ฉ) วิธีแยกความแตกต่างระหว่างการมีงานของพวกวิญญาณชั่วกับการถูกพวกวิญญาณชั่วครอบงำ

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

อะไรคืองานที่มาจากซาตาน?  ในงานที่มาจากซาตาน นิมิตภายในผู้คนนั้นคลุมเครือ ผู้คนปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ แรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของพวกเขานั้นผิด และถึงแม้ว่าพวกเขาปรารถนาที่จะรักพระเจ้า แต่ก็มีข้อกล่าวหาภายในพวกเขาเสมอ และข้อกล่าวหาและความคิดเหล่านี้ก่อให้เกิดการรบกวนอยู่เป็นนิตย์ภายในพวกเขา ซึ่งจำกัดควบคุมการเติบโตของชีวิตของพวกเขา และหยุดพวกเขาไม่ให้มายังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในสภาพเงื่อนไขปกติ  กล่าวได้ว่า ทันทีที่งานของซาตานอยู่ภายในผู้คน หัวใจของพวกเขาก็ไม่สามารถสงบสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้  ผู้คนเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับตัวเอง—เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนมารวมตัวกัน พวกเขาต้องการวิ่งหนี และพวกเขาไม่สามารถหลับตาได้เมื่อผู้อื่นอธิษฐาน  งานของวิญญาณชั่วทำลายสัมพันธภาพปกติระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และปั่นป่วนนิมิตก่อนหน้านี้ของผู้คนหรือเส้นทางที่ผ่านมาในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาไม่สามารถมีวันเข้าไปใกล้พระเจ้าได้ และสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งก่อให้เกิดการรบกวนแก่พวกเขาและล่ามโซ่พวกเขาไว้  หัวใจของพวกเขาไม่สามารถพบสันติสุข และพวกเขาถูกทิ้งไว้โดยไม่มีกำลังที่จะรักพระเจ้าและโดยที่จิตวิญญาณของพวกเขาจมลง  เช่นนั้นคือการสำแดงของงานของซาตาน  การสำแดงของงานของซาตานคือ การไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้และยืนหยัดเป็นพยาน ซึ่งทำให้เจ้ากลายเป็นใครคนหนึ่งที่ทำผิดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเป็นผู้ที่ไม่มีความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  เมื่อซาตานก่อกวน เจ้าสูญเสียความรักและความจงรักภักดีต่อพระเจ้าภายในเจ้า เจ้าถูกปลดเปลื้องจากสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้า เจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการปรับปรุงตัวเอง เจ้าถอยหลังและกลายเป็นนิ่งเฉย เจ้าหมกมุ่นกับตัวเอง เจ้าปล่อยให้การแพร่กระจายของบาปดำเนินไปอย่างอิสระและไม่รังเกียจบาป ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าแทรกแซงของซาตานทำให้เจ้าเหลวไหล นั่นทำให้การทรงสัมผัสของพระเจ้าอันตรธานไปภายในเจ้า และทำให้เจ้าพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ นำเจ้าไปสู่การตั้งคำถามกับพระเจ้า มีแม้กระทั่งความเสี่ยงที่ว่าเจ้าจะทอดทิ้งพระเจ้า  ทั้งหมดนี้มาจากซาตาน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และงานของซาตาน

เมื่อผู้คนรู้จักพระเจ้า พวกเขาย่อมยินดีที่จะทนทุกข์และมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า แต่ซาตานยังคงควบคุมจุดอ่อนในตัวพวกเขาอยู่ ซาตานยังคงทำให้พวกเขาทุกข์ทนได้ พวกวิญญาณชั่วยังคงทำงานและก่อให้เกิดการหยุดชะงักในตัวพวกเขาได้ สะกดพวกเขา ทำให้พวกเขาฟั่นเฟือน อึดอัด และไม่สบายใจอย่างยิ่ง  ในความคิดและจิตสำนึกของผู้คนมีสิ่งต่างๆ ที่หมิ่นเหม่ต่อการถูกซาตานควบคุมและบงการ  เพราะฉะนั้น บางครั้งเจ้าจึงป่วยไข้หรือทุรนทุราย มีบางครั้งที่เจ้ารู้สึกว่าโลกอ้างว้าง หรือไม่มีประโยชน์ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป และถึงกับมีบางครั้งที่เจ้าอาจแสวงหาความตายและอยากปลิดชีพตัวเอง  นั่นหมายความว่าความเจ็บปวดเหล่านี้ถูกซาตานควบคุมเอาไว้ และเป็นจุดอ่อนที่ทำให้มนุษย์ถึงตายได้  สิ่งที่ถูกซาตานเหยียบย่ำและทำให้เสื่อมทรามย่อมถูกซาตานช่วงใช้ได้อยู่ดี นี่คือสิ่งที่ซาตานใช้กดดัน… เมื่อพวกวิญญาณชั่วทำงาน ย่อมไม่มีช่องโหว่ที่พวกมันจะไม่ใช้หาประโยชน์  พวกมันอาจพูดอยู่ภายในตัวเจ้าหรือพูดกรอกหูเจ้า หรือพวกมันอาจรบกวนจิตใจเจ้าและทำให้ความคิดของเจ้าหยุดชะงัก ทำให้เจ้าด้านชาต่อสัมผัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หยุดยั้งเจ้าไม่ให้รู้สึกถึงสัมผัสนั้น และแล้วพวกวิญญาณชั่วก็จะเริ่มแทรกแซงเจ้า ทำให้ความคิดของเจ้าสับสนอลหม่าน และทำให้เจ้าสิ้นสำนึก ถึงกับทำให้ดวงจิตของเจ้าออกจากร่างเจ้าไป  นี่คืองานที่พวกวิญญาณชั่วทำในตัวผู้คน และผู้คนก็ตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวงหากพวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่าแท้จริงแล้วนี่คือสิ่งใด

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, นัยสำคัญแห่งการที่พระเจ้าทรงรับรสชาติของความทุกข์ทางโลก

บางคนกล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาตลอดเวลา นี่เป็นไปไม่ได้  หากพวกเขาจะกล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับพวกเขาตลอดเวลา นั่นอาจจะตรงกับความเป็นจริง หากพวกเขาจะกล่าวว่าการคิดและสำนึกรับรู้ของพวกเขาเป็นปกติตลอดเวลา นั่นก็อาจจะตรงกับความเป็นจริงได้เช่นกัน และอาจแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับพวกเขา หากพวกเขากล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจภายในตัวพวกเขาตลอดเวลา กล่าวว่าพวกเขาได้รับการให้ความรู้แจ้งโดยพระเจ้าและได้รับการสัมผัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทุกชั่วขณะ และได้รับความรู้ใหม่ตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องปกติแต่อย่างใดเลย!  มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งสิ้น!  ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ผู้คนเช่นนั้นก็คือเหล่าวิญญาณชั่ว!  แม้คราที่พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็มีเวลาที่พระองค์ยังต้องเสวยและต้องทรงหยุดพัก—ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมนุษย์แต่อย่างใด  พวกที่ได้ถูกเหล่าวิญญาณชั่วครอบครองนั้นดูเหมือนว่าไม่มีความอ่อนแอของเนื้อหนัง พวกเขาสามารถละทิ้งและล้มเลิกทุกสิ่งได้ พวกเขาเป็นอิสระจากอารมณ์ความรู้สึก สามารถสู้ทนความทรมานและไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกเขาได้อยู่เหนือเนื้อหนังแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติอย่างที่สุดหรอกหรือ?  งานของเหล่าวิญญาณชั่วนั้นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ—ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถสัมฤทธิ์สิ่งต่างๆ เช่นนั้นได้!  พวกที่ขาดการหยั่งรู้จะอิจฉาเมื่อพวกเขาเห็นผู้คนเช่นนั้น นั่นคือ พวกเขากล่าวว่าคนเหล่านั้นมีเรี่ยวแรงกำลังเช่นนั้นในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา มีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ และไม่เคยแสดงให้เห็นสัญญาณของความอ่อนแอแม้แต่น้อย!  ในความเป็นจริงแล้ว เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการสำแดงให้เห็นถึงงานของวิญญาณชั่ว  ด้วยเพราะผู้คนปกติย่อมมีความอ่อนแอของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือสภาวะปกติของบรรดาผู้ที่มีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (4)

หากในระหว่างยุคปัจจุบันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่ออกมาซึ่งสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไล่ผี รักษาคนป่วย และทำปาฏิหาริย์มากมาย และหากบุคคลผู้นี้อ้างว่าพวกเขาคือพระเยซูผู้ได้เสด็จมา เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นสิ่งเทียมเท็จที่ทำขึ้นโดยพวกวิญญาณชั่วที่เลียนแบบพระเยซู  จงจดจำการนี้ไว้!  พระเจ้าไม่ทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ  ช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเยซูได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีวันทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนั้นอีกครั้ง  พระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ได้ ยกตัวอย่างเช่น พันธสัญญาเดิมได้บอกล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ และผลลัพธ์ของคำพยากรณ์นี้คือการเสด็จมาของพระเยซู เมื่อการนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็น่าจะผิดที่จะมีพระเมสสิยาห์อีกองค์เสด็จมาอีกครั้ง  พระเยซูได้เสด็จมาแล้วครั้งหนึ่ง และย่อมจะผิดหากพระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งในครานี้  มีหนึ่งชื่อสำหรับแต่ละยุค และแต่ละชื่อประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญของยุคนั้น  ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พระเจ้าต้องทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เสมอ ต้องทรงรักษาคนป่วยและไล่ผีเสมอ และต้องทรงเป็นดุจดั่งพระเยซูเสมอ  กระนั้นในครานี้ พระเจ้ามิได้ทรงเป็นเช่นนั้นแต่อย่างใด  หากในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้ายังคงทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และยังคงทรงไล่ผีและรักษาคนป่วย—หากพระองค์ทรงทำอย่างเดียวกันกับพระเยซู—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็คงจะกำลังทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ และพระราชกิจของพระเยซูก็จะไม่มีนัยสำคัญหรือคุณค่า  ดังนั้นในทุกยุคพระเจ้าจึงทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะเดียวจนแล้วเสร็จ  ทันทีที่แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระองค์ได้ดำเนินการครบบริบูรณ์แล้ว ในไม่ช้าก็ถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว และหลังจากซาตานเริ่มตามหลังพระเจ้าไปติดๆ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนแปลงไปสู่วิธีการที่ต่างออกไป  ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ ก็จะถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว  พวกเจ้าต้องชัดเจนเกี่ยวกับการนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้

มีบางคนผู้ถูกวิญญาณชั่วเข้าครองและส่งเสียงร้องอย่างระเบ็งเซ็งแซ่ว่า “เราคือพระเจ้า!”  กระนั้น ในที่สุดพวกเขาก็ถูกเปิดเผย เพราะพวกเขาทำผิดในสิ่งที่พวกเขาเป็นตัวแทน  พวกเขาเป็นตัวแทนซาตาน และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใส่พระทัยพวกเขา  เจ้าจะยกย่องตัวเจ้าเองอย่างสูงเพียงใดก็ตาม หรือเจ้าจะส่งเสียงร้องอย่างแข็งกร้าวเพียงใดก็ตาม เจ้าก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งและเป็นผู้ที่เป็นของซาตาน  เราไม่มีวันส่งเสียงร้องว่า “เราคือพระเจ้า เราเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้า!”  แต่งานที่เราทำคือพระราชกิจของพระเจ้า  เราจำเป็นต้องตะโกนหรือ?  ไม่มีความจำเป็นต้องมีการยกย่อง  พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์เองด้วยพระองค์เอง และไม่จำเป็นต้องทรงให้มนุษย์มอบสถานะแก่พระองค์หรือให้สมญาซึ่งเป็นการให้เกียรติพระองค์ กล่าวคือ  พระราชกิจของพระองค์เป็นตัวแทนของพระอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์  ก่อนหน้าการบัพติศมาของพระองค์ พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่?  พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นเนื้อหนังซึ่งเป็นการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าหรอกหรือ?  แน่ใจหรือไม่ว่าไม่สามารถกล่าวได้ว่า หลังจากการได้รับพยานแล้วเท่านั้นพระองค์จึงทรงกลายเป็นพระบุตรพระองค์เดียวของพระเจ้า?  มนุษย์ผู้มีนามว่าเยซูไม่ได้มีอยู่แล้วเนิ่นนานก่อนที่พระองค์จะได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์หรอกหรือ?  เจ้าไร้ความสามารถที่จะสร้างเส้นทางใหม่ๆ ขึ้นมา หรือเป็นตัวแทนพระวิญญาณได้  เจ้าไม่สามารถแสดงออกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณหรือพระวจนะที่พระองค์ตรัส  เจ้าไร้ความสามารถที่จะทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองได้ และเจ้าก็ไร้ความสามารถที่จะทำพระราชกิจของพระวิญญาณได้  พระปัญญา การอัศจรรย์ และความมิอาจหยั่งถึงได้ของพระเจ้า และความครบถ้วนบริบูรณ์แห่งพระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงใช้ตีสอนมนุษย์—เหล่านี้ทั้งหมดล้วนเกินความสามารถของเจ้าที่จะแสดงออกได้  ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามกล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้า เจ้าคงจะมีเพียงชื่อเท่านั้นและไม่มีสิ่งใดจากเนื้อแท้เลย  พระเจ้าพระองค์เองได้เสด็จมาแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดจำพระองค์ได้ กระนั้นพระองค์ยังทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ต่อไป และทรงทำเช่นนั้นในการเป็นตัวแทนของพระวิญญาณ  ไม่ว่าเจ้าจะเรียกพระองค์ว่ามนุษย์หรือพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าหรือพระคริสต์ หรือเรียกพระองค์ว่าพี่น้องหญิง นั่นก็ไม่สำคัญ  แต่พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำคือพระราชกิจของพระวิญญาณและเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง  พระองค์ไม่ใส่พระทัยกับพระนามที่มนุษย์ใช้เรียกพระองค์  พระนามนั้นสามารถกำหนดพระราชกิจของพระองค์ได้หรือ?  ไม่ว่าเจ้าจะเรียกพระองค์ว่าอย่างไร เท่าที่พระเจ้าทรงคำนึงก็คือ พระองค์ทรงเป็นเนื้อหนังที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระวิญญาณและได้รับความเห็นชอบโดยพระวิญญาณ  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะกรุยทางให้แก่ยุคใหม่ หรือนำพายุคเก่าไปถึงปลายทาง หรือนำยุคใหม่เข้ามา หรือทำงานใหม่ได้ เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถเรียกเจ้าว่าพระเจ้าได้!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (1)

มีผู้คนบางคนซึ่งเมื่อไม่มีประเด็นปัญหาใดเกิดขึ้นก็เป็นปกติดี ผู้ซึ่งพูดและสนทนาเป็นปกติดี ผู้ซึ่งดูเหมือนปกติ และผู้ซึ่งไม่ทำอะไรที่แย่เลย  แต่เมื่อมีการอ่านพระวจนะของพระเจ้าในการชุมนุม เมื่อมีการสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็พลันเริ่มประพฤติตนอย่างไม่เป็นปกติ  บางคนไม่สามารถทนฟังได้ บางคนกลายเป็นเซื่องซึม และบางคนเจ็บป่วย โดยพูดว่าพวกเขารู้สึกแย่และไม่ปรารถนาที่จะได้ยินอีกต่อไป  แล้วพวกเขาก็ปราศจากการตระหนักรู้อย่างครบบริบูรณ์—อันที่จริงแล้ว กำลังเกิดอะไรขึ้นตรงนี้หรือ?  พวกเขาได้ถูกวิญญาณชั่วเข้าครอง  เหตุใดหรือพวกเขาจึงพูดคำพูดซ้ำๆ ว่า “ฉันไม่อยากฟัง” ในยามที่พวกเขาได้ถูกวิญญาณชั่วดวงหนึ่งเข้าครอง?  บางครั้งผู้คนไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่ได้ แต่การนี้ชัดเจนราวแก้วผลึกสำหรับวิญญาณชั่วดวงหนึ่ง  นี่คือจิตวิญญาณที่อยู่ภายในพวกศัตรูของพระคริสต์  เจ้าถามพวกเขาว่าเหตุใดพวกเขาจึงเป็นอริกับความจริง และพวกเขาก็กล่าวว่าพวกเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น และพวกเขาก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะไม่ยอมรับเรื่องนี้  แต่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่รักความจริง  ตอนที่ไม่ได้กำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่ พวกเขาดูเป็นปกติในยามที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่น  เจ้าคงจะไม่รู้สิ่งที่อยู่ข้างในพวกเขา  เมื่อพวกเขาลองพยายามและอ่านพระวจนะของพระเจ้า คำพูดทั้งหลายก็ออกมาว่า “ฉันไม่อยากฟัง” ธรรมชาติของพวกเขาได้ถูกเปิดโปงแล้ว และนี่คือสิ่งที่พวกเขาเป็น  พระวจนะของพระเจ้าได้ยั่วยุพวกเขา หรือเปิดเผยพวกเขา หรือตีพวกเขาตรงที่มันเจ็บหรือ?  ไม่ใช่สิ่งใดข้างต้นเลย  สิ่งที่ได้เกิดขึ้นก็คือว่า ตอนที่ทุกคนกำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขากล่าวว่าพวกเขาไม่ต้องการได้ยินพระวจนะเหล่านั้น  พวกเขาไม่ใช่คนเลวหรอกหรือ?  การเป็นคนเลวหมายถึงสิ่งใดหรือ?  หมายถึงการที่เป็นอริเหลือเกินต่อบางสิ่งบางอย่างและต่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกด้วยเหตุผลที่มิอาจหยั่งรู้ได้และโดยไม่มีแม้กระทั่งการรู้เหตุผลว่าทำไม  พวกเขากล่าวว่า “ทันทีที่ฉันได้ยินพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้า ฉันก็ไม่อยากฟังพระวจนะเหล่านั้น ทันทีที่ฉันได้ยินคำพยานต่อพระเจ้า ฉันก็รู้สึกถึงความไม่ชอบ และฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไม  เมื่อฉันเห็นใครบางคนผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาความจริง หรือผู้ซึ่งรักความจริง ฉันต้องการที่จะท้าทายพวกเขา ฉันต้องการก่นด่าพวกเขา ต้องการที่จะทำบางอย่างซึ่งเป็นอันตรายต่อพวกเขาลับหลังพวกเขา ฉันต้องการฆ่าพวกเขา”  พวกเขาเลวจากการกล่าวเช่นนี้  ในข้อเท็จจริงนั้น ทันทีนับจากแรกเริ่ม พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เคยมีจิตวิญญาณของบุคคลปกติ และไม่เคยมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติอยู่แล้ว—นี่เองคือสิ่งที่กำลังเป็นไปจริงๆ

—พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เจ็ด: พวกเขาเลว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่หนึ่ง)

เพื่อที่จะให้พี่น้องชายหญิงพัฒนาการหยั่งรู้และเรียนรู้บทเรียนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้ใครบางคนที่ถูกมารครอบงำมาใช้ชีวิตท่ามกลางพวกเขา  แรกเริ่มนั้น รูปแบบในการพูดและการทำสิ่งทั้งหลายของบุคคลนี้เป็นปกติ เช่นเดียวกับการใช้เหตุผลของพวกเขา เขาไม่ดูเหมือนว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด  แต่หลังจากที่ได้ติดต่อสื่อสารอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง พี่น้องชายหญิงก็ได้ค้นพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดดูเหมือนไม่ตรงประเด็น—ไม่เชื่อมโยงกับสิ่งที่กำลังพูดถึงเลย  ต่อมาก็มีสิ่ง “เหนือธรรมชาติ” บางอย่างเกิดขึ้น กล่าวคือ  เขาจะบอกพี่น้องชายหญิงเสมอว่าเขาเห็นสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น หรือว่าพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งนั้นๆ แก่เขา  ตัวอย่างเช่น วันหนึ่งพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยแก่เขาว่าเขาต้องทำหมั่นโถว—เขาก็จำต้องทำ—และวันต่อมา ตามที่ได้เกิดขึ้น เขาก็จำเป็นต้องออกไปข้างนอก ดังนั้นเขาจึงนำหมั่นโถวเหล่านั้นติดตัวไปด้วยและไม่จำเป็นต้องทำอาหารอื่นๆ  วันถัดมา พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยแก่เขาในความฝันว่าเขาต้องมุ่งหน้าไปทางใต้ มีใครบางคนกำลังรอคอยเขาอยู่ ห่างออกไปหกไมล์  เขาก็ไปดูและ ณ ที่นั้นมีผู้เชื่อในพระเยซูคนหนึ่งกำลังหลงทางอยู่ เขาได้ให้การเป็นพยานแก่ผู้เชื่อคนนี้ถึงพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และผู้เชื่อยอมรับการนั้น  เขาได้รับคำวิวรณ์อยู่เสมอ เขาได้ยินเสียงอยู่เสมอ สิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหลายเกิดขึ้นอยู่เสมอ  แต่ละวัน เมื่อมาถึงเรื่องที่ว่าจะกินอะไร จะไปที่ใด จะทำอะไร จะมีปฏิสัมพันธ์กับใคร เขาไม่ได้ปฏิบัติตามกฎของชีวิตที่ปกติของมนุษย์ และเขาไม่ได้แสวงหาพระวจนะของพระเจ้าในฐานะหลักพื้นฐานหรือหลักธรรม อีกทั้งเขาไม่ได้เสาะแสวงผู้คนที่จะสามัคคีธรรมด้วย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับรอคอยเสียง หรือคำวิวรณ์ หรือความฝันอยู่เสมอ  บุคคลนี้ปกติหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนบางคนมีความสามารถที่จะมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งและพูดว่า “ชายผู้นี้อาจไม่ได้วิ่งตัวเปล่าเปลือยและกระเซอะกระเซิงไปทั่วตามท้องถนน แต่เหล่านี้คือการสำแดงถึงวิญญาณชั่ว”  บรรดาพี่น้องชายหญิงเริ่มที่จะมองเขาออกอย่างช้าๆ แต่ทว่าแน่นอน จนกระทั่งถึงวันที่ประเด็นปัญหาของเขาปะทุขึ้นมา และเขาออกวิ่งไปบนท้องถนน ตัวเปลือยเปล่าและกระเซอะกระเซิง พูดจาบ้าบอ  มารได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ในที่สุดสิ่งทั้งหลายก็ปรากฏชัด  ดังนั้น ในระหว่างเวลานี้บรรดาพี่น้องชายหญิงสามารถมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งหรือไม่?  พวกเขาได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกหรือไม่ว่าวิญญาณชั่วคืออะไร งานของวิญญาณชั่วคืออะไร และการสำแดงถึงงานของวิญญาณชั่วในตัวผู้คนคืออะไร?  (ได้รับ)  แน่นอนว่าผู้คนบางคนได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและการหยั่งรู้  ผู้คนบางคนมีแนวโน้มที่จะถูกเขาหลอก และได้แต่มองเห็นเขาในสิ่งที่เขาเป็นก็ต่อเมื่อเขาระเบิดอารมณ์ออกมาเท่านั้น  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะถูกหลอกหรือมีความสามารถที่จะมองเห็นเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งหรือไม่ หากพระเจ้าไม่ได้ทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมนี้ จะเป็นที่ชัดเจนแก่ผู้คนหรือไม่ว่างานของวิญญาณชั่วคืออะไร?  (ไม่)  ดังนั้นแล้ว นัยสำคัญและจุดประสงค์ของการที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมนี้และทำสิ่งเหล่านี้คืออะไรกันแน่?  ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนพัฒนาการหยั่งรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเรียนรู้บทเรียน เพื่อระบุแยกแยะบุคคลจำพวกนี้  หากผู้คนเพียงแค่ได้รับการบอกเล่าว่างานของวิญญาณชั่วคืออะไร เหมือนดังที่ครูสอนบทเรียน โดยไม่มีแบบฝึกหัดหรือการปฏิบัติตามจริง ผู้คนก็คงจะได้รับเพียงทฤษฎีและคำพูดเรื่อยไปเท่านั้น  เจ้าสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่างานของวิญญาณชั่วคืออะไรและการสำแดงที่เฉพาะเจาะจงถึงวิญญาณชั่วคืออะไรกันแน่ ก็ต่อเมื่อเจ้าได้พบเห็นวิญญาณชั่วด้วยตนเองเท่านั้น—มองเห็นวิญญาณชั่วด้วยสองตาของเจ้าเอง ได้ยินวิญญาณชั่วด้วยสองหูของเจ้าเอง  และแล้วเมื่อเจ้าเผชิญผู้คนเช่นนั้นอีก เจ้าจะสามารถระบุแยกแยะพวกเขาและบอกปัดพวกเขาได้ เจ้าจะสามารถจัดการแก้ไขและรับมือเรื่องเช่นนั้นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

—พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบห้า: พวกเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า และพวกเขาไม่ยอมรับแก่นแท้ของพระคริสต์ (ภาคที่หนึ่ง)

ก่อนหน้า: จ) วิธีบอกความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กับงานของพวกวิญญาณชั่ว

ถัดไป: ก) วิธีแยกแยะพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger