60. พระเจ้าทรงชอบธรรมยิ่งนัก

โดย จางหลิน ประเทศญี่ปุ่น

ในเดือนกันยายนปี 2012 ผมรับผิดชอบงานของคริสตจักรตอนที่ผมพบหยานจั๋วผู้นำของผม ผมพบว่าเธอขอให้พี่น้องชายหญิงประกาศข่าวประเสริฐไปทีละบ้านเรื่อยมา  นี่เป็นการฝ่าฝืนหลักธรรมอย่างร้ายแรง ดังนั้นผมกับคู่ทำงานจึงพูดกับเธอว่า “พวกเราต้องปฏิบัติตามหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าเวลาประกาศข่าวประเสริฐนะ  สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มันขัดกับหลักธรรมพวกนั้น และหากพวกผู้ปราศจากความเชื่อหรือผู้ประพฤติชั่วลงเอยในคริสตจักร นั่นก็จะทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก  อย่างไรก็ตาม มันอันตรายที่จะประกาศข่าวประเสริฐแบบนั้น  หากใครบางคนแจ้งตำรวจ เช่นนั้นแล้ว คุณก็จะได้ส่งพี่น้องชายหญิงของพวกเราไปให้สิงโต”  เธอไม่เพียงไม่สนใจเท่านั้น แต่ยังหาว่าพวกเรายึดติดกับกฎเกณฑ์อีกด้วย  ในการชุมนุมหลังจากนั้น เธอจะตำหนิผมกับคู่ทำงานของผมบ่อยครั้ง โดยกล่าวว่าพวกเรากำลังขัดขวางงานข่าวประเสริฐของพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเราทั้งคู่รู้สึกว่าถูกเธอบีบบังคับจริงๆ  ในเดือนธันวาคมปีนั้น บรรดาสมาชิกส่วนภูมิภาคของพวกเราได้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐตามที่หยานจั๋วบอก และถูกจับไปร้อยกว่าคน  นี่ส่งผลเสียร้ายแรงต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า แต่หยานจั๋วกลับไม่สำนึกผิดเลยสักนิด  ผมไม่เคยเห็นเธอชำแหละหรือไตร่ตรองความโอหังหรือความไม่ยั้งคิดของตัวเองอย่างลึกซึ้งเลยสักครั้ง  ในเดือนพฤศจิกายนปี 2013 ผมรับผิดชอบการทำวิดีโอของคริสตจักร  ผมสังเกตว่าเธอยังทำสิ่งใดก็ตามที่เธอต้องการอย่างโอหังอยู่  เธอจะตำหนิและกล่าวโทษใครก็ตามที่แสดงความเห็นต่างกับเธอ  เธอชะลอพวกวิดีโอที่พี่น้องชายหญิงส่งเข้ามาให้พิจารณาเอาไว้หลายครั้ง ซึ่งแปลว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับคำแนะนำหรือความช่วยเหลือจากพระนิเวศของพระเจ้าได้ทันเวลา  ผมชี้ให้เธอเห็นบางสิ่งที่เธอขาดไปในวิธีการทำหน้าที่ของเธอ และให้ข้อเสนอแนะไปบ้าง แต่เธอก็ดำเนินการเหมือนเมื่อก่อน  เธอไม่ฟัง และพูดว่าผมนั่นแหละที่โอหัง  ในเดือนพฤษภาคมปี 2014 เธอได้ปลดผมออกและส่งผมกลับบ้าน  หลังจากผมถึงบ้าน ผมก็เผอิญได้อ่านหลักธรรมเกี่ยวกับการแยกแยะศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จ  เมื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงของหยานจั๋วกับหลักธรรมเหล่านั้น ในที่สุดผมก็ตระหนักว่า จริงๆ แล้วเธอโอหังและมุ่งร้ายเพียงใด  เธอทำหน้าที่อย่างไร้เหตุผลและเผด็จการเสมอ  เธอไม่ยอมรับความจริงหรือข้อเสนอแนะจากพี่น้องชายหญิง แต่กลับข่มและกล่าวโทษผู้คน  พฤติกรรมของเธอไม่ได้แสดงว่าเธอเป็นศัตรูของพระคริสต์ผู้เกลียดความจริงหรอกหรือ?  เมื่อได้เห็นพฤติกรรมของเธอว่าเป็นเช่นไร ผมรู้สึกตกตะลึง  ตลอดสองปีที่พวกเราได้ทำงานด้วยกัน ผมได้เห็นพฤติกรรมและวิธีการทำงานของเธอ แต่ผมเข้าใจว่าทั้งหมดนั้นเป็นการแสดงออกถึงความเสื่อมทราม  ผมไม่เคยใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อชำแหละธรรมชาติของเธอ แก่นแท้ของเธอ หรือเส้นทางที่เธอติดตามเลย  ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ผมอยู่ใกล้เธอ ผมแค่ต้องคอยอดทนและอดกลั้น ซึ่งลงเอยด้วยการส่งผลกระทบและทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้า  ผมคิดว่า “หากหยานจั๋วเป็นผู้นำคริสตจักรต่อไป เธอจะยิ่งทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงักมากขึ้นอีก”  ผมตัดสินใจรายงานประเด็นปัญหาของเธอต่อพระนิเวศของพระเจ้า  ผมกล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้าและเขียนจดหมายรายงานเรื่องเธอ  ในตอนท้ายของจดหมาย ผมได้เสริมเรื่องสุดท้าย  ผมรู้ว่าในตอนนั้นมีวิดีโอเรื่องหนึ่งที่มีปัญหาบางอย่าง ผมจึงขอให้พระนิเวศของพระเจ้าตรวจสอบเรื่องนั้นและพิจารณาวิดีโอนี้

ตอนที่ผมกำลังจะส่งจดหมายที่เขียนเสร็จแล้วนั้นเอง ผมก็เริ่มคิดดูอีกที  ผมคิดว่า “ฉันเคยให้ข้อเสนอแนะกับเธอมาก่อน และชี้ให้เห็นปัญหาในหน้าที่ของเธอ แต่มันไม่เป็นไปด้วยดี และเธอก็ส่งฉันกลับบ้าน  ตอนนี้ฉันทำหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ  ถ้าฉันส่งจดหมายรายงานประเด็นปัญหาของเธอฉบับนี้ แล้วเผอิญเธอได้อ่านมันเข้าล่ะก็ เธอจะกล่าวหาว่าฉันโจมตีพวกผู้นำและคนทำงาน แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน?  ฉันควรลืมมันเสีย  ในเมื่อฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ฉันก็ไม่น่าจะรื้อฟื้นให้เป็นเรื่องขึ้นมาอีก”  แต่แล้วผมก็คิดว่า “พระเจ้าได้ทรงนำผมวันนี้ให้เห็นว่าหยานจั๋วเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์  หากผมไม่รายงานเรื่องนี้ งานของพระนิเวศของพระเจ้าและพี่น้องชายหญิงนั่นเองที่จะเสียหาย เช่นนั้นแล้ว ผมจะไม่เป็นผู้ช่วยของซาตานและผู้ทำชั่วหรอกหรือ?”  ผมรู้สึกขัดแย้งจริงๆ  ข้างหนึ่งคือผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าและพี่น้องชายหญิง ส่วนอีกข้างหนึ่งคือความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของตัวผมเอง  ผมไม่รู้จะทำอย่างไร  เป็นเวลาสองสามวันที่ผมมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง ขอให้พระองค์ทรงนำผมไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง  ต่อมาผมได้อ่านบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “เจ้าต้องมีความทะเยอทะยานและความกล้าที่จะถูกทำให้มีความเพียบพร้อม และไม่ควรคิดอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเจ้านั้นไร้ความสามารถ ความจริงมีคนโปรดด้วยหรือ? ความจริงสามารถจงใจไม่ยอมรับผู้คนได้หรือ? หากเจ้าเสาะหาความจริง มันจะสามารถท่วมทับความคิดความรู้สึกในตัวเจ้าได้กระนั้นหรือ? หากเจ้าตั้งมั่นในความยุติธรรมแล้วไซร้ มันจะซัดเจ้าร่วงลงไปอย่างนั้นหรือ? หากมันเป็นความทะเยอทะยานที่แท้จริงของเจ้าที่จะเสาะหาชีวิตแล้วไซร้ ชีวิตสามารถหลบหลีกเจ้าได้หรือ? หากเจ้าปราศจากความจริง นั่นหาใช่เพราะความจริงเพิกเฉยต่อเจ้าไม่ แต่เพราะเจ้าอยู่ห่างความจริงต่างหาก หากเจ้าไม่สามารถตั้งมั่นเพื่อความยุติธรรม นั่นหาใช่เพราะมีบางสิ่งผิดปกติกับความยุติธรรมไม่ แต่เพราะเจ้าเชื่อว่ามันไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริงทั้งหลาย หากเจ้าไม่ได้รับชีวิตหลังจากการเสาะหามันมาเป็นเวลาหลายปี นั่นหาใช่เพราะชีวิตปราศจากมโนธรรมต่อเจ้าไม่ แต่เพราะเจ้าปราศจากมโนธรรมต่อชีวิต และได้ขับไสชีวิตให้จากไป หากเจ้ามีชีวิตในความสว่าง และไม่เคยสามารถได้รับความสว่าง นั่นหาใช่เพราะความสว่างไม่สามารถให้ความกระจ่างแก่เจ้าไม่ แต่เพราะเจ้าไม่ได้ใส่ใจการดำรงอยู่ของความสว่างต่างหาก และดังนั้น ความสว่างจึงได้จากเจ้าไปอย่างเงียบเชียบ หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาแล้วไซร้ ย่อมพูดได้เพียงว่าเจ้าคือขยะอันไร้ค่า และไม่มีความกล้าในชีวิตเจ้าเลย และไม่มีจิตวิญญาณที่จะต้านทานกำลังบังคับของความมืดมิดเลย เจ้าช่างอ่อนแอเกินไป! เจ้าไม่สามารถหลีกหนีกำลังบังคับของซาตานที่ปิดล้อมเจ้าอยู่ และเจ้าเต็มใจที่จะดำเนินชีวิตซึ่งมั่นคงและปลอดภัยในแบบนี้และตายไปในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้น สิ่งที่เจ้าควรสัมฤทธิ์ก็คือการเสาะหาของเจ้าเพื่อการได้รับการพิชิต นี่ต่างหากคือภาระหน้าที่ของเจ้า หากเจ้าพอใจที่จะถูกพิชิตแล้วไซร้ เจ้าย่อมผลักไสการดำรงอยู่ของความสว่าง เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  การอ่านบทตอนนี้ให้ความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ผม  “ใช่” ผมคิด  “ผมไม่สามารถปล่อยให้พลังมืดนี้มีชัยเหนือผมได้”  ผมไม่เคยมีปัญญาแยกแยะเรื่องหยานจั๋วมาก่อน  แต่ตอนนี้พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสิ่งต่างๆ เพื่อให้ผมสามารถเห็นธรรมชาติของเธอ แก่นแท้ของเธอ และเส้นทางที่เธอติดตามได้  ผมควรจะยึดมั่นและแจ้งเบาะแสเรื่องนี้ แต่ผมกลับเอาใจใส่ปรัชญาของซาตานที่ว่า “จงปล่อยสิ่งทั้งหลายให้ลอยไป หากพวกมันไม่ส่งผลต่อคนเราเป็นการส่วนตัว” เพื่อเห็นแก่ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของตัวผมเอง  ผมได้เห็นว่าตัวเองเห็นแก่ตัว ไร้จิตสำนึกหรือเหตุผลเพียงใด  ผมนึกถึงตลอดหลายปีที่ผมเชื่อในพระเจ้า และเพลิดเพลินกับการรดน้ำและการบำรุงเลี้ยงจากพระวจนะของพระเจ้ามา  แต่ในเวลาสำคัญเช่นนี้ ผมกลับเพิกเฉยต่อจิตสำนึกของผมเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองและทำเป็นไม่สนใจผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า  ผมเป็นคนเนรคุณ ใจแคบ และน่ารังเกียจอะไรเช่นนี้!  เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ผมคิดว่า “ผมต้องประพฤติตัวด้วยมโนธรรมและสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรม ปฏิบัติความจริงและปกป้องงานของพระนิเวศของพระเจ้า”  ดังนั้นผมจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกหลายครั้งในการอธิษฐาน และในที่สุดก็ได้ตั้งปณิธานว่า “ไม่ว่าผลที่ตามมาจากการเขียนจดหมายรายงานนี้จะเป็นอย่างไร ผมก็ไม่สามารถเป็นผู้ช่วยของซาตานเพียงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองได้  ผมได้เห็นประเด็นปัญหาของหยานจั๋วแล้ว ดังนั้นผมจึงควรยืนหยัด เปิดโปงความประพฤติชั่วของเธอ และปกป้องงานของพระนิเวศของพระเจ้า”  แล้วผมก็ได้ส่งรายงานนั้นให้พระนิเวศของพระเจ้า  ผมรู้สึกโล่งใจมากหลังจากนั้น และมีสำนึกรับรู้ถึงสันติสุขในหัวใจ  หลังจากนั้นผมก็รออย่างกระวนกระวายทุกวัน ให้พระนิเวศของพระเจ้าส่งใครสักคนไปสอบสวนสถานการณ์กับหยานจั๋ว และให้พี่น้องชายหญิงเห็นศัตรูของพระคริสต์นั่นอย่างที่เธอเป็นและปฏิเสธเธอ  น่าเสียดาย สถานการณ์ของผมยิ่งแย่ลงอีกเนื่องจากจดหมายฉบับนั้น

ในเดือนสิงหาคมปี 2014 คริสตจักรตกลงอนุญาตให้ผมปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง  แต่วันหนึ่งกลางเดือนตุลาคม ผู้นำแซ่หลี่ได้มาที่บ้านพักซึ่งผมพักอยู่  เธอถามด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า “คุณเขียนจดหมายรายงานก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่?”  ผมตอบว่าใช่  เธอพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ว่า “หยานจั๋วรับผิดชอบงานของคริสตจักรและฉันติดต่อกับเธอบ่อยครั้ง  ฉันไม่เคยสังเกตเห็นหรือได้ยินอะไรที่บ่งชี้ว่าเธอประพฤติตัวเหมือนผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์เลย  จดหมายที่คุณเขียนเป็นแค่การสุ่มโจมตีบรรดาผู้นำและคนทำงานเท่านั้น”  ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองตอนที่เธอพูดแบบนั้น  ผมไม่เคยจินตนาการถึงผลลัพธ์เช่นนี้เลยหลังจากรอมาสี่เดือน  แม้เธอจะพูดแบบนั้นผมก็ยังคงสงบ  ผมรู้ว่าผมได้เขียนจดหมายฉบับนั้นเกี่ยวกับหยานจั๋วตามข้อเท็จจริงและหลักธรรม  ไม่มีทางที่นั่นจะเป็นข้อกล่าวหาเท็จ  แล้วผู้นำหลี่ก็พูดว่า “จดหมายรายงานของคุณพูดถึงการตรวจสอบวิดีโอบางเรื่อง พระนิเวศของพระเจ้าจึงใช้เวลากว่าสองเดือนในการสอบสวนและพิจารณา  มันทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงักอย่างมาก และล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า”  เธอยังพูดด้วยว่านั่นคือสิ่งที่บรรดาผู้นำอาวุโสพูด  ความเห็นเหล่านี้ทำให้ผมตกใจมาก  ผมไม่เคยนึกเลย ว่าจดหมายของผมจะก่อให้เกิดการหยุดชะงักร้ายแรงต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า และล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า  หากสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามที่เธอพูด เช่นนั้นแล้ว ผมก็ได้กระทำความชั่วอันใหญ่หลวง  จู่ๆ ผมก็รู้สึกหมดพลัง และไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้  แล้วผู้นำหลี่ก็พูดว่า “เก็บของของคุณ กลับบ้านไปเสีย แล้วทบทวนสิ่งที่คุณได้ทำลงไป  เมื่อคุณทบทวนตัวเองเสร็จแล้ว คุณก็สามารถเริ่มทำหน้าที่ของตัวเองได้อีกครั้ง”  ผมนั่งรถประจำทางกลับบ้านด้วยจิตใจที่ปั่นป่วน และหัวใจที่หนักอึ้ง  ผมเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีมาก แต่ผมกลับกลายเป็นผู้ประพฤติชั่วที่ทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงักอย่างร้ายแรง  การโทษตัวเองและความสำนึกผิดกัดกินใจผม และไม่รู้เลยว่าอนาคตของผมจะเป็นอย่างไร  ผมร้องเรียกพระเจ้าขอให้พระองค์ทรงปกป้องหัวใจของผม  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการผมอย่างไร ผมจะเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระองค์  ผมจะไม่มีวันโทษพระเจ้าเลย  หลังจากการอธิษฐาน ผมก็ค่อยๆ สงบใจลง  สามวันหลังจากผมถึงบ้าน ผมคิดถึงสิ่งที่หลี่พูด แล้วก็เริ่มเกิดคำถามว่า พระคริสต์และความจริงปกครองในพระนิเวศของพระเจ้า และมีหลักธรรมในทุกอย่างที่พระนิเวศทำ รวมถึงวิธีรับมือกับผู้คน  นั่นจะไม่ได้แค่เป็นไปตามพฤติกรรมชั่วคราวในบุคคลหนึ่ง  แล้วหลักธรรมอะไรที่หลี่กับคนอื่นๆ ใช้เพื่อปฏิบัติต่อผมแบบนี้?  สิ่งที่ผู้นำหลี่พูดเป็นความจริงจริงหรือ?  ผมก็แค่ขบคิดไม่ออก แต่ผมรู้ว่า ไม่ว่าความจริงเป็นอย่างไร พระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้น ดังนั้นผมจึงต้องนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์  ไม่นานนักผู้นำคริสตจักรก็ได้มอบหมายให้ผมเข้าชุมนุมกับกลุ่มหนึ่ง  เดือนกว่าๆ หลังจากนั้น ผมได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการชุมนุมที่บ้านกับแม่ของผม และพวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่อีกต่อไป  ตอนนั้นผมก็รู้ว่าพวกเรากำลังถูกขับไล่  ผมคิดเกี่ยวกับว่า ผมได้เชื่อในพระเจ้ามาตลอด แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ผมถูกแยกให้มาอยู่บ้านเท่านั้น แต่ผมยังไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้อีกต่อไปด้วยซ้ำ  ผมรู้สึกสูญเสียมาก  ในช่วงเวลานั้น ผมฝันถึงการเข้าชุมนุมและทำหน้าที่กับพี่น้องชายหญิงของผมเกือบทุกคืน  ผมจะตื่นขึ้นมาและไม่สามารถหลับได้อีก  ทุกคืนช่างรู้สึกยาวนานจนแทบทนไม่ได้  ช่วงวันเวลาเหล่านั้นแม่ก็เป็นทุกข์ไปกับผมด้วย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาผมได้ยินแม่ร้องไห้ตอนกลางคืนขณะที่ท่านอธิษฐานต่อพระเจ้า ผมจะโทษตัวเองและรู้สึกตกต่ำจริงๆ  ผมรู้สึกเหมือนผมทำให้แม่เจอเรื่องแบบนี้  ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงที่เจ็บปวดและหนักหนาที่สุดที่ผมเคยผ่านมาตั้งแต่เริ่มเชื่อในพระเจ้า  นอกจากการอธิษฐานต่อพระเจ้าตลอดเวลาแล้ว ผมก็ไม่มีทางอื่นที่จะคลายความเจ็บปวดในหัวใจของผมเลย  ต่อมาผมได้ถามผู้นำคริสตจักรของผมว่า ผมสามารถไปทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้งได้หรือไม่  เธอพูดว่า “คุณยังอยากทำหน้าที่ของคุณอยู่อีกหรือ?  หากคุณไม่ทบทวนตัวเองอย่างที่ควรทำ สุดท้ายคุณจะถูกขับไล่นะ!”  ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ผมก็รู้สึกท่วมท้นไปด้วยความสิ้นหวัง  ตอนนั้นผมรู้เลยว่าการทำหน้าที่ของผมไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าฝันลมๆ แล้งๆ  พวกผู้นำมาที่บ้านของพวกเราเพื่อพบปะกันทุกสัปดาห์ แต่จริงๆ พวกเขาแค่มาเพื่อถามเรื่องผมเท่านั้น เพื่อดูว่าผมเผยแพร่เรื่องเสียหายหรือจัดตั้งพรรคพวกหรือไม่  ดังนั้นทุกครั้งที่พวกเขามาถามเรื่องผม ผมก็จะหดหู่อย่างเหลือเชื่อ  บางครั้งผมอยากถามพวกเขาว่า “ทำไมพวกคุณทำกับผมแบบนี้?  ผมรายงานหยานจั๋วบนพื้นฐานของหลักธรรม  แต่แทนที่จะสอบสวนเธอ พวกคุณกลับให้ผมอยู่บ้าน  การปฏิบัติความจริงมีอะไรผิดหรือ?”  ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ  บางครั้งผมก็คิดว่า “ทำไมการปฏิบัติความจริงจึงนำไปสู่เรื่องนี้?  ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม แต่ผมไม่สามารถเห็นความชอบธรรมของพระองค์ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้เลย”  ผมสับสนมาก  ผมแค่ยึดมั่นกับสิ่งที่เล็กน้อยที่สุด โดยไม่พูดสิ่งที่เป็นบาปหรือโทษพระเจ้า  ผมมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานบ่อยๆ ขอให้พระองค์ทรงนำผมให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ และไม่เข้าใจพระองค์ผิด

ในช่วงเวลาที่หนักหนาที่สุดและเจ็บปวดที่สุดนั่นเอง ที่ผมได้อ่านพระวจนะบางส่วนของพระเจ้า ความว่า “ผู้คนควรมารู้จักและจับความเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างไรกันแน่?  เมื่อคนชอบธรรมได้รับพระพรของพระองค์และเมื่อคนชั่วถูกพระองค์ทรงสาปแช่ง—เหล่านี้คือตัวอย่างของความชอบธรรมของพระเจ้า  การนี้ถูกต้องหรือไม่?  กล่าวกันว่าพระเจ้าประทานบำเหน็จแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว และว่าพระองค์ทรงตอบแทนมนุษย์ทุกคนตามความประพฤติของเขา  นั่นถูกต้อง ใช่หรือไม่?  อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ บรรดาผู้ที่นมัสการพระเจ้าถูกฆ่าหรือถูกสาปแช่ง หรือไม่เคยได้รับพระพรหรือได้รับการรับรู้จากพระองค์ ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะนมัสการพระองค์มากเพียงใด พระองค์ก็ทรงเพิกเฉยพวกเขา  พระเจ้าไม่ทรงอวยพรคนชั่วหรือลงโทษพวกเขา แต่พวกเขาก็มั่งคั่งและมีลูกหลานมากมาย และทั้งหมดก็เป็นไปด้วยดีสำหรับพวกเขา พวกเขาประสบความสำเร็จในทุกสิ่งทุกอย่าง  นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้าหรือไม่?  ผลก็คือ ผู้คนบางคนพูดว่า ‘พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม  พวกเรานมัสการพระองค์ แต่พระองค์ไม่เคยทรงอวยพรพวกเรา ในขณะที่ในทุกสรรพสิ่งนั้น คนชั่วที่ต้านทานและไม่นมัสการพระองค์กลับได้ดีกว่า และมีตำแหน่งที่สูงกว่าพวกเรา  พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม!’  การนี้แสดงให้พวกเจ้าเห็นสิ่งใด?  เราเพิ่งให้ตัวอย่างสองตัวอย่างแก่พวกเจ้า  ตัวอย่างใดพูดถึงความชอบธรรมของพระเจ้า?  ผู้คนบางคนพูดว่า ‘ทั้งสองตัวอย่างเป็นการสำแดงความชอบธรรมของพระเจ้า!’  เหตุใดพวกเขาจึงพูดเช่นนี้?  ความรู้ของผู้คนเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นผิดพลาด การนั้นดำรงอยู่ท่ามกลางความคิดและทัศนคติของพวกเขาเอง ภายในมุมมองเชิงแลกเปลี่ยน หรือภายในมุมมองที่มีดีและชั่ว มุมมองที่มีถูกและผิด หรือมุมมองเชิงตรรกะ  เหล่านี้คือมุมมองที่พวกเขานำมาสู่ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า และผูกมัดอยู่กับการต้านทานพระองค์และร้องทุกข์เกี่ยวกับพระองค์(“วิธีรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)

พระเจ้าจะทรงทำในสิ่งที่พระองค์ควรที่จะทำ และพระอุปนิสัยของพระองค์นั้นก็ชอบธรรม  ความชอบธรรมไม่มีทางที่จะยุติธรรมหรือมีเหตุผล ความชอบธรรมไม่ใช่สมภาคนิยม หรือเรื่องของการจัดสรรสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับให้แก่เจ้าโดยสอดคล้องกับการที่เจ้าได้ทำงานให้ครบบริบูรณ์ไปมากเท่าใด หรือการจ่ายให้เจ้าสำหรับงานใดก็ตามที่เจ้าได้ทำไป หรือการให้สิทธิอันควรแก่เจ้าไปตามความพยายามอันใดที่เจ้าสละ  นี่ไม่ใช่ความชอบธรรม  สมมุติว่าพระเจ้าทรงกำจัดโยบทิ้งหลังจากที่โยบเป็นพยานเพื่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะชอบธรรมเช่นกัน  เหตุใดหรือนี่จึงเรียกว่าความชอบธรรม?  จากมุมมองแบบมนุษย์ หากบางสิ่งอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน เช่นนั้นก็ย่อมง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่า พระเจ้าทรงชอบธรรม อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นการอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา—หากนั่นเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะจับใจความได้—เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม…แก่นแท้ของพระเจ้านั้นชอบธรรม  แม้ว่าไม่ง่ายที่จะจับใจความสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนชอบธรรม เป็นธรรมดาที่ผู้คนไม่เข้าใจ  ตอนที่พระเจ้าทรงมอบเปโตรให้กับซาตาน เปโตรตอบสนองอย่างไร?  ‘มวลมนุษย์นั้นไร้ความสามารถที่จะหยั่งถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ แต่ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนบรรจุน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ มีความชอบธรรมอยู่ในทั้งหมดนั้น  เป็นไปได้อย่างไรที่ข้าพระองค์จะไม่เปล่งถ้อยคำสรรเสริญแด่กิจการอันเปี่ยมพระปัญญาของพระองค์?’  ในวันนี้ เจ้าควรมองเห็นว่า พระเจ้ามิได้ทรงทำลายซาตานเพื่อที่จะแสดงให้เหล่ามนุษย์เห็นว่าซาตานได้ทำให้พวกเขาเสื่อมทรามไปอย่างไรและพระเจ้าทรงช่วยพวกเขาให้รอดอย่างไร เนื่องจากระดับที่ซาตานได้ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ควรจะมองดูบาปอันน่าสะพรึงกลัวของความเสื่อมทรามที่ซาตานกระทำต่อพวกเขา และเมื่อพระเจ้าทรงทำลายซาตาน พวกเขาก็ควรจะมองดูความชอบธรรมของพระเจ้าและเห็นว่าความชอบธรรมนั้นบรรจุพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นชอบธรรม  แม้ว่านั่นอาจจะไม่อาจหยั่งถึงได้สำหรับเจ้า เจ้าก็ไม่ควรทำการตัดสินไปตามอำเภอใจ  หากบางสิ่งที่พระองค์ทรงทำปรากฏให้เจ้าเห็นว่าไร้เหตุผล หรือหากเจ้ามีมโนคติที่หลงผิดอันใดเกี่ยวกับการนั้น และนั่นนำเจ้าไปสู่การกล่าวว่าพระองค์นั้นไม่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังไร้เหตุผลที่สุดเจ้าเห็นว่าเปโตรได้พบว่าบางสิ่งนั้นไม่อาจจับใจความได้ แต่เขาก็แน่ใจว่าพระปัญญาของพระเจ้านั้นปรากฏอยู่ และแน่ใจว่าในสิ่งเหล่านั้นมีน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่  เหล่ามนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึงทุกสิ่งทุกอย่างได้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจได้  ด้วยเหตุนั้น การที่จะรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าย่อมไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดายเลยจริงๆ(“วิธีรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าส่องแสงเหมือนตะเกียงในความมืด และผมก็เข้าใจในทันใดนั้นเอง  ผมไม่สามารถเห็นความชอบธรรมของพระเจ้าได้ เพราะผมพยายามเข้าใจโดยใช้มโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของตัวเอง  เมื่อผมเห็นศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จพวกนั้นทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก ผมเชื่อว่าการรายงานพวกเขาอย่างซื่อตรงเป็นความประพฤติที่ดีและชอบธรรม ที่ควรทำให้ผมได้รับความโปรดปรานและการคุ้มครองจากพระเจ้า  ผมคิดว่าพวกเขาจะถูกจัดการทันที และมีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความชอบธรรมของพระเจ้า  แต่หลังจากผมรายงานประเด็นปัญหาเหล่านี้ พวกเขาก็ยังอยู่ในตำแหน่งและยังคงปฏิบัติตนอย่างหยาบช้า ในขณะที่ผมเป็นคนที่ถูกกำจัดและถูกขับไล่  ผมเริ่มนึกสงสัยความชอบธรรมของพระเจ้า ณ จุดนั้น  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ในที่สุดผมก็เข้าใจว่า แก่นแท้ของพระเจ้านั้นชอบธรรม  ไม่ว่าการกระทำของพระองค์จะตรงกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเราหรือไม่ การกระทำเหล่านั้นก็แสดงออกถึงความชอบธรรมของพระองค์เสมอ  นั่นเหมือนกับบททดสอบของโยบ  เขาคือชายที่เพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงส่งมอบเขาให้ซาตานและทรงพรากความมั่งคั่งและลูกๆ ไปจากเขาทั้งหมด  นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า  โยบยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว อีกทั้งเขาพึ่งพาความเชื่อของตนในการเป็นพยานที่แข็งขันและชัดแจ้งต่อพระเจ้า  แล้วพระเจ้าก็ทรงอวยพรเขาด้วยชีวิตยืนยาวและความมั่งคั่งกว่าเดิมมาก และลูกๆ ที่ดีขึ้นด้วย  นี่ก็เป็นความชอบธรรมของพระเจ้าเช่นกัน  สมมุติหลังจากโยบเป็นพยานต่อพระเจ้า แล้วพระเจ้าไม่ทรงอวยพรเขา แต่ทรงทำลายเขาแทน  นั่นก็จะเป็นความชอบธรรมของพระเจ้าเช่นกัน  แก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมโดยเนื้อแท้ ดังนั้นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำจึงชอบธรรม  แล้วผมก็นึกถึงเปโตรผู้ก้าวผ่านบททดสอบและกระบวนการถลุงหลายร้อยครั้ง แต่ก็ยังสรรเสริญความชอบธรรมของพระเจ้า  เขาไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ แต่เขาเชื่อมั่นว่าความชอบธรรมและพระปรีชาญาณของพระเจ้าอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนั้น  แล้วก็ผมเอง—ผมไม่ได้เข้าใจความชอบธรรมของพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่กลับประเมินค่าความชอบธรรมโดยวิธีที่สิ่งทั้งหลายปรากฏ และการที่ผลลัพธ์สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของผมหรือไม่  เมื่อสิ่งที่พระเจ้าทรงทำตรงกับมโนคติที่หลงผิดของผมและเป็นประโยชน์ต่อผม ผมก็เชื่อในความชอบธรรมของพระองค์  แต่เมื่อพระองค์ทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อผม ผมก็เริ่มสงสัยความชอบธรรมของพระองค์ โดยเชื่อว่าสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการนั้นไม่ยุติธรรม  ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยโทษพระเจ้าอย่างเปิดเผย ผมก็โต้แย้งกับพระองค์ในหัวใจของผมตลอดเวลา  ผมเห็นว่าที่ผ่านมาผมไร้เหตุผลเพียงใด  พระเจ้าไม่ใช่ไม่ชอบธรรม  ผมเองต่างหากที่ไม่เข้าใจพระเจ้า  ผมเห็นแก่ตัวและหลอกลวงมากเกินไป  ผมไม่ได้แสวงหาความจริงหรือเรียนรู้จากสถานการณ์ที่พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการให้ผม  แต่ผมกลับโต้แย้งและหมกมุ่นกับอนาคตและผลประโยชน์ของผมเอง ดังนั้นผมจะไม่รู้สึกย่ำแย่และตกลงสู่ความมืดมิดและความเจ็บปวดได้อย่างไร?  ในที่สุดผมก็เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า  พระเจ้ากำลังทรงใช้สถานการณ์นี้เพื่อรักษามุมมองผิดๆ ของผม เพื่อให้ผมไม่พยายามเข้าใจความชอบธรรมของพระองค์ผ่านมโนคติที่หลงผิดของตัวเองอีกต่อไป  ผมรู้สึกเหมือนในที่สุดผมก็เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น  ผมมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์และเข้าใจพระองค์ในสถานการณ์นี้

จากนั้นผมก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ความว่า  “ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า  การนั้นไม่ใช่สิ่งง่ายๆ ที่จะเข้าใจโดยแท้ คนเราต้องรู้เสียก่อนว่า มีแผนหนึ่งสำหรับพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้า และการนั้นทั้งหมดทำไปในเวลาของพระเจ้า  มนุษย์ไร้ความสามารถชั่วนิรันดร์ที่จะหยั่งลึกว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจใดและเมื่อใด พระเจ้าทรงพระราชกิจที่แน่นอนบางอย่างในเวลาใดเวลาหนึ่ง และพระองค์ไม่ทรงทำให้ล่าช้า ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายพระราชกิจของพระองค์ได้  การทรงพระราชกิจไปตามแผนของพระองค์และไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์ คือหลักธรรมซึ่งพระองค์ทรงใช้ในการทรงพระราชกิจของพระองค์ และไม่มีบุคคลใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้  ในการนั้น เจ้าควรมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้า(“มีเพียงโดยการรู้จักความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถมีการเชื่อที่แท้จริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำมีความจำเป็นและมีนัยสำคัญเหนือธรรมดา เพราะทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์และความรอดของมวลมนุษย์  โดยธรรมชาติแล้ว พระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำในโยบก็ไม่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าโยบจะเป็นคนดีพร้อมและชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดหรือพระองค์ทรงทำมันโดยวิธีการใดก็ตาม ไม่ว่าราคาใด ไม่ว่าวัตถุประสงค์ของพระองค์คืออะไร จุดประสงค์แห่งการกระทำของพระองค์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง  จุดประสงค์ของพระองค์คือเพื่อที่จะทำให้พระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในตัวมนุษย์ ตลอดจนข้อพึงประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มันเป็นไปเพื่อจะทำให้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงเชื่อว่าจะสอดคล้องในเชิงบวกกับขั้นตอนต่างๆ ของพระองค์เข้าไปในตัวมนุษย์ ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าและจับใจความเนื้อแท้ของพระเจ้าได้ และเปิดโอกาสให้มนุษย์เชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์บรรลุถึงความยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว—ทั้งหมดนี้คือแง่มุมหนึ่งของจุดประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือว่า เพราะซาตานคือวัตถุที่เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นและใช้ปรนนิบัติในพระราชกิจของพระเจ้า มนุษย์มักจะถูกมอบให้แก่ซาตาน นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มองเข้าไปในการทดลองของซาตาน และโจมตีความชั่วร้าย ความน่าเกลียดและความน่าเหยียดหยามของซาตาน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสาเหตุให้ผู้คนเกลียดชังซาตานและสามารถรู้จักและระลึกได้ถึงสิ่งที่เป็นเชิงลบ  กระบวนการนี้เปิดโอกาสให้พวกเขาค่อยๆ ปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากการควบคุมและการกล่าวหา การแทรกแซง และการโจมตีของซาตาน—จนกระทั่ง พวกเขามีชัยชนะเหนือการโจมตีและการกล่าวหาของซาตาน ด้วยพระวจนะของพระเจ้าความรู้และการเชื่อฟังพระเจ้าของพวกเขา และความเชื่อในพระเจ้าและความยำเกรงพระองค์ของพวกเขา เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะถูกส่งออกไปจากแดนครอบครองของซาตานโดยครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2)  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ผมเห็นว่า พระองค์ทรงปฏิบัติด้วยหลักธรรมและในเวลาที่ดีของพระองค์เองเสมอ และความชอบธรรมและพระปรีชาญาณของพระองค์อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้  ผมเคยจินตนาการว่าความชอบธรรมของพระเจ้าหมายถึงการตอบแทนอันสาสมทันที และผู้ประพฤติชั่วควรถูกลงโทษทันที  แต่หากสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นตามที่ผมจินตนาการ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะทรงเปิดโปงผู้คนทุกประเภทและอนุญาตให้ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรได้รับปัญญาแยกแยะอย่างไร?  ที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงอนุญาตให้พวกศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จเกิดขึ้นในคริสตจักรก็เพื่อใช้ผู้คนเหล่านี้เพื่อช่วยให้พวกเราเติบโตในชีวิต เพื่อผลักดันให้พวกเราแสวงหาความจริงและเริ่มมีปัญญาแยกแยะ  เวลาที่พวกเรามีความสามารถที่จะแยกแยะผู้คนเหล่านี้โดยใช้หลักธรรมแห่งความจริง คือเวลาที่พวกเราเข้าใจและเข้าสู่ความจริง  เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น พวกศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จก็ได้บรรลุจุดประสงค์ของพวกเขาแล้ว  ถึงแม้ว่า ศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จบางคนอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจในคริสตจักรในเวลานั้น และดูเหมือนจะสามารถควบคุมและหลอกลวงผู้คนบางคนได้ พระคริสต์และความจริงก็ยังปกครองคริสตจักร ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจะถูกเปิดโปงและขับไล่ในไม่ช้าก็เร็ว

ผมยังตระหนักด้วยว่า ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์มีเล่ห์เหลี่ยมและมุ่งร้ายเพียงใด  และพวกเขาขาดสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง  พวกเขาใส่ใจแค่เพียงศักดิ์ศรีและสถานะโดยไม่ใส่ใจผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเลยสักนิด  ผู้ใดก็ตามที่ขัดผลประโยชน์ของพวกเขาก็กลายเป็นหอกข้างแคร่  พวกเขาจะโจมตีและแก้แค้นคนผู้นั้น โดยไม่หยุดจนกว่าพวกเขาจะพอใจ  พวกเขาประพฤติตัวเหมือนที่ซาตานมารร้ายทำไม่มีผิด  ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะไม่มีเวลาหยุดพัก เพื่อใช้ชีวิตคริสตจักรหรือทำหน้าที่ของพวกเขา จนกว่าศัตรูของพระคริสต์จะถูกขับไล่  พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผม เพื่อให้ผมเห็นจากคนเหล่านี้ได้โดยแท้จริง ว่าพวกเขาหลอกลวงและทำร้ายคนอื่นอย่างไร ได้รู้ถึงธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขา แยกแยะเหตุผลวิบัตินอกรีตของพวกเขา และรอดพ้นจากการควบคุมและการหลอกลวงของพวกเขา  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ผมเรียนรู้จากความผิดพลาดของพวกเขาเพื่อที่ผมจะไม่ใช้เส้นทางผิดอีกด้วย  ทั้งหมดนี้แสดงให้ผมเห็นว่า พระเจ้ากำลังทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์นี้เพื่อช่วยผมให้รอดและทำให้ผมเพียบพร้อมอย่างแท้จริง  ดังที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ด้วยการปรนนิบัติในสิ่งที่ตรงกันข้ามและเป็นลบมากมาย และโดยการนำการสำแดงทุกจำพวกของซาตานมาใช้—การกระทำของมัน การกล่าวหาของมัน การรบกวนและการหลอกลวงของมัน—พระเจ้าทรงแสดงให้เจ้าเห็นใบหน้าอันน่าขยะแขยงของซาตานอย่างชัดเจน และด้วยประการนั้น ทำให้ความสามารถของเจ้าในการแยกแยะซาตานนั้นมีความเพียบพร้อม เพื่อที่เจ้าอาจเกลียดชังซาตานและละทิ้งมัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  ผมขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำผมให้เข้าใจความเพียรพยายามของพระองค์ และที่ทรงนำผมออกจากความมืดมิด

ในเดือนมกราคมปี 2015 ผมเขียนจดหมายอีกฉบับรายงานเรื่องหยานจั๋ว  เป็นอีกครั้งที่ผมรออย่างกระวนกระวายทุกวัน ให้พระนิเวศของพระเจ้าส่งใครสักคนไปสอบสวนเธอ  แต่สองเดือนผ่านไป และผมก็ยังเฝ้ารอให้ใครสักคนมาตรวจสอบมัน  ผู้นำคริสตจักรของพวกเรามาถามผมซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “คุณมีปัญหากับพระเจ้าหรือพระนิเวศของพระเจ้าบ้างหรือไม่?”  ผมเริ่มรู้สึกวิตกเมื่อเธอพูดแบบนั้น และสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผมในตอนนี้ที่ผมได้เขียนจดหมายฉบับนั้น  ผมคิดว่า “ผมถูกแยกออกมาแล้ว ดังนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมก็คงไม่พ้นถูกไล่ออกจากคริสตจักรแน่”  ทันใดนั้นผมก็ตระหนักว่า ผมเริ่มนึกสงสัยความชอบธรรมของพระเจ้าอีกแล้ว  ผมรีบมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กล่าวยอมรับความชอบธรรมของพระองค์ และข้าพระองค์เชื่อว่าพระคริสต์และความจริงปกครองในพระนิเวศของพระเจ้า  แต่เมื่อถูกทดสอบโดยเวลาและข้อเท็จจริง ข้าพระองค์ก็เห็นว่าความเชื่อที่ข้าพระองค์มีนั้นน้อยเพียงใด และเห็นว่าข้าพระองค์ยังไม่เข้าใจความชอบธรรมของพระองค์อย่างแท้จริง  บัดนี้ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะปล่อยวางผลประโยชน์ของตนเองและนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์  ขอได้โปรดนำข้าพระองค์ให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด”  แล้วผมก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ความว่า “สำหรับทุกคนซึ่งทะเยอทะยานที่จะรักพระเจ้านั้น ไม่มีความจริงที่ไม่อาจได้มา และไม่มีความยุติธรรมที่พวกเขาไม่อาจตั้งมั่นเพื่อมันได้ เจ้าควรใช้ชีวิตของเจ้าอย่างไรหรือ? เจ้าควรรักพระเจ้าและใช้ความรักนี้สนองข้อพึงปรารถนาของพระองค์อย่างไร? ไม่มีเรื่องใดในชีวิตเจ้าที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าต้องมีความทะเยอทะยานและความมานะบากบั่น และไม่ควรเป็นดั่งพวกที่ใจเสาะ พวกที่ปวกเปียกอ่อนแอ เจ้าต้องเรียนรู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์กับชีวิตซึ่งเปี่ยมความหมายและได้รับประสบการณ์กับความจริงอันเปี่ยมความหมาย และไม่ควรปฏิบัติต่อตัวเจ้าเองอย่างขอไปทีแบบนั้น เมื่อเจ้าไม่ตระหนักถึงมัน ชีวิตเจ้าก็จะผ่านเจ้าไปโดยเจ้าไม่ทันไหวตัว หลังจากนั้น เจ้าจะมีโอกาสที่จะได้รักพระเจ้าอีกครั้งหรือ? มนุษย์สามารถรักพระเจ้าได้หรือ หลังจากที่เขาได้ตายไปแล้ว? เจ้าจักต้องมีความทะเยอทะยานและมโนธรรมดุจดังเปโตร ชีวิตเจ้าจะต้องเปี่ยมความหมาย และเจ้าต้องไม่เล่นเกมกับตัวเจ้าเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ผมเห็นว่า สิ่งที่พระองค์ทรงทำให้เพียบพร้อม คือการถวิลหาความจริงและความชอบธรรมของพวกเรา รวมถึงความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเราที่จะรักพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเราจะเผชิญกับความยากลำบาก ความพ่ายแพ้ หรือการโจมตีใดพวกเราก็ล่าถอยไม่ได้ แต่ควรใช้ชีวิตเพื่อพระเจ้าและความจริง  พวกเราไม่สามารถก้มหัวให้กำลังบังคับใดของซาตานได้  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเราจึงสามารถได้รับความจริงและได้รับการทำให้เพียบพร้อมได้  ผมแค่ไม่ได้ครอบครองความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงประเภทนั้น  ถึงแม้ว่าผมจะได้อธิษฐานและตกลงใจแน่วแน่ต่อพระเจ้าแล้วว่า จะปกป้องงานของพระนิเวศของพระองค์และปฏิบัติความจริง ทันทีที่ผมเห็นกองกำลังชั่วเกิดขึ้น ผมก็กลัวจะถูกยับยั้งและเกิดปอดแหกขึ้นมา  ผมตระหนักว่าผมยังไม่เข้าใจความชอบธรรมของพระเจ้าอย่างแท้จริง และคิดถึงแค่ตัวเองเท่านั้นเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น  แล้วบางสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสก็ผุดขึ้นมาในใจ ความว่า “คนชั่วจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน”  พระเจ้าทรงหมายถึงสิ่งที่พระองค์ตรัส สิ่งที่พระองค์ตรัสจะต้องลุล่วงไป และสิ่งที่พระองค์ทรงทำจะคงอยู่ตลอดกาล  ผู้ประพฤติชั่วทุกคนจะทนทุกข์กับการลงโทษแห่งความชอบธรรมของพระเจ้า  ไม่ว่าจะใช้เวลานานเพียงใดหรือจะเกิดขึ้นอย่างไร สุดท้ายแล้วสิ่งต่างๆ ก็จะเป็นอย่างที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้เสมอ  ดังนั้นผมจึงคิดว่า “ฉันต้องปล่อยวางมโนคติที่หลงผิดของตัวเอง ละทิ้งอุปนิสัยที่หลอกลวงเยี่ยงซาตานของฉัน ไว้ใจในพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อใจว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม  ฉันจะไม่ก้มหัวให้กำลังบังคับใดของซาตาน!”  ทันทีที่ผมตระหนักถึงเรื่องนี้ ผมก็ค่อยๆ สงบลงและเลิกกังวล

ภายในเดือนเมษายนปี 2015 ผมได้รับจดหมายหลายฉบับจากผู้นำหลี่และผู้นำกับคนทำงานคนอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องที่หยานจั๋วหลอกให้พวกเขาหลงเชื่อ และเรื่องที่พวกเขาได้สร้างความเสียหายให้ผมอย่างใหญ่หลวง  พวกเขาทุกคนขอโทษ  ในจดหมายของเธอ ผู้นำหลี่ยอมรับว่า “ไม่ใช่พวกผู้นำอาวุโสหรอกที่กล่าวหาว่าคุณทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักอย่างร้ายแรง แต่เป็นหยานจั๋วต่างหาก”  ผมจึงรู้ในตอนนั้นว่าหยานจั๋วได้อ่านจดหมายของผมที่รายงานเรื่องเธอทั้งสองฉบับ  เพื่อให้เธอรอดตัว เธอจึงได้ตระเตรียมหลักฐานเพื่อทำให้ผมถูกไล่ออก แต่แล้วผู้นำและคนทำงานบางคนก็เห็นประเด็นปัญหาของเธอ พวกเขาจึงส่งจดหมายเข้าชื่อไปที่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อรายงานเรื่องของเธอ  ขณะที่ผมไล่อ่านจดหมายทั้งหมดนี้ ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก  ผมคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและร้องไห้  เวลานั้นผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าเหลือเกิน  ผมเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีมาก แต่มักจะมองความชอบธรรมของพระองค์ผ่านจินตนาการของตัวเองเสมอ  เมื่อมีประเด็นปัญหาเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ผมก็พยายามทำให้มันเข้ากับสิ่งที่ผมจินตนาการ และเมื่อมันไม่ได้ผล ผมก็เข้าใจพระเจ้าผิดและโทษพระองค์  แต่พระองค์ทรงมองข้ามความอ่อนแอและความเสื่อมทรามของผม และทรงนำผมผ่านช่วงเวลาที่เจ็บปวดและเกินทานทนที่สุดมาได้  ประสบการณ์นี้แสดงให้ผมเห็นว่า พระเจ้าทรงใช้การต่อสู้ทางจิตวิญญาณแห่งการแยกแยะและการรายงานเหล่าผู้นำเทียมเท็จนี้ เพื่อทรงรักษามโนคติที่เข้าใจผิดของผม และทรงให้ความเข้าใจแท้จริงในเรื่องความชอบธรรมของพระองค์แก่ผม  ผมยังได้ตระหนักด้วยว่า ผมกำลังมองทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำผ่านจินตนาการของตัวเอง  ที่จริงแล้วผมกำลังหมิ่นประมาทและจำกัดพระเจ้า และผมได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์  ประสบการณ์นี้แสดงให้ผมเห็นว่า แก่นแท้ของพระเจ้านั้นชอบธรรม  ทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสและทรงทำ ไม่ว่าจะตรงกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คนหรือไม่ ก็คือการเปิดเผยถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าคือเนื้อแท้ที่แท้จริงของพระเจ้าเอง พระอุปนิสัยนี้ไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์เขียนขึ้นหรือก่อให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ก็คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และไม่มีความสัมพันธ์หรือความเชื่อมโยงกับสิ่งใดก็ตามที่เป็นสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์จะไม่มีวันทรงกลายเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง และแม้ว่าพระองค์ทรงกลายเป็นสมาชิกหนึ่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระอุปนิสัยและเนื้อแท้ภายในของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น การรู้จักพระเจ้าจึงไม่ใช่แบบเดียวกับการรู้จักวัตถุ การรู้จักพระเจ้าไม่ใช่การชำแหละบางสิ่งบางอย่าง อีกทั้งยังไม่ใช่แบบเดียวกับการทำความเข้าใจบุคคลหนึ่ง หากมนุษย์ใช้มโนทัศน์หรือวิธีการทำความรู้จักวัตถุหรือทำความเข้าใจบุคคลของตน มาทำความรู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันสามารถบรรลุถึงความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า การรู้จักพระเจ้าไม่ได้อาศัยประสบการณ์หรือจินตนาการ และดังนั้นเจ้าต้องไม่ยัดเยียดใช้ประสบการณ์หรือจินตนาการของเจ้ากับพระเจ้าโดยเด็ดขาด ไม่ว่าประสบการณ์และจินตนาการของเจ้าอาจมากมายเพียงใด แต่สิ่งเหล่านั้นยังคงมีข้อจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น จินตนาการของเจ้าไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง แล้วนับประสาอะไรที่จะสอดคล้องกับความจริง และจินตนาการของเจ้าไม่เข้ากันกับพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ที่แท้จริงของพระเจ้า เจ้าจะไม่มีวันประสบความสำเร็จหากเจ้าอาศัยจินตนาการของเจ้าในการทำความเข้าใจเนื้อแท้ของพระเจ้า นี่เป็นเส้นทางเดียว กล่าวคือ ยอมรับทุกสิ่งที่มาจากพระเจ้า จากนั้นค่อยๆ รับประสบการณ์และทำความเข้าใจมัน จะมีวันหนึ่งที่พระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งแก่เจ้าเพื่อที่จะเข้าใจและรู้จักพระองค์อย่างแท้จริง เนื่องเพราะการให้ความร่วมมือของเจ้า และเนื่องเพราะความหิวและความกระหายความจริงของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2)

ในเดือนพฤษภาคมปี 2015 หยานจั๋ว ศัตรูของพระคริสต์ ถูกขับไล่ออกจากคริสตจักรเพราะกระทำความชั่วมากมาย  พวกพ้องและผู้สมคบคิดกับเธอก็ถูกจัดการด้วยเช่นกัน  เมื่อผมอ่านประกาศการขับไล่นั้น ผมรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมอย่างแท้จริงเพียงใด!  ความจริงและพระคริสต์ปกครองในพระนิเวศของพระเจ้า!  ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 59. ดอกผลของรายงานที่มีความซื่อสัตย์

ถัดไป: 61. ความจริงแสดงให้ฉันได้เห็นทาง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger