จ) เหตุที่มีการกล่าวว่าการประสูติเป็นมนุษย์ทั้งสองครั้งของพระเจ้าทำให้นัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ครบบริบูรณ์

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกคือการไถ่มนุษย์จากบาป เพื่อไถ่เขาด้วยกายเนื้อหนังของพระเยซู นั่นก็คือ พระองค์ได้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากกางเขน แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานยังคงตกค้างอยู่ในตัวมนุษย์  การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนั้นมิใช่เพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปอีกต่อไป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่ได้รับการไถ่จากบาปให้รอดอย่างครบถ้วนเสียมากกว่า  การนี้ทำไปก็เพื่อที่บรรดาผู้ที่ได้รับการยกโทษไปแล้วอาจได้รับการช่วยให้พ้นจากบาปของพวกเขา และได้รับการทำให้สะอาดอย่างครบถ้วน หลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตานและคืนสู่เบื้องพระบัลลังก์ของพระเจ้าด้วยการบรรลุการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  เพียงในหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถได้รับการทำให้สะอาดบริสุทธิ์อย่างครบถ้วน หลังจากที่ยุคธรรมบัญญัติได้สิ้นสุดลงและเริ่มยุคพระคุณ พระเจ้าได้ทรงเริ่มพระราชกิจแห่งความรอดซึ่งดำเนินต่อมาจนถึงยุคสุดท้ายที่พระองค์จะทรงชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ด้วยการพิพากษาและการตีสอนเผ่าพันธุ์มนุษย์เพราะความเป็นกบฏของพวกเขา  เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะทรงสรุปพระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์และเข้าสู่การหยุดพัก  ดังนั้น ในสามระยะของพระราชกิจ มีเพียงสองระยะเท่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อดำเนินพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์โดยพระองค์เอง  นั่นเป็นเพราะว่า มีเพียงหนึ่งในสามช่วงระยะของพระราชกิจเท่านั้นที่ทรงนำมนุษย์ในการดำเนินชีวิตของพวกเขา ในขณะที่อีกสองนั้นประกอบด้วยพระราชกิจแห่งการช่วยให้รอด  ด้วยการบังเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นพระเจ้าจึงจะสามารถดำรงพระชนม์ชีพเคียงข้างไปกับมนุษย์ รับประสบการณ์ความทุกข์ของโลกนี้ และดำรงพระชนม์ชีพในพระกายเนื้อหนังปกติได้  เพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พระองค์สามารถจัดหาให้กับมนุษย์ในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พวกเขาจำเป็นต้องมีในฐานะสิ่งมีชีวิตซึ่งทรงสร้าง  โดยผ่านทางการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้านี่เองมนุษย์จึงได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าอย่างครบถ้วน และไม่ใช่โดยตรงจากสวรรค์ในคำตอบของคำอธิษฐานของเขา  มนุษย์ประกอบด้วยเนื้อหนังและเลือด เขาไม่มีหนทางที่จะมองเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรที่จะเข้าหาพระวิญญาณของพระองค์  ดังนั้นทั้งหมดที่เขาสามารถมาติดต่อได้คือเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ เพียงด้วยวิถีทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะมีความสามารถที่จะจับความเข้าใจหนทางทั้งหมดและความจริงทั้งหมดและได้รับความรอดอย่างครบถ้วน  การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนี้จะเพียงพอสำหรับการชะล้างบาปทั้งหลายจากมนุษย์ และทำให้เขาบริสุทธิ์อย่างครบถ้วน  ด้วยเหตุนี้ พระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าในเนื้อหนังก็จะปิดตัวลงและนัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าจึงได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ด้วยการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนี่เอง  นับแต่นั้นมาพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังจึงจะได้มาถึงปลายทางอย่างบริบูรณ์ ภายหลังการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สอง พระองค์จะไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นครั้งที่สามเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์  เพราะการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์จะได้มาถึงปลายทางแล้ว  การประสูติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายจะได้รับประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้อย่างครบถ้วน และมนุษยชาติในยุคสุดท้ายทั้งหมดจะถูกแบ่งชนชั้นไปตามประเภท  พระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจแห่งความรอดและจะไม่ทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังเพื่อทรงพระราชกิจใดอีกต่อไป

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4)

ในกาลเวลาที่พระเยซูกำลังทรงพระราชกิจของพระองค์อยู่นั้น ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์ยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน  มนุษย์เชื่อเสมอว่าพระองค์เป็นบุตรของดาวิด และป่าวประกาศว่าพระองค์เป็นผู้เผยวจนะที่ยิ่งใหญ่ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีความกรุณามากมายผู้ซึ่งได้ทรงไถ่บาปทั้งหลายของมนุษย์  ด้วยความเชื่อที่แข็งแกร่งของพวกเขา บางคนก็ได้รับการรักษาแค่จากการที่สัมผัสชายฉลองพระองค์ของพระองค์ คนตาบอดได้สามารถมองเห็น และแม้แต่คนตายก็สามารถคืนชีวิตมาได้  อย่างไรก็ตาม มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะค้นพบอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานซึ่งฝังรากลึกอยู่ภายในตัวเขาได้ อีกทั้งเขาก็ไม่รู้ว่าจะทิ้งมันไปอย่างไร  มนุษย์ได้รับพระคุณมามากมาย อาทิ สันติสุขและความสุขของเนื้อหนัง ความเชื่อของสมาชิกหนึ่งคนที่นำมาซึ่งพรต่อทั้งครอบครัว การรักษาอาการป่วย และอื่นๆ  ที่เหลือก็คือความประพฤติที่ดีของมนุษย์และภาพลักษณ์มีใจศรัทธาของเขา หากใครบางคนสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นฐานเหล่านี้ พวกเขาย่อมได้ถูกถือว่าเป็นผู้เชื่อที่ยอมรับได้  เฉพาะผู้เชื่อประเภทนี้เท่านั้นที่อาจสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้หลังจากความตาย ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาได้รับการช่วยให้รอด  แต่ทว่าในช่วงชีวิตของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจหนทางของชีวิตเลยสักนิด  ทั้งหมดที่พวกเขาทำลงไปก็คือการทำบาปแล้วก็สารภาพบาปของพวกเขาอย่างเป็นวัฏจักรสม่ำเสมอโดยไม่มีเส้นทางใดที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเลย เช่นนั้นเองที่เป็นสภาพเงื่อนไขของมนุษย์ในยุคพระคุณ  มนุษย์ได้รับความรอดที่ครบบริบูรณ์แล้วหรือยังหนอ?  ยัง!  ดังนั้นหลังจากที่พระราชกิจช่วงระยะนั้นได้แล้วเสร็จลง ยังคงมีพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนค้างอยู่  ช่วงระยะนี้คือการทำให้มนุษย์บริสุทธิ์โดยวิถีทางของพระวจนะ และด้วยการนั้นจึงเป็นการให้เส้นทางสำหรับเขาที่จะติดตาม  ช่วงระยะนี้คงจะไม่ออกผลหรือเปี่ยมความหมายหากมันดำเนินต่อไปด้วยการขับไล่ปีศาจ เพราะมันคงจะล้มเหลวที่จะขุดรากถอนโคนธรรมชาติบาปของมนุษย์ และมนุษย์ก็คงจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่การยกโทษบาปของเขา  มนุษย์ได้รับการยกโทษต่อบาปของเขาโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาป เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนได้มาถึงปลายทางแล้ว และพระเจ้าก็ได้ทรงมีอำนาจเหนือซาตานแล้ว  แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา มนุษย์ยังคงสามารถทำบาปและต้านทานพระเจ้าได้ และพระเจ้าก็ยังไม่ทรงได้รับมวลมนุษย์เอาไว้เลย  นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พระเจ้าจึงทรงใช้พระวจนะมาตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เป็นเหตุให้เขาปฏิบัติไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง  ช่วงระยะนี้เปี่ยมความหมายมากกว่าช่วงระยะก่อนหน้า รวมถึงออกผลมากกว่า เพราะตอนนี้ พระวจนะนี่เองที่จัดหาให้กับชีวิตมนุษย์โดยตรง และทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการเริ่มใหม่อย่างครบบริบูรณ์ มันเป็นช่วงระยะของพระราชกิจที่ละเอียดทั่วถึงกว่ามาก  เพราะฉะนั้น การประสูติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายได้ทำให้นัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าครบบริบูรณ์และเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมนุษย์โดยสมบูรณ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4)

พระเจ้าในการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของพระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของการประสูติเป็นมนุษย์จนครบบริบูรณ์  พระองค์ทรงเพียงแต่ปฏิบัติพระราชกิจในขั้นตอนแรกที่พระเจ้าทรงจำเป็นต้องปฏิบัติในเนื้อหนังให้ครบบริบูรณ์เท่านั้น  ดังนั้น เพื่อให้พระราชกิจของการประสูติเป็นมนุษย์ลุล่วง พระเจ้าได้ทรงกลับมายังเนื้อหนังอีกครั้ง และดำเนินพระชนม์ชีพตามความเป็นปกติและความสัมพันธ์กับชีวิตจริงทั้งปวงของเนื้อหนัง นั่นคือ ทำให้พระวจนะของพระเจ้าได้รับการสำแดงในเนื้อหนังที่ปกติธรรมดาทั้งหมด และด้วยการนั้น จึงทำให้พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำไม่เสร็จสิ้นในเนื้อหนังได้สรุปปิดตัวลง  ในแก่นแท้แล้ว เนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองเป็นเหมือนกับเนื้อหนังแรก แต่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นอีก เป็นปกติมากยิ่งกว่าเนื้อหนังแรก  ดังนั้นแล้ว ความทุกข์ที่เนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองสู้ทนจึงมากกว่าของเนื้อหนังครั้งที่หนึ่ง แต่ความทุกข์นี้เป็นผลจากพันธกิจของพระองค์ของในเนื้อหนัง ซึ่งไม่เหมือนกับความทุกข์ของมนุษย์ที่ถูกทำให้เสื่อมทราม  นอกจากนี้ยังเกิดจากความเป็นปกติและความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของเนื้อหนังของพระองค์ด้วย  เพราะพระองค์ทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ในเนื้อหนังที่ปกติและสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างที่สุด เนื้อหนังนี้จึงต้องสู้ทนความยากลำบากมากมาย  ยิ่งเนื้อหนังนี้เป็นปกติและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นเท่าใด พระองค์ก็จะยิ่งทรงทนทุกข์ในการปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ยิ่งขึ้นเท่านั้น  พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการแสดงออกในเนื้อหนังสามัญอย่างยิ่ง เนื้อหนังที่ไม่ได้เกินธรรมชาติเลย  เนื่องจากเนื้อหนังของพระองค์ปกติและยังต้องรับภาระพระราชกิจในการช่วยมนุษย์ให้รอดเช่นกัน พระองค์จึงทรงทนทุกข์ในระดับที่มากยิ่งกว่าที่เนื้อหนังที่เกินธรรมชาติจะเป็น—และความทุกข์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์กับชีวิตจริงและความเป็นปกติของเนื้อหนังของพระองค์  คนเราสามารถมองเห็นแก่นแท้ของเนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ได้จากความทุกข์ที่เนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ทั้งสองครั้งได้ก้าวผ่านขณะที่ปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ทั้งหลาย  ยิ่งเนื้อหนังเป็นปกติมากขึ้นเท่าใด ความยากลำบากที่พระองค์ต้องทรงสู้ทนขณะที่ทรงปฏิบัติพระราชกิจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งเนื้อหนังที่ดำเนินพระราชกิจสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นเท่าใด มโนคติอันหลงผิดของผู้คนก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น และภยันตรายก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะบังเกิดกับพระองค์มากขึ้นเท่านั้น  กระนั้น ยิ่งเนื้อหนังสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นเท่าใด และยิ่งเนื้อหนังมีความต้องการและประสาทสัมผัสทั้งหมดของมนุษย์ที่ปกติมากขึ้นเท่าใด พระองค์ก็ยิ่งจะทรงมีความสามารถในการรับพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังมากขึ้นเท่านั้น  เนื้อหนังของพระเยซูคือเนื้อหนังที่ถูกตรึงกางเขน เนื้อหนังของพระองค์ที่พระองค์ทรงละวางในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป  พระองค์ทรงเอาชนะซาตานและช่วยมนุษย์ให้รอดจากกางเขนได้อย่างบริบูรณ์ด้วยการใช้เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  และพระเจ้าในการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระองค์ทรงประกอบพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยและเอาชนะซาตานในฐานะเนื้อหนังที่ครบบริบูรณ์  เนื้อหนังที่ปกติและสัมพันธ์กับชีวิตจริงทุกประการเท่านั้นที่สามารถกระทำพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยทั้งหมดทั้งมวลและเป็นคำพยานที่ทรงพลัง  กล่าวคือ การพิชิตมนุษย์เกิดประสิทธิผลก็เพราะความสัมพันธ์กับชีวิตจริงและความเป็นปกติของพระเจ้าในเนื้อหนัง ไม่ใช่เพราะการอัศจรรย์ที่เหนือธรรมชาติและวิวรณ์  พันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์นี้คือการพูด และด้วยการนั้นจึงพิชิตและทำให้มนุษย์เพียบพร้อม  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจของพระวิญญาณที่กลายเป็นจริงในเนื้อหนัง ซึ่งก็คือหน้าที่ของเนื้อหนัง ย่อมเป็นการพูด และด้วยการพูดจึงพิชิตมนุษย์ เปิดเผยมนุษย์ ทำให้มนุษย์เพียบพร้อม และกำจัดมนุษย์ออกไปอย่างสิ้นเชิง  และดังนั้นแล้ว พระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังจึงจะสำเร็จลุล่วงอย่างครบถ้วนในพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย  พระราชกิจแห่งการไถ่ในครั้งแรกเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของพระราชกิจแห่งการประสูติเป็นมนุษย์  เนื้อหนังที่กระทำพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจะปฏิบัติพระราชกิจแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ทั้งหมดให้ครบบริบูรณ์  ในด้านเพศสภาพ มีครั้งหนึ่งเป็นชายและอีกครั้งหนึ่งเป็นหญิง ดังนั้นจึงทำให้นัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าครบบริบูรณ์ และขจัดมโนคติที่หลงผิดที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้า กล่าวคือ พระเจ้าสามารถบังเกิดเป็นได้ทั้งชายและหญิง และตามแก่นแท้แล้ว พระเจ้าผู้ทรงประสูติเป็นมนุษย์นั้นไร้เพศ  พระองค์ทรงสร้างทั้งชายและหญิง และสำหรับพระองค์แล้วไม่มีการแบ่งแยกของเพศ  ในพระราชกิจในช่วงระยะนี้ พระเจ้าไม่ได้ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อให้พระราชกิจสัมฤทธิ์ผลลัพธ์โดยการใช้พระวจนะ  ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลสำหรับการนี้เป็นเพราะพระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ในครั้งนี้ไม่ใช่การรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจ แต่เป็นการพิชิตมนุษย์โดยการพูด กล่าวได้ว่าความสามารถโดยกำเนิดที่เนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์นี้มีคือการพูดพระวจนะและพิชิตมนุษย์ ไม่ใช่การรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจ  พระราชกิจของพระองค์ในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่ใช่การแสดงการอัศจรรย์ ไม่ใช่การรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจ แต่เป็นการพูด และดังนั้น สำหรับผู้คนแล้ว เนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองจึงดูเป็นปกติมากกว่าครั้งแรก  ผู้คนมองเห็นว่าการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องโกหก แต่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์องค์นี้ทรงแตกต่างจากพระเยซูผู้ประสูติเป็นมนุษย์ และถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์ต่างเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ แต่ทั้งสองพระองค์ก็ไม่ได้ทรงเป็นสิ่งเดียวกันไปทั้งหมด  พระเยซูทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ธรรมดา แต่พระองค์ทรงมีหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมายเสริมเพิ่มเติมด้วย  ในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์นี้ ตาของมนุษย์จะมองไม่เห็นหมายสำคัญหรือการอัศจรรย์ ไม่เห็นทั้งการรักษาคนป่วยและการขับไล่ปีศาจ ไม่เห็นทั้งการเดินบนทะเล ไม่เห็นทั้งการอดอาหารนานสี่สิบวัน… พระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจเดียวกันกับที่พระเยซูทรงปฏิบัติ ไม่ใช่เพราะว่าตามแก่นแท้แล้วเนื้อหนังของพระองค์แตกต่างจากเนื้อหนังของพระเยซู แต่เป็นเพราะว่าการรักษาคนป่วยและการขับไล่ปีศาจไม่ใช่พันธกิจของพระองค์  พระองค์ไม่ทรงทำลายพระราชกิจของพระองค์เอง และไม่รบกวนพระราชกิจของพระองค์เอง  เนื่องจากพระองค์ทรงพิชิตมนุษย์ผ่านทางพระวจนะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำให้การอัศจรรย์อยู่เหนือพระองค์ และดังนั้นช่วงระยะนี้จึงเป็นไปเพื่อทำพระราชกิจแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ให้ครบบริบูรณ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ

พระราชกิจแต่ละช่วงระยะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง  ย้อนกลับไป เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์เสด็จมาในรูปแบบของชาย และเมื่อพระเจ้าเสด็จมาครั้งนี้ รูปแบบของพระองค์ทรงเป็นหญิง  จากสิ่งนี้ เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าทั้งที่เป็นชายและหญิงสามารถเป็นประโยชน์ในพระราชกิจของพระองค์ได้ และกับพระองค์แล้วนั้น ไม่มีความแตกต่างกันในด้านเพศ  เมื่อพระวิญญาณของพระองค์เสด็จมา พระองค์สามารถใช้มนุษย์ใดๆ ก็ได้ตามที่พระองค์พอพระทัย และมนุษย์ผู้นั้นสามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็สามารถแสดงถึงพระเจ้าได้ตราบเท่าที่มนุษย์ผู้นั้นเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าประสูติมา  หากพระเยซูประสูติเป็นผู้หญิงเมื่อพระองค์เสด็จมา กล่าวคือ หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิสนธิในครรภ์เป็นทารกหญิง และไม่ใช่เด็กชาย พระราชกิจในช่วงระยะนั้นจะยังเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดเหมือนเช่นเดิม  หากเป็นกรณีนั้น พระราชกิจในช่วงระยะปัจจุบันก็จะต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์ด้วยชายแทน แต่พระราชกิจก็จะยังเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดเหมือนเช่นเดิม  พระราชกิจที่ทรงกระทำในแต่ละช่วงระยะมีนัยสำคัญของช่วงระยะนั้น ทั้งสองระยะจะไม่มีการกระทำซ้ำ และทั้งสองระยะไม่มีความขัดแย้งกัน  ณ ขณะนั้น ในการปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พระเยซูทรงได้รับการเรียกขานว่าเป็นพระบุตรพระองค์เดียว และ “พระบุตร” แสดงนัยถึงเพศชาย  เหตุใดจึงไม่มีการกล่าวถึงพระบุตรพระองค์เดียวนั้นในระยะปัจจุบันนี้?  นั่นเป็นเพราะข้อพึงประสงค์ของพระราชกิจทำให้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพศจากเพศของพระเยซู  กับพระเจ้าแล้ว เพศไม่มีความแตกต่าง  พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ตามที่ทรงปรารถนา และในการปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์นั้น พระองค์ไม่ทรงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดใด แต่ทรงเป็นอิสระอย่างยิ่ง  แต่พระราชกิจทุกช่วงระยะมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง  พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองครั้ง และเป็นที่ชัดแจ้งอยู่ในตัวว่า การประสูติเป็นมนุษย์ของพระองค์ในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายนั้นคือครั้งสุดท้าย  พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อประกาศกิจการของพระองค์ทั้งหมด  หากในช่วงระยะนี้พระองค์ไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อปฏิบัติพระราชกิจด้วยพระองค์เองเพื่อให้มนุษย์ได้เป็นพยาน มนุษย์ก็คงจะยึดติดกับมโนคติที่หลงผิดที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ชายเท่านั้น ไม่ใช่ผู้หญิง…

หากมีเพียงแค่พระราชกิจของพระเยซูเท่านั้นที่แล้วเสร็จไป และพระราชกิจของพระเยซูไม่ได้รับการเสริมด้วยพระราชกิจในช่วงระยะนี้ของยุคสุดท้าย มนุษย์จะยึดติดไปตลอดกาลกับมโนคติอันหลงผิดที่ว่า พระเยซูองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า นั่นคือ พระเจ้าทรงมีบุตรเพียงองค์เดียว และผู้ใดก็ตามที่มาหลังจากนั้นในชื่ออื่นจะไม่ใช่พระบุตรพระองค์เดียวของพระเจ้า และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  มนุษย์มีมโนคติที่หลงผิดว่าบุคคลใดก็ตามที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป หรือผู้ที่ครองฤทธานุภาพในนามของพระเจ้าและไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมดคือพระบุตรพระองค์เดียวของพระเจ้า  มีบางคนที่เชื่อว่าตราบที่องค์หนึ่งเดียวผู้ที่มานั้นเป็นชาย ก็อาจถือได้ว่าพระองค์เป็นพระบุตรพระองค์เดียวของพระเจ้าและเป็นตัวแทนของพระเจ้า  มีกระทั่งบางคนที่กล่าวว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระยาห์เวห์ เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  มโนคติอันหลงผิดต่างๆ เช่นนั้นไม่เกินจริงมากไปหรอกหรือ?  หากพระราชกิจของช่วงระยะนี้ไม่เสร็จสิ้นในยุคสุดท้าย เช่นนั้นแล้วมนุษย์ทั้งหมดจะถูกบดบังจากพระเจ้าภายใต้เงื้อมเงาที่มืดมิด  หากเป็นเช่นนี้ ผู้ชายจะคิดว่าตนเองสูงกว่าผู้หญิง และพวกผู้หญิงไม่มีวันที่จะสามารถเงยหน้าของตนขึ้นมาได้เลย และจะไม่มีผู้หญิงแม้เพียงสักคนที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้  ผู้คนเชื่อเสมอว่าพระเจ้าทรงเป็นชาย และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงชิงชังผู้หญิงเสมอมา และจะไม่ประทานความรอดให้แก่ผู้หญิง  หากเป็นกรณีเช่นนี้ จะไม่เป็นเรื่องจริงหรือที่ผู้หญิงทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ทรงสร้างขึ้นและที่ได้ถูกทำให้เสื่อมทรามไปแล้วเช่นกันนั้นจะไม่มีวันมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอด?  ถ้าเช่นนั้น การที่พระยาห์เวห์ทรงสร้างผู้หญิง ซึ่งก็คือ การที่ทรงสร้างเอวาขึ้นมานั้น จะไม่ไร้ความหมายหรือ?  แล้วผู้หญิงจะไม่พินาศไปชั่วนิรันดร์หรือ?  ด้วยเหตุผลนี้ จึงมีการดำเนินพระราชกิจของช่วงระยะนี้ในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมวลมนุษย์ทั้งสิ้นทั้งมวลให้รอด ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้น  หากบุคคลใดก็ตามคิดว่าพระเจ้าประสูติเป็นเพศหญิงเพียงเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงเท่านั้น เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นก็จะเป็นคนโง่เขลาอย่างแท้จริง!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การประสูติเป็นมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ครบบริบูรณ์

พระราชกิจในช่วงระยะที่พระเยซูได้ทรงปฏิบัตินั้นเพียงแค่ทำให้เนื้อแท้ของ “พระวจนะทรงอยู่กับพระเจ้า” ลุล่วงไปเท่านั้น กล่าวคือ ความจริงเรื่องพระเจ้าทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่กับเนื้อหนังและไม่สามารถแยกจากเนื้อหนังนั้นได้ นั่นคือ เนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นั้นอยู่กับพระวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์อันยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นว่าพระเยซูผู้ซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของพระเจ้า  พระราชกิจช่วงระยะนี้ทำให้ความหมายภายในของคำว่า “พระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” ลุล่วงไปอย่างแท้จริง ให้ความหมายที่ลึกยิ่งขึ้นต่อคำว่า “พระวจนะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวจนะทรงเป็นพระเจ้า” และเปิดโอกาสให้เจ้าเชื่ออย่างมั่นคงในพระวจนะที่ว่า “ในปฐมกาลพระวจนะทรงดำรงอยู่” กล่าวคือ ณ เวลาแห่งการทรงสร้างสรรพสิ่งพระเจ้าทรงถูกครอบครองโดยพระวจนะ พระวจนะของพระองค์ทรงอยู่กับพระองค์และไม่สามารถแยกจากพระองค์ได้ และในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงทำให้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระวจนะของพระองค์แจ่มชัดยิ่งขึ้นไปอีก และเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้เห็นหนทางทั้งหมดของพระองค์—ได้ยินพระวจนะทั้งหมดของพระองค์ เช่นนั้นคือพระราชกิจของยุคสุดท้าย  เจ้าจะต้องมาเข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่ง มันไม่ใช่ประเด็นเกี่ยวกับการรู้จักเนื้อหนัง แต่เกี่ยวกับว่าเจ้าเข้าใจเนื้อหนังและพระวจนะอย่างไร  นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องเป็นคำพยาน สิ่งที่ทุกคนต้องรู้  เนื่องจากนี่เป็นพระราชกิจของการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สอง—และเป็นครั้งสุดท้ายที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์—จึงทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์นั้นครบบริบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยม ดำเนินการและส่งพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าในเนื้อหนังออกไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน และนำยุคแห่งการทรงเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไปสู่บทอวสาน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (4)

เหตุใดเราจึงพูดว่าความหมายของการประสูติเป็นมนุษย์ไม่ได้ครบบริบูรณ์ในพระราชกิจของพระเยซู?  นั่นเป็นเพราะพระวจนะไม่ได้กลายมาเป็นเนื้อหนังทั้งหมด  สิ่งที่พระเยซูทรงทำเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้า  พระองค์ทรงปฏิบัติเพียงพระราชกิจแห่งการไถ่ และไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการได้รับมนุษย์อย่างบริบูรณ์  ด้วยเหตุผลนี้ พระเจ้าจึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้าย  พระราชกิจช่วงระยะนี้ยังเสร็จสิ้นในเนื้อหนังที่ธรรมดา กระทำโดยมนุษย์ที่ปกติอย่างที่สุด มนุษย์ที่สภาวะความเป็นมนุษย์ไม่ได้เหนือธรรมชาติแม้แต่น้อย  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าได้ทรงกลายเป็นมนุษย์อย่างบริบูรณ์  พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า มนุษย์ที่บริบูรณ์ เนื้อหนังที่บริบูรณ์ ผู้ที่กำลังปฏิบัติพระราชกิจ  ตาของมนุษย์มองเห็นกายที่มีเนื้อหนังที่ไม่ได้เหนือธรรมชาติเลย ผู้ที่ธรรมดายิ่งที่สามารถพูดภาษาของสวรรค์ ผู้ที่ไม่แสดงหมายสำคัญมหัศจรรย์ใดๆ ไม่แสดงการอัศจรรย์ใดๆ นับประสาอะไรที่จะเผยความจริงภายในเกี่ยวกับศาสนาในหอประชุมที่ยิ่งใหญ่  สำหรับผู้คนแล้ว พระราชกิจของเนื้อหนังซึ่งพระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองดูไม่เหมือนกับของครั้งแรกเอาเสียเลย ไม่เหมือนมากจนเนื้อหนังทั้งสองครั้งดูไม่มีสิ่งใดร่วมกันเลย และไม่มีสิ่งใดในพระราชกิจครั้งที่หนึ่งที่สามารถพบได้ในครั้งนี้  แม้ว่าพระราชกิจของเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองจะแตกต่างจากครั้งแรก นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าแหล่งกำเนิดของทั้งสองครั้งไม่ได้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกัน  แหล่งกำเนิดของทั้งสองครั้งจะเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับธรรมชาติของพระราชกิจที่เนื้อหนังทั้งสองได้กระทำ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเปลือกนอกของเนื้อหนังนั้น  ในระหว่างพระราชกิจสามช่วงระยะของพระองค์ พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์สองครั้ง และในทั้งสองครั้งพระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็เปิดฉากยุคใหม่และนำพระราชกิจใหม่เข้ามา  การประสูติเป็นมนุษย์ทั้งสองครั้งนั้นเสริมซึ่งกันและกัน  เป็นไปไม่ได้เลยที่ตามนุษย์จะบอกได้ว่าเนื้อหนังทั้งสองมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันจริงๆ  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่อยู่เหนือความสามารถของตามนุษย์หรือจิตใจมนุษย์  แต่ในแก่นสารของเนื้อหนังทั้งสองแล้วเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะพระราชกิจของเนื้อหนังทั้งสองมีจุดเริ่มต้นจากพระวิญญาณเดียวกัน  เนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ทั้งสองครั้งจะเกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดเดียวกันหรือไม่นั้นไม่สามารถตัดสินได้โดยยุคและสถานที่ที่เนื้อหนังทั้งสองเกิดขึ้นหรือปัจจัยดังกล่าวอื่นๆ แต่ตัดสินได้โดยพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าที่เนื้อหนังทั้งสองได้แสดงออก  เนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองไม่ได้กระทำพระราชกิจใดๆ ที่พระเยซูทรงได้กระทำ เพราะพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้ยึดติดอยู่กับแบบแผน แต่เปิดเส้นทางใหม่ๆ ในแต่ละครั้ง  เนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำให้ความประทับใจที่จิตใจของผู้คนมีเกี่ยวกับเนื้อหนังครั้งแรกลึกซึ้งหรือแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่เพื่อเสริมและทำให้ความประทับใจนั้นเพียบพร้อม เพื่อทำให้ความรู้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้าลึกซึ้งขึ้น เพื่อทำลายกฎทั้งหมดที่มีอยู่ในหัวใจของผู้คน และเพื่อขจัดภาพเกี่ยวกับพระเจ้าที่ไม่ถูกต้องในหัวใจของพวกเขา  สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีช่วงระยะใดของพระราชกิจของพระเจ้าเองที่สามารถให้ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอย่างบริบูรณ์แก่มนุษย์  แต่ละช่วงระยะให้ความรู้เพียงส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด  แม้ว่าพระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ทั้งหมด แต่เพราะความสามารถที่จำกัดของมนุษย์ในการจับใจความ ความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าจึงยังคงไม่บริบูรณ์  เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสื่อสารถึงทั้งหมดทั้งปวงของพระอุปนิสัยของพระเจ้าโดยใช้ภาษาของมนุษย์  ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์จะสามารถแสดงออกถึงพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ได้อย่างไร?  พระองค์ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังภายใต้การบังตาด้วยความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์ และคนเราสามารถรู้จักพระองค์ได้จากการแสดงออกถึงเทวสภาพของพระองค์เท่านั้น ไม่ใช่จากเปลือกร่างกายของพระองค์  พระเจ้าเสด็จมาในเนื้อหนังเพื่อให้มนุษย์สามารถรู้จักพระองค์ได้โดยวิถีทางแห่งพระราชกิจทั้งหลายของพระองค์ และไม่มีช่วงระยะสองช่วงใดๆ ของพระราชกิจของพระองค์ที่เหมือนกัน  มนุษย์สามารถมีความรู้ที่ครบถ้วนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังได้ในหนทางนี้เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ถูกจำกัดขอบเขตอยู่ในด้านเหลี่ยมมุมหนึ่งเดียว  แม้ว่าพระราชกิจของเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์สองครั้งจะแตกต่างกัน แต่แก่นสารของเนื้อหนังและแหล่งกำเนิดของพระราชกิจของเนื้อหนังทั้งสองนั้นเหมือนกัน เป็นเพียงแค่ว่าเนื้อหนังทั้งสองมีอยู่เพื่อกระทำพระราชกิจที่แตกต่างสองช่วงระยะ และเกิดขึ้นในยุคที่แตกต่างกันสองยุค  ไม่ว่าอะไรก็ตาม เนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้ามีแก่นสารเดียวกันและจุดกำเนิดเดียวกัน—นี่คือความจริงที่ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ

พระราชกิจของวันนี้ได้ผลักให้พระราชกิจของยุคพระคุณเดินหน้าต่อ กล่าวคือ พระราชกิจภายใต้แผนการบริหารจัดการทั้งหกพันปีได้เดินหน้าแล้ว  แม้ว่ายุคพระคุณได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่พระราชกิจของพระเจ้าก็ยังมีความก้าวหน้า  เหตุใดกันเล่า เราจึงกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าพระราชกิจระยะนี้ต่อยอดมาจากยุคพระคุณและยุคธรรมบัญญัติ?  ก็เพราะพระราชกิจของวันนี้เป็นการสานต่อจากพระราชกิจที่แล้วเสร็จไปในยุคพระคุณ และเป็นความก้าวหน้าต่อจากพระราชกิจที่แล้วเสร็จไปในยุคธรรมบัญญัติ  พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้เชื่อมโยงกันและกันอย่างแน่นแฟ้น โดยที่ข้อต่อแต่ละข้อในสายโซ่เชื่อมต่อกับข้อถัดไปอย่างสนิทแนบแน่น  แล้วเหตุใดเราจึงกล่าวเช่นกันว่าพระราชกิจของช่วงระยะนี้จึงต่อยอดจากสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำจนแล้วเสร็จไป?  สมมุติว่าพระราชกิจช่วงระยะนี้ไม่ได้ต่อยอดจากพระราชกิจที่พระเยซูทรงได้กระทำจนแล้วเสร็จไป จะต้องมีการตรึงกางเขนเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงระยะนี้ และจะต้องมีการดำเนินพระราชกิจแห่งการไถ่ของช่วงระยะก่อนหน้าใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง  สิ่งนี้จะไร้ความหมาย  และดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าพระราชกิจได้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ยุคได้เดินหน้าต่อ และระดับของพระราชกิจได้ยกสูงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้  สามารถกล่าวได้ว่าพระราชกิจในช่วงระยะนี้สร้างขึ้นโดยใช้ยุคธรรมบัญญัติเป็นรากฐาน และต่อยอดจากพระศิลาของพระราชกิจของพระเยซู  พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการสร้างขึ้นเป็นช่วงระยะ และช่วงระยะนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นใหม่  เพียงการผสานรวมกันของพระราชกิจสามระยะเท่านั้นที่อาจถือเป็นแผนการบริหารจัดการหกพันปี  พระราชกิจในระยะนี้แล้วเสร็จโดยมียุคพระคุณเป็นรากฐาน  หากพระราชกิจสองระยะนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน แล้วเหตุใดการตรึงกางเขนจึงไม่ถูกกระทำซ้ำในระยะนี้?  เหตุใดเราจึงไม่ต้องแบกรับบาปของมนุษย์ แต่มาพิพากษาและตีสอนมนุษย์โดยตรงแทน?  หากงานของเราในการพิพากษาและตีสอนมนุษย์ไม่ได้เกิดตามหลังการตรึงกางเขน ด้วยการมาของเราในตอนนี้ที่ไม่ได้ก่อกำเนิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเราก็คงไม่มีคุณสมบัติที่จะพิพากษาและตีสอนมนุษย์เลย  เรามาตีสอนและพิพากษามนุษย์โดยตรงได้ก็เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูนั่นเอง  พระราชกิจในช่วงระยะนี้ทั้งหมดต่อยอดมาจากพระราชกิจในช่วงระยะก่อนหน้า  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีเพียงพระราชกิจในลักษณะนี้เท่านั้นที่สามารถนำพามนุษย์มาสู่ความรอดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้  พระเยซูและเรามาจากวิญญาณหนึ่งเดียว  แม้เราไม่มีความเกี่ยวข้องกันในเนื้อหนังมนุษย์ของเรา แต่วิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียว แม้เนื้อหาของสิ่งที่เราทำและงานที่เราดำเนินจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่เราก็มีแก่นแท้ที่เหมือนกัน เนื้อหนังมนุษย์ของเรามีรูปร่างแตกต่างกัน แต่นี่เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและข้อพึงประสงค์ที่ต่างกันออกไปในงานของเรา พันธกิจของเราไม่เหมือนกัน ดังนั้นงานที่เราทำให้เกิดขึ้นและอุปนิสัยที่เราเปิดเผยต่อมนุษย์จึงแตกต่างกันด้วยเช่นกัน  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสิ่งที่มนุษย์มองเห็นและเข้าใจในวันนี้จึงไม่เหมือนกับในอดีต นั่นเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย  ถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์ทรงแตกต่างกันในเพศและรูปสัณฐานของเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสอง และที่พระองค์ทั้งสองจะไม่ได้ทรงกำเนิดในครอบครัวเดียวกัน และยิ่งไม่ได้ทรงกำเนิดในช่วงเวลาเดียวกัน แต่กระนั้น พระวิญญาณของพระองค์ทั้งสองก็เป็นหนึ่งเดียว  แม้เนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสองไม่ได้ร่วมสายโลหิตกันและไม่มีความเป็นญาติมิตรในลักษณะใดต่อกันทางกายภาพ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพระองค์ทั้งสองทรงเป็นเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ในสองช่วงเวลาที่ต่างกัน  เป็นความจริงที่มิอาจหักล้างได้ว่าพระองค์ทั้งสองเป็นเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์  อย่างไรก็ตาม พระองค์ทั้งสองไม่ได้ทรงเป็นสายเลือดเดียวกันและไม่ได้ทรงร่วมใช้ภาษามนุษย์เดียวกัน (พระองค์หนึ่งเป็นชายซึ่งตรัสภาษาของพวกยิว และอีกพระองค์เป็นหญิงซึ่งตรัสภาษาจีนเท่านั้น)  ด้วยเหตุผลเหล่านี้ พระองค์ทั้งสองจึงทรงใช้ชีวิตคนละประเทศ เพื่อปฏิบัติพระราชกิจตามที่มีความเหมาะสมกับแต่ละพระองค์ และในช่วงเวลาที่แตกต่างด้วยเช่นกัน  แม้พระองค์ทั้งสองทรงเป็นพระวิญญาณเดียวกันที่มีแก่นแท้เดียวกัน แต่เปลือกนอกของเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสองก็ไม่มีความคล้ายกันโดยสิ้นเชิง  ทั้งหมดที่พระองค์ทั้งสองทรงมีเหมือนกันคือสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของเนื้อหนังมนุษย์และรูปการณ์แวดล้อมในการประสูติของพระองค์ทั้งสองแล้ว พระองค์ทั้งสองไม่เหมือนกัน  สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อพระราชกิจเฉพาะของทั้งสองพระองค์ หรือความรู้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระองค์ทั้งสอง เพราะในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายแล้ว พระองค์ทั้งสองทรงเป็นพระวิญญาณเดียวกันและไม่มีใครสามารถแยกพระองค์ทั้งสองออกจากกันได้  ถึงแม้ว่าพระองค์ทั้งสองไม่ทรงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่การดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ทั้งสองอยู่ภายใต้การควบคุมโดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งทรงจัดสรรพระราชกิจที่แตกต่างกันในช่วงเวลาที่แตกต่างกันให้แก่พระองค์ทั้งสอง และเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสองก็มีสายเลือดที่ต่างกัน  พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไม่ใช่พระบิดาของพระวิญญาณของพระเยซู และพระวิญญาณของพระเยซูไม่ใช่พระบุตรของพระวิญญาณของพระยาห์เวห์  พระวิญญาณเหล่านี้เป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวกัน  ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ในวันนี้กับพระเยซูนั้นมิได้ทรงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน แต่พระองค์ทั้งสองทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่เป็นเพราะพระวิญญาณของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระเจ้าสามารถทรงพระราชกิจแห่งความกรุณาและความรักมั่นคง พระราชกิจแห่งการพิพากษาอันชอบธรรมและการตีสอนมนุษย์ รวมทั้งพระราชกิจแห่งการสาปแช่งมนุษย์ และในท้ายที่สุด พระองค์จึงสามารถทรงพระราชกิจแห่งการทำลายล้างโลกและการลงโทษคนชั่วได้  พระองค์ไม่ได้ทรงทำทั้งหมดนี้ด้วยพระองค์เองหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้าหรอกหรือ?  พระองค์สามารถทั้งประกาศธรรมบัญญัติให้แก่มนุษย์และออกพระบัญญัติให้แก่เขา และพระองค์ยังสามารถนำทางคนอิสราเอลในยุคแรกในการใช้ชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลกและทรงนำพวกเขาในการสร้างวิหารและแท่นบูชา และเก็บคนอิสราเอลทั้งหมดไว้ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์  เพราะสิทธิอำนาจของพระองค์ พระองค์ทรงใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกร่วมกับประชาชนอิสราเอลเป็นเวลาสองพันปี  คนอิสราเอลไม่กล้ากบฏต่อพระองค์ ทุกคนยำเกรงพระยาห์เวห์ และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์  สิ่งนั้นคือพระราชกิจที่ทรงกระทำโดยอาศัยสิทธิอำนาจของพระองค์และฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์  จากนั้น ในช่วงระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูเสด็จมาเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมดที่ตกในบาป (ไม่ใช่แค่คนอิสราเอลเท่านั้น)  พระองค์ทรงแสดงความกรุณาและความรักมั่นคงต่อมนุษย์  พระเยซูที่มนุษย์เห็นในยุคพระคุณนั้นทรงเปี่ยมด้วยความรักมั่นคงและมีความรักให้แก่มนุษย์อยู่เสมอ เพราะพระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป  พระองค์สามารถยกโทษมนุษย์จากบาปของพวกเขาจนกระทั่งการตรึงกางเขนของพระองค์ได้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์  ในระหว่างช่วงเวลานี้ พระเจ้าทรงปรากฏต่อหน้ามนุษย์พร้อมกับความกรุณาและความรักมั่นคง กล่าวคือ พระองค์ทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้กับมนุษย์ และทรงถูกตรึงกางเขนเพราะบาปของมนุษย์ เพื่อที่พวกเขาอาจได้รับการยกโทษไปตลอดกาล  พระองค์ทรงเปี่ยมความกรุณา ความสงสารเห็นใจ ความอดทน และความรัก  และในทำนองเดียวกัน ทุกคนที่ติดตามพระเยซูในยุคพระคุณก็พยายามที่จะอดทนและรักในทุกสรรพสิ่ง  พวกเขาทนทุกข์ทรมานยาวนาน และไม่เคยตอบโต้แม้เมื่อถูกทุบตี ถูกสาปแช่ง หรือถูกขว้างปาด้วยหิน  แต่ในระหว่างช่วงระยะสุดท้ายนั้นก็ไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้อีกต่อไป  พระราชกิจของพระเยซูและพระยาห์เวห์ไม่เหมือนกันไปเสียทั้งหมด แม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวก็ตาม  พระราชกิจของพระยาห์เวห์ไม่ได้นำยุคมาถึงจุดจบ หากแต่ทรงนำยุค นำมาซึ่งชีวิตของมนุษย์บนแผ่นดินโลก และพระราชกิจในวันนี้คือการพิชิตบรรดาผู้ที่อยู่ในประชาชาติซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และไม่ใช่เพื่อที่จะทรงนำทางแค่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในประเทศจีนเท่านั้น แต่ในทั่วทั้งจักรวาลและมวลมนุษย์ทั้งปวงด้วย  สำหรับเจ้าอาจดูเหมือนว่าพระราชกิจนี้กำลังได้รับการปฏิบัติอยู่แค่ในประเทศจีนเท่านั้น แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว พระราชกิจนี้ได้เริ่มแพร่กระจายไปยังต่างประเทศแล้ว  เพราะเหตุใดผู้คนนอกประเทศจีนจึงแสวงหาหนทางที่แท้จริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า?  นั่นเป็นเพราะพระวิญญาณทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกิจแล้ว และพระวจนะที่ตรัสในปัจจุบันได้รับการชี้นำไปยังผู้คนทั่วทั้งจักรวาล  ด้วยสิ่งนี้ พระราชกิจครึ่งหนึ่งได้อยู่ระหว่างการดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  นับจากการทรงสร้างโลกมาจนถึงปัจจุบัน พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงทำให้พระราชกิจอันยิ่งใหญ่นี้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจที่แตกต่างกันในยุคซึ่งแตกต่างกัน และท่ามกลางชนชาติที่แตกต่างกัน  ผู้คนในแต่ละยุคมองเห็นอุปนิสัยหนึ่งของพระองค์ที่แตกต่างออกไป ซึ่งได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นธรรมชาติผ่านพระราชกิจอันแตกต่างที่พระองค์ทรงปฏิบัติ  พระองค์คือพระเจ้า ทรงเปี่ยมด้วยความกรุณาและความรักมั่นคง พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์และเป็นผู้เลี้ยงของมนุษย์ แต่ก็ยังทรงเป็นการพิพากษา การตีสอน และการสาปแช่งมนุษย์ด้วยเช่นกัน  พระองค์สามารถนำทางมนุษย์ให้ใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกเป็นเวลาถึงสองพันปี และพระองค์ยังสามารถไถ่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจากบาปด้วยเช่นกัน  ในวันนี้ พระองค์ยังสามารถพิชิตมวลมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระองค์ และปราบพวกเขาให้หมอบราบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ เพื่อให้พวกเขาทั้งหมดนบนอบพระองค์อย่างสุดใจ  ในท้ายที่สุด พระองค์จะทรงเผาผลาญทุกสิ่งที่เป็นมลทินและไม่ชอบธรรมภายในผู้คนทั่วทั้งจักรวาลทิ้งไป เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์ไม่ใช่แค่พระเจ้าผู้มีความรักและเปี่ยมความกรุณาเท่านั้น ไม่ใช่แค่พระเจ้าผู้ทรงมีพระปัญญาและการอัศจรรย์เท่านั้น ไม่ใช่แค่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ที่ยิ่งกว่านั้น ยังทรงเป็นพระเจ้าผู้พิพากษามนุษย์ด้วย  พระองค์ทรงเป็นการเผาผลาญ การพิพากษา และการลงโทษสำหรับพวกคนชั่วในท่ามกลางมวลมนุษย์  ส่วนบรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม พระองค์ทรงเป็นความทุกข์ลำบาก การถลุง และการทดสอบ รวมทั้งเป็นความชูใจ การค้ำจุน การจัดเตรียมพระวจนะ และการตัดแต่ง  และสำหรับผู้ที่จะถูกกำจัดออกไป  พระองค์คือบทลงโทษและการลงทัณฑ์  จงบอกเราทีว่าพระเจ้าไม่ทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์หรอกหรือ?  พระองค์สามารถปฏิบัติพระราชกิจใดๆ ทั้งมวล ไม่เพียงแค่การตรึงกางเขนอย่างที่เจ้าจินตนาการเท่านั้น  เจ้าคิดถึงพระเจ้าน้อยเกินไป!  เจ้าเชื่อว่าทั้งหมดที่พระองค์สามารถทำได้คือการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงผ่านการตรึงกางเขนของพระองค์ แล้วก็จบแค่นั้นอย่างนั้นหรือ?  แล้วหลังจากนั้นเจ้าก็จะติดตามพระองค์ขึ้นไปจนถึงสวรรค์เพื่อกินผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิต และดื่มน้ำจากแม่น้ำแห่งชีวิตหรือ?… มันจะง่ายอย่างนั้นเลยหรือ?  จงบอกเราที ว่าเจ้าเคยสำเร็จลุล่วงในสิ่งใดบ้าง?  เจ้ามีชีวิตของพระเยซูหรือไม่?  เจ้าได้รับการไถ่โดยพระองค์จริง แต่การตรึงกางเขนเป็นพระราชกิจของพระเยซูพระองค์เอง  เจ้าเคยได้ทำหน้าที่ใดจนลุล่วงบ้างในฐานะมนุษย์บ้าง?  เจ้ามีเพียงความเคร่งศรัทธาแต่ภายนอก แต่เจ้าไม่เข้าใจหนทางของพระองค์  นี่คือวิธีการที่เจ้าสำแดงถึงพระองค์หรือ?  หากเจ้าไม่ได้บรรลุชีวิตของพระเจ้า หรือได้มองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นผู้ที่มีชีวิต และเจ้าไม่ควรค่าที่จะผ่านประตูของอาณาจักรสวรรค์

พระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นเพียงพระวิญญาณเท่านั้น พระองค์ยังสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังทรงเป็นพระกายที่เปี่ยมด้วยพระสิริ แม้ว่าพวกเจ้าไม่เคยพบเห็นพระองค์ แต่คนอิสราเอล—พวกยิวในขณะนั้น เป็นพยานของพระเยซู  ในตอนแรก พระองค์ทรงเป็นพระกายทางเนื้อหนัง แต่หลังจากที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงกลายเป็นพระกายที่เต็มไปด้วยพระสิริ  พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณผู้ทรงครอบคลุมทั้งหมด และสามารถปฏิบัติพระราชกิจได้ในทุกแห่งหน  พระองค์สามารถเป็นพระยาห์เวห์ หรือพระเยซู หรือพระเมสสิยาห์ก็ได้ ในท้ายที่สุด พระองค์สามารถกลายเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เช่นกัน  พระองค์ทรงเป็นความชอบธรรม การพิพากษา และการตีสอน พระองค์ทรงเป็นคำสาปแช่งและพระพิโรธ แต่พระองค์ก็ทรงเป็นความปรานีและความรักมั่นคงด้วยเช่นกัน  พระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงปฏิบัติสามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้  เจ้าจะพูดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในลักษณะใดหรือ?  เจ้าไม่สามารถอธิบายได้หรอก  หากเจ้าไม่สามารถอธิบายได้ เจ้าก็ไม่ควรมาได้บทสรุปเกี่ยวกับพระเจ้า จงอย่าสรุปว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้มีความปรานีและความรักมั่นคงตลอดกาลเพียงเพราะพระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการไถ่ในช่วงระยะเดียว  เจ้าสามารถมั่นใจได้หรือว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมความปรานีและความรักเท่านั้น?  หากพระองค์ทรงเป็นเพียงพระเจ้าผู้เปี่ยมความปรานีและความรัก เหตุใดพระองค์จะทรงนำพายุคให้มาถึงจุดจบในยุคสุดท้ายเล่า?  เหตุใดพระองค์จะทรงส่งความวิบัติมากมายลงมาเล่า?  ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดของผู้คน พระเจ้าทรงควรที่จะเปี่ยมความปรานีและความรักจวบจนวาระสุดท้ายเพื่อที่สมาชิกมนุษย์ทุกคนจนถึงคนสุดท้ายจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้  แต่เหตุใด ในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงส่งมหาวิบัติ อย่าง แผ่นดินไหว โรคระบาด และความอดอยาก ลงมาทำลายมวลมนุษย์ที่ชั่วช้าพวกนี้ ซึ่งพระเจ้าทรงถือว่าเป็นศัตรูเล่า?  เหตุใดพระองค์ทรงยอมให้มนุษย์ทุกข์กับความวิบัติเหล่านี้?  ไม่มีใครในหมู่พวกเจ้ากล้าพูดและไม่มีใครสามารถอธิบายได้เลยหรือว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในลักษณะใด  เจ้าสามารถมั่นใจได้หรือว่าพระองค์คือพระวิญญาณ?  เจ้ากล้าพูดหรือว่าพระองค์มิใช่อื่นใดนอกเสียจากเนื้อหนังมนุษย์ของพระเยซู?  และเจ้ากล้าพูดหรือว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์หนึ่งซึ่งจะถูกตรึงกางเขนเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ตลอดกาล?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การประสูติเป็นมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ครบบริบูรณ์

ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง

เหตุใดพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองครั้งเพื่อทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด?

การเข้าใจนัยสำคัญของการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองครั้ง

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏเป็นมนุษย์สองครั้งทำให้พระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้าครบบริบูรณ์

การทรงปรากฏในรูปมนุษย์มีความหมายครบบริบูรณ์ด้วยการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้าย

ก่อนหน้า: ง) ความแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญระหว่างพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์กับบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงใช้

ถัดไป: ฉ) วิธีที่จะรู้ว่า พระคริสต์ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger