ง) ความแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญระหว่างพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์กับบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงใช้
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย
“การประสูติเป็นมนุษย์” คือการทรงปรากฏของพระเจ้าในเนื้อหนัง พระเจ้าทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นในพระฉายาของเนื้อหนัง ดังนั้น สำหรับการที่พระเจ้าจะประสูติเป็นมนุษย์ได้นั้น ประการแรกพระองค์ต้องทรงเป็นเนื้อหนังก่อน นั่นคือ เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้นที่สำคัญที่สุด อันที่จริงแล้ว ความหมายโดยนัยของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คือว่า พระเจ้าทรงพระชนม์ชีพและทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง พระเจ้าโดยแก่นแท้ของพระองค์ทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนัง ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์… เพราะพระองค์คือมนุษย์ที่มีแก่นแท้ของพระเจ้า พระองค์จึงทรงอยู่เหนือมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นทั้งปวง เหนือมนุษย์คนใดที่สามารถปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าได้ และดังนั้นแล้ว ท่ามกลางทุกคนที่มีเปลือกมนุษย์เช่นเดียวกับของพระองค์ ท่ามกลางทุกคนที่ครองสภาวะความเป็นมนุษย์ จึงมีเพียงพระองค์ที่เป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ประสูติเป็นมนุษย์—ผู้อื่นล้วนเป็นมนุษย์ที่ทรงสร้างขึ้น แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะมีสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ที่ทรงสร้างขึ้นไม่มีสิ่งใดนอกจากสภาวะความเป็นมนุษย์ ในขณะที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์นั้นแตกต่างออกไป นั่นคือ ในเนื้อหนังของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงมีเพียงสภาวะความเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทรงมีเทวสภาพด้วย สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์สามารถมองเห็นได้ในการปรากฏภายนอกของเนื้อหนังของพระองค์และในพระชนม์ชีพแต่ละวันของพระองค์ แต่เทวสภาพของพระองค์นั้นล่วงรู้ได้ยาก เนื่องจากเทวสภาพของพระองค์แสดงออกเมื่อพระองค์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์เท่านั้น และไม่ได้เกินธรรมชาติเหมือนดังที่ผู้คนจินตนาการไว้ว่าจะเป็น จึงเป็นการยากยิ่งที่ผู้คนจะมองเห็น แม้กระทั่งวันนี้ ผู้คนมีความลำบากยากเย็นอย่างที่สุดที่จะหยั่งลึกถึงแก่นสารที่แท้จริงของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ แม้หลังจากที่เราได้กล่าวถึงมันอย่างยืดยาวเช่นนั้นแล้ว เราคาดหวังว่ามันก็จะยังคงเป็นความล้ำลึกสำหรับพวกเจ้าส่วนใหญ่ อันที่จริง ประเด็นนี้นั้นง่ายมาก กล่าวคือ เนื่องจากพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ แก่นสารของพระองค์จึงเป็นการรวมกันระหว่างสภาวะความเป็นมนุษย์และเทวสภาพ การรวมกันนี้เรียกว่าพระเจ้าพระองค์เอง พระเจ้าพระองค์เองบนแผ่นดินโลก
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ
เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์เพียงภายในเทวสภาพเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พระวิญญาณแห่งสวรรค์ได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทำ เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์เพียงตรัสไปทั่วดินแดนเท่านั้น เพื่อเปล่งถ้อยดำรัสของพระองค์โดยวิธีการอันแตกต่างกันและจากมุมมองอันแตกต่างกัน พระองค์ทรงถือว่าการหล่อเลี้ยงมนุษย์และการสอนมนุษย์เป็นเป้าหมายและหลักการสำคัญในการทรงพระราชกิจของพระองค์ และไม่สนพระทัยสิ่งทั้งหลาย เช่น สัมพันธภาพระหว่างบุคคล หรือรายละเอียดทั้งหลายในชีวิตของผู้คน พันธกิจหลักของพระองค์คือการตรัสเพื่อพระวิญญาณ กล่าวคือ เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปรากฏเป็นมนุษย์ที่จับต้องได้ พระองค์เพียงทรงจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์และปลดปล่อยความจริงเท่านั้น พระองค์ไม่ทรงนำพระองค์เองไปเกี่ยวข้องกับงานของมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ไม่ทรงมีส่วนในงานของสภาวะความเป็นมนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถทำพระราชกิจของพระเจ้า และพระเจ้าไม่ทรงมีส่วนในงานของมนุษย์ ในช่วงหลายปีนับตั้งแต่พระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกนี้เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ได้ทรงพระราชกิจนั้นโดยผ่านทางผู้คนเสมอมา อย่างไรก็ดี ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้—เป็นแต่เพียงบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงใช้งานเท่านั้น ในขณะเดียวกัน พระเจ้าของวันนี้สามารถตรัสโดยตรงจากมุมมองของเทวสภาพ เปล่งพระสุรเสียงของพระวิญญาณออกมาและทรงพระราชกิจในนามของพระวิญญาณ ในทำนองเดียวกัน บรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงใช้งานมาตลอดหลายยุคหลายสมัยก็เป็นตัวอย่างของการที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงพระราชกิจภายในกายเนื้อหนัง—ดังนั้นเหตุใดจึงไม่สามารถเรียกพวกเขาว่าพระเจ้า? ทว่าพระเจ้าของวันนี้ก็เป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงพระราชกิจโดยตรงในเนื้อหนังเช่นกัน และพระเยซูก็เป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังด้วย ทั้งสองพระองค์นั้นเรียกว่าพระเจ้า ดังนั้นแล้วอะไรคือความแตกต่าง? ผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งานมาตลอดหลายยุคหลายสมัยล้วนสามารถคิดและใช้เหตุผลตามปกติ พวกเขาทั้งหมดเข้าใจหลักการทั้งหลายในการประพฤติของมนุษย์ พวกเขามีแนวคิดของมนุษย์ปกติ และมีสรรพสิ่งทั้งมวลที่ผู้คนปกติควรมี พวกเขาส่วนใหญ่มีพรสวรรค์พิเศษและปัญญาโดยกำเนิด ในการทรงพระราชกิจกับผู้คนเหล่านี้ พระวิญญาณของพระเจ้าทรงใช้ประโยชน์จากพรสวรรค์ทั้งหลายของพวกเขา ซึ่งเป็นของประทานที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำพรสวรรค์ของพวกเขามาใช้ ทรงใช้จุดแข็งทั้งหลายของพวกเขามารับใช้พระเจ้า กระนั้นก็ตาม แก่นแท้ของพระเจ้านั้นปราศจากแนวคิดหรือความคิด ไม่เจือปนด้วยเจตนาของมนุษย์ และถึงกับขาดจากสิ่งที่มนุษย์ปกติมี กล่าวคือ พระองค์ถึงขนาดไม่ทรงคุ้นเคยกับหลักการทั้งหลายในการประพฤติของมนุษย์ เมื่อพระเจ้าของยุคนี้เสด็จมายังแผ่นดินโลกก็ย่อมเป็นเช่นนี้ พระราชกิจของพระองค์และพระวจนะทั้งหลายของพระองค์ไม่มีเจตนาของมนุษย์หรือความคิดของมนุษย์เจือปน แต่กลับเป็นการสำแดงเจตนารมณ์ของพระวิญญาณโดยตรง และพระองค์ทรงพระราชกิจในนามของพระเจ้าโดยตรง นี่หมายความว่าพระวิญญาณตรัสโดยตรง กล่าวคือ เทวสภาพทำงานโดยตรง ปราศจากเจตนาของมนุษย์ผสมอยู่แม้แต่น้อย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงทำให้เทวสภาพเป็นรูปร่างขึ้นโดยตรง ปราศจากความคิดหรือแนวคิดทั้งหลายของมนุษย์ และไม่มีความเข้าใจในหลักการแห่งการประพฤติของมนุษย์ หากมีเพียงเทวสภาพเท่านั้นที่ทำงาน (ซึ่งหมายความว่าหากมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงพระราชกิจ) ก็คงจะไม่มีทางที่พระราชกิจของพระเจ้าจะได้รับการดำเนินการบนแผ่นดินโลก ดังนั้นเมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์จึงต้องทรงมีผู้คนจำนวนเล็กน้อยให้พระองค์ทรงใช้ทำงานภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ร่วมกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงปฏิบัติในเทวสภาพ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ทรงใช้งานของมนุษย์มาค้ำจุนพระราชกิจในเทวสภาพของพระองค์ หาไม่แล้ว มนุษย์คงจะไม่มีทางมีส่วนร่วมโดยตรงในพระราชกิจของพระเจ้า กรณีของพระเยซูและบรรดาสาวกของพระองค์ก็เป็นเช่นนี้ ช่วงระหว่างเวลาของพระองค์บนโลก พระเยซูได้ทรงยกเลิกธรรมบัญญัติเก่าๆ และได้สถาปนาพระบัญญัติใหม่ขึ้นมา พระองค์ยังได้ตรัสพระวจนะมากมายอีกด้วย พระราชกิจทั้งหมดนี้ได้กระทำเสร็จสิ้นในเทวสภาพ คนอื่นเช่น เปโตร เปาโล และยอห์น ล้วนฝากผลงานที่ตามมาในภายหลังของพวกเขาเอาไว้บนรากฐานแห่งพระวจนะทั้งหลายของพระเยซู กล่าวคือ พระเจ้าได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ในยุคนั้น อันเป็นการเริ่มต้นยุคพระคุณ นั่นคือ พระองค์ได้ทรงนำมาซึ่งยุคใหม่ ทรงยกเลิกยุคเก่า และยังได้ทำให้พระวจนะที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย” ลุล่วงเช่นกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์ต้องปฏิบัติงานของมนุษย์บนรากฐานที่เป็นพระราชกิจของพระเจ้า ทันทีที่พระเยซูได้ตรัสทั้งหมดที่พระองค์จำเป็นต้องตรัสและได้เสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงจากมนุษย์ไป หลังจากนี้ผู้คนทั้งหมดจึงได้ทำงานตามหลักธรรมที่แสดงไว้ในพระวจนะของพระองค์ และได้ปฏิบัติตามความจริงทั้งหลายที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ผู้คนทั้งหมดนี้ได้ทำงานเพื่อพระเยซู หากพระเยซูทรงพระราชกิจเพียงลำพัง ไม่สำคัญว่าพระองค์ได้ตรัสพระวจนะไปมากมายเท่าใด ผู้คนก็คงไม่มีวิถีทางที่จะมีส่วนร่วมในพระวจนะของพระองค์ เพราะพระองค์จะทรงพระราชกิจในเทวสภาพและสามารถตรัสได้เพียงพระวจนะแห่งเทวสภาพเท่านั้น และพระองค์คงไม่สามารถอธิบายสิ่งทั้งหลายจนถึงขั้นที่ผู้คนปกติสามารถเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้ และดังนั้นพระองค์จึงต้องทรงให้บรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะที่ได้ตามมาหลังพระองค์เสริมพระราชกิจของพระองค์ นี่คือหลักธรรมว่าด้วยวิธีที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงพระราชกิจของพระองค์—เป็นการใช้เนื้อหนังที่ปรากฏในรูปมนุษย์เพื่อตรัสและทรงพระราชกิจเพื่อที่จะทำให้พระราชกิจแห่งเทวสภาพเสร็จสมบูรณ์ และจากนั้นจึงใช้ผู้คนไม่กี่คนหรือบางทีอาจมากกว่านั้นที่สมดังพระทัยของพระเจ้ามาเสริมพระราชกิจของพระองค์ นั่นคือ พระเจ้าทรงใช้ผู้คนที่สมดังพระทัยของพระองค์ทำงานแห่งการเป็นผู้เลี้ยงและการให้น้ำในสภาวะความเป็นมนุษย์ เพื่อที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอาจเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างในแก่นแท้ระหว่างพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์กับผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งาน
หากเมื่อพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าเพียงทรงพระราชกิจแห่งเทวสภาพเท่านั้น และไม่มีผู้คนที่สมดังพระทัยของพระองค์มาทำงานร่วมกับพระองค์ เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็คงจะไม่สามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือมีส่วนร่วมกับพระเจ้าได้ พระเจ้าจะต้องทรงใช้ผู้คนปกติที่สมดังพระทัยของพระองค์มาทำให้พระราชกิจนี้เสร็จสมบูรณ์ เพื่อสอดส่องดูแลและเป็นผู้เลี้ยงคริสตจักรทั้งหลายเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลถึงระดับที่กระบวนการทางความคิดความเข้าใจของมนุษย์ ซึ่งก็คือสมองของเขา สามารถที่จะจินตนาการได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงใช้ผู้คนจำนวนเล็กน้อยที่สมดังพระทัยของพระองค์ “แปล” พระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติภายในเทวสภาพของพระองค์เพื่อให้พระราชกิจสามารถเปิดกว้าง—ทรงใช้พวกเขาแปลงภาษาของพระเจ้าให้เป็นภาษาของมนุษย์เพื่อที่ผู้คนจะสามารถจับใจความและเข้าใจพระราชกิจได้ หากพระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนี้ ก็คงจะไม่มีใครเข้าใจภาษาแห่งเทวสภาพของพระเจ้า เพราะผู้คนที่สมดังพระทัยของพระเจ้านั้นไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนส่วนน้อย และความสามารถในการจับใจความของมนุษย์ก็อ่อนด้อย นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงเลือกวิธีการนี้เท่านั้นเมื่อทรงพระราชกิจในเนื้อหนังที่ปรากฏในรูปมนุษย์ หากมีเพียงพระราชกิจในเทวสภาพเท่านั้น มนุษย์คงจะไม่มีทางรู้หรือมีส่วนร่วมกับพระเจ้า เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจภาษาของพระเจ้า มนุษย์สามารถเข้าใจภาษานี้ได้เฉพาะเมื่อผ่านทางการทำงานของผู้คนที่สมดังพระทัยของพระองค์ ผู้ซึ่งชี้แจงพระวจนะของพระองค์ให้ชัดเจนเท่านั้น อย่างไรก็ดี หากมีเพียงผู้คนดังกล่าวเท่านั้นที่ทำงานภายในความเป็นมนุษย์ ก็คงจะเพียงดำรงรักษาชีวิตปกติของมนุษย์ได้เท่านั้น คงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ได้ พระราชกิจของพระเจ้าคงจะไม่มีจุดเริ่มต้นใหม่ คงจะมีเพียงบทเพลงเก่าๆ เดิมๆ คำพูดจำเจเก่าๆ แบบเดิมเท่านั้น มีเพียงโดยผ่านทางบุคคลที่เป็นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์เท่านั้น บุคคลที่พูดทั้งหมดที่จำเป็นต้องพูดและทำทั้งหมดที่จำเป็นต้องทำในระหว่างช่วงเวลาของการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์ ซึ่งหลังจากนั้นผู้คนย่อมทำงานและได้รับประสบการณ์ตามพระวจนะของพระองค์ มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้น อุปนิสัยในชีวิตของพวกเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเฉพาะในหนทางนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเลื่อนไหลไปกับยุคสมัยได้ พระองค์ผู้ซึ่งทำงานอยู่ภายในเทวสภาพคือตัวแทนของพระเจ้า ส่วนบรรดาผู้ที่ทำงานอยู่ภายในสภาวะความเป็นมนุษย์คือผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งาน กล่าวคือ พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงแตกต่างในแก่นแท้จากผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งาน พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์สามารถทรงพระราชกิจแห่งเทวสภาพได้ ในขณะที่ผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งานไม่สามารถทำได้ เมื่อแรกเริ่มแต่ละยุคนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองและทรงเริ่มต้นยุคใหม่เพื่อนำมนุษย์เข้าสู่การเริ่มต้นใหม่ เมื่อพระองค์ตรัสเสร็จแล้ว นี่จึงมีความหมายว่าพระราชกิจของพระเจ้าภายในเทวสภาพของพระองค์สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนั้นประชากรทั้งหมดก็ติดตามการนำของผู้ที่พระเจ้าทรงช่วงใช้เพื่อเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างในแก่นแท้ระหว่างพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์กับผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งาน
ผู้คนบางคนจะถามว่า “อะไรเล่าคือความแตกต่างระหว่างพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ทรงทำกับงานของบรรดาผู้เผยพระวจนะและอัครทูตแห่งอดีตกาล? ดาวิดก็ถูกเรียกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกัน และพระเยซูก็ทรงถูกเรียกเช่นนั้นเช่นกัน แม้ว่างานที่พวกเขาได้ทำนั้นแตกต่าง แต่พวกเขาก็ถูกเรียกด้วยชื่อเดียวกัน จงบอกเรา ทำไมอัตลักษณ์ของพวกเขาจึงไม่เหมือนกัน? สิ่งที่ยอห์นได้รู้เห็นคือนิมิตหนึ่ง เป็นนิมิตที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกัน และเขาสามารถพูดพระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตั้งพระทัยจะตรัส ทำไมอัตลักษณ์ของยอห์นจึงแตกต่างจากพระอัตลักษณ์ของพระเยซูเล่า?” พระวจนะที่พระเยซูตรัสสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ และพระวจนะเหล่านั้นเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าอย่างเต็มที่ สิ่งที่ยอห์นได้เห็นคือนิมิตหนึ่ง และเขาไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์ ทำไมในเมื่อยอห์น เปโตรและเปาโลได้พูดคำพูดมากมาย เหมือนที่พระเยซูได้ตรัส แต่พวกเขากลับไม่ได้มีอัตลักษณ์เดียวกันกับพระเยซูเล่า? หลักๆ แล้วเป็นเพราะงานที่พวกเขาได้ทำนั้นแตกต่าง พระเยซูทรงเป็นตัวแทนของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า และทรงเป็นพระวิญญาณแห่งพระเจ้าที่ทรงพระราชกิจโดยตรง พระองค์ทรงพระราชกิจของยุคใหม่ เป็นพระราชกิจที่ไม่เคยมีใครได้ทำมาก่อน พระองค์ทรงเปิดทางใหม่ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เอง แต่ในส่วนของเปโตร เปาโล และดาวิดนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะถูกเรียกว่าอะไรก็ตาม พวกเขาก็เป็นเพียงตัวแทนอัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น และถูกพระเยซูหรือพระยาห์เวห์ทรงส่งมา ดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขาจะได้ทำงานมากเพียงใด ไม่สำคัญว่าการอัศจรรย์ที่พวกเขาได้ปฏิบัติจะยิ่งใหญ่เพียงใด พวกเขาก็ยังคงเป็นแค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าได้ พวกเขาได้ทำงานในพระนามของพระเจ้า หรือได้ทำงานหลังจากที่ได้ถูกพระเจ้าทรงส่งมา นอกจากนี้พวกเขาได้ทำงานในยุคที่พระเยซูหรือพระยาห์เวห์ได้ทรงเริ่มต้น และพวกเขาไม่ได้ทำงานอื่นเลย จะว่าไปแล้ว พวกเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์
ในยุคพระคุณ พระเยซูได้ตรัสไว้หลายคำและทรงพระราชกิจมากมาย พระองค์ทรงแตกต่างจากอิสยาห์อย่างไร? พระองค์ทรงแตกต่างจากดาเนียลอย่างไร? พระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะหรือไม่? ทำไมจึงพูดว่าพระองค์คือพระคริสต์? อะไรคือความแตกต่างระหว่างพวกเขา? พวกเขาล้วนเป็นบุรุษทุกคนที่กล่าวคำพูด และคำพูดของพวกเขาก็ปรากฏต่อมนุษย์เหมือนกันไม่มากก็น้อย พวกเขาทั้งหมดกล่าวคำพูดและทำงาน ผู้เผยพระวจนะในภาคพันธสัญญาเดิมได้กล่าวคำพยากรณ์ และในทำนองเดียวกัน พระเยซูก็สามารถทำเช่นนั้นได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? ความแตกต่างในที่นี้อยู่บนพื้นฐานของลักษณะของงาน เพื่อแยกแยะในเรื่องนี้ เจ้าต้องไม่พิจารณาธรรมชาติของเนื้อหนัง อีกทั้งเจ้าไม่ควรพิจารณาความลึกหรือความผิวเผินของคำพูดของพวกเขา เจ้าต้องพิจารณางานของพวกเขาและผลที่งานของพวกเขาสัมฤทธิ์ในมนุษย์ก่อนเสมอ คำพยากรณ์ที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ในเวลานั้นไม่ได้จัดหาชีวิตของมนุษย์ และการดลใจที่พวกเขา เช่น อิสยาห์และดาเนียล ได้รับนั้นเป็นเพียงคำพยากรณ์ และไม่ใช่วิถีชีวิต หากไม่ใช่เพื่อการเปิดเผยโดยตรงของพระยาห์เวห์ ก็คงไม่มีใครสามารถทำงานนั้นได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ พระเยซูก็ได้ตรัสพระวจนะหลายคำเช่นกัน แต่คำพูดเช่นนี้เป็นวิถีชีวิตซึ่งมนุษย์สามารถหาเส้นทางไปสู่การปฏิบัติจากมันได้ นั่นก็คือการกล่าวว่า ประการแรก พระองค์สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์ได้เพราะพระเยซูทรงเป็นชีวิต ประการที่สอง พระองค์สามารถแก้ไขแง่มุมที่บิดเบี้ยวของมนุษย์ให้ถูกต้องได้ ประการที่สาม พระราชกิจของพระองค์สามารถทำต่อจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์เพื่อดำเนินการยุคต่อได้ ประการที่สี่ พระองค์สามารถจับความเข้าใจในสิ่งจำเป็นภายในมนุษย์และเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์ขาดพร่อง ประการที่ห้า พระองค์สามารถนำมาซึ่งยุคใหม่และสรุปปิดตัวยุคเก่า นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ทรงถูกเรียกว่าพระเจ้าและพระคริสต์ พระองค์ไม่เพียงทรงแตกต่างจากอิสยาห์เท่านั้น แต่ทรงแตกต่างจากผู้เผยพระวจนะท่านอื่นๆ ทั้งหมดอีกด้วย ลองดูอิสยาห์เป็นตัวเปรียบเทียบสำหรับงานของบรรดาผู้เผยพระวจนะ ประการแรก เขาไม่สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์ ประการที่สอง เขาไม่สามารถนำมาซึ่งยุคใหม่ เขาทำงานภายใต้การนำของพระยาห์เวห์และไม่ใช่เพื่อการนำมาซึ่งยุคใหม่ ประการที่สาม คำพูดที่เขากล่าวนั้นอยู่เหนือเขา เขาได้รับการเปิดเผยโดยตรงจากพระวิญญาณของพระเจ้า และคนอื่นๆ จะไม่เข้าใจ แม้จะได้ฟังคำพูดเหล่านั้น เพียงไม่กี่สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาไม่ได้เป็นมากกว่าคำพยากรณ์ ไม่ได้เป็นมากกว่าแง่มุมหนึ่งของงานที่ถูกทำแทนที่ของพระยาห์เวห์ อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ได้อย่างสมบูรณ์ เขาเป็นผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ เป็นเครื่องมือในพระราชกิจของพระยาห์เวห์ เขาเพียงแค่กำลังทำงานในยุคธรรมบัญญัติและภายในขอบเขตของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ เขาไม่ได้ทำงานเกินเลยยุคธรรมบัญญัติ ในทางตรงกันข้าม พระราชกิจของพระเยซูแตกต่างออกไป พระองค์ทรงอยู่เหนือขอบเขตของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงพระราชกิจเสมือนพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และก้าวผ่านการตรึงกางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงดำเนินการพระราชกิจใหม่นอกพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำ นี่คือการนำมาซึ่งยุคใหม่ นอกจากนี้ พระองค์ยังสามารถตรัสถึงสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้ พระราชกิจของพระองค์เป็นพระราชกิจภายในการบริหารจัดการของพระเจ้าและเกี่ยวข้องกับมวลมนุษย์ทั้งหมด พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจในมนุษย์เพียงไม่กี่คน อีกทั้งพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อนำทางมนุษย์จำนวนจำกัด ในส่วนของวิธีที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ วิธีที่พระวิญญาณทรงมอบวิวรณ์ในเวลานั้น และวิธีที่พระวิญญาณทรงเคลื่อนลงสถิตบนบุรุษหนึ่งเพื่อทรงพระราชกิจ—เหล่านี้เป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ มันเป็นไปไม่ได้อย่างที่สุดที่ความจริงเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นบทพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ ดังนั้น ความแตกต่างสามารถทำขึ้นได้ท่ามกลางพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งเป็นรูปธรรมสำหรับมนุษย์ นี่เท่านั้นที่เป็นจริง นี่เป็นเพราะเรื่องของพระวิญญาณนั้นไม่สามารถมองเห็นได้สำหรับเจ้าและมีพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงรู้จักอย่างชัดเจน และแม้แต่เนื้อหนังในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็ทรงรู้ไม่ทั้งหมด เจ้าสามารถเพียงแค่ตรวจสอบยืนยันได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่จากพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไปแล้ว จากพระราชกิจของพระองค์ จะเห็นได้ว่า ประการแรก พระองค์สามารถเปิดฉากยุคใหม่ ประการที่สอง พระองค์สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์และแสดงให้มนุษย์เห็นหนทางที่จะติดตามไป นี่เพียงพอที่จะยืนยันว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง อย่างน้อยที่สุด พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำก็สามารถเป็นตัวแทนของพระวิญญาณของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ และจากพระราชกิจเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่ภายในพระองค์ เมื่อพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงทำโดยหลักแล้วเป็นไปเพื่อนำมาซึ่งยุคใหม่ นำพระราชกิจใหม่ และเปิดฉากอาณาจักรใหม่ เหล่านี้เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง ดังนั้น นี่จึงทำให้พระองค์ทรงแตกต่างจากอิสยาห์ ดาเนียล และผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ท่านอื่นๆ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์
พระวจนะของพระเจ้าไม่สามารถทำให้มองเห็นเป็นคำพูดของมนุษย์ได้และยิ่งไม่สามารถที่จะทำให้คำพูดของมนุษย์กลายเป็นพระวจนะของพระเจ้าได้ มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ไม่ใช่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ ในที่นี้มีความแตกต่างประการหนึ่งอยู่ในแก่นแท้ บางทีหลังจากอ่านวจนะเหล่านี้ เจ้าไม่ยอมรับรู้ว่าเหล่านี้คือพระวจนะของพระเจ้า แต่เป็นเพียงความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้รับมา ในกรณีนั้น เจ้าถูกความไม่รู้เท่าทันทำให้ตาบอด พระวจนะของพระเจ้าจะสามารถเป็นเหมือนกับความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้มาได้อย่างไรกัน? พระวจนะของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เปิดฉากยุคใหม่ นำทางมวลมนุษย์ทั้งปวง เปิดเผยข้อล้ำลึกทั้งหลาย และแสดงให้มนุษย์เห็นทิศทางที่เขาต้องไปในยุคใหม่ ความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้รับนั้นเป็นเพียงคำแนะนำเรียบง่ายเพื่อการปฏิบัติหรือเพื่อความรู้เท่านั้น มันไม่สามารถนำมวลมนุษย์ทั้งปวงเข้าสู่ยุคใหม่หรือเปิดเผยข้อล้ำลึกของพระเจ้าพระองค์เอง เมื่อพิจารณาจากทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พระเจ้าก็ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์ก็คือมนุษย์ พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้าและมนุษย์มีแก่นแท้ของมนุษย์ หากมนุษย์มีทรรศนะว่าพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้เป็นการให้ความรู้แจ้งที่เรียบง่ายโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และรับเอาคำพูดของบรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะมาเป็นพระวจนะที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองแล้วไซร้ นั่นย่อมจะเป็นความผิดพลาดของมนุษย์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ
ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง
เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง
พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงมีทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์และเทวสภาพ
พระเจ้าคือพระเจ้า มนุษย์คือมนุษย์