พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง (4)

วันนี้พวกเรากำลังเข้าสนิทในหัวข้อพิเศษ  สำหรับผู้เชื่อแต่ละคนทุกๆ คนนั้น มีสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องรู้ ต้องได้รับประสบการณ์ และต้องเข้าใจอยู่เพียงสองสิ่งเท่านั้น  สองสิ่งเหล่านี้คืออะไร?  สิ่งแรกคือการเข้าสู่ชีวิตปัจเจกบุคคลของคนเรา และสิ่งที่สองเกี่ยวโยงกับการรู้จักพระเจ้า  ในเรื่องหัวข้อที่พวกเรากำลังมีการสื่อสารกันอยู่ในช่วงนี้เกี่ยวกับเรื่องการรู้จักพระเจ้านั้น พวกเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่บรรลุถึงได้หรือไม่?  เป็นการสมควรที่จะกล่าวว่า มันเป็นเรื่องที่ไกลพ้นการเข้าถึงของผู้คนส่วนใหญ่จริงๆ  พวกเจ้าอาจไม่ปักใจเชื่อในถ้อยคำของเรา แต่เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เรากล่าวเช่นนี้เพราะเมื่อพวกเจ้ากำลังฟังสิ่งที่เรากล่าวครั้งก่อน ไม่ว่าเราได้กล่าวอย่างไรหรือด้วยวจนะใด พวกเจ้าก็สามารถรู้ได้ว่าวจนะเหล่านี้เกี่ยวกับเรื่องใด ทั้งโดยตามตัวอักษรและโดยทฤษฎี  อย่างไรก็ตาม สำหรับพวกเจ้าทั้งหมดแล้ว ประเด็นที่สำคัญมากๆ ก็คือว่า พวกเจ้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเราจึงกล่าวเรื่องนั้นๆ หรือเหตุใดเราจึงพูดเกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ  นี่คือประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่องนี้  ด้วยเหตุนี้เอง ถึงแม้ว่าการที่พวกเจ้าได้ฟังเรื่องเหล่านี้จะได้เพิ่มและเสริมความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าและกิจการทั้งหลายของพระองค์เล็กน้อย แต่พวกเจ้าก็ยังคงรู้สึกว่าการรู้จักพระเจ้าพ่วงเอาความพยายามที่ต้องบากบั่นมาด้วย  กล่าวคือ หลังจากได้ยินสิ่งที่เรากล่าวแล้ว พวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเราจึงได้กล่าวถึงการนั้น หรือการนั้นมีความเชื่อมโยงอะไรกับการรู้จักพระเจ้า  เหตุผลที่เจ้าไร้ความสามารถที่จะเข้าใจความเชื่อมโยงของการนั้นกับการรู้จักพระเจ้าได้ก็คือ ประสบการณ์ชีวิตของพวกเจ้านั้นผิวเผินเกินไป  หากความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าของผู้คนยังคงอยู่ในระดับที่ตื้นเขินมากๆ เช่นนั้นแล้ว ความรู้ส่วนใหญ่ของพวกเขาเกี่ยวกับพระองค์ก็จะคลุมเครือและเป็นนามธรรม นั่นจะเป็นความรู้แบบทั่วไป แบบคำสอน และแบบทฤษฎี  ในทางทฤษฎีนั้น อาจจะปรากฏหรือฟังดูมีตรรกะและมีเหตุผล แต่ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าที่ออกมาจากปากของผู้คนส่วนใหญ่นั้นแท้จริงแล้วว่างเปล่า  และเหตุใดเราจึงกล่าวว่าความรู้นั้นว่างเปล่า?  นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่มีความเข้าใจชัดเจนอย่างแท้จริงต่อความสัตย์จริงและความถูกต้องแม่นยำของสิ่งที่ตัวเจ้าเองกล่าวในเรื่องของการรู้จักพระเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนั้น ถึงแม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะได้ฟังข้อมูลและหัวข้อทั้งหลายมากมายเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้ามาก่อนแล้ว แต่ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้ายังไปไม่ไกลเกินกว่าทฤษฎีหรือคำสอนที่คลุมเครือและเป็นนามธรรม  เช่นนั้นแล้ว ปัญหานี้จะสามารถแก้ไขได้อย่างไร?  พวกเจ้าเคยคิดเกี่ยวกับการนั้นหรือไม่?  หากใครบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะสามารถมีความเป็นจริงได้หรือ?  หากใครบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ปราศจากความเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย และดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าอย่างแน่แท้  พวกที่ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้หรือ?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด ทั้งสองนี้เชื่อมโยงถึงกัน  ดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงกล่าวว่า “เหตุใดการรู้จักพระเจ้าจึงยากนัก?  เมื่อฉันพูดถึงการรู้จักตัวฉันเอง ฉันสามารถพูดได้เป็นหลายชั่วโมง แต่เมื่อพูดถึงการรู้จักพระเจ้า ฉันหาคำพูดไม่เจอเลย  แม้เมื่อฉันสามารถกล่าวถึงหัวเรื่องนี้ได้นิดหน่อย แต่คำพูดของฉันเป็นแบบฝืนๆ และฟังดูทื่อๆ  มันถึงกับฟังดูน่าอึดอัดเมื่อฉันได้ยินตัวฉันเองกล่าวคำพูดเหล่านั้น”  นี่คือที่มา  หากเจ้ารู้สึกว่าการรู้จักพระเจ้าเป็นเรื่องยากเกินไป ว่าการรู้จักพระเจ้าต้องใช้ความพยายามอย่างมาก หรือว่าเจ้าไม่มีหัวข้อที่จะหยิบยกขึ้นมาพูดและไม่สามารถคิดถึงสิ่งใดที่เป็นจริงเพื่อที่จะเข้าสนิทและจัดเตรียมให้กับคนอื่นๆ และตัวเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว นี่ก็พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่ได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้ามาแล้ว  พระวจนะของพระเจ้าคืออะไร?  พระวจนะของพระองค์ไม่ใช่การแสดงถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นหรอกหรือ?  หากเจ้าไม่เคยได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้ามาแล้ว เจ้าจะสามารถมีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นได้กระนั้นหรือ?  แน่นอนว่าไม่  สิ่งเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงถึงกัน  หากเจ้าไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ และเจ้าก็ไม่รู้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าคืออะไร พระองค์โปรดสิ่งใด พระองค์ทรงเกลียดชังสิ่งใด ข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อผู้คนคือสิ่งใด พระองค์ทรงมีท่าทีแบบใดต่อบรรดาผู้ที่เป็นคนดี และพระองค์ทรงมีท่าทีแบบใดต่อบรรดาผู้ที่เป็นคนชั่ว ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่กำกวมและเลือนรางสำหรับเจ้าอย่างแน่นอน  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าท่ามกลางความเลือนรางเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว เมื่อเจ้าอ้างว่าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและติดตามพระเจ้า คำกล่าวอ้างเช่นนั้นเป็นจริงหรือ?  มันไม่เป็นจริงเลย!  เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเรามาเข้าสนิทเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้ากันต่อไปเถิด

พวกเจ้าล้วนกระตือรือร้นที่จะได้ยินหัวข้อในการสามัคคีธรรมของวันนี้ใช่หรือไม่?  หัวข้อนี้ยังเกี่ยวโยงกับเรื่อง “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” ด้วยเช่นกัน ซึ่งพวกเราได้สนทนากันเรื่อยมาเมื่อไม่นานมานี้  พวกเราได้พูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับเรื่อง “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” อย่างไร โดยใช้วิธีการและมุมมองทั้งหลายเพื่อแจ้งให้ผู้คนทราบเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงทำเช่นนั้นโดยวิธีการใด และพระองค์ทรงบริหารจัดการทุกสรรพสิ่งตามหลักการใดเพื่อที่สิ่งเหล่านั้นจะได้ดำรงอยู่บนดาวเคราะห์ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นดวงนี้  พวกเรายังได้พูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์ด้วย กล่าวคือ พระองค์ทรงให้การจัดเตรียมเช่นนั้นโดยวิธีการใด พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตชนิดใดให้แก่ผู้คน และพระองค์ทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่มั่นคงให้แก่มนุษย์โดยวิธีการใดและจากจุดเริ่มต้นใด  ถึงแม้ว่าเรามิได้พูดไปโดยตรงถึงสัมพันธภาพระหว่างการบริหารและอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า และการบริหารจัดการของพระองค์ แต่เราได้พูดโดยอ้อมถึงเหตุผลที่พระองค์ทรงบริหารทุกสรรพสิ่งในหนทางนี้ รวมถึงได้พูดถึงเหตุผลทั้งหลายที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์และทรงบำรุงเลี้ยงมวลมนุษย์ในลักษณะนี้  ทั้งหมดนี้เกี่ยวโยงกับการบริหารจัดการของพระองค์  เนื้อหาของสิ่งที่ได้พูดไปนั้นมีขอบเขตกว้างมาก กล่าวคือ จากสภาพแวดล้อมขนาดใหญ่ ไปจนถึงสิ่งทั้งหลายที่เล็กน้อยกว่ามากเช่นความจำเป็นขั้นพื้นฐานและโภชนาการของผู้คน จากวิธีที่พระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งและทรงเป็นสาเหตุที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นปฏิบัติการได้อย่างเป็นระเบียบ ไปจนถึงสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ถูกต้องและเหมาะสมที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นให้แก่ผู้คนจากทุกเผ่าพันธุ์ และอื่นๆ  เนื้อหาที่กว้างไกลนี้ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับวิธีที่พวกมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง—กล่าวคือ นั่นล้วนเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายของโลกทางวัตถุที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และที่ผู้คนสามารถรู้สึกถึงได้ เช่น เทือกเขา แม่น้ำลำธาร มหาสมุทร ที่ราบ และอื่นๆ  เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้  เมื่อเราพูดถึงอากาศและอุณหภูมิ พวกเจ้าสามารถใช้ลมหายใจของพวกเจ้าเพื่อรู้สึกถึงการมีอยู่ของอากาศได้โดยตรง และใช้ร่างกายของพวกเจ้าเพื่อสำนึกรับรู้ได้ว่าอุณหภูมิสูงหรือต่ำ  บรรดาต้นไม้ ต้นหญ้า และนกกับสัตว์ป่าทั้งหลายในป่า และสิ่งทั้งหลายที่บินไปในอากาศและเดินอยู่บนแผ่นดิน และสัตว์เล็กต่างๆ นานาที่ออกมาจากโพรง มนุษย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาตนเองทั้งหมด และได้ยินด้วยหูของพวกเขาเอง  ถึงแม้ว่าวงเขตทั้งหมดที่สิ่งเหล่านี้สัมผัสจะกว้างใหญ่มาก แต่ในบรรดาสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น พวกมันก็เป็นตัวแทนเฉพาะโลกทางวัตถุเท่านั้น  สิ่งทั้งหลายทางวัตถุคือสิ่งที่มนุษย์สามารถมองเห็นและรู้สึกถึงได้ ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อเจ้าสัมผัสสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็สำนึกรับรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น และเมื่อตาของเจ้ามองเห็นสิ่งเหล่านั้น สมองของเจ้าก็นำเสนอฉายาหนึ่ง รูปภาพหนึ่งให้แก่เจ้า  สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริงและแท้ สำหรับเจ้าแล้วสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่นามธรรม แต่มีรูปทรง  สิ่งเหล่านั้นอาจจะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือเป็นทรงกลม หรือสูง หรือสั้น และวัตถุแต่ละอย่างให้ความรู้สึกประทับใจที่แตกต่างกันแก่เจ้า  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นตัวแทนแง่มุมทางวัตถุนั้นของการทรงสร้าง  และดังนั้น สำหรับพระเจ้าแล้ว “ทุกสรรพสิ่ง” ในวลีที่ว่า “อำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า” ประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง?  สิ่งเหล่านั้นไม่เพียงประกอบด้วยสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์สามารถมองเห็นและสัมผัสได้เท่านั้น นอกจากนั้น สิ่งเหล่านั้นยังประกอบด้วยทั้งหมดที่ไม่ปรากฏแก่ตาและไม่อาจสัมผัสได้  นี่คือหนึ่งในความหมายที่แท้จริงของอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นจะไม่ปรากฏแก่ตาและไม่อาจสัมผัสได้สำหรับมนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว—ตราบเท่าที่สิ่งเหล่านั้นเป็นที่สังเกตเห็นได้โดยพระเนตรของพระองค์และอยู่ภายในวงเขตอธิปไตยของพระองค์—สิ่งเหล่านั้นมีอยู่อย่างแท้จริง  แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นนามธรรมและไม่สามารถจินตนาการถึงได้ และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏแก่ตาและไม่อาจสัมผัสได้สำหรับมนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้านั้น สิ่งเหล่านั้นมีอยู่อย่างแท้จริงและอย่างเป็นจริง  นี่คืออีกโลกหนึ่งท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าทรงปกครอง และนั่นเป็นอีกส่วนหนึ่งของวงเขตของสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าทรงมีอำนาจครอบครอง  นี่คือหัวข้อสำหรับการสามัคคีธรรมของวันนี้ นั่นคือ พระเจ้าทรงปกครองและทรงบริหารโลกวิญญาณอย่างไร  เนื่องจากหัวข้อนี้ครอบคลุมวิธีการที่พระเจ้าทรงปกครองและบริหารจัดการทุกสรรพสิ่ง นั่นจึงเกี่ยวโยงกับโลกที่นอกเหนือไปจากโลกทางวัตถุ—ซึ่งคือโลกวิญญาณ—และด้วยเหตุนี้เอง จึงสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพวกเราที่จะต้องเข้าใจ  มีเพียงหลังจากที่ได้สื่อสารและได้เข้าใจเนื้อหานี้แล้วเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถจับใจความความหมายที่แท้จริงของคำว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” ได้อย่างแท้จริง  นี่คือเหตุผลที่เรากำลังจะหารือกันถึงหัวข้อนี้ จุดประสงค์ของการนั้นก็คือเพื่อที่จะทำให้เรื่อง “พระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และพระเจ้าทรงบริหารจัดการทุกสรรพสิ่ง” ครบบริบูรณ์  บางที เมื่อพวกเจ้าได้ฟังหัวข้อนี้ พวกเจ้าอาจรู้สึกแปลกหรือไม่สามารถหยั่งลึกได้ แต่ไม่ว่าพวกเจ้ารู้สึกอย่างไร ในเมื่อโลกวิญญาณเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าทรงปกครอง พวกเจ้าก็ต้องได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับหัวข้อนี้  ทันทีที่พวกเจ้าได้รับความเข้าใจ พวกเจ้าจะมีความซึ้งคุณค่า ความเข้าใจ และความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในวลีที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง”

วิธีที่พระเจ้าทรงปกครองและบริหารโลกวิญญาณ

สำหรับโลกทางวัตถุนั้น เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนไม่เข้าใจบางสิ่งหรือปรากฏการณ์บางอย่าง พวกเขาสามารถค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือใช้ช่องทางทั้งหลายเพื่อหาต้นกำเนิดและภูมิหลังของสิ่งเหล่านั้น  แต่เมื่อกล่าวถึงอีกโลกหนึ่งที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่วันนี้—โลกวิญญาณ ซึ่งมีอยู่ภายนอกโลกทางวัตถุ—ผู้คนไม่มีวิธีการหรือช่องทางใดๆ ที่จะใช้เรียนรู้เกี่ยวกับมันอย่างสิ้นเชิง  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เรากล่าวไปเพราะ ในโลกของมวลมนุษย์นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างของโลกทางวัตถุแยกกันไม่ได้จากการดำรงอยู่ทางร่างกายของมนุษย์ และเพราะผู้คนรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างของโลกทางวัตถุนั้นแยกกันไม่ได้จากการดำรงชีวิตทางกายภาพและชีวิตทางกายภาพของพวกเขา ผู้คนส่วนใหญ่เพียงมองเห็นหรือตระหนักถึงสิ่งทั้งหลายทางวัตถุที่อยู่ต่อหน้าต่อตาของพวกเขาที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้เท่านั้น  อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงโลกวิญญาณ—ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของอีกโลกหนึ่งนั้น—มันคงจะเป็นการสมควรที่จะกล่าวว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ  เนื่องจากผู้คนไม่สามารถมองเห็นมันได้ และเชื่อว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจมันหรือที่จะต้องรู้สิ่งใดๆ เกี่ยวกับมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าโลกวิญญาณเป็นโลกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากโลกทางวัตถุอย่างไร และเป็นโลกเปิดเมื่อมองจากมุมมองของพระเจ้า อย่างไร—ถึงแม้ว่าสำหรับมนุษย์แล้วมันเป็นความลับและเป็นโลกที่ปิดอยู่ก็ตาม—เพราะฉะนั้นผู้คนจึงค้นหาเส้นทางเพื่อที่จะเข้าใจแง่มุมทั้งหลายของโลกนี้อย่างยากลำบากยิ่ง  แง่มุมที่แตกต่างของโลกวิญญาณที่เรากำลังจะพูดถึงนี้เพียงเกี่ยวข้องกับการบริหารและอธิปไตยของพระเจ้าเท่านั้น เรามิใช่กำลังจะเผยความล้ำลึกอันใด และเรามิใช่กำลังจะบอกพวกเจ้าถึงความลับอันใดที่พวกเจ้าปรารถนาจะเรียนรู้  เนื่องจากการนี้เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของพระเจ้า การบริหารของพระเจ้า และการจัดเตรียมของพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราจึงจะเพียงพูดถึงส่วนที่พวกเจ้าจำเป็นต้องรู้เท่านั้น

ก่อนอื่น เราขอถามคำถามหนึ่งกับพวกเจ้า นั่นคือ  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้านั้น โลกวิญญาณคืออะไร?  พูดโดยกว้างๆ แล้วนั้น มันคือโลกที่อยู่นอกโลกทางวัตถุ โลกที่ไม่ปรากฏแก่ตาและไม่อาจจับต้องได้สำหรับผู้คน ถึงกระนั้น ในจินตนาการของพวกเจ้า โลกวิญญาณควรจะเป็นโลกแบบใด?  บางที ผลจากการที่ไม่สามารถมองเห็นมันได้นี้ พวกเจ้าจึงไม่สามารถคิดเกี่ยวกับมันได้  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเจ้าได้ยินตำนานบางอย่าง พวกเจ้ายังคงกำลังคิดถึงมันอยู่ และพวกเจ้าไม่สามารถหยุดคิดถึงมันได้  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับผู้คนมากมายเมื่อพวกเขายังเยาว์วัย นั่นคือ  เมื่อใครบางคนบอกเล่าเรื่องที่น่ากลัวแก่พวกเขา—เกี่ยวกับผี หรือดวงจิต—พวกเขารู้สึกกลัวจนขนหัวลุก  พวกเขาหวาดกลัวเพราะเหตุใดกันแน่?  นั่นเป็นเพราะพวกเขากำลังจินตนาการถึงสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นพวกมัน แต่พวกเขารู้สึกว่าพวกมันอยู่ทั่วห้องของพวกเขา อยู่ในที่ซ่อนเร้นหรือมุมมืดบางแห่ง และพวกเขาเกรงกลัวจนพวกเขาไม่กล้าเข้านอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามกลางคืน พวกเขารู้สึกกลัวเกินไปที่จะอยู่ตามลำพังในห้องของพวกเขาหรือที่จะเสี่ยงออกไปในลานบ้านของพวกเขาตามลำพัง  นั่นคือโลกวิญญาณจากจินตนาการของพวกเจ้า และมันเป็นโลกที่มนุษย์คิดว่าน่ากลัว  ข้อเท็จจริงก็คือทุกคนจินตนาการถึงมันถึงบางระดับเท่านั้น และทุกคนสามารถรู้สึกถึงมันได้นิดหน่อย

เรามาเริ่มพูดคุยถึงโลกวิญญาณกันเถิด  มันคืออะไร?  เราขอให้คำอธิบายสั้นๆ และเรียบง่ายแก่เจ้าว่า  โลกวิญญาณคือสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง สถานที่ซึ่งแตกต่างจากโลกวัตถุ  เหตุใดเราจึงกล่าวว่ามันสำคัญ?  พวกเรากำลังจะหารือเรื่องนี้กันอย่างละเอียด  การมีอยู่ของโลกวิญญาณเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่นกับโลกวัตถุของมวลมนุษย์  มันมีบทบาทสำคัญในวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของมนุษย์ในอำนาจครอบครองเหนือสรรพสิ่งของพระเจ้า  นี่คือบทบาทของมัน และนี่คือหนึ่งในเหตุผลทั้งหลายที่ทำให้การมีอยู่ของมันมีความสำคัญ  เนื่องจากมันเป็นสถานที่ซึ่งสัมผัสทั้งห้าไม่สามารถหยั่งรู้ได้ จึงไม่มีใครสามารถตัดสินได้อย่างแน่ชัดว่าโลกวิญญาณมีอยู่หรือไม่มี  พลวัตทั้งหลายของมันเชื่อมต่อกับการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีผลทำให้ระเบียบชีวิตของมวลมนุษย์ได้รับอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงจากโลกวิญญาณด้วย  การนี้เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของพระเจ้าหรือไม่?  มันเกี่ยวข้อง  เมื่อเรากล่าวเช่นนี้ พวกเจ้าเข้าใจว่าเหตุใดเราจึงกำลังหารือถึงหัวข้อนี้ กล่าวคือ เป็นเพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับอธิปไตยของพระเจ้า รวมถึงการบริหารของพระองค์นั่นเอง  ในโลกอย่างเช่นโลกนี้—โลกที่ไม่ปรากฏแก่ตาผู้คน—ทุกประกาศิตจากสวรรค์ ทุกประกาศกฤษฎีกา และทุกระบบบริหารของมันนั้นเหนือกว่ากฎหมายและระบบทั้งหลายของชาติใดในโลกวัตถุเป็นอย่างมาก และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้จะกล้าขัดหรือฝ่าฝืนสิ่งเหล่านั้น  การนี้เกี่ยวข้องกับอธิปไตยและการบริหารของพระเจ้าหรือไม่?  ในโลกวิญญาณนั้น มีประกาศกฤษฎีการบริหารที่ชัดเจน ประกาศิตจากสวรรค์ที่ชัดเจน และบทบัญญัติที่ชัดเจน  บรรดาผู้ดูแลในระดับแตกต่างกันและในพื้นที่ต่างๆ ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนและรักษากฎและข้อบังคับทั้งหลายอย่างเคร่งครัด เพราะพวกเขารู้ว่าผลพวงของการฝ่าฝืนประกาศิตจากสวรรค์คืออะไร พวกเขาตระหนักอย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงลงโทษคนชั่วและประทานรางวัลแก่คนดีอย่างไร และว่าพระองค์ทรงบริหารและปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งอย่างไร  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงดำเนินการตามประกาศิตจากสวรรค์และบทบัญญัติของพระองค์อย่างไร  สิ่งเหล่านี้แตกต่างจากโลกวัตถุที่มวลมนุษย์อาศัยอยู่หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้แตกต่างกันอย่างมหาศาลจริงๆ  โลกวิญญาณเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับโลกวัตถุ  ในเมื่อมีประกาศิตจากสวรรค์และบทบัญญัติเหล่านี้ เรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องกับอธิปไตย การบริหารของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น พระอุปนิสัยของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามันจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเราที่จะต้องพูดถึงหัวข้อนี้หรอกหรือ?  พวกเจ้าไม่ปรารถนาที่จะเรียนรู้ความลับทั้งหลายภายในของโลกฝ่ายวิญญาณหรอกหรือ?  (ใช่แล้ว พวกเราปรารถนา)  เช่นนี้คือมโนทัศน์ของโลกวิญญาณ  ถึงแม้ว่ามันจะดำรงอยู่ร่วมกันกับโลกวัตถุ และอยู่ภายใต้การบริหารและอำนาจปกครองสูงสุดของพระเจ้าไปพร้อมกัน แต่การบริหารและอธิปไตยในโลกนี้ของพระเจ้านั้นเข้มงวดกว่าการบริหารและอธิปไตยในโลกวัตถุเป็นอย่างมาก  เมื่อกล่าวถึงรายละเอียดทั้งหลาย พวกเราควรเริ่มต้นด้วยเรื่องที่ว่า โลกวิญญาณรับผิดชอบงานแห่งวัฏจักรชีวิตและความตายของมวลมนุษย์อย่างไร เพราะเรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญของงานแห่งการเป็นอยู่ทั้งหลายในโลกวิญญาณ

ท่ามกลางมวลมนุษย์นั้น เราจำแนกผู้คนทั้งหมดออกเป็นสามจำพวก  จำพวกแรกคือผู้ไม่มีความเชื่อ ซึ่งก็คือพวกที่ไม่มีการเชื่อทางศาสนา  พวกเขาได้รับการเรียกขานว่าผู้ไม่มีความเชื่อ  ผู้ไม่มีความเชื่อส่วนมากเลยนั้นมีความเชื่อในเงินทองเท่านั้น พวกเขาค้ำจุนแต่ผลประโยชน์ของพวกเขาเองเท่านั้น เป็นพวกวัตถุนิยม และเชื่อในโลกวัตถุเท่านั้น—พวกเขาไม่เชื่อในวัฏจักรแห่งชีวิตและความตาย หรือในสิ่งใดๆ ที่กล่าวถึงเทพเจ้าและผี  เราจำแนกผู้คนเหล่านี้ให้อยู่ในกลุ่มผู้ไม่มีความเชื่อ และพวกเขาเป็นจำพวกแรก  จำพวกที่สองประกอบด้วยผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ นานานอกเหนือไปจากผู้ไม่มีความเชื่อ  ท่ามกลางมวลมนุษย์นั้น เราแยกผู้คนที่มีความเชื่อเหล่านี้ออกเป็นกลุ่มใหญ่หลายกลุ่ม นั่นคือ กลุ่มแรกคือชาวยิว กลุ่มที่สองคือชาวคาทอลิก กลุ่มที่สามคือคริสเตียน กลุ่มที่สี่คือมุสลิม และกลุ่มที่ห้าคือชาวพุทธ มีห้าประเภท  เหล่านี้คือผู้คนที่มีความเชื่อประเภทต่างๆ  จำพวกที่สามประกอบด้วยบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และกลุ่มนี้ประกอบด้วยพวกเจ้า  ผู้เชื่อเช่นนั้นคือบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าในวันนี้  ผู้คนเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท นั่นคือ  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และคนปรนนิบัติ  สามจำพวกหลักนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน  ด้วยเหตุนี้เอง บัดนี้พวกเจ้าสามารถแยกความแตกต่างระหว่างจำพวกและลำดับชั้นของมนุษย์ได้อย่างชัดเจนในความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้า มิใช่หรือ?  จำพวกแรกประกอบด้วยผู้ไม่มีความเชื่อ และเราได้กล่าวไปแล้วว่าพวกเขาเป็นอย่างไร  พวกที่มีความเชื่อในชายชราบนฟ้านับว่าเป็นผู้ไม่มีความเชื่อหรือไม่?  ผู้ไม่มีความเชื่อจำนวนมากเชื่อในชายชราบนฟ้าเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าลม ฝน ฟ้าร้อง และอื่นๆ ล้วนถูกควบคุมโดยชายชรานี้ ซึ่งพวกเขาพึ่งพาในการเพาะปลูกพืชผลและการเก็บเกี่ยว—กระนั้นเมื่อมีการกล่าวถึงการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะเชื่อในพระองค์  เช่นนี้สามารถเรียกว่าการมีความเชื่อได้หรือ?  ผู้คนเช่นนี้รวมอยู่ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ ใช่หรือไม่?  จงอย่าเข้าใจหมวดหมู่เหล่านี้ผิดๆ  จำพวกที่สองประกอบด้วยผู้คนที่มีความเชื่อ และจำพวกที่สามคือบรรดาผู้ที่กำลังติดตามพระเจ้าอยู่ในปัจจุบัน  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเราจึงได้แบ่งมนุษย์ทั้งหมดออกเป็นจำพวกเหล่านี้?  (เพราะผู้คนต่างจำพวกกันมีบทอวสานและบั้นปลายที่แตกต่างกัน)  นั่นคือแง่มุมหนึ่งของเรื่องนี้  เมื่อผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์และจำพวกกลับคืนไปสู่โลกวิญญาณ พวกเขาแต่ละคนจะมีที่ไปที่แตกต่างกัน และจะอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติแห่งวัฏจักรของชีวิตและความตายที่หลากหลาย ดังนั้น นั่นคือเหตุผลที่เราได้จำแนกมนุษย์ออกเป็นจำพวกใหญ่ๆ เหล่านี้

1. วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ

พวกเรามาเริ่มต้นกันด้วยเรื่องวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อกันเถิด  หลังการตาย บุคคลหนึ่งจะถูกผู้ดูแลจากโลกวิญญาณพาไป  อะไรของบุคคลกันแน่ที่ถูกพาไป?  ไม่ใช่เนื้อหนังของเขา แต่เป็นดวงจิตของเขา  เมื่อดวงจิตของคนเราถูกพาไป คนเราก็ไปถึง ณ สถานที่ที่เป็นหน่วยงานหนึ่งของโลกวิญญาณซึ่งรับดวงจิตของผู้คนที่เพิ่งตายไปโดยเฉพาะ  นั่นเป็นสถานที่แรกที่ทุกคนไปหลังการตายซึ่งเป็นสถานที่ที่แปลกสำหรับดวงจิต  เมื่อพวกเขาถูกพาไปยังสถานที่นี้ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบครั้งแรก โดยการยืนยันชื่อ ที่อยู่ อายุ และประสบการณ์ทั้งหมดของพวกเขา  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเคยทำขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ถูกบันทึกลงในหนังสือและตรวจสอบยืนยันความถูกต้อง  หลังจากทั้งหมดได้รับการตรวจสอบแล้ว พฤติกรรมและการกระทำของบุคคลนั้นตลอดทั้งชีวิตของพวกเขาจะถูกใช้กำหนดพิจารณาว่าพวกเขาจะถูกลงโทษหรือจะได้กลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ต่อไป นี่เป็นช่วงระยะแรก  ช่วงระยะแรกนี้น่ากลัวหรือไม่?  มันไม่น่ากลัวจนเกินไป เพราะสิ่งเดียวที่ได้เกิดขึ้นก็คือบุคคลนั้นได้มาถึงสถานที่หนึ่งซึ่งมืดและไม่คุ้นเคย

ในช่วงระยะที่สอง หากบุคคลนั้นได้ทำสิ่งชั่วมากมายตลอดชีวิตของเขา และได้กระทำความชั่วมากมาย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะถูกพาไปจัดการยังสถานที่ลงโทษ  นั่นจะเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับลงโทษผู้คนอย่างชัดแจ้ง  รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาจะได้รับการลงโทษขึ้นอยู่กับบาปที่พวกเขาได้ทำไป รวมถึงขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาได้ทำสิ่งที่ชั่วมากเพียงใดก่อนตาย—นี่คือสถานการณ์แรกที่จะเกิดขึ้นในช่วงระยะที่สอง  เนื่องจากสิ่งไม่ดีที่พวกเขาได้ทำและความชั่วที่พวกเขาได้กระทำไว้ก่อนตาย—เมื่อพวกเขามาเกิดใหม่หลังจากถูกลงโทษแล้ว—เมื่อพวกเขากลับมาเกิดอีกครั้งในโลกวัตถุ—ผู้คนบางคนจึงจะยังคงเป็นมนุษย์ต่อไป ในขณะที่คนอื่นๆ จะกลายเป็นสัตว์  กล่าวคือ หลังจากที่บุคคลหนึ่งกลับไปยังโลกวิญญาณ พวกเขาจะได้รับการลงโทษเนื่องจากความชั่วที่พวกเขาได้กระทำไป ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากสิ่งที่ชั่วทั้งหลายที่พวกเขาได้ทำไป พวกเขาอาจจะไม่ได้กลับมาเป็นมนุษย์ในการมาเกิดใหม่ครั้งต่อไปของพวกเขา แต่เป็นสัตว์ตัวหนึ่ง  ประเภทของสัตว์ที่พวกเขาอาจจะเกิดมาเป็นนั้นรวมถึงวัว ม้า สุกร และสุนัข  ผู้คนบางคนอาจเกิดใหม่มาเป็นนก หรือเป็ด หรือห่านได้… หลังจากที่พวกเขาได้มาเกิดใหม่เป็นสัตว์แล้ว เมื่อพวกเขาตายอีกครั้ง พวกเขาจะคืนกลับไปยังโลกวิญญาณ  ที่นั่น โลกวิญญาณจะตัดสินดังเช่นเมื่อก่อนหน้านี้ บนพื้นฐานของพฤติกรรมก่อนตายของพวกเขา ว่าพวกเขาจะได้มาเกิดใหม่เป็นมนุษย์หรือไม่  ผู้คนส่วนใหญ่กระทำชั่วมากเกินไป และบาปของพวกเขาหนักหนาเกินไป ดังนั้น พวกเขาจึงต้องเกิดมาเป็นสัตว์เจ็ดถึงสิบสองครั้ง  เจ็ดถึงสิบสองครั้ง—นั่นไม่น่ากลัวหรอกหรือ?  (มันน่ากลัว)  อะไรทำให้พวกเจ้ากลัว?  บุคคลหนึ่งมากลายเป็นสัตว์—นั่นคือสิ่งที่น่ากลัว  และสำหรับบุคคลหนึ่ง อะไรคือสิ่งที่เจ็บปวดมากที่สุดเกี่ยวกับการกลายเป็นสัตว์?  การไม่มีภาษา การมีเพียงความคิดที่เรียบง่าย การสามารถเพียงแค่ทำสิ่งทั้งหลายที่สัตว์ทั้งหลายทำและกินอาหารที่สัตว์ทั้งหลายกิน การมีกระบวนการทางความคิดเรียบง่ายและภาษากายของสัตว์ การไม่สามารถเดินตัวตรงได้ การไม่สามารถติดต่อสนทนากับมนุษย์ได้ และข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีพฤติกรรมหรือกิจกรรมของมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับสัตว์เลย  นั่นคือ ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง การเป็นสัตว์ทำให้เจ้าต่ำต้อยที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งปวง และพัวพันกับความทุกข์ที่มีมากมายกว่าการเป็นมนุษย์มากนัก  นี่คือแง่มุมหนึ่งของการลงโทษพวกที่ทำชั่วไว้มากและกระทำบาปใหญ่ของโลกวิญญาณ  เมื่อกล่าวถึงความรุนแรงของการลงโทษของพวกเขา การนี้ตัดสินโดยขึ้นอยู่กับว่าพวกเขากลายเป็นสัตว์ชนิดใด  ตัวอย่างเช่น การเป็นสุกรดีกว่าการเป็นสุนัขหรือไม่?  สุกรมีชีวิตดีกว่าหรือแย่กว่าสุนัข?  แย่กว่าใช่หรือไม่?  หากผู้คนกลายเป็นวัวหรือม้า พวกเขาจะมีชีวิตที่ดีกว่าหรือแย่กว่าการที่พวกเขาเป็นสุกร?  (ดีกว่า)  บุคคลหนึ่งจะสบายกว่าหรือไม่ถ้าเกิดใหม่เป็นแมว?  เขาจะยังคงเป็นสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ดี และการเป็นแมวคงจะง่ายกว่าการเป็นม้าหรือวัวมาก เพราะแมวได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ของพวกมันนอนเกียจคร้าน  การเกิดเป็นวัวหรือม้านั้นลำบากมากกว่า  เพราะฉะนั้น หากบุคคลมาเกิดใหม่เป็นวัวหรือม้า พวกเขาต้องทำงานหนัก—ซึ่งคล้ายกับเป็นการลงโทษที่รุนแรง  การเกิดเป็นสุนัขคงจะดีกว่าการเกิดเป็นวัวหรือม้านิดหน่อย เพราะสุนัขมีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับนายของมันมากกว่า  สุนัขบางตัวหลังจากเป็นสัตว์เลี้ยงหลายปีก็สามารถเข้าใจสิ่งที่นายของพวกมันพูดได้อย่างมากมาย  เนื่องจากสุนัขสามารถเข้าใจคำพูดของนายของมันได้มาก  บางครั้งสุนัขสามารถปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์และข้อพึงประสงค์ของนายของมันได้  และนายก็ปฏิบัติกับสุนัขดีกว่า และสุนัขกินและดื่มดีกว่า และเมื่อมันมีความเจ็บปวด มันก็ได้รับการดูแลมากกว่า  เช่นนั้นแล้วสุนัขมิได้ชื่นชมชีวิตที่มีความสุขหรอกหรือ?  ด้วยเหตุนี้เอง การเป็นสุนัขจึงดีกว่าการเป็นวัวหรือม้า  ในการนี้ ความรุนแรงของการลงโทษบุคคลหนึ่งกำหนดพิจารณาว่าเขาจะมาเกิดใหม่เป็นสัตว์กี่ครั้ง รวมถึงเป็นสัตว์ชนิดใด

เนื่องจากพวกเขาได้กระทำบาปมากมายยิ่งนักขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ ผู้คนบางคนจึงได้รับการลงโทษโดยการมาเกิดใหม่เป็นสัตว์เจ็ดถึงสิบสองครั้ง  หลังจากที่ได้รับการลงโทษเพียงพอแล้ว เมื่อคืนกลับไปยังโลกวิญญาณ พวกเขาจะถูกพาไปยังที่แห่งอื่น—ในสถานที่นั้น ดวงจิตต่างๆ ได้รับการลงโทษมาแล้ว และเป็นประเภทที่กำลังตระเตรียมที่จะมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์  ในที่แห่งนี้ ดวงจิตแต่ละดวงถูกจำแนกเป็นชนิดโดยสอดคล้องกับว่าพวกเขาจะถือกำเนิดในตระกูลแบบใด พวกเขาจะเล่นบทบาทใดเมื่อได้มาเกิดใหม่แล้ว และอื่นๆ  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนจะกลายเป็นนักร้องเมื่อพวกเขามายังโลกนี้ ดังนั้นจึงถูกวางตัวไว้ท่ามกลางนักร้อง บางคนจะกลายเป็นนักธุรกิจเมื่อพวกเขามายังโลกนี้ และดังนั้นพวกเขาจึงถูกวางตัวไว้ท่ามกลางนักธุรกิจ และหากใครบางคนจะต้องกลายเป็นนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลังจากเกิดเป็นมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะถูกวางตัวไว้ท่ามกลางนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์  หลังจากที่พวกเขาได้รับการจัดประเภท แต่ละคนจะถูกส่งออกไปตามเวลาที่แตกต่างกันและวันที่ที่กำหนดไว้แล้ว เช่นเดียวกับที่ผู้คนส่งอีเมลในยุคนี้  ในการนี้วัฏจักรของชีวิตและความตายหนึ่งๆ ก็จะเสร็จสมบูรณ์  จากวันที่บุคคลหนึ่งมาถึงโลกวิญญาณจนกระทั่งสิ้นสุดการลงโทษของพวกเขา หรือจนกระทั่งพวกเขาได้มาเกิดใหม่เป็นสัตว์หลายครั้ง และกำลังตระเตรียมที่จะมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ กระบวนการนี้จึงเสร็จสมบูรณ์

สำหรับบรรดาผู้ที่ได้รับการลงโทษเสร็จแล้วและไม่มาเกิดใหม่เป็นสัตว์ พวกเขาจะถูกส่งมายังโลกวัตถุเพื่อเกิดเป็นมนุษย์อย่างรวดเร็วหรือไม่?  หรืออีกนานแค่ไหนก่อนที่พวกเขาจะสามารถมาอยู่ท่ามกลางมนุษย์ได้?  การนี้สามารถเกิดขึ้นได้ถี่เพียงใด?  มีข้อจำกัดชั่วคราวในการนี้  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณอยู่ภายใต้ข้อจำกัดและกฎเกณฑ์ชั่วคราวที่เที่ยงตรงเหล่านี้—ซึ่ง หากเราอธิบายด้วยตัวเลข พวกเจ้าจะเข้าใจ  สำหรับบรรดาผู้ที่มาเกิดใหม่ภายในระยะเวลาอันสั้น เมื่อพวกเขาตาย จะมีการตระเตรียมสำหรับพวกเขาไว้แล้วในการมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์  เวลาสั้นที่สุดที่การนี้สามารถเกิดขึ้นได้คือสามวัน  สำหรับผู้คนบางคนการนี้ใช้เวลาสามเดือน สำหรับบางคนการนี้ใช้เวลาสามปี สำหรับบางคนการนี้ใช้เวลาสามสิบปี สำหรับบางคนการนี้ใช้เวลาสามร้อยปี และอื่นๆ  ดังนั้น จะสามารถกล่าวสิ่งใดได้บ้างเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ชั่วคราวเหล่านี้ และรายละเอียดของกฎเกณฑ์เหล่านี้คืออะไรบ้าง?  กฎเกณฑ์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่โลกวัตถุ—หรือโลกมนุษย์—ต้องการจากดวงจิต และขึ้นอยู่กับบทบาทที่ดวงจิตนี้หมายจะมีบนโลกนี้  เมื่อผู้คนมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดา พวกเขาส่วนใหญ่มาเกิดใหม่อย่างรวดเร็วมาก เพราะโลกมนุษย์มีความจำเป็นต้องมีผู้คนธรรมดาเช่นนั้นอย่างเร่งด่วน—และดังนั้น สามวันต่อมา พวกเขาก็ถูกส่งออกไปอีกครั้งยังครอบครัวหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากครอบครัวที่พวกเขาเคยอยู่ด้วยก่อนที่พวกเขาจะตาย  อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่แสดงบทบาทพิเศษในโลกนี้  คำว่า “พิเศษ” หมายความว่า ไม่มีความต้องการผู้คนเหล่านี้ในโลกมนุษย์มากนัก ไม่จำเป็นต้องมีผู้คนมากมายมาแสดงบทบาทเช่นนั้น ดังนั้น การนี้จึงอาจใช้เวลาสามร้อยปี  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ดวงจิตนี้จะมาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในทุกๆ สามร้อยปี หรือกระทั่งเพียงครั้งเดียวในทุกๆ สามพันปี  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  มันเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นสามร้อยหรือสามพันปี บทบาทเช่นนี้ไม่เป็นที่พึงประสงค์ในโลกมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาจึงถูกเก็บตัวไว้ในที่บางแห่งในโลกวิญญาณ  จงดูขงจื๊อเป็นตัวอย่าง กล่าวคือ เขามีผลกระทบล้ำลึกต่อวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม และการมาถึงของเขาส่งผลต่อวัฒนธรรม ความรู้ ธรรมเนียมประเพณี และคตินิยมของผู้คนในเวลานั้นอย่างลึกซึ้ง  อย่างไรก็ตาม ไม่มีความจำเป็นต้องมีบุคคลเช่นนี้ในทุกยุคสมัย ดังนั้น เขาจึงต้องคงอยู่ในโลกวิญญาณ โดยรออยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามร้อยหรือสามพันปีก่อนที่จะได้มาเกิดใหม่  เนื่องจากโลกมนุษย์ไม่มีความจำเป็นต้องมีใครบางคนเช่นนี้ เขาจึงต้องรออยู่เฉยๆ เพราะมีบทบาทดังเช่นบทบาทของเขาน้อยมาก และมีเรื่องให้เขาทำน้อยนิดมาก  เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงต้องถูกเก็บตัวไว้ที่ใดสักแห่งในโลกวิญญาณเกือบตลอดเวลานั้น อยู่ว่าง เพื่อที่จะถูกส่งออกมาทันทีที่โลกมนุษย์จำเป็นต้องมีเขา  เช่นนั้นคือกฎเกณฑ์ชั่วคราวของโลกวิญญาณสำหรับความถี่ที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้มาเกิดใหม่  ไม่ว่าผู้คนจะเป็นคนธรรมดาหรือพิเศษ โลกวิญญาณมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมและการปฏิบัติที่ถูกต้องสำหรับกระบวนการมาเกิดใหม่ของพวกเขา และกฎเกณฑ์กับการปฏิบัติเหล่านี้ถูกส่งลงมาจากพระเจ้า มิใช่ถูกตัดสินหรือควบคุมโดยผู้ดูแลหรือผู้ใดในโลกวิญญาณ  บัดนี้ เจ้าเข้าใจการนี้แล้วใช่หรือไม่?

สำหรับดวงจิตใดๆ การมาเกิดใหม่ของมัน บทบาทของมันเป็นอย่างไรในชีวิตนี้ มันจะถือกำเนิดมาในครอบครัวใด และมันจะมีชีวิตแบบใดนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับชีวิตครั้งก่อนของดวงจิตนั้น  ผู้คนทุกประเภทมาสู่โลกมนุษย์ และบทบาทที่พวกเขาแสดงนั้นล้วนผันแปรไปเช่นเดียวกับการผันแปรของภารกิจที่พวกเขาดำเนินการ  และภารกิจเหล่านี้คืออะไร?  ผู้คนบางคนมาเพื่อชดใช้หนี้ กล่าวคือ หากพวกเขาเป็นหนี้ติดค้างเงินผู้อื่นมากเกินไปในชีวิตทั้งหลายที่ผ่านมาของพวกเขา พวกเขาก็มาเพื่อชดใช้หนี้เหล่านั้นในชีวิตนี้  ในขณะที่ผู้คนบางคนได้มาเพื่อทวงหนี้ กล่าวคือ พวกเขาถูกฉ้อโกงให้สูญเสียของมากเกินไปและสูญเสียเงินมากเกินไปในชีวิตก่อนๆ ของพวกเขา ผลก็คือ หลังจากพวกเขามาถึงโลกวิญญาณ มันจะให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา และอนุญาตให้พวกเขาทวงหนี้ของพวกเขาในชั่วชีวิตนี้  ผู้คนบางคนมาเพื่อใช้หนี้บุญคุณ กล่าวคือ ในระหว่างชั่วชีวิตครั้งก่อน—นั่นคือการมาเกิดครั้งก่อนของพวกเขา—ใครบางคนมีเมตตาต่อพวกเขา และเนื่องจากการได้รับมอบโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้มาเกิดใหม่ในชีวิตนี้ พวกเขาจึงถือกำเนิดใหม่เพื่อชดใช้หนี้บุญคุณเหล่านั้น  ในขณะที่คนอื่นๆ ได้ถือกำเนิดใหม่มาในชีวิตนี้เพื่อที่จะเอาชีวิต  และพวกเขามาเอาชีวิตของใคร?  พวกเขามาเอาชีวิตของผู้คนที่ได้ฆ่าพวกเขาในชีวิตครั้งก่อนของพวกเขา  โดยรวมแล้ว ชีวิตปัจจุบันของบุคคลทุกคนมีความเชื่อมโยงอันแน่นแฟ้นกับชีวิตครั้งก่อนของพวกเขา ความเชื่อมโยงนี้มิอาจตัดขาดได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ชีวิตปัจจุบันของบุคคลทุกคนนั้นได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงจากชีวิตครั้งก่อน  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าจางได้โกงเงินหลี่เป็นจำนวนมากก่อนที่เขาจะเสียชีวิต  จางจึงเป็นหนี้หลี่ใช่หรือไม่?  เขาเป็นหนี้ ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้วหลี่จึงควรจะเรียกเก็บหนี้ของเขาจากจางใช่หรือไม่?  ผลก็คือ หลังจากที่พวกเขาตาย มีหนี้ก้อนหนึ่งระหว่างพวกเขาที่ต้องได้รับการชำระ  เมื่อพวกเขามาเกิดใหม่และจางมาเกิดเป็นมนุษย์ หลี่จะเรียกเก็บหนี้ของเขาจากจางได้อย่างไร?  วิธีการหนึ่งก็คือการมาเกิดใหม่เป็นบุตรของจาง จางหาเงินได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ถูกหลี่ใช้จ่ายไปอย่างสุรุ่ยสุร่าย  ไม่ว่าจางจะหาเงินมาได้มากเพียงใด หลี่ บุตรของเขาก็ใช้จ่ายมันอย่างสุรุ่ยสุร่าย  ไม่ว่าจางจะหามาได้มากเพียงใด เงินนั้นก็ไม่เคยพอ และขณะเดียวกันบุตรของเขาก็ลงเอยด้วยการใช้จ่ายเงินของบิดาของเขาไปตามช่องทางต่างๆ นานา ด้วยเหตุผลบางอย่างอยู่เสมอ  จางรู้สึกพิศวง ประหลาดใจว่า “เหตุใดบุตรของฉันคนนี้จึงนำโชคร้ายเช่นนี้มาให้เสมอ?  เหตุใดบุตรของผู้คนอื่นๆ จึงประพฤติตัวดียิ่งนัก?  เหตุใดบุตรของฉันเองจึงไม่มีความทะเยอทะยาน เหตุใดเขาจึงใช้ไม่ได้ถึงเพียงนี้และไม่มีความสามารถในการหาเงินบ้างเลย และเหตุใดฉันจึงต้องหาเลี้ยงเขาอยู่เสมอ?  ในเมื่อฉันต้องหาเลี้ยงเขา ฉันก็จะทำ—แต่เหตุใดจึงเป็นว่า ไม่ว่าฉันจะให้เงินเขามากเพียงใด เขาก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้มากขึ้นอยู่เสมอ?  เหตุใดเขาจึงไม่มีความสามารถในการทำงานปกติธรรมดาที่สุจริตสักงาน แทนที่จะทำสิ่งทั้งหลายทุกประเภทอย่างเช่น ลอยชายไปทั่ว กิน ดื่ม เที่ยวซ่อง และเล่นการพนัน?  มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”  แล้วจางก็คิดชั่วขณะหนึ่งว่า “มันอาจเป็นเพราะฉันเป็นหนี้เขามาจากชีวิตครั้งก่อน  ถ้าเช่นนั้น ฉันก็จะจ่ายหนี้ให้หมด!  นี่จะไม่จบสิ้นจนกว่าฉันจะจ่ายหนี้ให้ครบ!”  วันหนึ่งอาจจะมาถึงเมื่อหลี่ได้รับการชดใช้หนี้ของเขาแล้วจริงๆ และเมื่อถึงเวลาที่เขาอยู่ในวัยสี่สิบหรือห้าสิบปีกว่าๆ เขาอาจจะสำนึกรับรู้ขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน โดยตระหนักว่า “ฉันไม่เคยได้ทำสิ่งดีๆ เลยสักอย่างเดียวตลอดครึ่งแรกของชีวิตฉัน!  ฉันได้ใช้จ่ายเงินทั้งหมดที่บิดาของฉันหามาอย่างสุรุ่ยสุร่าย ดังนั้น ฉันจึงควรจะเริ่มเป็นคนดี!  ฉันจะเตรียมตัวเองให้พร้อม ฉันจะเป็นใครบางคนที่ซื่อสัตย์และใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสม และฉันจะไม่มีวันนำความเศร้าโศกมาให้บิดาของฉันอีก!”  เหตุใดเขาจึงคิดเช่นนี้?  เหตุใดจู่ๆ เขาจึงเปลี่ยนเป็นดีขึ้น?  มีเหตุผลสำหรับการนี้หรือไม่?  เหตุผลนั้นคืออะไร?  (มันเป็นเพราะหลี่ได้เรียกเก็บหนี้ของเขาแล้ว และจางได้ใช้หนี้ของเขาแล้ว)  ในการนี้ มีเหตุและผล  เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ก่อนชีวิตปัจจุบันของพวกเขา เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตในอดีตของพวกเขานี้ได้ถูกนำมายังสมัยปัจจุบัน และไม่มีใครสามารถตำหนิอีกฝ่ายหนึ่งได้  ไม่ว่าจางได้สอนบุตรของเขาอย่างไร บุตรของเขาไม่เคยรับฟังและไม่ทำงานปกติธรรมดาที่ซื่อสัตย์สุจริต  ถึงกระนั้น ในวันที่หนี้ได้รับการชดใช้คืน ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสอนบุตรของเขาอีก—บุตรของเขาเข้าใจเองโดยธรรมชาติ  นี่คือตัวอย่างง่ายๆ  มีตัวอย่างเช่นนี้อีกมากมายใช่ไหม?  (ใช่ มีอีก)  มันบอกอะไรกับผู้คนบ้าง?  (บอกว่าพวกเขาควรเป็นคนดีและไม่กระทำชั่ว)  บอกว่าพวกเขาไม่ควรทำความชั่ว และบอกว่าจะมีการลงทัณฑ์สำหรับการทำผิดทั้งหลายของพวกเขา!  ผู้ไม่มีความเชื่อส่วนใหญ่กระทำความชั่วมากมาย และการทำผิดทั้งหลายของพวกเขาก็พบกับการลงทัณฑ์ ถูกต้องหรือไม่?  อย่างไรก็ตาม การลงทัณฑ์เช่นนั้นเป็นไปโดยพลการหรือ?  สำหรับทุกการกระทำนั้น มีภูมิหลังและมีเหตุผลเบื้องหลังโทษทัณฑ์ของมัน  เจ้าคิดว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าได้โกงเงินมาจากใครบางคนกระนั้นหรือ?  เจ้าคิดหรือว่าหลังจากที่ได้ฉ้อโกงเงินนั้นไปแล้ว เจ้าจะไม่พบกับผลพวงใดๆ?  เช่นนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ จะมีผลพวงแน่นอน!  ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร หรือไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อว่ามีพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม ปัจเจกบุคคลทั้งปวงต้องรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของพวกเขาเองและแบกรับผลพวงจากการกระทำทั้งหลายของพวกเขา  เมื่อคำนึงถึงตัวอย่างง่ายๆ นี้—การที่จางถูกลงโทษ และการที่หลี่ได้รับการชดใช้—นี่ไม่ยุติธรรมหรอกหรือ?  เมื่อผู้คนทำสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ นี่คือชนิดของผลที่เกิดขึ้น  มันมิอาจแยกกันได้จากการบริหารของโลกวิญญาณ  ถึงแม้ว่าจะมีบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ แต่การมีอยู่ของพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็อยู่ภายใต้ประกาศิตจากสวรรค์และประกาศกฤษฎีกาประเภทนี้  ไม่มีผู้ใดสามารถหนีพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ และไม่มีผู้ใดสามารถหลีกเลี่ยงความเป็นจริงนี้ได้เลย

พวกที่ไม่มีความเชื่อมักจะเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์มองเห็นได้ด้วยตานั้นมีอยู่จริง ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ หรือที่อยู่ห่างไกลจากผู้คนอย่างมากนั้นไม่มีอยู่จริง  พวกเขาเลือกที่จะเชื่อว่าไม่มี “วัฏจักรแห่งชีวิตและความตาย” และเชื่อว่าไม่มี “การลงโทษ” มากกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงทำบาปและกระทำความชั่วโดยไม่มีความรู้สึกสำนึกผิด  ภายหลัง พวกเขาก็ถูกลงโทษ หรือพวกเขาก็มาเกิดใหม่เป็นสัตว์ทั้งหลาย  ส่วนใหญ่ของผู้คนนานาชนิดท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อ ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าโลกวิญญาณนั้นเข้มงวดในการบริหารสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งปวงของมัน  ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้อเท็จจริงนี้มีอยู่จริง เพราะไม่มีสักบุคคลหนึ่งหรือวัตถุหนึ่งจะสามารถหนีรอดจากวงเขตของสิ่งที่พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตด้วยพระเนตรของพระองค์ และไม่มีสักบุคคลหนึ่งหรือวัตถุหนึ่งจะสามารถหนีรอดจากกฎเกณฑ์และข้อจำกัดทั้งหลายแห่งประกาศิตจากสวรรค์และประกาศกฤษฎีกาของพระองค์ได้  ด้วยเหตุนี้ ตัวอย่างง่ายๆ นี้บอกให้ทุกคนรู้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม การทำบาปและกระทำความชั่วนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ และว่าทุกการกระทำมีผลพวงตามมา  เมื่อใครบางคนที่ได้โกงเงินมาจากอีกคนหนึ่งถูกลงโทษ การลงโทษเช่นนั้นยุติธรรม  พฤติกรรมที่เห็นกันทั่วไปเช่นนี้ถูกลงโทษในโลกวิญญาณ และการลงโทษเช่นนี้ถูกจัดส่งมาโดยประกาศกฤษฎีกาและประกาศิตจากสวรรค์ของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น พฤติกรรมที่เลวและผิดทางอาญาอย่างร้ายแรง—การข่มขืนและการปล้นสะดม การฉ้อฉลและการหลอกลวง การขโมยและการชิงทรัพย์ การฆาตกรรมและการวางเพลิง และอื่นๆ—ก็ยิ่งต้องอยู่ภายใต้ลำดับแห่งการลงโทษที่มีความรุนแรงแตกต่างหลากหลายมากยิ่งขึ้นไปอีก  การลงโทษที่มีความรุนแรงแตกต่างหลากหลายเหล่านี้ประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง?  การลงโทษบางอย่างใช้กาลเวลามากำหนดระดับความรุนแรง ในขณะที่บางอย่างกำหนดระดับความรุนแรงโดยผ่านทางวิธีการที่แตกต่างกันไป กระนั้นก็ยังคงมีการลงโทษอื่นๆ ที่เป็นไปโดยการกำหนดพิจารณาว่าผู้คนจะไปที่ใดเมื่อพวกเขามาเกิดใหม่  ยกตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนเป็นคนปากเสีย  การเป็น “คนปากเสีย” หมายถึงอะไร?  มันหมายถึงการสบถใส่ผู้อื่นและการใช้ภาษามุ่งร้ายที่สาปแช่งผู้อื่นอยู่เรื่อยๆ  ภาษาที่มุ่งร้ายบ่งบอกถึงสิ่งใด?  มันบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นมีหัวใจที่มุ่งร้าย  ภาษาแบบปากเสียที่สาปแช่งผู้อื่นมักจะมาจากปากของผู้คนเช่นนั้น และภาษามุ่งร้ายเช่นนั้นนำมาซึ่งผลพวงที่ร้ายแรง  หลังจากที่ผู้คนเหล่านี้เสียชีวิตและได้รับการลงโทษที่เหมาะสมแล้ว พวกเขาอาจได้เกิดใหม่เป็นคนใบ้  ผู้คนบางคนเป็นคนช่างวางแผนมากขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขามักเอาเปรียบผู้อื่น กลอุบายเล็กๆ ของพวกเขาถูกเตรียมการอย่างดีเป็นพิเศษ และพวกเขาทำอันตรายผู้คนเป็นอย่างมาก  เมื่อพวกเขาเกิดใหม่ อาจจะเกิดเป็นคนไม่เต็มบาท หรือเป็นผู้คนที่พิการทางสมอง  ผู้คนบางคนมักสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ตาของพวกเขามองเห็นหลายสิ่งที่พวกเขาไม่ควรได้ล่วงรู้ และพวกเขาเรียนรู้หลายสิ่งที่พวกเขาไม่ควรจะรู้  ผลก็คือ เมื่อพวกเขาเกิดใหม่ พวกเขาอาจเป็นคนตาบอด  ผู้คนบางคนเป็นคนว่องไวมากเมื่อพวกเขามีชีวิตอยู่ พวกเขามักต่อสู้และทำสิ่งชั่วมากมาย  เนื่องด้วยการนี้ พวกเขาจึงอาจเกิดใหม่เป็นคนพิการ เป็นง่อย หรือไม่มีแขน หากไม่เช่นนั้น พวกเขาอาจมาเกิดใหม่เป็นคนหลังค่อมหรือคอเอียง เดินกะโผลกกะเผลก มีขาข้างหนึ่งสั้นกว่าอีกข้าง และอื่นๆ  ในสิ่งเหล่านี้ พวกเขาเป็นผู้ได้รับการลงโทษต่างๆ นานาขึ้นอยู่กับระดับความชั่วที่พวกเขาได้กระทำไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  พวกเจ้าคิดว่าเหตุใดเล่าผู้คนบางคนจึงเป็นโรคสายตาขี้เกียจ?  มีผู้คนเช่นนั้นมากหรือไม่?  ทุกวันนี้ไม่ใช่มีเพียงไม่กี่คนแล้ว  ผู้คนบางคนเป็นโรคตาขี้เกียจเพราะในชีวิตทั้งหลายในอดีตของพวกเขานั้น พวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากตาของพวกเขามากเกินไปและได้ทำสิ่งที่ไม่ดีมากเกินไป ดังนั้น พวกเขาจึงได้เกิดมาในชีวิตนี้พร้อมโรคตาขี้เกียจ และในกรณีที่รุนแรงนั้น พวกเขาถึงขั้นเกิดมาตาบอดด้วยซ้ำ  นี่คือการลงทัณฑ์อันสาสม!  ผู้คนบางคนเข้ากันได้ดีกับคนอื่นๆ ก่อนที่พวกเขาจะตาย พวกเขาทำสิ่งดีๆ มากมายให้แก่ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงานของพวกเขา หรือผู้คนที่ติดต่อกับพวกเขา  พวกเขาทำการกุศลและดูแลใส่ใจผู้อื่น หรือช่วยเหลือผู้อื่นทางด้านการเงิน และผู้คนนึกถึงพวกเขาในแง่ที่ดีอย่างมาก  เมื่อผู้คนเช่นนั้นกลับไปสู่โลกวิญญาณ พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษ  สำหรับผู้ไม่มีความเชื่อนั้น การไม่ถูกลงโทษในหนทางใดๆ หมายความว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ดีมากคนหนึ่ง  แทนที่จะเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า พวกเขาเชื่อแต่ในชายชราบนฟ้าเท่านั้น  บุคคลเช่นนั้นเชื่อเพียงแค่ว่ามีวิญญาณหนึ่งอยู่เหนือพวกเขา คอยเฝ้ามองทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำเท่านั้น—นั่นคือทั้งหมดที่บุคคลผู้นี้เชื่อ  ผลก็คือ บุคคลผู้นี้เป็นผู้มีความประพฤติดีกว่ามาก  ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนใจดีและใจบุญ และเมื่อในที่สุดพวกเขากลับไปสู่โลกวิญญาณ ที่นั่นก็จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดียิ่ง และพวกเขาจะมาเกิดใหม่ในไม่ช้า  เมื่อพวกเขามาเกิดใหม่ พวกเขาจะมาอยู่ในครอบครัวประเภทใด?  ถึงแม้ว่าครอบครัวเช่นนั้นจะไม่มั่งคั่ง พวกเขาก็จะปลอดภัยจากอันตรายใดๆ มีความสามัคคีในหมู่สมาชิกของพวกเขา ที่นั่นผู้คนที่มาเกิดใหม่เหล่านี้จะผ่านวันเวลาที่ปลอดภัยและมีความสุข และทุกคนจะชื่นบานและมีชีวิตที่ดี  เมื่อผู้คนเหล่านี้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ พวกเขาจะมีครอบครัวแบบขยายที่ใหญ่โต ลูกหลานของพวกเขาจะมีพรสวรรค์และประสบความสำเร็จ และครอบครัวของพวกเขาจะชื่นชมยินดีกับความโชคดี—และบทอวสานเช่นนั้นเชื่อมโยงอย่างใหญ่หลวงกับชีวิตที่ผ่านมาของผู้คนเหล่านี้  นั่นคือ ผู้คนจะไปที่ใดหลังจากที่พวกเขาตายและมาเกิดใหม่ พวกเขาจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง พันธกิจของพวกเขาคืออะไร พวกเขาจะผ่านพบสิ่งใดในชีวิต พวกเขาจะสู้ทนกับความล้มเหลวใดบ้าง พวกเขาจะชื่นชมพรใดบ้าง พวกเขาจะได้พบใครบ้าง และจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับพวกเขา—ไม่มีใครสามารถทำนายสิ่งเหล่านี้ หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ หรือซ่อนเร้นจากสิ่งเหล่านี้ได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทันทีที่ชีวิตของเจ้าได้ถูกกำหนดขึ้น ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นกับเจ้า—ไม่ว่าเจ้าจะพยายามหลีกเลี่ยงมันอย่างไร และไม่ว่าโดยวิธีการใดก็ตาม—เจ้าไม่มีหนทางที่จะฝ่าฝืนครรลองชีวิตที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้เจ้าในโลกวิญญาณได้  เพราะเมื่อเจ้ามาเกิดใหม่ ชะตาชีวิตของเจ้าได้ถูกกำหนดไว้แล้ว  ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย ทุกคนควรเผชิญหน้ากับสิ่งนี้และเดินต่อไปข้างหน้าเสมอ  นี่คือประเด็นปัญหาที่ไม่มีผู้ใดที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้จะสามารถหลีกเลี่ยงได้ และไม่มีประเด็นปัญหาใดที่เป็นจริงมากกว่านี้อีกแล้ว  พวกเจ้าทั้งหมดเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้พูดมานี้ใช่หรือไม่?

เมื่อได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว บัดนี้พวกเจ้าเห็นแล้วหรือยังว่าพระเจ้าทรงมีการตรวจสอบและการบริหารที่แม่นยำและเข้มงวดมากสำหรับวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ?  ก่อนอื่น พระองค์ได้ทรงกำหนดประกาศิตจากสวรรค์ ประกาศกฤษฎีกา และระบบต่างๆ นานาขึ้นในโลกวิญญาณ และทันทีที่สิ่งเหล่านี้ได้ประกาศออกไป พวกมันจะถูกดำเนินการอย่างเข้มงวดมากตามที่ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยพระเจ้า โดยผู้ที่อยู่ในตำแหน่งทางการต่างๆ ในโลกวิญญาณ และไม่มีผู้ใดกล้าที่จะฝ่าฝืนสิ่งเหล่านั้น  เพราะฉะนั้น ในวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ในโลกมนุษย์นั้น ไม่ว่าใครบางคนจะมาเกิดใหม่เป็นสัตว์หรือมนุษย์ ย่อมมีธรรมบัญญัติสำหรับทั้งสองนั้น  เนื่องจากธรรมบัญญัติเหล่านี้มาจากพระเจ้า จึงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะทำผิดธรรมบัญญัติ อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถทำผิดธรรมบัญญัติได้  เนื่องจากอธิปไตยนี้ของพระเจ้าเท่านั้นและเพราะธรรมบัญญัติเช่นนี้มีอยู่ โลกวัตถุที่ผู้คนมองเห็นจึงเป็นไปอย่างปกติและมีระเบียบ เนื่องจากอธิปไตยนี้ของพระเจ้าเท่านั้นพวกมนุษย์จึงสามารถดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขกับอีกโลกหนึ่งที่ไม่ปรากฏแก่ตาของพวกเขาโดยสิ้นเชิง และสามารถใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับมันได้—ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่สามารถหนีพ้นจากอธิปไตยของพระเจ้า  หลังจากชีวิตที่เป็นเนื้อหนังของบุคคลหนึ่งตายลง ดวงจิตยังคงมีชีวิตอยู่ และดังนั้น จะเกิดอะไรขึ้นหากมันไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารของพระเจ้า?  ดวงจิตนั้นคงจะเร่ร่อนไปทั่วทุกที่ รุกล้ำไปทุกหนแห่ง และคงจะถึงขั้นทำอันตรายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกมนุษย์  อันตรายเช่นนั้นจะไม่เพียงแค่เกิดขึ้นกับมวลมนุษย์เท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นกับต้นไม้และสัตว์ทั้งหลายได้ด้วยเช่นกัน—อย่างไรก็ตาม สิ่งแรกที่จะได้รับอันตรายก็คงจะเป็นผู้คน  หากการนี้เกิดขึ้น—หากดวงจิตเช่นนั้นเป็นอยู่โดยไม่มีการบริหาร ทำอันตรายต่อผู้คนโดยแท้ และทำสิ่งทั้งหลายที่ชั่วอย่างแท้จริง—เช่นนั้นแล้ว ดวงจิตนี้ก็คงจะได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมในโลกวิญญาณด้วยเช่นกัน กล่าวคือ หากสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นร้ายแรง ดวงจิตนั้นก็คงจะสูญสิ้นไปในไม่ช้า และคงจะถูกทำลาย  หากเป็นไปได้ มันคงจะถูกนำไปอยู่ที่ใดสักแห่งและหลังจากนั้นก็ได้มาเกิดใหม่  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การบริหารดวงจิตต่างๆ ของโลกวิญญาณนั้นมีระเบียบ และดำเนินการโดยสอดคล้องกับขั้นตอนและกฎเกณฑ์ทั้งหลาย  เป็นเพราะการบริหารเช่นนั้นเท่านั้น โลกวัตถุของมนุษย์จึงยังไม่ล้มลงไปสู่ความวุ่นวาย มนุษย์แห่งโลกวัตถุจึงยังมีความรู้สึกนึกคิดที่เป็นปกติ มีความมีเหตุผลที่เป็นปกติ และมีชีวิตทางเนื้อหนังที่มีระเบียบ  มีเพียงหลังจากที่มวลมนุษย์มีชีวิตปกติเช่นนั้นเท่านั้น บรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อหนังจึงจะสามารถเจริญรุ่งเรืองและสืบพันธุ์ไปตลอดหลายชั่วคนต่อไปได้

เจ้าคิดอย่างไรกับคำพูดทั้งหลายที่พวกเจ้าเพิ่งจะได้ฟังไปนี้?  นั่นเป็นคำพูดที่ใหม่สำหรับพวกเจ้าใช่หรือไม่?  หัวข้อการสามัคคีธรรมของวันนี้ทำให้พวกเจ้ามีความประทับใจแบบใด?  นอกเหนือจากความแปลกใหม่ของคำพูดเหล่านี้แล้ว พวกเจ้ารู้สึกอื่นใดอีกหรือไม่?  (ผู้คนควรมีความประพฤติที่ดี และพวกเรามองเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และควรแก่การเคารพ)  (เมื่อได้ยินการเข้าสนิทของพระเจ้าเมื่อครู่เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการบทอวสานของผู้คนจำพวกต่างๆ แล้ว ในแง่หนึ่งข้าพระองค์รู้สึกว่าพระอุปนิสัยของพระองค์ไม่อนุญาตให้มีการก้าวล่วงอันใด และรู้สึกว่าข้าพระองค์ควรยำเกรงพระองค์ ในอีกแง่หนึ่ง ข้าพระองค์ตระหนักว่าผู้คนประเภทใดที่พระเจ้าโปรด และประเภทใดที่พระองค์ไม่โปรด ดังนั้น ข้าพระองค์ต้องการจะเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่พระองค์โปรด)  พวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงมีหลักการในการกระทำทั้งหลายของพระองค์ในการนี้?  หลักการใดบ้างที่พระองค์ทรงใช้กระทำการ?  (พระองค์ทรงกำหนดบทอวสานของผู้คนไปตามสิ่งทั้งหมดที่พวกเขาทำ)  นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับบทอวสานต่างๆ สำหรับบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อที่พวกเราเพิ่งได้พูดถึงไป  เมื่อกล่าวถึงผู้ไม่มีความเชื่อ หลักการที่อยู่เบื้องหลังการกระทำทั้งหลายของพระเจ้านั้นเป็นหลักการเกี่ยวกับการให้รางวัลคนดีและลงโทษคนชั่วใช่หรือไม่?  มีข้อยกเว้นใดๆ หรือไม่?  (ไม่)  พวกเจ้ามองเห็นหรือไม่ว่ามีหลักการหนึ่งอยู่เบื้องหลังการกระทำของพระเจ้า?  บรรดาผู้ไม่มีความเชื่อก็ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง อีกทั้งพวกเขาไม่นบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์  นอกจากนั้น พวกเขาไม่ตระหนักถึงอธิปไตยของพระองค์ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะยอมรับพระองค์  ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือ พวกเขาลบหลู่พระเจ้า และสาปแช่งพระองค์ และเป็นปรปักษ์ต่อบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า  ถึงแม้พวกเขาจะมีท่าทีเช่นนี้ต่อพระเจ้า แต่การบริหารพวกเขาของพระองค์ก็ยังคงไม่เบี่ยงเบนไปจากหลักการทั้งหลายของพระองค์ พระองค์ทรงบริหารพวกเขาในลักษณะที่เป็นระเบียบ โดยสอดคล้องกับหลักการของพระองค์และพระอุปนิสัยของพระองค์  พระองค์ทรงนึกถึงความเป็นปรปักษ์ของพวกเขาอย่างไรหรือ?  ทรงถือว่าเป็นความไม่รู้เท่าทัน!  ผลก็คือ ในอดีตพระองค์ได้ทรงบันดาลให้ผู้คนเหล่านี้—นั่นก็คือ ส่วนใหญ่ของผู้ไม่มีความเชื่อ—เกิดใหม่เป็นสัตว์  ดังนั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้ไม่มีความเชื่อคือสิ่งใดกันแน่?  พวกเขาทั้งหมดคือสัตว์เดรัจฉาน  พระเจ้าทรงบริหารสัตว์เดรัจฉานรวมทั้งมวลมนุษย์ และสำหรับผู้คนเช่นนั้น พระองค์ทรงมีหลักการเดียวกัน  แม้กระทั่งในการบริหารผู้คนเหล่านี้ของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์ก็ยังคงเป็นที่สามารถมองเห็นได้ เช่นเดียวกับที่ธรรมบัญญัติทั้งหลายของพระองค์เบื้องหลังอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่งของพระองค์เป็นที่สามารถมองเห็นได้  และดังนั้น พวกเจ้ามองเห็นอธิปไตยของพระเจ้าในหลักการทั้งหลายที่พระองค์ทรงใช้บริหารบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อที่เราเพิ่งกล่าวถึงหรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าหรือไม่?  (พวกเรามองเห็น)  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าพระองค์ทรงจัดการกับสิ่งใดในบรรดาสรรพสิ่งทั้งมวล พระเจ้าทรงกระทำการไปตามหลักการทั้งหลายและพระอุปนิสัยของพระองค์เอง  นี่คือแก่นแท้ของพระเจ้า พระองค์จะไม่มีวันทรงทำผิดไปจากประกาศกฤษฎีกาหรือประกาศิตจากสวรรค์ที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ง่ายๆ เพียงเพราะพระองค์ทรงถือว่าผู้คนเช่นนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน  พระเจ้าทรงกระทำการบนหลักการโดยไม่ทรงวู่วามแม้แต่น้อย และการกระทำของพระองค์ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยใดๆ โดยสิ้นเชิง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำเป็นไปตามหลักการทั้งหลายของพระองค์เอง  การนี้เป็นเพราะพระเจ้าทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง นี่คือแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระองค์ที่ไม่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ  พระเจ้าทรงมีจิตสำนึกและทรงรับผิดชอบในการรับมือ การดำเนินการ การจัดการ การบริหาร และการปกครองของพระองค์เหนือวัตถุ บุคคล และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ และในการนี้ พระองค์ไม่เคยไม่ทรงระมัดระวัง  สำหรับบรรดาผู้ที่เป็นคนดีนั้น พระองค์ทรงเปี่ยมพระคุณและทรงเมตตา กับบรรดาผู้ที่ชั่วนั้น พระองค์ทรงลงโทษด้วยการลงทัณฑ์อันไร้ความปรานี และสำหรับสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายนั้น พระองค์ทรงทำการจัดการเตรียมการที่สมควรในลักษณะที่ทันเวลาและเป็นปกติตามข้อพึงประสงค์ที่ผันแปรของโลกมนุษย์ในเวลาที่แตกต่างกัน จนกระทั่งสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายเหล่านี้ได้มาเกิดใหม่ตามบทบาทที่พวกเขาแสดงในลักษณะที่เป็นระเบียบ และเคลื่อนไประหว่างโลกวัตถุกับโลกวิญญาณในหนทางที่มีระเบียบวิธี

ความตายของสิ่งมีชีวิตหนึ่ง—การสิ้นสุดชีวิตทางกายภาพ—บ่งชี้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นได้ผ่านจากโลกวัตถุไปสู่โลกวิญญาณ ในขณะที่การถือกำเนิดของชีวิตใหม่ทางกายภาพบ่งชี้ว่าสิ่งมีชีวิตหนึ่งได้จากโลกวิญญาณมาสู่โลกวัตถุ และได้เริ่มต้นรับหน้าที่และแสดงบทบาทของมันแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นการจากไปหรือการมาถึงของสิ่งมีชีวิต ทั้งคู่นั้นไม่สามารถแยกออกจากงานของโลกวิญญาณได้  เมื่อถึงเวลาที่ใครบางคนมาสู่โลกวัตถุ พระเจ้าได้ทรงก่อรูปร่างการจัดการเตรียมการและการกำหนดนิยามที่เหมาะสมไว้แล้วในโลกวิญญาณในเรื่องที่ว่า บุคคลนั้นจะมายังครอบครัวใด พวกเขาจะมาสู่ยุคสมัยใด พวกเขาจะมาถึงในโมงยามใด และบทบาทที่พวกเขาจะแสดง  เมื่อเป็นเช่นนั้น ชีวิตทั้งชีวิตของบุคคลผู้นี้—สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ และเส้นทางทั้งหลายที่พวกเขาเดิน—จะดำเนินการไปตามการจัดการเตรียมการที่ได้ทำขึ้นในโลกวิญญาณ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย  ยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่ชีวิตทางกายภาพจะสิ้นสุดลง และลักษณะกับสถานที่ที่มันจะพบจุดจบนั้นเป็นที่ชัดเจนและหยั่งรู้ได้ในโลกวิญญาณ  พระเจ้าทรงปกครองโลกวัตถุ และพระองค์ทรงปกครองโลกวิญญาณด้วยเช่นกัน และพระองค์จะไม่ทรงทำให้วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายตามปกติของดวงจิตหนึ่งล่าช้า และพระองค์ไม่มีวันสามารถกระทำความผิดพลาดใดๆ ในการจัดการเตรียมการวัฏจักรนั้นเลย  ผู้ดูแลแต่ละคนในตำแหน่งทางการของโลกวิญญาณนั้นดำเนินภารกิจแต่ละอย่างของพวกเขา และทำสิ่งที่พวกเขาควรที่จะทำ โดยสอดคล้องกับคำแนะนำและกฎเกณฑ์ทั้งหลายของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ ในโลกของมวลมนุษย์นั้น ปรากฏการณ์ทางวัตถุทุกอย่างที่มนุษย์เห็นล้วนเป็นไปอย่างเป็นระเบียบ และไม่มีความวุ่นวาย  ทั้งหมดนี้ก็เนื่องจากกฎเกณฑ์ที่มีระเบียบเหนือสรรพสิ่งของพระเจ้า รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์ปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง  อำนาจครอบครองของพระองค์ประกอบด้วยโลกวัตถุที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นคือโลกวิญญาณที่ไม่ปรากฏแก่ตาเบื้องหลังมวลมนุษย์  เพราะฉะนั้น หากมนุษย์ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดี และหวังที่จะดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีนอกเหนือจากการได้รับการจัดเตรียมทางโลกวัตถุที่มองเห็นได้ทั้งหมดทั้งมวลนั้น พวกเขาก็ต้องได้รับการจัดเตรียมทางโลกวิญญาณด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นได้ ซึ่งควบคุมดูแลสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในนามของมวลมนุษย์ และซึ่งเป็นไปอย่างมีระเบียบ  ด้วยเหตุนี้ การที่ได้พูดว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง พวกเรามิได้ทำให้ความตระหนักรู้และความเข้าใจของพวกเราเกี่ยวกับ “ทุกสรรพสิ่ง” มีมากขึ้นหรอกหรือ?  (ใช่)

2. วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ

พวกเราเพิ่งได้หารือกันถึงวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนจำพวกแรก คือบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ  บัดนี้ ขอให้พวกเรามาหารือกันถึงพวกที่สอง คือผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ  “วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ” ยังเป็นหัวข้อที่สำคัญมากอีกหัวข้อหนึ่ง และมีความจำเป็นอย่างมากที่พวกเจ้าจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง  ก่อนอื่นขอให้พวกเราพูดกันถึงเรื่อง “ความเชื่อ” ในคำว่า “ผู้คนที่มีความเชื่อ” ว่าอ้างถึงความเชื่อใดบ้าง คือห้าศาสนาหลักได้แก่ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก ศาสนาอิสลาม และศาสนาพุทธ  นอกเหนือจากบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อแล้ว ผู้คนที่เชื่อในห้าศาสนาเหล่านี้ครองสัดส่วนของประชากรโลกอยู่มาก  ท่ามกลางห้าศาสนานี้ บรรดาผู้ที่ประกอบอาชีพตามความเชื่อของพวกเขามีไม่มาก ถึงกระนั้นศาสนาเหล่านี้ก็ยังมีผู้ติดตามจำนวนมาก  พวกเขาจะไปยังสถานที่ที่แตกต่างเมื่อพวกเขาตาย  “แตกต่าง” จากผู้ใด?  จากบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ—ผู้คนที่ไม่มีความเชื่อ—ผู้ซึ่งเราพูดถึงอยู่เมื่อครู่  หลังจากพวกเขาตาย บรรดาผู้เชื่อของห้าศาสนาเหล่านี้จะไปที่อื่น เป็นบางแห่งที่แตกต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อ  อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นกระบวนการเดียวกัน โลกวิญญาณจะพิพากษาพวกเขาในทำนองเดียวกันบนพื้นฐานของทุกอย่างที่พวกเขาเคยทำก่อนที่พวกเขาจะตาย ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาจะเข้าสู่กระบวนการตามการตัดสินนั้น  อย่างไรก็ดี เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงถูกส่งไปเข้าสู่กระบวนการยังพื้นที่ที่แตกต่างกันเล่า?  มีเหตุผลที่สำคัญสำหรับการนี้  มันคืออะไร?  เราจะอธิบายกับพวกเจ้าด้วยตัวอย่างหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะอธิบาย พวกเจ้าอาจจะคิดกับตัวพวกเจ้าเองว่า “บางทีคงจะเป็นเพราะพวกเขามีการเชื่อในพระเจ้าน้อย!  พวกเขาไม่ใช่ผู้ไม่มีความเชื่อเสียทีเดียว”  อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เหตุผล  มีเหตุผลที่สำคัญมากอยู่อย่างหนึ่งที่พวกเขาถูกแยกออกจากผู้อื่น

จงดูศาสนาพุทธเป็นตัวอย่าง  เราจะบอกพวกเจ้าถึงข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง  ก่อนอื่น คนพุทธคือใครบางคนที่ได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ และนี่คือบุคคลที่รู้ว่าสิ่งใดคือการเชื่อของตน  เมื่อคนพุทธตัดผมของพวกเขาและกลายเป็นพระหรือแม่ชี นั่นหมายความว่าพวกเขาได้แยกตนเองออกจากโลกฆราวาสแล้ว โดยทิ้งความอลหม่านของโลกมนุษย์ไว้เบื้องหลัง  ทุกๆ วันพวกเขาจะท่องพระสูตรและสวดพระนามของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย กินเพียงอาหารมังสวิรัติ ดำรงชีวิตแบบนักพรต และผ่านวันเวลาไปพร้อมกับแสงอ่อนเย็นของตะเกียงน้ำมันเนย  พวกเขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาไปแบบนี้  เมื่อชีวิตทางกายภาพของคนพุทธคนหนึ่งจบลง พวกเขาจะทำบทสรุปชีวิตของพวกเขา แต่ในหัวใจของพวกเขาแล้วพวกเขาจะไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปที่ใดหลังจากที่พวกเขาตาย  พวกเขาจะพบกับใคร หรือบทอวสานของพวกเขาจะเป็นอย่างไร  ลึกลงไป พวกเขาจะไม่มีแนวคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น  พวกเขาจะไม่ได้ทำสิ่งใดมากไปกว่าดำรงความเชื่อชนิดหนึ่งไว้อย่างหูหนวกตาบอดตลอดชีวิตของพวกเขา ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาจะไปจากโลกมนุษย์พร้อมกับความปรารถนาและอุดมการณ์ทั้งหลายที่มืดบอดของพวกเขา  เช่นนั้นคือการสิ้นสุดชีวิตทางกายภาพของคนพุทธ เมื่อพวกเขาออกจากโลกของสิ่งมีชีวิต หลังจากนั้นพวกเขาจะกลับไปยังสถานที่ดั้งเดิมของพวกเขาในโลกวิญญาณ  การที่บุคคลผู้นี้จะมาเกิดใหม่เพื่อกลับมายังแผ่นดินโลกและสานต่อการบ่มเพาะตนเองของพวกเขาต่อไปหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและการปฏิบัติของพวกเขาก่อนความตายของพวกเขา  หากพวกเขาไม่เคยทำสิ่งใดผิดในระหว่างชั่วชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็จะได้มาเกิดและถูกส่งกลับมายังแผ่นดินโลกอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ที่ซึ่งบุคคลผู้นี้จะได้กลายเป็นพระหรือแม่ชีอีกครั้งหนึ่ง  นั่นคือ พวกเขาปฏิบัติการบ่มเพาะตนเองในระหว่างมีชีวิตทางกายภาพของพวกเขาโดยสอดคล้องกับวิธีที่พวกเขาเคยปฏิบัติการบ่มเพาะตนเองครั้งแรก และแล้วก็กลับมายังโลกวิญญาณหลังจากที่ชีวิตทางกายภาพของพวกเขาได้สรุปปิดตัวลง ที่ซึ่งพวกเขาจะถูกตรวจสอบ  หลังจากนั้น หากไม่พบว่ามีปัญหาใดๆ พวกเขาจะสามารถกลับมายังโลกของมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการสานต่อการปฏิบัติของพวกเขา  หลังจากมาเกิดใหม่สามถึงเจ็ดครั้งแล้ว พวกเขาจะกลับไปยังโลกวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง ที่ซึ่งพวกเขาจะไปหลังจากชีวิตทางกายภาพจบลงแต่ละครั้ง  หากคุณสมบัติต่างๆ และพฤติกรรมของพวกเขาในโลกมนุษย์เป็นการปฏิบัติตามประกาศิตจากสวรรค์แห่งโลกวิญญาณ เช่นนั้นแล้ว จากจุดนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะคงอยู่ที่นั่น พวกเขาจะไม่มาเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีกต่อไป และจะไม่มีความเสี่ยงใดๆ ที่พวกเขาจะถูกลงโทษจากการทำชั่วบนแผ่นดินโลกอีก  พวกเขาจะไม่มีวันต้องก้าวผ่านกระบวนการนี้อีกครั้ง  ในทางตรงกันข้าม พวกเขาจะได้รับตำแหน่งหนึ่งในโลกวิญญาณโดยขึ้นอยู่กับรูปการณ์แวดล้อมของพวกเขา  นี่คือสิ่งที่คนพุทธอ้างถึงว่าเป็น “การบรรลุพุทธภาวะ”  การบรรลุพุทธภาวะโดยมากแล้วหมายถึงการสัมฤทธิ์การเกิดผลได้เป็นเจ้าหน้าที่ของโลกวิญญาณ และหลังจากนั้นจะไม่มาเกิดใหม่หรือมีความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษอีกต่อไป  ยิ่งไปกว่านั้น มันหมายถึงการไม่ทนทุกข์กับความทุกข์ร้อนทั้งหลายของการเป็นมนุษย์หลังจากการมาเกิดใหม่อีกต่อไป  ดังนั้น พวกเขายังคงมีโอกาสใดๆ ที่จะมาเกิดเป็นสัตว์อยู่หรือไม่?  (ไม่มี)  การนี้หมายความว่า พวกเขาจะคงอยู่เพื่อเข้ารับบทบาทหนึ่งในโลกวิญญาณและจะไม่มาเกิดใหม่อีกแล้ว  นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการบรรลุการเกิดผลของพุทธภาวะในศาสนาพุทธ  ในส่วนของพวกที่ไม่บรรลุการเกิดผล เมื่อพวกเขากลับไปยังโลกวิญญาณ พวกเขากลายเป็นผู้ที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบและการยืนยันความถูกต้องจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่ค้นพบว่าในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติการบ่มเพาะตัวเอง หรือไม่ได้มีจิตสำนึกในการท่องพระสูตรทั้งหลายและการสวดพระนามของพระพุทธเจ้าอย่างขันแข็งดังที่ศาสนาพุทธบัญญัติไว้ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับกระทำการชั่วมากมายและมีส่วนร่วมในพฤติกรรมชั่วหลายอย่าง  เช่นนั้นแล้ว ในโลกวิญญาณจะมีการพิพากษาเกี่ยวกับการทำชั่วของพวกเขา และต่อจากนั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษแน่นอน  ในการนี้ ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ  เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อใดที่บุคคลเช่นนั้นจะสามารถบรรลุการเกิดผล?  ในชั่วชีวิตที่พวกเขาไม่กระทำความชั่ว—หลังจากที่กลับมายังโลกวิญญาณแล้ว เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิดก่อนที่พวกเขาจะตายเลย  จากนั้นพวกเขาก็มาเกิดใหม่ต่อไป โดยดำเนินการท่องพระสูตรและสวดพระนามของพระพุทธเจ้า ใช้วันเวลาของพวกเขาไปกับแสงอ่อนเย็นของตะเกียงน้ำมันเนย งดเว้นจากการฆ่าสิ่งมีชีวิตใดๆ หรือการกินเนื้อใดๆ  พวกเขาไม่มีส่วนร่วมในโลกของมนุษย์ โดยทิ้งปัญหาของมันไว้ห่างไกลที่เบื้องหลังและไม่มีการโต้เถียงกับผู้อื่น  ในกระบวนการนั้น หากพวกเขากระทำความชั่ว เช่นนั้นแล้ว หลังจากที่พวกเขากลับไปยังโลกวิญญาณ และการกระทำและพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาได้รับการตรวจสอบ พวกเขาก็จะถูกส่งไปยังอาณาจักรของมนุษย์อีกครั้งหนึ่งในวัฏจักรที่ต่อเนื่องไปเป็นจำนวนสามถึงเจ็ดครั้ง  หากไม่มีการประพฤติผิดเกิดขึ้นในครั้งนี้ เช่นนั้นแล้ว การบรรลุพุทธภาวะของพวกเขาก็จะยังคงไม่ได้รับผลกระทบ และจะไม่ถูกทำให้ล่าช้าออกไป  นี่คือลักษณะพิเศษของวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนที่มีความเชื่อทั้งหมด กล่าวคือ  พวกเขาสามารถที่จะ “บรรลุการเกิดผล” และสามารถที่จะเข้ารับตำแหน่งหนึ่งในโลกวิญญาณได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างไปจากบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ  ก่อนอื่น ขณะที่พวกเขายังคงใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก บรรดาผู้ที่สามารถเข้ารับตำแหน่งหนึ่งในโลกวิญญาณประพฤติตัวอย่างไร?  พวกเขาต้องแน่ใจว่าจะไม่กระทำความชั่วใดๆ เลย กล่าวคือ พวกเขาต้องไม่ทำการฆาตกรรม วางเพลิง ข่มขืน หรือชิงทรัพย์ หากพวกเขามีส่วนร่วมในการฉ้อโกง การหลอกลวง การลักขโมย หรือการปล้น เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถบรรลุการเกิดผลได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากพวกเขามีความเกี่ยวข้องหรือการมีส่วนร่วมใดๆ กับการทำชั่วไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม พวกเขาจะไม่สามารถหลีกหนีการลงโทษที่โลกวิญญาณกำหนดไว้แก่พวกเขาได้  โลกวิญญาณทำการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมให้แก่คนพุทธที่บรรลุพุทธภาวะ กล่าวคือ  พวกเขาอาจได้รับการแต่งตั้งให้บริหารบรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเชื่อในศาสนาพุทธ และเชื่อในชายชราบนฟ้า—พวกเขาอาจได้รับการจัดสรรเขตอำนาจ  พวกเขายังอาจเพียงแค่รับหน้าที่ควบคุมบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อหรือมีตำแหน่งที่มีหน้าที่เล็กน้อยมากๆ เท่านั้นด้วยเช่นกัน  การจัดสรรเช่นนั้นมีขึ้นตามธรรมชาติต่างๆ ของดวงจิตของพวกเขา  นี่คือตัวอย่างของศาสนาพุทธ

ในบรรดาห้าศาสนาที่เราได้พูดถึงนั้น ศาสนาคริสต์ค่อนข้างพิเศษ  สิ่งใดทำให้คริสตชนพิเศษยิ่งนัก?  เหล่านี้คือผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้  เหตุใดบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้จึงอยู่ในรายการนี้ได้?  ในการกล่าวว่าศาสนาคริสต์คือความเชื่อประเภทหนึ่ง มันคงจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อเท่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย มันคงจะเป็นพิธีการประเภทหนึ่งเท่านั้น เป็นศาสนาประเภทหนึ่ง และเป็นสิ่งที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากความเชื่อของบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง  เหตุผลที่เราได้ลงรายการศาสนาคริสต์ไว้ท่ามกลางห้าศาสนาใหญ่ๆ ก็คือว่า มันได้ถูกลดระดับไปอยู่ระดับเดียวกันกับศาสนายิว ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม  ผู้คนส่วนใหญ่ในที่นี้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า หรือไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเชื่อในการมีอยู่ของพระองค์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาเพียงใช้คัมภีร์ทั้งหลายเพื่อหารือเกี่ยวกับเทววิทยาและใช้เทววิทยาเพื่อสอนผู้คนให้มีเมตตา ให้สู้ทนความทุกข์ และให้ทำสิ่งดีๆ ทั้งหลาย  นั่นคือศาสนาแบบที่ศาสนาคริสต์ได้กลายมาเป็น กล่าวคือ ศาสนาคริสต์เพียงแค่จดจ่ออยู่กับทฤษฎีทางเทววิทยาเท่านั้น โดยไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ โดยสิ้นเชิงกับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการและการช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า  ศาสนาคริสต์ได้กลายมาเป็นศาสนาของผู้คนที่ติดตามพระเจ้าแต่เป็นผู้ที่ไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงจากพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงมีหลักการหนึ่งในการเข้าถึงผู้คนเช่นนั้นด้วยเช่นกัน  พระองค์มิได้ทรงรับมือหรือจัดการกับพวกเขาอย่างง่ายๆ ตามอำเภอใจดังที่พระองค์ทรงกระทำกับบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ  พระองค์ทรงปฏิบัติกับพวกเขาแบบเดียวกันกับที่พระองค์ทรงปฏิบัติกับคนพุทธ กล่าวคือ หากว่าในขณะที่มีชีวิตอยู่ คริสตชนคนหนึ่งสามารถทำการบ่มวินัยตัวเองได้ ปฏิบัติตามพระบัญญัติสิบประการอย่างเคร่งครัด และทำตามข้อเรียกร้องให้พฤติกรรมของพวกเขาเองสอดคล้องกับธรรมบัญญัติและพระบัญญัติทั้งหลาย และยึดถือสิ่งเหล่านั้นไปตลอดชีวิตของพวกเขา  เช่นนั้นแล้ว พวกเขายังต้องใช้เวลาเท่ากันในการก้าวผ่านวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายด้วยเช่นกันก่อนที่พวกเขาจะสามารถบรรลุถึงสิ่งที่เรียกว่า “การถูกรับขึ้นไป” ได้อย่างแท้จริง  หลังจากสัมฤทธิ์การถูกรับขึ้นไปนี้ พวกเขายังอยู่ในโลกวิญญาณ ที่ซึ่งพวกเขาเข้ารับตำแหน่งหนึ่งและกลายเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของที่นั่น  ในทำนองเดียวกัน หากพวกเขากระทำความชั่วบนแผ่นดินโลก—หากพวกเขาบาปหนามากเกินไปและกระทำบาปมากเกินไป—เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะถูกลงโทษและถูกบ่มวินัยด้วยความรุนแรงที่แตกต่างกันไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ในศาสนาพุทธนั้น การบรรลุการเกิดผลหมายถึงการผ่านไปยังแดนสุขาวดีอันบรมสุข  แต่พวกเขาเรียกมันว่าอย่างไรในศาสนาคริสต์?  เรียกว่า “การเข้าสู่สวรรค์” และ “การถูกรับขึ้นไป”  บรรดาผู้ที่ถูกรับขึ้นไปอย่างแท้จริงยังก้าวผ่านวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายสามถึงเจ็ดครั้งด้วย ซึ่งหลังจากนั้น เมื่อตายแล้ว พวกเขาจะมายังโลกวิญญาณ ราวกับพวกเขาได้นอนหลับไป  หากพวกเขาได้มาตรฐาน พวกเขาก็สามารถคงอยู่ที่นั่นเพื่อเข้ารับตำแหน่ง และจะไม่ได้มาเกิดใหม่ในลักษณะที่เรียบง่ายหรือตามธรรมเนียม ซึ่งไม่เหมือนกับผู้คนบนแผ่นดินโลก

ท่ามกลางศาสนาเหล่านี้ทั้งหมด บทอวสานที่พวกเขาพูดถึงและที่พวกเขาเพียรพยายามไปถึงนั้นเป็นแบบเดียวกับการบรรลุผลในศาสนาพุทธ เพียงแต่ว่า “ผล” นี้สัมฤทธิ์โดยวิถีทางที่แตกต่างกัน พวกเขาล้วนเหมือนกัน  สำหรับบรรดาผู้ติดตามของศาสนาเหล่านี้ ในส่วนของผู้ที่พฤติกรรมของพวกเขาสามารถยึดปฏิบัติตามข้อบังคับทางศาสนาได้อย่างเคร่งครัด พระเจ้าทรงจัดเตรียมบั้นปลายที่เหมาะสม สถานที่ที่เหมาะสมให้ไปสู่ และทรงรับมือกับพวกเขาตามสมควร  ทั้งหมดนี้สมเหตุสมผล แต่มันไม่เป็นดังที่ผู้คนจินตนาการ  บัดนี้ เมื่อได้ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคริสตชนแล้ว พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?  พวกเจ้ารู้สึกว่าสภาพของพวกเขาไม่ยุติธรรมเลยใช่หรือไม่?  เจ้าสงสารพวกเขาใช่หรือไม่?  (นิดหน่อย)  ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้เลย พวกเขามีเพียงตัวเองเท่านั้นให้ตำหนิ  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  พระราชกิจของพระเจ้านั้นจริงแท้ พระองค์ทรงมีชีวิตและทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง และพระราชกิจของพระองค์มุ่งหมายไปที่มวลมนุษย์ทั้งหมดและปัจเจกบุคคลทุกคน  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดคริสตชนทั้งหลายจึงไม่ยอมรับการนี้?  เหตุใดพวกเขาจึงรีบร้อนต่อต้านและข่มเหงพระเจ้าเหลือเกิน?  พวกเขาควรพิจารณาว่าตัวพวกเขาเองโชคดีที่ยังมีบทอวสานแบบนี้ ดังนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงรู้สึกเสียใจกับพวกเขาเล่า?  การรับมือกับพวกเขาในหนทางนี้แสดงให้เห็นความยอมผ่อนปรนที่ยิ่งใหญ่  เมื่อพิจารณาดูว่าพวกเขาต่อต้านพระเจ้าปานใด พวกเขาควรจะถูกทำลาย แต่กระนั้นพระเจ้าก็ไม่ทรงทำการนี้ พระองค์กลับทรงรับมือกับศาสนาคริสต์อย่างเรียบง่ายแบบเดียวกันกับศาสนาอื่นทั่วไป  ด้วยเหตุนี้ มีความจำเป็นใดหรือที่จะต้องกล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสนาอื่นๆ ที่เหลือ?  ลักษณะพื้นฐานของศาสนาเหล่านี้ทั้งหมดเป็นไปเพื่อให้ผู้คนทนทุกข์กับความยากลำบากมากยิ่งขึ้น ไม่ทำความชั่ว ประพฤติดี ไม่สบถใส่ผู้อื่น ไม่ตัดสินผู้อื่น นำตัวเองออกห่างจากการโต้เถียง และเป็นคนดี—คำสอนทางศาสนาส่วนใหญ่เป็นเยี่ยงนี้  เพราะฉะนั้น หากผู้คนที่มีความเชื่อเหล่านี้—บรรดาผู้ติดตามของศาสนาและคณะนิกายต่างๆ เหล่านี้—สามารถยึดปฏิบัติตามข้อบังคับทางศาสนาของพวกตนได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะไม่กระทำความผิดพลาดหรือบาปใหญ่ทั้งหลายในระหว่างที่พวกเขาอยู่บนแผ่นดินโลก และหลังจากที่ได้มาเกิดใหม่เป็นจำนวนสามถึงเจ็ดครั้งแล้ว ผู้คนเหล่านี้—บรรดาผู้ซึ่งสามารถยึดปฏิบัติตามข้อบังคับทางศาสนาได้อย่างเคร่งครัด—โดยทั่วไปแล้วจะคงอยู่ในโลกวิญญาณเพื่อเข้ารับตำแหน่งหนึ่ง  ผู้คนเช่นนี้มีมากหรือไม่?  (ไม่ มีไม่มาก)  คำตอบของเจ้าอยู่บนพื้นฐานของสิ่งใด?  มันไม่ง่ายเลยที่จะทำความดีและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติทางศาสนา  ศาสนาพุทธไม่อนุญาตให้ผู้คนกินเนื้อสัตว์—เจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่?  หากเจ้าต้องสวมเสื้อคลุมสีเทาและท่องพระสูตรและสวดพระนามของพระพุทธเจ้าในวัดของคนพุทธตลอดทั้งวัน เจ้าจะสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่?  มันคงจะไม่ง่าย  คริสตชนมีพระบัญญัติสิบประการ พระบัญญัติ และธรรมบัญญัติทั้งหลาย เหล่านี้ง่ายต่อการปฏิบัติตามหรือไม่?  มันไม่ง่ายเลยใช่หรือไม่?  จงดูการไม่สบถใส่ผู้อื่นเป็นตัวอย่าง กล่าวคือ ผู้คนไม่สามารถปฏิบัติตามกฎข้อนี้ได้โดยง่าย  เมื่อไร้ความสามารถที่จะหยุดตัวเอง พวกเขาจึงสบถ—และหลังจากสบถแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถถอนคำพูดเหล่านั้นกลับมาได้ ดังนั้น พวกเขาทำอย่างไร?  ตอนกลางคืน พวกเขาสารภาพบาปของพวกเขา  บางครั้งหลังจากที่พวกเขาสบถใส่ผู้อื่น พวกเขายังคงเก็บงำความเกลียดชังไว้ในหัวใจของพวกเขาอยู่ และพวกเขาไปไกลถึงขั้นวางแผนหาเวลาที่จะทำอันตรายผู้คนเหล่านั้นยิ่งขึ้นไปอีก  กล่าวสั้นๆ คือ สำหรับบรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางหลักเกณฑ์ตายตัวนี้ ก็คงจะไม่ง่ายที่จะยับยั้งจากการทำบาปหรือการทำชั่ว  เพราะฉะนั้น ในทุกๆ ศาสนา จึงมีผู้คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สามารถบรรลุการเกิดผลได้อย่างแท้จริง  เจ้านึกเอาว่าเพราะผู้คนมากมายเพียงนั้นปฏิบัติตามศาสนาเหล่านี้ คงมีคนจำนวนมากสามารถคงอยู่ในโลกวิญญาณเพื่อเข้ารับบทบาท ใช่หรือไม่?  มันไม่ได้มีมากขนาดนั้น  มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้อย่างแท้จริง  โดยทั่วไปแล้ววัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนที่มีความเชื่อเป็นเช่นนั้นเอง  สิ่งที่แยกพวกเขาออกมาก็คือการที่พวกเขาสามารถบรรลุการเกิดผลได้ และนี่คือสิ่งที่แยกพวกเขาออกจากบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ

3. วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้า

บัดนี้ ขอให้พวกเรามาพูดถึงวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้ากันเถิด  การนี้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้า ดังนั้นจงให้ความสนใจ กล่าวคือ  ก่อนอื่น จงคิดเกี่ยวกับว่าบรรดาผู้ติดตามพระเจ้าจะสามารถได้รับการจำแนกกลุ่มอย่างไร  (ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และบรรดาคนปรนนิบัติ)  แท้จริงแล้วมีสองกลุ่ม ได้แก่  บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และบรรดาคนปรนนิบัติ  ก่อนอื่น ขอให้พวกเรามาสนทนาถึงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกันเถิด ซึ่งในกลุ่มนี้มีเพียงจำนวนน้อย  “ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร” หมายถึงผู้ใดบ้าง?  หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและมวลมนุษย์ให้มีขึ้นมา พระเจ้าได้ทรงคัดเลือกผู้คนกลุ่มหนึ่งที่จะติดตามพระองค์ เหล่านี้เองที่อ้างอิงถึงว่าเป็น “ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร”  มีวงเขตและนัยสำคัญพิเศษในการที่พระเจ้าทรงคัดเลือกผู้คนเหล่านี้  วงเขตนี้พิเศษตรงที่ว่ามันจำกัดเฉพาะคนที่ได้รับเลือกไม่กี่คน ผู้ซึ่งต้องมาเมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจสำคัญ  และนัยสำคัญคืออะไร?  เนื่องจากพวกเขาคือกลุ่มที่พระเจ้าทรงเลือกสรร นัยสำคัญจึงยิ่งใหญ่  นั่นก็คือ พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะทำให้ผู้คนเหล่านี้ครบบริบูรณ์ และทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม และทันทีที่พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการได้เสร็จสิ้นลง พระองค์จะทรงรับผู้คนเหล่านี้ไว้  นัยสำคัญนี้ไม่ยิ่งใหญ่หรอกหรือ?  ด้วยเหตุนี้เอง  บรรดาผู้ที่ได้รับการเลือกสรรเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพระเจ้า เพราะพวกเขาคือบรรดาผู้ซึ่งพระเจ้าตั้งพระทัยที่จะรับไว้  ส่วนเหล่าคนปรนนิบัตินั้น ขอให้เราหยุดพักจากหัวเรื่องการลิขิตล่วงหน้าของพระเจ้าไว้สักครู่เถิด แล้วสนทนาถึงต้นกำเนิดของพวกเขากันก่อน  “คนปรนนิบัติ” ตามตัวอักษรแล้วนั้นคือผู้ที่รับใช้  บรรดาผู้ที่รับใช้นั้นทำเป็นการชั่วคราว พวกเขาไม่ได้รับใช้ในระยะยาวหรือตลอดกาล แต่ได้รับการจ้างหรือเกณฑ์มาชั่วคราว  ต้นกำเนิดของพวกเขาส่วนใหญ่นั้นก็คือ พวกเขาได้รับการคัดเลือกมาจากท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อ  พวกเขาได้มายังแผ่นดินโลกเมื่อมีประกาศกฤษฎีกาว่าพวกเขาจะได้สวมบทบาทของคนปรนนิบัติในพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาอาจเคยเป็นสัตว์ในชั่วชีวิตก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาอาจเคยเป็นผู้ไม่มีความเชื่อด้วยเช่นกัน  เช่นนั้นเองคือต้นกำเนิดของบรรดาคนปรนนิบัติ

พวกเรามาคุยต่อไปถึงเรื่องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกันเถิด  เมื่อพวกเขาตาย พวกเขาจะไปยังพื้นที่ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากพื้นที่ของบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อและผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ  มันเป็นสถานที่ซึ่งบรรดาทูตสวรรค์และผู้สื่อสารของพระเจ้าเข้าประกบพวกเขา  เป็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงบริหารด้วยพระองค์เอง  ถึงแม้ว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะไม่สามารถเห็นพระเจ้าด้วยตาของพวกเขาเองในสถานที่นี้ แต่มันก็ไม่เหมือนกับที่อื่นใดในโลกวิญญาณ นี่คือพื้นที่ที่แตกต่างกัน ที่ซึ่งผู้คนส่วนนี้จะไปหลังจากที่พวกเขาตาย  เมื่อพวกเขาตาย พวกเขาก็จะอยู่ภายใต้การสืบค้นที่เข้มงวดโดยบรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้า และอะไรที่จะถูกสืบค้น?  บรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้าจะสืบค้นเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าที่ผู้คนเหล่านี้ได้ก้าวเดินมาโดยตลอดชีวิตทั้งหลายของพวกเขา พวกเขาเคยต่อต้านพระเจ้าหรือสาปแช่งพระองค์หรือไม่ในระหว่างนั้น และพวกเขาเคยกระทำบาปหรือความชั่วร้ายแรงใดๆ หรือไม่  การสืบค้นนี้จะทำให้สิ้นสุดคำถามที่ว่าบุคคลดังกล่าวจะได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่หรือต้องออกไป  คำว่า “ออกไป” หมายถึงอะไร?  และคำว่า “พำนักอยู่” หมายถึงอะไร?  “ออกไป” หมายถึงว่า บนพื้นฐานของพฤติกรรมของพวกเขาแล้ว พวกเขายังคงอยู่ในท่ามกลางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่ การได้รับอนุญาตให้ “พำนักอยู่” หมายความว่าพวกเขาสามารถคงอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ที่พระเจ้าจะทรงทำให้ครบบริบูรณ์ในระหว่างยุคสุดท้าย  สำหรับบรรดาผู้ที่พำนักอยู่ พระเจ้าทรงมีการจัดการเตรียมการที่พิเศษ  ในระหว่างแต่ละระยะของพระราชกิจของพระองค์ พระองค์จะส่งผู้คนเช่นนั้นมาทำหน้าที่เป็นอัครทูตหรือมาทำงานแห่งการฟื้นฟูหรือการดูแลคริสตจักรทั้งหลาย  อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่สามารถทำงานเช่นนั้นจะไม่มาเกิดใหม่บ่อยครั้งเท่าบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อที่มาเกิดใหม่รุ่นแล้วรุ่นเล่า ในทางตรงกันข้าม พวกเขาถูกส่งกลับมายังแผ่นดินโลกตามข้อพึงประสงค์และขั้นตอนทั้งหลายของพระราชกิจของพระเจ้า และพวกเขาจะไม่มาเกิดใหม่บ่อยๆ  ดังนั้น มีกฎเกณฑ์บางอย่างเกี่ยวกับว่าเมื่อใดพวกเขาจะมาเกิดใหม่ใช่หรือไม่?  พวกเขาจะมาไม่กี่ปีครั้งใช่หรือไม่?  พวกเขาจะมาด้วยความถี่เช่นนั้นใช่หรือไม่?  พวกเขาไม่ได้มาแบบนั้น  การนี้ล้วนขึ้นอยู่กับพระราชกิจของพระเจ้า ขึ้นอยู่กับขั้นตอนของพระราชกิจนั้นและความประสงค์ของพระองค์ และไม่มีกฎเกณฑ์กำหนดไว้  กฎเกณฑ์เพียงข้อเดียวที่มีก็คือ เมื่อพระเจ้าทรงทำพระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายของพระองค์ในระหว่างยุคสุดท้ายนั้น ประชากรที่ได้รับการเลือกสรรทั้งหมดเหล่านี้จะมา และการมาครั้งนี้จะเป็นการมาเกิดใหม่ครั้งสุดท้ายของพวกเขา  และเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  การนี้ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่จะสัมฤทธิ์ในระหว่างพระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายของพระเจ้า—เพราะในระหว่างช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจนี้ พระเจ้าจะทรงทำให้บรรดาผู้ที่ได้รับการเลือกสรรทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ครบบริบูรณ์  การนี้หมายความว่าอย่างไร?  หากในระหว่างระยะสุดท้ายนี้ ผู้คนเหล่านี้ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์และมีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะไม่มาเกิดใหม่เหมือนเมื่อก่อน กระบวนการแห่งการเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะได้มาถึงการเสร็จสิ้นที่ครบบริบูรณ์แล้ว เช่นเดียวกับกระบวนการแห่งการมาเกิดใหม่ของพวกเขา  การนี้เกี่ยวโยงกับบรรดาผู้ที่จะพำนักอยู่  ดังนั้น พวกที่ไม่สามารถพำนักอยู่ได้จะไปที่ใด?  พวกที่ไม่ได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่ก็มีบั้นปลายที่สมควรของพวกเขาเอง  ก่อนอื่น ด้วยผลจากการทำชั่วของพวกเขา ความผิดพลาดที่พวกเขาได้ทำมา และบาปที่พวกเขาได้กระทำขึ้น พวกเขาก็จะได้รับการลงโทษเช่นกัน  หลังจากที่พวกเขาได้รับการลงโทษแล้ว พระเจ้าจะทรงทำการจัดการเตรียมการเพื่อส่งพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อให้เหมาะสมกับรูปการณ์แวดล้อม หรือไม่ก็จัดการเตรียมการให้พวกเขาได้ไปอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีสองผลลัพธ์ที่เป็นไปได้สำหรับพวกเขา นั่นคือ หนึ่งคือการถูกลงโทษและบางทีอาจจะเป็นการดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนของศาสนาหนึ่งหลังจากมาเกิดใหม่ และอีกผลลัพธ์หนึ่งคือการกลายเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ  หากพวกเขากลายเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะสูญเสียโอกาสทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากพวกเขากลายเป็นผู้คนที่มีความเชื่อ—ยกตัวอย่างเช่น หากพวกเขากลายเป็นคริสตชน—เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะยังคงมีโอกาสที่จะได้กลับไปอยู่ท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร มีสัมพันธภาพที่ซับซ้อนมากกับการนี้  กล่าวสั้นๆ คือ หากหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทำบางสิ่งบางอย่างที่ล่วงเกินพระเจ้า พวกเขาจะได้รับการลงโทษเหมือนคนอื่นทุกคน  จงดูเปาโลเป็นตัวอย่าง ผู้ซึ่งพวกเราได้พูดถึงก่อนหน้านี้  เปาโลเป็นตัวอย่างหนึ่งของบุคคลที่ได้รับการลงโทษ  พวกเจ้าเริ่มเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่ใช่หรือไม่?  วงเขตของบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นขอบเขตที่คงที่หรือไม่?  (ส่วนใหญ่แล้วเป็นเช่นนั้น)  ส่วนใหญ่แล้วมันคงที่ แต่ส่วนเล็กๆ ของมันไม่คงที่  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ณ ที่นี้เราได้อ้างอิงถึงเหตุผลที่ชัดเจนที่สุด นั่นคือ การกระทำความชั่ว  เมื่อผู้คนกระทำความชั่ว พระเจ้าไม่ทรงต้องการพวกเขา และเมื่อพระเจ้าไม่ทรงต้องการพวกเขา พระองค์จะทรงโยนพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางผู้คนนานาเผ่าพันธุ์และนานาจำพวก  นี่ทำให้พวกเขาไม่มีความหวัง และทำให้พวกเขากลับคืนมาได้ยาก  ทั้งหมดนี้เกี่ยวโยงกับวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร

หัวข้อถัดไปนี้เกี่ยวโยงกับวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาคนปรนนิบัติ  พวกเราเพิ่งได้พูดถึงต้นกำเนิดของบรรดาคนปรนนิบัติไป นั่นคือข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามาเกิดใหม่หลังจากที่เคยเป็นผู้ไม่มีความเชื่อและสัตว์ในชีวิตทั้งหลายก่อนหน้านั้นของพวกเขา  ด้วยการมาถึงของพระราชกิจช่วงระยะสุดท้าย พระเจ้าได้ทรงคัดเลือกผู้คนเช่นนั้นกลุ่มหนึ่งมาจากบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ และคนกลุ่มนี้มีความพิเศษ  จุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการเลือกสรรประชากรเหล่านี้ก็คือเพื่อให้พวกเขามารับใช้พระราชกิจของพระองค์  “การปรนนิบัติ” ไม่ใช่คำที่ฟังดูสง่างามมากนักและไม่สอดคล้องกับความปรารถนาของทุกคน แต่พวกเราควรดูว่ามันมุ่งไปที่ใคร  การมีอยู่ของบรรดาคนปรนนิบัติของพระเจ้ามีนัยสำคัญพิเศษอย่างหนึ่ง  ไม่มีใครอื่นที่สามารถแสดงบทบาทของพวกเขาได้ เพราะพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกเขามา  และบทบาทของคนปรนนิบัติเหล่านี้คืออะไร?  นั่นคือการรับใช้บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  โดยส่วนใหญ่แล้ว บทบาทของพวกเขาคือการให้การปรนนิบัติแก่พระราชกิจของพระเจ้า การให้ความร่วมมือกับพระราชกิจ และการอำนวยความสะดวกแก่พระเจ้าในการทำให้บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรมีความครบบริบูรณ์  ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังตรากตรำทำงาน กำลังดำเนินงานในบางแง่มุม หรือกำลังรับหน้าที่ทำภารกิจบางอย่างอยู่หรือไม่ก็ตาม อะไรคือข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวกับบรรดาคนปรนนิบัติเหล่านี้?  พระองค์ทรงเรียกร้องอย่างมากในข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อพวกเขาหรือไม่?  (ไม่ พระองค์ทรงขอเพียงว่าให้พวกเขาจงรักภักดี)  บรรดาคนปรนนิบัติก็ต้องจงรักภักดีด้วยเช่นกัน  ไม่ว่าต้นกำเนิดของเจ้าเป็นอย่างไรหรือเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงเลือกเจ้า เจ้าต้องจงรักภักดีต่อพระเจ้า ต่อพระบัญชาใดๆ ที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้า และต่องานที่เจ้ารับผิดชอบ และหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ  สำหรับคนปรนนิบัติที่สามารถจงรักภักดีและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้นั้น บทอวสานของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?  พวกเขาจะสามารถคงอยู่ได้  การได้เป็นคนปรนนิบัติผู้ซึ่งยังคงอยู่นับเป็นพระพรใช่หรือไม่?  การยังคงอยู่หมายความถึงสิ่งใด?  อะไรคือนัยสำคัญของพระพรนี้?  ในด้านสถานะ พวกเขาดูไม่เหมือนกับบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาดูแตกต่างไป  แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาชื่นชมในชีวิตนี้มิใช่เป็นแบบเดียวกันกับของบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรอกหรือ?  อย่างน้อยที่สุด มันเป็นแบบเดียวกันในชั่วชีวิตนี้  พวกเจ้าไม่ปฏิเสธการนี้ใช่หรือไม่?  ถ้อยดำรัสของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้า การจัดเตรียมของพระเจ้า พระพรของพระเจ้า—ใครเล่าไม่ชื่นชมกับสิ่งเหล่านี้?  ทุกคนชื่นชมกับความอุดมเช่นนั้น  อัตลักษณ์ของคนปรนนิบัติคือผู้ซึ่งทำงานรับใช้ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว พวกเขาเป็นเพียงหนึ่งในท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ เพียงแต่ว่าบทบาทของพวกเขาคือการเป็นคนปรนนิบัติ  ในฐานะที่ทั้งสองเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า มีความแตกต่างอันใดระหว่างคนปรนนิบัติกับผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่?  ในด้านผลกระทบแล้วไม่มี  เมื่อกล่าวถึงในนามแล้ว มีความแตกต่างอย่างหนึ่ง ในแก่นแท้และในแง่ของบทบาทที่พวกเขาแสดงก็มีความแตกต่างอย่างหนึ่ง—แต่พระเจ้ามิได้ทรงปฏิบัติต่อผู้คนกลุ่มนี้อย่างไม่ยุติธรรม  ดังนั้นเหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงได้รับการนิยามว่าเป็นคนปรนนิบัติ?  พวกเจ้าต้องมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับการนี้!  คนปรนนิบัติมาจากท่ามกลางบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ  ทันทีที่เราระบุว่าพวกเขามาจากท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อ  มันปรากฏชัดว่าพวกเขามีภูมิหลังที่ไม่ดีเหมือนๆ กัน กล่าวคือ พวกเขาล้วนเป็นพวกอเทวนิยม และเคยเป็นเช่นนั้นในอดีตด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และเป็นปรปักษ์กับพระองค์ กับความจริง และกับทุกสรรพสิ่งที่เป็นเชิงบวก  พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าหรือในการมีอยู่ของพระองค์  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาสามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้หรือ?  มันสมควรแล้วที่จะกล่าวว่า พวกเขาจำนวนมากไม่สามารถ  เช่นเดียวกับที่สัตว์ทั้งหลายไม่สามารถที่จะเข้าใจคำพูดแบบมนุษย์ได้ บรรดาคนปรนนิบัติก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้ากำลังตรัส สิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ หรือเหตุผลที่ทำให้พระองค์ทรงทำข้อเรียกร้องเช่นนั้นได้ พวกเขาไม่เข้าใจ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจจับใจความได้ และพวกเขายังคงไม่ได้รับความรู้แจ้ง  ด้วยเหตุผลนี้เอง ผู้คนเหล่านี้จึงไม่มีชีวิตอย่างที่พวกเราได้กล่าวถึงไปแล้ว  หากไม่มีชีวิตนั้น ผู้คนจะสามารถเข้าใจความจริงได้หรือ?  พวกเขาจะมีความจริงกระนั้นหรือ?  พวกเขามีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  เช่นนั้นเองคือต้นกำเนิดของบรรดาคนปรนนิบัติ  อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพระเจ้าทรงทำให้ผู้คนเหล่านี้เป็นคนปรนนิบัติ ยังคงมีมาตรฐานทั้งหลายในข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อพวกเขา พระองค์มิทรงดูแคลนพวกเขา และพระองค์มิได้ทรงทำแบบพอเป็นพิธีกับพวกเขา  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่จับใจความพระวจนะของพระองค์และไม่มีการถือครองชีวิต แต่พระเจ้าก็ยังคงทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างกรุณา และยังคงมีมาตรฐานทั้งหลายอยู่เมื่อกล่าวถึงข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อพวกเขา  พวกเจ้าเพิ่งกล่าวถึงมาตรฐานเหล่านี้ นั่นคือ การจงรักภักดีต่อพระเจ้าและการทำสิ่งที่พระองค์ตรัส  ในการปรนนิบัติของเจ้านั้น เจ้าต้องรับใช้ในที่ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรนนิบัติ และเจ้าต้องรับใช้จนถึงที่สุด  หากเจ้าสามารถเป็นคนปรนนิบัติที่จงรักภักดีได้ สามารถรับใช้ไปตลอดจนถึงที่สุด และสามารถปฏิบัติพระบัญญัติที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้าจนสำเร็จลุล่วงได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า  หากเจ้าสามารถทำการนี้ได้ เจ้าก็จะสามารถคงอยู่  หากเจ้าใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นอีกสักนิด หากเจ้าพยายามให้หนักขึ้นอีกสักนิด สามารถเพิ่มความมุมานะของเจ้าในการรู้จักพระเจ้าขึ้นอีกเท่าตัว สามารถพูดถึงการรู้จักพระเจ้าได้เล็กน้อย สามารถเป็นคำพยานให้กับพระองค์ได้ และยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้าสามารถเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระองค์ สามารถร่วมมือในพระราชกิจของพระเจ้าได้ และสามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้บ้าง เช่นนั้นแล้ว เจ้า ในฐานะคนปรนนิบัติ ก็จะได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนโชค  และการเปลี่ยนโชคนี้จะเป็นเช่นไร?  เจ้าก็จะเพียงแค่ไม่สามารถคงอยู่อีกต่อไป  พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้รับการเลือกสรร โดยขึ้นอยู่กับการประพฤติและความทะเยอทะยานและการไล่ตามเสาะหาส่วนตัวของเจ้า  นี่จะเป็นการเปลี่ยนโชคของเจ้า  สำหรับบรรดาคนปรนนิบัติแล้วนั้น อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการนี้?  นั่นก็คือว่าพวกเขาสามารถกลายเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้  หากพวกเขาเป็นดังนั้น นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่มาเกิดใหม่เป็นสัตว์อย่างที่บรรดาผู้ไม่มีความเชื่อเป็นอีกต่อไป  การนั้นดีหรือไม่?  การนั้นดีและยังเป็นข่าวดีอีกด้วย กล่าวคือ นั่นหมายความว่าบรรดาคนปรนนิบัติสามารถได้รับการหล่อหลอม  ไม่ใช่ว่าในกรณีของคนปรนนิบัติ เมื่อพระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าให้พวกเขารับใช้ พวกเขาก็จะรับใช้ตลอดไป ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น  พระเจ้าจะทรงรับมือกับพวกเขาและตอบสนองพวกเขาในหนทางที่เหมาะสมกับการประพฤติส่วนตัวของบุคคลนี้

อย่างไรก็ตาม มีคนปรนนิบัติที่ไม่สามารถรับใช้ไปจนถึงที่สุดได้ มีบรรดาผู้ซึ่งล้มเลิกกลางคันและละทิ้งพระเจ้าในระหว่างการปรนนิบัติของพวกเขา รวมทั้งผู้คนที่กระทำความผิดมากมายหลายอย่าง  มีแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่ก่อให้เกิดอันตรายใหญ่หลวงและนำมาซึ่งความสูญเสียใหญ่หลวงต่อพระราชกิจของพระเจ้า และมีแม้กระทั่งคนปรนนิบัติที่สาปแช่งพระเจ้า และอื่นๆ  ผลพวงที่ไม่อาจแก้ไขได้เหล่านี้บ่งบอกถึงสิ่งใด?  การกระทำชั่วใดๆ เช่นนั้นจะบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดการรับใช้ของพวกเขา  เนื่องจากการประพฤติของเจ้าในระหว่างการรับใช้ของเจ้าแย่จนเกินไปและเพราะเจ้าทำตัวเหลือที่จะรับได้ ทันทีที่พระเจ้าทรงเห็นว่าการรับใช้ของเจ้าไม่ได้มาตรฐาน พระองค์จะทรงเพิกถอนสิทธิ์ในการรับใช้ของเจ้า  พระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้เจ้ารับใช้อีกต่อไป พระองค์จะทรงลบเจ้าออกไปจากสายพระเนตรของพระองค์และจากพระนิเวศของพระเจ้า  เป็นอันว่าเจ้าไม่ต้องการรับใช้ใช่หรือไม่?  เจ้าไม่ใช่ต้องการที่จะทำความชั่วอยู่เนืองนิตย์หรอกหรือ?  เจ้ามิใช่ไม่สัตย์ซื่ออยู่เนืองนิตย์หรอกหรือ?  ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็มีทางออกง่ายๆ นั่นคือ เจ้าจะต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการรับใช้  สำหรับพระเจ้าแล้ว การเพิกถอนสิทธิ์ในการรับใช้ไปจากคนปรนนิบัติคนหนึ่งหมายความว่าบทอวสานของคนปรนนิบัติคนนี้ได้รับการประกาศแล้ว และพวกเขาจะไม่มีสิทธิ์รับใช้พระเจ้าอีกต่อไป  พระเจ้าไม่จำเป็นต้องทรงมีการปรนนิบัติของบุคคลผู้นี้อีกต่อไปแล้ว และไม่ว่าพวกเขาอาจจะพูดสิ่งดีๆ อันใด คำพูดเหล่านั้นจะสูญเปล่า  เมื่อสิ่งต่างๆ ได้มาถึงจุดนี้แล้ว สถานการณ์จะกลายเป็นมิอาจแก้ไขได้แล้ว บรรดาคนปรนนิบัติเยี่ยงนี้จะไม่มีหนทางให้กลับมา  และพระเจ้าทรงจัดการกับคนปรนนิบัติเช่นนี้อย่างไร?  พระองค์เพียงทรงหยุดพวกเขาจากการรับใช้กระนั้นหรือ?  หามิได้  พระองค์เพียงแค่ทรงขัดขวางไม่ให้พวกเขาคงอยู่เท่านั้นหรือ?  หรือว่าพระองค์จะทรงวางพวกเขาเอาไว้ก่อนแล้วคอยให้พวกเขากลับตัว?  พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น  แท้จริงแล้ว พระเจ้าไม่ทรงมีความรักเช่นนั้นเมื่อเป็นเรื่องของคนปรนนิบัติ  หากบุคคลหนึ่งมีท่าทีแบบนี้ในการปรนนิบัติพระเจ้าของเขา พระเจ้าก็จะทรงเพิกถอนพวกเขาจากสิทธิ์ในการรับใช้ของพวกเขา อันเป็นผลจากท่าทีนี้ และจะทรงโยนพวกเขากลับไปอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ไม่มีความเชื่ออีกครั้งหนึ่ง  และชะตากรรมของคนปรนนิบัติที่ถูกโยนกลับไปอยู่ท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อนั้นจะเป็นอย่างไร?  มันจะเป็นแบบเดียวกับชะตากรรมของผู้ไม่มีความเชื่อ กล่าวคือ  พวกเขาจะมาเกิดใหม่เป็นสัตว์และได้รับการลงโทษแบบเดียวกันในโลกวิญญาณในฐานะผู้ไม่มีความเชื่อคนหนึ่ง  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าจะไม่ทรงให้ความสนพระทัยส่วนพระองค์ใดๆ ในการลงโทษบุคคลผู้นี้ เพราะบุคคลเช่นนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพระราชกิจของพระเจ้าอีกต่อไป  นี่ไม่ใช่เป็นเพียงบทอวสานแห่งชีวิตที่มีความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นบทอวสานของชะตากรรมของพวกเขาเองด้วยเช่นกัน รวมถึงเป็นการประกาศชะตากรรมของพวกเขา  ด้วยเหตุนี้เอง หากคนปรนนิบัติรับใช้อย่างไม่ดีพอ พวกเขาจะต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาด้วยตัวพวกเขาเอง  หากคนปรนนิบัติไม่สามารถทำการรับใช้จนถึงที่สุดได้ หรือถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการรับใช้ของพวกเขาไปในระหว่างทาง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะถูกขว้างให้ไปอยู่ท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อ—และหากเกิดการนี้ขึ้น บุคคลเช่นนั้นจะได้รับการจัดการด้วยวิธีเดียวกันกับปศุสัตว์ ด้วยวิธีเดียวกันกับผู้คนที่ไม่มีสติปัญญาหรือไร้ความมีเหตุผล  เมื่อเราอธิบายเช่นนี้ เจ้าสามารถเข้าใจได้ใช่ไหม?

สิ่งที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้คือวิธีที่พระเจ้าทรงจัดการกับวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรและบรรดาคนปรนนิบัติ  หลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้แล้ว พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?  เราเคยกล่าวถึงหัวข้อนี้มาก่อนหรือไม่?  เราเคยกล่าวในหัวเรื่องที่เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและบรรดาคนปรนนิบัติแล้วหรือยัง?  แท้ที่จริงเราเคยกล่าวถึงแล้ว แต่พวกเจ้าไม่จำ  พระเจ้าทรงชอบธรรมต่อประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรและบรรดาคนปรนนิบัติ  พระองค์ทรงชอบธรรมในทุกๆ ด้าน  มีที่ใดที่เจ้าสามารถพบความเท็จในการนี้หรือไม่?  มีบ้างไหมผู้คนที่จะกล่าวว่า “เหตุใดพระเจ้าจึงทรงผ่อนปรนต่อบรรดาผู้ที่ได้รับการเลือกสรรถึงเพียงนั้น?  และเหตุใดพระองค์จึงทรงอดกลั้นต่อบรรดาคนปรนนิบัติเพียงน้อยนิดเท่านั้น?”  มีใครบ้างไหมที่ปรารถนาจะยืนขึ้นเพื่อคนปรนนิบัติ?  “พระเจ้าทรงสามารถให้เวลาแก่คนปรนนิบัติมากขึ้น อดกลั้นและทนยอมรับพวกเขาให้มากขึ้นได้หรือไม่?”  มันถูกต้องหรือไม่ที่จะถามคำถามเช่นนั้น?  (ไม่ มันไม่ถูกต้อง)  และเหตุใดจึงไม่ถูกต้องเล่า?  (เพราะแท้ที่จริงแล้ว เพียงผ่านทางการให้เป็นคนปรนนิบัติก็แสดงให้พวกเราเห็นถึงความโปรดปรานแล้ว)  แท้ที่จริงแล้ว เพียงโดยการได้รับอนุญาตให้รับใช้ บรรดาคนปรนนิบัติก็ได้รับการแสดงให้เห็นถึงความโปรดปราน!  หากไม่มีชื่อว่า “คนปรนนิบัติ” และหากไม่มีงานที่พวกเขาทำ ผู้คนเหล่านี้จะอยู่ที่ใด?  พวกเขาคงจะอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ โดยมีชีวิตและตายไปกับปศุสัตว์  ช่างเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้ชื่นชมในวันนี้ ที่ได้รับอนุญาตให้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและมายังพระนิเวศของพระเจ้า!  นี่ช่างเป็นพระคุณอันใหญ่หลวง!  หากพระเจ้ามิได้ทรงมอบโอกาสในการรับใช้ให้แก่เจ้า เจ้าก็คงจะไม่มีทางมีโอกาสได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์  ไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่า ต่อให้เจ้าเป็นใครบางคนที่เป็นคนพุทธและได้บรรลุการเกิดผล อย่างมากที่สุดเจ้าก็คงเป็นแต่เพียงเด็กวิ่งงานในโลกวิญญาณ เจ้าจะไม่มีวันได้พบพระเจ้า ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์หรือพระวจนะของพระองค์ หรือสัมผัสความรักและพระพรของพระองค์ อีกทั้งเจ้าไม่อาจจะมาประจันหน้ากับพระองค์ได้เลย  สิ่งทั้งหลายที่ชาวพุทธมีอยู่เบื้องหน้าพวกเขานั้นเป็นเพียงภารกิจง่ายๆ เท่านั้น  พวกเขาไม่อาจจะรู้จักพระเจ้าได้ และพวกเขาเพียงทำตามและนบนอบ ในขณะที่บรรดาคนปรนนิบัติได้รับมากมายหลายอย่างยิ่งนักในระหว่างช่วงระยะของพระราชกิจนี้!  ประการแรก พวกเขาสามารถมาประจันหน้ากับพระเจ้าได้ ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ได้ยินพระวจนะของพระองค์ และได้รับประสบการณ์กับพระคุณและพระพรต่างๆ ที่พระองค์ประทานแก่ผู้คน  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสามารถชื่นชมพระวจนะและความจริงทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้  คนปรนนิบัติทั้งหลายได้รับมากมายยิ่งนักอย่างแท้จริง!  ด้วยเหตุนี้ หากในฐานะคนปรนนิบัติแล้วเจ้าไม่สามารถแม้กระทั่งใช้ความมานะพยายามอย่างถูกต้องเหมาะสม เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะยังคงทรงสามารถเก็บเจ้าไว้ได้อีกหรือ?  พระองค์ไม่ทรงสามารถเก็บเจ้าไว้ได้  พระองค์มิได้ทรงขอจากเจ้ามากมาย กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้ทำสิ่งใดที่พระองค์ทรงขออย่างถูกต้องเหมาะสมเลย เจ้าไม่ยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระเจ้าไม่ทรงสามารถเก็บเจ้าไว้ได้  เช่นนั้นคือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงพะเน้าพะนอเจ้า แต่พระองค์ก็ไม่ทรงเลือกปฏิบัติกับเจ้า  เหล่านี้คือหลักการที่พระเจ้าทรงใช้กระทำการ  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนและสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงในลักษณะนี้

เมื่อกล่าวถึงโลกวิญญาณ หากสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่นั่นทำบางสิ่งผิดหรือไม่ทำงานของพวกตนอย่างถูกต้อง พระเจ้าก็ทรงมีประกาศิตจากสวรรค์และประกาศกฤษฎีกาทั้งหลายที่สอดคล้องกันไว้จัดการกับพวกเขาด้วยเช่นกัน นี่เป็นที่แน่นอน  เพราะฉะนั้น ในระหว่างพระราชกิจบริหารจัดการหลายพันปีของพระเจ้านั้น คนทำหน้าที่บางคนซึ่งได้กระทำความผิดได้ถูกกำจัดออกไป ในขณะที่บางคน—จนถึงทุกวันนี้—ก็ยังคงถูกกักกันและถูกลงโทษอยู่  นี่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกวิญญาณต้องเผชิญ  หากพวกเขาทำบางอย่างผิดหรือกระทำความชั่ว เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ถูกลงโทษ—และนี่คือแบบเดียวกันกับแนวทางของพระเจ้าที่ทรงมีต่อบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรและบรรดาคนปรนนิบัติ  ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ หลักการทั้งหลายที่พระเจ้าทรงใช้กระทำการจึงไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าเจ้าจะสามารถมองเห็นการกระทำของพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม หลักการทั้งหลายของการกระทำเหล่านั้นไม่เปลี่ยนแปลง  พระเจ้าได้ทรงมีหลักการแบบเดียวกันในแนวทางของพระองค์ต่อทุกสิ่งทุกอย่างและในการรับมือของพระองค์กับทุกสรรพสิ่งโดยตลอดทั่วทั้งหมด  การนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้  พระเจ้าจะมีพระกรุณาต่อบรรดาผู้ที่อยู่ท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อ ซึ่งใช้ชีวิตในลักษณะที่ค่อนข้างจะถูกต้องเหมาะสม และจะทรงรักษาโอกาสทั้งหลายของบรรดาผู้ที่อยู่ในแต่ละศาสนา ผู้ซึ่งประพฤติตนดีและไม่ทำความชั่ว โดยทรงอนุญาตให้พวกเขาแสดงบทบาทของพวกเขาในสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าทรงบริหารจัดการและทำในสิ่งที่พวกเขาควรที่จะทำ  ในทำนองเดียวกันนั้น ท่ามกลางบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้า และท่ามกลางประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร พระเจ้าก็ไม่ทรงเลือกปฏิบัติกับบุคคลใดตามหลักการเหล่านี้ของพระองค์  พระองค์ทรงเมตตาต่อทุกคนที่สามารถติดตามพระองค์ได้อย่างจริงใจ และพระองค์ทรงรักทุกคนที่ติดตามพระองค์อย่างจริงใจ  เพียงแต่ว่า สำหรับผู้คนหลายจำพวกเหล่านี้—บรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ ผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ และบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—สิ่งที่พระองค์ประทานแก่พวกเขานั้นแตกต่างหลากหลาย  จงดูบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อเป็นตัวอย่าง กล่าวคือ  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เชื่อในพระเจ้า และพระเจ้าทรงมองพวกเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งพวกเขาแต่ละคนมีอาหารให้กิน มีสถานที่เป็นของพวกเขาเอง และมีวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายตามปกติ  พวกผู้ที่ทำชั่วได้รับการลงโทษ และบรรดาผู้ที่ทำดีได้รับพระพรและได้รับความใจดีมีเมตตาจากพระเจ้า  นี่มิใช่อย่างที่มันเป็นหรอกหรือ?  สำหรับผู้คนที่มีความเชื่อนั้น หากพวกเขาสามารถยึดปฏิบัติตามข้อบังคับทางศาสนาทั้งหลายของพวกเขาอย่างเคร่งครัดโดยตลอดการเกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าได้ เช่นนั้นแล้ว หลังจากการมาเกิดใหม่ทั้งหมดเหล่านั้น ในที่สุดพระเจ้าจะทรงทำการประกาศของพระองค์ต่อพวกเขา  ในทำนองเดียวกัน สำหรับพวกเจ้าในวันนี้ ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือคนปรนนิบัติ พระเจ้าจะทรงทำให้พวกเจ้าเข้าที่เข้าทางและจะทรงกำหนดพิจารณาบทอวสานของเจ้าโดยสอดคล้องกับกฎระเบียบและประกาศกฤษฎีกาบริหารที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้เช่นเดียวกัน  ท่ามกลางผู้คนจำพวกเหล่านี้ ผู้คนที่มีความเชื่อต่างชนิดกัน—นั่นคือ บรรดาผู้ซึ่งอยู่ในกลุ่มศาสนาต่างๆ—พระเจ้าได้ประทานพื้นที่ในการใช้ชีวิตแก่พวกเขาแล้วหรือยัง?  คนยิวอยู่ที่ใด?  พระเจ้าได้ทรงแทรกแซงความเชื่อของพวกเขาหรือไม่?  พระองค์ไม่ได้ทรงแทรกแซง  และคริสตชนเล่าเป็นอย่างไร?  พระองค์ก็มิได้ทรงแทรกแซงพวกเขาด้วยเช่นกัน  พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกเขายึดปฏิบัติตามขั้นตอนทั้งหลายของพวกเขาเอง พระองค์ไม่ตรัสกับพวกเขาหรือให้ความรู้แจ้งใดๆ แก่พวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงเผยสิ่งใดๆ แก่พวกเขา  หากเจ้าคิดว่ามันถูกต้อง เช่นนั้นแล้วก็จงเชื่อในหนทางนี้  นิกายคาทอลิกเชื่อในนางมารีย์ และเชื่อว่าข่าวนั้นได้ถูกส่งต่อไปยังพระเยซูโดยผ่านทางนางนั่นเอง รูปแบบการเชื่อของพวกเขาเป็นเช่นนั้น  พระเจ้าเคยทรงแก้ไขความเชื่อของพวกเขาหรือไม่?  พระองค์ประทานอิสรภาพแก่พวกเขา พระองค์ไม่ใส่พระทัยพวกเขาและประทานพื้นที่บางแห่งแก่พวกเขาเพื่อใช้ดำรงชีวิต  ในส่วนของคนมุสลิมและคนพุทธนั้น พระองค์มิทรงเป็นแบบเดียวกันหรอกหรือ?  พระองค์ทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับพวกเขาด้วยเช่นกัน และทรงอนุญาตให้พวกเขามีพื้นที่ในการดำรงชีวิตของพวกเขาเอง โดยไม่ทรงก้าวก่ายในการเชื่อตามลำดับของพวกเขา  ทั้งหมดนั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยดี  และพวกเจ้ามองเห็นอะไรในทั้งหมดนี้หรือ?  เห็นว่าพระเจ้าทรงถือครองสิทธิอำนาจ แต่พระองค์ไม่ทรงใช้มันในทางที่ผิด  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสรรพสิ่งให้เป็นระเบียบเพียบพร้อมและทรงกระทำมันในลักษณะที่เป็นระเบียบ และในที่นี้มีพระปรีชาญาณและฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์สถิตอยู่

วันนี้ พวกเราได้สัมผัสหัวข้อที่ใหม่และพิเศษหัวข้อหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหลายของโลกวิญญาณ และเป็นตัวแทนแง่มุมหนึ่งของการบริหารและอำนาจครอบครองของพระเจ้าเหนืออาณาจักรนั้น  ก่อนที่พวกเจ้าจะได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ พวกเจ้าอาจได้กล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นความล้ำลึก และไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับการเข้าสู่ชีวิตของพวกเรา สิ่งเหล่านี้ถูกแยกออกไปจากวิธีที่ผู้คนดำรงชีวิตอย่างแท้จริง และพวกเราไม่จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งพวกเราไม่ปรารถนาที่จะได้ยินเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  สิ่งเหล่านี้ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ อย่างสิ้นเชิงกับการรู้จักพระเจ้า”  บัดนี้ พวกเจ้าคิดว่ามีปัญหากับการคิดเช่นนั้นหรือไม่?  การคิดเช่นนั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  การคิดเช่นนั้นไม่ถูกต้องและมีปัญหาทั้งหลายที่ร้ายแรง  เหตุผลสำหรับการนี้ก็คือว่า หากเจ้าปรารถนาที่จะจับใจความว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งอย่างไร เจ้าก็ไม่สามารถเพียงแค่เข้าใจเฉพาะสิ่งที่เจ้าสามารถมองเห็นและสิ่งที่วิธีคิดของเจ้าสามารถจับความเข้าใจได้เท่านั้น เจ้ายังต้องเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับอีกโลกหนึ่งด้วย ซึ่งอาจไม่ปรากฏแก่ตาเจ้าแต่เป็นโลกที่เชื่อมต่ออย่างมิอาจแยกจากกันได้กับโลกนี้ที่เจ้าสามารถมองเห็นได้  การนี้เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของพระเจ้า และนั่นเกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง”  นั่นเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการนั้น  หากไม่มีข้อมูลนี้ ก็คงจะมีข้อตำหนิและความขาดตกบกพร่องในความรู้ของผู้คนเกี่ยวกับว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่งอย่างไร  ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งที่พวกเราได้พูดถึงในวันนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นการปิดท้ายหัวข้อก่อนหน้านี้ของพวกเรา รวมถึงเป็นการสรุปปิดตัวเนื้อหาเรื่อง “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง”  เมื่อเข้าใจเรื่องนี้แล้ว บัดนี้พวกเจ้าสามารถรู้จักพระเจ้าโดยผ่านทางเนื้อหานี้ใช่หรือไม่?  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ วันนี้ เราได้ส่งต่อข้อมูลชิ้นสำคัญยิ่งเกี่ยวกับคนปรนนิบัติให้แก่พวกเจ้า  เรารู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเจ้าชื่นชมการรับฟังหัวข้อทั้งหลายอย่างเช่นหัวข้อนี้ และรู้ว่าพวกเจ้าใส่ใจจริงๆ เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  ดังนั้นพวกเจ้ารู้สึกพึงพอใจในสิ่งที่เราได้พูดถึงในวันนี้หรือไม่?  (ใช่ พวกเราพึงพอใจ)  สิ่งอื่นๆ บางอย่างอาจจะไม่สร้างความประทับใจที่แรงกล้ามากให้แก่พวกเจ้า แต่สิ่งที่เราได้พูดไปเกี่ยวกับคนปรนนิบัติได้สร้างความประทับใจที่แรงกล้าเป็นพิเศษ เพราะหัวข้อนี้สัมผัสถึงดวงจิตของพวกเจ้าทุกคน

สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากมวลมนุษย์

1. พระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าพระองค์เอง

พวกเราได้มาถึงบทอวสานของหัวข้อ “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” รวมทั้งหัวข้อที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์”  เมื่อได้ทำเช่นนี้แล้ว พวกเราจำเป็นต้องสรุปผลสิ่งทั้งหลาย  พวกเราต้องทำผลสรุปแบบใด?  มันเป็นบทสรุปปิดตัวเกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์เอง  ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องมีการเชื่อมโยงอย่างหลีกเลี่ยงมิได้กับทุกแง่มุมของพระเจ้า รวมทั้งกับวิธีที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้า  และดังนั้น ก่อนอื่นเราต้องถามพวกเจ้าว่า  เมื่อได้ฟังคำเทศนาเหล่านี้แล้ว ผู้ใดคือพระเจ้าในมโนภาพของพวกเจ้า?  (พระผู้สร้าง)  พระเจ้าในมโนภาพของพวกเจ้าคือพระผู้สร้าง  มีสิ่งอื่นใดอีกหรือไม่?  พระเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งทุกสรรพสิ่ง  คำพูดเหล่านี้เหมาะสมใช่หรือไม่?  (ใช่)  พระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงปกครองเหนือสรรพสิ่งและทรงบริหารจัดการทุกสิ่ง  พระองค์ทรงสร้างทั้งหมดที่มี พระองค์ทรงบริหารทั้งหมดที่มี พระองค์ทรงปกครองทั้งหมดที่มี และพระองค์ทรงจัดเตรียมสำหรับทั้งหมดที่มี  นี่คือสถานะของพระเจ้า และนี่คือพระอัตลักษณ์ของพระองค์  สำหรับทุกสรรพสิ่งและทั้งหมดที่มีนั้น พระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าคือพระผู้สร้างและองค์อธิปัตย์ของทุกสิ่งแห่งการทรงสร้าง  เช่นนั้นคือพระอัตลักษณ์ที่พระเจ้าทรงครอง และพระองค์ทรงมีเอกลักษณ์ท่ามกลางสรรพสิ่ง  ไม่มีสิ่งทรงสร้างใดของพระเจ้า—ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์หรือในโลกวิญญาณ—ที่สามารถใช้วิถีทางหรือข้ออ้างใดๆ เพื่อปลอมแฝงหรือแทนที่พระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าได้ เพราะท่ามกลางสรรพสิ่งมีเพียงองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทรงถือครองพระอัตลักษณ์ ฤทธานุภาพ สิทธิอำนาจ และความสามารถในการปกครองสิ่งทรงสร้างนี้ ซึ่งก็คือ พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ของพวกเรา  พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพและทรงเคลื่อนไหวท่ามกลางสรรพสิ่ง พระองค์สามารถขึ้นสู่ที่สูงสุดเหนือทุกสรรพสิ่งได้  พระองค์สามารถถ่อมพระทัยพระองค์เองโดยการบังเกิดเป็นมนุษย์ บังเกิดเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่มีเลือดและเนื้อหนัง มาพบหน้าผู้คน และร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเขา แต่ในเวลาเดียวกันนั้นพระองค์ก็ทรงบัญชาทั้งหมดที่มี ทรงตัดสินชะตากรรมของทั้งหมดที่มีและทิศทางที่ทั้งหมดจะเคลื่อนไหว  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงนำทางชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง และทรงคุมทิศทางของมวลมนุษย์  พระเจ้าเช่นนี้ควรได้รับการนมัสการ ได้รับการนบนอบ และเป็นที่รู้จักของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  ด้วยเหตุนี้เอง ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในกลุ่มหรือจำพวกใดท่ามกลางมวลมนุษย์ การเชื่อในพระเจ้า ติดตามพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้า ยอมรับการปกครองของพระองค์ และยอมรับการจัดการเตรียมการที่พระองค์ทรงมีให้แก่ชะตากรรมของเจ้าย่อมเป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น—ทางเลือกที่จำเป็น—สำหรับบุคคลใดก็ตามและสิ่งมีชีวิตใดก็ตาม  ในความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้านั้น ผู้คนมองเห็นว่าสิทธิอำนาจของพระองค์ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ แก่นแท้ของพระองค์ และวิถีทางที่พระองค์ทรงใช้จัดเตรียมให้แก่สรรพสิ่งนั้นล้วนมีเอกลักษณ์โดยบริบูรณ์ ความมีเอกลักษณ์นี้กำหนดพระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าพระองค์เอง และยังกำหนดสถานะของพระองค์ด้วย  เพราะฉะนั้น ท่ามกลางสิ่งทรงสร้างทั้งปวง หากสิ่งมีชีวิตใดในโลกวิญญาณหรือท่ามกลางมวลมนุษย์ปรารถนาที่จะยืนแทนที่พระเจ้า ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จ ดังเช่นที่เป็นไปไม่ได้สำหรับความพยายามใดๆ ที่จะปลอมแฝงเป็นพระเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริง สิ่งใดคือข้อพึงประสงค์ทั้งหลายต่อมวลมนุษย์ของพระผู้สร้างและองค์อธิปัตย์ดังเช่นพระองค์นี้ ผู้ซึ่งทรงถือครองพระอัตลักษณ์ ฤทธานุภาพ และสถานะของพระเจ้าพระองค์เอง?  การนี้ควรจะเป็นที่เข้าใจชัดเจนสำหรับทุกคน และทุกคนควรจะจดจำ การนี้สำคัญมากต่อทั้งพระเจ้าและมนุษย์!

2. ท่าทีต่างๆ ที่มวลมนุษย์มีต่อพระเจ้า

วิธีที่ผู้คนประพฤติตนต่อพระเจ้าตัดสินชะตากรรมของพวกเขา รวมทั้งวิธีที่พระเจ้าจะทรงประพฤติองค์ต่อพวกเขาและจัดการกับพวกเขาด้วย  ณ จุดนี้เรากำลังจะให้ตัวอย่างบางอย่างเกี่ยวกับวิธีที่ผู้คนประพฤติตนต่อพระเจ้า  ขอให้พวกเรารับฟังและมองดูว่าลักษณะและท่าทีที่พวกเขาใช้ประพฤติตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นถูกต้องหรือไม่  ขอให้พวกเรากำหนดพิจารณาการประพฤติของผู้คนเจ็ดจำพวกดังต่อไปนี้

1) มีบุคคลจำพวกหนึ่งที่ท่าทีของพวกเขาต่อพระเจ้านั้นไร้สาระเป็นพิเศษ  ผู้คนเหล่านี้คิดว่าพระเจ้าทรงเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตำนานของมนุษย์ และจำเป็นที่มนุษย์ต้องก้มคำนับสามครั้งเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบเจอกันและจุดธูปหลังอาหารแต่ละมื้อ  ผลก็คือ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับพระคุณของพระองค์และรู้สึกสำนึกรู้คุณต่อพระองค์ พวกเขามักจะมีแรงดลใจชนิดนี้  พวกเขาปรารถนายิ่งนักว่าพระเจ้าที่พวกเขาเชื่อในปัจจุบันสามารถยอมรับวิธีที่พวกเขาก้มคำนับสามครั้งเมื่อพบเจอกันและจุดธูปหลังทุกมื้ออาหาร เหมือนอย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาโหยหาในหัวใจของพวกเขา

2) ผู้คนบางคนมองว่าพระเจ้าทรงเป็นดังเช่นพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระชนม์ที่สามารถปลดปล่อยสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจากความทุกข์และช่วยพวกเขาให้รอดได้ พวกเขามองว่าพระองค์ทรงเป็นดังเช่นพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระชนม์ที่สามารถนำพาพวกเขาออกไปจากทะเลแห่งความทุกข์ร้อนได้  การเชื่อในพระเจ้าของผู้คนเหล่านี้พ่วงเอาการนมัสการพระองค์ดังเช่นพระพุทธเจ้ามาด้วย  ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่จุดธูป ไม่หมอบกราบ หรือไม่ถวายเครื่องบูชา แต่ลึกลงไปแล้ว พวกเขารู้สึกว่าพระเจ้าก็ทรงเป็นดังเช่นพระพุทธเจ้า ที่ทรงเพียงแค่ขอให้พวกเขามีความกรุณาและใจบุญ ให้พวกเขาไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิต งดเว้นจากการสบถใส่ผู้อื่น ใช้ชีวิตที่ดูว่าซื่อสัตย์ และไม่กระทำสิ่งผิดใดๆ  พวกเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงขอจากพวกเขา นี่คือพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา

3) ผู้คนบางคนนมัสการพระเจ้าเสมือนว่าพระองค์ทรงเป็นใครบางคนที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียง  ยกตัวอย่างเช่น ไม่ว่าบุคคลที่ยิ่งใหญ่ผู้นี้จะชอบพูดด้วยวิธีการใด ไม่ว่าเขาจะพูดด้วยทำนองเสียงใด ไม่ว่าเขาจะใช้คำพูดและคำศัพท์ใด น้ำเสียงของเขา การแสดงท่าทางด้วยมือของเขา ความคิดเห็นและการกระทำ กิริยาท่าทางของเขา—พวกเขาลอกเลียนแบบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และเหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องทำให้เกิดอย่างเต็มที่ในครรลองของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา

4) ผู้คนบางคนมองว่าพระเจ้าทรงเป็นดังเช่นกษัตริย์ โดยรู้สึกว่าพระองค์นั้นสถิตเหนือสิ่งอื่นใด และรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดกล้าที่จะล่วงเกินพระองค์—และรู้สึกว่าหากใครสักคนทำเช่นนั้น บุคคลนั้นจะถูกลงโทษ  พวกเขานมัสการกษัตริย์เช่นนั้นเพราะเหล่ากษัตริย์เกาะกุมที่แห่งหนึ่งในหัวใจของพวกเขาเอาไว้  ความคิดทั้งหลาย อากัปกิริยา สิทธิอำนาจ และธรรมชาติของเหล่ากษัตริย์—แม้กระทั่งความสนใจและชีวิตส่วนตัวของพวกเขา—ล้วนกลายเป็นบางสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้รู้สึกว่าพวกเขาต้องเข้าใจ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นประเด็นปัญหาและเรื่องราวที่ผู้คนเหล่านี้เข้าไปเกี่ยวข้อง  ผลก็คือ พวกเขานมัสการพระเจ้าดังเช่นกษัตริย์ รูปแบบการเชื่อเช่นนั้นช่างไร้สาระน่าขัน

5) ผู้คนบางคนมีความเชื่อเป็นพิเศษในการมีอยู่จริงของพระเจ้า และความเชื่อนี้ล้ำลึกและไม่สั่นคลอน  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความรู้เรื่องพระเจ้าของพวกเขาตื้นเขินยิ่งนัก และพวกเขาไม่มีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์มากนัก พวกเขาจึงนมัสการพระองค์ดังเช่นรูปเคารพ  รูปเคารพนี้คือพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา เป็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาต้องยำเกรงและกราบไหว้ และซึ่งพวกเขาต้องติดตามและเอาอย่าง  พวกเขามองว่าพระเจ้าทรงเป็นดังเช่นรูปเคารพที่พวกเขาต้องติดตามไปตลอดชีวิตของพวกเขา  พวกเขาลอกเลียนแบบพระกระแสเสียงที่พระเจ้าใช้ตรัส และโดยภายนอกแล้ว พวกเขาเอาอย่างบรรดาผู้ที่พระเจ้าโปรด  บ่อยครั้งที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏชัดว่าไร้เดียงสา บริสุทธิ์ และซื่อสัตย์ และพวกเขาถึงขั้นติดตามรูปเคารพนี้ราวกับว่าเป็นหุ้นส่วนหรือสหายที่พวกเขาไม่มีวันแยกจากได้  เช่นนั้นเองคือรูปแบบการเชื่อของพวกเขา

6) มีผู้คนจำพวกหนึ่ง ผู้ซึ่งถึงแม้ว่าได้เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้ามาแล้วมากมายและเคยได้ยินการประกาศมาแล้วมากมาย แต่รู้สึกลึกๆ ลงไปว่าหลักการเดียวเบื้องหลังพฤติกรรมของพวกเขาต่อพระเจ้าก็คือว่า พวกเขาควรประจบสอพลออยู่เสมอ หรือว่าพวกเขาควรสรรเสริญพระเจ้าและกล่าวชมเชยพระองค์ในหนทางที่ไม่สมจริง  พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าซึ่งทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาประพฤติตัวในหนทางเช่นนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้นแล้วไซร้ พวกเขาอาจยั่วยุพระโทสะของพระองค์หรือพลาดท่าทำบาปต่อพระองค์ได้ทุกเวลา และเชื่อว่าผลของการทำบาปนี้ พระเจ้าจะทรงลงโทษพวกเขา  เช่นนั้นคือพระเจ้าที่พวกเขาเก็บไว้ในหัวใจของพวกเขา

7) และแล้วก็มีผู้คนส่วนใหญ่ ผู้ซึ่งพบเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณในพระเจ้า  นี่เป็นเพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในโลกนี้ พวกเขาไม่มีสันติสุขหรือความสุข และไม่มีที่ใดที่พวกเขาจะพบสิ่งชูใจ  ทันทีที่พวกเขาพบพระเจ้า หลังจากที่พวกเขาได้มองเห็นและได้ยินพระวจนะของพระองค์แล้ว พวกเขาก็เริ่มเก็บงำความชื่นบานและความอิ่มเอมใจลับๆ ในหัวใจของพวกเขา  นี่เป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่าในที่สุดพวกเขาก็ได้พบสถานที่ที่จะทำให้จิตวิญญาณของพวกเขามีความสุข และเชื่อว่าในที่สุดพวกเขาก็ได้พบพระเจ้าผู้ซึ่งจะทรงมอบเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณให้พวกเขา  หลังจากพวกเขาได้ยอมรับพระเจ้าและเริ่มติดตามพระองค์แล้ว พวกเขาก็กลายเป็นมีความสุข และชีวิตของพวกเขาก็สำเร็จลุล่วงแล้ว  พวกเขาไม่กระทำการเหมือนอย่างบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อที่นอนละเมอตลอดชีวิตเหมือนอย่างสัตว์ทั้งหลายอีกต่อไป และพวกเขารู้สึกว่าพวกเขามีบางอย่างให้รอคอยในชีวิต  ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาคิดว่าพระเจ้าพระองค์นี้ทรงสามารถสนองความต้องการฝ่ายวิญญาณของพวกเขาได้อย่างมหาศาลและทรงนำพาความสุขอันยิ่งใหญ่มาให้พวกเขาทั้งในด้านจิตใจและจิตวิญญาณ  โดยไม่ทันรู้ตัวพวกเขาก็กลายเป็นไม่สามารถไปจากพระเจ้าพระองค์นี้ได้ ผู้ซึ่งทรงมอบเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณเช่นนั้นให้แก่พวกเขา และผู้ซึ่งทรงนำพาความสุขมาสู่จิตวิญญาณของพวกเขาและมาสู่สมาชิกทั้งหมดในครอบครัวของพวกเขา  พวกเขาเชื่อว่า การเชื่อในพระเจ้าไม่จำเป็นต้องนำพาสิ่งใดมาให้มากไปกว่าเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณ

ใครสักคนท่ามกลางพวกเจ้ามีท่าทีต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้นต่อพระเจ้าบ้างหรือไม่?  (มี)  หากในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา หัวใจของบุคคลหนึ่งเก็บงำท่าทีใดๆ เหล่านั้นไว้ พวกเขาสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  หากใครสักคนมีท่าทีใดๆ เหล่านี้ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  บุคคลเช่นนั้นเชื่อในพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์หรือไม่?  (ไม่)  ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ เจ้าเชื่อในผู้ใด?  หากสิ่งที่เจ้าเชื่อไม่ใช่พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ เช่นนั้นแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าเจ้าเชื่อในรูปเคารพ หรือบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ หรือพระโพธิสัตว์ หรือว่าเจ้านมัสการพระพุทธเจ้าที่อยู่ในหัวใจของเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น เป็นไปได้ที่เจ้าเชื่อในบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง  กล่าวสั้นๆ คือ เนื่องจากรูปแบบการเชื่อและท่าทีต่างๆ ที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า พวกเขาจึงวางพระเจ้าในความคิดความอ่านของพวกเขาเองไว้ในหัวใจของพวกเขา ยัดเยียดจินตนาการของพวกเขาให้พระเจ้า วางท่าทีและจินตนาการทั้งหลายของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าไว้เคียงข้างกับพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ และหลังจากนั้นก็ยกชูสิ่งเหล่านั้นขึ้นสู่การทำให้ศักดิ์สิทธิ์  นั่นหมายความว่าอย่างไรเมื่อผู้คนมีท่าทีที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมเช่นนั้นต่อพระเจ้า?  มันหมายความว่าพวกเขาได้ปฏิเสธพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เองไปแล้วและกำลังนมัสการพระเจ้าเทียมเท็จอยู่ นั่นบ่งบอกถึงว่า ในขณะที่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็กำลังปฏิเสธและต่อต้านพระองค์ และว่าพวกเขากำลังปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าเที่ยงแท้  หากผู้คนยังยึดถือรูปแบบการเชื่อเช่นนั้นอยู่ต่อไป พวกเขาจะเผชิญหน้ากับผลพวงใดบ้าง?  ด้วยรูปแบบการเชื่อเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถเข้าใกล้ชิดพระเจ้าได้มากขึ้นไปอีกเพื่อปฏิบัติข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าให้สำเร็จลุล่วงได้กระนั้นหรือ?  (ไม่ พวกเขาจะทำไม่ได้)  ในทางตรงกันข้าม เนื่องจากมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของพวกเขา พวกเขาจะไถลห่างไปไกลจากหนทางแห่งพระเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก เพราะทิศทางที่พวกเขาแสวงหานั้นตรงกันข้ามกับทิศทางที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาก้าวเดิน  พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ “การไปทางใต้โดยการขับเกวียนไปทางเหนือ” หรือไม่?  การนี้อาจจะเป็นเพียงกรณีของการไปทางใต้โดยขับเกวียนไปทางเหนือเช่นนั้นก็ได้  หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าในแบบที่น่าขันเช่นนั้นแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วยิ่งเจ้าพยายามหนักมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนั้น เราขอเตือนสอนพวกเจ้าดังนี้ว่า  ก่อนที่พวกเจ้าจะออกเดินทาง เจ้าต้องหยั่งรู้เสียก่อนว่า เจ้ากำลังไปในทิศทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริงหรือไม่  จงมุ่งเน้นในความพยายามของพวกเจ้า และถามตัวพวกเจ้าเองให้แน่ใจว่า “พระเจ้าที่ฉันเชื่อนั้นทรงเป็นองค์อธิปัตย์ของทุกสรรพสิ่งใช่หรือไม่?  พระเจ้าที่ฉันเชื่อทรงเป็นแค่ใครสักคนที่ให้เสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณแก่ฉันเท่านั้นใช่หรือไม่?  พระองค์ทรงเป็นเพียงรูปเคารพของฉันใช่หรือไม่?  พระเจ้าที่ฉันเชื่อพระองค์นี้ทรงขอสิ่งใดจากฉัน?  พระเจ้าทรงรับรองทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำหรือไม่?  การกระทำและการไล่ตามเสาะหาของฉันทั้งหมดสอดคล้องกับการพยายามที่จะรู้จักพระเจ้าหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อฉันหรือไม่?  พระเจ้าทรงระลึกรู้และทรงรับรองเส้นทางที่ฉันเดินหรือไม่?  พระองค์พึงพอพระทัยกับความเชื่อของฉันหรือไม่?”  เจ้าควรถามตัวพวกเจ้าเองด้วยคำถามเหล่านี้บ่อยๆ และซ้ำๆ  หากเจ้าปรารถนาที่จะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องมีจิตสำนึกที่ชัดเจนและวัตถุประสงค์ทั้งหลายที่ชัดเจนก่อนที่เจ้าจะสามารถประสบความสำเร็จในการทำให้พระองค์พึงพอพระทัยได้

เป็นไปได้หรือไม่ว่า ด้วยผลของความยอมผ่อนปรนของพระเจ้า พระองค์อาจทรงยอมรับท่าทีที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมที่เราเพิ่งได้กล่าวไปนั้นอย่างเสียไม่ได้?  พระเจ้าทรงสามารถกล่าวชมเชยท่าทีของผู้คนเหล่านี้ได้กระนั้นหรือ?  (ไม่ได้)  ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกมนุษย์และต่อบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์คือสิ่งใดบ้าง?  ท่าทีแบบใดที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนมี?  เจ้ามีแนวคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับท่าทีเหล่านี้หรือไม่?  ณ จุดนี้ เราได้กล่าวไปมากมายนักแล้ว เราได้พูดไปมากมายในหัวข้อที่เกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์เอง รวมถึงเกี่ยวกับกิจการของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  บัดนี้พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้รับสิ่งใดจากผู้คน?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงประสงค์สิ่งใดจากเจ้า  จงพูดออกมา  หากความรู้ของพวกเจ้าจากประสบการณ์ทั้งหลายและการปฏิบัติยังคงขาดพร่องหรือยังคงเหนือธรรมชาติอย่างมาก เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็สามารถพูดบางอย่างเกี่ยวกับความรู้ของพวกเจ้าในวจนะเหล่านี้ได้  พวกเจ้ามีความรู้แบบสรุปหรือไม่?  พระเจ้าทรงขอสิ่งใดจากมนุษย์?  (ในระหว่างการเข้าสนิทหลายครั้งเหล่านี้ พระเจ้าทรงถือว่าการพึงประสงค์ให้พวกเรารู้จักพระองค์ รู้จักกิจการทั้งหลายของพระองค์ สนิทสนมคุ้นเคยกับสถานะและพระอัตลักษณ์ของพระองค์ และรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่งนั้นสำคัญ)  และเมื่อพระเจ้าทรงขอให้ผู้คนรู้จักพระองค์ บทอวสานท้ายที่สุดเป็นอย่างไร?  (พวกเขาเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง และเข้าใจว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง)  เมื่อผู้คนบรรลุถึงความรู้เช่นนั้น มีการเปลี่ยนแปลงใดในท่าทีของพวกเขาต่อพระเจ้า ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา หรือในอุปนิสัยชีวิตของพวกเขาบ้าง?  พวกเจ้าเคยคิดเกี่ยวกับการนี้หรือไม่?  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า เมื่อรู้จักพระเจ้าและเข้าใจพระองค์แล้ว พวกเขาก็กลายเป็นผู้คนที่ดี?  (การเชื่อในพระเจ้าไม่เกี่ยวกับการพยายามที่จะเป็นคนดี  ในทางตรงกันข้าม การเชื่อในพระเจ้าคือการไล่ตามเสาะหาการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน และการเป็นบุคคลผู้ซื่อสัตย์)  มีสิ่งอื่นใดอีกบ้างหรือไม่?  (หลังจากรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงและอย่างถูกต้องแล้ว พวกเราก็สามารถปฏิบัติต่อพระองค์ดังเช่นพระเจ้า พวกเรารู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าอยู่เสมอ รู้ว่าพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง รู้ว่าพวกเราควรนมัสการพระเจ้า และรู้ว่าพวกเราควรพักอยู่ในสถานที่ที่ถูกต้องเหมาะสมของพวกเรา)  ดีมาก!  พวกเรามาฟังจากคนอื่นๆ บ้าง  (พวกเรารู้จักพระเจ้า และในที่สุดก็สามารถเป็นผู้คนที่นบนอบต่อพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้า และหลบเลี่ยงความชั่วได้อย่างแท้จริง)  นั่นถูกต้อง!

3. ท่าทีที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มวลมนุษย์มีต่อพระองค์

แท้จริงแล้ว พระเจ้ามิได้กำลังทรงเรียกร้องมากมายจากมวลมนุษย์—หรืออย่างน้อย พระองค์มิได้ทรงเรียกร้องมากเท่าที่ผู้คนจินตนาการ  หากพระเจ้าไม่ได้ดำรัสพระวจนะใดๆ และหากพระองค์ไม่ทรงแสดงพระอุปนิสัยหรือกิจการใดๆ ของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว การรู้จักพระเจ้าคงจะเป็นความยากลำบากอย่างที่สุดสำหรับพวกเจ้า เพราะผู้คนคงจะต้องอนุมานตามความพึงปรารถนาเจตนารมณ์ของพระองค์ นี่คงจะทำยากมาก  อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะมากมาย ได้ทรงทำพระราชกิจจำนวนมาก และได้ทรงมีข้อพึงประสงค์มากมายต่อมนุษย์  ในพระวจนะของพระองค์ และพระราชกิจจำนวนมากของพระองค์นั้น พระองค์ได้ทรงแจ้งข้อมูลแก่ผู้คนเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์โปรด สิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด และเกี่ยวกับประเภทของผู้คนที่พวกเขาควรจะเป็น  หลังจากได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้คนควรจะมีการกำหนดนิยามที่แม่นยำในหัวใจของพวกเขาเกี่ยวกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า เพราะพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าในความคลุมเครือและไม่เชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครืออีกต่อไป อีกทั้งพวกเขาไม่มีความเชื่อในพระเจ้าท่ามกลางความคลุมเครือหรือความไม่มีสิ่งใด  ในทางตรงกันข้าม พวกเขาสามารถได้ยินถ้อยดำรัสของพระองค์ เข้าใจมาตรฐานแห่งข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์ และบรรลุถึงข้อพึงประสงค์เหล่านั้น และพระเจ้าทรงใช้ภาษาของมวลมนุษย์เพื่อบอกพวกเขาถึงทั้งหมดที่พวกเขาควรจะรู้และเข้าใจ  วันนี้หากผู้คนยังคงไม่รู้จักว่าพระเจ้าทรงเป็นสิ่งใด และพระองค์ทรงพึงประสงค์สิ่งใดจากพวกเขา  หากพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดคนเราจึงควรเชื่อในพระเจ้า และไม่รู้วิธีที่จะเชื่อในพระองค์หรือปฏิบัติต่อพระองค์—เช่นนั้นแล้วก็จะมีปัญหากับการนี้  เมื่อครู่นี้พวกเจ้าแต่ละคนได้พูดถึงด้านเฉพาะเจาะจงด้านหนึ่ง พวกเจ้าตระหนักรู้บางสิ่ง ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นเรื่องเฉพาะหรือเรื่องทั่วไปก็ตาม  อย่างไรก็ตาม เราปรารถนาที่จะบอกพวกเจ้าถึงข้อพึงประสงค์ที่ถูกต้อง ครบบริบูรณ์ และเฉพาะเจาะจงที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์  ข้อพึงประสงค์เหล่านั้นเป็นเพียงพระวจนะไม่กี่คำ และเรียบง่ายมาก พวกเจ้าอาจรู้พระวจนะเหล่านี้อยู่แล้ว  พระประสงค์ที่ถูกต้องที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์และบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้ามีดังต่อไปนี้  พระองค์ทรงพึงประสงค์ห้าสิ่งจากบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ ได้แก่  การเชื่อที่แท้จริง การติดตามอย่างจงรักภักดี การนบนอบที่สมบูรณ์ ความรู้อันจริงแท้ และความยำเกรงด้วยน้ำใสใจจริง

ในห้าสิ่งนี้ พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์ไม่ตั้งคำถามกับพระองค์หรือติดตามพระองค์โดยใช้จินตนาการหรือมุมมองที่คลุมเครือและเป็นนามธรรมทั้งหลายของพวกเขาอีกต่อไป พวกเขาต้องไม่ติดตามพระเจ้าบนพื้นฐานของการจินตนาการหรือมโนคติอันหลงผิดใดๆ  พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้ทุกคนในบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ทำเช่นนั้นอย่างจงรักภักดี ไม่ใช่อย่างครึ่งใจหรือโดยไม่มีความมุ่งมั่น  เมื่อพระเจ้าทรงทำข้อพึงประสงค์ใดๆ ต่อเจ้า ทรงทดสอบเจ้า ทรงพิพากษาเจ้า ทรงตัดแต่งเจ้า หรือทรงบ่มวินัยและทุบตีเจ้า เจ้าควรนบนอบต่อพระองค์อย่างสมบูรณ์  เจ้าไม่ควรถามถึงสาเหตุหรือตั้งเงื่อนไขทั้งหลาย นับประสาอะไรที่เจ้าจะควรพูดถึงเหตุผลทั้งหลาย  การนบนอบของเจ้าต้องสมบูรณ์  ความรู้เรื่องพระเจ้าคือความรู้ด้านที่ผู้คนขาดพร่องมากที่สุด  พวกเขามักจะกำหนดคติพจน์ ถ้อยคำ และคำพูดที่ไม่เกี่ยวโยงกับพระองค์ให้กับพระเจ้า โดยเชื่อว่าคำพูดเช่นนั้นเป็นการกำหนดนิยามที่เที่ยงตรงมากที่สุดเกี่ยวกับความรู้เรื่องพระเจ้า  พวกเขารู้เพียงน้อยนิดว่าคติพจน์เหล่านี้ ที่มาจากการจินตนาการของมนุษย์ การให้เหตุผลของพวกเขาเอง และความรู้ของพวกเขาเองนั้นไม่มีความเกี่ยวโยงกับแก่นแท้ของพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  ด้วยเหตุนี้ เราต้องการที่จะบอกพวกเจ้าว่า เมื่อพูดถึงความรู้ที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนมีนั้น พระองค์ไม่เพียงทรงขอให้เจ้าระลึกถึงพระองค์และพระวจนะทั้งหลายของพระองค์ แต่ยังทรงขอให้ความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับพระองค์นั้นถูกต้องด้วยเช่นกัน  ถึงแม้ว่าเจ้าสามารถกล่าวเพียงหนึ่งประโยคเท่านั้น หรือตระหนักรู้เพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น แต่ส่วนน้อยนิดของความตระหนักรู้นี้ถูกต้องและแท้จริง และเข้ากันได้กับแก่นแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงรังเกียจการสรรเสริญหรือการชมเชยใดๆ ต่อพระองค์ที่ไม่สมจริงหรือที่ไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบ  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเกลียดชังเมื่อผู้คนปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนอย่างอากาศ  พระองค์ทรงเกลียดชังเมื่อผู้คนพูดโดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงในระหว่างการหารือในหัวข้อที่เกี่ยวกับพระเจ้า โดยพูดคุยกันตามอำเภอใจและโดยไม่มีความลังเล กล่าวสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาเห็นว่าเหมาะ ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเกลียดชังบรรดาผู้ที่เชื่อว่าพวกเขารู้จักพระเจ้าและโอ้อวดเกี่ยวกับความรู้เรื่องพระองค์ของพวกเขา โดยหารือในหัวข้อที่เกี่ยวกับพระองค์โดยไม่มีทั้งความยับยั้งชั่งใจหรือข้อสงสัย  สิ่งสุดท้ายสำหรับข้อพึงประสงค์ห้าประการที่กล่าวไปข้างต้นเหล่านั้นก็คือความยำเกรงด้วยน้ำใสใจจริง กล่าวคือ  นี่คือข้อพึงประสงค์ข้อสุดท้ายของพระเจ้าที่มีต่อคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามพระองค์  เมื่อใครบางคนมีความรู้ที่ถูกต้องและแท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาก็สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้อย่างแท้จริง  ความยำเกรงนี้มาจากส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา ความยำเกรงนี้ถูกมอบให้โดยเต็มใจ และไม่ใช่ผลของความกดดันจากพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงขอให้เจ้ามอบท่าที การประพฤติ หรือพฤติกรรมภายนอกที่ดีงามใดๆ เป็นของขวัญแด่พระเจ้า ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงขอให้เจ้ายำเกรงพระองค์และพรั่นพรึงต่อพระองค์ในส่วนลึกของหัวใจของเจ้า  การบรรลุถึงความยำเกรงเช่นนั้นเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า ของการได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและการเข้าใจกิจการทั้งหลายของพระเจ้า ของการได้มาเข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้า และของการที่เจ้ายอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าคือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์  เพราะฉะนั้น จุดมุ่งหมายของเราในการใช้คำว่า “ด้วยน้ำใสใจจริง” เพื่อนิยามความยำเกรงในที่นี้ก็เพื่อให้มนุษย์ได้เข้าใจว่าความยำเกรงที่พวกเขามีต่อพระเจ้าควรจะมาจากก้นบึ้งหัวใจของพวกเขา

บัดนี้จงพิจารณาพระประสงค์ห้าประการเหล่านั้นว่า คนใดบ้างท่ามกลางพวกเจ้าที่สามารถบรรลุสามประการแรกได้?  โดยการนี้ เรากำลังอ้างถึงการเชื่อที่แท้จริง การติดตามอย่างจงรักภักดี และการนบนอบอย่างสมบูรณ์  คนใดบ้างท่ามกลางพวกเจ้าที่มีความสามารถในเรื่องเหล่านี้?  เรารู้ว่าหากเราได้กล่าวถึงหมดทั้งห้าประการ ก็คงจะไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มีคนใดเลยท่ามกลางพวกเจ้าที่สามารถ แต่เราได้ลดจำนวนมาเป็นสาม  จงคิดดูเถิดว่าพวกเจ้าได้สัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง  “การเชื่อที่แท้จริง” บรรลุถึงง่ายกระนั้นหรือ?  (ไม่ง่าย)  นั่นไม่ง่ายเลย เพราะผู้คนตั้งคำถามกับพระเจ้าอยู่บ่อยๆ  แล้ว “การปฏิบัติตามอย่างจงรักภักดี” เป็นอย่างไรกันเล่า?  “อย่างจงรักภักดี” นี้หมายถึงสิ่งใด?  (ไม่ใช่โดยครึ่งใจ แต่เป็นไปโดยหมดทั้งใจแทน)  ไม่ใช่โดยครึ่งใจ แต่โดยหมดทั้งใจ  พวกเจ้าพูดได้ตรงประเด็นทีเดียว!  ดังนั้น พวกเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ข้อพึงประสงค์นี้ได้หรือไม่?  พวกเจ้าต้องพยายามหนักขึ้นใช่หรือไม่?  ณ ชั่วขณะนี้ พวกเจ้ายังไม่ประสบความสำเร็จในข้อพึงประสงค์นี้  แล้ว “การนบนอบอย่างสมบูรณ์” เล่า—พวกเจ้าได้สัมฤทธิ์ผลหรือยัง?  (ยัง)  พวกเจ้ายังไม่ได้สัมฤทธิ์การนั้นด้วยเช่นกัน  พวกเจ้ามักจะขาดพร่องการนบนอบและเป็นกบฏ พวกเจ้าไม่รับฟัง ไม่ปรารถนาที่จะนบนอบ หรือไม่ต้องการที่จะได้ยินอยู่บ่อยครั้ง  เหล่านี้คือข้อพึงประสงค์ที่เป็นรากฐานสำคัญมากที่สุดสามประการที่ผู้คนจะพบหลังจากบรรลุการเข้าสู่ชีวิต แต่พวกเจ้ายังไม่บรรลุข้อพึงประสงค์เหล่านี้  ด้วยเหตุนี้ ณ ชั่วขณะนี้ พวกเจ้ามีศักยภาพที่ดีเยี่ยมหรือไม่?  วันนี้ เมื่อได้ยินเราพูดคำพูดเหล่านี้แล้ว พวกเจ้ารู้สึกกระวนกระวายหรือไม่?  (รู้สึก)  มันถูกต้องแล้วที่พวกเจ้าควรจะรู้สึกกระวนกระวาย  จงอย่าพยายามหลีกเลี่ยงการกระวนกระวาย  เรารู้สึกกระวนกระวายแทนพวกเจ้า  เราจะไม่พูดต่อไปถึงข้อพึงประสงค์อีกสองข้อนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มีใครสักคนในที่นี้ที่สามารถสัมฤทธิ์ข้อพึงประสงค์เหล่านั้นได้  พวกเจ้ากระวนกระวาย  ดังนั้น พวกเจ้าได้กำหนดวัตถุประสงค์ของพวกเจ้าแล้วหรือยัง?  พวกเจ้าไล่ตามเสาะหาและอุทิศความพยายามของพวกเจ้าไปกับวัตถุประสงค์ใด และในทิศทางใด?  พวกเจ้ามีวัตถุประสงค์หรือไม่?  เราขอพูดตรงๆ ว่า  ทันทีที่พวกเจ้าสัมฤทธิ์ข้อพึงประสงค์ทั้งห้าข้อนี้ พวกเจ้าจะได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยแล้ว  ข้อพึงประสงค์แต่ละข้อเป็นตัวบ่งชี้ ตลอดจนเป็นวัตถุประสงค์สุดท้ายแห่งการเป็นผู้ใหญ่ของการเข้าสู่ชีวิตของบุคคลหนึ่ง  ถึงแม้ว่าเราหยิบยกเพียงแค่ข้อเดียวจากข้อพึงประสงค์เหล่านี้มาพูดถึงในรายละเอียด และพึงประสงค์ให้พวกเจ้าทำตามนั้น นั่นก็คงจะสัมฤทธิ์ผลได้ไม่ง่าย พวกเจ้าต้องสู้ทนความยากลำบากในระดับหนึ่ง และใช้ความพยายามในระดับหนึ่ง  พวกเจ้าควรมีวิธีการคิดแบบใด?  นั่นควรจะเป็นแบบเดียวกันกับผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรอไปขึ้นเตียงผ่าตัด  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  หากเจ้าปรารถนาที่จะเชื่อในพระเจ้า และหากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับพระเจ้าและได้รับความพึงพอพระทัยของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ได้เว้นแต่เจ้าจะสู้ทนความเจ็บปวดในระดับหนึ่งและใช้ความพยายามในระดับหนึ่ง  พวกเจ้าได้ฟังการเทศนามามากแล้ว แต่เพียงแค่การได้ฟังนั้นไม่ได้หมายความว่าคำเทศนานี้เป็นของเจ้า เจ้าต้องซึมซับคำเทศนานี้และแปลงรูปคำเทศนาให้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เป็นของเจ้า  เจ้าต้องดูดซึมคำเทศนาเข้าไปในชีวิตของเจ้าและนำคำเทศนามาสู่การดำรงอยู่ของเจ้า โดยยอมให้วจนะและการเทศนาเหล่านี้ชี้นำหนทางที่เจ้าดำรงชีวิตและนำคุณค่าและความหมายแห่งการดำรงอยู่มาสู่ชีวิตของเจ้า  เมื่อการนั้นเกิดขึ้น นั่นจึงจะคุ้มค่าแก่การที่เจ้าได้ฟังวจนะเหล่านี้  หากวจนะที่เราพูดไม่นำการเปลี่ยนแปลงที่ดีใดๆ มาสู่ชีวิตของเจ้าหรือเพิ่มคุณค่าใดๆ ให้แก่การดำรงอยู่ของเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใดในการที่เจ้ารับฟังวจนะเหล่านี้  พวกเจ้าเข้าใจการนี้ใช่หรือไม่?  เมื่อเข้าใจแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า  พวกเจ้าต้องเริ่มทำงาน!  พวกเจ้าต้องจริงจังจริงใจในทุกสรรพสิ่ง!  จงอย่าระหองระแหงกัน เวลากำลังผ่านพ้นไป!  ส่วนใหญ่ในหมู่พวกเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามานานกว่าทศวรรษแล้ว  จงมองย้อนกลับไปในสิบปีที่ผ่านมานี้ว่า  พวกเจ้าได้รับมามากเพียงใดแล้ว?  และพวกเจ้ายังเหลือเวลาที่จะดำรงชีวิตอยู่ในชีวิตนี้อีกกี่ทศวรรษ?  เจ้ามีเวลาไม่มากแล้ว  จงลืมไปได้เลยว่าพระราชกิจของพระเจ้ารอเจ้าอยู่หรือไม่ พระองค์ได้ทรงทิ้งโอกาสไว้ให้เจ้าหรือไม่ หรือพระองค์จะทรงพระราชกิจเดิมอีกครั้งหรือไม่—จงอย่าพูดถึงสิ่งเหล่านี้  เจ้าสามารถย้อนช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านไปในชีวิตของเจ้ากลับมาได้หรือไม่?  กับทุกวันที่ผ่านพ้นไป และกับทุกย่างก้าวที่เจ้าเดินนั้น เจ้ามีเวลาน้อยลงหนึ่งวัน  เวลาไม่รอผู้ใด!  เจ้าต้องปฏิบัติต่อการเชื่อในพระเจ้าในฐานะเรื่องที่มีนัยสำคัญที่สุดในชีวิตของเจ้า สำคัญยิ่งกว่าอาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือสิ่งอื่นใดด้วยซ้ำ—ในหนทางนี้ เจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผล  หากเจ้าเพียงแต่เชื่อเมื่อเจ้ามีเวลา และไม่สามารถอุทิศความสนใจทั้งหมดของเจ้าให้แก่ความเชื่อของเจ้า และหากเจ้าเลอะเลือนอยู่ในความเชื่อของเจ้าอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับสิ่งใดเลย  พวกเจ้าเข้าใจการนี้ใช่หรือไม่?  สำหรับวันนี้พวกเราจะหยุดไว้ ณ ที่นี้  พบกันใหม่ครั้งต่อไป!

15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014

ก่อนหน้า: พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger