พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9

พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง (3)

ในช่วงเวลานี้ พวกเราได้พูดถึงหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับการรู้จักพระเจ้า และเมื่อไม่นานมานี้พวกเราได้พูดถึงหัวข้อซึ่งเกี่ยวข้องกับการนี้ และซึ่งมีความสำคัญใหญ่หลวง  อะไรคือหัวข้อนั้น?  (พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง)  ดูเหมือนว่าประเด็นต่างๆ และประเด็นหลักที่เราได้พูดถึงนั้นสร้างความประทับใจที่ชัดเจนให้กับทุกคน  ครั้งล่าสุดพวกเราได้พูดคุยเกี่ยวกับแง่มุมไม่กี่แง่มุมเรื่องสภาพแวดล้อมเพื่อการอยู่รอดที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นเพื่อมวลมนุษย์ รวมถึงเสบียงอาหารหลายประเภทซึ่งจำเป็นสำหรับผู้คนในการดำรงชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับมวลมนุษย์  ในข้อเท็จจริงนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงทำไม่จำกัดเพียงแค่การตระเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของผู้คน อีกทั้งไม่จำกัดเพียงแค่การตระเตรียมเสบียงอาหารในแต่ละวันของพวกเขา  ในทางตรงกันข้าม มันประกอบด้วยการทำงานที่ล้ำลึกและจำเป็นมากมายอันเกี่ยวข้องกับด้านและแง่มุมที่แตกต่างสารพันสำหรับการอยู่รอดของผู้คนและสำหรับชีวิตของมวลมนุษย์ให้เสร็จสมบูรณ์  เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นกิจการของพระเจ้า  กิจการเหล่านี้ของพระเจ้าไม่จำกัดเพียงแค่การทรงตระเตรียมของพระองค์ในเรื่องสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของผู้คนและเสบียงอาหารในแต่ละวันของพวกเขาเท่านั้น—พวกมันมีวงเขตที่กว้างกว่านั้นมาก  นอกเหนือจากพระราชกิจสองประเภทนี้แล้ว พระองค์ยังทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมและสภาพเงื่อนไขมากมายสำหรับการอยู่รอดซึ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ในการดำรงชีวิตเช่นกัน  นี่คือหัวข้อที่พวกเราจะหารือกันในวันนี้  มันยังเกี่ยวข้องกับกิจการของพระเจ้าอีกด้วย หากไม่เช่นนั้นแล้ว การพูดถึงหัวข้อดังกล่าวในที่นี้ก็คงจะไร้ความหมาย  หากผู้คนต้องการรู้จักพระเจ้าแต่พวกเขามีเพียงความเข้าใจตามตัวอักษรเกี่ยวกับ “พระเจ้า” ในฐานะที่เป็นคำคำหนึ่ง หรือต้องการรู้จักแง่มุมสารพัดเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นเท่านั้น เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมไม่ใช่ความเข้าใจที่แท้จริง  ดังนั้นแล้ว อะไรหรือคือเส้นทางไปสู่ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า?  มันคือการได้มารู้จักพระองค์โดยผ่านทางกิจการของพระองค์ และการได้มารู้จักพระองค์ในแง่มุมมากมายทั้งหมดของพระองค์  ดังนั้นแล้ว พวกเราต้องมีการสามัคคีธรรมเพิ่มเติมในหัวข้อเกี่ยวกับกิจการของพระเจ้า ณ เวลาที่พระองค์ได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้น

นับตั้งแต่ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้น พวกมันก็ทำหน้าที่และยังคงดำเนินก้าวหน้าต่อไปในวิถีทางที่เป็นระเบียบและโดยสอดคล้องกับธรรมบัญญัติที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติขึ้น  ภายใต้สายพระเนตรอันจับจ้องของพระองค์ ภายใต้การปกครองของพระองค์ ทุกสรรพสิ่งก็พัฒนาไปในทางที่เป็นระเบียบตลอดมา โดยเกิดขึ้นพร้อมกันกับการดำรงอยู่ของมนุษย์  ไม่มีสิ่งใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือทำลายธรรมบัญญัติเหล่านี้ได้  การที่สิ่งมีชีวิตทั้งปวงสามารถทวีจำนวนขึ้นได้นั้นเป็นเพราะการปกครองของพระเจ้า และการที่สิ่งมีชีวิตทั้งปวงสามารถอยู่รอดได้นั้นเป็นเพราะการปกครองและการบริหารจัดการของพระองค์  ดังนั้นภายใต้การปกครองของพระเจ้านั้นสิ่งมีชีวิตทั้งปวงมาดำรงอยู่ เจริญเติบโต หายไป และเกิดใหม่อย่างเป็นระเบียบ  เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ฝนพรำๆ นำมาซึ่งความรู้สึกของฤดูกาลอันสดชื่นและทำให้แผ่นดินโลกชุ่มชื้น  พื้นดินเริ่มอ่อนนุ่ม และหญ้าก็ดันตัวพ้นดินขึ้นมาและเริ่มแตกหน่อ ในขณะที่ต้นไม้ทั้งหลายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว  สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทั้งหมดนำความมีชีวิตชีวาอันสดชื่นมาสู่แผ่นดินโลก  นี่คือสิ่งที่เห็นกันได้เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวงกำลังมาดำรงอยู่และเจริญเติบโต  สัตว์ทุกชนิดออกมาจากโพรงของพวกมันเพื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิและเริ่มต้นปีใหม่  สิ่งมีชีวิตทั้งปวงอาบแดดในความร้อนในช่วงระหว่างฤดูร้อนและชื่นชมกับความอบอุ่นซึ่งฤดูกาลนำมา  พวกมันเติบโตอย่างรวดเร็ว  บรรดาต้นไม้ หญ้า และพืชทุกชนิดกำลังเติบโตด้วยความเร็วมาก จนกระทั่งพวกมันผลิดอกและออกผลในที่สุด  สิ่งมีชีวิตทั้งปวง รวมถึงมนุษย์ ต่างก็ยุ่งวุ่นวายในช่วงระหว่างฤดูร้อน  ในฤดูใบไม้ร่วง ฝนนำมาซึ่งความเย็นฉ่ำของฤดูใบไม้ร่วง และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเริ่มรู้สึกถึงการมาถึงของฤดูกาลเก็บเกี่ยว  สิ่งมีชีวิตทั้งปวงผลิดอกออกผล และมนุษย์ก็เริ่มเก็บเกี่ยวผลไม้หลากหลายชนิดเหล่านี้เพื่อที่จะมีอาหารตระเตรียมไว้สำหรับฤดูหนาว  ในฤดูหนาว สิ่งมีชีวิตทั้งปวงค่อยๆ เริ่มที่จะสงบลงในความเงียบและหยุดพักเมื่ออากาศหนาวย่างกรายเข้ามา และผู้คนก็หยุดพักผ่อนในระหว่างฤดูกาลนี้เช่นกัน  จากฤดูกาลสู่ฤดูกาล การเปลี่ยนผ่านจากฤดูใบไม้ผลิไปสู่ฤดูร้อนไปสู่ฤดูใบไม้ร่วงไปสู่ฤดูหนาว—ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้เกิดขึ้นตามธรรมบัญญัติหรือกฎที่พระเจ้าทรงบัญญัติ  พระองค์ทรงนำทางทุกสรรพสิ่งและมวลมนุษย์โดยใช้กฎเหล่านี้และได้ทรงคิดค้นหนทางแห่งชีวิตอันมีสีสันและมั่งคั่งเพื่อมวลมนุษย์ โดยทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อการอยู่รอดซึ่งมีอุณหภูมิและฤดูกาลอันแตกต่างหลากหลาย  ดังนั้น ภายในสภาพแวดล้อมอันเป็นระเบียบแบบแผนสำหรับการอยู่รอดประเภทนี้ มนุษย์จึงสามารถอยู่รอดและทวีจำนวนขึ้นในทางอันเป็นระเบียบแบบแผนได้  มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนกฎเหล่านี้ได้และไม่มีบุคคลหรือสิ่งมีชีวิตใดสามารถทำลายพวกมันได้  แม้ว่าจะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วนขึ้น—กล่าวคือ ทะเลได้กลายเป็นทุ่งหญ้า ในขณะที่ทุ่งหญ้าได้กลายเป็นทะเล—กฎเหล่านี้ก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป  พวกมันดำรงอยู่เพราะพระเจ้าทรงดำรงอยู่ และเพราะการปกครองของพระองค์และการบริหารจัดการของพระองค์  ด้วยสภาพแวดล้อมอันเป็นระเบียบแบบแผนขนาดใหญ่ประเภทนี้ ชีวิตของผู้คนจึงดำเนินไปภายในธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์เหล่านี้  ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้ถูกฟูมฟักขึ้นมาภายใต้ธรรมบัญญัติเหล่านี้ และผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้อยู่รอดตลอดมาภายใต้ธรรมบัญญัติ  ผู้คนได้ชื่นชมกับสภาพแวดล้อมอันเป็นระเบียบแบบแผนสำหรับการอยู่รอดนี้ ตลอดจนได้ชื่นชมกับหลายสิ่งหลายอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นสำหรับชนรุ่นแล้วรุ่นเล่า  แม้ว่าผู้คนจะรู้สึกว่ากฎประเภทนี้มีอยู่ตามธรรมชาติและมองข้ามอย่างดูแคลน และแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถรู้สึกได้ว่าพระเจ้ากำลังทรงจัดวางเรียบเรียงกฎเหล่านี้ ว่าพระเจ้ากำลังทรงปกครองกฎเหล่านี้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม พระเจ้าทรงเกี่ยวพันกับพระราชกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้เสมอ  พระประสงค์ของพระองค์ในพระราชกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้คือการอยู่รอดของมวลมนุษย์ และเพื่อที่มวลมนุษย์จะได้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไป

พระเจ้าทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับทุกสรรพสิ่งเพื่อที่จะเลี้ยงดูมวลมนุษย์ทั้งปวง

วันนี้ เราจะพูดถึงหัวข้อเกี่ยวกับว่า กฎประเภทนี้ที่พระเจ้าได้ทรงนำมาสู่ทุกสรรพสิ่งนั้น เลี้ยงดูมวลมนุษย์ทั้งปวงอย่างไร  นี่เป็นหัวข้อที่ค่อนข้างกว้าง ดังนั้นพวกเราจึงสามารถแบ่งมันออกเป็นหลายส่วนและหารือเกี่ยวกับส่วนต่างๆ ทีละหัวข้อเพื่อที่จะสามารถวาดเค้าโครงส่วนต่างๆ เหล่านี้สำหรับพวกเจ้าได้อย่างชัดเจน  ด้วยหนทางนี้ จะเป็นการง่ายขึ้นที่พวกเจ้าจะจับความเข้าใจและพวกเจ้าจะสามารถค่อยๆ เข้าใจมันได้

ส่วนที่หนึ่ง: พระเจ้าทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับภูมิประเทศแต่ละชนิด

ดังนั้น พวกเรามาเริ่มกันที่ส่วนแรกเถิด  เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงวาดอาณาเขตสำหรับภูเขา ที่ราบ ทะเลทราย เนินเขา แม่น้ำ และทะเลสาบ  บนแผ่นดินโลกมีภูเขา ที่ราบ ทะเลทราย และเนินเขา ตลอดจนแหล่งน้ำอันหลากหลาย  เหล่านี้ประกอบขึ้นเป็นภูมิประเทศประเภทต่างๆ กัน มิใช่หรือ?  พระเจ้าได้ทรงวาดอาณาเขตขึ้นระหว่างภูมิประเทศเหล่านี้  เมื่อพวกเราพูดถึงการวาดอาณาเขต มันหมายความว่าภูเขามีภาพเค้าโครงของพวกมัน ที่ราบมีภาพเค้าโครงของพวกมันเอง ทะเลทรายมีเขตจำกัดที่แน่นอน และเนินเขามีพื้นที่ตายตัว  ยังมีปริมาณที่ตายตัวของแหล่งน้ำต่างๆ อาทิ แม่น้ำและทะเลสาบอีกด้วย  กล่าวคือ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงแบ่งทุกสิ่งทุกอย่างไว้อย่างชัดเจนมาก  พระเจ้าได้ทรงกำหนดพิจารณาแล้วว่า ภูเขาที่ให้ไว้ลูกใดก็ตามควรมีรัศมีกี่กิโลเมตรและวงเขตของมันคืออะไร  พระองค์ยังได้ทรงกำหนดพิจารณาอีกด้วยว่า ที่ราบที่ให้ไว้ผืนใดควรมีรัศมีกี่กิโลเมตรและวงเขตของมันมีเท่าไร  เมื่อทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ยังได้ทรงกำหนดพิจารณาเขตจำกัดของทะเลทรายตลอดจนแนวเขตของเนินเขาและสัดส่วนของพวกมัน และพวกมันถูกกั้นเขตด้วยอะไรอีกด้วย—ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดพิจารณาโดยพระองค์  พระองค์ได้ทรงกำหนดพิจารณาแนวเขตของแม่น้ำและทะเลสาบในระหว่างกิจการแห่งการทรงสร้างพวกมัน—พวกมันทั้งหมดมีอาณาเขตของพวกมัน  ดังนั้นแล้วเมื่อพวกเราพูดคุยเกี่ยวกับ “อาณาเขต” มันหมายถึงอะไร?  พวกเราเพิ่งได้พูดคุยกันไปเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงปกครองทุกสรรพสิ่งโดยการทรงจัดตั้งกฎสำหรับทุกสรรพสิ่ง  กล่าวคือ แนวเขตและอาณาเขตของภูเขาจะไม่ขยายหรือลดลงเพราะการหมุนของแผ่นดินโลกหรือการผ่านพ้นของกาลเวลา  พวกมันคงอยู่ตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นพระเจ้านั่นเองที่เป็นผู้ที่ทรงบงการความไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ของพวกมัน  ในส่วนของพื้นที่ทั้งหลายของที่ราบ แนวเขตของพวกมันคืออะไร พวกมันมีอาณาเขตติดกับอะไร—การนี้ได้ถูกกำหนดโดยพระเจ้า  พวกมันมีอาณาเขตของพวกมัน และดังนั้นจึงคงจะเป็นไปไม่ได้ที่เนินดินจะผุดขึ้นจากพื้นดินของที่ราบอย่างไร้แบบแผน  ที่ราบไม่สามารถกลายเป็นภูเขาได้ในฉับพลันทันใด—นี่คงจะเป็นไปไม่ได้  นี่คือความหมายของกฎและอาณาเขตที่พวกเราเพิ่งพูดคุยกันไป  ในส่วนของทะเลทราย พวกเราจะไม่เอ่ยถึงหน้าที่เฉพาะพิเศษของทะเลทรายหรือภูมิประเทศหรือที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ประเภทอื่นใด ณ ที่นี้ จะเอ่ยถึงเฉพาะอาณาเขตของพวกมันเท่านั้น  ภายใต้การปกครองของพระเจ้า เขตจำกัดของทะเลทรายจะไม่ขยายเช่นกัน  นี่เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงให้กฎของมันแก่มันแล้ว ซึ่งก็คือเขตจำกัดต่างๆ ของมัน  พื้นที่ของมันมีขนาดใหญ่เพียงใดและหน้าที่ของมันคืออะไร มันมีเขตแดนติดกับอะไร และมันตั้งอยู่ที่ใด—การนี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้วโดยพระเจ้า  มันจะไม่มีขนาดเกินกว่าเขตจำกัดของมันหรือขยับเคลื่อนจากตำแหน่งของมัน และพื้นที่ของมันจะไม่ขยายโดยพลการ  แม้ว่าการไหลของห้วงน้ำต่างๆ  อาทิ แม่น้ำและทะเลสาบ จะเป็นไปอย่างมีระเบียบและต่อเนื่องทั้งหมด พวกมันจะไม่มีวันเคลื่อนออกนอกแนวเขตของพวกมันหรือเลยออกไปจากอาณาเขตของพวกมัน  พวกมันทั้งหมดไหลไปในทิศทางเดียว ทิศทางซึ่งพวกมันควรจะไหล ในวิถีอันเป็นระเบียบแบบแผน  ดังนั้นภายใต้ธรรมบัญญัติแห่งการปกครองของพระเจ้า ไม่มีแม่น้ำหรือทะเลสาบใดที่จะแห้งเหือดโดยพลการหรือเปลี่ยนทิศทางหรือปริมาณการไหลของมันโดยพลการอันเนื่องมาจากการหมุนของแผ่นดินโลกหรือการผ่านพ้นของกาลเวลา  ทั้งหมดนี้อยู่ภายในการควบคุมของพระเจ้า  นั่นจึงกล่าวได้ว่า ทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างในท่ามกลางมวลมนุษย์นี้มีสถานที่ พื้นที่ และเขตจำกัดของพวกมันที่ถูกกำหนดไว้แล้ว  กล่าวคือ เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมา อาณาเขตของพวกมันได้ถูกตั้งขึ้น และพวกมันไม่สามารถถูกดัดแปลงแก้ไข ทำใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงได้โดยพลการ  “โดยพลการ” หมายถึงอะไร?  มันหมายถึงว่าพวกมันจะไม่ขยับเคลื่อน ขยาย หรือเปลี่ยนแปลงรูปทรงดั้งเดิมของพวกมันอย่างไร้แบบแผนเนื่องจากสภาพอากาศ อุณหภูมิ หรือความเร็วในการหมุนของแผ่นดินโลก  ตัวอย่างเช่น ภูเขาลูกหนึ่งมีความสูงที่ระดับหนึ่ง มีฐานครอบคลุมพื้นที่หนึ่ง มีระดับความสูงเหนือน้ำทะเลที่ระดับหนึ่ง และมีพืชพรรณจำนวนหนึ่ง  ทั้งหมดนี้ได้ถูกวางแผนและคำนวณโดยพระเจ้าและมันจะไม่เปลี่ยนแปลงโดยพลการ  ในส่วนของที่ราบ มนุษย์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในที่ราบ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงในภูมิอากาศใดที่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ของพวกมันหรือคุณค่าของการดำรงอยู่ของพวกมัน  แม้กระทั่งสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ภายในภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันหลากหลายเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นก็จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยพลการ  ตัวอย่างเช่น องค์ประกอบของทะเลทราย ชนิดของแหล่งแร่ใต้ดิน ปริมาณของทรายที่มีอยู่ในทะเลทรายและสีสันของมัน ความหนาของทะเลทราย—เหล่านี้จะไม่เปลี่ยนแปลงโดยพลการ  เหตุใดพวกมันจะไม่เปลี่ยนแปลงโดยพลการ?  เป็นเพราะการปกครองของพระเจ้าและการบริหารจัดการของพระองค์  ภายในภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันแตกต่างกันเหล่านี้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น พระองค์กำลังทรงบริหารจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในหนทางอันเป็นระเบียบแบบแผนและดังที่ได้วางแผนการไว้  ดังนั้นสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์เหล่านี้ทั้งหมดยังคงดำรงอยู่และยังกำลังทำหน้าที่ของพวกมันมาเป็นเวลาหลายพันปีและกระทั่งหลายหมื่นปีด้วยซ้ำหลังจากที่พวกมันได้ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมา  แม้จะมีบางช่วงเวลาเฉพาะที่ภูเขาไฟระเบิด และช่วงเวลาที่เกิดแผ่นดินไหว และมีการเคลื่อนตัวของแผ่นดินครั้งใหญ่ พระเจ้าจะไม่ทรงยอมให้ภูมิประเทศชนิดใดก็ตามสูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันอย่างแน่นอน  เป็นเพราะการบริหารจัดการนี้โดยพระเจ้า การปกครองและการควบคุมกฎเหล่านี้ของพระองค์เท่านั้น ที่ทั้งหมดนี้—กล่าวคือ ทั้งหมดนี้ซึ่งมวลมนุษย์ได้เห็นและได้ชื่นชม—จะสามารถอยู่รอดได้บนแผ่นดินโลกในวิถีอันเป็นระเบียบแบบแผน  ดังนั้นแล้ว เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงบริหารจัดการภูมิประเทศอันหลากหลายเหล่านี้ทั้งหมดที่ดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกในหนทางนี้?  พระประสงค์ของพระองค์นั้นก็เพื่อที่สิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่รอดในสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันหลากหลายทั้งหมดจะมีสภาพแวดล้อมที่มั่นคง และเพื่อที่พวกเขาจะมีความสามารถดำรงชีวิตและทวีจำนวนขึ้นต่อไปได้ภายในสภาพแวดล้อมที่มั่นคงนั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้—สิ่งที่เคลื่อนที่ได้และสิ่งที่เคลื่อนที่ไม่ได้ สิ่งที่หายใจโดยผ่านทางจมูกของพวกมันและสิ่งที่ไม่หายใจ—ประกอบขึ้นเป็นสภาพแวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์สำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์  เฉพาะสภาพแวดล้อมประเภทนี้เท่านั้นที่มีความสามารถที่จะเลี้ยงดูมนุษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าได้ และเฉพาะสภาพแวดล้อมประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถอำนวยให้มนุษย์อยู่รอดต่อไปได้อย่างสันติสุข รุ่นแล้วรุ่นเล่า

สิ่งที่เราเพิ่งจะพูดถึงนั้นเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างกว้างสักเล็กน้อย ดังนั้น บางทีมันอาจจะดูเหมือนว่าค่อนข้างห่างไกลจากชีวิตของพวกเจ้า แต่เราเชื่อว่าพวกเจ้าทั้งหมดสามารถเข้าใจมันได้  นั่นจึงกล่าวได้ว่า กฎของพระเจ้าภายในอำนาจครอบครองที่พระองค์ทรงมีเหนือสรรพสิ่งนั้นสำคัญมาก—สำคัญมากจริงๆ!  อะไรคือเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการเติบโตของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงภายใต้กฎเหล่านี้?  เป็นเพราะการปกครองของพระเจ้า  เป็นเพราะการปกครองของพระองค์นั่นเองที่ทุกสรรพสิ่งดำเนินหน้าที่ของพวกมันเองภายในการปกครองของพระองค์  ตัวอย่างเช่น ภูเขาเลี้ยงดูป่าและในทางกลับกันป่าก็เลี้ยงดูและปกป้องนกและสิงสาราสัตว์สารพัดที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในป่า  ที่ราบต่างๆ เป็นเวทีที่ถูกตระเตรียมสำหรับมนุษย์เพื่อเพาะปลูกพืชผลตลอดจนสำหรับบรรดานกและสิงสาราสัตว์สารพัน  ที่ราบอำนวยให้มวลมนุษย์ส่วนใหญ่ดำรงชีวิตบนผืนดินที่ราบเรียบและจัดเตรียมความสะดวกในชีวิตของผู้คน  และที่ราบยังมีทุ่งหญ้ารวมอยู่ด้วย—ทิวแถวอันมหึมาของทุ่งหญ้า  ทุ่งหญ้าจัดเตรียมพืชคลุมดินสำหรับพื้นของแผ่นดินโลก  พวกมันปกป้องดินและเลี้ยงดูบรรดาวัวควาย แกะ และม้าที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้า  ทะเลทรายก็มีหน้าที่ของมันเองเช่นกัน  มันไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์จะดำรงชีวิต บทบาทของมันก็คือทำให้ภูมิอากาศชื้นนั้นแห้งขึ้น  การไหลของแม่น้ำและทะเลสาบนำน้ำดื่มมาสู่ผู้คนในหนทางที่สะดวก  ที่ใดก็ตามที่พวกมันไหลไป ผู้คนจะมีน้ำไว้ดื่มและความต้องการน้ำของทุกสรรพสิ่งจะได้รับการตอบสนองอย่างสะดวก  เหล่านี้คืออาณาเขตที่พระเจ้าทรงวาดขึ้นสำหรับภูมิประเทศอันหลากหลาย

ส่วนที่สอง: พระเจ้าทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับชีวิตแต่ละรูปแบบ

เพราะอาณาเขตที่พระเจ้าได้ทรงวาดขึ้นเหล่านี้ ภูมิประเทศอันหลากหลายจึงได้สร้างสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันสำหรับการอยู่รอด และสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดเหล่านี้ก็ได้ให้ความสะดวกสบายสำหรับนกและสิงสาราสัตว์หลากหลายชนิดและยังได้ให้พื้นที่ที่จะอยู่รอดแก่พวกมันอีกด้วย  จากการนี้อาณาเขตของสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตอันหลากหลายได้ถูกพัฒนาขึ้น  นี่คือส่วนที่สองที่พวกเราจะพูดคุยกันเป็นลำดับถัดไป  ก่อนอื่น นกและสิงสาราสัตว์และแมลงทั้งหลายดำรงชีวิตอยู่ที่ไหน?  พวกมันดำรงชีวิตอยู่ในป่าและป่าละเมาะหรือไม่?  เหล่านี้คือบ้านของพวกมัน  ดังนั้นแล้ว นอกเหนือจากการตั้งอาณาเขตสำหรับสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันหลากหลายแล้ว พระเจ้ายังได้ทรงวาดอาณาเขตและได้ทรงจัดตั้งกฎต่างๆ สำหรับบรรดานกและสิงสาราสัตว์ ปลา แมลงอันหลากหลาย และพืชพรรณทั้งหมดเช่นกัน  เพราะความแตกต่างระหว่างสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันหลากหลายและเพราะการดำรงอยู่ของสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันแตกต่างกัน บรรดานกและสิงสาราสัตว์ ปลา แมลงทั้งหลาย และพืชพรรณต่างประเภทกันจึงมีสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่แตกต่างกัน  นกและสิงสาราสัตว์และแมลงทั้งหลายมีชีวิตท่ามกลางพืชพรรณอันหลากหลาย ปลามีชีวิตอยู่ในน้ำ และพืชพรรณเติบโตบนแผ่นดิน  แผ่นดินรวมพื้นที่อันหลากหลาย อาทิ ภูเขา ที่ราบ และเนินเขาเข้าไว้ด้วยกัน  ทันทีที่นกและสัตว์ร้ายมีบ้านที่กำหนดไว้ของพวกมันเองแล้ว พวกมันจะไม่ร่อนเร่ไปทั่วทุกทิศทุกทาง  บ้านของพวกมันคือป่าและภูเขา  หากวันหนึ่งบ้านของพวกมันถูกทำลาย ระเบียบนี้ก็คงจะตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน  ทันทีที่ระเบียบนี้ตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน ผลที่ตามมาคืออะไร?  ใครเป็นคนแรกที่จะบาดเจ็บ?  เป็นมวลมนุษย์นั่นเอง  ภายในกฎและเขตจำกัดเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทรงตั้งขึ้น พวกเจ้าได้เห็นปรากฏการณ์ที่แปลกตาใดๆ หรือไม่?  ตัวอย่างเช่น ช้างที่เดินอยู่ในทะเลทราย  เจ้าได้เห็นอะไรเยี่ยงนี้หรือไม่?  หากการนี้เกิดขึ้นจริงๆ มันคงจะเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกมาก เพราะช้างนั้นใช้ชีวิตอยู่ในป่า และนั่นเป็นสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับพวกมัน  พวกมันมีสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของพวกมันเองและบ้านที่กำหนดไว้ของพวกมันเอง ดังนั้นแล้วเหตุใดพวกมันจึงจะวิ่งพล่านไปทั่วเล่า?  มีใครบ้างไหมที่เคยเห็นสิงโตหรือเสือที่เดินไปตามชายฝั่งของมหาสมุทร?  ไม่มี พวกเจ้าไม่เคยเห็น  บ้านของสิงโตและเสือคือป่าและภูเขา  มีใครบ้างไหมที่เคยเห็นวาฬหรือปลาฉลามแห่งมหาสมุทรว่ายผ่านทะเลทราย?  ไม่มี พวกเจ้าไม่เคยเห็น  วาฬและปลาฉลามมีบ้านของพวกมันอยู่ในมหาสมุทร  ในสภาพแวดล้อมของการดำรงชีวิตของมนุษย์ มีผู้คนที่ใช้ชีวิตเคียงข้างหมีสีน้ำตาลหรือไม่?  มีผู้คนที่ถูกล้อมรอบไปด้วยนกยูงหรือนกชนิดอื่นๆ ภายในหรือภายนอกบ้านของพวกเขาอยู่เสมอหรือไม่?  มีใครบ้างไหมที่เคยเห็นนกอินทรีหรือห่านป่าเล่นกับลิง?  (ไม่)  เหล่านี้ทั้งหมดคงจะเป็นปรากฏการณ์ที่แปลก  เหตุผลที่เราพูดถึงสิ่งเหล่านี้ซึ่งดูเหมือนว่าแปร่งหูมากสำหรับพวกเจ้าก็เพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจว่าทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง—ไม่ว่าพวกมันจะถูกกำหนดให้อยู่ในที่แห่งหนึ่ง หรือไม่ว่าพวกมันสามารถใช้จมูกของพวกมันหายใจได้หรือไม่ก็ตาม—มีกฎสำหรับการอยู่รอดของพวกมันเอง  นานมาแล้วก่อนที่พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ พระองค์ได้ทรงตระเตรียมบ้านของพวกมันเองและสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของพวกมันเองสำหรับพวกมันแล้ว  สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่ตายตัวของพวกมันเอง อาหารของพวกมันเองและบ้านของพวกมันเอง และพวกมันมีสถานที่ซึ่งเหมาะสมสำหรับการอยู่รอดที่ตายตัวของพวกมันเอง สถานที่ซึ่งมีอุณหภูมิอันเหมาะสมสำหรับการอยู่รอดของพวกมัน  ด้วยเหตุนี้ พวกมันจึงจะไม่เร่ร่อนไปทั่วทุกทิศทุกทางหรือบ่อนทำลายการอยู่รอดของมวลมนุษย์หรือส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คน  นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงบริหารจัดการทุกสรรพสิ่ง ทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่ดีที่สุดให้แก่มวลมนุษย์  สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดภายในทุกสรรพสิ่งมีอาหารเพื่อการยังชีพของพวกมันเองภายในสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของพวกมันเอง  ด้วยอาหารนั้น พวกมันจึงชอบสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติสำหรับการอยู่รอดของพวกมัน  ในสภาพแวดล้อมประเภทนั้น พวกมันยังคงอยู่รอด ทวีจำนวน และขยับเดินหน้าต่อไปโดยสอดคล้องกับกฎที่พระเจ้าได้ทรงจัดตั้งขึ้นสำหรับพวกมัน  เพราะกฎชนิดต่างๆ เหล่านี้ เพราะการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระเจ้า ทุกสรรพสิ่งจึงดำรงชีวิตอย่างกลมเกลียวกับมวลมนุษย์ และมวลมนุษย์ดำรงอยู่ร่วมกันกับทุกสรรพสิ่งโดยการพึ่งพาซึ่งกันและกัน

ส่วนที่สาม: พระเจ้าทรงค้ำชูสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศเพื่อทะนุบำรุงมวลมนุษย์

พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและได้ทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับพวกมัน ในท่ามกลางสรรพสิ่งพระองค์ได้ทรงเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตทุกชนิด  ในขณะเดียวกัน พระองค์ยังได้ทรงตระเตรียมวิถีทางที่แตกต่างกันในการอยู่รอดสำหรับมวลมนุษย์ ดังนั้นแล้วเจ้าสามารถเห็นได้ว่ามนุษย์ไม่ได้มีแค่หนทางเดียวที่จะอยู่รอด อีกทั้งพวกเขาไม่ได้มีแค่สภาพแวดล้อมประเภทเดียวสำหรับการอยู่รอด  ก่อนหน้านี้พวกเราได้พูดคุยเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงตระเตรียมอาหารและแหล่งน้ำนานาชนิดสำหรับมนุษย์ ซึ่งมีความจำเป็นขั้นวิกฤติสำหรับการเปิดโอกาสให้ชีวิตของมวลมนุษย์ในเนื้อหนังได้คงอยู่ต่อไป  อย่างไรก็ดี ท่ามกลางมวลมนุษย์นี้ มิใช่ว่าผู้คนทั้งหมดจะดำรงชีพด้วยธัญพืช  ผู้คนมีวิถีทางในการอยู่รอดอันแตกต่างกันเนื่องจากความแตกต่างในสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และภูมิประเทศ  วิถีทางในการอยู่รอดเหล่านี้ทั้งหมดได้ถูกตระเตรียมไว้แล้วโดยพระเจ้า  ดังนั้นแล้วมิใช่ว่ามนุษย์ทั้งหมดจะทำการเกษตรเป็นหลัก  กล่าวคือ มิใช่ว่าผู้คนทั้งหมดจะได้อาหารของพวกเขาจากการปลูกพืชผล  นี่คือส่วนที่สามที่พวกเราจะพูดคุยกัน กล่าวคือ อาณาเขตได้เกิดขึ้นเนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตอันหลากหลายของมวลมนุษย์  ดังนั้นแล้วพวกมนุษย์มีรูปแบบการใช้ชีวิตชนิดอื่นใดอีกหรือ?  ในแง่ของแหล่งอาหารซึ่งแตกต่างกัน มีผู้คนประเภทอื่นใดอีกหรือ?  มีชนิดหลักๆ อยู่หลายชนิดเลย

ชนิดแรกคือลีลาชีวิตแบบการล่าสัตว์  ทุกคนรู้ว่านั่นคืออะไร ผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์กินอะไร?  (สัตว์ที่ล่ามาได้)  พวกเขากินนกและสิงสาราสัตว์จากป่า  “สัตว์ที่ล่ามาได้” เป็นคำศัพท์สมัยใหม่  บรรดานายพรานไม่คิดว่ามันเป็นสัตว์ที่ล่ามาได้ พวกเขาคิดว่ามันเป็นอาหาร เป็นเสบียงอาหารในแต่ละวันของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น พวกเขาได้กวางมาตัวหนึ่ง  เมื่อพวกเขาได้กวางตัวนี้มา มันก็เหมือนกับชาวนาที่ได้อาหารมาจากผืนดิน  ชาวนาได้อาหารจากผืนดิน และเมื่อเขาเห็นอาหารนี้ เขามีความสุขและรู้สึกสบายใจ  ครอบครัวจะไม่หิวด้วยมีพืชผลให้กิน  หัวใจของชาวนาปราศจากความวิตกกังวลและเขารู้สึกพึงพอใจ  นายพรานก็รู้สึกสบายใจและพึงพอใจเช่นกันเมื่อมองดูสิ่งที่เขาได้จับมาเพราะเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอาหารอีกต่อไป  มีอะไรให้กินสำหรับมื้ออาหารถัดไปและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหิวโหย  นี่คือใครบางคนที่ล่าสัตว์เพื่อหาเลี้ยงชีพ  บรรดาผู้ที่ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าบนภูเขา  พวกเขาไม่ทำการเกษตร  มันไม่ง่ายที่จะหาที่ดินที่สามารถทำการเพาะปลูกได้ที่นั่น ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่รอดด้วยสิ่งมีชีวิตอันหลากหลาย เหยื่อหลากหลายประเภท  นี่คือรูปแบบการใช้ชีวิตประเภทแรกที่แตกต่างไปจากผู้คนธรรมดาทั่วไป

ชนิดที่สองคือวิถีชีวิตของคนเลี้ยงสัตว์  ผู้คนที่เลี้ยงสัตว์เพื่อหาเลี้ยงชีพนั้นทำการเกษตรบนที่ดินของพวกเขาไปด้วยหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้นแล้วพวกเขาทำอะไรกันเล่า?  พวกเขาดำรงชีวิตอย่างไร?  (โดยส่วนใหญ่ พวกเขาเลี้ยงวัวควายและแกะเพื่อดำรงชีวิต และในฤดูหนาวพวกเขาก็ฆ่าและกินปศุสัตว์ของพวกเขา  อาหารหลักของพวกเขาคือเนื้อวัวและเนื้อแกะ และพวกเขาดื่มชานม  แม้ว่าบรรดาคนเลี้ยงสัตว์จะมีงานมากตลอดทั้งสี่ฤดูกาล พวกเขาก็กินอย่างดี  พวกเขามีนม ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม และเนื้อสัตว์มากมาย)  ผู้คนที่เลี้ยงสัตว์เพื่อการดำรงชีวิตกินเนื้อวัวและเนื้อแกะเป็นหลัก ดื่มนมแกะและนมวัว และขี่วัวควายและม้าในการเลี้ยงสัตว์ของพวกเขาในทุ่งหญ้าโดยมีสายลมสดชื่นพัดผ่านพวกเขาและแสงแดดอาบใบหน้าของพวกเขา  พวกเขาไม่เผชิญกับความตึงเครียดของชีวิตสมัยใหม่  วันทั้งวันพวกเขาจับจ้องไปที่ท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ไพศาลและที่ราบอันเต็มไปด้วยต้นหญ้า  ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์มีชีวิตอยู่ในทุ่งหญ้า และพวกเขามีความสามารถที่จะสืบสานวิถีชีวิตเร่ร่อนของพวกเขาต่อมาเป็นเวลาหลายชั่วคน  แม้ว่าชีวิตในทุ่งหญ้าจะเงียบเหงาเล็กน้อย แต่มันก็เป็นชีวิตที่มีความสุขมากเช่นกัน  มันหาใช่วิถีชีวิตที่ย่ำแย่ไม่!

ชนิดที่สามคือวิถีชีวิตการทำประมง  มนุษยชาติในสัดส่วนที่เล็กน้อยใช้ชีวิตอยู่ใกล้มหาสมุทรหรือบนเกาะเล็กๆ  พวกเขามีน้ำล้อมรอบ หันหน้าเข้าหามหาสมุทร  ผู้คนเหล่านี้ทำการประมงเพื่อหาเลี้ยงชีพ อะไรคือแหล่งอาหารสำหรับบรรดาผู้ที่ทำการประมงเพื่อหาเลี้ยงชีพ?  แหล่งอาหารของพวกเขารวมถึงปลา อาหารทะเล และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากทะเลทุกชนิด  ผู้คนที่ทำการประมงเพื่อหาเลี้ยงชีพไม่ทำการเกษตรบนที่ดิน แต่กลับใช้ทุกๆ วันในการทำประมง  อาหารหลักของพวกเขาประกอบด้วยปลาและผลิตภัณฑ์จากทะเลหลากหลายชนิด  พวกเขาแลกสิ่งเหล่านี้เป็นข้าว แป้ง และสิ่งจำเป็นพื้นฐานในแต่ละวันเป็นครั้งคราว  นี่คือลีลาชีวิตที่แตกต่างซึ่งผู้คนที่ดำรงชีวิตใกล้น้ำนำมาใช้  ด้วยความที่ดำรงชีวิตใกล้น้ำ พวกเขาจึงพึ่งพาน้ำสำหรับอาหารของพวกเขา และหาเลี้ยงชีพจากการทำประมง  การทำประมงไม่เพียงให้แหล่งอาหารแก่พวกเขาเท่านั้น แต่ยังให้วิถีทางในการทำมาหากินอีกด้วย

นอกเหนือจากการทำการเกษตรบนที่ดินแล้ว มนุษยชาติดำรงชีวิตส่วนใหญ่ตามวิถีชีวิตสามแบบที่กล่าวถึงข้างต้น  อย่างไรก็ดี ผู้คนส่วนใหญ่ทำการเกษตรเพื่อหาเลี้ยงชีพ โดยมีเพียงกลุ่มคนไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่ดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงสัตว์ ทำประมง และล่าสัตว์  และผู้คนที่ดำรงชีวิตด้วยการทำการเกษตรจำเป็นต้องมีอะไร?  สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมีคือที่ดิน  พวกเขารุ่นแล้วรุ่นเล่าดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูกพืชผลในผืนดิน และไม่ว่าพวกเขาจะปลูกผัก ผลไม้ หรือธัญพืช พวกเขาก็ได้อาหารและสิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวันของพวกเขามาจากแผ่นดินโลกนั่นเอง

อะไรคือสภาพเงื่อนไขพื้นฐานที่สนับสนุนลีลาชีวิตมนุษย์อันแตกต่างกันเหล่านี้?  ไม่ใช่ว่าสภาพแวดล้อมต่างๆ ในที่ซึ่งพวกเขามีความสามารถที่จะอยู่รอดได้นั้นจำเป็นต้องได้รับการสงวนรักษาไว้ในระดับพื้นฐานหรอกหรือ?  กล่าวคือ หากบรรดาผู้ที่ยังชีพด้วยการล่าจะต้องเสียป่าบนภูเขาหรือหมู่นกและสิงสาราสัตว์ไป แหล่งทำมาหากินของพวกเขาคงจะสูญสิ้น  ทิศทางที่ชาติพันธุ์นี้และผู้คนจำพวกนี้ควรไปก็คงจะกลับกลายเป็นไม่แน่นอน และพวกเขาอาจจะหายไปด้วยซ้ำ  แล้วบรรดาผู้ที่ทำมาหากินด้วยการเลี้ยงสัตว์เล่า?  พวกเขาพึ่งพาอะไร?  สิ่งที่พวกเขาพึ่งพาอย่างแท้จริงไม่ใช่ปศุสัตว์ของพวกเขา แต่เป็นสภาพแวดล้อมที่ปศุสัตว์ของพวกเขาสามารถอยู่รอดได้—ทุ่งหญ้า  หากไม่มีทุ่งหญ้า บรรดาคนเลี้ยงสัตว์จะหาหญ้าให้ปศุสัตว์ของพวกเขากินได้ที่ไหน?  วัวควายและแกะจะกินอะไร?  หากปราศจากปศุสัตว์ กลุ่มชนเร่ร่อนเหล่านี้คงจะไม่มีทางทำมาหากิน  หากปราศจากแหล่งที่มาสำหรับการทำมาหากินของพวกเขา กลุ่มชนเหล่านี้จะไปที่ไหน?  มันคงจะกลายเป็นลำบากยากเย็นมากที่พวกเขาจะยังคงอยู่รอดต่อไป พวกเขาคงจะไม่มีอนาคต  หากไม่มีแหล่งน้ำ และแม่น้ำกับทะเลสาบแห้งเหือดไปหมด ปลาทั้งหมดนั้นซึ่งพึ่งพิงน้ำในการมีชีวิตจะยังคงดำรงอยู่หรือไม่?  พวกมันคงจะไม่  ผู้คนเหล่านี้ที่พึ่งพิงน้ำและปลาเพื่อการทำมาหากินของพวกเขาจะยังคงอยู่รอดต่อไปหรือไม่?  เมื่อพวกเขาไม่มีอาหารอีกต่อไป เมื่อพวกเขาไม่มีแหล่งที่มาสำหรับการทำมาหากินของพวกเขาอีกต่อไป กลุ่มชนเหล่านี้คงจะไม่มีความสามารถที่จะอยู่รอดต่อไปได้  กล่าวคือ หากชาติพันธุ์ใดๆ เกิดประสบปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากินของพวกเขาหรือการอยู่รอดของพวกเขา เช่นนั้นแล้วชาติพันธุ์นั้นก็คงจะไม่มีอยู่อีกต่อไป และพวกเขาก็สามารถหายไปจากพื้นโลกและสูญพันธุ์ได้  และหากบรรดาผู้ที่ทำการเกษตรเพื่อหาเลี้ยงชีพสูญเสียที่ดินของพวกเขาไป หากพวกเขาไม่สามารถเพาะปลูกพืชพรรณทุกประเภทและได้รับอาหารจากพืชพรรณเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร?  หากปราศจากอาหาร ผู้คนจะไม่อดตายหรอกหรือ?  หากผู้คนกำลังจะอดตาย มนุษย์เผ่าพันธุ์นั้นจะไม่ถูกลบหายไปหรอกหรือ?  ดังนั้นแล้วนี่จึงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าในการคงไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมประเภทต่างๆ กัน  พระเจ้ามีพระประสงค์หนึ่งอย่างเท่านั้นในการธำรงไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศอันแตกต่างกันและสิ่งมีชีวิตอันแตกต่างกันทั้งหมดภายในสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศเหล่านั้น—และนั่นก็เป็นไปเพื่อเลี้ยงดูผู้คนทุกประเภท เพื่อเลี้ยงดูผู้คนที่ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ซึ่งแตกต่างกัน

หากสิ่งทรงสร้างทั้งหมดสูญเสียกฎของพวกมันไป พวกมันคงจะไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป หากกฎแห่งทุกสรรพสิ่งได้สูญหายไป เช่นนั้นแล้วสิ่งมีชีวิตท่ามกลางทุกสรรพสิ่งก็คงจะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้  มนุษยชาติคงจะสูญเสียสภาพแวดล้อมของพวกเขาซึ่งพวกเขาพึ่งพาเพื่อการอยู่รอดด้วยเช่นกัน  หากมนุษยชาติสูญเสียทั้งหมดนั้น พวกเขาคงจะไม่มีความสามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ดังที่พวกเขาได้ทำเรื่อยมา เพื่อเจริญเติบโตและทวีจำนวนรุ่นแล้วรุ่นเล่า  เหตุผลที่มนุษย์ได้อยู่รอดมาจนกระทั่งบัดนี้เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงจัดหาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดให้แก่พวกเขาเพื่อเลี้ยงดูพวกเขา เพื่อเลี้ยงดูมวลมนุษย์ในหนทางที่แตกต่างกัน  เป็นเพราะพระเจ้าทรงเลี้ยงดูมวลมนุษย์ในหนทางที่แตกต่างกันเท่านั้น มวลมนุษย์จึงได้อยู่รอดมาจนกระทั่งบัดนี้ในปัจจุบันนี้  ด้วยสภาพแวดล้อมที่ตายตัวสำหรับการอยู่รอดอันเป็นคุณและมีกฎธรรมชาติเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในนั้น ผู้คนต่างประเภททั้งหมดของแผ่นดินโลก เผ่าพันธุ์ที่ต่างกันทั้งหมด จึงสามารถอยู่รอดได้ภายในพื้นที่ที่กำหนดให้ของพวกเขาเอง  ไม่มีใครสามารถไปพ้นจากพื้นที่เหล่านี้หรือเขตคั่นระหว่างพวกมันได้ เป็นเพราะพระเจ้านั่นเองที่ได้ทรงวาดเค้าโครงพวกมันไว้  เหตุใดหรือพระเจ้าจึงจะทรงวาดเค้าโครงอาณาเขตในหนทางนี้?  นี่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญใหญ่หลวงสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง—มีความสำคัญใหญ่หลวงอย่างแท้จริง!  พระเจ้าได้ทรงวาดเค้าโครงแนวเขตสำหรับสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดและได้ทรงกำหนดวิถีทางแห่งการอยู่รอดสำหรับมนุษย์แต่ละจำพวก  พระองค์ยังได้ทรงแบ่งผู้คนจำพวกต่างๆ กันและเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันบนแผ่นดินโลกและได้ทรงตั้งแนวเขตสำหรับพวกเขาเช่นกัน  นี่คือสิ่งที่พวกเราจะหารือกันเป็นลำดับถัดไป

ส่วนที่สี่: พระเจ้าทรงขีดเส้นแบ่งอาณาเขตระหว่างเชื้อชาติต่างๆ

ประการที่สี่ พระเจ้าได้ทรงวาดอาณาเขตระหว่างเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน  บนแผ่นดินโลกมีผู้คนผิวขาว ผู้คนผิวดำ ผู้คนผิวน้ำตาล และผู้คนผิวเหลือง  เหล่านี้คือผู้คนต่างจำพวกกัน  พระเจ้ายังได้ทรงกำหนดวงเขตสำหรับชีวิตของผู้คนต่างจำพวกกันเหล่านี้ด้วย และผู้คนก็ใช้ชีวิตภายในสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมสำหรับการอยู่รอดของพวกเขาภายใต้การบริหารจัดการของพระเจ้าโดยที่ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงวงเขตนั้นเลย  ไม่มีใครสามารถก้าวออกนอกการนี้ได้  ตัวอย่างเช่น พวกเรามาพิจารณาผู้คนผิวขาวกันเถิด  อะไรคือแนวเขตทางภูมิศาสตร์ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่อาศัยอยู่?  ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา  แนวเขตทางภูมิศาสตร์ซึ่งผู้คนผิวดำอาศัยอยู่เป็นหลักคือทวีปแอฟริกา  ผู้คนผิวน้ำตาลอาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้เป็นหลัก ในประเทศอย่างเช่น ประเทศไทย อินเดีย เมียนมาร์ เวียดนาม และลาว  ผู้คนผิวเหลืองอาศัยอยู่ในเอเชียเป็นหลัก กล่าวคือ ในประเทศอย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้  พระเจ้าได้ทรงกระจายเผ่าพันธุ์ประเภทต่างๆ กันเหล่านี้ทั้งหมดอย่างเหมาะสม เพื่อที่เผ่าพันธุ์ซึ่งต่างกันเหล่านี้จะได้กระจายกันไปตามส่วนที่แตกต่างกันของโลก  ในส่วนที่แตกต่างกันเหล่านี้ของโลก พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ที่ต่างกันแต่ละเผ่าพันธุ์ไว้นานแล้ว  ภายในสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดเหล่านี้ พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมดินที่มีสีสันและองค์ประกอบแตกต่างกันหลากหลายสำหรับพวกเขา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ องค์ประกอบที่รวมกันเป็นร่างกายของผู้คนผิวขาวไม่เหมือนกับองค์ประกอบที่รวมกันเป็นร่างกายของผู้คนผิวดำ และพวกมันยังแตกต่างจากองค์ประกอบที่รวมกันเป็นร่างกายของผู้คนจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ อีกด้วย  เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์นั้นแล้ว  พระประสงค์ของพระองค์ในการทำเช่นนั้นก็เพื่อที่ว่า เมื่อผู้คนจำพวกนั้นได้เริ่มที่จะมีลูกมีหลานและเพิ่มจำนวนมากขึ้น พวกเขาจะสามารถได้รับการกำหนดให้อยู่ภายในแนวเขตที่แน่นอนได้  ก่อนที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ได้ทรงดำริไว้ทั้งหมดแล้ว—พระองค์จะสงวนยุโรปและอเมริกาไว้สำหรับผู้คนผิวขาวเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาพัฒนาและอยู่รอด  ดังนั้นตอนที่พระเจ้ากำลังทรงสร้างแผ่นดินโลก พระองค์ได้มีแผนการแล้ว พระองค์ได้มีเป้าหมายและพระประสงค์ในการใส่สิ่งที่พระองค์ได้ทรงใส่เข้าไปในผืนแผ่นดินนั้น และในการเลี้ยงดูสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเลี้ยงดูบนผืนแผ่นดินนั้น  ตัวอย่างเช่น ภูเขาใดบ้าง ที่ราบกี่แห่ง แหล่งน้ำกี่แห่ง นกและสิงสาราสัตว์ชนิดใด ปลาอะไร และพืชพรรณใดที่จะอยู่บนแผ่นดินนั้น พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมพวกมันทั้งหมดไว้นานมาแล้ว  เมื่อตระเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดให้กับมนุษย์จำพวกหนึ่ง ให้กับเผ่าพันธุ์หนึ่ง พระเจ้าทรงจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นปัญหามากมายจากสารพัดมุม กล่าวคือ สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ องค์ประกอบของดิน สายพันธุ์ของนกและสิงสาราสัตว์ที่แตกต่างกัน ขนาดของปลาต่างชนิดกัน องค์ประกอบที่รวมกันเป็นตัวปลา ความแตกต่างในคุณภาพของน้ำ ตลอดจนพืชพรรณที่ต่างชนิดกันทั้งหมด… พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมทั้งหมดนั้นนานมาแล้ว  สภาพแวดล้อมแบบนั้นเป็นสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระเจ้าได้ทรงสร้างและได้ทรงตระเตรียมสำหรับผู้คนผิวขาว และนั่นก็เป็นของพวกเขาโดยกำเนิด  พวกเจ้าได้เห็นหรือยังว่าเมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงคิดพิจารณาการนั้นอย่างถี่ถ้วนและทรงกระทำการโดยมีแผนการ?  (ใช่ พวกเราได้เห็นแล้วว่าการพิจารณาต่างๆ ของพระเจ้าสำหรับผู้คนหลากหลายจำพวกนั้นรอบคอบมาก  สำหรับสภาพแวดล้อมเพื่อการอยู่รอดที่พระองค์ได้ทรงสร้างให้มนุษย์ต่างจำพวกกัน นกและสิงสาราสัตว์และปลาชนิดใด ภูเขากี่ลูกและที่ราบกี่แห่งที่พระองค์จะทรงตระเตรียม พระองค์ได้ทรงพิจารณาด้วยความรอบคอบและความเที่ยงตรงสูงสุด)  ลองดูตัวอย่างของผู้คนผิวขาว  ผู้คนผิวขาวกินอาหารใดเป็นหลัก?  อาหารที่ผู้คนผิวขาวกินนั้นแตกต่างจากอาหารที่ผู้คนชาวเอเชียกินมาก  อาหารหลักที่ผู้คนผิวขาวกินประกอบด้วยเนื้อสัตว์ ไข่ นม และสัตว์ปีกเป็นหลัก  ธัญพืช เช่น ขนมปังและข้าว โดยทั่วไปแล้วเป็นอาหารเสริมที่วางไว้ข้างจาน  แม้ในยามที่กินสลัดผัก พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะใส่เนื้ออบหรือไก่สองสามชิ้นไว้ด้วย และแม้ในยามที่กินอาหารที่ทำจากข้าวสาลี พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มชีส ไข่ หรือเนื้อสัตว์  นั่นจึงกล่าวได้ว่า อาหารหลักของพวกเขาไม่ได้ประกอบด้วยข้าวหรืออาหารที่ทำจากข้าวสาลี พวกเขากินเนื้อสัตว์และชีสในปริมาณมาก  พวกเขามักดื่มน้ำแข็งเพราะอาหารที่พวกเขากินนั้นมีแคลอรีสูงมาก  ดังนั้น ผู้คนผิวขาวจึงกำยำเป็นพิเศษ  นั่นคือแหล่งกำเนิดของการทำมาหากินของพวกเขาและสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ถูกตระเตรียมสำหรับพวกเขาโดยพระเจ้า ซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเขามีวิถีชีวิตแบบนี้ วิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ  ไม่มีถูกหรือผิดในวิถีชีวิตนี้—มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้า และมันเกิดจากการสั่งการของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์  การที่เผ่าพันธุ์นี้มีวิถีชีวิตนี้และแหล่งที่มาเหล่านี้สำหรับการทำมาหากินของพวกเขาเป็นเพราะเผ่าพันธุ์ของพวกเขา และเพราะสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับพวกเขา  เจ้าสามารถพูดได้ว่า สภาพแวดล้อมที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับผู้คนผิวขาว และเสบียงอาหารในแต่ละวันที่พวกเขาได้รับจากสภาพแวดล้อมนั้น มั่งคั่งและล้นเหลือ

พระเจ้ายังได้ทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์อื่นเช่นกัน  ยังมีผู้คนผิวดำอีกด้วย—ผู้คนผิวดำตั้งรกรากอยู่ที่ไหน?  พวกเขาตั้งรกรากอยู่ในแอฟริกากลางและแอฟริกาใต้เป็นหลัก  พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมอะไรไว้สำหรับพวกเขาในสภาพแวดล้อมสำหรับการดำรงชีวิตประเภทนั้น?  ป่าฝนเขตร้อน นกและสิงสาราสัตว์ทุกชนิด และทั้งทะเลทรายด้วย และพืชพรรณทุกประเภทที่มีชีวิตอยู่เคียงข้างผู้คน  พวกเขามีแหล่งน้ำ การทำมาหากินของพวกเขา และอาหาร  พระเจ้าไม่ได้ทรงมีอคติกับพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขาจะได้เคยทำอะไรไว้ การอยู่รอดของพวกเขาไม่เคยเป็นปัญหาเลย  พวกเขาก็จับจองที่ตั้งหนึ่งๆ และพื้นที่หนึ่งๆ ในส่วนหนึ่งของโลกเช่นกัน

ตอนนี้ พวกเรามาพูดถึงผู้คนผิวเหลืองกันเถิด  ผู้คนผิวเหลืองตั้งรกรากอยู่ทางตะวันออกของแผ่นดินโลกเป็นหลัก  อะไรคือความแตกต่างระหว่างสภาพแวดล้อมและตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของโลกตะวันออกและโลกตะวันตก?  ทางตะวันออก ผืนดินส่วนใหญ่นั้นอุดมสมบูรณ์ และมั่งคั่งไปด้วยสารและแหล่งแร่  กล่าวคือ ทรัพยากรบนดินและใต้ดินทุกชนิดนั้นมีมากมาย  และสำหรับผู้คนกลุ่มนี้ สำหรับเผ่าพันธุ์นี้ พระเจ้ายังได้ทรงตระเตรียมดิน สภาพอากาศซึ่งสอดรับกัน และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันหลากหลายที่เหมาะสมกับพวกเขาเช่นกัน  แม้ว่ามีความแตกต่างใหญ่หลวงระหว่างสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์นั้นกับสภาพแวดล้อมในโลกตะวันตก อาหารที่จำเป็น การทำมาหากิน และแหล่งที่มาสำหรับการอยู่รอดของผู้คนก็ยังได้ถูกตระเตรียมโดยพระเจ้าเช่นกัน  มันก็แค่สภาพแวดล้อมสำหรับการดำรงชีวิตที่แตกต่างจากผู้คนผิวขาวในโลกตะวันตก  แต่สิ่งหนึ่งที่เราจำเป็นต้องบอกพวกเจ้าคืออะไร?  จำนวนผู้คนของเผ่าพันธุ์ตะวันออกนั้นมีมากเมื่อเทียบกันแล้ว ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงเพิ่มเติมองค์ประกอบจำนวนมากในส่วนนั้นของแผ่นดินโลกที่แตกต่างจากทางตะวันตก  ที่นั่น พระองค์ได้ทรงเพิ่มภูมิประเทศที่แตกต่างกันมากมายและวัตถุดิบอันอุดมทุกชนิด  ทรัพยากรธรรมชาติที่นั่นอุดมมาก ภูมิประเทศก็ยังแตกต่างและหลากหลายอีกด้วย เพียงพอสำหรับการเลี้ยงดูผู้คนจำนวนมหาศาลของเผ่าพันธุ์ตะวันออก  สิ่งที่แยกโลกตะวันออกจากโลกตะวันตกก็คือว่าในโลกตะวันออก—ตั้งแต่ใต้จรดเหนือ ตะวันออกจรดตะวันตก—สภาพอากาศดีกว่าโลกตะวันตก  ฤดูกาลทั้งสี่นั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน อุณหภูมิเหมาะสม ทรัพยากรธรรมชาติมีมากมาย และทิวทัศน์ธรรมชาติและชนิดของภูมิประเทศก็ดีกว่าโลกตะวันตกมาก  เหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงทำเช่นนี้?  พระเจ้าได้ทรงสร้างสมดุลที่สมเหตุสมผลมากระหว่างผู้คนผิวขาวและผู้คนผิวเหลือง  นี่หมายถึงอะไร?  มันหมายถึงว่าแง่มุมทั้งหมดของอาหารของผู้คนผิวขาว สิ่งต่างๆ ที่พวกเขาใช้ และสิ่งต่างๆ ที่ได้ถูกจัดหาไว้เพื่อความชื่นชมยินดีของพวกเขานั้น ดีกว่าสิ่งที่ผู้คนผิวเหลืองสามารถที่จะชื่นชมได้อย่างมาก  อย่างไรก็ดี พระเจ้าไม่ได้ทรงมีอคติกับเผ่าพันธุ์ใด  พระเจ้าได้ทรงให้สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่สวยงามกว่าและดีกว่าแก่ผู้คนผิวเหลือง  นี่คือสมดุล

พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าผู้คนประเภทใดควรดำรงชีวิตในส่วนใดของโลก มนุษย์สามารถไปพ้นเขตจำกัดเหล่านี้ได้หรือไม่?  (ไม่ พวกเขาไม่สามารถ)  ช่างเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์จริงๆ!  ต่อให้มีสงครามหรือการรุกล้ำในระหว่างยุคสมัยที่แตกต่างกันหรือในเวลาที่ไม่ธรรมดาต่างๆ  สงครามและการรุกล้ำเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำลายสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าสำหรับแต่ละเผ่าพันธุ์ได้อย่างสิ้นเชิง  กล่าวคือ พระเจ้าได้ทรงกำหนดให้ผู้คนจำพวกหนึ่งอยู่ในส่วนหนึ่งของโลกและพวกเขาไม่สามารถไปพ้นจากเขตจำกัดเหล่านี้ได้  ต่อให้ผู้คนมีความทะเยอทะยานบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงหรือขยายดินแดนของพวกเขา หากปราศจากการอนุญาตจากพระเจ้า การนี้ก็จะลำบากยากเย็นมากที่จะสัมฤทธิ์ผล  มันจะลำบากยากเย็นมากที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จ  ตัวอย่างเช่น ผู้คนผิวขาวต้องการที่จะขยายดินแดนของพวกเขาและพวกเขาได้ยึดประเทศอื่นๆ บางประเทศเป็นอาณานิคม  ชาวเยอรมันได้บุกรุกบางประเทศ และครั้งหนึ่งอังกฤษก็ได้ยึดครองอินเดีย  ผลสุดท้ายคืออะไร?  ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ล้มเหลว  พวกเราเห็นอะไรจากความล้มเหลวของพวกเขา?  สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้านั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ถูกทำลาย  ดังนั้นแล้ว  ไม่สำคัญว่าเจ้าอาจได้เห็นแรงส่งยิ่งใหญ่เพียงใดในการแผ่อาณาเขตของอังกฤษ ในท้ายที่สุดพวกเขายังคงต้องถอนทัพ ทิ้งแผ่นดินนั้นไว้ให้ยังคงเป็นของอินเดีย  บรรดาผู้ที่ดำรงชีวิตบนแผ่นดินผืนนั้นยังคงเป็นชาวอินเดีย ไม่ใช่ชาวอังกฤษ เพราะพระเจ้าคงจะไม่ทรงอนุญาตให้มันเกิดขึ้น  บางคนในบรรดาผู้ที่ค้นคว้าวิจัยประวัติศาสตร์หรือการเมืองได้ให้บทความวิจัยเกี่ยวกับการนี้เอาไว้  พวกเขาให้เหตุผลสำหรับสาเหตุที่อังกฤษล้มเหลว โดยกล่าวว่าอาจเป็นเพราะบางชาติพันธุ์ไม่อาจถูกพิชิตได้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์… เหล่านี้ไม่ใช่เหตุผลอันแท้จริง  เหตุผลอันแท้จริงนั้นเป็นเพราะพระเจ้า—พระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้มันเกิดขึ้น!  พระเจ้าได้ทรงยอมให้ชาติพันธุ์หนึ่งดำรงชีวิตบนแผ่นดินผืนหนึ่งและทรงลงหลักปักฐานให้พวกเขาที่นั่น และหากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้พวกเขาเคลื่อนย้ายจากแผ่นดินผืนนั้น พวกเขาจะไม่มีวันสามารถเคลื่อนย้ายได้  หากพระเจ้าทรงแบ่งสรรพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับพวกเขา พวกเขาจะดำรงชีวิตภายในพื้นที่นั้น  มวลมนุษย์ไม่สามารถเป็นอิสระหรือสลัดตัวพวกเขาเองให้หลุดพ้นจากพื้นที่ที่กำหนดไว้เหล่านี้ได้  นี่เป็นสิ่งที่แน่นอน  ไม่สำคัญว่ากองกำลังของผู้รุกล้ำจะยิ่งใหญ่เพียงใด หรือบรรดาผู้ที่กำลังถูกรุกล้ำจะอ่อนแอเพียงใด ความสำเร็จของผู้รุกรานนั้นท้ายที่สุดแล้วอยู่ที่พระเจ้าจะตัดสินพระทัย  มันได้ถูกพระองค์ลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้

ข้างต้นนั้นคือวิธีที่พระเจ้าได้ทรงกระจายเผ่าพันธุ์ที่หลากหลาย  พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจใดเพื่อกระจายเผ่าพันธุ์?  ประการแรก พระองค์ได้ทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ขนาดใหญ่ โดยทรงจัดสรรที่ตั้งอันแตกต่างกันสำหรับผู้คน ซึ่งหลังจากนั้น ชนรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้อยู่รอดในที่ตั้งเหล่านั้น  การนี้ได้รับการชี้ขาดแล้ว—พื้นที่ที่นิยามไว้สำหรับการอยู่รอดของพวกเขาได้ถูกลงหลักปักฐาน  และชีวิตของพวกเขา สิ่งที่พวกเขากิน สิ่งที่พวกเขาดื่ม การทำมาหากินของพวกเขา—พระเจ้าได้ทรงลงหลักปักฐานทั้งหมดนั้นนานมาแล้ว  และเมื่อพระเจ้าทรงกำลังสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงทำการตระเตรียมอันแตกต่างกันสำหรับผู้คนต่างชนิดกัน กล่าวคือ มีองค์ประกอบของดินที่แตกต่างกัน สภาพอากาศที่แตกต่างกัน พืชพรรณที่แตกต่างกัน และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน สถานที่ซึ่งแตกต่างกันนั้นถึงกับมีนกและสิงสาราสัตว์ที่แตกต่างกันด้วยซ้ำ น้ำที่แตกต่างกันมีปลาและผลิตภัณฑ์จากทะเลชนิดพิเศษของพวกมันเอง  แม้กระทั่งชนิดของแมลงยังถูกกำหนดพิจารณาโดยพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น  สิ่งต่างๆ ที่เติบโตบนทวีปอเมริกาทั้งหมดนั้นใหญ่มาก สูงมาก และบึกบึนมาก  รากของต้นไม้ในป่าบนภูเขาทั้งหมดนั้นตื้นมาก แต่พวกมันเติบโตจนสูงมาก  พวกมันกระทั่งสามารถสูงถึงหนึ่งร้อยเมตรหรือมากกว่านั้น แต่ต้นไม้ในป่าในเอเชียส่วนมากแล้วไม่สูงขนาดนั้น  จงดูต้นว่านหางจระเข้เป็นตัวอย่าง  ในญี่ปุ่นพวกมันแคบมากและบางมาก แต่ต้นว่านหางจระเข้ในสหรัฐอเมริกานั้นใหญ่มาก  มีความแตกต่างอยู่ตรงนี้  มันคือพืชชนิดเดียวกันพร้อมชื่อเดียวกัน แต่บนทวีปอเมริกานั้นมันเติบโตมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ  ผู้คนไม่อาจมองเห็นหรือล่วงรู้ความแตกต่างในแง่มุมอันหลากหลายเหล่านี้ แต่เมื่อพระเจ้ากำลังทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงวาดเค้าโครงของพวกมันและได้ทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ภูมิประเทศที่แตกต่างกัน และสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันสำหรับเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน  นั่นเป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงสร้างผู้คนที่ต่างจำพวกกันและพระองค์ทรงทราบว่าแต่ละจำพวกต้องการอะไรและลีลาชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างไร

พระเจ้าทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่งและจัดเตรียมให้ทุกสิ่ง พระองค์คือพระเจ้าแห่งสรรพสิ่ง

หลังจากการพูดคุยเกี่ยวกับบางสิ่งเหล่านี้แล้ว ตอนนี้พวกเจ้ารู้สึกว่าเจ้าได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับหัวข้อหลักที่พวกเราเพิ่งจะหารือกันไปหรือไม่?  เจ้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังเริ่มที่จะเข้าใจมันหรือไม่?  เราเชื่อว่าบัดนี้เจ้าควรรู้คร่าวๆ ว่าเหตุใดเราจึงได้เลือกที่จะพูดถึงแง่มุมเหล่านี้ภายในหัวข้อที่กว้างกว่า  เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  บางทีเจ้าอาจสามารถพูดคุยสักเล็กน้อยเกี่ยวกับว่าพวกเจ้าเข้าใจมันมากเพียงใด?  (มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ถูกเลี้ยงดูโดยกฎที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดพิจารณาไว้สำหรับทุกสรรพสิ่ง  เมื่อพระเจ้ากำลังทรงกำหนดพิจารณากฎเหล่านี้ พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันโดยมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ลีลาชีวิตที่แตกต่างกัน อาหารที่แตกต่างกัน และสภาพอากาศและอุณหภูมิที่แตกต่างกัน  นี่เป็นเช่นนั้นก็เพื่อที่มวลมนุษย์ทั้งปวงจะสามารถลงหลักปักฐานบนแผ่นดินโลกและอยู่รอดได้  จากการนี้ข้าพเจ้าสามารถเห็นว่าแผนการของพระเจ้าสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์นั้นเที่ยงตรงมาก และข้าพเจ้าสามารถเห็นพระปรีชาญาณและความเพียบพร้อมของพระองค์ และความรักของพระองค์สำหรับพวกเราเหล่ามนุษย์)  (กฎและวงเขตที่กำหนดพิจารณาโดยพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใด  ทั้งหมดอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์)  เมื่อมองจากมุมมองของกฎที่กำหนดพิจารณาโดยพระเจ้าสำหรับการเติบโตของทุกสรรพสิ่ง มิใช่ว่ามวลมนุษย์ทั้งปวง ในความหลากหลายทั้งหมดของมวลมนุษย์เอง ล้วนได้รับการจัดเตรียมและได้รับการเลี้ยงดูโดยพระเจ้าหรอกหรือ?  หากกฎเหล่านี้ถูกทำลายหรือหากพระเจ้ามิได้ทรงสถาปนากฎเหล่านี้ไว้สำหรับมวลมนุษย์แล้วไซร้ ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของมวลมนุษย์จะเป็นอย่างไร?  ภายหลังจากที่มนุษย์ได้สูญเสียสภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับการอยู่รอดของพวกเขา พวกเขาจะมีแหล่งอาหารใดหรือไม่?  เป็นไปได้ว่าแหล่งอาหารนั้นจะกลายเป็นปัญหา  หากผู้คนสูญเสียแหล่งอาหารของพวกเขา กล่าวคือ หากพวกเขาไม่สามารถหาอะไรกินได้เลย พวกเขาจะสามารถอยู่ต่อไปได้อีกกี่วัน?  เป็นไปได้ที่พวกเขาคงจะไม่อยู่ได้นานแม้แต่เดือนเดียว และการอยู่รอดจริงๆ ของพวกเขาก็คงจะกลายเป็นปัญหา  ดังนั้นแล้วทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำสำหรับการอยู่รอดของผู้คน สำหรับการดำรงอยู่อันต่อเนื่อง การสืบพันธุ์ และความเป็นอยู่ของพวกเขานั้นสำคัญมาก  ทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำท่ามกลางสิ่งต่างๆ แห่งการทรงสร้างของพระองค์นั้นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและไม่สามารถแยกจากการอยู่รอดของมวลมนุษย์ได้  หากการอยู่รอดของมวลมนุษย์ได้กลายเป็นปัญหา การบริหารจัดการของพระเจ้าจะสามารถดำเนินต่อไปได้หรือไม่?  การบริหารจัดการของพระเจ้าจะยังคงมีอยู่หรือไม่?  การบริหารจัดการของพระเจ้าอยู่คู่กันกับความอยู่รอดของมวลมนุษย์ทั้งปวงผู้ซึ่งพระองค์ทรงเลี้ยงดู ดังนั้นแล้วไม่ว่าพระเจ้าทรงตระเตรียมการอะไรสำหรับทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์และพระองค์ทรงทำอะไรสำหรับพวกมนุษย์ การนี้ทั้งหมดจำเป็นสำหรับพระองค์ และมันสำคัญมากสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์  หากกฎเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดพิจารณาสำหรับทุกสรรพสิ่งถูกพรากจากไป หากกฎเหล่านี้ถูกทำลายลงหรือถูกทำให้หยุดชะงัก ทุกสรรพสิ่งก็คงจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็คงจะไม่ดำรงอยู่ต่อไป อีกทั้งเสบียงอาหารในแต่ละวันของพวกเขาก็เช่นกัน และมวลมนุษย์เองก็เช่นกัน  ด้วยเหตุผลนี้ การบริหารจัดการของพระเจ้าเกี่ยวกับความรอดของมวลมนุษย์ก็คงจะไม่มีอยู่ต่อไปอีกแล้วเช่นกัน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราได้หารือกัน ทุกๆ สิ่ง ทุกรายการนั้นเชื่อมโยงกับการอยู่รอดของทุกๆ คนอย่างใกล้ชิด  พวกเจ้าอาจพูดว่า “สิ่งที่พระองค์กำลังตรัสถึงนั้นใหญ่เกินไป มันไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่พวกเราสามารถเห็นได้” และบางทีอาจมีผู้คนที่จะพูดว่า “สิ่งที่พระองค์กำลังตรัสถึงนั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้าพระองค์”  อย่างไรก็ดี จงอย่าลืมว่าเจ้ากำลังใช้ชีวิตโดยเป็นแค่ส่วนหนึ่งของทุกสรรพสิ่ง เจ้าคือผู้หนึ่งท่ามกลางทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างภายใต้การปกครองของพระเจ้า  สิ่งต่างๆ แห่งการทรงสร้างของพระเจ้าไม่สามารถถูกแยกออกจากการปกครองของพระองค์ได้ และไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่สามารถแยกตัวพวกเขาเองออกจากการปกครองของพระองค์ได้  การสูญเสียการปกครองของพระองค์และการจัดเตรียมของพระองค์ย่อมจะหมายความว่า ชีวิตของผู้คน ชีวิตฝ่ายเนื้อหนังของผู้คน จะหายไป  นี่คือความสำคัญของการที่พระเจ้าทรงกำหนดสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์  ไม่สำคัญว่าเจ้าเป็นของเผ่าพันธุ์ใดหรือเจ้าดำรงชีวิตอยู่บนแผ่นดินผืนใด ไม่ว่าจะเป็นในโลกตะวันตกหรือโลกตะวันออก—เจ้าไม่สามารถแยกตัวเจ้าเองจากสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระเจ้าได้ทรงจัดตั้งไว้สำหรับมวลมนุษย์ และเจ้าไม่สามารถแยกตัวเจ้าเองออกจากการเลี้ยงดูและการจัดเตรียมของสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระองค์ได้ทรงจัดตั้งสำหรับมนุษย์  ไม่ว่าการทำมาหากินของเจ้าคืออะไร เจ้าพึ่งพาอะไรเพื่อมีชีวิตอยู่ และเจ้าพึ่งพาอะไรเพื่อยังชีพของเจ้าในเนื้อหนัง เจ้าก็ไม่สามารถแยกตัวเจ้าเองออกจากการปกครองของพระเจ้าและการบริหารจัดการของพระองค์ได้  บางคนพูดว่า “ฉันไม่ใช่เกษตรกร ฉันไม่ได้เพาะปลูกพืชผลเพื่อหาเลี้ยงชีพ  ฉันไม่ได้พึ่งพาฟ้าสวรรค์สำหรับอาหารของฉัน ดังนั้นการอยู่รอดของฉันจึงไม่ได้กำลังเกิดขึ้นภายในสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่กำหนดโดยพระเจ้า  ฉันไม่ได้รับสิ่งใดเลยจากสภาพแวดล้อมแบบนั้น”  นั่นถูกต้องหรือ?  เจ้าพูดว่าเจ้าไม่ได้เพาะปลูกพืชผลเพื่อการดำรงชีวิตของเจ้า แต่เจ้าไม่กินธัญพืชหรอกหรือ?  เจ้าไม่กินเนื้อสัตว์และไข่หรอกหรือ?  และเจ้าไม่กินผักและผลไม้หรอกหรือ?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากิน สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องมี ไม่สามารถแยกจากสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระเจ้ากำหนดให้แก่มวลมนุษย์ได้  และแหล่งที่มาของทุกสิ่งทุกอย่างที่มวลมนุษย์พึงต้องมีนั้นไม่สามารถแยกจากทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงของพวกมันประกอบขึ้นเป็นสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของเจ้า  น้ำที่เจ้าดื่ม เสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่ และทุกสรรพสิ่งที่เจ้าใช้—สิ่งใดหรือในบรรดาสิ่งเหล่านี้ ที่ไม่ได้รับมาจากในท่ามกลางสิ่งต่างๆ แห่งการทรงสร้างของพระเจ้า?  บางคนพูดว่า “มีสิ่งของบางรายการที่ไม่ได้รับมาจากสิ่งต่างๆ แห่งการทรงสร้างของพระเจ้า  พระองค์ทรงเห็นหรือไม่ พลาสติกคือหนึ่งในรายการสิ่งของเหล่านั้น  มันเป็นสิ่งของทางเคมี สิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้น”  นั่นถูกต้องหรือ?  พลาสติกจริงๆ แล้วคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และมันเป็นสิ่งของทางเคมี แต่องค์ประกอบดั้งเดิมของพลาสติกมาจากไหนกัน?  องค์ประกอบดั้งเดิมนั้นได้มาจากวัสดุที่พระเจ้าทรงสร้าง  สิ่งต่างๆ ที่เจ้าเห็นและชื่นชม ทุกๆ สิ่งที่เจ้าใช้ มันทั้งหมดได้มาจากสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้าง  นั่นจึงกล่าวได้ว่า ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะเป็นของเผ่าพันธุ์ใด ไม่ว่าพวกเขาอาจใช้ชีวิตอยู่ในการทำมาหากินอะไรหรือในสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดจำพวกใด พวกเขาไม่สามารถแยกตัวพวกเขาเองออกจากสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ได้  ดังนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้ที่พวกเราได้หารือกันวันนี้ เกี่ยวข้องกับหัวข้อของพวกเราว่าด้วย “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” หรือไม่?  สิ่งต่างๆ ที่พวกเราได้หารือกันวันนี้อยู่ภายใต้หัวข้อซึ่งกว้างขึ้นนี้หรือไม่?  (ใช่)  บางทีบางอย่างในสิ่งที่พวกเราได้พูดถึงในวันนี้นั้นเป็นนามธรรมเล็กน้อยและลำบากยากเย็นที่จะหารือกัน  อย่างไรก็ดี เราคิดว่าตอนนี้พวกเจ้าน่าจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับมันดีขึ้นแล้ว

ในการสามัคคีธรรมสองสามครั้งหลังสุดนี้ แนวข่ายของหัวข้อที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันนั้นมีช่วงค่อนข้างกว้าง และวงเขตของมันก็ค่อนข้างกว้าง ดังนั้นพวกเจ้าจึงต้องใช้ความพยายามอยู่บ้างในการทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมด นี่เป็นเพราะในการเชื่อในพระเจ้าของผู้คน หัวข้อเหล่านี้คือสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อน  ผู้คนบางคนฟังสิ่งเหล่านี้ในฐานะความล้ำลึกอย่างหนึ่งและผู้คนบางคนฟังสิ่งเหล่านี้ในฐานะเรื่องราวเรื่องหนึ่ง—มุมมองใดเล่าที่ถูกต้อง?  พวกเจ้าได้ฟังทั้งหมดนี้จากมุมมองใด?  (พวกเราได้เห็นแล้วว่าพระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์อย่างมีวิธีการเพียงใด และได้เห็นแล้วว่าทุกสรรพสิ่งนั้นมีกฎ และโดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้พวกเราสามารถเข้าใจกิจการของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์สำหรับความรอดของมวลมนุษย์มากขึ้น)  โดยผ่านทางจำนวนครั้งในการสามัคคีธรรมเหล่านี้ พวกเจ้าได้เห็นหรือยังว่าวงเขตของการบริหารจัดการของพระเจ้าเกี่ยวกับทุกสรรพสิ่งนั้นขยายไปไกลเพียงใด?  (ครอบคลุมมวลมนุษย์ทั้งปวง ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง)  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเผ่าพันธุ์หนึ่งเท่านั้นหรือไม่?  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของผู้คนจำพวกเดียวหรือไม่?  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของมวลมนุษย์หรือไม่?  (ไม่ พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นเช่นนั้น)  เนื่องจากมันไม่เป็นเช่นนั้น ตามความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า หากพระองค์ทรงเป็นเพียงพระเจ้าของส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของมวลมนุษย์ หรือหากพระองค์ทรงเป็นแค่พระเจ้าของพวกเจ้ากลุ่มเดียวเท่านั้น มุมมองนี้ถูกต้องหรือไม่?  เนื่องจากพระเจ้าทรงบริหารจัดการและปกครองทุกสรรพสิ่ง ผู้คนจึงควรเห็นกิจการของพระองค์ พระปรีชาญาณของพระองค์ และความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ที่ได้ถูกเผยให้เห็นในการปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งของพระองค์  นี่คืออะไรบางอย่างที่ผู้คนต้องรู้  หากเจ้ากล่าวว่าพระเจ้าทรงจัดการทุกสรรพสิ่ง ปกครองทุกสรรพสิ่ง และปกครองมวลมนุษย์ทั้งปวง แต่หากเจ้าไม่มีความเข้าใจหรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับการปกครองเหนือมวลมนุษย์ของพระองค์ เจ้าสามารถยอมรับอย่างแท้จริงได้หรือว่าพระองค์ทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง?  ในหัวใจของเจ้า เจ้าอาจคิดว่า “ฉันสามารถทำได้ เพราะฉันเห็นว่าชีวิตของฉันถูกพระเจ้าทรงปกครองอย่างครบถ้วนบริบูรณ์”  แต่พระเจ้าทรงเล็กเช่นนั้นจริงๆ หรือ?  ไม่ พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นเช่นนั้น!  เจ้าเพียงเห็นความรอดของพระเจ้าสำหรับเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ในตัวเจ้าเท่านั้น และจากสิ่งเหล่านี้โดยลำพังนั่นเองที่เจ้าเห็นการปกครองของพระองค์  นั่นเป็นวงเขตที่เล็กเกินไป และมันมีผลกระทบที่เป็นผลร้ายต่อความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้าสำหรับความรู้อันถ่องแท้เกี่ยวกับพระเจ้า  มันยังจำกัดความรู้อันถ่องแท้ของเจ้าเกี่ยวกับการปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าอีกด้วย  หากเจ้าจำกัดความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าไว้ที่วงเขตของสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสำหรับเจ้าและความรอดของพระองค์สำหรับเจ้า เจ้าจะไม่มีวันสามารถระลึกได้ว่าพระองค์ทรงปกครองทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าพระองค์ทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง และทรงปกครองมวลมนุษย์ทั้งปวง  เมื่อเจ้าล้มเหลวที่จะระลึกได้ถึงทั้งหมดนี้ เจ้าสามารถระลึกได้อย่างแท้จริงหรือไม่ถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงปกครองชะตากรรมของเจ้า?  ไม่ เจ้าไม่สามารถระลึกได้  ในหัวใจของเจ้า เจ้าจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะระลึกได้ถึงแง่มุมนั้น—เจ้าจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะไปถึงระดับความเข้าใจที่สูงเช่นนั้น  เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เรากำลังพูดคุยอยู่ใช่ไหม?  ที่จริงแล้ว เรารู้ว่าพวกเจ้ามีความสามารถที่จะเข้าใจหัวข้อเหล่านี้ เนื้อหานี้ที่เรากำลังพูดถึงได้ถึงระดับใด ดังนั้นแล้วเหตุใดเล่า เราจึงพูดคุยเกี่ยวกับมันต่อไปเรื่อยๆ?  เป็นเพราะหัวข้อเหล่านี้คือสิ่งต่างๆ ที่ผู้ติดตามพระเจ้าทุกๆ คน บุคคลทุกๆ คนที่ต้องการที่จะได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าจะต้องซึ้งคุณค่า—สำคัญยิ่งที่จะต้องจับใจความและทำความเข้าใจหัวข้อเหล่านี้  แม้ในขณะนี้เจ้าไม่เข้าใจพวกมัน สักวันหนึ่งเมื่อชีวิตของเจ้าและประสบการณ์ของเจ้าเกี่ยวกับความจริงไปถึงระดับหนึ่ง เมื่อการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในชีวิตของเจ้าไปถึงระดับหนึ่งและเจ้าบรรลุวุฒิภาวะที่ระดับหนึ่ง เมื่อนั้นเท่านั้นที่หัวข้อเหล่านี้ที่เรากำลังสื่อสารไปยังเจ้าในการสามัคคีธรรมจะตอบสนองและจัดเตรียมให้กับการไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าของเจ้าอย่างแท้จริง  ดังนั้นแล้วพระวจนะเหล่านี้จึงเป็นไปเพื่อวางรากฐาน เพื่อตระเตรียมพวกเจ้าสำหรับความเข้าใจในอนาคตของเจ้าที่ว่าพระเจ้าทรงปกครองทุกสรรพสิ่งและสำหรับความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์เอง

ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของผู้คนมีมากเพียงใด ขอบข่ายของพระฐานะที่พระองค์ทรงมีในหัวใจของพวกเขาก็มีมากเพียงนั้นด้วย  ระดับของความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขายิ่งใหญ่เพียงใด พระเจ้าในหัวใจของพวกเขาก็ทรงยิ่งใหญ่เพียงนั้น  หากพระเจ้าที่เจ้ารู้จักนั้นว่างเปล่าและคลุมเครือ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าที่เจ้าเชื่อก็ว่างเปล่าและคลุมเครือด้วยเช่นกัน  พระเจ้าที่เจ้ารู้จักถูกจำกัดไว้ที่วงเขตของชีวิตส่วนตัวของเจ้าเอง และไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เองเลย  ด้วยเหตุนี้ การรู้จักการกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า การรู้จักความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าและฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์ การรู้จักพระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าพระองค์เอง การรู้จักสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น การรู้จักการกระทำที่พระองค์ได้ทรงสำแดงท่ามกลางทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์—สิ่งเหล่านี้สำคัญมากต่อบุคคลทุกๆ คนที่ไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า  พวกมันมีผลกระทบโดยตรงต่อการที่ผู้คนจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่  หากเจ้าจำกัดความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าไว้ที่แค่พระวจนะ หากเจ้าจำกัดมันไว้ที่ประสบการณ์เล็กน้อยของเจ้าเอง ไว้ที่พระคุณของพระเจ้าที่เจ้านับรวมไว้ หรือไว้ที่คำพยานเล็กน้อยของเจ้าต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเรากล่าวว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อนั้นไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เองอย่างแน่นอน  ไม่เพียงแค่นั้น ทว่ายังสามารถกล่าวได้อีกด้วยว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อนั้นเป็นพระเจ้าในจินตนาการ ไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้  นี่เป็นเพราะพระเจ้าเที่ยงแท้ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่ปกครองทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทรงดำเนินไปท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทรงบริหารจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง  พระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่กุมชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวงและของทุกสิ่งทุกอย่างในพระหัตถ์ของพระองค์  พระราชกิจและการกระทำของพระเจ้าที่เรากำลังพูดถึงนั้นไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่ตรงผู้คนในสัดส่วนเล็กๆ  กล่าวคือ พวกมันไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่ตรงผู้คนที่ติดตามพระองค์ในปัจจุบัน  กิจการของพระองค์นั้นสำแดงออกท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง ในการอยู่รอดของทุกสรรพสิ่ง และในกฎต่างๆ แห่งการเปลี่ยนแปลงของทุกสรรพสิ่ง  หากเจ้าไม่สามารถเห็นหรือระลึกได้ถึงกิจการใดๆ ของพระเจ้าท่ามกลางทุกสรรพสิ่งของการทรงสร้างของพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่สามารถเป็นคำพยานต่อกิจการใดๆ ของพระองค์ได้  หากเจ้าไม่สามารถเป็นคำพยานให้กับพระเจ้า หากเจ้ายังคงพูดต่อไปถึงผู้ที่เรียกกันว่า “พระเจ้า” องค์เล็กๆ ที่เจ้ารู้จัก พระเจ้าองค์นั้นผู้ถูกจำกัดไว้ที่แนวคิดของเจ้าเองและดำรงอยู่เฉพาะภายในขอบเขตอันคับแคบของจิตใจของเจ้าเท่านั้น หากเจ้ายังคงพูดต่อไปถึงพระเจ้าประเภทนั้น เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่มีวันทรงสรรเสริญความเชื่อของเจ้า  ตอนที่เจ้าเป็นคำพยานให้กับพระเจ้า หากเจ้าทำเช่นนั้นเฉพาะในแง่ของวิธีการที่เจ้าชื่นชมพระคุณของพระเจ้า วิธีการที่เจ้ายอมรับการบ่มวินัยของพระเจ้าและการตีสอนของพระองค์ และวิธีการที่เจ้าชื่นชมพรของพระองค์ในการเป็นพยานของเจ้าสำหรับพระองค์แล้วไซร้ นั่นก็ห่างไกลจากคำว่าพอและไม่แม้แต่จะใกล้เคียงกับการทำให้พระองค์พึงพอพระทัย  หากเจ้าต้องการเป็นพยานให้กับพระเจ้าในหนทางที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์ เป็นพยานให้กับพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นจากการกระทำของพระองค์  เจ้าต้องเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าจากการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์ และเห็นความจริงเกี่ยวกับวิธีที่พระองค์ทรงจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง  หากเจ้ารับรู้เพียงว่าเสบียงอาหารในแต่ละวันของเจ้าและสิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิตของเจ้านั้นมาจากพระเจ้า แต่เจ้ากลับล้มเหลวที่จะเห็นความจริงที่ว่าพระเจ้าได้ทรงมองทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์เป็นการจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง และที่ว่า พระองค์กำลังทรงนำทางมวลมนุษย์ทั้งปวงโดยการปกครองทุกสรรพสิ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะเป็นพยานให้กับพระเจ้าได้  อะไรคือจุดประสงค์ของเราในการกล่าวทั้งหมดนี้?  มันก็เป็นไปเพื่อที่พวกเจ้าจะได้ไม่คิดว่าการนี้ไม่สำคัญ เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่เชื่ออย่างผิดๆ ว่าหัวข้อเหล่านี้ที่เราได้พูดถึงนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตส่วนบุคคลของพวกเจ้าเอง และเพื่อที่เจ้าจะได้ไม่คิดว่าหัวข้อเหล่านี้เป็นแค่ความรู้หรือคำสอนชนิดหนึ่ง  หากพวกเจ้าฟังสิ่งที่เรากำลังกล่าวด้วยท่าทีประเภทนั้น เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ย่อมจะไม่ได้รับแม้สักสิ่งเดียว  พวกเจ้าจะสูญเสียโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ที่จะได้รู้จักพระเจ้า

อะไรคือเป้าหมายของเราในการพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด?  เป้าหมายของเราคือการทำให้ผู้คนรู้จักพระเจ้า การทำให้ผู้คนเข้าใจการกระทำอันสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า  ทันทีที่เจ้าเข้าใจพระเจ้าและเจ้ารู้จักการกระทำของพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะมีโอกาสหรือความเป็นไปได้ที่จะรู้จักพระองค์  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าต้องการที่จะเข้าใจบุคคลหนึ่ง เจ้าจะมาเข้าใจพวกเขาได้อย่างไร?  มันจะเป็นไปโดยผ่านทางการมองที่รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาหรือไม่?  มันจะเป็นไปโดยผ่านทางการมองที่สิ่งที่พวกเขาสวมใส่หรือวิธีที่พวกเขาแต่งกายหรือไม่?  มันจะเป็นไปโดยผ่านทางการมองที่วิธีที่พวกเขาเดินหรือไม่?  มันจะเป็นไปโดยผ่านทางการมองที่วงเขตของความรู้ของพวกเขาหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้นแล้วเจ้าเข้าใจบุคคลหนึ่งอย่างไร?  เจ้าตัดสินบนพื้นฐานของคำพูดและพฤติกรรมของบุคคล ความคิดของพวกเขาและสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาแสดงออกและเปิดเผยเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง  นี่คือวิธีที่เจ้าได้มารู้จักบุคคลหนึ่ง วิธีที่เจ้าเข้าใจบุคคลหนึ่ง  ในทำนองเดียวกัน หากเจ้าต้องการที่จะรู้จักพระเจ้า หากเจ้าต้องการที่จะเข้าใจด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ ด้านที่เที่ยงแท้ของพระองค์ พวกเจ้าต้องรู้จักพระองค์โดยผ่านทางกิจการของพระองค์และโดยผ่านทางสิ่งอันสัมพันธ์กับชีวิตจริงทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงทำ  นี่คือวิธีที่ดีที่สุด และเป็นวิธีเดียวเท่านั้น

พระเจ้าทรงทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุลเพื่อประทานสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่มีเสถียรภาพแก่มวลมนุษย์

พระเจ้าทรงสำแดงกิจการของพระองค์ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และท่ามกลางทุกสรรพสิ่งพระองค์ทรงปกครองและทรงควบคุมกฎของทุกสรรพสิ่ง  พวกเราเพิ่งได้พูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงปกครองกฎของทุกสรรพสิ่ง ตลอดจนวิธีที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์และทรงเลี้ยงดูมวลมนุษย์ทั้งปวงภายใต้กฎเหล่านั้น  นี่คือแง่มุมหนึ่ง  ถัดไป พวกเรากำลังจะพูดคุยเกี่ยวกับอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งเป็นหนทางหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง  เรากำลังพูดถึงวิธีที่พระเจ้าได้ทรงทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุลหลังจากที่ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งแล้ว  นี่ยังเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างกว้างสำหรับพวกเจ้าอีกด้วย  การทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุล—นี่คืออะไรบางอย่างที่ผู้คนสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้หรือ?  ไม่ มนุษย์ไม่สามารถทำผลสำเร็จเช่นนั้น  ผู้คนมีความสามารถในการทำลายล้างเท่านั้น  พวกเขาไม่สามารถทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งเกิดสมดุลได้ พวกเขาไม่สามารถบริหารจัดการพวกมันได้ และสิทธิอำนาจและพลังอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนั้นอยู่เกินการจับความเข้าใจของมวลมนุษย์  พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่มีฤทธานุภาพที่จะทำสิ่งแบบนี้ได้  แต่อะไรคือพระประสงค์ของพระเจ้าในการทำสิ่งดังกล่าว—มันเป็นไปเพื่ออะไร?  นี่ก็มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการอยู่รอดของมวลมนุษย์เช่นกัน  ทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำนั้นมีความจำเป็น—ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์อาจทำหรืออาจไม่ทำ มีสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้และสำคัญยิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำ เพื่อที่พระองค์จะทรงพิทักษ์การอยู่รอดของมวลมนุษย์และประทานสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยสำหรับการอยู่รอดแก่ผู้คน

จากความหมายตามตัวอักษรของวลีที่ว่า “พระเจ้าทรงสร้างสมดุลให้กับทุกสรรพสิ่ง” ดูเหมือนจะเป็นหัวข้อที่ครอบคลุมกว้างขวางมาก  ประการแรก มันให้มโนทัศน์กับผู้คนว่า “การสร้างสมดุลให้กับทุกสรรพสิ่ง” ยังอ้างอิงถึงความเป็นเจ้านายของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งอีกด้วย  คำว่า “สมดุล” นี้หมายความว่าอย่างไร?  ประการแรก “สมดุล” อ้างอิงถึงการไม่เปิดโอกาสให้อะไรบางอย่างออกนอกสมดุล  มันเป็นเหมือนการใช้ตราชั่งเพื่อชั่งน้ำหนักสิ่งทั้งหลาย  เพื่อที่จะสร้างสมดุลของตราชั่ง น้ำหนักที่อยู่บนแต่ละด้านต้องเท่ากัน  พระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งต่างๆ ต่างชนิดกันไว้มากมาย สิ่งต่างๆ ที่ถูกกำหนดไว้ในที่ทางของพวกมัน สิ่งต่างๆ ที่เคลื่อนย้ายได้ สิ่งต่างๆ ที่มีชีวิต สิ่งต่างๆ ที่หายใจ ตลอดจนสิ่งต่างๆ ที่ไม่หายใจ  เป็นการง่ายหรือที่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะสัมฤทธิ์สัมพันธภาพแห่งการพึ่งพาซึ่งกันและกัน แห่งความเชื่อมโยงระหว่างกัน โดยที่พวกมันทั้งคู่เสริมกำลังซึ่งกันและกันและตรวจสอบซึ่งกันและกัน?  แน่นอนว่ามีหลักการภายในทั้งหมดนี้ แต่พวกมันซับซ้อนมาก หรือไม่ใช่?  มันไม่ยากสำหรับพระเจ้า แต่สำหรับผู้คนแล้วมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากเรื่องหนึ่งที่จะศึกษา  มันเป็นคำที่ธรรมดามากคำหนึ่ง “สมดุล”  อย่างไรก็ดี หากผู้คนได้ศึกษามัน และหากผู้คนจำเป็นต้องสร้างสมดุลด้วยตัวพวกเขาเองแล้วไซร้ ต่อให้นักวิชาการทุกประเภทกำลังทำงานเกี่ยวกับมัน—นักชีววิทยามนุษย์ นักดาราศาสตร์ นักฟิสิกส์ นักเคมี และแม้แต่นักประวัติศาสตร์—ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายของการศึกษาวิจัยนั้นจะเป็นอย่างไร?  ผลสุดท้ายของมันคงจะไม่มีอะไรเลย  นี่เป็นเพราะการทรงสร้างแห่งทุกสรรพสิ่งของพระเจ้านั้นเหลือเชื่อเกินไป และมวลมนุษย์จะไม่มีวันไขความลับของมันได้  เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงจัดตั้งหลักการระหว่างพวกมัน ได้ทรงจัดตั้งหนทางแห่งการอยู่รอดที่ต่างกันเพื่อการควบคุมยับยั้งกันและกัน การพึ่งพาอาศัยกัน และเพื่อเสบียงอาหาร  วิธีการหลากหลายเหล่านี้สลับซับซ้อนมาก และพวกมันไม่ธรรมดาหรือมีทิศทางเดียวอย่างแน่นอน  เมื่อผู้คนใช้จิตใจของพวกเขา ความรู้ที่พวกเขาได้รับ และปรากฏการณ์ที่พวกเขาได้สังเกตเพื่อยืนยันหรือศึกษาหลักการเบื้องหลังการควบคุมของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่ง สิ่งเหล่านี้ยากอย่างที่สุดที่จะค้นพบ และมันยังยากมากที่จะสัมฤทธิ์ผลสุดท้ายใดๆ อีกด้วย  มันยากลำบากมากที่ผู้คนจะได้รับผลลัพธ์ใดๆ มันลำบากยากเย็นมากที่ผู้คนจะคงไว้ซึ่งสมดุลของตนเมื่อพึ่งพาการคิดและความรู้ของมนุษย์เพื่อกำกับดูแลทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า  นี่เป็นเพราะหากผู้คนไม่รู้หลักการแห่งการอยู่รอดของทุกสรรพสิ่ง พวกเขาก็จะไม่รู้วิธีที่จะพิทักษ์ความสมดุลนี้  ดังนั้นแล้ว หากผู้คนได้บริหารจัดการและกำกับดูแลทุกสรรพสิ่ง พวกเขาคงจะมีแนวโน้มอย่างมากที่จะทำลายสมดุลนี้  ทันทีที่สมดุลถูกทำลาย สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็คงจะถูกทำลาย และเมื่อการนั้นได้เกิดขึ้น วิกฤติสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็คงจะตามมา  มันคงจะก่อให้เกิดความวิบัติ  หากมนุษยชาติกำลังดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความวิบัติ อนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?  ผลลัพธ์สุดท้ายคงจะประเมินยากมาก และเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์ได้อย่างมั่นใจ

ดังนั้นแล้ว พระเจ้าทรงทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุลอย่างไร?  ประการแรก มีสถานที่บางแห่งในโลกที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะตลอดทั้งปี ในขณะที่ในสถานที่อื่นๆ บางแห่ง ฤดูกาลทั้งสี่เป็นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ และฤดูหนาวกลับไม่เคยมาเยือน และในสถานที่เช่นนี้ เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นแม้แต่น้ำแข็งแผ่นหนึ่งหรือหิมะเกล็ดหนึ่ง  ณ ที่นี้ พวกเรากำลังพูดเกี่ยวกับภูมิอากาศที่กว้างใหญ่ขึ้น และตัวอย่างนี้คือหนึ่งในหนทางต่างๆ ที่พระเจ้าทรงใช้ในการทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุล  หนทางที่สองเป็นดังนี้ กล่าวคือ เทือกเขาแห่งหนึ่งถูกปกคลุมด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่ม โดยมีพืชพรรณทุกประเภทปูพรมคลุมผืนดิน และแนวป่าที่หนาทึบมากถึงขั้นที่เจ้าไม่สามารถเห็นได้แม้กระทั่งดวงอาทิตย์เบื้องบนเมื่อเจ้าเดินเข้าแนวป่าเหล่านั้น  แต่เมื่อมองไปที่เทือกเขาอีกเทือกหนึ่ง กลับไม่มีหญ้าขึ้นแม้สักใบ มีแค่ภูเขาแห้งแล้งรกรุงรังที่ซ้อนกันไปมาอยู่หลายลูก  โดยรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งสองจำพวกนั้นโดยพื้นฐานแล้วคือกองดินขนาดใหญ่มากที่ซ้อนทับกันขึ้นไปเพื่อก่อรูปเป็นภูเขา แต่จำพวกหนึ่งนั้นปกคลุมไปด้วยป่าที่หนาแน่น ในขณะที่อีกจำพวกไร้ซึ่งการเจริญเติบโต โดยไม่มีแม้กระทั่งหญ้าสักใบ  นี่คือหนทางที่สองที่พระเจ้าได้ทรงทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุล  หนทางที่สามคือการนี้ กล่าวคือ เมื่อมองไปทางหนึ่ง เจ้าอาจเห็นทุ่งหญ้าอันไม่รู้จบ ทุ่งหญ้าเขียวขจีที่พลิ้วไหว  เมื่อมองไปอีกทาง เจ้าอาจมองเห็นทะเลทรายที่ไกลสุดลูกหูลูกตา แห้งแล้ง ปราศจากสิ่งมีชีวิตแม้สักสิ่งท่ามกลางทรายที่ส่งเสียงเฟี้ยวฟ้าวด้วยลมพัดพา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแหล่งน้ำใดๆ  หนทางที่สี่คือการนี้: เมื่อมองไปทางหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างจมอยู่ใต้ทะเล แหล่งน้ำอันยิ่งใหญ่นั้น ในขณะที่เมื่อมองไปอีกทาง เจ้าตกที่นั่งลำบากในการค้นหาแม้กระทั่งน้ำพุสักหยด  หนทางที่ห้าคือการนี้: บนแผ่นดินตรงนี้ ฝนตกพรำบ่อยและภูมิอากาศก็เต็มไปด้วยหมอกและเปียกชื้น ในขณะที่บนแผ่นดินตรงนั้น ดวงอาทิตย์เกรี้ยวกราดมักจะลอยค้างอยู่บนท้องฟ้า และการที่ฝนแม้สักหยดจะตกลงมานั้นก็หายาก  หนทางที่หกคือการนี้: ในที่แห่งหนึ่งมีที่ราบสูงซึ่งอากาศเจือจางและมนุษย์หายใจได้ยาก ขณะที่ในที่อีกแห่งมีหนองบึงและบริเวณพื้นที่ลุ่มซึ่งทำหน้าที่เป็นถิ่นอาศัยสำหรับนกอพยพย้ายถิ่นนานาชนิด  เหล่านี้คือภูมิอากาศต่างชนิดกัน หรือก็คือภูมิอากาศหรือสภาพแวดล้อมที่สอดรับกับสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน  นั่นจึงกล่าวได้ว่า พระเจ้าทรงทำให้สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ในด้านของสภาพแวดล้อมขนาดใหญ่มีสมดุล ตั้งแต่ภูมิอากาศไปจนถึงสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ และจากองค์ประกอบที่แตกต่างกันของดินไปจนถึงจำนวนของแหล่งน้ำ ทั้งหมดเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความสมดุลในอากาศ อุณหภูมิ และความชื้นของสภาพแวดล้อมที่ผู้คนอยู่รอดได้ เพราะสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่ขัดแย้งกันเหล่านี้ ผู้คนจึงมีอากาศที่เสถียร และอุณหภูมิและความชื้นของฤดูกาลที่แตกต่างกันก็ธำรงอยู่อย่างคงตัว  การนี้อำนวยให้ผู้คนยังคงดำรงชีวิตต่อไปในสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดประเภทนั้นเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้ทำเช่นนั้นเสมอมา  ก่อนอื่น สภาพแวดล้อมขนาดใหญ่จะต้องมีสมดุล  การนี้ทำไปโดยผ่านทางการใช้ที่ตั้งและการก่อรูปทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงระหว่างภูมิอากาศที่แตกต่างกัน ซึ่งอำนวยให้พวกมันจำกัดและตรวจสอบกันและกันเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความสมดุลที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์และที่มวลมนุษย์พึงต้องมี  นี่เป็นการพูดจากมุมมองของสภาพแวดล้อมขนาดใหญ่

ตอนนี้พวกเราจะพูดถึงรายละเอียดที่ประณีตยิ่งขึ้น เช่น พืชพรรณ  สมดุลของพวกมันสัมฤทธิ์ผลได้อย่างไร?  กล่าวคือ พืชพรรณสามารถอยู่รอดต่อไปภายในสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่สมดุลได้อย่างไร?  คำตอบคือ โดยการบริหารจัดการช่วงอายุ อัตราการเจริญเติบโต และอัตราการสืบพันธุ์ของพืชพรรณนานาชนิดเพื่อพิทักษ์สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของพวกมัน  พวกเราลองมาดูหญ้าต้นเล็กจิ๋วเป็นตัวอย่างกันเถิด—มีการแตกหน่อในฤดูใบไม้ผลิ การผลิดอกสะพรั่งในฤดูร้อน และการออกผลในฤดูใบไม้ร่วง  ผลร่วงลงสู่ผืนดิน  ปีถัดไป เมล็ดจากผลก็แตกหน่อและดำเนินต่อไปตามกฎเดียวกัน  ช่วงอายุของหญ้านั้นสั้นมาก เมล็ดทุกเมล็ดร่วงลงสู่ผืนดิน งอกราก และแตกหน่อ  ผลิดอกและให้ผล และกระบวนการทั้งหมดทั้งมวลก็ครบบริบูรณ์เพียงหลังจากฤดูกาลทั้งสามแล้วเท่านั้น—ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง  ต้นไม้ทุกประเภทก็มีช่วงอายุของพวกมันเองและช่วงเวลาที่แตกต่างกันสำหรับการแตกหน่อและการออกผลเช่นกัน  ต้นไม้บางต้นตายหลังจากผ่านไปแค่ 30 ถึง 50 ปี—นี่คือช่วงอายุของพวกมัน  แต่ผลของพวกมันร่วงลงสู่ผืนดิน ซึ่งจากนั้นก็งอกรากและแตกหน่อ ออกดอก และให้ผล และมีชีวิตไปอีก 30 ถึง 50 ปี  นี่คืออัตราการเกิดซ้ำของพวกมัน  ต้นไม้แก่ตายลงและต้นไม้ที่อ่อนเยาว์เจริญเติบโตขึ้น นี่คือเหตุผลที่เจ้าสามารถเห็นต้นไม้เติบโตอยู่ในป่าเสมอ  แต่พวกมันยังมีวงจรและกระบวนการเกิดและการตายที่ปกติของพวกมันอีกด้วย  ต้นไม้บางต้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้เกินหนึ่งพันปี และบางต้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้กระทั่งถึงสามพันปี  ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นพืชพรรณประเภทใดหรือช่วงอายุของมันจะยาวนานเพียงใด กล่าวโดยทั่วไปแล้ว พระเจ้าทรงบริหารจัดการสมดุลของมันบนพื้นฐานว่ามันมีชีวิตยาวนานเพียงใด ความสามารถในการสืบพันธุ์ของมัน ความเร็วและความถี่ของการสืบพันธุ์ของมัน และจำนวนลูกหลานที่มันผลิต  นี่เปิดโอกาสให้พืชพรรณ ตั้งแต่ต้นหญ้าไปจนถึงต้นไม้ มีความสามารถที่จะยังคงงอกงามและเติบใหญ่ต่อไปได้ภายในสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาที่สมดุล  ดังนั้นแล้วเมื่อเจ้ามองดูป่าบนแผ่นดินโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เติบโตภายในป่า ทั้งต้นหญ้าและต้นไม้ กำลังสืบพันธุ์และเติบโตอย่างต่อเนื่องตามกฎของพวกมันเอง  พวกมันไม่ต้องการแรงงานเพิ่มเติมหรือความช่วยเหลือใดๆ จากมวลมนุษย์  เป็นเพราะพวกมันมีสมดุลประเภทนี้เท่านั้น พวกมันจึงมีความสามารถที่จะคงไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของพวกมันเองได้  เป็นเพราะพวกมันมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการอยู่รอดเท่านั้น ป่าและทุ่งหญ้าของแผ่นดินโลกจึงสามารถยังคงอยู่รอดต่อไปได้บนแผ่นดินโลก  การดำรงอยู่ของพวกมันเลี้ยงดูผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าตลอดจนสิ่งมีชีวิตทุกชนิดรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่มีถิ่นอาศัยในป่าและทุ่งหญ้า—นั่นคือ บรรดานกและสิงสาราสัตว์ แมลง และจุลินทรีย์ทุกชนิด

พระเจ้ายังทรงควบคุมสมดุลระหว่างสัตว์ทุกชนิดอีกด้วย  พระองค์ทรงควบคุมสมดุลนี้อย่างไรหรือ?  ก็คล้ายกันกับพวกพืชพรรณนั่นเอง—พระองค์ทรงบริหารจัดการสมดุลของพวกมันและทรงกำหนดพิจารณาจำนวนของพวกมันบนพื้นฐานของความสามารถในการสืบพันธุ์ของพวกมัน จำนวนและความถี่ของการสืบพันธุ์ของพวกมัน และบทบาทที่พวกมันมีในโลกของสัตว์  ตัวอย่างเช่น สิงโตกินม้าลาย ดังนั้นแล้วหากจำนวนของสิงโตมีมากเกินกว่าจำนวนของม้าลาย ชะตากรรมของม้าลายจะเป็นอย่างไร?  พวกมันคงจะสูญพันธุ์  และหากม้าลายผลิตลูกหลานน้อยกว่าสิงโตมากเกินไป ชะตากรรมของพวกมันจะเป็นอย่างไร?  พวกมันก็คงจะสูญพันธุ์เช่นกัน  ดังนั้นแล้ว จำนวนของม้าลายจะต้องมากกว่าจำนวนของสิงโตอย่างมาก  นี่เป็นเพราะม้าลายไม่เพียงดำรงอยู่เพื่อพวกมันเองเท่านั้น แต่พวกมันดำรงอยู่สำหรับสิงโตอีกด้วย  เจ้าสามารถกล่าวในทางนี้ได้เช่นกัน กล่าวคือ  ม้าลายทุกตัวเป็นส่วนหนึ่งของม้าลายทั้งหมดทั้งมวล แต่มันยังเป็นอาหารให้แก่ปากสิงโตอีกด้วย  ความเร็วของการสืบพันธุ์ของสิงโตไม่มีวันสามารถไปเร็วกว่าความเร็วของการสืบพันธุ์ของม้าลาย ดังนั้นแล้วจำนวนของพวกมันจึงไม่มีวันที่จะมากกว่าจำนวนของม้าลาย  ด้วยวิธีนี้เท่านั้นแหล่งอาหารของสิงโตจึงจะสามารถได้รับการรับประกัน  และดังนั้นแล้ว แม้ว่าสิงโตจะเป็นศัตรูตามธรรมชาติของม้าลาย ผู้คนก็เห็นสายพันธุ์ทั้งสองพักผ่อนกันตามสบายภายในบริเวณพื้นที่เดียวกันอยู่บ่อยๆ  ม้าลายจะไม่มีวันลดจำนวนลงหรือสูญพันธุ์ไปเพราะสิงโตที่ล่าและกินพวกมัน และสิงโตจะไม่มีวันเพิ่มจำนวนเพราะสถานะ “เจ้าป่า” ของพวกมัน  สมดุลนี้คือบางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดตั้งไว้นานมาแล้ว  กล่าวคือ พระเจ้าได้ทรงจัดตั้งกฎของสมดุลระหว่างสัตว์ทั้งหมดเพื่อที่พวกมันจะสามารถสัมฤทธิ์สมดุลแบบนี้ และนี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนมักจะได้เห็น  สิงโตเป็นศัตรูตามธรรมชาติชนิดเดียวเท่านั้นของม้าลายใช่หรือไม่?  ไม่ จระเข้ก็กินม้าลายเช่นกัน  ม้าลายนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งอับจนหนทางอย่างมาก  พวกมันไม่มีความดุร้ายของสิงโต และเมื่อเผชิญหน้ากับสิงโต ศัตรูที่น่าเกรงขามนี้ ทั้งหมดที่พวกมันสามารถทำได้ก็คือวิ่ง  พวกมันไร้พลังแม้แต่จะต้านทาน  เมื่อพวกมันไม่สามารถวิ่งหนีสิงโตได้พ้น พวกมันก็สามารถเพียงยอมตัวให้สิงโตกินเท่านั้น  นี่สามารถเห็นได้บ่อยๆ ในโลกของสัตว์  เจ้ามีความรู้สึกและความคิดใดเมื่อพวกเจ้าเห็นเรื่องแบบนี้?  เจ้ารู้สึกเสียใจไปกับม้าลายหรือไม่?  เจ้ารังเกียจสิงโตหรือไม่?  ม้าลายช่างดูสวยงามเหลือเกิน!  แต่สิงโต พวกมันกลับมองดูม้าลายอย่างตะกละตะกลามเสมอ  และช่างโง่เขลาสิ้นดีที่ม้าลายไม่วิ่งไปให้ไกลๆ  พวกมันเห็นสิงโตอยู่ตรงนั้นรอคอยพวกมันอยู่ในร่มเงาเย็นฉ่ำใต้ต้นไม้  มันสามารถมากินพวกมันได้ทุกขณะ  พวกมันรู้การนี้ในหัวใจของพวกมัน แต่พวกมันก็ยังคงไม่ไปจากแผ่นดินผืนนั้น  นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง สิ่งมหัศจรรย์ซึ่งสำแดงการลิขิตชะตาไว้ล่วงหน้าของพระเจ้าและการปกครองของพระองค์  เจ้ารู้สึกเสียใจไปกับม้าลาย แต่เจ้าไร้ความสามารถที่จะช่วยมันให้รอดได้ และเจ้าก็รังเกียจสิงโต แต่เจ้าไม่สามารถทำลายมันได้  ม้าลายเป็นอาหารที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมสำหรับสิงโต แต่ไม่ว่าสิงโตจะกินไปกี่ตัว ม้าลายย่อมจะไม่ถูกกวาดล้าง  จำนวนของลูกหลานที่สิงโตผลิตนั้นน้อยมาก และพวกมันสืบพันธุ์ช้ามาก ดังนั้นแล้วไม่ว่าพวกมันจะกินม้าลายไปกี่ตัว จำนวนของพวกมันจะไม่มีวันแซงหน้าจำนวนของม้าลาย  มีสมดุลอยู่ในการนี้

อะไรคือเป้าหมายของพระเจ้าในการคงไว้ซึ่งสมดุลแบบนี้?  นี่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของผู้คน ตลอดจนการอยู่รอดของมวลมนุษย์  หากม้าลายหรือเหยื่อใดๆ ที่คล้ายกันของสิงโต—กวางหรือสัตว์อื่นๆ—สืบพันธุ์ช้าเกินไปและจำนวนของสิงโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มนุษย์จะเผชิญกับอันตรายชนิดใด?  การที่สิงโตกินเหยื่อของพวกมันเป็นปรากฏการณ์ปกติ แต่การที่สิงโตตัวหนึ่งกินบุคคลคนหนึ่งเป็นโศกนาฏกรรม  โศกนาฏกรรมนี้ไม่ใช่อะไรบางอย่างที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า มันไม่ใช่อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นภายใต้การปกครองของพระองค์ ยิ่งน้อยไปกว่านั้นก็คืออะไรบางอย่างที่พระองค์ได้ทรงนำมาสู่มวลมนุษย์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันเป็นอะไรบางอย่างที่ผู้คนนำมาสู่ตัวพวกเขาเอง  ดังนั้น ตามสายพระเนตรของพระเจ้า สมดุลระหว่างทุกสรรพสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์  ไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณหรือสัตว์ ไม่มีสิ่งใดที่สามารถสูญเสียสมดุลอันถูกต้องเหมาะสมของมันได้  พืชพรรณ สัตว์ ภูเขา และทะเลสาบ—พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมทางนิเวศที่ปกติไว้สำหรับมวลมนุษย์  เฉพาะเมื่อผู้คนมีสภาพแวดล้อมทางนิเวศประเภทนี้แล้วเท่านั้น—ระบบที่สมดุล—การอยู่รอดของพวกเขาจึงจะปลอดภัย  หากต้นไม้หรือต้นหญ้ามีความสามารถต่ำที่จะสืบพันธุ์หรือความเร็วของการสืบพันธุ์ของพวกมันช้ามาก ดินจะไม่สูญเสียความชุ่มชื้นของมันหรอกหรือ?  หากดินได้สูญเสียความชุ่มชื้นของมัน มันจะยังคงเป็นดินสมบูรณ์อยู่หรือ?  หากดินได้สูญเสียพืชพรรณของมันและความชุ่มชื้นของมัน มันคงจะเกิดการกัดเซาะเร็วมาก และทรายคงจะเกิดขึ้นแทนที่มัน  เมื่อดินเสื่อมสภาพลง สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของผู้คนคงจะถูกทำลายเช่นกัน  ความวิบัติมากมายคงจะเกิดควบคู่ไปกับการทำลายล้างนี้  หากปราศจากสมดุลทางนิเวศแบบนี้ หากปราศจากสภาพแวดล้อมทางนิเวศประเภทนี้ ผู้คนคงจะทนทุกข์กับความวิบัติต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากความไม่สมดุลระหว่างทุกสรรพสิ่ง  ตัวอย่างเช่น เมื่อมีความไม่สมดุลทางสภาพแวดล้อมซึ่งนำไปสู่การทำลายล้างสภาพแวดล้อมทางนิเวศของกบ พวกมันทั้งหมดรวมตัวกัน จำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน และผู้คนถึงกับเห็นกบจำนวนมากพากันข้ามถนนในเมืองต่างๆ  หากกบจำนวนมากได้ยึดครองสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของผู้คน จะเรียกการนั้นว่าอย่างไร?  ความวิบัติอย่างหนึ่ง  เหตุใดจึงเรียกว่าความวิบัติ?  สัตว์ขนาดเล็กเหล่านี้ที่เป็นประโยชน์สำหรับมวลมนุษย์มีประโยชน์สำหรับผู้คนเมื่อพวกมันยังคงอยู่ในที่ที่เหมาะสมกับพวกมัน พวกมันสามารถคงไว้ซึ่งสมดุลของสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของผู้คน  แต่หากพวกมันกลายเป็นความวิบัติ พวกมันจะส่งผลกระทบต่อความเป็นระเบียบของชีวิตของผู้คน  สิ่งต่างๆ ทั้งหมดและองค์ประกอบทั้งหมดที่บรรดากบนำติดตัวพวกมันมาบนร่างกายของพวกมันสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนได้  พวกมันถึงขั้นสามารถทำให้อวัยวะต่างๆ ทางกายของผู้คนถูกโจมตีได้—นี่คือหนึ่งในความวิบัติชนิดต่างๆ  ความวิบัติอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นบางสิ่งที่มนุษย์ได้ผ่านประสบการณ์บ่อยๆ ก็คือการปรากฏของตั๊กแตนโลคัสตาจำนวนมหาศาล  นี่ไม่ใช่ความวิบัติหรอกหรือ?  ใช่ มันเป็นความวิบัติอันน่าหวาดผวาจริงๆ  ไม่สำคัญว่าพวกมนุษย์อาจมีความสามารถเพียงใด—ผู้คนสามารถสร้างเครื่องบิน ปืนใหญ่ และระเบิดปรมาณูได้—เมื่อตั๊กแตนโลคัสตาบุก มวลมนุษย์มีวิธีแก้ไขอันใดหรือ?  พวกเขาสามารถใช้ปืนใหญ่กับพวกมันได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถยิงพวกมันด้วยปืนกลได้หรือไม่?  ไม่ พวกเขาไม่สามารถทำได้  เช่นนั้นแล้วพวกเขาสามารถพ่นยาฆ่าแมลงเพื่อไล่พวกมันออกไปได้หรือไม่?  นั่นก็ไม่ใช่งานง่ายเช่นกัน  ตั๊กแตนโลคัสตาตัวเล็กๆ เหล่านั้นมาเพื่อทำอะไร?  พวกมันกินพืชผลและธัญพืชโดยเฉพาะ  ที่ใดก็ตามที่ตั๊กแตนโลคัสตาไป พืชผลถูกทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง  ในกาลสมัยของการบุกของตั๊กแตนโลคัสตา อาหารทั้งหมดที่เกษตรกรพึ่งพาสำหรับปีหนึ่งๆ สามารถถูกตั๊กแตนโลคัสตาบริโภคจนหมดสิ้นในชั่วพริบตาเดียว  สำหรับมนุษย์แล้ว การมาถึงของตั๊กแตนโลคัสตาไม่ใช่แค่สิ่งที่สร้างความรำคาญเท่านั้น—มันคือความวิบัติอย่างหนึ่ง  ดังนั้นแล้ว พวกเรารู้ว่าการปรากฏของตั๊กแตนโลคัสตาจำนวนมากคือความวิบัติชนิดหนึ่ง แต่หากว่าเป็นหนูล่ะ?  หากไม่มีพวกนกล่าเหยื่อที่จะกินหนู เช่นนั้นแล้วพวกมันย่อมจะทวีจำนวนอย่างรวดเร็วมาก รวดเร็วมากกว่าที่เจ้าจะสามารถจินตนาการได้  และหากหนูแพร่กระจายโดยไม่มีการควบคุม มนุษย์จะสามารถมีชีวิตที่ดีได้หรือไม่?  มนุษย์จะเผชิญกับสถานการณ์แบบใด?  (โรคระบาด)  แต่เจ้าคิดหรือว่าการเกิดโรคระบาดจะเป็นผลที่ตามมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น?  หนูจะขบเคี้ยวอะไรก็ได้ และพวกมันจะแทะกระทั่งไม้  หากมีหนูแค่สองตัวในบ้านหนึ่งหลัง พวกมันจะเป็นตัวก่อกวนทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น  บางครั้งพวกมันขโมยกินน้ำมัน และบางครั้งพวกมันก็กินขนมปังหรือธัญญาหาร  และสิ่งต่างๆ ที่พวกมันไม่กินนั้น พวกมันแค่ขบเคี้ยวแล้วเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นเป็นความไม่เป็นระเบียบทั้งสิ้น  พวกมันแทะเสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์—พวกมันขบเคี้ยวทุกสิ่งทุกอย่าง  บางครั้งพวกมันจะปีนขึ้นไปบนตู้—จานเหล่านั้นยังคงสามารถใช้ได้อยู่หรือไม่หลังจากที่หนูได้ย่ำไปบนจานแล้ว?  ต่อให้เจ้านำจานไปฆ่าเชื้อ เจ้าก็จะยังคงไม่รู้สึกสบายใจ ดังนั้นแล้วเจ้าก็แค่โยนจานเหล่านั้นทิ้งไป  เหล่านี้คือความรำคาญใจที่หนูนำมาสู่ผู้คน  แม้ว่าหนูจะเป็นสัตว์ขนาดจิ๋ว ผู้คนก็ไม่มีหนทางที่จะจัดการกับพวกมัน และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับมีแต่ต้องทนกับการปล้นสะดมของพวกมัน  แค่หนูคู่เดียวก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นเหตุแห่งการก่อกวนที่ร้ายแรง ไม่ต้องไปพูดถึงหนูฝูงใหญ่  หากจำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นและพวกมันกลายเป็นความวิบัติ ผลสืบเนื่องคงจะไม่อาจจินตนาการได้  แม้กระทั่งสัตว์ขนาดเล็กจิ๋วเท่ามดก็สามารถกลายเป็นความวิบัติได้  หากการนั้นเกิดขึ้น ความเสียหายที่พวกมันจะก่อให้กับมวลมนุษย์ย่อมจะไม่สามารถถูกเพิกเฉยได้เช่นกัน  มดสามารถก่อให้เกิดความเสียหายกับบ้านเรือนจนบ้านเรือนพังทลายได้ ต้องไม่มองข้ามพละกำลังของพวกมัน  มันจะไม่น่าหวาดผวาหรอกหรือหากนกชนิดต่างๆ สร้างความวิบัติขึ้น?  (ใช่)  หากจะพูดอีกแบบก็คือ เมื่อใดก็ตามที่สัตว์หรือสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าพวกมันจะเป็นชนิดใด สูญเสียสมดุลของพวกมัน พวกมันจะเติบโต สืบพันธุ์ และดำรงชีวิตภายในวงเขตที่ไม่ปกติ วงเขตที่ผิดปกติ  นั่นจะนำมาซึ่งผลสืบเนื่องอันไม่อาจจินตนาการได้ต่อมวลมนุษย์  นั่นจะไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการอยู่รอดและชีวิตของผู้คนเท่านั้น แต่ยังจะนำความวิบัติมาสู่มวลมนุษย์อีกด้วย กระทั่งถึงจุดที่ผู้คนทนทุกข์กับชะตากรรมของความสิ้นสลายและการสูญพันธุ์โดยสมบูรณ์

เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงใช้วิธีการและหนทางทุกชนิดเพื่อให้พวกมันมีสมดุล เพื่อให้สภาพเงื่อนไขในการดำรงชีวิตของภูเขาและทะเลสาบ ของพืชพรรณและสัตว์ นก และแมลงทุกชนิดมีสมดุล  เป้าหมายของพระองค์คือการเปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดได้ดำรงชีวิตและทวีจำนวนภายใต้กฎที่พระองค์ได้ทรงกำหนดขึ้น  ไม่มีสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างใดสามารถออกนอกกฎเหล่านี้ และกฎเหล่านี้ไม่สามารถถูกทำลายได้  เฉพาะภายในสภาพแวดล้อมพื้นฐานประเภทนี้เท่านั้น มนุษย์จึงสามารถอยู่รอดและทวีจำนวนได้อย่างปลอดภัยรุ่นแล้วรุ่นเล่า  หากสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ไปพ้นจำนวนหรือวงเขตที่พระเจ้าทรงกำหนด หรือหากมันเกินอัตราการเติบโต ความถี่ของการสืบพันธุ์ หรือจำนวนที่พระองค์สั่งการ สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์คงจะประสบทุกข์กับการทำลายล้างในระดับที่หลากหลาย  และในเวลาเดียวกัน การอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็คงจะถูกคุกคาม  หากสิ่งมีชีวิตทรงสร้างชนิดหนึ่งมีจำนวนมากเกินไป มันจะปล้นอาหารจากผู้คน ทำลายแหล่งน้ำของผู้คน และทำให้ถิ่นฐานของพวกเขาย่อยยับ  ด้วยหนทางนั้น การสืบพันธุ์หรือสภาวะการอยู่รอดของมวลมนุษย์คงจะได้รับผลกระทบในทันที  ตัวอย่างเช่น น้ำนั้นสำคัญมากสำหรับทุกสรรพสิ่ง  หากมีหนู มด ตั๊กแตนโลคัสตา กบ หรือสัตว์ชนิดอื่นใดมากเกินไป พวกมันจะดื่มน้ำมากขึ้น  เมื่อปริมาณน้ำที่พวกมันดื่มเพิ่มขึ้น น้ำดื่มและแหล่งน้ำของผู้คนภายในวงเขตที่ตายตัวของแหล่งน้ำดื่มและพื้นที่ซึ่งประกอบด้วยน้ำจะลดลง และพวกเขาจะได้รับประสบการณ์เป็นการขาดแคลนน้ำ  หากน้ำดื่มของผู้คนถูกทำลาย ปนเปื้อน หรือถูกตัดขาดเพราะสัตว์ทุกประเภทได้เพิ่มจำนวนขึ้น ภายใต้สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดอันโหดร้ายแบบนั้น การอยู่รอดของมวลมนุษย์จะถูกคุกคามอย่างร้ายแรง  หากสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งหรือหลายประเภทมีจำนวนเกินความเหมาะสมของพวกมัน เช่นนั้นแล้วอากาศ อุณหภูมิ ความชื้น และแม้กระทั่งองค์ประกอบของอากาศภายในพื้นที่สำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็จะเป็นพิษและถูกทำลายในระดับที่หลากหลาย  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ การอยู่รอดและชะตากรรมของมนุษย์จะอยู่ภายใต้การคุกคามที่มีต้นเหตุจากปัจจัยทางนิเวศเหล่านี้เช่นกัน  ดังนั้นแล้ว หากความสมดุลเหล่านี้สูญเสียไป อากาศที่ผู้คนหายใจจะถูกทำลาย น้ำที่พวกเขาดื่มจะถูกปนเปื้อน และอุณหภูมิที่พวกเขาพึงต้องมีก็จะเปลี่ยนแปลงและได้รับผลกระทบในระดับที่หลากหลายเช่นกัน  หากการนั้นเกิดขึ้น สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่เป็นของมวลมนุษย์โดยธรรมชาติจะได้รับผลกระทบและอยู่ภายใต้ความท้าทายอันใหญ่หลวง  ในฉากเหตุการณ์แบบนี้ที่สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับการอยู่รอดของมนุษย์ได้ถูกทำลายลง ชะตากรรมและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของมวลมนุษย์จะเป็นอย่างไร?  นี่เป็นปัญหาที่รุนแรงมากปัญหาหนึ่ง!  เพราะพระเจ้าทรงทราบว่าแต่ละสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างดำรงอยู่เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ด้วยเหตุผลใด บทบาทของสิ่งต่างๆ ทุกชนิดที่พระองค์ได้ทรงสร้างคืออะไร แต่ละสิ่งมีผลกระทบแบบใดต่อมวลมนุษย์ และมันเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ถึงระดับใด เพราะในพระทัยของพระเจ้ามีแผนการสำหรับทั้งหมดนี้และพระองค์ทรงบริหารจัดการทุกๆ แง่มุมของทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงทำจึงสำคัญและจำเป็นมากสำหรับมวลมนุษย์  ดังนั้นแล้วตั้งแต่นี้ไป เมื่อใดก็ตามที่เจ้าสังเกตดูปรากฏการณ์ทางนิเวศบางอย่างท่ามกลางสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า หรือกฎธรรมชาติบางอย่างที่ดำเนินอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า เจ้าจะไม่สงสัยเกี่ยวกับความจำเป็นของทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างอีกต่อไป  เจ้าจะไม่ใช้ถ้อยคำที่ไม่รู้เท่าทันมาตัดสินโดยพลการเกี่ยวกับการจัดการเตรียมการทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าและหนทางอันหลากหลายของพระองค์ในการจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์อีกต่อไป  อีกทั้งเจ้าจะไม่มาสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับกฎของพระเจ้าสำหรับทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์โดยพลการ  นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรอกหรือ?

ทั้งหมดนี้ที่พวกเราเพิ่งจะพูดคุยกันไปคืออะไร?  จงคิดถึงมันสักอึดใจ  พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์ของพระองค์เองในทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงทำ  แม้ว่าเจตนารมณ์ของพระองค์ไม่อาจจะหยั่งรู้ได้สำหรับมนุษย์ มันเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของมวลมนุษย์อย่างแยกกันไม่ออกและอย่างมีอานุภาพเสมอ  มันจะขาดเสียไม่ได้โดยสิ้นเชิง  นี่เป็นเพราะพระเจ้าไม่เคยทรงทำสิ่งใดที่หาประโยชน์มิได้  หลักการเบื้องหลังทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นซึมซ่านไปด้วยแผนการของพระองค์และพระปรีชาญาณของพระองค์  เป้าหมายและเจตนารมณ์เบื้องหลังแผนการนั้นเป็นไปเพื่อการปกป้องมวลมนุษย์ เพื่อช่วยมวลมนุษย์หลบหลีกความวิบัติ การปล้นสะดมของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และอันตรายชนิดใดๆ ต่อมนุษย์ที่เกิดจากสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างใดของพระเจ้า  ดังนั้นแล้วจะสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า กิจการของพระเจ้าที่พวกเราได้เห็นภายในหัวข้อนี้ประกอบขึ้นเป็นอีกวิธีหนึ่งซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์?  พวกเราจะสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า โดยผ่านทางกิจการเหล่านี้ พระเจ้ากำลังทรงให้อาหารและทรงเป็นผู้เลี้ยงมวลมนุษย์?  (ได้)  มีสัมพันธภาพอันชัดเจนระหว่างหัวข้อนี้กับแก่นเรื่องของการสามัคคีธรรมของพวกเรา ซึ่งก็คือ “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” หรือไม่?  (มี)  มีสัมพันธภาพอันชัดเจนมาก และหัวข้อนี้ก็คือแง่มุมหนึ่งของการนั้น  ก่อนที่จะพูดถึงหัวข้อเหล่านี้ ผู้คนเพียงมีการจินตนาการอันคลุมเครือบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์เองและกิจการของพระองค์เท่านั้น—พวกเขาขาดความเข้าใจถ่องแท้  อย่างไรก็ดี เมื่อผู้คนได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับกิจการของพระองค์และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงทำ พวกเขาสามารถเข้าใจและจับใจความหลักการของสิ่งที่พระเจ้าทรงทำได้และพวกเขาสามารถได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการเหล่านั้นและมาอยู่ในระยะที่จะเข้าถึงหลักการเหล่านั้นได้  แม้ว่าในพระทัยของพระเจ้าจะมีทฤษฎี หลักการ และกฎเกณฑ์อันซับซ้อนมากทุกประเภทเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงทำสิ่งใดๆ เช่นการทรงสร้างและการปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง เป็นไปไม่ได้เลยหรือที่เจ้าจะได้รับความเข้าใจในหัวใจของเจ้าว่าเหล่านี้คือกิจการของพระเจ้า และว่าพวกมันสัมพันธ์กับชีวิตจริงเท่าที่จะสามารถเป็นได้ โดยการให้พวกเจ้าเรียนรู้เพียงส่วนเดียวของพวกมันในการสามัคคีธรรม?  (เป็นไปได้)  เช่นนั้นแล้วความเข้าใจในปัจจุบันของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างไร?  มันแตกต่างกันในแก่นแท้ของมัน  ก่อนหน้านี้ ความเข้าใจของเจ้านั้นตื้นเกินไป คลุมเครือเกินไป แต่บัดนี้ความเข้าใจของเจ้ามีหลักฐานอันเป็นรูปธรรมมากมายที่เข้ากันได้กับกิจการของพระเจ้า เข้ากันได้กับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น  ดังนั้น ทั้งหมดที่เราได้พูดไปแล้วจึงเป็นสื่อการเรียนรู้อันน่าอัศจรรย์สำหรับความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า

9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014

ก่อนหน้า: พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

ถัดไป: พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger