50. บทเรียนที่ขมขื่นจากการติดตามมนุษย์แทนพระเจ้า
ครั้งแรกที่ฉันได้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันดีใจจริงๆ ที่เห็นว่าแคลลีจะกำกับดูแลงานของฉัน ฉันเคยฟังการสามัคคีธรรมของเธอในการชุมนุมมาก่อนและรู้สึกว่าเธอมีความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าดีมาก การสามัคคีธรรมของเธอนั้นแจ่มชัดและเธอพูดถึงการรู้จักตัวเองได้ดี พี่น้องชายหญิงคนอื่นบอกเช่นกันว่าเธอมีขีดความสามารถที่ดีและไล่ตามเสาะหาความจริง นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้นำตลอดเวลาที่ฉันได้รู้จักเธอ ฉันจึงชื่นชมเธอมาก ฉันรู้สึกว่าเธอไล่ตามเสาะหาความจริงและมีความเป็นจริงความจริง รู้สึกว่าในทุกสิ่งที่เธอทำนั้น เธอน่าจะพยายามกระทำการตามหลักธรรม ดังนั้นตราบใดที่แคลลีเป็นคนจัดแจงเตรียมภาระหน้าที่ให้ฉัน ฉันจะจัดการทันที แต่ต่อมาหลังจากทำงานกับเธอได้ระยะหนึ่ง ฉันพบว่าเธอไม่ได้ทำให้งานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแล้วเสร็จ และโดยทั่วไปแล้วเธอไม่สามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเราหรือไถ่ถามถึงสภาวะหรือความยากลำบากในงานของพวกเรา เมื่อใครบางคนพูดถึงปัญหากับเธอ เธอจะพูดอย่างดูถูกว่าคนคนนั้นไม่มีขีดความสามารถหรือคนคนนั้นมีอุปนิสัยที่โอหังและไม่ยอมทำตามที่บอก ถ้าเธอไม่จัดการแก้ไขปัญหาด้วยการต่อว่าพวกเขา เธอก็จะเปลี่ยนหน้าที่ของพวกเขาแทน นั่นทำให้พี่น้องชายหญิงหลายคนรู้สึกอึดอัดเพราะเธอ ฉันรู้สึกว่าเธอดูเหมือนจะมีปัญหาบางอย่าง แต่แล้วฉันก็คิดเพียงว่าเธอน่าจะเครียดเพราะยุ่งอยู่กับหน้าที่ของเธอมากเกินไป และฉันก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีก เนื่องจากฉันนับถือและชื่นชมเธอ และฉันไม่แสวงหาความจริงในการกระทำของฉัน กว่าจะรู้ตัวฉันก็กำลังทำชั่วอยู่กับเธอแล้ว
ครั้งหนึ่งจู่ๆ แคลลีมาหาฉันและบอกว่ามีเรื่องสำคัญมากที่ฉันจำเป็นต้องจัดการทันที นั่นคือมีพี่น้องชายหญิงบางคนได้บอกผู้นำระดับสูงขึ้นไปว่ามีพี่น้องหญิงคนหนึ่งในคริสตจักรของพวกเรากำลังประกาศข่าวประเสริฐอย่างไม่มีหลักธรรม แคลลีพูดกับฉันว่า “ไปตัดแต่งเธอและชำแหละธรรมชาติของพฤติกรรมของเธอก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนหน้าที่ให้เธอ” ฉันคิดว่าพี่น้องหญิงคนนั้นเพียงแค่กำลังเรียนรู้วิธีประกาศข่าวประเสริฐเท่านั้น ดังนั้นสาเหตุที่ปัญหานี้เกิดขึ้นก็เป็นเพราะว่ามีหลักธรรมบางอย่างที่เธอยังไม่เข้าใจ การปลดเธอตรงๆ ไม่ใช่วิธีจัดการที่ถูกต้อง—พวกเราควรที่จะสามัคคีธรรมกับเธอและช่วยเหลือเธอก่อนไม่ใช่หรือ? แต่เพราะรู้ว่าแคลลีเป็นผู้นำมานานมากแล้ว ฉันเลยคิดว่าเธอต้องมีมุมมองที่ถูกต้องกว่าเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ฉันจึงปลดพี่น้องหญิงคนนั้นตามที่แคลลีบอก ยังมีอีกครั้งเมื่อกลุ่มชุมนุมกลุ่มหนึ่งต้องเลือกผู้นำกลุ่ม และแคลลีบอกฉันว่าโจนเป็นผู้สมัครไม่ได้เพราะว่าเธอมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยบางอย่าง โจนไม่เต็มใจที่จะยอมรับการจัดแจงนี้และแสดงความไม่พอใจของเธอในการชุมนุมครั้งต่อมา หลังจากที่แคลลีรู้เรื่องนี้ เธอก็เอาแต่พูดว่าโจนไม่มีอุปนิสัยที่ดีและขอให้ฉันรวบรวมการประเมินโจนจากพี่น้องชายหญิงทันทีโดยไม่สามัคคีธรรมถึงความจริงกับโจนก่อนด้วยซ้ำ ต่อมา แคลลีพูดว่าโจนไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้และคอยจับผิดบรรดาผู้นำและคนทำงาน ไม่ทบทวนตัวเองหรือตระหนักรู้ตนเอง ดังนั้นจากพฤติกรรมของเธอ เธอควรถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมการชุมนุมและควรใช้เวลาอยู่ที่บ้านเพื่อคิดทบทวน ในตอนนั้น ฉันเองรู้สึกว่าโจนค่อนข้างโอหังเช่นกัน แต่ฉันไม่ได้ตรวจสอบว่าเธอมีพฤติกรรมแบบนั้นตลอดเวลาจริงหรือไม่ และยิ่งไม่ได้สามัคคีธรรมและช่วยเหลือเธอ ฉันแค่ทำตามที่แคลลีบอกและห้ามโจนเข้าร่วมการชุมนุม ในเวลาต่อมา ยังมีอีกครั้งหนึ่งที่แคลลีและคู่ทำงานของเธอเรียกฉันและผู้นำคริสตจักรอีกสองสามคนมารวมตัวกันอย่างกะทันหันเพื่ออ่านการประเมินเอดาลีนที่ดูแลด้านธุรการทั่วไปให้พวกเราฟัง เธอบอกว่าเอดาลีนเป็นศัตรูของพระคริสต์ และขอให้พวกเราแบ่งปันความคิดเห็นว่าพวกเราเห็นด้วยกับการขับไล่เอดาลีนหรือไม่ ฉันตกใจมากที่ได้ยินแบบนั้น ฉันมีปฏิสัมพันธ์กับเอดาลีนอยู่สองครั้ง และเธอก็ดูจะแบกรับภาระในหน้าที่ของเธอจริงๆ—เธอจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างไร? แคลลีและคู่ทำงานของเธอพูดว่าเอดาลีนโอหังมากและงานทั้งหมดของเธอทำไปเพื่อให้มีอำนาจ เธอไม่ทุ่มเทหัวใจให้กับงานของเธอ แต่กลับแบ่งปันการสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขาอยู่เสมอ แคลลีพูดว่าเธอเพียงแค่พยายามที่จะเอาชนะใจผู้คน และเธอทำเช่นนี้เพื่อชักจูงผู้คนไปในทางที่ผิดและจัดตั้งที่ทางของเธอเองในหัวใจของผู้คน และอื่นๆ พอได้ฟังการประเมินว่าเอดาลีนแบ่งปันการสามัคคีธรรมเพื่อจัดการแก้ไขปัญหา ฉันก็คิดในใจว่า “แบบนั้นก็ดูปกติดี นั่นจะทำให้เธอเป็นศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างไร?” แต่แล้วฉันก็คิดอีกว่าฉันเจอเอดาลีนแค่สองครั้ง ในขณะที่แคลลีกับเพื่อนร่วมงานของเธอได้ติดต่อเอดาลีนหลายครั้งในหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาต้องมีความเข้าใจที่ดีกว่าฉัน และเนื่องจากแคลลีเข้าใจความจริง และมุมมองเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ของเธอนั้นถูกต้องกว่า อีกทั้งเธอได้หารือและลงความเห็นในเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงานหลายคนแล้ว เรื่องนี้ก็ต้องถูกต้อง ดังนั้น ฉันจึงแสดงการสนับสนุนการขับไล่เอดาลีน โดยที่ไม่ได้แสวงหาอะไรเลย
และแล้ววันหนึ่ง จู่ๆ ฉันก็ได้ยินว่าแคลลีและเพื่อนร่วมงานของเธอบางคนถูกปลด เรื่องนี้ทำให้ฉันค่อนข้างประหลาดใจและฉันไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรถึงได้เกิดขึ้น ไม่ช้าผู้นำระดับสูงขึ้นไปคนหนึ่งมาพูดกับฉันว่า ฉันถูกพี่น้องชายหญิงบางคนรายงานเช่นกัน เธอยังบอกอีกว่าการห้ามโจนเข้าร่วมการชุมนุมนั้นไม่เป็นไปตามหลักธรรม นั่นเป็นการกดขี่เธอ ผู้นำขอให้ฉันพาเธอกลับเข้าคริสตจักรและสามัคคีธรรมกับคนอื่นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันตกใจมากที่ตัวเองจัดการเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับโจนอย่างไม่ถูกต้อง เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่แคลลีและคนอื่นได้ตกลงเห็นด้วยกันหมดแล้ว แล้วจะผิดได้อย่างไร? ถ้าอย่างนั้น นั่นย่อมเป็นการก่อความไม่สงบและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักไม่ใช่หรือ? ฉันไม่เคยนึกเลยว่าฉันจะวิ่งวุ่นทำหน้าที่ไปมาวันแล้ววันเล่า แต่ในท้ายที่สุดกลับทำให้เกิดการหยุดชะงักได้ ฉันรู้สึกกลัว ไม่สบายใจ และอึดอัดใจจริงๆ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า! นี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆ และข้าพระองค์ไม่ทราบว่าน้ำพระทัยของพระองค์เป็นเช่นใดในเรื่องนี้ ได้โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์ได้เรียนรู้เท่าที่สามารถไม่ว่าจะเป็นบทเรียนใดก็ตามด้วยเถิด” ในเวลานั้นฉันไม่มีการตระหนักรู้ในตนเองที่มีนัยสำคัญใดๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันก็ปฏิบัติกับโจนอย่างไม่มีหลักธรรม นั่นย่อมไม่เป็นธรรมและเจ็บปวดมากสำหรับเธอ ดังนั้นในวันต่อมา ฉันจึงขอโทษโจนและพาเธอกลับเข้าคริสตจักร ฉันยังยอมรับความผิดพลาดของตนเองกับพี่น้องชายหญิงคนอื่นอีกด้วย พี่น้องชายคนหนึ่งพูดกับฉันด้วยความผิดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “คุณเป็นผู้นำคริสตจักร แต่นอกจากคุณจะล้มเหลวในการปกป้องพี่น้องชายหญิงแล้ว คุณยังคล้อยตามแคลลีในการทำชั่วอีกด้วย คุณกำลังเดินบนเส้นทางแห่งการทำลายล้างและคุณจะพาพวกเราทุกคนลงนรกไปพร้อมกับคุณ ผมเชื่อใจคุณไม่ได้อีกแล้ว” สิ่งที่เขาพูดพุ่งตรงมาที่หัวใจของฉันและชวนให้เสียใจจริงๆ แต่ฉันรู้ว่าสถานการณ์นั้นต้องเกิดจากพระเจ้า ฉันจึงควรนบนอบ
และดังนั้น ฉันจึงทำใจให้สงบและไตร่ตรองว่า ทำไมฉันถึงทำตามแคลลีในการทำชั่ว—ที่จริงแล้วปัญหาอยู่ตรงไหน? ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งซึ่งทำให้ฉันเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างเล็กน้อย พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ แต่เป็นบรรดาผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่มีตำแหน่งอันโดดเด่นเหล่านั้น เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปัญญาของพระคริสต์ แต่เป็นพวกคนหลงระเริงที่เกลือกกลิ้งในความโสมมของโลก เจ้าหัวเราะให้กับความเจ็บปวดของพระคริสต์ที่ไม่มีที่จะวางพระเศียรของพระองค์ แต่เจ้ากลับเลื่อมใสบรรดาซากศพเหล่านั้นที่ตามล่าหาของถวายและใช้ชีวิตอยู่กับความเสเพล เจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์ แต่เจ้ากลับเปรมปรีดิ์ที่จะโผเข้าสู่อ้อมแขนของพวกต่อต้านพระคริสต์ที่บ้าบิ่นสิ้นคิดเหล่านั้น แม้พวกเขาจะจัดหาให้เจ้าเพียงแค่เนื้อหนัง คำพูดและการควบคุม แม้ว่าบัดนี้หัวใจของเจ้ายังคงหันเข้าหาพวกเขา เข้าหาความมีหน้ามีตาของพวกเขา เข้าหาสถานภาพของพวกเขา เข้าหาอิทธิพลของพวกเขา และกระนั้นเจ้าก็ยังคงสงวนท่าทีที่ทำให้เจ้าพบว่าพระราชกิจของพระคริสต์นั้นยากที่จะกลืนลง และเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระราชกิจนั้น นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงกล่าวว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะยอมรับพระคริสต์ เหตุผลที่เจ้าได้ติดตามพระองค์มาจนถึงวันนี้ก็เพียงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น ภาพลักษณ์อันสูงส่งเป็นชุดๆ ตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดกาล เจ้าไม่อาจลืมทั้งวาจาและความประพฤติทุกอย่างของพวกเขา และคำพูดกับมือที่มีอิทธิพลของพวกเขาได้ ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดตลอดกาลและเหล่าวีรบุรุษตลอดกาล แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นสำหรับพระคริสต์ในวันนี้ พระองค์ไม่มีนัยสำคัญตลอดกาลในหัวใจของเจ้าและไม่คู่ควรที่จะได้รับความยำเกรงตลอดกาล เพราะพระองค์นั้นทรงมีความเป็นธรรมดาเกินไปมาก ทรงมีอิทธิพลน้อยเกินไปมาก และห่างไกลจากคำว่าสูงส่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?) สิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยในพระวจนะของพระองค์ช่วยให้ฉันมองเห็นว่า ถึงแม้ฉันจะเป็นผู้เชื่อ แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงมีที่ทางในหัวใจของฉัน สิ่งที่ฉันเทิดทูนบูชานั้นคือสถานะและอำนาจ ภาพลักษณ์อันสูงส่งและใครบางคนที่เป็นนักพูดที่เก่ง ในตอนแรกเมื่อฉันเห็นว่าแคลลีมีพรสวรรค์และพูดจาฉะฉาน เห็นว่าเธอสามารถสามัคคีธรรมได้ดีและเป็นผู้นำมานาน ฉันก็เชื่ออย่างผิดๆ ว่าเธอเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริงความจริง ดังนั้นอะไรก็ตามที่เธอทำย่อมต้องสอดคล้องกับหลักธรรม นั่นคือสาเหตุที่เมื่อเธอจัดแจงให้ฉันทำอะไรสักอย่าง ฉันก็ไปทำตามที่เธอบอกโดยไม่คิดหน้าคิดหลังหรือแม้แต่จะแสวงหาหลักธรรมความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันไม่เคยคิดที่จะใช้วิจารณญาณกับเธอ มองจากภายนอก ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวันและทำหน้าที่ตั้งแต่เช้าจนมืด แต่หลักธรรมที่ฉันใช้ในหน้าที่ของฉันและมาตรฐานที่ฉันใช้ประเมินสิ่งต่างๆ ไม่ได้มีพื้นฐานตามพระวจนะของพระเจ้า ฉันกลับฟังแคลลีทุกอย่างและทำทุกสิ่งที่เธอบอกไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เหมือนกับตอนที่ฉันจัดการเรื่องของพี่น้องหญิงคนนั้นที่กำลังประกาศข่าวประเสริฐ กล่าวคือ ตอนนั้นฉันสัมผัสได้ว่าการสักแต่ปลดเธอไปตรงๆ นั้นไม่เหมาะสม แต่ในเมื่อนั่นเป็นการจัดแจงของแคลลี ฉันจึงปฏิเสธตนเองและหลับหูหลับตาทำตามเธอไป และฉันก็ไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงในเรื่องของโจนเช่นกัน กลับเอาแต่ทำสิ่งที่หยางหมิ่นต้องการคือห้ามโจนเข้าร่วมการชุมนุม แล้วยังมีเรื่องการออกเสียง เกี่ยวกับการขับไล่เอดาลีน พอได้ยินแคลลีบอกว่าเอดาลีนเป็นศัตรูของพระคริสต์ ถึงแม้สำหรับฉันแล้วจะไม่สมเหตุสมผลและดูเหมือนจะมีปัญหา แต่ฉันก็คิดว่าแคลลีมีวิจารณญาณและมีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับผู้คนและสิ่งต่างๆ ดีกว่าฉัน และนั่นยังเป็นสิ่งที่เธอและเพื่อนร่วมงานคนอื่นตัดสินใจร่วมกันผ่านทางการสามัคคีธรรมแล้ว ฉันจึงไม่คิดว่าพวกเขาจะคิดผิดได้ ฉันทำชั่วไปกับแคลลีแม้กระทั่งในเรื่องใหญ่โตอย่างการขับไล่ใครสักคน ฉันเห็นด้วยกับการไล่เอดาลีนออกจากคริสตจักร เกือบจะทำลายโอกาสในความรอดของเธอ ฉันไม่รู้จนกระทั่งในเวลาต่อมาว่าเอดาลีนเกิดสำนึกแห่งความชอบธรรม และได้เปิดโปงและรายงานความประพฤติชั่วของแคลลีกับพวกของเธอ พวกแคลลีไม่เพียงไม่ยอมรับ แต่ยังลงมือตอบโต้เธอลับหลังและทำให้เธอถูกไล่ออก ฉันไม่ได้จงใจจะลงโทษเอดาลีนเหมือนที่พวกนั้นทำ แต่ฉันก็ไม่ได้แสวงหาความจริงเช่นกัน ฉันเลือกจุดยืนที่ช่วยเหลือแคลลีและคนอื่นโดยตรงในการตอบโต้และทำร้ายเอดาลีน ฉันมีส่วนร่วมในความชั่วของคนเหล่านั้น ในความเชื่อของฉัน หัวใจของฉันไม่ได้มีที่ทางสำหรับพระเจ้าหรือพระวจนะของพระองค์ ฉันเพียงเทิดทูนบูชาความสามารถพิเศษ ประสบการณ์ อำนาจ และสถานะเท่านั้น ฉันฟังใครก็ตามที่มีสถานะและอำนาจตัดสินใจ โคจรอยู่รอบๆ ตัวพวกเขาเหมือนเป็นลูกสมุน ฉันไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงเลย พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงชิงชังความชั่ว และฉันก็เชื่อในพระเจ้า แต่กลับเทิดทูนบูชาและติดตามคนคนหนึ่ง ถึงขนาดสามารถติดตามเธอในการทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่านี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงของฉัน และถ้าหากฉันไม่กลับใจ ฉันก็จะถูกพระเจ้าปฏิเสธและกำจัดออกไปอย่างแน่นอน ฉันได้รู้ในภายหลังว่าแคลลีและผู้คนที่เธอทำงานด้วยนั้นไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง บุ่มบ่ามและเผด็จการ กดขี่และเล่นงานคนอื่นอย่างไม่มีเหตุผล พวกนั้นแก้ไขการประเมินพี่น้องชายหญิงทั้งหลายอย่างไม่ละอาย แต่งเติมรายละเอียด สร้างหลักฐานปลอม เพื่อที่จะพยายามขับไล่เอดาลีนที่เปิดโปงและรายงานเรื่องของพวกเขา พวกเขาควบคุมการเลือกตั้งด้วยการบงการอยู่ลับๆ แต่งตั้งและปลดผู้คนตามใจชอบ พวกเขาทำชั่วอย่างมหาศาล จึงมีการตัดสินว่าพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์และถูกขับออกจากคริสตจักรอย่างถาวร จากนั้นผู้นำถามความเห็นของพี่น้องชายหญิงคนอื่นว่าควรจะจัดการฉันอย่างไร จากพฤติกรรมในการทำหน้าที่ของฉันและที่มาที่ไปในการกระทำของฉัน พวกเขาพูดว่าฉันถูกชักนำให้หลงผิด และตกลงที่จะให้โอกาสฉันกลับใจและยอมให้ฉันอยู่ในคริสตจักรและทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป ฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆ ฉันกระทำการโดยไม่แสวงหาความจริง คล้อยตามพวกศัตรูของพระคริสต์ในความชั่วของพวกเขา แต่คริสตจักรก็ไม่ได้ไล่ฉันออก ฉันยังได้รับโอกาสให้กลับใจ ฉันขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ในความกรุณาของพระองค์
ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าที่ให้วิจารณญาณบางอย่างแก่ฉันเกี่ยวกับแก่นแท้ของแคลลีและพวกของเธอ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “สิ่งใดคือวัตถุประสงค์หลักของศัตรูพระคริสต์เมื่อพวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง? พวกเขาเสาะแสวงที่จะสร้างสถานการณ์ขึ้นมาภายในคริสตจักรที่ไม่มีใครส่งเสียงคัดค้านพวกเขา เป็นสถานการณ์ที่อำนาจของพวกเขา สถานะผู้นำของพวกเขา และคำพูดของพวกเขาถือเป็นเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งสิ้น ทุกคนต้องฟังพวกเขา และต่อให้ผู้คนมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป ทุกคนก็ต้องไม่แสดงความคิดเห็นนั้นออกมา ปล่อยให้หมักหมมอยู่ในหัวใจของตนเท่านั้น ใครก็ตามที่กล้าคัดค้านพวกเขาอย่างเปิดเผยย่อมกลายเป็นอริกับศัตรูของพระคริสต์ และพวกเขาจะคิดหาหนทางอันใดก็ตามที่พวกเขาสามารถคิดได้เพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ยากลำบากสำหรับคนเหล่านั้น และแทบจะทนรอให้คนเหล่านั้นปลาสนาการไปไม่ไหว นี่คือหนึ่งในหลายหนทางที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้เล่นงานและกีดกันผู้เห็นต่างเพื่อช่วยพยุงสถานะและปกป้องอำนาจของตน พวกเขาคิดว่า ‘ไม่เป็นไรเลยที่คุณจะมีความคิดเห็นทั้งหลายที่ต่างออกไป แต่คุณไม่สามารถเที่ยวไปพูดคุยเกี่ยวกับความคิดเห็นเหล่านั้นตามแต่คุณจะยินดีได้ นับประสาอะไรที่จะทำให้อำนาจและสถานะของฉันต้องเสี่ยง หากคุณมีบางสิ่งจะพูด ก็สามารถพูดสิ่งนั้นกับฉันได้เป็นการส่วนตัว หากคุณพูดสิ่งนั้นต่อหน้าทุกคนและเป็นเหตุให้ฉันเสียหน้า คุณก็กำลังหาเรื่องใส่ตัว และฉันก็จำเป็นที่จะต้องจัดการคุณ!’ นี่คืออุปนิสัยประเภทใด? พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นพูดอย่างอิสระ หากผู้อื่นมีความเห็น—ไม่ว่าจะเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์หรือสิ่งอื่นใด—พวกเขาก็ไม่อาจพูดขึ้นมาตามสบายได้ พวกเขาต้องคำนึงถึงหน้าตาของศัตรูพระคริสต์ ถ้าไม่อย่างนั้น ศัตรูของพระคริสต์ก็จะตราหน้าพวกเขาว่าเป็นศัตรู และโจมตีและกีดกันพวกเขาออกจากกลุ่ม นี่คือธรรมชาติประเภทใดหรือ? นี่ก็คือธรรมชาติของศัตรูพระคริสต์ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้? พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้คริสตจักรส่งเสียงเป็นอื่น พวกเขาไม่อนุญาตให้มีผู้เห็นต่างในคริสตจักร พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามัคคีธรรมความจริงและใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนอย่างเปิดเผย สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือการถูกผู้คนเปิดโปงและรู้ทัน พวกเขาพยายามตลอดเวลาที่จะเสริมสร้างอำนาจของตนและสถานะที่พวกเขามีอยู่ในหัวใจของผู้คน ซึ่งพวกเขารู้สึกว่าจะต้องไม่มีวันถูกสั่นคลอน พวกเขาไม่มีวันสามารถทนยอมรับสิ่งใดก็ตามที่คุกคามหรือส่งผลกระทบต่อความภาคภูมิใจ ความมีหน้ามีตา หรือสถานะและคุณค่าของพวกเขาในฐานะผู้นำ นี่สำแดงถึงธรรมชาติที่มุ่งร้ายของศัตรูพระคริสต์มิใช่หรือ? ด้วยความที่ไม่พอใจในอำนาจที่พวกเขามีอยู่แล้ว พวกเขาจึงสร้างความมั่นคงให้กับอำนาจนั้น พิทักษ์อำนาจนั้นไว้ และแสวงหาการครอบครองชั่วนิรันดร์ พวกเขาไม่เพียงต้องการควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่นเท่านั้น แต่ต้องการควบคุมหัวใจของคนเหล่านั้นด้วย” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สอง: พวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง) การอ่านพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันพอจะเข้าใจอุปนิสัยอันชั่วช้าของศัตรูของพระคริสต์ เมื่อต้องการที่จะรักษาตำแหน่งของตนเอง พวกเขาจึงมองผู้ที่มีวิจารณญาณในเรื่องของพวกเขา ผู้ที่สามารถให้คำแนะนำแก่พวกเขาและเปิดโปงพวกเขาได้ ว่าเป็นศัตรู และจะไม่ยอมหยุดเล่นงานและกดขี่คนเหล่านั้น พวกเขายังกล่าวหาคนเหล่านั้นผิดๆ ว่ามีการกระทำผิดสารพัดเพื่อที่จะกำจัดคนเหล่านั้นไปจากคริสตจักรและสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายในการกุมอำนาจของตนในคริสตจักรเอาไว้ นี่เป็นแง่มุมที่เจ้าเล่ห์และมุ่งร้ายที่สุดของศัตรูของพระคริสต์ ฉันมองเห็นได้ว่าศัตรูของพระคริสต์มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ชั่วช้า อุปนิสัยที่ดุร้าย ดูหมิ่นความจริงและสื่งทั้งหลายที่เป็นบวกจริงๆ แคลลีและคนอื่นในกลุ่มของเธอประพฤติตนเหมือนกับที่พระเจ้าทรงอธิบายไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เมื่อพี่น้องชายหญิงบางคนมีวิจารณญาณ แล้วให้คำแนะนำแก่พวกเขาหรือรายงานพวกเขา พวกเขาไม่เพียงไม่ยอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้าและไม่ทบทวนตนเองเท่านั้น แต่กลับข่มปรามและทำให้คนเหล่านั้นถูกไล่ออกอย่างไม่ละอาย เอดาลีนสังเกตเห็นว่าการกระทำของพวกเขาละเมิดหลักธรรม เธอจึงรายงานและเปิดโปงพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาจึงเริ่มข่มปรามเธอ และเตรียมสิ่งที่จะทำให้เธอถูกไล่ออกจากคริสตจักร แต่หลักฐานของพวกเขาไม่เพียงพอและไม่ได้รับความเห็นชอบจากคริสตจักร พวกเขาไม่ยอมล้มเลิก ถึงกับแก้ไขการประเมินเอดาลีนที่คนอื่นเขียนไว้ แต่งเติมรายละเอียดและบิดเบือนความจริงเพื่อที่จะกำจัดเอดาลีน อ้างว่าการสามัคคีธรรมและการช่วยเหลือคนอื่นของเอดาลีนคือการเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่นำคนอื่นให้พลัดหลง พวกเขาตีตราเธอและกล่าวโทษตามอำเภอใจ และจะไม่ยอมหยุดพักจนกว่าพวกเขาจะกำจัดเอดาลีนออกไปจากคริสตจักร ศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้เป็นเหมือนพญานาคใหญ่สีแดง กดขี่และโจมตีใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับตน ใส่ร้ายและทำร้ายคนเหล่านั้นเพียงเพื่อที่จะทำให้ตำแหน่งของตนเองมั่นคง พวกเขาจะไม่เปิดโอกาสให้มีเสียงอื่นใดภายในคริสตจักรที่พวกเขามีอำนาจ และจะลงโทษใครก็ตามที่ให้คำแนะนำแก่พวกเขา และเนื่องจากคาร์สันที่เป็นสมาชิกคริสตจักรอีกคนหนึ่งคอยแนะนำสิ่งต่างๆ แก่พวกเขาและวิจารณ์ปัญหาของพวกเขา พวกเขาจึงตอบโต้ลับหลัง ทำให้เขาต้องแยกตัวออกไปทบทวนตนเอง และไม่ยอมให้เขาได้ทำหน้าที่ ด้วยความเดือดดาล พวกนั้นถึงกับบอกว่าถึงแม้เขาจะถูกแยกเดี่ยวให้อยู่ที่บ้าน พวกเขาก็จะไม่ยอมปล่อยไป และยืนกรานที่จะไล่เขาออกจากคริสตจักร และจะไม่หยุดจนกว่าจะทำสำเร็จ ยังมีผู้นำคริสตจักรอีกคนที่ทนทุกข์กับการลงโทษและกดขี่ของพวกนั้นเพราะเธอมีความเห็นต่างเกี่ยวกับการไล่คาร์สันออก—พวกนั้นจึงปลดเธอออกจากหน้าที่ของเธอ
ฉันได้เห็นว่าจริงๆ แล้วแคลลีและกลุ่มศัตรูของพระคริสต์ของเธอนั้นชั่วช้าขนาดไหน ได้เห็นว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งที่ไร้มนุษยธรรมทุกรูปแบบเพื่อที่จะทำร้ายพี่น้องชายหญิงและให้พวกตนสามารถรักษาตำแหน่งของตนไว้ได้ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ ฉันถามตัวเองว่าฉันยกย่องและติดตามศัตรูของพระคริสต์ที่มุ่งร้ายเช่นนั้นและทำชั่วร่วมกับเธอได้อย่างไร? ทำไมฉันที่เป็นผู้เชื่อจึงยังเทิดทูนบูชาและติดตามมนุษย์คนหนึ่ง? ทำไมฉันจึงหลงใหลได้ปลื้มไปกับศัตรูของพระคริสต์ที่ทำชั่วไว้มากขนาดนั้น? ต่อมา ผ่านทางการอธิษฐานและแสวงหา ฉันจึงมีความเข้าใจบางอย่างถึงรากเหง้าของความล้มเหลวของฉัน ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “ผู้คนบางคนสามารถทนความยากลำบากได้ สามารถจ่ายราคาได้ ภายนอกมีความประพฤติดีมาก ค่อนข้างเป็นที่นับถือดี และชื่นชมกับการเลื่อมใสของผู้อื่น พวกเจ้าจะพูดว่าพฤติกรรมภายนอกประเภทนี้สามารถถือได้ว่าเป็นการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหรือไม่? คนเราจะสามารถกำหนดพิจารณาได้หรือไม่ว่าผู้คนเช่นนี้กำลังทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า? เหตุใดจึงเป็นว่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผู้คนเห็นปัจเจกบุคคลเช่นนี้และคิดว่าพวกเขากำลังสนองเจตนารมณ์พระเจ้า กำลังเดินตามเส้นทางของการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ และกำลังเดินตามทางของพระเจ้า? เหตุใดผู้คนบางคนจึงคิดเช่นนี้? มีคำอธิบายเพียงคำเดียวเท่านั้น คำอธิบายนั้นคืออะไรเล่า? คำอธิบายก็คือว่า สำหรับผู้คนจำนวนมหาศาล คำถามบางคำถาม—อาทิ การนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหมายความว่าอะไร การทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยหมายความว่าอะไร และการครองความเป็นจริงความจริงอย่างแท้จริงหมายความว่าอะไร—ไม่ชัดเจนอย่างมาก ดังนั้น จึงมีผู้คนบางคนที่มักถูกชักพาให้หลงผิดโดยพวกที่ภายนอกดูเหมือนจะเป็นฝ่ายวิญญาณ สูงศักดิ์ สูงส่ง และยิ่งใหญ่ ในส่วนของผู้คนที่สามารถพูดถึงคำพูดและคำสอนได้อย่างมีวาทศิลป์ และวาทะและการกระทำของพวกเขาดูเหมือนจะมีค่าคู่ควรกับการเลื่อมใส พวกที่ถูกพวกนั้นหลอกลวงไม่เคยได้มองที่แก่นแท้ของการกระทำของพวกเขา หลักธรรมทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพวกเขา หรืออะไรคือเป้าหมายของพวกเขา ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่เคยมองว่าผู้คนเหล่านี้นบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ และพวกเขาไม่เคยกำหนดพิจารณาว่าผู้คนเหล่านี้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริงหรือไม่ พวกเขาไม่เคยหยั่งรู้แก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านี้ ตรงกันข้าม เริ่มต้นด้วยขั้นตอนแรกของการทำความคุ้นเคยกับพวกเขา พวกเขาได้มาเลื่อมใสและเคารพผู้คนเหล่านี้ทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุด ผู้คนเหล่านี้ก็กลายเป็นรูปเคารพของพวกเขา นอกจากนี้ ในจิตใจของผู้คนบางคน รูปเคารพที่พวกเขานมัสการ—และผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าสามารถทอดทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานของพวกเขาได้ และผู้ที่โดยผิวเผินแล้วดูเหมือนจะสามารถจ่ายราคาได้—เป็นพวกที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างแท้จริง และพวกที่สามารถบรรลุจุดจบที่ดีและบั้นปลายที่ดีได้ ในจิตใจของพวกเขา รูปเคารพเหล่านี้คือพวกที่พระเจ้าทรงสรรเสริญ” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์) “มีเพียงสาเหตุที่แท้จริงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนมีการกระทำและทัศนคติที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้ หรือมีข้อคิดเห็นและการฝึกฝนปฏิบัติด้านเดียว—และวันนี้ เราจะบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ กล่าวคือ เหตุผลก็คือว่า แม้ว่าผู้คนอาจติดตามพระเจ้า อธิษฐานต่อพระองค์ทุกวัน และอ่านถ้อยดำรัสของพระองค์ทุกวัน แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์อย่างจริงแท้ มีรากเหง้าของปัญหาอยู่ในที่นี้ หากใครบางคนเข้าใจพระทัยของพระเจ้าและรู้ว่าพระองค์ทรงชอบสิ่งใด พระองค์ทรงเกลียดสิ่งใด พระองค์ทรงต้องประสงค์สิ่งใด พระองค์ทรงปฏิเสธสิ่งใด พระองค์ทรงรักบุคคลชนิดใด พระองค์ไม่ทรงชอบบุคคลชนิดใด พระองค์ทรงใช้มาตรฐานชนิดใดเมื่อทำการเรียกร้องต่อผู้คน และพระองค์ทรงใช้การเข้าหาประเภทใดเพื่อทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นยังคงสามารถมีข้อคิดเห็นส่วนตัวของพวกเขาเองได้หรือไม่? ผู้คนเช่นนี้อาจสามารถไปนมัสการใครอื่นบางคนได้อย่างเรียบง่ายกระนั้นหรือ? มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งอาจสามารถกลายเป็นรูปเคารพของพวกเขาได้หรือไม่? ผู้คนที่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าจะครองทัศนคติที่สมเหตุสมผลมากกว่านั้นเล็กน้อย พวกเขาจะไม่เทิดทูนบุคคลที่เสื่อมทรามผู้หนึ่งโดยพลการ และในขณะที่กำลังเดินไปบนเส้นทางของการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัตินั้น พวกเขาก็จะไม่เชื่อว่าการยึดติดกับกฎเกณฑ์หรือหลักการเรียบง่ายไม่กี่ข้ออย่างมืดบอดนั้นทัดเทียมกับการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์) “ผู้นำและคนทำงานนั้นไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ยังคงเป็นผู้คนธรรมดาทั่วไป หากเจ้ามองว่าพวกเขาเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าพวกเขาเหนือเจ้า มีความสามารถมากกว่าเจ้า และควรนำเจ้า พวกเขาเหนือกว่าใครอื่นอย่างขาดลอยในทุกทาง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คิดผิด—นั่นเป็นความหลงผิดอย่างหนึ่ง แล้วความหลงผิดนี้จะก่อเกิดผลเช่นใดในตัวเจ้า? ความหลงผิดนี้ย่อมทำให้เจ้าประเมินผู้นำทั้งหลายของเจ้าตามข้อกำหนดที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงโดยที่เจ้าเองไม่ทันรู้ตัว และทำให้เจ้าไม่สามารถรับมือปัญหาและข้อบกพร่องที่พวกเขามีได้อย่างถูกต้อง ในเวลาเดียวกัน เจ้ายังจะถูกดึงเข้าไปหาความโก้เก๋ พรสวรรค์ และความสามารถพิเศษของพวกเขาเป็นอย่างมากโดยที่เจ้าไม่รู้ตัวอีกด้วย จนถึงขั้นที่ก่อนที่เจ้าจะทันรู้ตัว เจ้าก็เคารพบูชาพวกเขาไปแล้ว และพวกเขาก็คือพระเจ้าของเจ้า เส้นทางแบบนั้นนับตั้งแต่พวกเขาเริ่มกลายเป็นบุคคลต้นแบบของเจ้า เป็นผู้ที่เจ้าเคารพบูชา จนถึงช่วงเวลาที่เจ้ากลายเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของพวกเขา ก็คือเส้นทางที่จะนำทางเจ้าให้ห่างไปจากพระเจ้าโดยไม่รู้สึกตัว และในขณะเดียวกับที่เจ้าค่อยๆ เคลื่อนห่างจากพระเจ้า เจ้าก็จะยังคงเชื่อว่าเจ้ากำลังติดตามพระเจ้าอยู่ เชื่อว่าเจ้าอยู่ในพระนิเวศของพระองค์ อยู่ในการสถิตของพระองค์ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าย่อมจะถูกลูกสมุนของซาตาน ถูกศัตรูของพระคริสต์ดึงห่างออกไปแล้ว เจ้าจะไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ นี่เป็นสภาวการณ์ที่อันตรายมาก” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่หก) พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงความคิดวิบัติของฉัน ฉันประเมินว่าผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่โดยดูจากพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาเท่านั้น แต่ฉันไม่ใช้วิจารณญาณมองดูแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา หรือมองที่เป้าหมายและแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของพวกเขา ฉันนึกว่าถ้าคนคนหนึ่งสามารถพลีอุทิศ สละตนเอง สามัคคีธรรมเกี่ยวกับความเข้าใจที่พวกเขามีในพระวจนะของพระเจ้า และแสดงความตระหนักรู้ตนเองได้มาก ดูเป็นคนของฝ่ายวิญญาณอย่างมาก พวกเขาก็คือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีความเป็นจริงความจริง เพราะฉะนั้น จากปฏิสัมพันธ์ที่ฉันมีกับแคลลี พอฉันเห็นว่าเธอสามัคคีธรรมได้ดีและพูดจาดี และความเข้าใจที่เธอแบ่งปันในการชุมนุมต่างๆ ก็มีความสมเหตุสมผลอยู่มาก ฉันจึงนึกว่าเธอไล่ตามเสาะหาความจริงและมีความเป็นจริงความจริง ที่น่าสมเพชยิ่งกว่านั้นคือฉันเชื่ออย่างผิดๆ ว่าการที่เธอเป็นผู้นำมาตลอดย่อมหมายความว่าเธอไล่ตามเสาะหาความจริง เพราะทรรศนะวิบัติทั้งหมดนี้ ฉันจึงเปลี่ยนจากที่ไม่รู้จักเธอเป็นชื่นชมและเทิดทูนบูชาเธอ และท้ายที่สุดก็คล้อยตามเธอในการทำชั่ว ฉันไม่ได้ประเมินเธอหรือพยายามใช้วิจารณญาณทำความเข้าใจแก่นแท้ของเธอตามพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับเดินตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของฉันเอง ถึงแม้ฉันจะเป็นผู้เชื่อ แต่ฉันก็เทิดทูนบูชาและติดตามคนธรรมดาคนหนึ่ง ฉันมัวติดตามศัตรูของพระคริสต์ ทำความชั่วไปมากมายขนาดนั้น ฉันด้านชาและโง่เขลามากเหลือเกิน! ตอนที่ฉันสนับสนุนการขับไล่เอดาลีนออกจากคริสตจักร ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีความตระหนักรู้เสียทีเดียว ฉันมีความสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์และแสวงหาความจริง ฉันกลับทำตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน คิดไปว่าผู้นำและคนทำงานทั้งหลายย่อมเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริงความจริง และคิดว่าพวกเขาจะมองปัญหาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ฉันจึงหลับหูหลับตาคล้อยตามแคลลีและเห็นด้วยกับการไล่เอดาลีนไปโดยไม่ได้พยายามใช้วิจารณญาณแต่อย่างใด ในเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่ว่าใครสักคนจะบรรลุความรอดได้หรือไม่นั้น การปลดใครสักคนออกอย่างไม่เหมาะสมสามารถทำลายโอกาสในความรอดของพวกเขาได้—นั่นเป็นบาปที่ชั่วร้ายมาก! ฉันปฏิบัติกับชีวิตของเธอเหมือนไม่มีค่า บุ่มบ่ามเห็นด้วยกับการขับไล่เธอ เธอเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง แต่ฉันเกือบทำให้เธอถูกไล่ออกจากคริสตจักร ช่างเป็นการฝ่าฝืนที่ใหญ่หลวง! ฉันไม่เพียงติดหนี้เธอ แต่ฉันยังล่วงเกินพระเจ้าอีกด้วย ฉันไม่ได้จงใจทำชั่วและลงโทษเอดาลีน แต่ด้วยการเห็นด้วยโดยไม่คิดอะไร ฉันจึงร่วมกับศัตรูของพระคริสต์แคลลีทำร้ายเธอ—ฉันคือผู้สมรู้ร่วมคิดของศัตรูของพระคริสต์ ถึงแม้จะเป็นเพียงการประกาศจุดยืน แต่นั่นก็เปิดเผยธรรมชาติที่ชั่วช้าอย่างยิ่งภายในตัวฉัน และเผยว่าฉันไม่มีความรักให้คนอื่นอย่างสิ้นเชิง พี่น้องชายหญิงอย่างเอดาลีนที่มีสำนึกแห่งความชอบธรรมและสามารถค้ำจุนงานของคริสตจักรควรได้รับการปกป้อง เพราะว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีสำนึกแห่งความชอบธรรมให้รอด แต่ฉันกลับทำตัวเป็นสมุนของซาตาน เห็นด้วยกับการขับไล่เธอ ด้วยการทำเช่นนั้น ฉันจึงยืนอยู่ฝั่งเดียวกับปีศาจพวกนั้นที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ คอยต่อต้านพระเจ้า ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันควรจะค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักรในทุกสิ่ง และปกป้องพี่น้องชายหญิงจากการถูกศัตรูของพระคริสต์และพวกคนทำชั่วทำร้าย แต่ฉันกลับติดตามคนที่ทำชั่วพวกนั้นอย่างไม่ละอาย กดขี่คนอื่นและทำให้พวกเขาถูกไล่ออก นี่สร้างความเสียหายให้แก่พี่น้องชายหญิง การได้เห็นว่าฉันได้ทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนั้นลงไปทำให้ฉันหวาดกลัว ฉันไม่ได้แสวงหาความจริงหรือมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ฉันไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำความชั่วร้ายแรงเช่นนี้ ฉันคิดด้วยซ้ำไปว่าตัวเองกำลังค้ำจุนงานของคริสตจักรอยู่ ฉันช่างเลอะเลือนและน่ารังเกียจมาก! นี่เป็นอย่างที่พี่น้องชายคนนั้นพูดไว้เลยว่าฉันกำลังเดินบนเส้นทางแห่งการทำลายล้างและฉันจะพาทุกคนลงนรกไปพร้อมกับฉัน จากพฤติกรรมของฉัน การปลดฉันและไล่ฉันออกจากคริสตจักรย่อมจะไม่เกินกว่าเหตุ แต่พระเจ้าประทานโอกาสให้ฉันกลับใจ ทรงยอมให้ฉันทำหน้าที่ในคริสตจักรต่อไป ฉันขอบคุณความกรุณาและความรอดที่พระเจ้าทรงมีให้ฉันจริงๆ ในเวลาเดียวกัน ฉันก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการมุ่งเน้นที่พรสวรรค์และความสามารถภายนอก การชื่นชมผู้นำคนหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา การเทิดทูนบูชาอำนาจ และการไม่แสวงหาความจริงเมื่อเผชิญปัญหา เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างแท้จริง ฉันสามารถถูกศัตรูของพระคริสต์และพวกคนทำชั่วชักนำไปในทางที่ผิดและถูกพวกเขาใช้เมื่อไรก็ได้ ในแก่นแท้แล้ว ด้วยการเทิดทูนบูชาและติดตามคนคนหนึ่ง ฉันก็กำลังติดตามซาตานและเป็นศัตรูกับพระเจ้า ถ้าฉันยังไม่กลับใจ ฉันย่อมจะถูกพระเจ้าปฏิเสธและกำจัดออกไป ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าความล้มเหลวครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเผยให้เห็นความเสื่อมทรามหรือการทำผิดพลาด—แต่เป็นความชั่วอันใหญ่หลวง และฉันเกือบจะฆ่าตัวตายเสียแล้ว
ในเวลาต่อมาฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่แสดงให้ฉันเห็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องกับผู้นำและคนทำงาน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เมื่อใครบางคนถูกพี่น้องชายหญิงเลือกให้เป็นผู้นำ หรือได้รับการส่งเสริมโดยพระนิเวศของพระเจ้าให้ทำงานบางชิ้นหรือปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีสถานะหรืออัตลักษณ์พิเศษ หรือว่าความจริงทั้งหลายที่พวกเขาเข้าใจนั้นลึกซึ้งกว่าและมีจำนวนมากกว่าความจริงทั้งหลายของผู้คนอื่นๆ—นับประสาอะไรที่จะหมายความว่าบุคคลนี้สามารถนบนอบพระเจ้าและจะไม่ทรยศพระองค์ แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความเช่นกันว่าพวกเขารู้จักพระเจ้าและเป็นใครบางคนที่ยำเกรงพระเจ้า ในข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขายังไม่ได้บรรลุสิ่งใดที่กล่าวมานี้เลย การส่งเสริมและการบ่มเพาะก็เป็นเพียงแค่การส่งเสริมและการบ่มเพาะในความหมายที่ตรงไปตรงมาที่สุด และไม่ได้เทียบเท่ากับว่าพวกเขาได้รับการลิขิตไว้ล่วงหน้าและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าแล้ว การส่งเสริมและการบ่มเพาะของพวกเขาแค่หมายความว่าพวกเขาได้รับการส่งเสริมแล้ว และรอการบ่มเพาะอยู่ และจุดจบสุดท้ายของการบ่มเพาะนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลผู้นี้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และสามารถเลือกเส้นทางที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ เมื่อใครบางคนในคริสตจักรได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะให้เป็นผู้นำ พวกเขาก็แค่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะในความหมายที่ตรงไปตรงมา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นผู้นำที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว หรือเป็นผู้นำที่มีความสามารถ ว่าพวกเขาสามารถเข้ารับภาระหน้าที่ของงานผู้นำได้แล้ว และสามารถทำงานได้จริง—นั่นไม่ใช่กรณีเช่นนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และพวกเขาก็ยกย่องคนที่ได้รับการส่งเสริมไปตามความคิดฝันของตน นี่คือความผิดพลาด ไม่ว่าจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้วก็ตาม ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมเหล่านั้นมีความเป็นจริงความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่? ไม่จำเป็น พวกเขาสามารถทำตามการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าให้เกิดผลได้หรือไม่? ไม่จำเป็น พวกเขามีสำนึกรับผิดชอบหรือไม่? พวกเขาจงรักภักดีหรือไม่? พวกเขาสามารถนบนอบหรือไม่? เวลาเผชิญปัญหา พวกเขาสามารถแสวงหาความจริงหรือไม่? ไม่มีผู้ใดรู้ทั้งหมดนี้ ผู้คนเหล่านี้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? แล้วหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าของพวกเขายิ่งใหญ่เพียงใดกันแน่? เวลาทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาไม่ทำตามเจตจำนงของตนเองได้หรือไม่? พวกเขาสามารถแสวงหาพระเจ้าหรือไม่? ระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติงานของผู้นำ พวกเขาสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยๆ เพื่อแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาสามารถนำผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงหรือไม่? แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถทำเรื่องดังกล่าวได้ พวกเขายังไม่ได้รับการฝึกฝนและมีประสบการณ์น้อยเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ นี่คือสาเหตุที่การส่งเสริมและบ่มเพาะใครบางคนไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริงแล้ว อีกทั้งไม่ใช่การกล่าวว่าพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้ดีพอแล้ว… เราพูดเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์อันใด? เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าพวกเขาต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้มีความสามารถพิเศษนานาประเภทที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ข้อเรียกร้องที่พวกเขามีต่อผู้คนเหล่านี้ต้องไม่แข็งกร้าว และแน่นอนว่าความคิดเห็นที่พวกเขามีต่อผู้คนเหล่านี้ต้องไม่หลุดจากความเป็นจริงเช่นกัน การเลื่อมใสและยกย่องพวกเขาเกินควรย่อมเบาปัญญา การมีข้อเรียกร้องที่เกรี้ยวกราดกับพวกเขาเกินไปก็ไร้มนุษยธรรมและไม่อยู่กับความเป็นจริง ดังนั้น วิธีปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีเหตุผลที่สุดย่อมเป็นเช่นใด? คือการมองพวกเขาในฐานะคนธรรมดา สามัคคีธรรมกับพวกเขา เรียนรู้จากจุดแข็งของกันและกัน และเติมเต็มกันและกันเมื่อเจ้าจำเป็นต้องแสวงหาใครสักคนเพื่อถามปัญหา นอกจากนี้ยังเป็นความรับผิดชอบของทุกคนที่จะต้องจับตาดูผู้นำและคนทำงานว่ากำลังทำงานจริงหรือไม่ พวกเขาใช้ความจริงแก้ปัญหาหรือไม่ เหล่านี้คือมาตรฐานและหลักธรรมสำหรับประเมินวัดว่าผู้นำหรือคนทำงานดีพอหรือไม่ หากผู้นำหรือคนทำงานสามารถจัดการและแก้ปัญหาทั่วไปได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีความสามารถพอ แต่หากพวกเขาไม่สามารถรับมือและแก้ไขปัญหาธรรมดาได้ พวกเขาก็ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน และต้องถูกปลดออกโดยเร็ว จงเลือกคนอื่น และจงอย่าทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้า การทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้าเป็นการทำร้ายตัวเจ้าเองและผู้อื่น นั่นไม่เป็นการดีสำหรับผู้ใดเลย” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (5)) ฉันเรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าการที่คนคนหนึ่งได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน หรือได้รับแต่งตั้งให้ทำงานบางอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริง หรือว่าพวกเขาอุทิศตนให้พระเจ้าหรือยำเกรงพระองค์ ถ้าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ และจะถูกเปิดโปงและกำจัดออกไป ผู้นำและคนทำงานมีโอกาสฝึกฝนปฏิบัติมากกว่า และแบกรับภาระมากกว่าเพื่อให้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า แต่ไม่มีพวกเขาคนไหนที่เพียบพร้อม—พวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเหมือนกับทุกคน ดังนั้นก่อนที่พวกเขาจะมีความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย พวกเขาอาจมีความดิ้อรั้นในงานของตนและทำอะไรที่ขัดกับหลักธรรม พวกเขาทั้งหมดต้องก้าวผ่านการพิพากษา การเปิดเผย และการตัดแต่งของพระเจ้า และต้องได้รับการกำกับดูแลจากคนอื่น ถ้าผู้นำและคนทำงานปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงและค้ำจุนงานของคริสตจักร ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ควรสนับสนุนพวกเขาและให้ความร่วมมือในงานของพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่ทำตามหลักธรรม เดินบนทางที่ผิด และไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง พวกเขาจะต้องถูกตัดแต่งและถูกเปิดโปง เพื่อดูว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ กลับใจและเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ถ้าพวกเขากลับใจและเปลี่ยนแปลงได้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาคือผู้คนที่ถูกต้องและสามารถยอมรับความจริงได้ แต่ถ้าพวกเขาไม่กลับใจและไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าพวกเขาเล่นงานและกดขี่คนอื่น พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้คนที่ถูกต้องและจะต้องถูกรายงานและเปิดโปง การปฏิบัติกับผู้นำและคนทำงานตามหลักธรรมความจริงในลักษณะนี้เท่านั้นที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่เมื่อก่อนนั้นฉันไม่ได้มองสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า ฉันไม่มีวิจารณญาณในเรื่องของแคลลีและพวกของเธอ เอาแต่ชื่นชมพวกเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา พาให้ฉันทำความชั่วที่ไม่สามารถแก้ไขได้ตามศัตรูของพระคริสต์ การอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เส้นทางปฏิบัติแก่ฉัน และนับแต่นั้นมาฉันก็อยากจะมุ่งแสวงหาหลักธรรมความจริงในทุกสิ่ง เพื่อมองสิ่งต่างๆ และผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้า เลิกทำตัวโง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน และเลิกติดตามคนอื่นอย่างไม่ลืมหูลืมตาอย่างที่ฉันเคยทำในอดีต
ภายหลัง ฉันสังเกตเห็นว่าเวลาที่ผู้นำระดับสูงขึ้นไปคนหนึ่งสามัคคีธรรมกับพวกเราเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้นำคริสตจักร เธอร้อนใจมากที่จะทำทุกอย่างให้เสร็จโดยไม่มุ่งเน้นการสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริงเลย ในการชุมนุมครั้งหนึ่งเมื่อเธอสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนหน้าที่ของคนบางคน ตอนที่เธอสามัคคีธรรมเสร็จ มีสมาชิกคริสตจักรมาถึงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น จากนั้นเธอก็ให้พวกเราบอกกล่าวจุดยืนของตน เนื่องจากผู้คนอีกครึ่งหนึ่งไม่ได้ฟังการสามัคคีธรรมในช่วงแรกของเธอและไม่รู้หลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้อง จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถประกาศจุดยืนของตนได้ การชุมนุมดำเนินต่อไม่ได้และทำให้เกิดบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนมาก ฉันเห็นว่าเธอไม่ได้นำพี่น้องชายหญิงเข้าสู่หลักธรรมความจริง แต่รีบจัดการเรื่องให้เสร็จไปและไม่สนใจอีก ฉันนึกถึงประสบการณ์ที่ตัวเองถูกศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งชักจูงให้หลงผิดและผลสืบเนื่องที่เกิดขึ้นจากการติดตามเธออย่างมืดบอด ก่อนที่ฉันจะมีความชัดเจนในหลักธรรม ฉันก็ไม่อยากทำแค่คล้อยตามใครไปโดยไม่สนใจความถูกต้อง ฉันจึงไปหาพี่น้องหญิงสองสามคนเพื่อแสวงหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยกัน พี่น้องคนหนึ่งบอกว่าผู้นำคนนี้จัดให้มีการเลือกตั้งในคริสตจักรแห่งอื่นด้วยวิธีเดียวกัน เธอไม่ทำตามหลักธรรม ฉันคิดว่าเนื่องจากผู้นำคนนี้ดำเนินงานโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนอื่น นั่นหมายความว่าเธอมีปัญหา ในฐานะผู้นำ ความล้มเหลวของเธอในการนำพวกเราเข้าสู่ความจริงจะมีผลกระทบกับทั้งคริสตจักร ฉันจึงควรชี้ปัญหาเหล่านี้ให้เธอเห็น แต่แล้วฉันก็กังวลว่าเธออาจจะข่มปรามฉันถ้าฉันชี้แนะเธอ อย่างไรก็ตาม พอคิดว่าฉันเคยทำชั่วร่วมกับศัตรูของพระคริสต์ในอดีต ฉันก็รู้สึกกลัวการติดตามคนคนหนึ่งโดยไม่ลืมหูลืมตาอีก และกลัวว่าจะล้มเหลวในการค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักร ฉันรู้สึกสับสนจริงๆ จึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน แสวงหาเส้นทางปฏิบัติ หลังจากนั้นฉันเห็นสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “ผู้คนควรมีท่าทีเช่นไรในแง่ของวิธีการปฏิบัติต่อผู้นำหรือคนทำงาน? ถ้าสิ่งที่ผู้นำหรือคนทำงานทำนั้นถูกต้องและสอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถเชื่อฟังพวกเขา ถ้าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นผิดและไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ควรเชื่อฟัง และเจ้าสามารถเปิดโปงพวกเขา คัดค้านพวกเขา และให้ความคิดเห็นที่ต่างออกไปได้ ถ้าพวกเขาไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้หรือมีความประพฤติชั่วซึ่งก่อกวนงานของคริสตจักร และถูกเผยว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ คนทำงานเทียมเท็จ หรือศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะ เปิดโปง และรายงานพวกเขาได้” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สาม: พวกเขากีดกันและโจมตีบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง) พระวจนะของพระเจ้ามอบหลักธรรมให้ฉันนำมาปฏิบัติ ถ้าผู้นำหรือคนทำงานประพฤติไม่เหมาะสม คุณสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงด้วยความรักเพื่อช่วยเหลือพวกเขาได้—นี่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า การนึกทบทวนความล้มเหลวในอดีตของฉันทำให้เห็นชัดเจนอย่างมากว่านี่คือโอกาสให้ฉันนำความจริงมาปฏิบัติ ฉันควรปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและไม่รั้งรอที่จะให้คำแนะนำเพียงเพราะฉันกลัวว่าจะทนทุกข์กับการกดขี่ และเพราะเหตุนั้น ฉันจึงติดต่อผู้นำคนนั้นและบอกทุกอย่างเกี่ยวกับปัญหาที่ฉันสังเกตเห็นในงานของเธอในช่วงนั้น เธอยอมรับทั้งหมด ในการชุมนุมอีกสองสามวันต่อมา ฉันได้ฟังการสามัคคีธรรมของเธอว่าเธอได้รับการชี้แนะและความช่วยเหลือจากสมาชิกคริสตจักรเกี่ยวกับหน้าที่ของเธอ และด้วยการทบทวนตัวเอง เธอจึงมองเห็นว่าพักนี้เส้นทางที่เธอเดินอยู่และงานของเธอมีปัญหา ปัญหาและข้อบกพร่องที่ฉันชี้ให้เธอเห็นเป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนตัวเองของเธอ และจากจุดนั้นเธอก็พยายามที่จะเข้าใจหลักธรรมและเธอก็รู้วิธีจัดการปัญหาที่คล้ายกัน ฉันดีใจจริงๆ และขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำฉันให้ปฏิบัติความจริง ฉันรู้สึกมีสันติสุขในหัวใจอย่างมาก
ผ่านทางประสบการณ์เหล่านี้ ฉันจึงตระหนักว่าในฐานะผู้เชื่อที่ไม่ให้ความสำคัญกับการแสวงหาความจริง แต่หลับหูหลับตายกย่องและติดตามคนอื่น ฉันมีโอกาสที่จะทำชั่วและต่อต้านพระเจ้าทุกเมื่อ ฉันยังสามารถมองเห็นพระปัญญาของพระเจ้าอีกด้วย พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้พวกศัตรูของพระคริสต์เผยตัวออกมาภายในคริสตจักรเพื่อให้พวกเราเกิดมีวิจารณญาณได้ สามารถขับไล่กำลังบังคับของซาตานได้ และไม่ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักนำไปในทางที่ผิดและควบคุมเอาไว้อีกต่อไป เมื่อพวกเรามีวิจารณญาณแยกแยะศัตรูของพระคริสต์และเลิกเทิดทูนบูชาพวกเขาโดยไม่พิจารณาได้แล้ว เมื่อนั้นการปรนนิบัติของพวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมเสร็จสมบูรณ์ และสามารถไล่พวกเขาออกจากคริสตจักรได้ แม้ฉันจะมีประสบการณ์เป็นความล้มเหลวบางอย่างและสะดุดล้ม และรู้สึกเจ็บปวดเมื่อนึกถึง แต่เพราะก้าวที่ผิดพลาดเหล่านี้ ฉันจึงสามารถเปลี่ยนมุมมองและความคิดที่ผิดพลาดได้ ซึ่งทำให้ฉันหยุดเทิดทูนบูชาและติดตามคนอื่นอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฉันสามารถแสวงหาหลักธรรมความจริงเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น และพยายามที่จะเป็นคนที่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง การได้รับทั้งหมดนี้เป็นเพราะการทรงนำของพระเจ้าทั้งสิ้น ฉันขอขอบคุณพระเจ้า!