวัวที่ตกลงไปในหลุมในวันสะบาโต โดยกล่าวว่าไม่อาจมีการดำเนินงานใดๆ ได้ในช่วงระหว่างวันสะบาโต  พระเยซูตรัสถึงเหตุการณ์เหล่านี้ เพื่อทรงประกาศใช้พระบัญญัติของยุคใหม่อย่างค่อยเป็นค่อยไป  ณ ขณะนั้น พระองค์ทรงใช้เรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากมายเพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและเปลี่ยนสภาพ  นี่คือหลักการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ในการปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ และนี่เป็นหนทางเดียวที่สามารถเปลี่ยนสภาพผู้คนได้  หากปราศจากเรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแล้ว ผู้คนก็จะสามารถได้รับเพียงความเข้าใจทางทฤษฎีและทางปัญญาเท่านั้น—นี่ไม่ใช่หนทางที่มีประสิทธิผลในการเปลี่ยนสภาพ  ถ้าเช่นนั้นแล้ว คนเราได้มาซึ่งสติปัญญาและความเข้าใจลึกซึ้งโดยผ่านทางการฝึกฝนได้อย่างไร?  ผู้คนสามารถได้มาซึ่งสติปัญญาและความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเพียงแค่จากการรับฟัง การอ่าน และการเพิ่มพูนความรู้ของตนได้หรือ?  นี่จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร?  ผู้คนต้องเข้าใจและได้รับประสบการณ์ในชีวิตจริง!  ดังนั้น คนเราต้องฝึกฝน และคนเราต้องไม่ออกไปจากชีวิตจริง  ผู้คนต้องให้ความสนใจกับแง่มุมที่แตกต่าง และมีการเข้าสู่ด้วยแง่มุมที่หลากหลาย นั่นคือ ระดับการศึกษา การแสดงออก ความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่างๆ วิจารณญาณความสามารถในการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า สามัญสำนึก และกฎของสภาวะความเป็นมนุษย์ และสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ผู้คนต้องมีไว้อยู่กับตัว หลังจากที่บรรลุความเข้าใจได้แล้ว ผู้คนต้องมุ่งเน้นอยู่กับการเข้าสู่ และเมื่อนั้นเท่านั้นที่จะสามารถบรรลุถึงการเปลี่ยนสภาพได้  หากใครบางคนได้บรรลุความเข้าใจแต่ละเลยการปฏิบัติ การเปลี่ยนสภาพจะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?  ในปัจจุบัน ผู้คนเข้าใจเป็นอันมาก แต่พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามความเป็นจริง  ดังนั้น พวกเขาจึงแทบจะไม่มีความเข้าใจที่มีสาระสำคัญเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าเลย  เจ้าได้รับความรู้แจ้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าได้รับความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เล็กน้อย แต่เจ้ายังไม่มีการเข้าสู่ชีวิตจริง—หรือเจ้าอาจไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการเข้าสู่เลยด้วยซ้ำ—ดังนั้น การเปลี่ยนสภาพของเจ้าจึงลดถอยลงไป  หลังจากผ่านเวลานานเช่นนั้นแล้ว ผู้คนมีความเข้าใจมากมาย  พวกเขาสามารถกล่าวถึงสิ่งต่างๆ ได้มากมายเกี่ยวกับความรู้ในทฤษฎีของพวกเขา แต่อุปนิสัยภายนอกของพวกเขายังคงเหมือนเช่นเดิม และขีดความสามารถดั้งเดิมของพวกเขาก็ยังคงเหมือนกับที่เคยเป็น โดยไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย  หากเป็นเช่นนี้แล้ว ในที่สุดเจ้าจะเข้าสู่ได้เมื่อไรกัน?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเสวนาเรื่องชีวิตคริสตจักรและชีวิตจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 437

ชีวิตในคริสตจักรเป็นเพียงชีวิตประเภทหนึ่งที่ผู้คนรวมตัวกันเพื่อลิ้มรสพระวจนะของพระเจ้า และประกอบขึ้นเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ ในชีวิตของคนเราเท่านั้น  หากชีวิตจริงของผู้คนสามารถเป็นเหมือนกับชีวิตในคริสตจักรของพวกเขาด้วย—ซึ่งรวมถึงชีวิตฝ่ายวิญญาณปกติ การลิ้มรสพระวจนะของพระเจ้าอย่างปกติ การอธิษฐานและการอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้าอย่างปกติ การใช้ชีวิตจริงที่ทุกสิ่งดำเนินไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า การใช้ชีวิตจริงที่ทุกสิ่งดำเนินไปตามความจริง การใช้ชีวิตจริงในการปฏิบัติในการอธิษฐานและการปฏิบัติในการทำตัวเงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า การปฏิบัติในการร้องเพลงสรรเสริญและการเต้นรำด้วยแล้วนั้น—เมื่อนั้นเอง นี่จะเป็นชีวิตเพียงประเภทเดียวที่จะนำพวกเขาเข้าสู่ชีวิตแห่งพระวจนะของพระเจ้า  ผู้คนส่วนใหญ่เพียงแค่มุ่งเน้นอยู่กับช่วงเวลาหลายชั่วโมงในชีวิตในคริสตจักรของพวกเขาเท่านั้น โดยไม่ “ใส่ใจ” ชีวิตของพวกเขานอกช่วงเวลาเหล่านั้น เสมือนกับว่ามันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกเขา  ยังมีผู้คนมากมายที่เพียงแค่เข้าสู่ชีวิตแห่งบรรดาวิสุทธิชนเมื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ร้องเพลงสรรเสริญ หรืออธิษฐานเท่านั้น แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็จะเปลี่ยนกลับไปเป็นคนเดิมนอกช่วงเวลาเหล่านั้น  การใช้ชีวิตเช่นนี้ไม่สามารถเปลี่ยนสภาพผู้คนได้ นับประสาอะไรกับการทำให้พวกเขารู้จักพระเจ้า  ในการเชื่อในพระเจ้านั้น หากผู้คนปรารถนาการเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยของพวกเขาแล้วไซร้ พวกเขาต้องไม่แยกตัวเองออกจากชีวิตจริง  ในชีวิตจริง เจ้าต้องรู้จักตัวเอง ละทิ้งตัวเอง ปฏิบัติความจริง รวมทั้งเรียนรู้หลักการทั้งหลาย สามัญสำนึก และกฎการประพฤติตนในทุกสิ่งก่อนที่เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนสภาพอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้  หากเจ้ามุ่งเน้นอยู่กับความรู้ทางทฤษฎีเท่านั้น และใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางพิธีทางศาสนาเท่านั้นโดยไม่ลงลึกเข้าไปในความเป็นจริง โดยไม่เข้าสู่ชีวิตจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันเข้าสู่ความเป็นจริง เจ้าจะไม่มีวันรู้จักตัวเจ้าเอง ความจริง หรือพระเจ้า และเจ้าจะหูหนวกตาบอดและไม่รู้เท่าทันตลอดไป  พระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอดนั้นไม่ใช่เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาใช้ชีวิตแบบมนุษย์ปกติหลังจากช่วงเวลาสั้นๆ อีกทั้งไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนสภาพมโนคติอันหลงผิดและคำสอนของพวกเขา  แต่จุดประสงค์ของพระองค์คือเพื่อเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเก่าๆ ของผู้คน เพื่อเปลี่ยนแปลงหนทางชีวิตเก่าๆ ของพวกเขาทั้งหมดทั้งมวล และเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและทัศนคติทางใจที่ล้าสมัยทั้งหมดของพวกเขาต่างหาก  การมุ่งเน้นเฉพาะกับชีวิตในคริสตจักรจะไม่เปลี่ยนแปลงนิสัยในชีวิตเก่าๆ ของผู้คน หรือเปลี่ยนแปลงหนทางเก่าๆ ที่พวกเขาได้ใช้ชีวิตมาเป็นเวลานาน  ไม่ว่าอะไรก็ตาม ผู้คนต้องไม่กลายเป็นปลีกตัวออกห่างจากชีวิตจริง  พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติในชีวิตจริง ไม่ใช่แค่ในชีวิตในคริสตจักรเท่านั้น ให้พวกเขาใช้ชีวิตตามความจริงในชีวิตจริง ไม่ใช่แค่ในชีวิตในคริสตจักรเท่านั้น และให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่การงานของตนในชีวิตจริง ไม่ใช่แค่ในชีวิตในคริสตจักรเท่านั้น  การเข้าสู่ความจริงนั้น คนเราต้องหันทุกสิ่งไปหาชีวิตจริง  หากในการเชื่อในพระเจ้า ผู้คนไม่สามารถมารู้จักตัวเองโดยผ่านทางการเข้าสู่ชีวิตจริง และหากพวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติในชีวิตจริงได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นความล้มเหลว  บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าคือทุกคนที่ไม่สามารถเข้าสู่ชีวิตจริงได้  พวกเขาทั้งหมดคือผู้คนที่พูดถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่ใช้ชีวิตตามธรรมชาติของปีศาจ  พวกเขาทั้งหมดคือผู้คนที่พูดถึงความจริง แต่ใช้ชีวิตตามคำสอนแทน  บรรดาผู้ที่ไม่สามารถใช้ชีวิตตามความจริงในชีวิตจริงได้คือผู้ที่เชื่อในพระเจ้า แต่ถูกเกลียดชังและปฏิเสธจากพระองค์  เจ้าต้องปฏิบัติการเข้าสู่ของเจ้าในชีวิตจริง ต้องรู้ข้อบกพร่อง การไม่เชื่อฟัง และความไม่รู้เท่าทันของเจ้าเอง และรู้จักสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ผิดปกติและจุดอ่อนของเจ้า  ด้วยวิธีนั้น ความรู้ของเจ้าจะถูกรวมเข้าไปในสภาพเงื่อนไขและความยากลำบากจริงๆ ของเจ้า  ความรู้เช่นนี้เท่านั้นที่เป็นจริงและสามารถเปิดโอกาสให้เจ้าจับความเข้าใจสภาพเงื่อนไขของเจ้าเองและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยได้อย่างแท้จริง

ตอนนี้การทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าต้องเข้าสู่ชีวิตที่เป็นจริง  ดังนั้น เพื่อให้สัมฤทธิ์การเปลี่ยนสภาพ เจ้าต้องเริ่มต้นจากการเข้าสู่ชีวิตจริง และเปลี่ยนสภาพทีละเล็กละน้อย  หากเจ้าหลีกเลี่ยงชีวิตแบบมนุษย์ปกติ และพูดถึงเฉพาะเรื่องฝ่ายวิญญาณเท่านั้น เช่นนั้นแล้วสิ่งต่างๆ จะกลายเป็นไร้อารมณ์และน่าเบื่อ สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นความไม่สมจริง และเช่นนั้นแล้ว ผู้คนจะสามารถเปลี่ยนสภาพได้อย่างไร?  ตอนนี้เจ้าได้รับการแจ้งให้เข้าสู่ชีวิตจริงเพื่อปฏิบัติ เพื่อสร้างรากฐานสำหรับการเข้าสู่ประสบการณ์จริง  นี่คือแง่มุมหนึ่งของสิ่งที่ผู้คนต้องทำ  พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นไปเพื่อนำทางเป็นหลัก ในขณะที่ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับการปฏิบัติและการเข้าสู่ของผู้คน  ทุกคนอาจบรรลุการเข้าสู่ชีวิตจริงได้โดยผ่านทางเส้นทางที่แตกต่างกัน จนกระทั่งพวกเขาสามารถนำพระเจ้าเข้ามาสู่ชีวิตจริง และใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติที่แท้จริงได้  นี่คือชีวิตที่มีความหมายเพียงประเภทเดียวเท่านั้น!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเสวนาเรื่องชีวิตคริสตจักรและชีวิตจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 438

ก่อนหน้านี้ กล่าวกันว่าการมีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นแตกต่างกัน  สภาวะปกติของการมีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นสำแดงให้เห็นในการมีความคิดที่ปกติ เหตุผลที่ปกติ และสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ลักษณะนิสัยของบุคคลหนึ่งจะยังคงเป็นเหมือนที่เคยเป็น แต่ภายในตัวพวกเขาจะมีสันติสุข และภายนอกนั้นพวกเขาจะมีมารยาทของวิสุทธิชน  นี่คือลักษณะที่พวกเขาจะเป็นเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับพวกเขา  เมื่อใครบางคนมีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การคิดของพวกเขาจะเป็นปกติ  เมื่อพวกเขาหิวพวกเขาต้องการกิน เมื่อพวกเขากระหายพวกเขาต้องการดื่มน้ำ… การสำแดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติเช่นนั้นไม่ใช่ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การสำแดงเหล่านั้นเป็นการคิดตามปกติของผู้คนและสภาวะปกติของการมีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้คนบางคนเชื่ออย่างผิดๆ  ว่าพวกที่มีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่รู้จักความหิว เชื่อว่าพวกเขาไม่รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อย และพวกเขาดูเหมือนว่าจะไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องครอบครัว โดยเกือบจะได้หย่าขาดตัวพวกเขาเองจากเนื้อหนังอย่างบริบูรณ์แล้ว ในความเป็นจริงแล้ว ยิ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับผู้คนมากเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งเป็นปกติมากขึ้นเท่านั้น  พวกเขารู้จักที่จะทนทุกข์และยอมละทิ้งสิ่งทั้งหลายเพื่อพระเจ้า สละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้า และจงรักภักดีต่อพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคิดเรื่องอาหารและเสื้อผ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาไม่ได้สูญเสียสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติซึ่งผู้คนควรจะมีแต่อย่างใด และแทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับมีเหตุผลเป็นพิเศษแทน  บางครั้ง พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าและใคร่ครวญพระราชกิจของพระเจ้า มีความเชื่อในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  แน่นอนว่า พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งอยู่บนรากฐานนี้  หากผู้คนไร้ซึ่งการคิดตามปกติ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีเหตุผล—นี่ไม่ใช่สภาวะปกติ เมื่อผู้คนมีการคิดตามปกติและพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับพวกเขา พวกเขาก็จะมีเหตุผลแบบบุคคลปกติอย่างแน่นอน และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมีสภาวะปกติ  ในการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้านั้น การมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ในขณะที่การมีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา  ตราบเท่าที่เหตุผลและการคิดของผู้คนเป็นปกติ และตราบเท่าที่สภาวะของพวกเขาเป็นปกติ เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะสถิตกับพวกเขาอย่างแน่นอน  เมื่อเหตุผลและการคิดของผู้คนไม่เป็นปกติ เช่นนั้นแล้วสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ไม่เป็นปกติ  ในชั่วขณะนี้ หากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตกับเจ้าด้วยอย่างแน่นอน  แต่หากพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับเจ้า นั่นไม่ได้หมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจภายในตัวเจ้าอย่างแน่แท้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจในเวลาพิเศษ  การมีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพียงแค่สามารถคงไว้ซึ่งการดำรงอยู่ตามปกติของผู้คนเท่านั้น แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจในเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงานคนหนึ่ง เมื่อเจ้าให้น้ำและจัดเตรียมปัจจัยยังชีพให้แก่คริสตจักร พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าโดยนำไปยังพระวจนะบางส่วนซึ่งเป็นการสอนใจสำหรับผู้อื่นและสามารถแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงบางอย่างของบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าได้—ในเวลาเช่นนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจ  บางครั้งเมื่อเจ้ากำลังกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าด้วยพระวจนะบางส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับประสบการณ์ของเจ้าเอง โดยทรงเปิดโอกาสให้เจ้าได้รับความรู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในเรื่องสภาวะของเจ้าเอง นี่ก็เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกัน  บางครั้งในขณะที่เราพูด พวกเจ้าฟังและมีความสามารถที่จะใช้วจนะของเราประเมินสภาวะของเจ้าเองได้ และบางครั้งเจ้าก็ซาบซึ้งและได้รับการดลใจ ทั้งหมดนี้คือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  บางคนกล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาตลอดเวลา นี่เป็นไปไม่ได้  หากพวกเขาจะกล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับพวกเขาตลอดเวลา นั่นอาจจะตรงกับความเป็นจริง หากพวกเขาจะกล่าวว่าการคิดและสำนึกรับรู้ของพวกเขาเป็นปกติตลอดเวลา นั่นก็อาจจะตรงกับความเป็นจริงได้เช่นกัน และอาจแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับพวกเขา หากพวกเขากล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจภายในตัวพวกเขาตลอดเวลา กล่าวว่าพวกเขาได้รับการให้ความรู้แจ้งโดยพระเจ้าและได้รับการสัมผัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทุกชั่วขณะ และได้รับความรู้ใหม่ตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องปกติแต่อย่างใดเลย!  มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งสิ้น!  ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ผู้คนเช่นนั้นก็คือเหล่าวิญญาณชั่ว!  แม้คราที่พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็มีเวลาที่พระองค์ยังต้องเสวยและต้องทรงหยุดพัก—ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมนุษย์แต่อย่างใด  พวกที่ได้ถูกเหล่าวิญญาณชั่วครอบครองนั้นดูเหมือนว่าไม่มีความอ่อนแอของเนื้อหนัง พวกเขาสามารถละทิ้งและล้มเลิกทุกสิ่งได้ พวกเขาเป็นอิสระจากอารมณ์ความรู้สึก สามารถสู้ทนความทรมานและไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกเขาได้อยู่เหนือเนื้อหนังแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติอย่างที่สุดหรอกหรือ?  งานของเหล่าวิญญาณชั่วนั้นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ—ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถสัมฤทธิ์สิ่งต่างๆ เช่นนั้นได้!  พวกที่ขาดการหยั่งรู้จะอิจฉาเมื่อพวกเขาเห็นผู้คนเช่นนั้น นั่นคือ พวกเขากล่าวว่าคนเหล่านั้นมีเรี่ยวแรงกำลังเช่นนั้นในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา มีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ และไม่เคยแสดงให้เห็นสัญญาณของความอ่อนแอแม้แต่น้อย!  ในความเป็นจริงแล้ว เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการสำแดงให้เห็นถึงงานของวิญญาณชั่ว  ด้วยเพราะผู้คนปกติย่อมมีความอ่อนแอของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือสภาวะปกติของบรรดาผู้ที่มีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (4)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 439

การตั้งมั่นในคำพยานของคนเราหมายความว่าอย่างไร?  ผู้คนบางคนกล่าวว่าพวกเขาเพียงแค่ติดตามอย่างที่พวกเขาทำในขณะนี้และไม่ได้เป็นกังวลกับตัวพวกเขาเองว่าพวกเขาจะสามารถได้รับชีวิตหรือไม่ พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาชีวิต แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถอนตัวเช่นกัน  พวกเขารับรู้เพียงว่าพระราชกิจช่วงระยะนี้ดำเนินการโดยพระเจ้า  นี่ไม่ใช่ความล้มเหลวในคำพยานของพวกเขาหรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนั้นไม่แม้แต่จะเป็นคำพยานของการได้รับการพิชิตเสียด้วยซ้ำ  บรรดาผู้ที่ได้รับการพิชิตแล้วจะติดตามไม่ว่าเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดจะเป็นอย่างไรก็ตาม และสามารถไล่ตามเสาะหาชีวิตได้  พวกเขาไม่เพียงแค่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงเท่านั้น แต่ยังรู้ที่จะติดตามการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้าอีกด้วย  เช่นนั้นคือบรรดาผู้ที่เป็นคำพยาน  พวกที่ไม่ได้เป็นคำพยานไม่เคยไล่ตามเสาะหาชีวิตและยังคงติดตามอย่างสับสนปนเปไปตลอดทาง  เจ้าอาจติดตาม แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้รับการพิชิตแล้ว เพราะเจ้าไม่มีความเข้าใจในเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้  จะต้องมีการปฏิบัติให้ได้ตามสภาพเงื่อนไขบางอย่างเพื่อที่จะได้รับการพิชิต  ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ติดตามได้รับการพิชิตแล้ว เพราะในหัวใจของเจ้านั้นเจ้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเจ้าจึงจะต้องติดตามพระเจ้าของวันนี้ อีกทั้งเจ้าไม่รู้ว่าเจ้าได้มาถึงวันนี้ได้อย่างไร ใครได้สนับสนุนเจ้ามาจนกระทั่งถึงวันนี้  การปฏิบัติความเชื่อในพระเจ้าของผู้คนบางคนนั้นวุ่นวายสับสนในหัวตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ การติดตามจึงไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้ามีคำพยาน คำพยานที่แท้จริงนั้นคืออะไรกันแน่?  คำพยานที่พูดถึงในที่นี้มีสองส่วนดังนี้ ส่วนหนึ่งคือคำพยานถึงการได้รับการพิชิต และอีกส่วนคือคำพยานถึงการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม (ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วจะเป็นคำพยานหลังการทดสอบอันยิ่งใหญ่มากขึ้นและความทุกข์ลำบากของอนาคต)  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากเจ้าสามารถตั้งมั่นในระหว่างความทุกข์ลำบากและการทดสอบทั้งหลาย เช่นนั้นเจ้าก็จะได้เป็นคำพยานขั้นที่สองแล้ว  สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในวันนี้ก็คือคำพยานในขั้นที่หนึ่ง นั่นคือ การมีความสามารถที่จะตั้งมั่นได้ในระหว่างทุกๆ สถานการณ์ของการทดสอบแห่งการตีสอนและการพิพากษา  นี่คือคำพยานของการได้รับการพิชิต  นั่นเป็นเพราะบัดนี้คือเวลาแห่งการพิชิตชัย (เจ้าควรรู้ว่าบัดนี้เป็นเวลาแห่งพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก พระราชกิจหลักบนแผ่นดินโลกของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์คือการพิชิตผู้คนบนแผ่นดินโลกกลุ่มนี้ซึ่งติดตามพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอน)  การที่เจ้าจะสามารถเป็นคำพยานถึงการได้รับการพิชิตได้หรือไม่นั้นไม่ได้เพียงขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะสามารถติดตามไปจนถึงที่สุดได้หรือไม่เท่านั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าจะสามารถเข้าใจการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือไม่ ในขณะที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในแต่ละขั้น และขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะล่วงรู้พระราชกิจนี้ทั้งหมดอย่างแท้จริงหรือไม่  เจ้าจะไม่สามารถหลุดรอดไปได้โดยแค่ติดตามไปจนถึงที่สุดเพียงเท่านั้น  เจ้าจะต้องมีความสามารถที่จะยอมจำนนอย่างเต็มใจในระหว่างทุกๆ สถานการณ์ของการตีสอนและการพิพากษา จะต้องสามารถเข้าใจพระราชกิจแต่ละขั้นตอนที่เจ้าได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริง และจะต้องสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและการเชื่อฟังพระอุปนิสัยของพระเจ้า  นี่คือคำพยานขั้นสุดท้ายของการได้รับการพิชิตซึ่งเจ้าพึงต้องแบกรับ  คำพยานถึงการได้รับการพิชิตอ้างอิงถึงความรู้ของเจ้าในเรื่องการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเป็นสำคัญ  คำพยานขั้นนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าเจ้าทำหรือพูดอะไรต่อหน้าผู้คนบนโลกนี้หรือพวกที่กุมอำนาจ สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดก็คือ เจ้าสามารถที่จะเชื่อฟังพระวจนะทั้งหมดจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าและพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์หรือไม่  ดังนั้น คำพยานขั้นนี้จึงชี้ไปที่ซาตานและเหล่าศัตรูทั้งหมดของพระเจ้า—เหล่าปีศาจและศัตรูทั้งหลายซึ่งไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นครั้งที่สองและเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก และยิ่งไปกว่านั้น ไม่เชื่อในข้อเท็จจริงเรื่องการกลับมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มันชี้ไปที่เหล่าศัตรูของพระคริสต์ทั้งหมด—ศัตรูทั้งหมดซึ่งไม่เชื่อในการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเจ้า

การคิดถึงพระเจ้าและการโหยหาพระเจ้าไม่ได้พิสูจน์ว่าพระเจ้าได้พิชิตเจ้าแล้ว นี่ขึ้นอยู่กับการที่เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพระองค์คือพระวจนะที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพระวจนะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพระวิญญาณได้ทรงกลายเป็นพระวจนะ และพระวจนะได้ทรงปรากฏเป็นมนุษย์  นี่คือคำพยานสำคัญ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะติดตามอย่างไร อีกทั้งไม่สำคัญว่าเจ้าจะสละตัวเจ้าเองอย่างไร สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือเจ้ามีความสามารถที่จะค้นพบจากสภาวะความเป็นมนุษย์ปกตินี้ได้หรือไม่ว่า พระวจนะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และพระวิญญาณแห่งความจริงได้เป็นที่ประจักษ์ในเนื้อหนัง—ค้นพบว่าความจริง หนทาง และชีวิตทั้งหมดนั้นได้มาในเนื้อหนังแล้ว พระวิญญาณของพระเจ้าได้เสด็จมาถึงแผ่นดินโลกแล้วจริงๆ และพระวิญญาณได้เสด็จมาในเนื้อหนังแล้ว  แม้ว่าโดยผิวเผินแล้ว การนี้ดูเหมือนแตกต่างไปจากการปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระราชกิจนี้เจ้ามีความสามารถที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นว่าพระวิญญาณได้เป็นที่ประจักษ์ในเนื้อหนังแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น มองเห็นได้ว่าพระวจนะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และพระวจนะได้ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ เจ้าสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะที่ว่า “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะต้องเข้าใจว่าพระวจนะของวันนี้คือพระเจ้า และมองเห็นว่าพระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์  นี่คือคำพยานที่ดีที่สุดที่เจ้าสามารถเป็นได้  นี่พิสูจน์ว่าเจ้าครอบครองความรู้ที่แท้จริงในเรื่องพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์—เจ้าไม่เพียงแค่มีความสามารถที่จะรู้จักพระองค์เท่านั้น แต่ยังตระหนักรู้อีกด้วยว่าหนทางที่เจ้าก้าวเดินในวันนี้คือหนทางแห่งชีวิต และหนทางแห่งความจริง  พระราชกิจในช่วงระยะที่พระเยซูได้ทรงปฏิบัตินั้นเพียงแค่ทำให้เนื้อแท้ของ “พระวจนะทรงอยู่กับพระเจ้า” ลุล่วงไปเท่านั้น กล่าวคือ ความจริงเรื่องพระเจ้าทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่กับเนื้อหนังและไม่สามารถแยกจากเนื้อหนังนั้นได้ นั่นคือ เนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นั้นอยู่กับพระวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์อันยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นว่าพระเยซูผู้ซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของพระเจ้า  พระราชกิจช่วงระยะนี้ทำให้ความหมายภายในของคำว่า “พระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” ลุล่วงไปอย่างแท้จริง ให้ความหมายที่ลึกยิ่งขึ้นต่อคำว่า “พระวจนะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวจนะทรงเป็นพระเจ้า” และเปิดโอกาสให้เจ้าเชื่ออย่างมั่นคงในพระวจนะที่ว่า “ในปฐมกาลพระวจนะทรงดำรงอยู่” กล่าวคือ ณ เวลาแห่งการทรงสร้างสรรพสิ่งพระเจ้าทรงถูกครอบครองโดยพระวจนะ พระวจนะของพระองค์ทรงอยู่กับพระองค์และไม่สามารถแยกจากพระองค์ได้ และในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงทำให้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระวจนะของพระองค์แจ่มชัดยิ่งขึ้นไปอีก และเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้เห็นหนทางทั้งหมดของพระองค์—ได้ยินพระวจนะทั้งหมดของพระองค์ เช่นนั้นคือพระราชกิจของยุคสุดท้าย  เจ้าจะต้องมาเข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่ง มันไม่ใช่ประเด็นเกี่ยวกับการรู้จักเนื้อหนัง แต่เกี่ยวกับว่าเจ้าเข้าใจเนื้อหนังและพระวจนะอย่างไร  นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องเป็นคำพยาน สิ่งที่ทุกคนต้องรู้  เนื่องจากนี่เป็นพระราชกิจของการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สอง—และเป็นครั้งสุดท้ายที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์—จึงทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์นั้นครบบริบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยม ดำเนินการและส่งพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าในเนื้อหนังออกไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน และนำยุคแห่งการทรงเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไปสู่บทอวสาน  ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงต้องรู้ความหมายของการจุติเป็นมนุษย์  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะวิ่งวุ่นเพียงใด และไม่สำคัญว่าเจ้าจะดำเนินการเรื่องภายนอกอื่นๆ ได้ดีเพียงใด สิ่งที่สำคัญคือ เจ้ามีความสามารถที่จะนบนอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้อย่างแท้จริงและอุทิศการเป็นอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้าแด่พระเจ้า และเชื่อฟังพระวจนะทั้งหมดซึ่งมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ได้หรือไม่  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ และสิ่งที่เจ้าควรปฏิบัติตาม

คำพยานขั้นสุดท้ายคือคำพยานในเรื่องที่ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้หรือไม่—กล่าวคือ เมื่อได้เข้าใจพระวจนะทั้งหมดที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์แล้ว เจ้าได้มาครอบครองความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและได้กลายเป็นมั่นใจในพระองค์ เจ้าใช้ชีวิตตามพระวจนะทั้งหมดจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และสัมฤทธิ์สภาพเงื่อนไขต่างๆ ที่พระเจ้าทรงขอจากเจ้า—ซึ่งก็คือรูปแบบของเปโตรและความเชื่อของโยบ—จนถึงขนาดที่เจ้าสามารถเชื่อฟังไปจนวันตาย ยอมสละตัวเจ้าเองทั้งหมดแด่พระองค์ และสัมฤทธิ์ฉายาของบุคคลซึ่งได้มาตรฐานในท้ายที่สุด ซึ่งหมายถึงฉายาของใครบางคนที่ได้รับการพิชิตและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  นี่คือคำพยานขั้นสุดท้าย—คือคำพยานซึ่งผู้ที่ในที่สุดแล้วได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมควรจะเป็น  เหล่านี้คือคำพยานสองขั้นตอนที่เจ้าควรจะเป็น และคำพยานเหล่านี้สัมพันธ์กัน แต่ละประการนั้นจะขาดเสียไม่ได้  แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าจะต้องรู้ กล่าวคือ คำพยานที่เราพึงประสงค์จากเจ้าในวันนี้ไม่ได้ชี้ไปที่ผู้คนของโลก อีกทั้งไม่ใช่บุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่ชี้ไปที่สิ่งซึ่งเราขอจากเจ้า  มันถูกประเมินวัดจากการที่เจ้ามีความสามารถที่จะทำให้เราพึงพอใจได้หรือไม่ และเจ้ามีความสามารถที่จะทำตามมาตรฐานทั้งหลายแห่งข้อพึงประสงค์ต่างๆ ที่เรามีต่อพวกเจ้าแต่ละคนได้โดยครบบริบูรณ์หรือไม่  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (4)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 440

เมื่อเจ้าทนทุกข์กับความฝืนใจหรือความยากลำบากเล็กน้อย มันย่อมเป็นการดีสำหรับพวกเจ้า หากพวกเจ้ามีแต่ช่วงเวลาที่สบายกว่านั้น พวกเจ้าคงจะมีอันล่มจม และเช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะสามารถได้รับการปกป้องได้อย่างไรเล่า?  ในวันนี้ มันเป็นเพราะพวกเจ้าถูกตีสอน พิพากษา และสาปแช่ง เจ้าจึงได้รับการปกป้อง  มันเป็นเพราะเจ้าได้ทนทุกข์มามากมาย เจ้าจึงได้รับการปกป้อง  หาไม่แล้ว เจ้าคงจะตกอยู่ในสภาพของความต่ำทรามไปนานแล้ว  นี่ไม่ใช่การทำให้สิ่งทั้งหลายนั้นลำบากยากเย็นสำหรับพวกเจ้าโดยเจตนา—ธรรมชาติของมนุษย์นั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลง และเหตุการณ์จึงต้องเป็นดังนั้นเพื่อให้อุปนิสัยของพวกเขาถูกเปลี่ยนแปลง  ในวันนี้ พวกเจ้าไม่มีแม้กระทั่งมโนธรรมหรือสำนึกรับรู้ซึ่งเปาโลเคยมี และเจ้าไม่มีแม้กระทั่งการตระหนักรู้ในตนเองของเขา พวกเจ้าต้องถูกกดดันตลอดเวลา และพวกเจ้าต้องถูกตีสอนและพิพากษาตลอดเวลาเพื่อที่จะปลุกจิตวิญญาณของพวกเจ้าให้ตื่น  การตีสอนและการพิพากษาคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของพวกเจ้า  และเมื่อจำเป็น ยังจะต้องมีการตีสอนโดยข้อเท็จจริงทั้งหลายที่มาถึงเจ้าเช่นกัน เฉพาะเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเจ้าจึงจะนบนอบอย่างเต็มที่  ธรรมชาติทั้งหลายของพวกเจ้านั้นเป็นถึงขนาดที่ว่าหากปราศจากการตีสอนและการสาปแช่ง เจ้าคงไม่เต็มใจที่จะค้อมศีรษะของเจ้า ไม่เต็มใจที่จะนบนอบ  หากปราศจากข้อเท็จจริงทั้งหลายต่อหน้าต่อตาเจ้า ก็ย่อมจะไม่เกิดผลอันใด  พวกเจ้านั้นมีบุคลิกลักษณะที่ต่ำต้อยและไร้ค่าเกินไป!  หากปราศจากการตีสอนและการพิพากษา ก็คงจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเจ้าที่จะถูกพิชิต และยากที่ความไม่ชอบธรรมและการไม่เชื่อฟังของพวกเจ้าจะถูกเอาชนะ  ธรรมชาติเดิมของพวกเจ้านั้นหยั่งรากลึกยิ่งนัก  หากวางพวกเจ้าไว้บนพระบัลลังก์ พวกเจ้าคงจะไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับความสูงของฟ้าสวรรค์และความลึกของแผ่นดินโลก นับประสาอะไรที่จะมีแนวคิดเกี่ยวกับที่ที่เจ้าได้มุ่งหน้าไป  พวกเจ้าไม่รู้กระทั่งว่าเจ้ามาจากไหน ดังนั้นแล้วเจ้าจะสามารถรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างได้อย่างไรเล่า?  หากปราศจากการตีสอนและการสาปแช่งที่ทันต่อการณ์ของวันนี้ วันสุดท้ายของพวกเจ้าคงได้มาถึงนานแล้ว  ยิ่งไม่พักต้องพูดถึงชะตากรรมของพวกเจ้าเลย—นั่นจะไม่ยิ่งตกอยู่ในภาวะอันตรายซึ่งจวนตัวเข้าไปใหญ่หรือ?  หากปราศจากการตีสอนและการพิพากษาที่ทันต่อการณ์นี้ ใครเล่าจะรู้ว่าพวกเจ้าจะโอหังขึ้นมาเพียงใด หรือเจ้าจะกลายเป็นต่ำทรามเพียงใด  การตีสอนและการพิพากษานี้ได้นำพาพวกเจ้ามาถึงวันนี้ และสิ่งเหล่านี้ได้สงวนการดำรงอยู่ของพวกเจ้าเอาไว้  หากพวกเจ้ายังคง “ได้รับการศึกษา” โดยใช้วิธีการทั้งหลายเช่นเดียวกับวิธีการเหล่านั้นของ “บิดา” ของพวกเจ้า ใครเล่าจะรู้ว่าพวกเจ้าจะเข้าสู่อาณาจักรใด!  พวกเจ้าไม่มีความสามารถอย่างสิ้นเชิงในการควบคุมและทบทวนตัวเอง  สำหรับผู้คนอย่างพวกเจ้า หากเจ้าเพียงแค่ติดตามและเชื่อฟังโดยไม่ได้ทำให้เกิดการแทรกแซงหรือการหยุดชะงักอันใด จุดมุ่งหมายของเราก็ย่อมจะสัมฤทธิ์ผล  พวกเจ้าไม่ควรยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของวันนี้ให้มากขึ้นกระนั้นหรือ?  เจ้ามีทางเลือกอื่นใดหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (6)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 441

ตอนที่กำลังเตรียมตัวเจ้าเองให้พร้อมสรรพสำหรับชีวิต เจ้าต้องมุ่งเน้นไปที่การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าต้องสามารถพูดคุยถึงความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ถึงทรรศนะของเจ้าว่าด้วยชีวิตมนุษย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถึงความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย  ในเมื่อเจ้าแสวงหาชีวิต เจ้าต้องเตรียมตัวเจ้าเองให้พร้อมสรรพด้วยสิ่งเหล่านี้  เมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าต้องประเมินวัดความเป็นจริงแห่งสภาวะของเจ้าเองโดยอิงพระวจนะเหล่านั้น  กล่าวคือ เมื่อเจ้าค้นพบข้อบกพร่องของเจ้าในครรลองของประสบการณ์อันเป็นจริงของเจ้า เจ้าต้องมีความสามารถที่จะค้นหาเส้นทางที่จะปฏิบัติ ที่จะหันหลังให้กับแรงจูงใจทั้งหลายที่ไม่ถูกต้องและมโนคติที่หลงผิดของเจ้า  หากเจ้าเพียรพยายามเพื่อสิ่งเหล่านี้และเทหัวใจของเจ้าเข้าไปในการสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีเส้นทางให้ติดตาม เจ้าจะไม่รู้สึกว่างเปล่า และด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะสามารถธำรงรักษาสภาวะปกติเอาไว้ได้  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นใครบางคนที่แบกภาระในชีวิตของเจ้าเอง เป็นผู้ที่มีความเชื่อ  เหตุใด ผู้คนบางคนจึงไม่สามารถนำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติได้หลังจากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว?  นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุดได้หรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่คิดเรื่องชีวิตอย่างจริงจังหรอกหรือ?  เหตุผลที่พวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจสิ่งที่สำคัญยิ่งยวดและไม่สามารถมีเส้นทางที่จะฝึกฝนปฏิบัติได้ก็คือว่า เมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่สามารถเชื่อมโยงสภาวะของพวกเขาเองเข้ากับพระวจนะเหล่านั้นได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถมีความรู้ความเข้าใจในสภาวะของพวกเขาเอง  ผู้คนบางคนพูดว่า “ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อมโยงสภาวะของฉันกับพระวจนะเหล่านั้น และฉันรู้ว่าฉันเสื่อมทรามและมีขีดความสามารถต่ำ แต่ฉันก็ไม่สามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าได้”  เจ้าได้เห็นไปเพียงผิวเผินอย่างมากเท่านั้นเอง มีสิ่งที่เป็นจริงมากมายที่เจ้าไม่รู้ นั่นคือ จะละวางความชื่นชมยินดีของเนื้อหนังอย่างไร จะละวางความคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมออย่างไร จะเปลี่ยนตัวเจ้าเองอย่างไร จะเข้าสู่สิ่งเหล่านี้อย่างไร จะปรับปรุงขีดความสามารถของเจ้าอย่างไร และจะเริ่มต้นจากแง่มุมใด  เจ้าเพียงจับความเข้าใจไม่กี่อย่างโดยผิวเผินเท่านั้น และทั้งหมดที่เจ้ารู้ก็คือว่าเจ้าเสื่อมทรามอย่างแท้จริง  เมื่อเจ้าพบกับบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า เจ้าพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเจ้าเสื่อมทรามเพียงใด และดูเหมือนว่าเจ้ารู้จักตัวเจ้าเองและแบกภาระอันใหญ่หลวงสำหรับชีวิตของเจ้า  ในข้อเท็จจริงนั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่ได้พบเส้นทางที่จะปฏิบัติ  หากเจ้ากำลังนำทางคริสตจักร เจ้าต้องสามารถจับความเข้าใจสภาวะทั้งหลายของบรรดาพี่น้องชายหญิงและชี้ชัดถึงสภาวะเหล่านั้นได้  นั่นจะเพียงพอหรือไม่ที่แค่พูดว่า “พวกเธอผู้คนทั้งหลายไม่เชื่อฟังและล้าหลัง!”?  ไม่เลย เจ้าต้องพูดอย่างเฉพาะเจาะจงว่าความไม่เชื่อฟังและความล้าหลังของพวกเขาถูกสำแดงอย่างไร  เจ้าต้องพูดถึงสภาวะที่ไม่เชื่อฟังของพวกเขา พฤติกรรมอันไม่เชื่อฟังของพวกเขา และอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขา และเจ้าต้องพูดถึงสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่พวกเขาเชื่อมั่นในความจริงในคำพูดของเจ้าอย่างที่สุด  จงใช้ข้อเท็จจริงและตัวอย่างทั้งหลายเพื่อแสดงประเด็นของเจ้า และจงพูดอย่างตรงชัดถึงวิธีที่พวกเขาสามารถหลุดพ้นจากพฤติกรรมอันเป็นกบฏ และจงชี้ชัดถึงเส้นทางที่จะฝึกฝนปฏิบัติ—นี่คือวิธีที่จะโน้มน้าวผู้คน  มีเพียงบรรดาผู้ที่ทำเช่นนั้นเท่านั้นที่มีความสามารถในการนำทางคนอื่น มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่มีความเป็นจริงความจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 442

การให้คำพยานต่อพระเจ้าโดยหลักแล้วเป็นเรื่องของการพูดถึงความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พูดถึงวิธีที่พระเจ้าทรงพิชิตผู้คน พูดถึงวิธีที่พระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอด พูดถึงวิธีที่พระองค์ทรงเปลี่ยนผู้คน นั่นเป็นเรื่องของการพูดถึงวิธีที่พระองค์ทรงนำผู้คนให้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาถูกพิชิต ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์  การให้คำพยานหมายถึงการพูดถึงพระราชกิจของพระองค์และทั้งหมดที่เจ้าได้รับประสบการณ์มา  มีเพียงพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้ และมีเพียงพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถเปิดเผยพระองค์ต่อสาธารณะได้ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์เป็นคำพยานต่อพระองค์ พระราชกิจและถ้อยดำรัสของพระองค์เป็นตัวแทนพระวิญญาณโดยตรง กล่าวคือ พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำดำเนินการเสร็จสิ้นโดยพระวิญญาณ และพระวจนะที่พระองค์ตรัสก็ตรัสโดยพระวิญญาณ  สิ่งเหล่านี้เพียงแค่แสดงออกโดยผ่านทางเนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นเป็นการแสดงออกของพระวิญญาณ  พระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำและพระวจนะทั้งหมดที่พระองค์ตรัสเป็นตัวแทนแก่นแท้ของพระองค์  หากหลังจากที่ทรงนุ่งห่มพระองค์เองในเนื้อหนังและเสด็จมาท่ามกลางมนุษย์ พระเจ้าไม่ได้ตรัสหรือทรงพระราชกิจ แล้วจากนั้นได้ทรงขอให้พวกเจ้ารู้จักสภาวะความเป็นจริงของพระองค์ ความเป็นปกติของพระองค์ และฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์ เจ้าจะสามารถทำได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถรู้ว่าเนื้อแท้ของพระวิญญาณคือสิ่งใดหรือไม่?  เจ้าจะสามารถรู้ว่าลักษณะของเนื้อหนังของพระองค์คือสิ่งใดหรือไม่?  เป็นเพียงเพราะพวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระองค์แล้ว พระองค์จึงทรงขอให้พวกเจ้าเป็นคำพยานต่อพระองค์  หากพวกเจ้าไม่ได้มีประสบการณ์ดังกล่าว เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็คงจะไม่ทรงยืนกรานให้พวกเจ้าเป็นคำพยาน  ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเจ้าเป็นคำพยานต่อพระเจ้า เจ้าไม่เพียงกำลังเป็นพยานต่อสภาพภายนอกของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็นคำพยานต่อพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำและเส้นทางที่พระองค์ทรงนำทางด้วยเช่นกัน เจ้าจะให้คำพยานต่อวิธีที่เจ้าถูกพิชิตโดยพระองค์และในแง่มุมใดที่เจ้าได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  นี่คือคำพยานประเภทที่เจ้าควรเป็น  หากเจ้าร้องออกมาที่ใดก็ตามที่เจ้าไปว่า “พระเจ้าของพวกเราได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจ และพระราชกิจของพระองค์ช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงจริงๆ!  พระองค์ได้ทรงรับพวกเราไว้โดยไม่มีการกระทำที่เหนือธรรมชาติ โดยไม่มีปาฏิหาริย์และการอัศจรรย์แต่อย่างใดเลย!”  ผู้อื่นก็จะถามว่า “เธอหมายความว่าอย่างไรเมื่อเธอพูดว่าพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจเป็นปาฏิหาริย์กับการอัศจรรย์?  พระองค์สามารถพิชิตเธอได้อย่างไรโดยไม่ได้ทรงพระราชกิจเป็นปาฏิหาริย์กับการอัศจรรย์?”  และเจ้าพูดว่า “พระองค์ตรัส และพระองค์ได้ทรงพิชิตพวกเราโดยไม่มีการแสดงปาฏิหาริย์และการอัศจรรย์อันใด  พระราชกิจของพระองค์ได้พิชิตพวกเรา”  ในท้ายที่สุด หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะพูดสิ่งใดที่มีเนื้อแท้ หากเจ้าไม่สามารถพูดคุยถึงสิ่งที่เฉพาะเจาะจง การนี้ใช่คำพยานที่แท้จริงหรือไม่?  เมื่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงพิชิตผู้คน เป็นพระวจนะของพระเจ้าของพระองค์นั่นเองที่ทำเช่นนั้น  สภาวะความเป็นมนุษย์ไม่สามารถสำเร็จลุล่วงการนี้ได้ นั่นไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์คนใดสามารถสัมฤทธิ์ได้ และแม้แต่บรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถสูงสุดท่ามกลางผู้คนปกติก็ไม่สามารถทำการนี้ได้ ด้วยเหตุที่เทวสภาพของพระองค์สูงส่งกว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใด  นี่เป็นเรื่องเหนือธรรมดาสำหรับผู้คน จะว่าไปแล้ว พระผู้สร้างทรงสูงส่งกว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายไม่สามารถสูงส่งกว่าพระผู้สร้างได้ หากเจ้าสูงส่งกว่าพระองค์ พระองค์ก็คงจะไม่สามารถพิชิตเจ้าได้ และพระองค์เพียงสามารถพิชิตเจ้าได้ก็เพราะพระองค์ทรงสูงส่งกว่าเจ้าเท่านั้น  พระองค์ผู้สามารถพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวงคือพระผู้สร้าง และไม่มีผู้ใดเลยนอกจากพระองค์ที่สามารถทำพระราชกิจนี้ได้  พระวจนะเหล่านี้คือ “คำพยาน”—คำพยานประเภทที่เจ้าควรเป็น  เจ้าได้รับประสบการณ์กับการตีสอน การพิพากษา กระบวนการถลุง การทดสอบ ความพลั้งพลาด และความทุกข์ลำบากไปทีละขั้นตอน และเจ้าก็ได้ถูกพิชิตไปแล้ว เจ้าได้ละวางความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเนื้อหนัง แรงจูงใจส่วนตัวของเจ้า และผลประโยชน์อันแนบสนิทเกี่ยวกับเนื้อหนัง  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระวจนะของพระเจ้าได้พิชิตหัวใจของเจ้าแล้วอย่างครบบริบูรณ์  ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เติบโตในชีวิตของเจ้ามากเท่าที่พระองค์ทรงเรียกร้อง แต่เจ้าก็รู้จักสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดและเจ้าก็เชื่อมั่นในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำอย่างที่สุด  ด้วยเหตุนั้น การนี้อาจจะเรียกได้ว่าคำพยาน คำพยานที่เป็นจริงและแท้จริง  พระราชกิจที่พระเจ้าได้เสด็จมาทรงกระทำ พระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนนั้น หมายที่จะพิชิตมนุษย์ แต่พระองค์ก็กำลังทรงสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระองค์ ยุติยุค และดำเนินพระราชกิจแห่งการสรุปปิดตัวให้เสร็จสิ้นด้วยเช่นกัน  พระองค์กำลังทรงยุติทั้งยุค ช่วยมนุษยชาติทั้งปวงให้รอด ช่วยให้มนุษยชาติพ้นจากบาปเป็นครั้งสุดท้าย พระองค์กำลังทรงได้รับมนุษยชาติซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างอย่างครบถ้วน  เจ้าควรเป็นคำพยานต่อทั้งหมดนี้  เจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามากมายเหลือเกิน เจ้าได้เห็นพระราชกิจด้วยตาของเจ้าเองและได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจด้วยตนเองโดยเฉพาะ เมื่อเจ้าได้ไปถึงวาระสุดท้ายแล้ว เจ้าต้องไม่ไร้ความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่การงานซึ่งเป็นภาระรับผิดชอบของเจ้า  นั่นคงจะเป็นเรื่องน่าเวทนาเสียจริง!  ในอนาคต เมื่อข่าวประเสริฐได้ถูกเผยแผ่ออกไป เจ้าควรที่จะสามารถพูดถึงความรู้ของเจ้าเอง ให้คำพยานต่อทั้งหมดที่เจ้าได้รับในหัวใจของเจ้า และไม่เก็บสำรองความพยายามเอาไว้เลย  นี่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรบรรลุ  สิ่งใดคือนัยสำคัญตามจริงของช่วงระยะนี้ของพระราชกิจของพระเจ้า?  ผลของการนั้นคือสิ่งใด?  และการนั้นได้ถูกดำเนินการเสร็จสิ้นในมนุษย์ไปมากเพียงใด?  ผู้คนควรทำสิ่งใด?  เมื่อพวกเจ้าสามารถพูดถึงพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้ทรงกระทำนับตั้งแต่เสด็จมายังแผ่นดินโลกได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วคำพยานของเจ้าก็จะครบบริบูรณ์  เมื่อเจ้าสามารถพูดถึงห้าสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน นั่นคือ นัยสำคัญของพระราชกิจของพระองค์ เนื้อหาของพระราชกิจ เนื้อแท้ของพระราชกิจ อุปนิสัยที่พระราชกิจเป็นตัวแทน และหลักการของพระราชกิจ เช่นนั้นแล้วนี่ก็จะพิสูจน์ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้า ว่าเจ้าครองความรู้อย่างแท้จริง  ข้อพึงประสงค์ของเราต่อพวกเจ้านั้นไม่สูงมากนัก และสามารถบรรลุได้โดยบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไล่ตามเสาะหาอย่างแท้จริง  หากเจ้าปลงใจที่จะเป็นหนึ่งในพยานของพระเจ้า เจ้าต้องเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดและสิ่งที่พระองค์ทรงรัก  เจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ไปมากมาย โดยผ่านทางพระราชกิจนี้ เจ้าต้องมารู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ และใช้ความรู้นี้ให้คำพยานเกี่ยวกับพระองค์และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  เจ้าอาจพูดเพียงว่า “พวกเรารู้จักพระเจ้า  การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์รุนแรงมาก  พระวจนะของพระองค์เข้มงวดมาก พระวจนะเหล่านั้นชอบธรรมและเปี่ยมบารมีมาก และพระวจนะเหล่านั้นมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองได้โดยมนุษย์คนใด” แต่พระวจนะเหล่านี้ท้ายที่สุดแล้วจัดเตรียมสำหรับมนุษย์หรือไม่?  สิ่งใดคือผลของพระวจนะเหล่านี้ต่อผู้คน?  เจ้ารู้จริงหรือไม่ว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนนี้เป็นประโยชน์มากที่สุดต่อเจ้า?  การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้ากำลังเปิดโปงความเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของเจ้าใช่หรือไม่?  การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าสามารถขับไล่สิ่งโสมมและเสื่อมทรามเหล่านั้นภายในตัวเจ้าและชำระสิ่งเหล่านั้นให้สะอาดได้ใช่หรือไม่?  หากไม่มีการพิพากษาและการตีสอน เจ้าจะกลายเป็นสิ่งใด?  อันที่จริงแล้วเจ้าระลึกได้หรือไม่ถึงข้อเท็จจริงที่ว่าซาตานได้ทำให้เจ้าเสื่อมทรามจนถึงระดับที่ถลำลึกที่สุด?  ในวันนี้ พวกเจ้าควรเตรียมตัวพวกเจ้าให้พร้อมสรรพด้วยสิ่งเหล่านี้และรู้จักสิ่งเหล่านี้ให้ดี

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 443

พวกเจ้ารู้ถึงสิ่งที่พวกเจ้าจำเป็นต้องมีพร้อมในตอนนี้หรือไม่?  แง่มุมหนึ่งของสิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับนิมิตเกี่ยวกับพระราชกิจ และอีกแง่มุมหนึ่งคือการฝึกฝนปฏิบัติของเจ้า  เจ้าต้องจับความเข้าใจทั้งสองแง่มุมนี้  หากเจ้าไม่มีนิมิตในการเสาะแสวงหาเพื่อสร้างความก้าวหน้าในชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีรากฐาน  หากเจ้ามีเพียงเส้นทางแห่งการฝึกฝนปฏิบัติ โดยไม่มีนิมิตแม้แต่น้อย และไม่มีความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับพระราชกิจของแผนการบริหารจัดการโดยรวม เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่เป็นประโยชน์อันใด  เจ้าต้องเข้าใจความจริงที่เกี่ยวข้องกับนิมิต และในส่วนของความจริงที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนปฏิบัตินั้น เจ้าจำเป็นต้องค้นหาเส้นทางแห่งการฝึกฝนปฏิบัติที่เหมาะสมหลังจากที่เจ้าได้เข้าใจความจริงเหล่านั้นแล้ว เจ้าต้องฝึกฝนปฏิบัติตามพระวจนะ และเข้าสู่ตามสภาพเงื่อนไขของเจ้า  นิมิตคือรากฐาน และหากเจ้าไม่เอาใจใส่ข้อเท็จจริงนี้ เจ้าจะไม่สามารถติดตามไปจนถึงท้ายที่สุดได้ การได้รับประสบการณ์ในลักษณะดังกล่าวจะพาให้เจ้าหลงผิด หรือไม่ก็ทำให้เจ้าล้มลงและล้มเหลว  จะไม่มีหนทางใดให้เจ้าประสบความสำเร็จ!  ผู้คนที่ไม่มีนิมิตที่ยิ่งใหญ่เป็นรากฐานของพวกเขารังแต่จะล้มเหลวเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถประสบความสำเร็จ  เจ้าจะไม่สามารถตั้งมั่น!  เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเชื่อในพระเจ้าเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าการติดตามพระเจ้าหมายถึงอะไร?  หากปราศจากนิมิตแล้ว เจ้าจะเดินบนเส้นทางใด?  ในพระราชกิจของวันนี้ หากเจ้าไม่มีนิมิต เจ้าจะไม่สามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ได้เลย  เจ้าเชื่อในผู้ใดกัน?  เหตุใดเจ้าจึงเชื่อในพระองค์?  เหตุใดเจ้าจึงติดตามพระองค์?  เจ้ามองเห็นความเชื่อของเจ้าเป็นดังเกมอย่างหนึ่งหรือ?  เจ้ากำลังจัดการกับชีวิตของเจ้าเหมือนเป็นของเล่นประเภทหนึ่งหรือ?  พระเจ้าของวันนี้คือนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  เจ้ารู้จักพระองค์มากเพียงใด?  เจ้าได้มองเห็นพระองค์มากเพียงใด?  เมื่อได้มองเห็นพระเจ้าของวันนี้แล้ว รากฐานของการเชื่อในพระเจ้าของเจ้ามั่นคงหรือไม่?  เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะบรรลุความรอดตราบเท่าที่เจ้าติดตามไปในหนทางที่ปนเปยุ่งเหยิงนี้?  เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถจับปลาในน้ำขุ่นคลั่กได้?  มันง่ายเช่นนั้นหรือ?  เจ้าได้พักวางมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะที่พระเจ้าดำรัสในวันนี้ไปมากเพียงใด?  เจ้ามีนิมิตเกี่ยวกับพระเจ้าของวันนี้หรือไม่?  ความเข้าใจที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าของวันนี้อยู่ในที่ใด?  เจ้าเชื่ออยู่เสมอว่าเจ้าสามารถได้มาซึ่งพระองค์[ก]เพียงด้วยการติดตามพระองค์ หรือเพียงด้วยการมองเห็นพระองค์ และว่าไม่มีใครจะสามารถกำจัดเจ้าได้  อย่าทึกทักเอาว่าการติดตามพระเจ้าเป็นเรื่องง่ายนัก  สิ่งสำคัญคือเจ้าต้องรู้จักพระองค์ เจ้าต้องรู้จักพระราชกิจของพระองค์ และเจ้าต้องมีเจตจำนงที่จะสู้ทนความยากลำบากเพื่อประโยชน์ของพระองค์ เสียสละชีวิตของเจ้าเพื่อพระองค์ และได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์  นี่คือนิมิตที่เจ้าควรมี  จะไม่เกิดประโยชน์อันใดหากความคิดของเจ้ามุ่งมั่นแต่จะชื่นชมพระคุณอยู่เสมอ  อย่าสันนิษฐานว่าพระเจ้าทรงอยู่ที่นี่เพียงเพื่อความชื่นชมยินดีของผู้คน หรือเพื่อประทานพระคุณแก่พวกเขา  เจ้าจะคิดผิด!  หากคนเราไม่สามารถเสี่ยงชีวิตของพวกเขาเพื่อติดตามพระองค์ และหากคนเราไม่สามารถละทิ้งสิ่งครอบครองทุกอย่างทางโลกเพื่อติดตามพระองค์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่สามารถติดตามพระองค์ต่อไปจนถึงที่สุดได้อย่างแน่นอน!  เจ้าต้องมีนิมิตเป็นรากฐานของเจ้า  หากวันหนึ่งมีโชคร้ายบังเกิดกับเจ้า เจ้าควรจะทำอย่างไรหรือ?  เจ้าจะยังคงสามารถติดตามพระองค์ได้หรือไม่?  จงอย่าพูดพล่อยๆ ว่าเจ้าจะสามารถติดตามไปจนถึงที่สุดได้หรือไม่ได้  เจ้าควรเปิดตาของเจ้าให้กว้างเสียก่อนจะดีกว่าเพื่อดูว่าตอนนี้เป็นเวลาใด  ถึงแม้ว่าในขณะนี้พวกเจ้าอาจเป็นเหมือนกับเสาของพระวิหาร แต่สักวันหนึ่งย่อมถึงเวลาที่เสาทั้งหมดเหล่านั้นจะถูกหนอนกัดแทะ ทำให้พระวิหารพังลงได้ เพราะในขณะนี้มีนิมิตมากมายที่พวกเจ้าขาดพร่องอยู่  พวกเจ้าเพียงใส่ใจกับโลกเล็กๆ ของพวกเจ้าเอง และพวกเจ้าไม่รู้ว่าวิธีการที่เชื่อถือได้และเหมาะสมที่สุดในการแสวงหาคืออะไร  พวกเจ้าไม่ใส่ใจกับนิมิตของพระราชกิจของวันนี้ อีกทั้งพวกเจ้าไม่โอบกอดสิ่งเหล่านี้ไว้ในหัวใจของเจ้า  พวกเจ้าเคยคำนึงหรือไม่ว่าวันหนึ่งพระเจ้าของพวกเจ้าจะพาพวกเจ้าไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยที่สุด?  พวกเจ้าจินตนาการได้หรือไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดกับเจ้าในวันหนึ่งที่เราอาจคว้าทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพวกเจ้า?  กำลังวังชาของพวกเจ้าในวันนั้นจะเป็นเหมือนกับที่เป็นในตอนนี้หรือไม่?  ความเชื่อของพวกเจ้าจะปรากฏอีกครั้งหรือไม่?  ในการติดตามพระเจ้า เจ้าต้องรู้นิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ซึ่งก็คือ “พระเจ้า” กล่าวคือ นี่เป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญที่สุด  นอกจากนี้ จงอย่าทึกทักเอาว่าการหยุดเสวนากับมนุษย์ในโลกเพื่อให้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์นั้นจะทำให้เจ้าได้อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าอย่างแน่แท้  ทุกวันนี้ พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นผู้ปฏิบัติพระราชกิจท่ามกลางการทรงสร้าง เป็นพระองค์ที่เสด็จมาท่ามกลางผู้คนเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์เอง—ไม่ใช่เพื่อดำเนินการรณรงค์  ในหมู่พวกเจ้า ไม่มีแม้สักหยิบมือที่สามารถรู้ว่าพระราชกิจของวันนี้คือพระราชกิจของพระเจ้าในฟ้าสวรรค์ที่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์  นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการทำให้พวกเจ้ากลายเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์โดดเด่น นี่คือการช่วยพวกเจ้าให้รู้ถึงนัยสำคัญของชีวิตมนุษย์ รู้บั้นปลายของมนุษย์ และรู้จักพระเจ้าและความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์  เจ้าควรรู้ว่าเจ้าเป็นวัตถุแห่งการทรงสร้างในพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง  เจ้าควรเข้าใจสิ่งใด เจ้าควรทำสิ่งใด และเจ้าควรติดตามพระเจ้าอย่างไร—เหล่านี้ไม่ใช่ความจริงที่เจ้าต้องจับใจความหรือ?  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่นิมิตที่เจ้าควรเห็นหรือ?

เมื่อผู้คนมีนิมิตแล้ว พวกเขาก็มีรากฐาน  เมื่อเจ้าฝึกฝนปฏิบัติตามรากฐานนี้ การเข้าสู่จะง่ายยิ่งขึ้น  เมื่อเป็นเช่นนั้น ทันทีที่เจ้ามีรากฐานสำหรับการเข้าสู่ เจ้าจะไม่มีความคลางแคลงใจ และจะเป็นการง่ายมากที่เจ้าจะเข้าสู่  แง่มุมในการเข้าใจนิมิตและการรู้จักพระราชกิจของพระเจ้านี้สำคัญยิ่ง พวกเจ้าต้องมีแง่มุมนี้ในคลังแสงของเจ้า  หากเจ้าไม่มีแง่มุมนี้ของความจริงติดตัว และรู้เพียงวิธีการพูดคุยถึงเส้นทางแห่งการฝึกฝนปฏิบัติเท่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าจะมีข้อเสียอันใหญ่หลวง  เราได้ค้นพบว่าพวกเจ้าหลายคนไม่ให้ความสำคัญกับแง่มุมนี้ของความจริง และเมื่อเจ้ารับฟังแง่มุมนี้ เจ้าดูเหมือนจะฟังแค่วจนะและคำสอนเท่านั้น  วันหนึ่งเจ้าจะล้มเหลว  ทุกวันนี้มีถ้อยดำรัสบางส่วนที่เจ้าไม่ค่อยเข้าใจและไม่ยอมรับ ในกรณีเช่นนั้น เจ้าควรแสวงหาอย่างอดทน และเจ้าจะเข้าใจในวันหนึ่ง  จงค่อยๆ เตรียมตัวเจ้าเองให้มีนิมิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ต่อให้เจ้าเข้าใจคำสอนฝ่ายจิตวิญญาณเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น นั่นก็ยังดีกว่าการไม่ใส่ใจในนิมิตเลย และยังคงดีกว่าการไม่เข้าใจสิ่งใดเลย  ทั้งหมดนี้เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ของเจ้า และจะกำจัดความกังขาเหล่านั้นของเจ้า  นั่นย่อมดีกว่าการดำรงอยู่ที่เต็มไปด้วยมโนคติที่หลงผิดของเจ้า  ชีวิตเจ้าจะดีขึ้นมากหากเจ้ามีนิมิตเหล่านี้เป็นรากฐาน  เจ้าจะไม่มีความคลางแคลงใจใดๆ เลย และจะสามารถเข้าสู่ได้อย่างกล้าหาญและมั่นใจ  เหตุใดจึงต้องเดือดร้อนกับการติดตามพระเจ้าอย่างงุนงงสับสนและกังขาเช่นนั้นอยู่เสมอเล่า?  นั่นไม่ใช่อย่างเดียวกับการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหรอกหรือ?  จะดีเพียงใดที่จะได้เดินกร่างวางท่าพลางก้าวยาวๆ เข้าไปในราชอาณาจักร!  เหตุใดจึงเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจเล่า?  พวกเจ้าไม่ได้แค่กำลังพาตัวเจ้าเองฝ่านรกของจริงหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชกิจของพระยาห์เวห์ พระราชกิจของพระเยซู และพระราชกิจระยะนี้แล้ว เจ้าจะมีรากฐาน  ในขณะนี้เจ้าอาจจะจินตนาการว่าการนั้นค่อนข้างเรียบง่าย  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “เมื่อเวลานั้นมาถึงและเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเริ่มต้นพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ ฉันจะสามารถพูดคุยถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  ข้อเท็จจริงที่ว่าฉันยังไม่เข้าใจจริงๆ ในตอนนี้นั้นเป็นเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ฉันมากขนาดนั้น”  นั่นไม่ง่ายขนาดนั้น  ไม่ใช่ว่าหากเจ้าเต็มใจจะยอมรับความจริง[ข]ในตอนนี้แล้ว เจ้าจะใช้ความจริงได้อย่างเชี่ยวชาญเมื่อถึงเวลา  ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป!  เจ้าเชื่อว่าในปัจจุบันเจ้ามีความพร้อมดีมากแล้ว และเจ้าคงจะไม่มีปัญหาในการตอบสนองต่อผู้คนในศาสนาและบรรดานักทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และแม้กระทั่งในการหักล้างพวกเขา  เจ้าจะสามารถทำเช่นนั้นได้จริงๆ หรือ?  เจ้าจะสามารถกล่าวถึงความเข้าใจอะไรได้ด้วยประสบการณ์อันผิวเผินเพียงเท่านั้นของเจ้า?  การพร้อมด้วยความจริง การต่อสู้ในการสู้รบแห่งความจริง และการให้คำพยานต่อพระนามของพระเจ้านั้นไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด—ว่าทั้งหมดจะสำเร็จลุล่วงตราบใดที่พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจ  ถึงตอนนั้นเจ้าอาจจะถูกทำให้งงงันด้วยคำถามบางอย่าง และจากนั้นเจ้าก็จะตกตะลึงจนพูดไม่ออก  สิ่งสำคัญคือเจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับพระราชกิจระยะนี้หรือไม่ และจริงๆ แล้วเจ้ารู้เกี่ยวกับพระราชกิจระยะนี้มากเพียงใด?  หากเจ้าไม่สามารถเอาชนะกำลังบังคับของศัตรูหรือทำให้กำลังบังคับของศาสนาพ่ายแพ้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ไร้ค่าหรือ?  เจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของวันนี้ ได้มองเห็นพระราชกิจนั้นด้วยตาของเจ้าเอง และได้ยินพระราชกิจนั้นด้วยหูของเจ้าเองแล้ว แต่หากในท้ายที่สุดเจ้าไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะยังคงมีความอวดดีที่จะมีชีวิตต่อไปหรือ?  เจ้าจะสามารถเผชิญหน้ากับใครได้?  จงอย่าจินตนาการว่ามันจะง่ายเช่นนั้น  พระราชกิจในภายภาคหน้าจะไม่ง่ายเหมือนกับที่เจ้าจินตนาการไว้ การต่อสู้ในสงครามแห่งความจริงไม่ง่ายเช่นนั้น ไม่ตรงไปตรงมาเช่นนั้น  ตอนนี้ เจ้าจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม หากเจ้าไม่พร้อมไปด้วยความจริง เมื่อเวลานั้นมาถึงและพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงปฏิบัติงานในลักษณะที่เกินธรรมชาติ เจ้าย่อมจะทำอะไรไม่ถูก

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกเจ้าต้องเข้าใจพระราชกิจ—อย่าติดตามอย่างงุนงงสับสน!

เชิงอรรถ:

ก. ข้อความต้นฉบับไม่มีคำว่า “พระองค์”

ค. ข้อความต้นฉบับไม่มีคำว่า “ความจริง”

ก่อนหน้า: การเข้าสู่ชีวิต 1

ถัดไป: การเข้าสู่ชีวิต 3

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger