พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง (2)

พวกเราจะสามัคคีธรรมต่อไปในหัวข้อสุดท้ายของพวกเรา  พวกเจ้าจำได้หรือไม่ว่าอะไรคือหัวข้อที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันครั้งที่แล้ว?  (พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง)  หัวข้อนี้ “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” เป็นหัวข้อที่รู้สึกว่าไกลตัวมากสำหรับพวกเจ้าหรือไม่?  หรือว่าพวกเจ้ามีมโนทัศน์คร่าวๆ อยู่แล้วในหัวใจของพวกเจ้า?  ใครสักคนพอจะสามารถพูดคุยได้สักครู่หรือไม่ เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นจุดมุ่งเน้นของการสามัคคีธรรมล่าสุดของพวกเราในหัวข้อนี้?  (โดยผ่านทางการที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงเลี้ยงดูทุกสรรพสิ่งและทรงเลี้ยงดูมวลมนุษย์ ในอดีต ข้าพเจ้าได้คิดเสมอว่า เมื่อพระเจ้าทรงทำการจัดเตรียมให้แก่มนุษย์ พระองค์ทรงจัดเตรียมเฉพาะพระวจนะของพระองค์ให้แก่ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร ข้าพเจ้าไม่เคยได้เห็นว่าพระเจ้ากำลังทรงเลี้ยงดูมวลมนุษย์ทั้งปวงโดยผ่านทางธรรมบัญญัติทั้งหลายที่ปกครองทุกสรรพสิ่ง  โดยผ่านทางการสัมพันธ์สนิทของพระเจ้าเกี่ยวกับความจริงนี้เท่านั้น ข้าพเจ้าจึงได้กลายเป็นตระหนักรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมชีวิตของทุกสรรพสิ่ง ว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการธรรมบัญญัติเหล่านี้และทรงเลี้ยงดูทุกสรรพสิ่ง  จากการที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง ข้าพเจ้าเห็นความรักของพระองค์)  ครั้งสุดท้ายที่ผ่านมา โดยหลักแล้ว พวกเราได้จัดสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและวิธีที่พระองค์ได้ทรงสถาปนาธรรมบัญญัติและหลักธรรมสำหรับทุกสรรพสิ่ง  ภายใต้ธรรมบัญญัติเช่นนั้นและหลักธรรมเช่นนั้น ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตและตายและอยู่ร่วมกับมนุษย์ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าและภายในสายพระเนตรของพระเจ้า  ในตอนแรกนั้น พวกเราได้พูดคุยเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและทรงใช้วิธีการทั้งหลายของพระองค์เองเพื่อกำหนดพิจารณาธรรมบัญญัติที่พวกเขาใช้ในการเติบโต รวมทั้งวิถีโคจรและแบบแผนทั้งหลายของการเติบโตของพวกเขา  พระองค์ยังได้ทรงกำหนดพิจารณาหนทางทั้งหลายที่ทุกสรรพสิ่งอยู่รอดในแผ่นดินนี้อีกด้วย เพื่อที่ทุกสรรพสิ่งอาจเติบโตและเพิ่มทวีคูณและอยู่รอดในการพึ่งพาอาศัยกันและกันต่อไป  ด้วยวิธีการและธรรมบัญญัติทั้งหลายเช่นนี้ ทุกสรรพสิ่งจึงมีความสามารถที่จะดำรงอยู่และเติบโตบนแผ่นดินนี้ได้อย่างไม่ต้องใช้ความพยายามและเปี่ยมสันติสุข และด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้เท่านั้น ที่มวลมนุษย์อาจมีบ้านที่มั่นคงและสถานการณ์ที่มั่นคงให้ดำรงชีวิตอยู่ เคลื่อนไปข้างหน้าเสมอภายใต้การทรงนำของพระเจ้า—ไปข้างหน้าตลอดไป

ครั้งที่แล้วพวกเราได้เสวนาเรื่องมโนทัศน์พื้นฐานของการที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่ง นั่นคือ พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่งในหนทางนี้เพื่อที่ทุกสรรพสิ่งจะได้ดำรงอยู่และมีชีวิตเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ดำรงอยู่เพราะธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงกำหนด  เป็นเพราะการที่พระเจ้าทรงธำรงรักษาและทรงบริหารธรรมบัญญัติเช่นนี้เท่านั้น มวลมนุษย์จึงมีสภาพแวดล้อมเพื่อการมีชีวิตในปัจจุบัน  เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ระหว่างสิ่งที่พวกเราได้พูดคุยกันครั้งที่แล้วกับความรู้เรื่องพระเจ้าที่พวกเราได้พูดถึงในอดีต  อะไรหรือคือเหตุผลสำหรับการดำรงอยู่ของการก้าวกระโดดนั้น?  นั่นเป็นที่ว่าเมื่อตอนพวกเราได้เคยพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้าในอดีต พวกเรากำลังพูดคุยกันภายในวงเขตของการที่พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและทรงบริหารจัดการมวลมนุษย์—ซึ่งก็คือความรอดและการบริหารจัดการของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—และภายในวงเขตนั้นพวกเราได้พูดถึงการรู้จักพระเจ้า กิจการของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น เจตนารมณ์ของพระองค์ และวิธีที่พระองค์ทรงจัดเตรียมความจริงและชีวิตให้แก่มนุษย์  แต่ในครั้งที่แล้วนั้น หัวข้อที่พวกเราได้เริ่มต้นไว้ไม่จำกัดอยู่ที่เนื้อหาของพระคัมภีร์และที่วงเขตของการที่พระเจ้าทรงช่วยประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้รอด  แต่หัวข้อนั้นกลับยื่นขยายออกไปนอกวงเขตนี้ ออกไปจากขอบเขตของพระคัมภีร์และขอบเขตของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติกับประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรเสียมากกว่า โดยเสวนากันในเรื่องพระเจ้าพระองค์เองแทน  ดังนั้นเมื่อเจ้าได้ยินการสามัคคีธรรมของเราส่วนนี้ เจ้าต้องไม่จำกัดขอบเขตความรู้เรื่องพระเจ้าของเจ้าไว้กับพระคัมภีร์และพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าต้องเปิดมุมมองของเจ้าให้กว้าง เจ้าต้องเห็นกิจการของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นภายในทุกสรรพสิ่ง และวิธีที่พระองค์ทรงบงการและทรงบริหารจัดการทุกสรรพสิ่ง  โดยผ่านทางวิธีการนี้และบนรากฐานนี้ เจ้าย่อมสามารถมองเห็นวิธีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่ง ซึ่งทำให้มวลมนุษย์สามารถเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตที่แท้จริงสำหรับทุกสรรพสิ่ง ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว นี่คือพระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าพระองค์เอง  กล่าวคือพระอัตลักษณ์ พระสถานภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์มิได้ถูกหมายเพียงเพื่อบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ในปัจจุบันเท่านั้น—ไม่ได้แค่หมายเพื่อพวกเจ้า ผู้คนกลุ่มนี้—แต่หมายเพื่อทุกสรรพสิ่ง  ดังนั้นวงเขตของทุกสรรพสิ่งจึงกว้างมาก  เราใช้คำว่า “ทุกสรรพสิ่ง” เพื่อบรรยายวงเขตของการปกครองของพระเจ้าเหนือทุกสิ่งทุกอย่างเพราะเราต้องการบอกพวกเจ้าว่า สิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงบงการไม่ได้เป็นเพียงสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าสามารถเห็นได้ด้วยตาของพวกเจ้า—สิ่งเหล่านั้นไม่เพียงรวมถึงโลกเชิงวัตถุที่ทุกคนสามารถเห็นได้ แต่ยังรวมถึงอีกพิภพหนึ่งที่อยู่เหนือโลกเชิงวัตถุซึ่งตามนุษย์ไม่สามารถเห็นได้ และที่อยู่เหนือโพ้นยิ่งกว่านั้นอีก ซึ่งก็คือดาวเคราะห์ทั้งหลายและอวกาศรอบนอก ที่ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกด้วย  นั่นคือวงเขตแห่งอำนาจครอบครองของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่ง  วงเขตแห่งอำนาจครอบครองของพระองค์กว้างมาก สำหรับส่วนของพวกเจ้า พวกเจ้าแต่ละคนจำเป็นต้องและต้องเข้าใจ มองเห็น และมีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าควรเข้าใจ สิ่งที่เจ้าควรเห็น และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าควรมีความรู้  แม้ว่าวงเขตของคำว่า “ทุกสรรพสิ่ง” กว้างมากก็จริง แต่เราจะไม่บอกพวกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายภายในวงเขตนั้นซึ่งพวกเจ้าไม่มีทางมองเห็นหรือที่พวกเจ้าไม่สามารถมาสัมผัสได้ด้วยตัวเอง  เราเพียงจะบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายภายในวงเขตที่บรรดามนุษย์สามารถมาสัมผัส เข้าใจ และจับใจความได้เท่านั้น เพื่อที่ทุกคนจะสามารถตระหนักรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของวลีที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง”  ในหนทางนี้ วจนะแห่งการสามัคคีธรรมของเราต่อพวกเจ้าจะไม่มีสักคำที่ไร้ค่าไม่จริงใจ

ครั้งที่แล้วพวกเราได้ใช้วิธีการเล่าเรื่องเพื่อจัดเตรียมภาพรวมที่เรียบง่ายของหัวข้อ “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” เพื่อให้ผู้คนสามารถได้รับความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่ง  อะไรหรือคือจุดประสงค์ของการสอนมโนทัศน์พื้นฐานนี้แก่พวกเจ้า?  ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าเอื้อมออกไปเกินกว่าเพียงแค่พระคัมภีร์และพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระองค์  พระองค์กำลังทรงพระราชกิจเพิ่มขึ้นมากมายที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นและเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถมาสัมผัสได้ เป็นพระราชกิจที่พระองค์ทรงดูแลด้วยพระองค์เอง  หากพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจในการบริหารจัดการของพระองค์และในการทรงนำทางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และไม่ได้กำลังทรงกระทำอันใดในงานอื่นนี้ เช่นนั้นแล้วก็คงจะยากมากสำหรับมนุษยชาตินี้ รวมถึงพวกเจ้าทั้งหมด ที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าต่อไป  มนุษยชาตินี้และโลกนี้คงจะไร้ความสามารถที่จะพัฒนาต่อไปได้  ในการนั้นมีวลีที่สำคัญอยู่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” อันเป็นหัวข้อของการสามัคคีธรรมที่เราจะจัดให้มีขึ้นกับพวกเจ้าในวันนี้

สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างสำหรับมวลมนุษย์

พวกเราได้เสวนาหัวข้อมากมายและเนื้อหามากมายซึ่งเกี่ยวข้องกับคำพูดที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” แต่พวกเจ้ารู้ในหัวใจของพวกเจ้าหรือไม่ว่าสิ่งใดที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์ นอกเหนือจากการทรงจัดเตรียมพระวจนะของพระองค์ให้แก่พวกเจ้าและการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์กับพวกเจ้า?  ผู้คนบางคนอาจจะพูดว่า “พระเจ้าประทานพระคุณและพระพรแก่ฉัน พระองค์ทรงมอบการบ่มวินัยและสิ่งชูใจแก่ฉัน และพระองค์ทรงให้การดูแลและการทรงอารักขาแก่ฉันในทุกหนทางที่เป็นไปได้”  คนอื่นๆ จะพูดว่า “พระเจ้าประทานอาหารและเครื่องดื่มประจำวันแก่ฉัน” ในขณะที่บางคนจะถึงกับพูดว่า “พระเจ้าได้ประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้ฉัน”  พวกเจ้าอาจจะโต้ตอบประเด็นปัญหาเหล่านั้นที่ผู้คนเผชิญในชีวิตประจำวันของพวกเขาในหนทางที่สัมพันธ์กับวงเขตแห่งประสบการณ์ชีวิตเชิงเนื้อหนังของพวกเจ้าเอง  พระเจ้าประทานสิ่งทั้งหลายมากมายให้กับแต่ละบุคคล แม้ว่าสิ่งที่พวกเรากำลังเสวนากันตรงนี้ไม่ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่กับวงเขตแห่งความต้องการที่จำเป็นรายวันของผู้คนเท่านั้น แต่ยังหมายที่จะขยายพื้นที่ทรรศนะของแต่ละบุคคล  และยอมให้เจ้าเห็นสิ่งทั้งหลายจากมุมมองมหัพภาค  ในเมื่อพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงธำรงรักษาชีวิตของทุกสรรพสิ่งอย่างไรเล่า?  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สิ่งใดหรือที่พระเจ้าทรงให้แก่ทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์เพื่อธำรงรักษาการดำรงอยู่ของพวกมันและธรรมบัญญัติทั้งหลายที่เกื้อหนุนมันอยู่ เพื่อที่พวกมันอาจดำรงอยู่ต่อไป?  นั่นคือประเด็นหลักของการเสวนาของพวกเราในวันนี้  พวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่เราได้พูดไปแล้วหรือไม่?  หัวข้อนี้อาจจะไม่คุ้นหูพวกเจ้าเป็นอย่างมาก แต่เราจะไม่พูดเกี่ยวกับคำสอนอันใดที่ลุ่มลึกเกินไป  เราจะเพียรพยายามทำให้แน่ใจว่าพวกเจ้าสามารถฟังวจนะของเราและได้รับความเข้าใจจากวจนะเหล่านั้น  พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกถึงภาระอันใด—ทั้งหมดที่พวกเจ้าต้องทำคือตั้งใจฟัง  อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ เราต้องเน้นย้ำอีกครั้งว่า อะไรคือหัวข้อที่เรากำลังพูดถึง?  จงบอกเราที  (พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง)  เช่นนั้นแล้วพระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่งอย่างไรหรือ?  สิ่งใดหรือที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ทุกสรรพสิ่งจนสามารถกล่าวได้ว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง”?  พวกเจ้ามีมโนทัศน์หรือความคิดใดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  ดูเหมือนว่าเรากำลังเสวนาหัวข้อที่พวกเจ้าแทบไม่รู้เลยโดยสิ้นเชิงทั้งในหัวใจของพวกเจ้าและในความนึกคิดจิตใจของพวกเจ้า  แต่เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถเชื่อมโยงหัวข้อนี้และสิ่งที่เราจะพูดเข้ากับกิจการของพระเจ้ามากกว่าที่จะเข้ากับความรู้ วัฒนธรรมมนุษย์ หรือการศึกษาวิจัยอันใด  เรากำลังพูดคุยเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้น  นี่คือข้อเสนอแนะของเราต่อพวกเจ้า  เราแน่ใจว่าพวกเจ้าเข้าใจ ใช่หรือไม่?

พระเจ้าได้ประทานสิ่งทั้งหลายมากมายให้มวลมนุษย์  เราจะเริ่มต้นด้วยการพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้ นั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาสามารถรู้สึกได้  เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนสามารถเข้าใจและรับรู้ในหัวใจของพวกเขา  ดังนั้นก่อนอื่น พวกเรามาเริ่มต้นด้วยการพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์ด้วยการเสวนาเกี่ยวกับโลกทางวัตถุ

1. อากาศ

แรกที่สุด พระเจ้าได้ทรงสร้างอากาศเพื่อให้มนุษย์ได้หายใจ  อากาศเป็นสสารที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้เป็นประจำทุกวันและเป็นสิ่งที่มนุษย์พึ่งพาอยู่ในทุกๆ ชั่วขณะ แม้ในยามที่พวกเขาหลับ  อากาศที่พระเจ้าทรงสร้างไว้นั้นมีความสำคัญอย่างมหันต์ต่อมวลมนุษย์ กล่าวคือ อากาศจำเป็นอย่างยิ่งต่อทุกลมหายใจของพวกเขาและต่อชีวิตเอง  สสารนี้ซึ่งสามารถรู้สึกได้เท่านั้นแต่ไม่สามารถเห็นได้ เป็นของประทานชิ้นแรกของพระเจ้าแก่สรรพสิ่งทั้งปวงแห่งการทรงสร้างของพระองค์  แต่หลังจากทรงสร้างอากาศแล้ว พระเจ้าได้ทรงหยุด โดยถือว่าพระราชกิจของพระองค์นั้นเสร็จไปแล้วใช่หรือไม่?  หรือว่าพระองค์ได้ทรงพิจารณาว่าอากาศน่าจะมีความหนาแน่นเพียงใด?  พระองค์ได้ทรงพิจารณาหรือไม่ว่า อากาศน่าจะบรรจุไปด้วยสิ่งใดบ้าง?  พระเจ้ากำลังทรงดำริอะไรหรือ เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างอากาศ?  เหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงสร้างอากาศ และเหตุผลของพระองค์คืออะไร?  มนุษย์จำเป็นต้องมีอากาศ—พวกเขาจำเป็นต้องหายใจ  ประการแรกความหนาแน่นของอากาศควรเหมาะกับปอดของมนุษย์  มีผู้ใดรู้ความหนาแน่นของอากาศหรือไม่?  ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีความต้องการที่จำเป็นโดยเฉพาะเลยที่ผู้คนจะต้องรู้คำตอบของคำถามนี้ในรูปของตัวเลขหรือข้อมูล และว่ากันจริงๆ แล้ว ก็ไม่จำเป็นเลยทีเดียวที่จะต้องรู้คำตอบ—แค่มีเพียงแนวคิดทั่วไปเท่านั้น ก็เพียงพออย่างสมบูรณ์แบบแล้ว พระเจ้าได้ทรงสร้างอากาศด้วยความหนาแน่นซึ่งน่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับปอดมนุษย์ที่จะหายใจ  นั่นคือพระองค์ได้ทรงสร้างอากาศเพื่อที่มันอาจจะเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้อย่างง่ายดายโดยผ่านทางลมหายใจของพวกเขา และเพื่อที่อากาศจะไม่ทำอันตรายต่อร่างกายในขณะที่ร่างกายนั้นหายใจ  เหล่านี้คือข้อคำนึงพิจารณาของพระเจ้าเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างอากาศ  ถัดไป พวกเราจะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่บรรจุอยู่ในอากาศ  สิ่งทั้งหลายที่บรรจุอยู่ในอากาศไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และจะไม่สร้างความเสียหายแก่ปอดหรือส่วนอื่นใดของร่างกาย  พระเจ้าได้ทรงจำเป็นต้องพิจารณาทั้งหมดนี้  พระเจ้าได้ทรงจำเป็นต้องพิจารณาว่า อากาศที่มนุษย์หายใจควรเข้าสู่และออกจากร่างกายอย่างราบรื่น และว่า หลังจากถูกสูดเข้าไปแล้ว ธรรมชาติและปริมาณของสสารทั้งหลายภายในอากาศควรอยู่ในระดับที่เลือด ตลอดจนอากาศเสียในปอดและร่างกายโดยรวม จะถูกเผาผลาญอย่างถูกต้องเหมาะสม  ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ได้ทรงจำเป็นต้องพิจารณาว่า อากาศไม่ควรประกอบด้วยสสารมีพิษใดๆ  จุดมุ่งหมายของเราในการบอกเจ้าเกี่ยวกับมาตรฐานทั้งสองนี้สำหรับอากาศนั้น ไม่ใช่เพื่อป้อนความรู้เฉพาะอันใดให้พวกเจ้า แต่เพื่อแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกๆ สิ่งภายในการทรงสร้างของพระองค์โดยสอดคล้องกับข้อคำนึงพิจารณาทั้งหลายของพระองค์เอง และทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงสร้างนั้นดีที่สุดเท่าที่มันสามารถเป็นได้  นอกจากนี้ สำหรับปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ และปริมาณของฝุ่นผง ทราย และดินบนแผ่นดินโลก รวมทั้งปริมาณฝุ่นละอองที่ล่องลอยลงจากท้องฟ้ามายังแผ่นดินโลก—พระเจ้าทรงมีหนทางของพระองค์สำหรับบริหารจัดการสิ่งเหล่านี้เช่นกัน หนทางแห่งการนำสิ่งเหล่านี้ออกไปหรือทำให้พวกมันสลายไป  แม้ว่าจะมีฝุ่นละอองอยู่ในปริมาณหนึ่ง พระเจ้าได้ทรงทำเช่นนั้นก็เพื่อที่ฝุ่นละอองจะไม่ทำอันตรายร่างกายมนุษย์หรือทำให้การหายใจของมนุษย์ตกอยู่ในอันตราย และพระองค์ได้ทรงสร้างอนุภาคฝุ่นซึ่งมีขนาดที่จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย  การที่พระเจ้าทรงสร้างอากาศไม่ได้เป็นความล้ำลึกหรอกหรือ?  นั่นเป็นเรื่องเรียบง่ายเฉกเช่นการทรงเป่าลมปราณจากพระโอษฐ์ของพระองค์หรือไม่?  (ไม่)  แม้แต่ในการที่พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งหลายซึ่งเรียบง่ายที่สุด ความล้ำลึกของพระเจ้า การทำงานของพระหฤทัยของพระองค์ หนทางที่พระองค์ทรงพระดำริ และพระปัญญาของพระองค์ ทั้งหมดล้วนแจ่มแจ้ง  พระเจ้าไม่ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรอกหรือ?  (ใช่แล้ว พระองค์ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง)  สิ่งที่การนี้หมายถึงก็คือว่า แม้แต่ในการทรงสร้างสิ่งที่เรียบง่าย พระเจ้าก็ได้กำลังทรงดำริถึงมนุษยชาติ  ประการแรก อากาศที่มนุษย์หายใจนั้นสะอาด และสิ่งที่บรรจุอยู่ในอากาศก็เหมาะที่จะให้มนุษย์หายใจ ไม่เป็นพิษและไม่ก่ออันตรายต่อมนุษย์ ในทำนองเดียวกัน ความหนาแน่นของอากาศนั้นก็เหมาะสมสำหรับการหายใจของมนุษย์  อากาศนี้ซึ่งมนุษย์หายใจเข้าและหายใจออกอยู่เป็นนิตย์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต่อร่างกายมนุษย์ ต่อเนื้อหนังมนุษย์  นี่คือเหตุผลที่มนุษย์อาจหายใจได้อย่างอิสระโดยปราศจากการจำกัดควบคุมหรือความวิตกกังวล  ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถหายใจได้โดยปกติ  อากาศคือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นในปฐมกาล และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการหายใจของมนุษย์

2. อุณหภูมิ

สิ่งที่สองที่พวกเราจะเสวนากันคือ อุณหภูมิ  ทุกคนรู้ว่าอุณหภูมิคืออะไร  อุณหภูมิเป็นบางสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์  หากอุณหภูมิสูงเกินไป—ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าอุณหภูมิสูงกว่าสี่สิบองศาเซลเซียส—นี่จะไม่เป็นการสูญเสียน้ำอย่างมากสำหรับมนุษย์หรอกหรือ?  นี่จะไม่น่าอ่อนเพลียสำหรับมนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพเงื่อนไขเช่นนั้นหรอกหรือ?  แล้วถ้าหากอุณหภูมิต่ำเกินไปล่ะ?  สมมุติว่าอุณหภูมิลงไปถึงลบสี่สิบองศาเซลเซียส—มนุษย์ก็คงไม่อาจทานทนต่อสภาพเงื่อนไขเหล่านี้ได้เช่นกัน  เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงพิถีพิถันมากในการกำหนดช่วงอุณหภูมิซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิที่ร่างกายมนุษย์สามารถปรับตัวเข้าหาได้ ซึ่งตกอยู่ระหว่างลบสามสิบองศาเซลเซียสกับสี่สิบองศาเซลเซียสโดยประมาณ  อุณหภูมิในแผ่นดินทั้งหลายจากเหนือจรดใต้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตกอยู่ภายในช่วงนี้  ในภูมิภาคที่หนาวจัด อุณหภูมิสามารถลดฮวบลงได้จนบางทีไปถึงลบห้าสิบหรือหกสิบองศาเซลเซียส  พระเจ้าคงจะไม่ทรงให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในภูมิภาคเช่นนั้น  ดังนั้น เหตุใดภูมิภาคเยือกแข็งเหล่านี้จึงดำรงอยู่เล่า?  พระเจ้าทรงมีพระปัญญาของพระองค์เอง และพระองค์ทรงมีเจตนารมณ์ของพระองค์เองสำหรับการนี้  พระองค์จะไม่ทรงให้เจ้าไปใกล้สถานที่เหล่านั้น  สถานที่ซึ่งร้อนเกินไปและเย็นเกินไปนั้นได้รับการทรงอารักขาโดยพระเจ้า หมายความว่า พระองค์มิได้ทรงวางแผนให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ที่นั่น  สถานที่เหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับมวลมนุษย์  แต่เหตุใดเล่า พระเจ้าจึงทรงให้มีสถานที่เช่นนั้นดำรงอยู่บนแผ่นดินโลก?  หากสถานที่เหล่านี้เป็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าน่าจะไม่ทรงให้มนุษย์อาศัยอยู่หรือแม้แต่อยู่รอด เช่นนั้นแล้วเหตุใดเล่า พระเจ้าจึงจะทรงสร้างสถานที่เหล่านั้นขึ้นมา?  มีพระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในเรื่องนั้น  นั่นก็คือ พระเจ้าได้ทรงปรับเทียบช่วงอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมที่มนุษย์อยู่รอดอย่างสมเหตุสมผล  ยังมีกฎธรรมชาติกำลังทำงานอยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกัน  พระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งทั้งหลายเฉพาะอย่างขึ้นก็เพื่อธำรงรักษาและควบคุมอุณหภูมิ  สิ่งเหล่านั้นคืออะไรหรือ?  อย่างแรก ดวงอาทิตย์สามารถนำพาความอบอุ่นมาให้ผู้คนได้ แต่ผู้คนมีความสามารถที่จะสู้ทนความอบอุ่นนี้ได้หรือไม่ เมื่อมันสูงมากเกินไป?  มีผู้ใดบ้างที่กล้าเข้าหาดวงอาทิตย์?  มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใดบ้างบนแผ่นดินโลกที่สามารถเข้าหาดวงอาทิตย์ได้?  (ไม่มี)  เหตุใดจึงไม่มี?  ดวงอาทิตย์ร้อนเกินไป  สิ่งใดที่มาใกล้เกินไปจะหลอมละลาย  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงได้ทรงพระราชกิจอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อกำหนดความสูงของดวงอาทิตย์เหนือมวลมนุษย์และระยะห่างของมันจากมนุษย์โดยสอดคล้องกับการทรงคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบของพระองค์และมาตรฐานของพระองค์  แล้วก็ยังมีขั้วทั้งสองของแผ่นดินโลก ที่ทิศใต้และทิศเหนือ  ภูมิภาคทั้งสองนี้เยือกแข็งและเป็นธารน้ำแข็ง  มวลมนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ในภูมิภาคที่เป็นธารน้ำแข็งได้หรือ?  สถานที่ทั้งหลายเช่นนั้นเหมาะสมต่อความอยู่รอดของมนุษย์หรือไม่?  ไม่ ดังนั้นผู้คนจึงไม่ไปยังสถานที่เหล่านี้  ในเมื่อผู้คนไม่ไปที่ขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือ ธารน้ำแข็งของที่นั่นจึงได้รับการอนุรักษ์และมีความสามารถที่จะทำหน้าที่ตามจุดประสงค์ของพวกมันได้ ซึ่งก็คือการควบคุมอุณหภูมิ  เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?  หากไม่ได้มีขั้วโลกใต้และไม่ได้มีขั้วโลกเหนือ เช่นนั้นแล้วความร้อนอันต่อเนื่องของดวงอาทิตย์ก็คงจะทำให้ผู้คนบนแผ่นดินโลกมีอันพินาศ  ว่าแต่พระเจ้าทรงรักษาอุณหภูมิไว้ภายในช่วงที่เหมาะสมต่อความอยู่รอดของมนุษย์โดยผ่านทางสองสิ่งนี้เท่านั้นใช่หรือไม่?  ไม่  ยังมีสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทุกจำพวกอีกด้วย อาทิ หญ้าในทุ่งหญ้า ต้นไม้สารพัดชนิด และพืชทุกประเภทในป่าไม้ที่ดูดซับความร้อนของดวงอาทิตย์ และการทำเช่นนั้นทำให้พลังงานความร้อนของดวงอาทิตย์เป็นกลางอยู่ในหนทางที่บังคับควบคุมอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่  แหล่งน้ำทั้งหลาย อาทิ แม่น้ำและทะเลสาบก็มีอยู่ด้วยเช่นกัน  ไม่มีผู้ใดสามารถตัดสินได้เกี่ยวกับพื้นที่ที่แม่น้ำและทะเลสาบนั้นครอบคลุม  ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมปริมาณน้ำที่มีบนแผ่นดินโลก หรือแห่งหนที่น้ำไหลไป ทิศทางการไหลของน้ำ ปริมาตรของการไหล หรือความเร็วของการไหล  พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้  แหล่งน้ำสารพันเหล่านี้ ตั้งแต่น้ำใต้ดินไปจนถึงแม่น้ำและทะเลสาบที่มองเห็นได้เหนือพื้นดิน สามารถควบคุมอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้  นอกเหนือจากแหล่งน้ำทั้งหลายแล้ว ยังมีการก่อตัวทางภูมิศาสตร์ทุกประเภท อาทิ ภูเขา ที่ราบ หุบผาชัน และพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งทั้งหมดควบคุมอุณหภูมิในขอบข่ายที่เป็นสัดส่วนเหมาะสมกับวงเขตและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของพวกมัน  ตัวอย่างเช่น หากภูเขาลูกหนึ่งมีเส้นรอบวงหนึ่งร้อยกิโลเมตร เช่นนั้นแล้ว หนึ่งร้อยกิโลเมตรนั้นก็จะมีส่วนร่วมสนับสนุนการใช้ประโยชน์เทียบเท่ากับหนึ่งร้อยกิโลเมตร  สำหรับการที่จำนวนเทือกเขาและหุบผาชันดังกล่าวที่พระเจ้าได้ทรงสร้างบนแผ่นดินโลกมีเท่าใดกันแน่นั้น นี่เป็นตัวเลขที่พระเจ้าได้ทรงพิจารณาแล้ว  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังการดำรงอยู่ของทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง และแต่ละสิ่งบรรจุไปด้วยพระปัญญาและแผนการของพระเจ้า  ลองพิจารณาตัวอย่างเช่น ป่าไม้และพืชพรรณหลากหลายประเภททั้งหมด—แนวเขตและขอบข่ายของพื้นที่ซึ่งพวกมันดำรงอยู่และเติบโตนั้น อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์คนใด และไม่มีผู้ใดมีส่วนในการตัดสินใจเหนือสิ่งเหล่านี้  ในทำนองเดียวกัน ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถควบคุมปริมาณน้ำที่พวกมันดูดซับ หรือปริมาณพลังงานความร้อนที่พวกมันดูดซับจากดวงอาทิตย์ได้  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดตกอยู่ภายในวงเขตของแผนการที่พระเจ้าได้ทรงทำเมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง

นั่นเป็นเพราะการทรงวางแผน การทรงพิจารณาและการทรงจัดการเตรียมการอย่างรอบคอบของพระเจ้าในทุกๆ ความคิดคำนึงนั่นเอง มนุษย์จึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิเหมาะสมเช่นนี้ได้  เพราะฉะนั้นทุกๆ สิ่งที่มนุษย์มองเห็นด้วยตาของมนุษย์ เช่นดวงอาทิตย์ ขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือที่ผู้คนได้ยินเกี่ยวกับพวกมันอยู่บ่อยๆ ตลอดจนสิ่งมีชีวิตอันหลากหลายทั้งบนและใต้พื้นดินและในน้ำ และปริมาณของพื้นที่ซึ่งปกคลุมโดยป่าไม้และพืชพรรณจำพวกอื่นๆ และแหล่งน้ำ น่านน้ำอันหลากหลาย ปริมาณน้ำทะเลและน้ำจืด และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน—เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้ในการธำรงรักษาอุณหภูมิปกติเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนเด็ดขาด  นั่นเป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงดำริอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการนี้ทั้งหมดแล้วเท่านั้น มนุษย์จึงมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิเหมาะสมเช่นนั้นได้  มันต้องไม่เย็นเกินไปหรือร้อนเกินไป กล่าวคือ สถานที่ซึ่งร้อนเกินไป ที่ซึ่งมีอุณหภูมิเกินกว่าที่ร่างกายมนุษย์จะสามารถปรับเข้าหาได้นั้น พระเจ้าไม่ทรงกันไว้ให้เจ้าอย่างแน่นอน  สถานที่ซึ่งเย็นเกินไป ที่ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำเกินไป ซึ่งหลังจากไปถึงที่นั่นแล้ว มนุษย์จะหนาวเย็นจนเยือกแข็งไปทั้งตัวในเวลาเพียงไม่กี่นาที จนถึงระดับที่พวกเขาไม่สามารถพูดได้ สมองของพวกเขาเย็นจนเยือกแข็ง พวกเขาไร้ความสามารถที่จะคิด และในไม่ช้าพวกเขาก็จะทนทุกข์กับภาวะขาดอากาศหายใจ—สถานที่เช่นนั้นพระเจ้าก็ไม่ทรงกันไว้สำหรับมนุษย์เช่นกัน  ไม่สำคัญว่ามนุษย์ต้องการดำเนินการศึกษาวิจัยประเภทใดให้เสร็จสิ้น และไม่ว่าพวกเขาต้องการที่จะคิดค้นหรือฝ่าทะลุข้อจำกัดเหล่านี้หรือไม่—ไม่ว่าผู้คนจะมีความคิดอะไรก็ตาม พวกเขาจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะไปเกินขีดจำกัดของสิ่งที่ร่างกายมนุษย์สามารถปรับเข้าหาได้  พวกเขาจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะปลดทิ้งข้อจำกัดเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างให้แก่มนุษย์ได้  นี่เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ และพระเจ้าทรงรู้ดีที่สุดว่า อุณหภูมิใดที่ร่างกายมนุษย์สามารถปรับเข้าหาได้  แต่มนุษย์เองนั้นไม่รู้  ทำไมเราจึงพูดว่ามนุษย์ไม่รู้?  มนุษย์ได้ทำสิ่งโง่ๆ อะไรไปบ้างหรือ?  ผู้คนมากมายไม่ได้พยายามท้าทายขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้อยู่เนืองนิตย์หรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนั้นได้ต้องการไปยังสถานที่เหล่านั้นเสมอ เพื่อยึดครองแผ่นดิน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถตั้งรกรากที่นั่นได้  นั่นน่าจะเป็นการกระทำที่ไร้สาระสิ้นดี  ต่อให้เจ้าได้ศึกษาวิจัยขั้วโลกทั้งสองแล้วอย่างถ้วนทั่ว แล้วยังไงหรือ?  ต่อให้เจ้าสามารถปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิได้และมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ที่นั่น มันจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ในหนทางใดหนทางหนึ่งหรือ หากเจ้าจะต้อง “ปรับปรุง” สภาพแวดล้อมปัจจุบันเพื่อชีวิตแห่งขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือ?  มวลมนุษย์มีสภาพแวดล้อมที่มวลมนุษย์สามารถอยู่รอดได้ในนั้น ทว่าพวกมนุษย์ไม่ได้ยังคงอยู่ที่นั่นอย่างสงบนิ่งและคล้อยตาม แต่กลับยืนกรานที่จะเสี่ยงไปยังสถานที่ที่พวกเขาไม่สามารถอยู่รอดได้แทน  การนี้หมายความเช่นไรหรือ?  พวกเขาได้กลายเป็นเบื่อหน่ายและหมดความอดทนกับชีวิตในอุณหภูมิที่เหมาะสมนี้ และได้ชื่นชมพระพรไปมากมายเกินไป  นอกจากนั้น สภาพแวดล้อมอันเป็นปกตินี้สำหรับชีวิต ก็ได้ถูกทำลายไปจนแทบหมดสิ้นโดยมวลมนุษย์ ดังนั้นบัดนี้ พวกเขาจึงคิดว่า พวกเขาอาจจะไปยังขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือด้วยเช่นกัน เพื่อทำความเสียหายให้มากขึ้น หรือไล่ตามเสาะหา “เหตุ” บางอย่างให้พวกเขาสามารถพบบางหนทางแห่งการ “บุกเบิกลู่ทางใหม่” ได้  นี่ไม่ใช่เรื่องโง่ๆ หรอกหรือ?  กล่าวคือ ภายใต้การนำของกำพืดซาตานของพวกเขา มวลมนุษย์นี้ทำสิ่งไร้สาระครั้งแล้วครั้งเล่าติดๆ กัน พร้อมกับทำลายบ้านอันสวยงามที่พระเจ้าได้ทรงสร้างให้แก่พวกเขาอย่างบ้าบิ่นและพิเรนทร์  นี่เป็นการกระทำของซาตาน  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นว่าความอยู่รอดของมวลมนุษย์บนแผ่นดินโลกค่อนข้างตกอยู่ในอันตราย ผู้คนมากมายจึงแสวงหาหนทางไปเยี่ยมดวงจันทร์ โดยต้องการจัดตั้งหนทางที่จะอยู่รอดขึ้นที่นั่น  แต่ในท้ายที่สุด ดวงจันทร์ก็ขาดออกซิเจน  มนุษย์จะสามารถอยู่รอดโดยปราศจากออกซิเจนได้หรือ?  ในเมื่อดวงจันทร์ขาดออกซิเจน นั่นจึงไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์สามารถพำนักอยู่ได้ ทว่ามนุษย์ยืนกรานในความอยากของเขาที่จะไปที่นั่น  พฤติกรรมนี้ควรเรียกว่าอะไร?  นี่เป็นการทำลายตัวเองเช่นกัน  ดวงจันทร์เป็นสถานที่ที่ไม่มีอากาศ และอุณหภูมิที่นั่นก็ไม่เหมาะกับความอยู่รอดของมนุษย์—ดังนั้นจึงไม่ใช่สถานที่ที่พระเจ้าทรงกันไว้ให้มนุษย์

หัวข้อของพวกเราเมื่อตะกี้นี้ อุณหภูมิ เป็นบางสิ่งที่ผู้คนเผชิญในชีวิตประจำวันของพวกเขา  อุณหภูมิเป็นบางสิ่งที่ร่างกายมนุษย์ทั้งปวงสามารถสำนึกรับรู้ได้ แต่ไม่มีผู้ใดเลยที่คิดว่าอุณหภูมิเกิดขึ้นอย่างไร หรือใครเป็นผู้กำกับดูแลอุณหภูมิและควบคุมอุณหภูมิจนถึงระดับที่มันเหมาะสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์  นี่คือสิ่งที่พวกเรากำลังเรียนรู้ในขณะนี้  ภายในการนี้มีพระปัญญาของพระเจ้าอยู่หรือไม่?  ภายในการนี้ มีการกระทำของพระเจ้าอยู่หรือไม่?  (มี)  เมื่อพิจารณาว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างสภาพแวดล้อมพร้อมด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์ นี่เป็นหนึ่งในหนทางทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่งใช่หรือไม่?  นั่นเป็น

3. เสียง

สิ่งที่สามคืออะไร?  มันก็เป็นบางสิ่งที่เป็นส่วนจำเป็นอย่างยิ่งของสภาพแวดล้อมปกติของการดำรงอยู่ของมนุษย์ บางสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจำเป็นต้องทำการจัดการเตรียมการเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งด้วยเช่นกัน  มันสำคัญมากต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์ทุกๆ คน  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงดูแลสิ่งนี้ มันก็คงจะได้มีการแทรกแซงความอยู่รอดของมวลมนุษย์อย่างใหญ่หลวง ซึ่งหมายความว่า มันคงจะได้ส่งผลกระทบซึ่งมีนัยสำคัญต่อชีวิตของมนุษย์และกายฝ่ายเนื้อหนังของเขามากเสียจนมวลมนุษย์คงจะไม่ได้มีความสามารถที่จะอยู่รอดในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น  อาจพูดได้ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดจะสามารถอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น  ดังนั้น สิ่งที่เราพูดถึงนี้คืออะไร?  เรากำลังพูดเกี่ยวกับเสียง  พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างดำรงชีวิตอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  สิ่งทั้งหลายทั้งปวงแห่งการทรงสร้างของพระเจ้ากำลังดำรงชีวิตและกำลังพลิกหมุนอยู่ในการเคลื่อนที่ต่อเนื่องภายในสายพระเนตรของพระองค์  โดยการนี้ เราหมายความว่า แต่ละสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมีคุณค่าและความหมายในการดำรงอยู่ของมัน นั่นคือ มีบางสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของทุกๆ สิ่ง  ในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่ละสิ่งนั้นมีชีวิต และในเมื่อทุกสรรพสิ่งนั้นมีชีวิต แต่ละสิ่งเหล่านี้จึงให้กำเนิดเสียง  ยกตัวอย่างเช่น แผ่นดินโลกกำลังหมุนอย่างต่อเนื่อง ดวงอาทิตย์กำลังหมุนอย่างต่อเนื่อง และดวงจันทร์ก็กำลังหมุนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  ในขณะที่ทุกสรรพสิ่งแพร่พันธุ์ พัฒนา และเคลื่อนที่ พวกมันก็กำลังส่งกระจายเสียงอย่างต่อเนื่อง  สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจากการทรงสร้างของพระเจ้าที่ดำรงอยู่บนแผ่นดินโลก ล้วนมีการแพร่พันธุ์ การพัฒนา และการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง  ตัวอย่างเช่น ฐานของภูเขากำลังเคลื่อนตัวและขยับตำแหน่ง และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในห้วงลึกของทะเลกำลังว่ายน้ำและเคลื่อนที่ไปมา  นี่หมายความว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ทุกสรรพสิ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า กำลังเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องเป็นปกติประจำโดยสอดคล้องกับแบบแผนที่ได้สถาปนาไว้แล้ว  ดังนั้น สิ่งใดหรือ ที่ถูกทำให้มีขึ้นมาโดยสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดซึ่งแพร่พันธุ์และพัฒนาอยู่ในความมืดและเคลื่อนไหวอยู่อย่างลับๆ?  เสียง—เสียงที่ยิ่งใหญ่ทรงพลัง  นอกเหนือจากดาวเคราะห์โลกแล้ว ดาวเคราะห์ทุกประเภทก็มีการเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องเช่นกัน และสิ่งมีชีวิตและจุลชีพทั้งหลายบนดาวเคราะห์เหล่านี้ก็กำลังแพร่พันธุ์ กำลังพัฒนา และกำลังเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  นั่นก็คือ ทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตและที่ไม่มีชีวิตกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องในสายพระเนตรของพระเจ้า และในขณะที่สิ่งเหล่านั้นทำเช่นนั้น สิ่งเหล่านั้นแต่ละสิ่งก็กำลังส่งเสียงออกมา  พระเจ้าได้ทรงทำการจัดการเตรียมการสำหรับเสียงเหล่านี้เช่นกัน และเราเชื่อว่าพวกเจ้ารู้เหตุผลของพระองค์สำหรับการนี้แล้วใช่หรือไม่?  เมื่อเจ้าเข้าไปใกล้เครื่องบินลำหนึ่ง เสียงคำรามของเครื่องยนต์มีผลกระทบอะไรต่อเจ้า?  หากเจ้าอยู่ใกล้มันนานเกินไป หูของเจ้าก็จะหนวก  แล้วหัวใจของเจ้าล่ะ—จะมีความสามารถที่จะทานทนต่อความทุกข์ยากสาหัสเช่นนี้ได้หรือ?  ผู้คนบางคนซึ่งมีหัวใจอ่อนแอคงจะไม่สามารถ  แน่นอนว่าแม้แต่พวกที่มีหัวใจแข็งแกร่งก็จะไม่มีความสามารถที่จะทานทนได้นานเกินไป  กล่าวคือ ผลกระทบของเสียงต่อร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นกับหูหรือหัวใจ มีนัยสำคัญอย่างสุดขีดต่อมนุษย์ทุกคน และเสียงที่ดังเกินไปจะเป็นอันตรายต่อผู้คน  เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมา และหลังจากที่ทุกสรรพสิ่งได้เริ่มต้นทำหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงทำการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมสำหรับเสียงเหล่านี้ เสียงทั้งหลายของทุกสรรพสิ่งที่กำลังเคลื่อนที่  นี่ก็เป็นหนึ่งในประเด็นปัญหาทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงจำเป็นต้องพิจารณาเมื่อทรงสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับมวลมนุษย์

ก่อนอื่น ความสูงของชั้นบรรยากาศเหนือพื้นผิวของแผ่นดินโลกมีผลกระทบต่อเสียง  นอกจากนี้ขนาดของช่องว่างในดินก็จะบงการและส่งผลกระทบต่อเสียงเช่นกัน  แล้วก็ยังมีสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันหลากหลาย ซึ่งการมาบรรจบกันของพวกมันนั้น ส่งผลกระทบต่อเสียงด้วยเช่นกัน  กล่าวคือ พระเจ้าทรงใช้วิธีการเฉพาะที่จะกำจัดเสียงบางเสียง เพื่อที่มนุษย์จะได้อยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่หูและหัวใจของพวกเขาสามารถทานทนได้  มิฉะนั้น เสียงก็จะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อความอยู่รอดของมนุษย์ กลายเป็นสิ่งรบกวนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของพวกเขาและก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงสำหรับพวกเขา  นี่หมายความว่า พระเจ้าได้ทรงพิถีพิถันมากในการทรงสร้างแผ่นดิน ชั้นบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์หลากหลายประเภทของพระองค์ และที่บรรจุอยู่ภายในสิ่งเหล่านี้แต่ละสิ่ง ก็คือพระปัญญาของพระเจ้า  ความเข้าใจของมวลมนุษย์ในการนี้ไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดมากเกินไปนัก—การที่ผู้คนรู้ว่าในนั้นมีการกระทำของพระเจ้าบรรจุอยู่ก็เพียงพอแล้ว  ทีนี้พวกเจ้าจงบอกเราทีเถิดว่า พระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำนี้—การปรับเทียบเสียงอย่างแม่นยำเพื่อที่จะธำรงรักษาสภาพแวดล้อมเพื่อการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์และชีวิตที่เป็นปกติของพวกเขา—จำเป็นหรือไม่?  (จำเป็น)  ในเมื่อพระราชกิจนี้จำเป็น เช่นนั้นแล้ว จากมุมมองนี้ จะสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงใช้พระราชกิจนี้เป็นหนทางหนึ่งที่จะจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่ง?  พระเจ้าได้ทรงสร้างสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบเช่นนี้เพื่อการจัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์ เพื่อให้ร่างกายมนุษย์สามารถดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติอย่างยิ่งอยู่ภายในนั้นได้ โดยไม่ต้องทนทุกข์กับการแทรกแซงอันใด และเพื่อที่มวลมนุษย์จะมีความสามารถที่จะดำรงอยู่และดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติได้  เช่นนั้นแล้ว นี่ไม่ใช่หนึ่งในหนทางทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่มนุษย์หรอกหรือ?  นี่ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญมากที่พระเจ้าได้ทรงทำหรอกหรือ?  (เป็น)  มีความต้องการที่จำเป็นอย่างมากสำหรับสิ่งนี้  ดังนั้นพวกเจ้าซาบซึ้งต่อสิ่งนี้อย่างไร?  แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่สามารถรู้สึกว่านี่คือการกระทำของพระเจ้า อีกทั้งพวกเจ้าไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงปฏิบัติการกระทำนี้อย่างไร ณ กาลสมัยนั้น เจ้ายังคงสามารถสำนึกรับรู้ความจำเป็นของการที่พระเจ้าได้ทรงทำสิ่งนี้ได้หรือไม่?  เจ้าสามารถรู้สึกถึงพระปัญญาของพระเจ้า กับความห่วงใยและพระดำริที่พระองค์ได้ทรงใส่ลงไปในนั้นหรือไม่?  (ใช่ พวกเราสามารถ)  หากพวกเจ้ามีความสามารถที่จะรู้สึกถึงการนี้ เช่นนั้น นั่นก็เพียงพอแล้ว  มีการกระทำมากมายที่พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติท่ามกลางสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงสร้างซึ่งผู้คนไม่สามารถรู้สึกหรือมองเห็น  เรายกการนี้ขึ้นมาพูดก็เพียงเพื่อแจ้งให้พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายของพระเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจมารู้จักพระเจ้า เหล่านี้คือเบาะแสทั้งหลายที่สามารถทำให้พวกเจ้าสามารถรู้จักและเข้าใจพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น

4. แสง

สิ่งที่สี่นั้นเกี่ยวข้องกับดวงตาของผู้คน นั่นก็คือ แสง  นี่ก็สำคัญมากเช่นกัน  เมื่อเจ้าเห็นแสงจ้าและความจ้าของแสงนั้นไปถึงความแรงกล้าเฉพาะในระดับหนึ่ง มันก็จะสามารถทำให้ดวงตามนุษย์บอดได้  จะว่าไปแล้วดวงตามนุษย์เป็นดวงตาแห่งเนื้อหนัง  ตามนุษย์ไม่สามารถทนทานต่อการระคายเคืองได้  มีผู้ใดกล้าจ้องมองเข้าไปในดวงอาทิตย์ตรงๆ หรือไม่?  ผู้คนบางคนได้ลองดูแล้ว และหากพวกเขากำลังสวมแว่นกันแดดอยู่ มันก็ทำงานได้ดีทีเดียว—แต่นั่นพึงต้องมีการใช้เครื่องมือ  หากปราศจากเครื่องมือ ดวงตาเปลือยเปล่าของมนุษย์ย่อมไม่มีความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับดวงอาทิตย์และจ้องมองดวงอาทิตย์โดยตรงได้  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงอาทิตย์ขึ้นมาเพื่อนำแสงมาสู่มวลมนุษย์ และแสงนี้ก็เป็นบางสิ่งที่พระองค์ได้ทรงดูแลด้วยเช่นกัน  พระเจ้าไม่เพียงได้ทรงสร้างดวงอาทิตย์จนเสร็จ วางดวงอาทิตย์ไว้ที่ใดสักแห่ง แล้วก็เพิกเฉยต่อมัน นั่นไม่ใช่วิธีที่พระเจ้าทรงทำสิ่งทั้งหลาย  พระองค์ทรงระมัดระวังอย่างยิ่งในการกระทำของพระองค์ และทรงดำริการกระทำทั้งหลายอย่างถ้วนทั่ว  พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงตาให้แก่มวลมนุษย์เพื่อที่พวกเขาอาจมองเห็น และพระองค์ได้ทรงกำหนดค่าตัวแปรจำกัดทั้งหลายของแสงซึ่งมนุษย์ใช้ในการมองเห็นสิ่งทั้งหลายไว้ล่วงหน้าอีกด้วย  คงจะไม่ดีแน่หากแสงสลัวเกินไป  เมื่อมันมืดเสียจนผู้คนไม่สามารถมองเห็นนิ้วมือของพวกเขาที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาได้ เช่นนั้นแล้วดวงตาของพวกเขาก็ย่อมได้สูญเสียการทำหน้าที่ของพวกมันไปและไม่ให้ประโยชน์อะไรเลย  แต่แสงที่จ้าเกินไปก็ส่งผลให้ดวงตามนุษย์ไร้ความสามารถพอกันในการที่จะมองเห็นสิ่งทั้งหลาย เพราะความสว่างจ้านั้นสุดที่จะทนได้  เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงประดับประดาสภาพแวดล้อมแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ด้วยแสงในจำนวนที่เหมาะสมสำหรับดวงตามนุษย์—จำนวนที่จะไม่ทำร้ายหรือทำลายดวงตาของผู้คน นับประสาอะไรที่จะทำให้ดวงตามนุษย์สูญเสียการทำหน้าที่ของพวกมัน  นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงเพิ่มชั้นเมฆรอบดวงอาทิตย์และแผ่นดินโลก และเหตุผลที่ความหนาแน่นของอากาศมีความสามารถอย่างถูกต้องเหมาะสมที่จะกรองแสงชนิดต่างๆ ซึ่งสามารถทำร้ายดวงตาหรือผิวหนังของผู้คนได้—เหล่านี้ได้สัดส่วนเหมาะสมกัน  นอกจากนี้สีสันทั้งหลายของแผ่นดินโลกที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น ก็ยังสะท้อนแสงอาทิตย์และแสงประเภทอื่นทั้งหมด และมีความสามารถที่จะกำจัดแสงจำพวกที่จ้าเกินกว่าที่ดวงตามนุษย์จะปรับเข้าหาได้  ดังนั้นผู้คนจึงมีความสามารถที่จะเดินอยู่ข้างนอกและดำเนินชีวิตของพวกเขาไปได้โดยไม่จำเป็นต้องสวมแว่นกันแดดอันมืดทึบอยู่เป็นนิตย์  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมปกตินั้น ดวงตามนุษย์สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายภายในลานสายตาของพวกเขาได้โดยไม่ถูกแสงรบกวน  กล่าวคือ คงจะไม่ดีแน่ หากแสงแยงตาเกินไปหรือหากแสงสลัวเกินไป  หากแสงสลัวเกินไป ดวงตาของผู้คนก็จะได้รับความเสียหาย และหมดสภาพหลังจากการใช้งานระยะสั้น หากแสงจ้าเกินไป ดวงตาของผู้คนก็จะไม่มีความสามารถที่จะทานทนได้  แสงแท้จริงนี้ที่ผู้คนมีอยู่นั้น ต้องเหมาะสมสำหรับดวงตามนุษย์ที่จะมองเห็น และพระเจ้าได้ทรงลดความเสียหายที่แสงก่อให้เกิดต่อดวงตามนุษย์ให้เหลือน้อยที่สุดโดยผ่านทางวิธีการหลากหลาย และแม้ว่าแสงนี้อาจเป็นประโยชน์หรือเป็นภัยต่อดวงตามนุษย์ แต่มันก็เพียงพอที่จะให้ผู้คนไปถึงปลายทางแห่งชีวิตของพวกเขาในขณะที่ยังคงธำรงการใช้งานดวงตาของพวกเขาอยู่  พระเจ้าไม่ได้ทรงได้พิจารณาการนี้อย่างถ้วนทั่วแล้วหรอกหรือ?  กระนั้นมารซาตานก็ยังปฏิบัติตัวโดยไม่เคยได้มีการพิจารณาเช่นนั้นทะลุผ่านไปถึงจิตใจของมันเลย  กับซาตานแล้ว แสงนั้น ถ้าไม่จ้าเกินไปก็สลัวเกินไปเสมอ  นี่คือวิธีที่ซาตานปฏิบัติตัว

พระเจ้าได้ทรงทำสิ่งเหล่านี้กับทุกด้านของร่างกายมนุษย์—กับการมองเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การหายใจ ความรู้สึก และอื่นๆ—เพื่อที่จะเพิ่มความสามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ให้สูงที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติและทำเช่นนั้นต่อไปได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สภาพแวดล้อมปัจจุบันที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นเพื่อชีวิตนั้น เป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ที่สุดต่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์  ผู้คนบางคนอาจคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนักหนา ว่าเป็นสิ่งธรรมดามากที่สุดสิ่งหนึ่ง  เสียง แสง และอากาศเป็นสิ่งที่ผู้คนรู้สึกว่าเป็นสิทธิแต่กำเนิดของพวกเขาซึ่งพวกเขาได้ชื่นชมมาตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาเกิด  แต่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ซึ่งเจ้ามีความสามารถที่จะชื่นชม พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจอยู่ นี่คือบางสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องเข้าใจ บางสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือรู้จักสิ่งเหล่านี้หรือไม่ โดยสังเขปแล้ว เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา พระองค์ได้ทรงดำริมากมายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น พระองค์ได้ทรงมีแผนการ พระองค์ได้ทรงมีแนวคิดเฉพาะบางอย่าง  พระองค์ไม่ทรงวางมวลมนุษย์ไว้ในสภาพแวดล้อมสำหรับชีวิตเช่นนั้นอย่างขอไปทีหรืออย่างง่ายๆ โดยปราศจากพระดำริอันใดในเรื่องนี้  พวกเจ้าอาจคิดว่าเราได้พูดเกี่ยวกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้แต่ละอย่างอย่างคุยโวเกินไป แต่ในทรรศนะของเรา แต่ละสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้แก่มนุษย์นั้น จำเป็นต่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ  มีการกระทำของพระเจ้าอยู่ในการนี้

5. กระแสลม

สิ่งที่ห้าคืออะไร?  สิ่งนี้เกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับชีวิตของแต่ละบุคคลในแต่ละวัน  ความสัมพันธ์ของสิ่งนี้กับชีวิตมนุษย์ใกล้ชิดมากเสียจนร่างกายมนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกเชิงวัตถุนี้ได้หากปราศจากมัน  สิ่งนี้คือกระแสลมนั่นเอง  ลางทีไม่ว่าใครก็สามารถเข้าใจคำนามว่า “กระแสลม” ได้ แม้เพิ่งเคยได้ยินคำนี้  ดังนั้นกระแสลมคืออะไรหรือ?  เจ้าสามารถพูดได้ว่า “กระแสลม” เป็นเพียงความเคลื่อนไหวที่ไหลเลื่อนไปของอากาศ  กระแสลมเป็นลมที่ดวงตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้  มันยังเป็นหนทางหนึ่งที่ก๊าซทั้งหลายเคลื่อนที่ด้วย  กระนั้นในการพูดคุยนี้ ในเบื้องต้นแล้ว “กระแสลม” อ้างอิงถึงอะไรเล่า?  ทันทีที่เราพูด พวกเจ้าจะเข้าใจ  แผ่นดินโลกบรรทุกภูเขา ทะเลและสรรพสิ่งทั้งปวงแห่งการทรงสร้างไปด้วยเมื่อมันหมุน และเมื่อมันหมุน มันก็หมุนด้วยความเร็ว  แม้ว่าเจ้าจะไม่รู้สึกถึงการปั่นหมุนนี้แต่อย่างใด การหมุนรอบตัวของแผ่นดินโลกก็ยังดำรงอยู่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม  การหมุนรอบตัวของแผ่นดินโลกก่อให้เกิดสิ่งใดหรือ?  เมื่อเจ้าวิ่ง ลมไม่เกิดขึ้นและแล่นวูบผ่านหูของเจ้าไปหรอกหรือ?  หากลมสามารถกำเนิดออกมาได้ยามที่เจ้าวิ่ง จะไม่สามารถมีลมเมื่อแผ่นดินโลกหมุนรอบตัวได้อย่างไร?  เมื่อแผ่นดินโลกหมุนรอบตัว ทุกสรรพสิ่งก็อยู่ในการเคลื่อนที่  แผ่นดินโลกเองกำลังอยู่ในการเคลื่อนที่และหมุนรอบตัวด้วยความเร็วเฉพาะ ในขณะที่ทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลกก็กำลังแพร่พันธุ์และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเฉพาะจะทำให้เกิดกระแสลมโดยธรรมชาติ  นี่คือสิ่งที่เราให้ความหมาย “กระแสลม”  กระแสลมนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ในขอบข่ายหนึ่งหรอกหรือ?  ลองพิจารณาพายุไต้ฝุ่นดูสิว่า พายุไต้ฝุ่นปกติไม่มีพลังเป็นพิเศษ แต่เมื่อพวกมันซัดกระหน่ำ ผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะยืนได้อย่างคงที่ไม่สั่นคลอน และมันยากเย็นที่พวกเขาจะเดินในลม  แม้แต่ก้าวเดียวก็ลำบากยากเข็ญแล้ว และผู้คนบางคนอาจถึงกับถูกลมดันไปอัดติดกับบางสิ่งบางอย่างโดยไร้ความสามารถที่จะขยับได้  นี่คือหนึ่งในหนทางทั้งหลายที่กระแสลมสามารถส่งผลกระทบต่อมวลมนุษย์ได้  หากทั้งแผ่นดินโลกถูกปกคลุมด้วยที่ราบ เช่นนั้นแล้วเมื่อโลกและทุกสรรพสิ่งหมุนรอบตัว ร่างกายมนุษย์ก็คงจะไม่มีความสามารถที่จะทานทนได้โดยสิ้นเชิงต่อกระแสลมที่ถูกผลิตขึ้นจากการนั้น  มันจะลำบากยากเย็นสุดขั้วที่จะตอบโต้สถานการณ์เช่นนั้น  หากเป็นเช่นนั้นจริง กระแสลมเช่นนี้คงจะไม่เพียงแค่นำอันตรายมาสู่มวลมนุษย์ แต่จะนำมาซึ่งการทำลายล้างโดยสมบูรณ์  มนุษย์คงจะไม่มีความสามารถที่จะอยู่รอดในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น  นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงสร้างสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันเพื่อแก้ปัญหากระแสลมเช่นนั้น—ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันกระแสลมจะอ่อนตัวลง เปลี่ยนทิศทางของพวกมัน เปลี่ยนความเร็วของพวกมัน และเปลี่ยนกำลังของพวกมัน  นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนสามารถมองเห็นลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน เช่นภูเขา เทือกเขาขนาดใหญ่ ที่ราบ เนินเขา ลุ่มน้ำ หุบเขา ที่ราบสูง และแม่น้ำสายใหญ่  ด้วยคุณสมบัติพิเศษทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันเหล่านี้ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนความเร็ว ทิศทาง และกำลังของกระแสลม  นี่คือวิธีการที่พระองค์ทรงใช้เพื่อลดหรือบงการกระแสลมให้เป็นลมที่มีความเร็ว ทิศทาง และกำลังที่เหมาะสม เพื่อให้มนุษย์มีสภาพแวดล้อมปกติที่จะดำรงชีวิตอยู่ในนั้นได้  มีความจำเป็นที่ต้องมีการนี้หรือไม่?  (มี)  การทำบางสิ่งเช่นนี้ดูเหมือนจะลำบากยากเย็นสำหรับมนุษย์ แต่เป็นเรื่องง่ายสำหรับพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงสังเกตการณ์ทุกสรรพสิ่ง  สำหรับพระองค์แล้ว การสร้างสภาพแวดล้อมที่มีกระแสลมซึ่งเหมาะสมสำหรับมนุษย์ไม่สามารถเรียบง่ายหรือง่ายดายไปกว่านี้อีกแล้ว  เพราะฉะนั้นในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงสร้างเช่นนี้ แต่ละสิ่งภายในการทรงสร้างทั้งหมดของพระองค์จึงมิอาจขาดไปได้  การดำรงอยู่ของทุกๆ สิ่งนั้นมีคุณค่าและความจำเป็น  อย่างไรก็ตามซาตานหรือมนุษย์ซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามแล้วนั้นไม่เข้าใจหลักธรรมนี้  พวกเขายังคงทำลายและพัฒนาและหาประโยชน์ต่อไป ด้วยความฝันอันสูญเปล่าที่จะแปรสภาพภูเขาให้กลายเป็นพื้นที่ราบ ถมหุบผาชันให้เต็มและสร้างตึกระฟ้าบนพื้นที่ราบเพื่อสร้างป่าคอนกรีต  เป็นความหวังของพระเจ้าว่ามวลมนุษย์จะสามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุข เติบโตอย่างมีความสุข และใช้แต่ละวันอย่างมีความสุขในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดนี้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงตระเตรียมไว้ให้พวกเขา  นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าไม่เคยได้ทรงประมาทในวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่  จากอุณหภูมิถึงอากาศ จากเสียงถึงแสง พระเจ้าได้ทรงทำแผนการและการจัดการเตรียมการที่สลับซับซ้อนเพื่อที่ร่างกายของพวกมนุษย์และสภาพแวดล้อมเพื่อการมีชีวิตของพวกเขาจะไม่อยู่ภายใต้การแทรกแซงอันใดจากสภาพเงื่อนไขทางธรรมชาติทั้งหลาย และเพื่อที่มวลมนุษย์จะมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตและเพิ่มทวีคูณตามปกติ และดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติกับทุกสรรพสิ่งในการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนแทน  พระเจ้าทรงจัดเตรียมทั้งหมดนี้ให้แก่ทุกสรรพสิ่งและให้แก่มวลมนุษย์

ในหนทางที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสภาพเงื่อนไขพื้นฐานทั้งห้านี้เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ เจ้าสามารถมองเห็นวิธีที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์หรือไม่?  (เห็น)  กล่าวคือ พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างสภาพเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดทั้งหมดสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์ และพระเจ้าก็กำลังทรงบริหารจัดการและควบคุมสิ่งเหล่านี้อยู่ด้วยเช่นกัน แม้แต่ในตอนนี้หลังจากที่มนุษย์ได้ดำรงอยู่มาหลายพันปีแล้ว พระเจ้าก็ยังคงกำลังทรงทำการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อการดำรงชีวิตของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง อันเป็นการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่ดีและเหมาะสมที่สุดให้แก่พวกเขาเพื่อให้ชีวิตของพวกเขาสามารถได้รับการธำรงรักษาไว้ได้ในหนทางปกติ  สถานการณ์เช่นนั้นจะได้รับการธำรงรักษาไว้ได้นานเท่าใดเล่า?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าจะยังทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเช่นนี้ต่อไปได้อีกนานเท่าใดกัน?  สิ่งนี้จะยืนยาวจนกระทั่งพระเจ้าทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์อย่างครบถ้วน  จากนั้นพระเจ้าก็จะทรงเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเพื่อการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์  อาจจะเป็นว่าพระองค์จะทรงทำการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ด้วยวิธีการเดียวกัน หรืออาจจะเป็นด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไป  แต่สิ่งที่ผู้คนต้องรู้ในตอนนี้ก็คือพระเจ้ากำลังทรงจัดเตรียมสิ่งที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมี กำลังบริหารจัดการสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ และกำลังทรงคุ้มครอง กำลังทรงอารักขาและทรงธำรงรักษาสภาพแวดล้อมนั้นอยู่อย่างต่อเนื่อง  ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตในลักษณะที่เป็นปกติและยอมรับความรอดและการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าได้  ทุกสรรพสิ่งอยู่รอดต่อไปเพราะอธิปไตยของพระเจ้า และมวลมนุษย์ทั้งปวงจึงเคลื่อนไปข้างหน้าต่อไปก็เพราะการจัดเตรียมทั้งหลายเช่นนั้นจากพระเจ้า

ส่วนสุดท้ายนี้ของการสามัคคีธรรมของพวกเราได้นำความคิดใหม่ๆ มาให้พวกเจ้าบ้างหรือไม่?  บัดนี้พวกเจ้าได้กลายเป็นตระหนักรู้ถึงความแตกต่างอันยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์แล้วหรือไม่?  ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้ใดหรือที่เป็นเจ้านายของทุกสรรพสิ่ง?  เป็นมนุษย์หรือ?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วอะไรเล่าคือความแตกต่างระหว่างวิธีที่พระเจ้าและมนุษย์ปฏิบัติต่อสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง?  (พระเจ้าทรงปกครองและทรงจัดการเตรียมการทุกสรรพสิ่ง ในขณะที่มนุษย์ชื่นชมสิ่งเหล่านั้น)  พวกเจ้าเห็นด้วยกับการนี้หรือไม่?  ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์ก็คือการที่พระเจ้าทรงปกครองและจัดเตรียมให้แก่สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง  พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง และในขณะที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง มวลมนุษย์ก็ชื่นชมทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้น  กล่าวคือ มนุษย์ชื่นชมสรรพสิ่งทั้งปวงแห่งการทรงสร้างเมื่อเขายอมรับชีวิตที่พระเจ้าประทานให้แก่ทุกสรรพสิ่ง  พระเจ้าทรงเป็นองค์อธิปัตย์ และมวลมนุษย์ชื่นชมดอกผลของการที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง  เช่นนั้นแล้วจากมุมมองของสรรพสิ่งทั้งมวลแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า สิ่งใดหรือ คือความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์?  พระเจ้าสามารถมองเห็นกฎทั้งหลายแห่งวิธีที่ทุกสรรพสิ่งเติบโตได้อย่างชัดเจน และพระองค์ทรงควบคุมและมีอำนาจครอบครองอยู่เหนือกฎเหล่านี้  นั่นคือ ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายในสายพระเนตรของพระเจ้าและภายในวงเขตแห่งการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์  มวลมนุษย์สามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้หรือ?  สิ่งที่มวลมนุษย์สามารถมองเห็นได้ถูกจำกัดอยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาโดยตรง  หากเจ้าปีนขึ้นภูเขา เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้ามองเห็นก็คือภูเขานั้นเท่านั้น  เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาได้  หากเจ้าไปที่ชายฝั่ง สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงด้านหนึ่งของมหาสมุทร และเจ้าไม่สามารถรู้ได้ว่าอีกด้านของมหาสมุทรเป็นเหมือนอะไร  หากเจ้าเข้าไปในป่าไม้เจ้าจะสามารถมองเห็นพืชพรรณที่อยู่เบื้องหน้าเจ้าและรอบๆ เจ้า แต่เจ้าไม่สามารถเห็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไกลออกไปข้างหน้า  มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นสถานที่ที่สูงกว่า ไกลกว่า ลึกกว่าได้  ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้คือสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาโดยตรง ภายในลานสายตาของพวกเขา  ต่อให้มนุษย์จะรู้จักกฎที่บงการฤดูกาลทั้งสี่ของปี หรือกฎทั้งหลายแห่งวิธีที่ทุกสรรพสิ่งเติบโต พวกเขาก็ยังคงไร้ความสามารถที่จะบริหารจัดการหรือบงการทุกสรรพสิ่งได้  กระนั้นหนทางที่พระเจ้าทรงมองเห็นสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวงเป็นเช่นเดียวกับที่พระองค์จะทรงมองเห็นเครื่องจักรที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เองไม่มีผิด  พระองค์ทรงคุ้นเคยอย่างลึกซึ้งกับทุกส่วนประกอบและทุกการเชื่อมต่อ สิ่งที่เป็นหลักการของสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่เป็นแบบแผนของสิ่งเหล่านั้น และสิ่งที่เป็นจุดประสงค์ของสิ่งเหล่านั้น—พระเจ้าทรงรู้ทั้งหมดนี้ด้วยความกระจ่างแจ้งในระดับสูงสุด  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเป็นพระเจ้า และมนุษย์ก็คือมนุษย์!  แม้ว่ามนุษย์อาจลงลึกในการศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์ของเขาและกฎทั้งหลายที่ปกครองทุกสรรพสิ่ง แต่การศึกษาวิจัยนั้นมีวงเขตที่จำกัด ในขณะที่พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งสำหรับมนุษย์แล้วเป็นการควบคุมที่เป็นอนันต์  มนุษย์ผู้หนึ่งอาจสามารถใช้เวลาทั้งชีวิตทำการศึกษาวิจัยกิจการที่เล็กที่สุดของพระเจ้าโดยไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์แท้จริงอันใด  นี่คือเหตุผลที่เจ้าจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะรู้จักพระเจ้าหรือเข้าใจพระองค์ได้หากเจ้าใช้แค่ความรู้และสิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้เพื่อศึกษาพระเจ้า  แต่หากเจ้าเลือกวิธีแห่งการแสวงหาความจริงและแสวงหาพระเจ้า และมองดูพระเจ้าจากมุมมองแห่งการมารู้จักพระองค์ เช่นนั้นแล้วสักวันหนึ่งเจ้าจะระลึกได้ว่า การกระทำของพระเจ้าอยู่ทุกแห่งหนและพระปรีชาญาณของพระเจ้าอยู่ทุกแห่งหนในเวลาเดียวกัน และเจ้าจะรู้เหตุผลที่พระเจ้าทรงได้รับการเรียกขานว่าองค์อธิปัตย์แห่งสรรพสิ่งและแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง  ยิ่งเจ้าได้รับความเข้าใจเช่นนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งเข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงได้รับการเรียกขานว่าองค์อธิปัตย์แห่งสรรพสิ่ง  สรรพสิ่งและทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งตัวเจ้า กำลังได้รับการจัดเตรียมของพระเจ้าที่หลั่งไหลแบบคงเส้นคงวาอยู่เป็นนิตย์  เจ้าจะสามารถสำนึกรับรู้ได้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่า ในโลกนี้และท่ามกลางมวลมนุษย์นี้ ไม่มีผู้ใดเลยนอกเหนือจากพระเจ้าที่จะสามารถมีความสามารถและแก่นแท้ที่พระองค์ทรงใช้ปกครอง บริหารจัดการ และธำรงรักษาการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่ง  เมื่อเจ้าไปถึงความเข้าใจนี้ เจ้าก็จะระลึกได้อย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า  เมื่อเจ้าไปถึงจุดนี้ เจ้าย่อมจะได้ยอมรับพระเจ้าอย่างแท้จริงและได้ให้โอกาสพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเจ้าและองค์อธิปัตย์ของเจ้าแล้ว  เมื่อเจ้าได้รับความเข้าใจเช่นนั้นแล้วและชีวิตของเจ้าได้ไปถึงจุดดังกล่าวแล้ว พระเจ้าก็จะไม่ทรงทดสอบเจ้าและพิพากษาเจ้าอีกต่อไป อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงทำการเรียกร้องอันใดจากเจ้า เพราะเจ้าจะเข้าใจพระเจ้า จะรู้จักพระหฤทัยของพระองค์ และจะได้ยอมรับพระเจ้าอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้าแล้ว  นี่คือเหตุผลสำคัญในการสามัคคีธรรมในหัวข้อเหล่านี้เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงมีอำนาจครอบครองและทรงบริหารจัดการทุกสรรพสิ่ง  การทำเช่นนี้หมายที่จะให้ความรู้และความเข้าใจมากขึ้นแก่ผู้คน—ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เจ้ายอมรับรู้ แต่เพื่อให้เจ้ารู้จักและเข้าใจการกระทำทั้งหลายของพระเจ้าในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น

อาหารและเครื่องดื่มประจำวันที่พระเจ้าทรงตระเตรียมให้แก่มวลมนุษย์

เมื่อตะกี้นี้พวกเราเพิ่งพูดเกี่ยวกับส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาพเงื่อนไขทั้งหลายที่จำเป็นต่อความอยู่รอดของมนุษย์ที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้เมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างโลก  พวกเราได้พูดเกี่ยวกับห้าสิ่ง ห้าองค์ประกอบของสภาพแวดล้อม  หัวข้อถัดไปของพวกเรามีความเกี่ยวโยงอย่างแนบแน่นกับชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ทุกคน และตรงประเด็นกับชีวิตนั้นมากกว่าและเป็นการลุล่วงสภาพเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมีได้มากกว่าห้าองค์ประกอบก่อนหน้า  กล่าวคือ อาหารที่ผู้คนกินนั่นเอง  พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์และวางเขาไว้ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับชีวิต หลังจากนั้นมนุษย์ก็ได้ต้องการอาหารและน้ำ  มนุษย์ได้มีความต้องการที่จำเป็นนี้ ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงทำการตระเตรียมที่สอดคล้องกันสำหรับเขา  เพราะฉะนั้นแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าและแต่ละสิ่งที่พระองค์ทรงทำไม่ใช่พระวจนะอันไร้แก่นสารซึ่งกำลังถูกตรัส แต่เป็นการกระทำอันเป็นจริงซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่กำลังทรงทำอยู่  อาหารไม่ใช่สิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของผู้คนหรอกหรือ?  อาหารสำคัญกว่าอากาศหรือไม่?  ทั้งสองสิ่งสำคัญเท่ากัน  ทั้งสองสิ่งเป็นสภาพเงื่อนไขและสสารที่จำเป็นสำหรับความอยู่รอดของมวลมนุษย์และสำหรับการคุ้มภัยให้กับการดำเนินต่อไปของชีวิตมนุษย์  สิ่งใดสำคัญกว่ากัน—อากาศหรือน้ำ?  อุณหภูมิหรืออาหาร?  สิ่งเหล่านี้ล้วนสำคัญเท่ากัน  ผู้คนไม่สามารถเลือกระหว่างพวกมันเพราะพวกเขาไม่สามารถอยู่โดยปราศจากสิ่งใดในสิ่งเหล่านี้ได้  นี่เป็นประเด็นปัญหาอันเป็นจริงซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่ใช่ประเด็นปัญหาของการที่เจ้าต้องเลือกระหว่างสิ่งทั้งหลาย  เจ้าไม่รู้ แต่พระเจ้าทรงรู้  เมื่อเจ้าเห็นอาหารเจ้าคิดว่า “ฉันไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีอาหาร!”  แต่ทันทีหลังจากเจ้าได้ถูกสร้างขึ้นมา เจ้าได้รู้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการอาหาร?  เจ้าไม่ได้รู้ แต่พระเจ้าได้ทรงรู้  ต่อเมื่อเจ้าเกิดหิวขึ้นมา และเห็นผลไม้บนต้นไม้และเมล็ดธัญพืชบนพื้นดินสำหรับให้เจ้ากินเท่านั้นเอง เจ้าจึงได้ตระหนักว่าเจ้าต้องการอาหาร  ต่อเมื่อเจ้าเกิดกระหายน้ำขึ้นมาและสายตาไพล่ไปเห็นน้ำพุธรรมชาติ—เมื่อเจ้าได้ดื่มแล้วเท่านั้น เจ้าจึงได้ตระหนักว่าเจ้าต้องการน้ำ  พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมน้ำไว้ล่วงหน้าสำหรับมวลมนุษย์  ไม่สำคัญว่าคนเราจะกินสามมื้อหรือสองมื้อต่อวัน หรือแม้จะมากกว่านั้น โดยสังเขปแล้วอาหารก็คือบางสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับมนุษย์ในชีวิตประจำวันของพวกเขา  อาหารเป็นหนึ่งในสิ่งทั้งหลายที่จำเป็นต่อการธำรงรักษาความอยู่รอดตามปกติแบบต่อเนื่องของร่างกายมนุษย์  ดังนั้นแล้ว อาหารส่วนใหญ่มาจากที่ใดกัน?  แรกที่สุด อาหารมาจากดิน  พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมดินไว้ล่วงหน้าสำหรับมวลมนุษย์ และเหมาะสำหรับความอยู่รอดของพืชมากมายหลายประเภท ไม่เพียงแค่ต้นไม้หรือต้นหญ้า  พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมเมล็ดพันธุ์ของเมล็ดธัญพืชทุกประเภทและเมล็ดพันธุ์ของอาหารอื่นๆ สารพัดไว้สำหรับมวลมนุษย์ และพระองค์ได้ทรงให้ดินและแผ่นดินที่เหมาะสมแก่มวลมนุษย์เพื่อหว่านเพาะ และมวลมนุษย์จึงได้รับอาหารด้วยสิ่งเหล่านี้  อาหารหลากหลายประเภทนั้นคืออะไรบ้าง?  พวกเจ้าอาจรู้อยู่แล้วก็เป็นได้  แรกที่สุดก็มีเมล็ดธัญพืชอันหลากหลาย  เมล็ดธัญพืชประเภทต่างๆ มีอะไรบ้าง?  ข้าวสาลี ข้าวฟ่างหางหมา ลูกเดือย ข้าวฟ่างไม้กวาด และเมล็ดธัญพืชกะเทาะเปลือกชนิดอื่นๆ  ธัญญาหารก็มากันในทุกจำพวกด้วยเช่นกัน ด้วยสารพัดพันธุ์ที่แตกต่างกันจากภาคใต้จรดภาคเหนือ นั่นคือ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต บัควีต และอื่นๆ  สายพันธุ์ที่แตกต่างกันเหมาะสำหรับการเพาะปลูกในภูมิภาคที่แตกต่างกัน  ยังมีข้าวหลากหลายประเภทอีกด้วย  ภาคใต้มีพันธุ์ต่างๆ ของตัวเองซึ่งเป็นเมล็ดธัญพืชที่มีลักษณะยาวกว่าและเหมาะกับผู้คนจากภาคใต้เพราะภูมิอากาศทางนั้นร้อนกว่า หมายความว่าผู้คนท้องถิ่นต้องกินพันธุ์ต่างๆ อาทิ ข้าวอินดิกาซึ่งไม่เหนียวเกินไป  ข้าวของพวกเขาไม่อาจเหนียวจนเกินไปได้ มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาก็จะสูญเสียความอยากอาหารและไร้ความสามารถที่จะกลืนลงท้องไปได้  ชาวเหนือกินข้าวที่เหนียวกว่าเพราะภาคเหนือหนาวเย็นเสมอ ดังนั้นผู้คนที่นั่นต้องกินสิ่งต่างๆ ที่ยึดติดกันมากกว่า  ถัดไปยังมีถั่วเปลือกอ่อนมากมายหลายพันธุ์ที่เติบโตเหนือพื้นดินและผักมีหัวต่างๆ ที่เติบโตใต้ดินอีกด้วย อาทิ มันฝรั่ง มันเทศ เผือก และอื่นๆ อีกมากมาย  พวกมันฝรั่งเติบโตในภาคเหนือที่ซึ่งพวกมันมีคุณภาพสูงมาก  เมื่อผู้คนไม่มีเมล็ดธัญพืชให้กิน มันฝรั่งสามารถให้พวกเขากินเป็นอาหารหลักได้สามมื้อต่อวัน  มันฝรั่งยังสามารถใช้เป็นอาหารสำรองได้อีกด้วย  คุณภาพของมันเทศค่อนข้างด้อยกว่าของมันฝรั่ง แต่ก็ยังสามารถใช้เป็นอาหารหลักเพื่อให้ได้กินครบสามมื้อทุกวัน  ครั้นเมล็ดธัญพืชหายากขึ้น ผู้คนก็สามารถปัดเป่าความหิวไปได้ด้วยมันเทศ  เผือกซึ่งผู้คนในภาคใต้กินกันบ่อยๆ ก็สามารถนำไปใช้ในหนทางเดียวกันได้ และยังสามารถทำหน้าที่เป็นอาหารหลักได้ด้วยเช่นกัน  เหล่านี้คือพืชผลอันหลากหลายมากมายซึ่งเป็นส่วนจำเป็นของอาหารและเครื่องดื่มประจำวันของผู้คน  ผู้คนใช้เมล็ดธัญพืชสารพัดเพื่อทำขนมปัง หมั่นโถว บะหมี่ ข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว และสิ่งอื่นๆ  พระเจ้าได้ประทานเมล็ดธัญพืชอันหลากหลายเหล่านี้แก่มวลมนุษย์อย่างอุดม  เหตุผลที่มีหลายพันธุ์มากมายเหลือเกินนั้น เป็นเรื่องของพระประสงค์ของพระเจ้า นั่นก็คือ พันธุ์พืชเหล่านั้นเหมาะที่จะเติบโตในดินและภูมิอากาศที่แตกต่างกันของภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ในขณะที่สิ่งที่ประกอบและสิ่งที่บรรจุอยู่อันหลากหลายในพันธุ์พืชเหล่านั้นสอดรับกับสิ่งที่ประกอบและสิ่งที่บรรจุอยู่อันหลากหลายในร่างกายมนุษย์  ผู้คนสามารถธำรงรักษาสารอาหารและสสารต่างๆ ที่ร่างกายของพวกเขาพึงต้องมีได้ ก็โดยการกินเมล็ดธัญพืชเหล่านี้เท่านั้น  อาหารเหนือและอาหารใต้แตกต่างกัน แต่มีความคล้ายคลึงกันมากกว่าความแตกต่างกัน  ทั้งสองสามารถตอบสนองความต้องการที่จำเป็นตามปกติของร่างกายมนุษย์และสนับสนุนความอยู่รอดตามปกติของร่างกายมนุษย์ได้  ดังนั้นสายพันธุ์ที่ผลิตในแต่ละภูมิภาคนั้นมีความอุดมก็เพราะร่างกายทางกายภาพของมนุษย์จำเป็นต้องมีสิ่งที่อาหารซึ่งแตกต่างกันเหล่านี้จัดหามาให้—พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการจัดหามาให้โดยอาหารสารพันเหล่านี้ที่ปลูกขึ้นจากดินเพื่อค้ำชูการดำรงอยู่ตามปกติของร่างกาย เพื่อที่พวกเขาจะได้ดำเนินชีวิตมนุษย์ตามปกติ  โดยสังเขปแล้วพระเจ้าได้ทรงมีความคำนึงถึงอย่างมากต่อมวลมนุษย์  อาหารหลากหลายที่พระเจ้าได้ประทานแก่ผู้คนมิใช่ไม่หลากหลาย—ในทางตรงกันข้ามอาหารเหล่านี้คัดสรรผสมผสานมาจากหลากหลายแหล่งมากทีเดียว  หากผู้คนต้องการกินพวกธัญญาหาร พวกเขาก็สามารถได้กินธัญญาหาร  ผู้คนบางคนชอบข้าวเจ้ามากกว่าข้าวสาลี และหากไม่ชอบข้าวสาลีก็สามารถกินข้าวเจ้าได้  มีข้าวเจ้ามากมายหลายประเภท—เมล็ดยาว เมล็ดสั้น—และแต่ละประเภทสามารถตอบสนองความอยากอาหารของผู้คนได้  เพราะฉะนั้นหากผู้คนกินเมล็ดธัญพืชเหล่านี้—ตราบเท่าที่พวกเขาไม่จู้จี้จุกจิกเกินไปกับอาหารของพวกเขา—พวกเขาก็จะไม่ขาดสารอาหารและได้รับการรับประกันที่จะดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาพดีจนกระทั่งพวกเขาตาย  นั่นคือแนวคิดที่พระเจ้าได้ทรงมีอยู่ในพระหฤทัยเมื่อตอนที่พระองค์ได้ประทานอาหารแก่มวลมนุษย์  ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากสิ่งเหล่านี้—นั่นไม่ใช่ความเป็นจริงหรอกหรือ?  เหล่านี้คือปัญหาอันสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง แต่พระเจ้าก็ได้ทรงเตรียมพร้อมสำหรับปัญหาเหล่านั้น กล่าวคือ พระองค์ได้ทรงดำริถึงพวกมันล่วงหน้าและได้ทรงทำการตระเตรียมให้แก่มวลมนุษย์

แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงให้แก่มวลมนุษย์—พระองค์ยังได้ทรงให้พืชผักทั้งหลายแก่มวลมนุษย์อีกด้วย!  ด้วยข้าวแล้ว หากนั่นคือทั้งหมดที่เจ้ากิน ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก เจ้าก็อาจจะไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ  ในอีกแง่หนึ่ง หากเจ้าผัดผักสักสองสามอย่างหรือผสมสลัดเพื่อกินกับมื้ออาหารของเจ้า เช่นนั้นแล้ววิตามินทั้งหลายในผักและจุลธาตุสารพัดและสารอาหารอื่นๆ ของพวกผักก็จะมีความสามารถที่จะสนองความต้องการที่จำเป็นของร่างกายของเจ้าตามธรรมชาติได้  และผู้คนยังสามารถกินผลไม้เล็กน้อยในระหว่างมื้ออาหารได้ด้วย  บางครั้งผู้คนก็ต้องการของเหลวมากขึ้นหรือสารอาหารอื่นๆ หรือรสชาติที่แตกต่างออกไป และผลไม้และผักทั้งหลายก็มีอยู่ที่นั่นเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้  ในขณะที่ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกมีดินและภูมิอากาศแตกต่างกัน จึงผลิตผักและผลไม้หลายหลากชนิดแตกต่างกัน  เนื่องจากภูมิอากาศในภาคใต้ร้อนเกินไป ผลไม้และผักส่วนใหญ่ที่นั่นจึงเป็นชนิดที่ให้ความเย็นซึ่งเมื่อกินแล้วจะมีความสามารถที่จะสร้างสมดุลของความเย็นและความร้อนในร่างกายมนุษย์ได้  ในทางตรงกันข้าม ในภาคเหนือนั้นมีผักและผลไม้หลากหลายชนิดน้อยกว่า แต่ก็เพียงพอให้ผู้คนท้องถิ่นชื่นชม  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพัฒนาการในสังคมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและสิ่งที่เรียกกันว่าความก้าวหน้าทางสังคม ตลอดจนการปรับปรุงในการสื่อสารและการขนส่งที่โยงใยภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกเข้าด้วยกัน ผู้คนในภาคเหนือจึงสามารถที่จะกินผลไม้และผักบางอย่างของภาคใต้ หรือผลิตภัณฑ์ประจำภูมิภาคจากภาคใต้ได้ด้วย และพวกเขาก็สามารถทำเช่นนั้นได้ในทั้งสี่ฤดูกาลของปี  แม้ว่าการนี้จะสามารถที่จะตอบสนองความอยากอาหารและความต้องการทางวัตถุของผู้คนได้ แต่ร่างกายของพวกเขาตกอยู่ภายใต้อันตรายในระดับแตกต่างกันโดยมิได้เฉลียวรู้เลย  นี่เป็นเพราะท่ามกลางอาหารทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมให้แก่มวลมนุษย์ มีอาหารและผลไม้และผักที่หมายจะให้แก่ผู้คนในภาคใต้ เช่นเดียวกันกับอาหารและผลไม้และผักที่หมายจะให้แก่ผู้คนในภาคเหนือ  กล่าวคือ หากเจ้าเกิดในภาคใต้ มันก็เหมาะสมที่เจ้าจะกินสิ่งทั้งหลายจากภาคใต้  พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมอาหารและผลไม้และผักเหล่านี้อย่างเฉพาะเจาะจงเพราะภาคใต้มีภูมิอากาศเฉพาะตัว  ภาคเหนือมีอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายของผู้คนในภาคเหนือ  กระนั้นเพราะผู้คนมีความอยากอาหารอย่างตะกละตะกลาม พวกเขาจึงยอมให้ตัวเองถูกพัดพาไปตามสายธารของกระแสนิยมทางสังคมใหม่ๆ โดยไม่รู้ตัว และพวกเขาก็ละเมิดกฎเหล่านี้โดยไม่รู้สึกตัว  แม้ว่าผู้คนจะรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาดีกว่าในอดีต แต่ความก้าวหน้าทางสังคมประเภทนี้ก่อเกิดอันตรายเคลือบแฝงต่อร่างกายของผู้คนจำนวนมากขึ้นทุกที  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทอดพระเนตร และไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยในคราที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมอาหาร ผลไม้ และผักเหล่านี้ให้แก่มวลมนุษย์  มนุษย์เองได้เป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดสถานการณ์ปัจจุบันโดยการละเมิดธรรมบัญญัติทั้งหลายของพระเจ้า

ต่อให้ไม่รวมทั้งหมดนั้น ความอารีที่พระเจ้าได้ประทานแก่มวลมนุษย์ก็มั่งคั่งด้วยความอุดมอย่างแท้จริง และสถานที่แต่ละแห่งก็มีผลผลิตท้องถิ่นของตัวเอง  ตัวอย่างเช่นบางสถานที่มั่งคั่งด้วยเรดเดต (หรือที่รู้จักกันในชื่อพุทราจีน) สถานที่อื่นๆ มั่งคั่งด้วยวอลนัท และสถานที่อื่นๆ มั่งคั่งด้วยถั่วลิสงหรือถั่วเปลือกแข็งอื่นๆ อีกหลากหลาย  สิ่งที่เป็นวัตถุเหล่านี้ทั้งหมดให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์  แต่พระเจ้าทรงจัดหาสิ่งทั้งหลายให้กับมวลมนุษย์ในปริมาณที่ถูกต้องและในเวลาที่ถูกต้องโดยสอดคล้องกับฤดูกาลและเวลาของปี  มวลมนุษย์ละโมบในความชื่นชมยินดีทางกายภาพและตะกละตะกลาม ทำให้ง่ายต่อการละเมิดและทำให้กฎธรรมชาติแห่งการเติบโตของมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้เมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมานั้นเกิดความเสียหาย  พวกเรามาดูผลเชอร์รี่เป็นตัวอย่างกันเถิด  ผลเชอร์รี่จะสุกประมาณเดือนมิถุนายน  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมปกตินั้น ภายในเดือนสิงหาคมจะไม่มีผลเชอร์รี่เหลืออยู่เลย  ผลเชอร์รี่สามารถเก็บให้สดอยู่ได้นานสองเดือน แต่โดยการใช้กลวิธีทางวิทยาศาสตร์ บัดนี้ผู้คนจึงมีความสามารถที่จะขยายช่วงเวลานั้นเป็นสิบสองเดือน จนถึงขั้นผ่านฤดูเชอร์รี่ของปีถัดไปได้ด้วยซ้ำ  นี่ก็หมายความว่ามีผลเชอร์รี่อยู่ตลอดทั้งปี  ปรากฏการณ์นี้ปกติหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้ว เมื่อใดจึงเป็นฤดูที่ดีที่สุดที่จะกินผลเชอร์รี่?  นั่นคงจะเป็นช่วงเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงเดือนสิงหาคม  เลยเวลานี้ไป ไม่สำคัญว่าเจ้าจะรักษาความสดใหม่ไว้มากเท่าใด ผลเชอร์รี่ก็จะไม่มีรสชาติเช่นเดิม และผลเชอร์รี่จะไม่ให้สิ่งที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ  เมื่อวันหมดอายุได้ผ่านไปแล้ว ไม่สำคัญว่าเจ้าจะใช้สารเคมีใด เจ้าก็จะไม่มีความสามารถที่จะใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในเวลาที่พวกมันโตตามธรรมชาติเข้าไปในผลเชอร์รี่เหล่านั้น  นอกจากนี้อันตรายที่สารเคมีทำกับมนุษย์เป็นบางสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่สำคัญว่าพวกเขาจะพยายามทำอะไร  ดังนั้นเศรษฐกิจการตลาดปัจจุบันนำอะไรมาสู่ผู้คนหรือ?  ชีวิตของผู้คนดูเหมือนจะดีขึ้น การขนส่งระหว่างภูมิภาคต่างๆ ได้กลายเป็นสะดวกอย่างสูง และผู้คนสามารถกินผลไม้ทุกประเภทในฤดูกาลใดก็ได้จากทั้งสี่ฤดูกาล  ผู้คนในภาคเหนือมีความสามารถที่จะกินกล้วยเป็นประจำ ตลอดจนอาหารอร่อยประจำภาค ผลไม้ หรืออาหารอื่นใดจากภาคใต้ได้  แต่นี่ไม่ใช่ชีวิตที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะให้แก่มวลมนุษย์  เศรษฐกิจการตลาดประเภทนี้อาจนำคุณประโยชน์มาสู่ชีวิตของผู้คนอยู่บ้าง แต่ก็สามารถนำอันตรายมาได้ด้วยเช่นกัน  เพราะความอุดมในท้องตลาด ผู้คนมากมายจึงกินโดยไม่คิดถึงสิ่งที่พวกเขากำลังใส่เข้าไปในปากของพวกเขา  พฤติกรรมนี้เป็นการละเมิดกฎแห่งธรรมชาติ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้คน  ดังนั้น เศรษฐกิจการตลาดไม่สามารถนำความสุขที่แท้จริงมาให้ผู้คนได้  จงดูด้วยตัวพวกเจ้าเองเถิด  องุ่นไม่ได้ถูกขายอยู่ที่ตลาดในทั้งสี่ฤดูกาลหรอกหรือ?  โดยข้อเท็จจริงแล้ว องุ่นจะคงความสดใหม่ในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่ถูกเด็ดแล้วเท่านั้น  หากเจ้าเก็บองุ่นไว้จนถึงเดือนมิถุนายนของปีถัดไป พวกมันจะยังคงสามารถถูกเรียกว่าองุ่นได้หรือไม่?  หรือว่า “ขยะ” น่าจะเป็นชื่อที่ดีกว่าสำหรับพวกมัน?  พวกมันไม่เพียงแค่ขาดเนื้อแท้ขององุ่นสด—พวกมันมีผลิตภัณฑ์เคมีในตัวเองเพิ่มมากขึ้น  หลังจากหนึ่งปีแล้ว พวกมันจะไม่สดอีกต่อไป และสารอาหารอะไรที่พวกมันเคยมีก็จะหายไปจนหมดนานแล้ว  เมื่อผู้คนกินองุ่นพวกเขามีความรู้สึกนี้ที่ว่า “พวกเราโชคดีจัง!  พวกเราจะมีความสามารถที่จะได้กินองุ่นในฤดูกาลนี้เมื่อสามสิบปีที่แล้วหรือ?  คุณคงไม่สามารถทำได้ ต่อให้คุณจะต้องการก็ตาม!  บัดนี้ชีวิตช่างดีเหลือเกิน!”  นี่คือความสุขจริงๆ หรือ?  หากเจ้าสนใจ เจ้าก็สามารถทำการศึกษาวิจัยของเจ้าเองเกี่ยวกับองุ่นที่ถนอมด้วยสารเคมีและมองเห็นว่าพวกมันทำขึ้นจากอะไรกันแน่ และสสารเหล่านี้สามารถมีประโยชน์ต่อมนุษย์ได้หรือไม่  ในยุคธรรมบัญญัติเมื่อตอนที่คนอิสราเอลได้ออกจากอียิปต์และกำลังเดินทาง พระเจ้าได้ทรงให้นกคุ่มและมานาแก่พวกเขา  แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ผู้คนถนอมอาหารเหล่านี้ไว้หรือไม่?  พวกเขาบางคนสายตาสั้น และด้วยกลัวว่าจะไม่มีอีกแล้วในวันถัดไป ดังนั้นพวกเขาจึงกันบางส่วนไว้สำหรับคราวหลัง  แล้วเกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ?  ในวันต่อมามันก็เน่า  พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เจ้ากันไว้เผื่อ เพราะพระองค์ได้ทรงทำการตระเตรียมซึ่งรับประกันว่าเจ้าจะไม่ต้องหิวไว้แล้ว  แต่มวลมนุษย์ไม่มีความมั่นใจเช่นนี้ และพวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า  พวกเขาต้องการอยู่เสมอที่จะให้ตัวเองมีพื้นที่ที่จะเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ และไม่เคยมีความสามารถที่จะมองเห็นความใส่พระทัยและพระดำริทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังการตระเตรียมของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษย์  พวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงการนั้นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถวางความเชื่อของพวกเขาในพระเจ้าได้อย่างสุดใจ โดยคิดอยู่เสมอว่า “การกระทำของพระเจ้าไม่น่าไว้วางใจ!  ใครจะรู้ว่าพระเจ้าจะทรงให้สิ่งที่พวกเราต้องการแก่พวกเราหรือไม่ หรือพระองค์จะทรงให้พวกเราเมื่อใด!  หากฉันอดอยากและพระเจ้าไม่ทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วฉันจะไม่อดอาหารหรือ?  ฉันจะไม่ขาดสารอาหารหรือ?”  จงดูเอาเถิดว่า ความมั่นใจของมนุษย์นั้นบางเบาผิวเผินเพียงใด!

เมล็ดธัญพืช ผลไม้ และผักทั้งหลาย และถั่วเปลือกแข็งทุกชนิด—เหล่านี้เป็นอาหารมังสวิรัติทั้งสิ้น  อาหารเหล่านี้ประกอบด้วยสารอาหารเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการที่จำเป็นของร่างกายมนุษย์แม้ว่าพวกมันเป็นอาหารมังสวิรัติก็ตาม  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้ตรัสว่า “เราจะให้เพียงแค่อาหารเหล่านี้แก่มวลมนุษย์  ให้พวกเขากินสิ่งเหล่านี้เท่านั้น!”  พระเจ้าไม่ได้ทรงหยุดตรงนั้น แต่ได้ทรงไปต่อเพื่อตระเตรียมอาหารทั้งหลายที่อร่อยยิ่งขึ้นไว้ให้กับมวลมนุษย์มากขึ้น  อาหารเหล่านี้คืออะไร?  อาหารเหล่านี้คือเนื้อสัตว์และปลาหลากหลายประเภทที่พวกเจ้าส่วนใหญ่มีความสามารถที่จะมองเห็นและกินได้  พระองค์ได้ทรงตระเตรียมทั้งเนื้อสัตว์และปลามากมายหลายประเภทไว้ให้มนุษย์  ปลาอาศัยอยู่ในน้ำ และเนื้อหนังของปลาในน้ำแตกต่างอย่างมีสาระสำคัญจากเนื้อหนังของสัตว์ที่อาศัยบนแผ่นดิน และมันสามารถให้สารอาหารต่างๆ แก่มนุษย์ได้  ปลายังมีคุณสมบัติที่สามารถกำกับควบคุมความเย็นและความร้อนในร่างกายมนุษย์ได้ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อมนุษย์อีกด้วย  แต่อาหารอร่อยต้องไม่กินมากจนเกินไป  อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้ว พระเจ้าประทานปริมาณที่ถูกต้องแก่มวลมนุษย์ ณ เวลาที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้คนสามารถชื่นชมได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับการประทานของพระองค์ในหนทางปกติและสอดคล้องกับฤดูกาลและเวลา  ทีนี้ อาหารประเภทใดหรือที่รวมอยู่ในหมวดหมู่สัตว์ปีก?  ไก่ นกคุ่ม นกพิราบ และอื่นๆ เป็นต้น  ผู้คนมากมายกินเป็ดและห่านด้วย  แม้ว่าพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมเนื้อสัตว์ประเภทเหล่านี้ไว้ทั้งหมด แต่พระองค์ก็ได้ทรงตั้งข้อพึงประสงค์บางประการสำหรับประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรและได้ทรงวางขีดจำกัดเฉพาะเจาะจงกับอาหารการกินของพวกเขาในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ  ทุกวันนี้ขีดจำกัดเหล่านี้ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละบุคคลและการตีความด้วยตนเอง  เนื้อสัตว์ต่างๆ นานาเหล่านี้จัดเตรียมสารอาหารหลากหลายให้ร่างกายมนุษย์ โดยเติมโปรตีนและธาตุเหล็ก เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับเลือด เสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก และสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย  โดยไม่สำคัญว่าผู้คนจะปรุงและกินอาหารเหล่านี้ด้วยวิธีใด เนื้อสัตว์เหล่านี้สามารถช่วยให้ผู้คนปรับปรุงรสชาติอาหารของพวกเขาและเสริมเพิ่มความอยากอาหารของพวกเขา ในขณะเดียวกันก็ทำให้ท้องของพวกเขาพึงพอใจอีกด้วย  ที่สำคัญที่สุดคืออาหารเหล่านี้สามารถจัดหาความต้องการที่จำเป็นทางโภชนาการรายวันให้กับร่างกายมนุษย์  นี่คือการทรงพิจารณาของพระเจ้าเมื่อพระองค์ได้ทรงเตรียมอาหารให้พร้อมสำหรับมวลมนุษย์  มีผักทั้งหลาย มีเนื้อสัตว์—นี่ไม่ใช่ความอุดมหรอกหรือ?  แต่ผู้คนควรเข้าใจว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไรเมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงตระเตรียมอาหารทั้งหมดให้มวลมนุษย์  ใช่การให้มวลมนุษย์ตามใจตัวเองเกินไปในของกินเหล่านี้หรือ?  อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์กลายเป็นติดกับดักในการพยายามตอบสนองความอยากทางวัตถุเหล่านี้?  เขาจะไม่กลายเป็นได้รับการบำรุงเลี้ยงมากเกินไปหรอกหรือ?  การได้รับการบำรุงเลี้ยงมากเกินไปทำให้ร่างกายมนุษย์เจ็บป่วยในหลายๆ ทางมิใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงจัดสัดส่วนให้มีปริมาณที่ถูกต้อง ณ เวลาที่ถูกต้อง และทรงให้ผู้คนชื่นชมกับอาหารที่แตกต่างกันโดยสอดคล้องกับช่วงเวลาและฤดูกาลที่แตกต่างกัน  ตัวอย่างเช่น หลังจากฤดูร้อนที่ร้อนมาก ผู้คนสะสมความร้อนอย่างมากไว้ในร่างกายของพวกเขา รวมถึงความแห้งกร้านและความชื้นแฉะซึ่งก่อให้เกิดโรค  เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ผลไม้หลายประเภทก็สุก และเมื่อผู้คนกินผลไม้เหล่านี้ ความชื้นแฉะในร่างกายของพวกเขาจะถูกขับออกไป  ณ เวลานี้ฝูงปศุสัตว์และแกะก็ได้เติบโตแข็งแรงขึ้นเช่นกัน ดังนั้นนี่จึงเป็นเวลาที่ผู้คนควรกินเนื้อสัตว์มากขึ้นเพื่อการบำรุงเลี้ยง  โดยการกินเนื้อสัตว์หลากหลายประเภท ร่างกายของผู้คนจะได้รับพลังงานและความอบอุ่นเพื่อช่วยให้พวกเขาทานทนต่อความหนาวเย็นของฤดูหนาวได้ และผลลัพธ์ก็คือ พวกเขามีความสามารถที่จะผ่านฤดูหนาวได้อย่างปลอดภัยและมีสุขภาพดี  พระเจ้าทรงควบคุมและประสานงานด้วยความใส่พระทัยและความแม่นยำสูงสุดว่า จะทรงจัดเตรียมอะไรให้แก่มวลมนุษย์ และเมื่อไร และเมื่อไรที่พระองค์จะทรงให้สิ่งต่างๆ เติบโต ออกผล และสุก  การนี้เกี่ยวโยงกับ “วิธีที่พระเจ้าทรงตระเตรียมอาหารที่มนุษย์ต้องการในชีวิตประจำวันของเขา”  นอกเหนือจากอาหารหลายประเภทแล้ว พระเจ้ายังทรงจัดเตรียมแหล่งน้ำให้กับมวลมนุษย์อีกด้วย  หลังจากกินแล้ว ผู้คนยังคงต้องการดื่มน้ำ  ผลไม้เพียงลำพังจะเพียงพอหรือไม่?  ผู้คนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ด้วยผลไม้เพียงลำพัง และนอกจากนี้ บางฤดูกาล  ก็ไม่มีผลไม้  ดังนั้นปัญหาเรื่องน้ำของมวลมนุษย์จะสามารถแก้ไขได้อย่างไร?  พระเจ้าได้ทรงแก้ไขปัญหานั้นโดยการตระเตรียมแหล่งน้ำมากมายทั้งบนและใต้พื้นดิน รวมถึงทะเลสาบ แม่น้ำ และน้ำพุ  แหล่งน้ำเหล่านี้สามารถดื่มได้ตราบเท่าที่ไม่มีการปนเปื้อน และตราบเท่าที่ผู้คนไม่ได้ไปบงการหรือทำให้เสียหาย  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในแง่ของแหล่งอาหารที่ค้ำชูชีวิตของร่างกายทางกายภาพของมวลมนุษย์ พระเจ้าได้ทรงทำการตระเตรียมที่แม่นยำมาก เที่ยงตรงมาก และเหมาะสมมาก เพื่อที่ชีวิตของผู้คนจะได้มั่งคั่งและล้นเหลือและไม่ขาดพร่องสิ่งใด  นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนสามารถรู้สึกและมองเห็นได้

นอกจากนี้ พระเจ้าได้ทรงสร้างพืช สัตว์บางอย่าง และสมุนไพรอันหลากหลายขึ้นมาท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง โดยหมายเฉพาะให้รักษาอาการบาดเจ็บหรือเยียวยาความเจ็บป่วยในร่างกายมนุษย์  ยกตัวอย่างเช่น อะไรคือสิ่งที่ใครบางคนควรทำหากถูกไฟไหม้หรือบังเอิญทำน้ำร้อนลวกตัวเอง?  เจ้าสามารถชำระล้างแผลไฟไหม้ด้วยน้ำเท่านั้นก็ได้หรือ?  เจ้าสามารถแค่พันแผลด้วยผ้าเก่าๆ ผืนใดก็ได้หรือ?  หากเจ้าทำเช่นนั้น แผลอาจเต็มไปด้วยหนองหรือกลายเป็นติดเชื้อ  ยกตัวอย่างเช่น หากใครบางคนเป็นไข้หรือติดหวัด ได้รับบาดเจ็บขณะกำลังทำงาน เกิดการเจ็บป่วยเกี่ยวกับกระเพาะอาหารจากการกินสิ่งที่ผิด หรือเป็นโรคบางอย่างที่เกิดจากปัจจัยทั้งหลายตามลักษณะแนวของชีวิตหรือประเด็นปัญหาด้านภาวะอารมณ์ รวมถึงโรคหลอดเลือด สภาพทางจิตวิทยา หรือโรคของอวัยวะภายใน เช่นนั้นแล้วก็มีพืชที่สอดรับกันซึ่งเยียวยาสภาพเงื่อนไขของพวกเขา  มีพืชที่ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้นและขจัดความเมื่อยล้า บรรเทาปวด ห้ามเลือด ให้ยาสลบ ช่วยรักษาผิวหนังและฟื้นฟูผิวหนังสู่สภาพเงื่อนไขปกติ และสลายเลือดหนืดและกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย—โดยสังเขปแล้วพืชเหล่านี้มีการใช้ในชีวิตประจำวัน  ผู้คนสามารถใช้พืชเหล่านี้ได้ และพวกมันได้ถูกตระเตรียมโดยพระเจ้าสำหรับร่างกายมนุษย์ในกรณีที่จำเป็น  พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้มนุษย์ค้นพบพืชเหล่านี้บางส่วนโดยบังเอิญ ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ถูกค้นพบโดยผู้คนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรให้ค้นพบ หรือเป็นผลลัพธ์จากปรากฏการณ์พิเศษที่พระองค์ได้ทรงจัดวางเรียบเรียง  หลังการค้นพบพืชเหล่านี้มวลมนุษย์ก็จะส่งต่อลงไป และผู้คนมากมายจะได้มารู้เกี่ยวกับพืชเหล่านี้  ดังนั้นการที่พระเจ้าทรงสร้างพืชเหล่านี้ขึ้นจึงมีคุณค่าและความหมาย  โดยสรุป สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากพระเจ้า ได้รับการตระเตรียมและเพาะปลูกโดยพระองค์เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการมีชีวิตของมวลมนุษย์  สิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่ง  กระบวนการทรงดำริของพระเจ้าถ้วนทั่วกว่ากระบวนการคิดเหล่านั้นของมวลมนุษย์หรือไม่?  เมื่อเจ้ามองเห็นทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำ เจ้ามีสำนึกรับรู้ถึงด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าทรงพระราชกิจในความลับ  พระเจ้าได้ทรงสร้างทั้งหมดนี้เมื่อมนุษย์ยังไม่ได้มาอยู่ในพิภพนี้ เมื่อพระองค์ยังไม่ทรงได้มีการติดต่อกับมวลมนุษย์  ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยทรงคำนึงถึงมวลมนุษย์ เพื่อประโยชน์แห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ และด้วยพระดำริเพื่อความอยู่รอดของพวกเขา เพื่อที่มวลมนุษย์จะมีชีวิตอย่างมีความสุขในโลกเชิงวัตถุอันมั่งคั่งและล้นเหลือนี้ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้ให้พวกเขา โดยปราศจากความกังวลเกี่ยวกับอาหารหรือเสื้อผ้า ไม่ขาดพร่องสิ่งใดเลย  ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ มวลมนุษย์ย่อมสามารถขยายพันธุ์และอยู่รอดต่อไปได้

ในบรรดากิจการของพระเจ้าทั้งหมด ทั้งใหญ่และเล็ก มีกิจการใดที่ปราศจากคุณค่าหรือความหมายหรือไม่?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำมีคุณค่าและความหมาย  พวกเรามาเริ่มการเสวนาของพวกเราด้วยหัวข้อทั่วไปหัวข้อหนึ่งเถิด  บ่อยครั้งที่ผู้คนถามว่า สิ่งใดมาก่อน ไก่หรือไข่?  (ไก่)  ไก่ได้มาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย!  เหตุใดไก่จึงได้มาก่อน?  เหตุใดไข่จึงไม่สามารถมาก่อนได้?  ไก่ไม่ใช่ฟักออกจากไข่หรอกหรือ?  หลังจากยี่สิบเอ็ดวัน ไก่ก็ฟักเป็นตัว และไก่ตัวนั้นก็วางไข่เพิ่ม และไก่ก็ฟักออกมาจากไข่เหล่านั้นมากขึ้น  ดังนั้นไก่หรือไข่ได้มาก่อน?  พวกเจ้าตอบว่า “ไก่” ด้วยความแน่นอนอย่างเด็ดขาด  แต่เหตุใดนี่จึงเป็นคำตอบของเจ้า?  (พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างนกและสัตว์ป่า)  ดังนั้นคำตอบของเจ้าอยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์  แต่เราต้องการให้พวกเจ้าพูดคุยเกี่ยวกับความเข้าใจของพวกเจ้าเอง เพื่อที่เราจะได้สามารถมองเห็นว่าพวกเจ้ามีความรู้ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงอันใดเกี่ยวกับการกระทำของพระเจ้าหรือไม่  ทีนี้พวกเจ้าแน่ใจเกี่ยวกับคำตอบของพวกเจ้าหรือไม่?  (พระเจ้าได้ทรงสร้างไก่ แล้วทรงให้ไก่มีความสามารถในการขยายพันธุ์ อันหมายถึงความสามารถในการกกไข่)  การตีความนี้ถูกต้องไม่มากก็น้อย  ไก่ได้มาก่อนแล้วก็ไข่  นี่แน่นอน  มันไม่ใช่ข้อล้ำลึกที่ลุ่มลึกเป็นพิเศษ แต่อย่างไรก็ตามผู้คนของโลกพิจารณาเห็นว่าเป็นเช่นนั้นและพยายามแก้ไขมันด้วยทฤษฎีเชิงปรัชญา โดยที่ไม่เคยได้มาถึงบทสรุป  นี่ก็เหมือนกันไม่มีผิดกับเวลาที่ผู้คนไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา  พวกเขาไม่รู้หลักธรรมพื้นฐานนี้ ทั้งพวกเขาก็ไม่มีแนวคิดชัดเจนว่าไข่หรือไก่ควรมาก่อน  พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งใดควรมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีวันมีความสามารถที่จะพบคำตอบได้  มันเป็นธรรมดามากทีเดียวที่ไก่ได้มาก่อน  หากมีไข่ก่อนไก่นั่นจะผิดปกติ!  มันเป็นเรื่องที่เรียบง่ายนัก—ไก่ได้มาก่อนอย่างแน่นอน  นี่ไม่ใช่คำถามที่พึงต้องใช้ความรู้ขั้นสูง  พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างด้วยเจตนารมณ์ให้มนุษย์ได้ชื่นชมมัน  ทันทีที่ไก่ดำรงอยู่ ไข่ก็จะตามหลังมาโดยปกติอยู่แล้ว  นี่ไม่ใช่ทางออกที่พร้อมใช้อย่างหนึ่งหรอกหรือ?  หากไข่ได้ถูกสร้างขึ้นก่อน มันจะไม่ยังคงต้องการให้ไก่กกมันหรอกหรือ?  การสร้างไก่โดยตรงเป็นทางออกที่พร้อมใช้กว่า  ด้วยวิธีนี้ไก่จะสามารถวางไข่และกกลูกไก่ข้างใน และผู้คนก็จะสามารถมีไก่เอาไว้กิน  ช่างสะดวกอะไรเช่นนี้!  หนทางที่พระเจ้าทรงทำสิ่งทั้งหลายนั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน ไม่ยุ่งยากซับซ้อนแม้แต่น้อย  ไข่มาจากไหน?  มันมาจากไก่  ไม่มีไข่หากไม่มีไก่  สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง!  มวลมนุษย์ไร้สาระและน่าขัน มักกลายเป็นพัวพันยุ่งเหยิงกับสิ่งเรียบง่ายทั้งหลายเช่นนั้นเสมอ และจบลงด้วยเหตุผลวิบัติที่ไร้สาระกระจุกหนึ่ง  มนุษย์ช่างเหมือนเด็กนัก!  สัมพันธภาพระหว่างไข่กับไก่นั้นชัดเจน นั่นคือ ไก่ได้มาก่อน  นี่คือคำอธิบายที่เที่ยงตรงที่สุด หนทางที่ถูกต้องแม่นยำที่สุดในการเข้าใจการนี้ และเป็นคำตอบที่ถูกต้องแม่นยำที่สุด มันถูกต้อง

หัวข้ออะไรหรือที่พวกเราเพิ่งได้เสวนากันไป?  พวกเราได้เริ่มต้นโดยการพูดคุยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่มนุษย์อาศัยอยู่และสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำเพื่อสภาพแวดล้อมนั้นและการตระเตรียมทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงทำ  พวกเราได้เสวนาถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการ สัมพันธภาพระหว่างสิ่งทั้งหลายแห่งการทรงสร้าง ซึ่งพระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้ให้มวลมนุษย์ และวิธีที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมสัมพันธภาพเหล่านี้เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งทั้งหลายแห่งการทรงสร้างของพระองค์ทำอันตรายมวลมนุษย์ พระเจ้ายังได้ทรงลดทอนอันตรายที่ปัจจัยต่างๆ มากมายภายในการทรงสร้างของพระองค์อาจมีต่อสภาพแวดล้อมของมวลมนุษย์อีกด้วย เปิดโอกาสให้สรรพสิ่งทำหน้าที่ตามจุดประสงค์สูงสุดของตน  และนำพาสภาพแวดล้อมที่เป็นคุณประโยชน์พร้อมด้วยองค์ประกอบที่เป็นคุณประโยชน์มาสู่มวลมนุษย์ ด้วยเหตุนั้น จึงทำให้มวลมนุษย์สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเช่นนั้นได้ และดำเนินวงจรชีวิตและการขยายพันธุ์ต่อไปได้อย่างคงที่  ถัดมา พวกเราได้พูดคุยเกี่ยวกับอาหารที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ—อาหารและเครื่องดื่มประจำวันของมวลมนุษย์  นี่ก็เป็นสภาพเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับความอยู่รอดของมวลมนุษย์เช่นกัน  กล่าวคือ ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการหายใจเพียงอย่างเดียว โดยมีเพียงแค่แสงอาทิตย์เพื่อการยังชีพ หรือลม หรืออุณหภูมิที่เหมาะสม  มนุษย์ยังจำเป็นต้องเติมท้องของพวกเขาให้เต็มอีกด้วย และพระเจ้าได้ทรงตระเตรียมแหล่งที่มาของสิ่งทั้งหลายไว้สำหรับมวลมนุษย์แล้วโดยไม่มองข้ามสิ่งใดเลย เพื่อที่พวกเขาจะได้ใช้ทำเช่นนั้น ซึ่งก็คือแหล่งอาหารของมวลมนุษย์นั่นเอง  เมื่อเจ้าได้เห็นผลิตผลอันมั่งคั่งและเอื้ออารีเช่นนี้—แหล่งที่มาของอาหารและเครื่องดื่มของมวลมนุษย์—เจ้าจะสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งที่มาของการจัดหาสำหรับมวลมนุษย์และสำหรับสรรพสิ่งทั้งมวลแห่งการทรงสร้างของพระองค์?  หากในช่วงระหว่างเวลาแห่งการทรงสร้าง พระเจ้าได้ทรงสร้างเพียงแค่ต้นไม้และต้นหญ้าหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จำนวนเท่าใดก็ตาม และหากสิ่งมีชีวิตและพืชต่างๆ เหล่านี้มีไว้ให้วัวและแกะกินทั้งหมด หรือมีไว้ให้ม้าลาย กวาง และสัตว์ประเภทอื่นๆ อีกหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่นสิงโตต้องกินสิ่งทั้งหลายเช่นม้าลายและกวาง และเสือต้องกินสิ่งทั้งหลายเช่นแกะและหมู—แต่ไม่มีแม้สักสิ่งเดียวที่เหมาะสมให้มนุษย์กินแล้ว มันจะใช้ได้หรือไม่?  มันจะใช้ไม่ได้  มวลมนุษย์คงจะไม่มีความสามารถที่จะอยู่รอดได้นาน  จะเกิดอะไรขึ้นหากมนุษย์กินแต่ใบไม้เท่านั้น?  มันจะใช้ได้หรือไม่?  มนุษย์จะสามารถกินต้นหญ้าที่มีไว้สำหรับแกะหรือไม่?  มันอาจจะไม่เป็นไรหากพวกเขาได้ลองสักนิดหน่อย แต่หากพวกเขาได้กินสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นเป็นเวลานาน ท้องของพวกเขาก็คงจะไม่มีความสามารถที่จะทนยอมรับได้ และผู้คนก็คงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ยืนยาว  มีแม้แต่สิ่งทั้งหลายที่สัตว์สามารถกินได้แต่เป็นพิษต่อมนุษย์—สัตว์กินพวกมันโดยไม่มีผลสืบเนื่องตามมา แต่สำหรับมนุษย์ไม่เป็นเช่นนั้น  กล่าวคือพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ ดังนั้นพระเจ้าทรงรู้ดีที่สุดถึงหลักการทั้งหลายและโครงสร้างของร่างกายมนุษย์และสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องการ  พระเจ้าทรงรู้จักอย่างกระจ่างแจ้งเพียบพร้อมถึงสิ่งประกอบและสิ่งที่บรรจุอยู่ของร่างกาย ความต้องการที่จำเป็นของร่างกายและการทำหน้าที่ของอวัยวะภายในของร่างกาย และวิธีที่พวกมันดูดซับ กำจัด และเผาผลาญสสารต่างๆ  มนุษย์ไม่รู้ บางครั้งพวกเขากินอย่างผลีผลาม หรือหลงไปใช้วิธีดูแลตนเองอย่างไม่ระมัดระวัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่มากเกินไปเป็นเหตุให้เกิดความไม่สมดุล  หากเจ้ากินและชื่นชมสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้ให้เจ้าในหนทางปกติ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่มีปัญหาสุขภาพ  ต่อให้บางครั้งเจ้าประสบกับอารมณ์เสียต่างๆ และเจ้ามีภาวะเลือดหนืด นี่ก็ไม่สร้างปัญหาอะไรเลย  เจ้าเพียงแค่จำเป็นต้องกินพืชบางประเภท และภาวะเลือดหนืดก็จะหายไป  พระเจ้าได้ทรงทำการตระเตรียมสำหรับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  ดังนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า มวลมนุษย์อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตอื่นใดอย่างมาก  พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับพืชแต่ละประเภท และพระองค์ได้ทรงตระเตรียมอาหารและสภาพแวดล้อมสำหรับสัตว์แต่ละประเภท แต่มวลมนุษย์มีความต้องการที่จำเป็นอันเคร่งครัดชัดเจนที่สุดต่อสภาพแวดล้อม และความต้องการที่จำเป็นเหล่านั้นก็ไม่อาจถูกมองข้ามได้แม้เพียงเล็กน้อย หากเป็นเช่นนั้น มวลมนุษย์ก็คงจะไร้ความสามารถที่จะพัฒนาและมีชีวิตอยู่และขยายพันธุ์ต่อไปได้ในหนทางปกติ  เป็นพระเจ้านั่นเองที่ทรงรู้ดีที่สุดในพระทัยของพระองค์  เมื่อพระเจ้าได้ทรงทำเช่นนี้ พระองค์ได้ทรงให้ความสำคัญกับการนั้นมากกว่าสิ่งอื่นใด  ลางทีเจ้าอาจไร้ความสามารถที่จะสำนึกรับรู้ความสำคัญของสิ่งที่ไม่น่าสนใจบางสิ่งที่เจ้าสามารถมองเห็นและชื่นชมในชีวิตของเจ้า หรือบางสิ่งที่เจ้ามองเห็นและชื่นชมซึ่งเจ้าได้มีมาตั้งแต่เกิด แต่พระเจ้าได้ทรงทำการตระเตรียมไว้แล้วสำหรับเจ้านานมาแล้วหรือไม่ก็ทรงทำอย่างลับๆ  พระเจ้าได้ทรงขจัดและทำให้องค์ประกอบเชิงลบทั้งหมดที่ไม่เอื้ออำนวยต่อมวลมนุษย์และอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ทุเลาลงจนถึงขอบข่ายยิ่งใหญ่ที่สุดที่เป็นไปได้  การนี้แสดงให้เห็นอะไรหรือ?  นั่นแสดงให้เห็นท่าทีที่พระเจ้าได้ทรงมีต่อมวลมนุษย์เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาคราวนี้หรือไม่?  ท่าทีนั้นคืออะไร?  ท่าทีของพระเจ้ารอบคอบและเอาจริงเอาจัง และไม่ได้ยอมทนให้มีการแทรกแซงโดยกำลังบังคับของศัตรูหรือปัจจัยภายนอกหรือสภาพเงื่อนไขอันใดที่ไม่ใช่ของพระองค์  ในการนี้สามารถมองเห็นท่าทีของพระเจ้าในการทรงสร้างและบริหารจัดการมวลมนุษย์คราวนี้ได้  และท่าทีของพระเจ้าคืออะไรหรือ?  โดยผ่านทางสภาพแวดล้อมเพื่อความอยู่รอดและชีวิตที่มวลมนุษย์ชื่นชม รวมถึงในอาหารและเครื่องดื่มประจำวันและความต้องการที่จำเป็นรายวันของพวกเขา พวกเราสามารถมองเห็นท่าทีแห่งความรับผิดชอบของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์ซึ่งพระองค์ได้ทรงยึดถือมานับตั้งแต่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ ตลอดจนความมุ่งมั่นของพระองค์ที่จะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ณ เวลานี้  ความจริงแท้ของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  ความน่าอัศจรรย์ของพระองค์เล่า?  ความไม่สามารถหยั่งถึงได้ของพระองค์เล่า?  ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์เล่า?  พระเจ้าทรงใช้หนทางอันทรงพระปัญญาและเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์เพื่อจัดเตรียมไว้ให้มวลมนุษย์ทั้งปวง ตลอดจนการจัดเตรียมสิ่งทั้งหลายทั้งหมดแห่งการทรงสร้างของพระองค์  บัดนี้ที่เราได้พูดกับเจ้าไปมากมายยิ่งนักแล้ว พวกเจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง?  (ได้)  นั่นเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน  เจ้ามีข้อสงสัยอันใดหรือไม่?  (ไม่)  การจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับทุกสรรพสิ่งเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง เพราะพระองค์ทรงเป็นแหล่งที่มาของการจัดเตรียมที่ได้ทำให้ทุกสรรพสิ่งสามารถดำรงอยู่ มีชีวิต ขยายพันธุ์ และดำเนินต่อไป และไม่มีแหล่งที่มาอื่นใดยกเว้นพระเจ้าพระองค์เอง  พระเจ้าทรงจัดเตรียมเพื่อความต้องการที่จำเป็นทั้งหมดของทุกสรรพสิ่งและความต้องการที่จำเป็นทั้งหมดของมวลมนุษย์ ไม่ว่าเหล่านั้นเป็นความต้องการที่จำเป็นด้านสภาพแวดล้อมพื้นฐานที่สุดของผู้คน ความต้องการที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของพวกเขา หรือความต้องการที่จำเป็นสำหรับความจริงที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้แก่จิตวิญญาณของผู้คน  พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าและสถานะของพระองค์มีความสำคัญต่อมวลมนุษย์อย่างมากในทุกทาง พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง  กล่าวคือ พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ปกครอง องค์อธิปัตย์ และองค์ผู้จัดเตรียมของโลกนี้ โลกนี้ที่ผู้คนสามารถมองเห็นและรู้สึกได้  สำหรับมวลมนุษย์แล้ว นี่ไม่ใช่พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าหรอกหรือ?  ไม่มีสิ่งใดเป็นเท็จในการนี้  ดังนั้นเมื่อเจ้าเห็นนกกำลังบินบนท้องฟ้า เจ้าควรรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถบินได้  มีสิ่งมีชีวิตที่ว่ายในน้ำ และพวกมันมีหนทางของพวกมันเองในการอยู่รอด  ต้นไม้และพืชพรรณที่อาศัยอยู่ในดินผลิดอกและงอกงามในฤดูใบไม้ผลิ และออกผลและผลัดใบในฤดูใบไม้ร่วง และเมื่อถึงฤดูหนาวใบไม้ทั้งหมดก็ร่วงไปเมื่อพืชพรรณเหล่านั้นตระเตรียมที่จะกรำฝ่าให้พ้นฤดูหนาวไปได้  นั่นคือหนทางแห่งความอยู่รอดของพวกมัน  พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และแต่ละสิ่งดำรงชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างกันและหนทางที่แตกต่างกันและใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อจัดแสดงพลังชีวิตของมันและรูปแบบที่มันดำรงชีวิตอยู่  ไม่สำคัญว่าสิ่งทั้งหลายจะดำเนินชีวิตอย่างไร สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า  อะไรหรือคือพระประสงค์ของพระเจ้าในการปกครองรูปแบบที่แตกต่างกันทั้งมวลของชีวิตและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย?  นั่นเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความอยู่รอดของมวลมนุษย์ใช่หรือไม่?  พระองค์ทรงควบคุมกฎแห่งชีวิตทั้งมวล ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์แห่งความอยู่รอดของมวลมนุษย์  นี่แสดงให้เห็นเลยว่าความอยู่รอดของมนุษย์สำคัญเพียงใดสำหรับพระเจ้า

ความสามารถของมวลมนุษย์ในความอยู่รอดและขยายพันธุ์ไปตามปกตินั้นสำคัญเป็นที่สุดต่อพระเจ้า  เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงกำลังทรงจัดเตรียมไว้ให้มวลมนุษย์และทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์อยู่เนืองนิตย์  พระองค์ทรงจัดเตรียมสำหรับทุกสรรพสิ่งในหนทางที่แตกต่างกัน และโดยการธำรงรักษาความอยู่รอดของทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงทำให้มวลมนุษย์สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าต่อไปได้ อันเป็นการธำรงรักษาความอยู่รอดตามปกติของความเป็นมนุษย์ เหล่านี้คือสองแง่มุมของการสามัคคีธรรมของพวกเราในวันนี้  สองแง่มุมเหล่านี้คืออะไรหรือ?  (จากมุมมองมหัพภาค พระเจ้าได้ทรงสร้างสภาพแวดล้อมที่มนุษย์อาศัยอยู่  นั่นคือแง่มุมแรก  พระเจ้ายังได้ทรงตระเตรียมสิ่งที่เป็นวัตถุทั้งหลายที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีและสามารถมองเห็นและสัมผัสได้)  พวกเราได้สามัคคีธรรมหัวข้อหลักของพวกเราผ่านทางสองแง่มุมนี้  หัวข้อหลักของพวกเราคืออะไรหรือ?  (พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง)  บัดนี้เจ้าควรมีความเข้าใจบ้างแล้ว ถึงเหตุผลที่การสามัคคีธรรมของเราในหัวข้อนี้ได้มีเนื้อหาเช่นนี้  ได้มีการเสวนาใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลักหรือไม่?  ไม่มีเลย!  บางทีหลังจากได้ยินสิ่งเหล่านี้ พวกเจ้าบางคนอาจได้รับความเข้าใจบ้างแล้ว และบัดนี้รู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้มีน้ำหนัก ว่าคำพูดเหล่านี้สำคัญมาก แต่คนอื่นอาจมีเพียงความเข้าใจตามตัวอักษรบ้างเท่านั้นและรู้สึกว่า โดยตัวของพวกมันเองแล้ว คำพูดเหล่านี้ช่างไม่มีความสำคัญเลย  ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ในชั่วขณะปัจจุบันอย่างไร เมื่อประสบการณ์ของพวกเจ้าได้มาถึงวันเฉพาะวันหนึ่ง เมื่อความเข้าใจของพวกเจ้าไปถึงจุดเฉพาะจุดหนึ่ง นั่นคือเมื่อความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับการกระทำของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เองไปถึงระดับหนึ่ง เมื่อนั้นพวกเจ้าจะใช้คำพูดของพวกเจ้าเองซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงในการนำส่งคำพยานอันลุ่มลึกและจริงแท้ต่อการกระทำของพระเจ้า

เราคิดว่า ความเข้าใจในปัจจุบันของพวกเจ้ายังคงตื้นเขินและเป็นไปตามตัวอักษรมากทีเดียว แต่เมื่อได้ฟังการสามัคคีธรรมของเราทั้งสองแง่มุมเหล่านี้แล้ว อย่างน้อยเจ้าสามารถระลึกได้หรือไม่ว่า อะไรคือวิธีการที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อจัดเตรียมให้กับมวลมนุษย์ หรือสิ่งใดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับมวลมนุษย์?  เจ้ามีมโนทัศน์พื้นฐาน ความเข้าใจพื้นฐานหรือไม่?  (มี)  แต่สองแง่มุมเหล่านี้ที่เราได้สามัคคีธรรมกันไปเกี่ยวโยงกับพระคัมภีร์หรือไม่?  สองแง่มุมเหล่านี้เกี่ยวโยงกับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักรหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเล่า เราจึงได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับสองแง่มุมนั้น?  เป็นเพราะผู้คนต้องเข้าใจสองแง่มุมนั้นเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักสิ่งเหล่านี้และก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน  ในขณะที่เจ้าพยายามเข้าใจพระเจ้าในความครบถ้วนทั้งมวลของพระองค์ จงอย่าจำกัดตัวเองกับพระคัมภีร์ และจงอย่าจำกัดตัวเองกับการที่พระเจ้าทรงพิพากษาและทรงตีสอนมนุษย์  จุดประสงค์ของเราที่พูดการนี้คืออะไร?  นั่นก็เพื่อให้ผู้คนรู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงเป็นเพียงพระเจ้าของประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร  ในเวลานี้เจ้าติดตามพระเจ้า และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกที่ไม่ติดตามพระองค์หรือไม่?  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพวกผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่ติดตามพระองค์หรือไม่?  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของทุกสรรพสิ่งหรือไม่?  (เป็น)  เช่นนั้นแล้วพระราชกิจและการกระทำของพระเจ้าถูกจำกัดในวงเขตเฉพาะบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์เท่านั้นหรือไม่?  (ไม่)  อะไรคือวงเขตของพระราชกิจและการกระทำของพระองค์?  ในระดับที่เล็กที่สุด วงเขตของพระราชกิจและการกระทำของพระองค์โอบล้อมมวลมนุษย์ทั้งปวงและทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้าง  ในระดับสูงสุด วงเขตนั้นโอบล้อมทั้งจักรวาล ซึ่งผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้  ดังนั้น พวกเราอาจพูดว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์และทรงแสดงการกระทำของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวง และนี่ก็เพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้ผู้คนมารู้จักพระเจ้าพระองค์เองในความครบถ้วนทั้งมวลของพระองค์  หากเจ้าต้องการรู้จักพระเจ้า รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง เข้าใจพระองค์อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว จงอย่าจำกัดตัวเองอยู่กับพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้า หรืออยู่กับเรื่องราวทั้งหลายเกี่ยวกับพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติในอดีตเท่านั้น  หากเจ้าพยายามรู้จักพระองค์ในหนทางนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังวางข้อจำกัดต่อพระเจ้า กำลังจำกัดขอบเขตพระองค์  เจ้ากำลังเห็นพระเจ้าทรงเป็นบางสิ่งที่เล็กมาก  การทำเช่นนั้นจะส่งผลต่อผู้คนอย่างไร?  เจ้าคงจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะรู้จักความน่าอัศจรรย์และมไหศวรรย์ของพระเจ้า อีกทั้งฤทธานุภาพและฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์และวงเขตแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์  ความเข้าใจเช่นนั้นคงจะมีผลกระทบต่อความสามารถของเจ้าที่จะยอมรับความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นองค์อธิปัตย์แห่งสรรพสิ่ง ตลอดจนความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระอัตลักษณ์และสถานภาพที่แท้จริงของพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้ามีวงเขตที่จำกัด เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าสามารถรับได้ก็จำกัดเช่นกัน  นี่คือเหตุผลที่เจ้าต้องทำให้วงเขตของเจ้ากว้างขึ้นและขยายเส้นขอบฟ้าของเจ้า  เจ้าควรพยายามเข้าใจสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด—วงเขตของพระราชกิจของพระเจ้า การบริหารจัดการของพระองค์ การปกครองของพระองค์ และทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงบริหารจัดการและที่พระองค์ทรงปกครอง  เจ้าควรมาเข้าใจการกระทำของพระเจ้าโดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้นี่เอง  ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ เจ้าจะมารู้สึกโดยไม่ทันตระหนักว่าพระเจ้าทรงปกครอง ทรงบริหารจัดการ และทรงจัดเตรียมไว้ให้ทุกสรรพสิ่งท่ามกลางพวกเขา และเจ้าก็จะรู้สึกอย่างแท้จริงว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งและสมาชิกคนหนึ่งของทุกสรรพสิ่งด้วยเช่นกัน  ในขณะที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ทุกสรรพสิ่ง เจ้าก็กำลังยอมรับการปกครองและการจัดเตรียมของพระเจ้าเช่นกัน  นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้  ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายใต้กฎของตัวเองภายใต้การปกครองของพระเจ้า และภายใต้การปกครองของพระเจ้า ทุกสรรพสิ่งมีกฎเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง  ชะตากรรมและความต้องการของมวลมนุษย์ก็ถูกพันธนาการไว้ด้วยกันกับการปกครองและการจัดเตรียมของพระเจ้าเช่นกัน  นั่นคือเหตุผลที่ภายใต้อำนาจครอบครองและการปกครองของพระเจ้า มวลมนุษย์และทุกสรรพสิ่งเชื่อมโยงกัน พึ่งพากันและกันและถักทอเข้าด้วยกัน  นี่คือจุดประสงค์และคุณค่าของการที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง

2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014

ก่อนหน้า: พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 7

ถัดไป: พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger