1. พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์คืออะไร?

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์แบ่งออกเป็นสามช่วงระยะ ซึ่งหมายความว่าพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะ  ทั้งสามช่วงระยะนี้ไม่รวมถึงพระราชกิจแห่งการสร้างโลก แต่น่าจะเป็นพระราชกิจสามช่วงระยะของยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักรมากกว่า  พระราชกิจแห่งการสร้างโลกได้เป็นพระราชกิจแห่งการสร้างมวลมนุษย์ทั้งปวง  นั่นไม่ได้เป็นพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ กับพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เพราะเมื่อครั้งที่โลกได้ถูกสร้างขึ้นนั้น มวลมนุษย์ยังไม่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และดังนั้นจึงไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องทรงดำเนินการพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์  พระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้เริ่มต้นขึ้นก็เมื่อมวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้วเท่านั้น และดังนั้นพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์ก็ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อมวลมนุษย์ได้ถูกทำให้เสื่อมทรามแล้วเท่านั้นเช่นกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่ง การบริหารจัดการมนุษย์ของพระเจ้าได้เริ่มต้นขึ้นโดยเป็นผลของพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และไม่ได้ก่อเกิดจากพระราชกิจแห่งการสร้างโลก  เป็นหลังจากที่มวลมนุษย์ได้รับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแล้วเท่านั้น พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการจึงได้เริ่มปรากฏขึ้น และดังนั้นพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์จึงมีสามส่วนด้วยกัน แทนที่จะเป็นสี่ช่วงระยะ หรือสี่ยุค  วิธีนี้เท่านั้นที่เป็นวิธีที่ถูกต้องในการอ้างอิงถึงการบริหารจัดการมวลมนุษย์ของพระเจ้า  เมื่อยุคสุดท้ายมาถึงปลายทาง พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์ก็จะได้มาถึงบทอวสานที่ครบบริบูรณ์แล้ว  บทสรุปปิดตัวของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการหมายความว่าพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอดจะได้รับการทำให้เสร็จสิ้นอย่างครบบริบูรณ์แล้ว และหมายความว่าระยะนี้จะได้สรุปปิดตัวแล้วนับตั้งแต่นั้นมา  หากปราศจากพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอดแล้ว พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์ก็คงจะไม่ดำรงอยู่ และก็คงจะไม่มีพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนั้น  เป็นเพราะความต่ำทรามของมวลมนุษย์นั่นเอง และเพราะมวลมนุษย์ได้ต้องการความรอดอย่างเร่งด่วนเช่นนี้นั่นเอง พระยาห์เวห์จึงได้ทรงสรุปปิดตัวการสร้างโลก และได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์จึงได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งหมายความว่าเมื่อนั้นเท่านั้นที่พระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้เริ่มต้นขึ้น  “การบริหารจัดการมวลมนุษย์” ไม่ได้หมายถึงการนำชีวิตของมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่บนแผ่นดินโลก (กล่าวคือ มวลมนุษย์ที่ยังไม่ได้ถูกทำให้เสื่อมทราม)  ตรงกันข้าม เป็นความรอดของมวลมนุษย์ที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว กล่าวคือ เป็นการแปลงสภาพมวลมนุษย์อันเสื่อมทรามนี้นั่นเอง  นี่คือความหมายของ “การบริหารจัดการมวลมนุษย์”  พระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดไม่รวมถึงพระราชกิจแห่งการสร้างโลก และดังนั้นพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์ก็ไม่รวมถึงพระราชกิจแห่งการสร้างโลกเช่นกัน แต่กลับรวมถึงพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะที่แยกจากการสร้างโลกเท่านั้น  เพื่อให้เข้าใจพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์ จำเป็นที่จะต้องตระหนักรู้ถึงประวัติของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ—นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักรู้เพื่อที่จะได้รับการช่วยให้รอด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการได้เกิดขึ้นเพราะมวลมนุษย์เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าพระราชกิจได้เกิดขึ้นเพียงเพราะการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์  ไม่มีการบริหารจัดการก่อนที่จะมีมวลมนุษย์ หรือในปฐมกาลเมื่อฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งได้รับการทรงสร้าง  หากในพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าไม่มีการปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ กล่าวคือ หากพระเจ้าไม่ทรงมีข้อพึงประสงค์ที่เหมาะเจาะสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม (หากในพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำ ไม่มีเส้นทางที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติของมนุษย์) เช่นนั้นแล้วพระราชกิจนี้ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการบริหารจัดการของพระเจ้า  หากความครบถ้วนบริบูรณ์แห่งพระราชกิจของพระเจ้าได้เกี่ยวข้องเพียงแค่การบอกมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามว่าจะเริ่มการปฏิบัติของพวกเขาอย่างไร และพระเจ้าไม่ได้ทรงดำเนินแผนการใดๆ ของพระองค์เอง และไม่ได้ทรงแสดงเสี้ยวหนึ่งแห่งฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดหรือพระปรีชาญาณของพระองค์ออกมา เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์จะสูงเพียงใด ไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษย์เป็นเวลานานเท่าใด มนุษย์ย่อมจะไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าเลย  หากเป็นเช่นนั้นแล้ว พระราชกิจประเภทนี้ก็จะควรค่าแม้กระทั่งต่อการเรียกว่าการบริหารจัดการของพระเจ้าน้อยลงไปอีก  กล่าวอย่างง่ายๆ คือ พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าคือพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำ และพระราชกิจทั้งหมดได้รับการดำเนินการจนเสร็จสิ้นภายใต้การทรงนำของพระเจ้าโดยบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงรับไว้  พระราชกิจดังกล่าวสามารถสรุปความได้ว่าเป็นการบริหารจัดการ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจของพระเจ้าท่ามกลางมนุษย์และท่ามกลางความร่วมมือกับพระองค์ของบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ รวมเรียกว่าการบริหารจัดการ  ในที่นี้ พระราชกิจของพระเจ้าเรียกว่านิมิต และความร่วมมือของมนุษย์เรียกว่าการปฏิบัติ  ยิ่งพระราชกิจของพระเจ้าสูงขึ้นเท่าใด (นั่นคือ ยิ่งนิมิตสูงขึ้นเท่าใด) พระอุปนิสัยของพระเจ้าก็ยิ่งได้รับการทำให้ชัดแจ้งแก่มนุษย์มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งพระราชกิจของพระเจ้าขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์มากขึ้นเท่าใด การปฏิบัติและความร่วมมือของมนุษย์ก็ยิ่งกลายเป็นสูงขึ้นเท่านั้น  ยิ่งข้อพึงประสงค์ต่อมนุษย์สูงขึ้นเท่าใด พระราชกิจของพระเจ้าก็ยิ่งขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจากผลนั้นเอง บททดสอบทั้งหลายของมนุษย์และมาตรฐานต่างๆ ที่เขาพึงต้องไปให้ถึงก็กลายเป็นสูงขึ้นเช่นเดียวกัน  เมื่อพระราชกิจนี้สรุปปิดตัว นิมิตทั้งหมดย่อมจะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว และสิ่งที่มนุษย์พึงต้องนำมาปฏิบัติย่อมจะได้ไปถึงจุดสูงสุดของความเพียบพร้อมแล้ว  นี่จะเป็นเวลาที่แต่ละคนได้รับการจำแนกตามประเภทด้วย เพราะสิ่งที่มนุษย์พึงต้องรู้ย่อมจะได้รับการแสดงให้มนุษย์เห็น  ดังนั้น เมื่อนิมิตไปถึงจุดสูงสุดของมัน พระราชกิจก็จะเข้าใกล้บทอวสานของมันอย่างสอดคล้องกัน และการปฏิบัติของมนุษย์ก็จะได้ไปถึงจุดสูงสุดของมันเช่นเดียวกัน  การปฏิบัติของมนุษย์อยู่บนพื้นฐานของพระราชกิจของพระเจ้า และการบริหารจัดการของพระเจ้าย่อมได้รับการแสดงออกอย่างครบถ้วนก็เพราะการปฏิบัติและความร่วมมือของมนุษย์เท่านั้น  มนุษย์คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของพระราชกิจของพระเจ้าและเป็นวัตถุประสงค์ของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า และยังเป็นผลิตผลของการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าด้วย  หากพระเจ้าทรงพระราชกิจเพียงลำพังโดยปราศจากความร่วมมือของมนุษย์ เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีสิ่งใดสามารถทำหน้าที่เป็นการตกผลึกของพระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ และเช่นนั้นแล้วการบริหารจัดการของพระเจ้าย่อมจะไม่มีนัยสำคัญใดๆ แม้แต่น้อย  นอกเหนือจากพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะทรงสามารถสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการบริหารจัดการของพระองค์ และสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายในการใช้พระราชกิจนี้ทั้งหมดเพื่อทำให้ซาตานพ่ายแพ้ไปอย่างสมบูรณ์ ก็โดยการที่พระเจ้าทรงเลือกวัตถุประสงค์ที่เหมาะเจาะเพื่อแสดงพระราชกิจของพระองค์ออกมาและเพื่อพิสูจน์ถึงฤทธานุภาพสูงสุดและปัญญาของพระราชกิจเท่านั้น  ดังนั้น มนุษย์จึงเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า และมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถทำให้การบริหารจัดการของพระเจ้าเกิดผลและสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายสูงสุดของมัน  นอกเหนือจากมนุษย์ ไม่มีรูปแบบชีวิตอื่นใดที่สามารถรับบทบาทเช่นนั้นได้  หากมนุษย์จะกลายเป็นการตกผลึกที่แท้จริงของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว การไม่เชื่อฟังของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามย่อมต้องถูกขจัดไปให้หมดสิ้น  การนี้พึงต้องให้มนุษย์ได้รับวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับยุคที่แตกต่างกัน และพึงต้องให้พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจที่เกี่ยวข้องจนเสร็จสิ้นในท่ามกลางมนุษย์  ในท้ายที่สุดแล้ว เฉพาะในหนทางนี้เท่านั้นจึงจะมีการรับไว้ซึ่งผู้คนกลุ่มหนึ่งที่เป็นการตกผลึกของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า  พระราชกิจของพระเจ้าในท่ามกลางมนุษย์ไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าพระองค์เองโดยผ่านทางพระราชกิจของพระเจ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  ในการที่จะทำให้สัมฤทธิ์คำพยานได้นั้น คำพยานดังกล่าวต้องมีมนุษย์ที่มีชีวิตที่เหมาะสมสำหรับพระราชกิจของพระองค์ด้วย  อันดับแรก พระเจ้าจะทรงพระราชกิจกับผู้คนเหล่านี้ก่อน จากนั้นพระราชกิจของพระองค์จะได้รับการแสดงออกผ่านผู้คนเหล่านี้ และดังนั้น คำพยานแห่งน้ำพระทัยของพระองค์จึงจะได้รับการกล่าวท่ามกลางสิ่งทรงสร้างทั้งหลาย และในการนี้ พระเจ้าจะได้ทรงสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายแห่งพระราชกิจของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจเพียงลำพังในการทำให้ซาตานพ่ายแพ้ เพราะพระองค์ไม่ทรงสามารถตรัสคำพยานโดยตรงให้พระองค์เองท่ามกลางทุกสรรพสิ่งทรงสร้าง  หากพระองค์ทรงทำเช่นนั้น ก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่จะโน้มน้าวมนุษย์ให้เชื่ออย่างถึงที่สุด ดังนั้น พระเจ้าจึงต้องทรงพระราชกิจกับมนุษย์เพื่อพิชิตเขา และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พระองค์จะทรงมีความสามารถที่จะได้รับคำพยานท่ามกลางทุกสรรพสิ่งทรงสร้าง  หากมีเพียงพระเจ้าที่ทรงพระราชกิจโดยปราศจากความร่วมมือของมนุษย์ หรือหากมนุษย์ไม่พึงต้องให้ความร่วมมือแล้ว มนุษย์ก็จะไม่มีวันมีความสามารถที่จะรู้พระอุปนิสัยของพระเจ้า และจะไม่ตระหนักรู้ถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าตลอดไป  เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระเจ้าก็ย่อมไม่สามารถเรียกว่าพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า  หากมนุษย์จะเพียงเพียรพยายาม และแสวงหาและทำงานอย่างหนักด้วยตัวเองเท่านั้น โดยไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็ย่อมจะกำลังเล่นตลกคะนองอยู่  หากปราศจากพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว สิ่งที่มนุษย์ทำย่อมเป็นการกระทำของซาตาน เขาย่อมเป็นกบฏและเป็นคนทำชั่ว  ซาตานได้รับการแสดงออกในทุกสิ่งที่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามกระทำ และไม่มีสิ่งใดที่เข้ากันได้กับพระเจ้า และทั้งหมดที่มนุษย์ทำย่อมเป็นการสำแดงซาตาน  ในทั้งหมดที่ได้รับการพูดถึงนั้น ไม่มีสิ่งใดที่ไม่นับรวมนิมิตกับการปฏิบัติเข้าไว้ด้วย  มนุษย์พบวิธีปฏิบัติและเส้นทางแห่งการเชื่อฟังบนรากฐานของนิมิต เพื่อที่เขาอาจละวางมโนคติที่หลงผิดของเขาลงและได้รับสิ่งเหล่านั้นที่เขายังไม่ได้มีในอดีต  พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์ร่วมมือกับพระองค์ ให้มนุษย์นบนอบต่อข้อพึงประสงค์ของพระองค์อย่างสมบูรณ์ และมนุษย์ก็ขอมองเห็นพระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงกระทำ ขอได้รับประสบการณ์กับฤทธานุภาพอันเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า และขอรู้พระอุปนิสัยของพระเจ้า  สรุปความแล้ว สิ่งเหล่านี้คือการบริหารจัดการของพระเจ้า  ความปรองดองกับมนุษย์ของพระเจ้าคือการบริหารจัดการ และนี่คือการบริหารจัดการที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์

ที่กล่าวมานั้นคือการบริหารจัดการของพระเจ้าในอันที่จะส่งมอบมวลมนุษย์ให้กับซาตาน—มวลมนุษย์ที่ไม่รู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น สิ่งที่ผู้ทรงสร้างทรงเป็น วิธีที่จะนมัสการพระเจ้า หรือเหตุผลที่จำเป็นจะต้องนบนอบต่อพระเจ้า—และเปิดโอกาสให้ซาตานทำให้เขาเสื่อมทราม  พระเจ้าจึงทรงกู้คืนมนุษย์จากเงื้อมมือของซาตานทีละขั้นทีละตอน  จนกว่ามนุษย์จะนมัสการพระเจ้าอย่างสุดใจและปฏิเสธซาตาน  นี่คือการบริหารจัดการของพระเจ้า  นี่อาจฟังเหมือนเป็นนิทานปรัมปรา และอาจดูน่างุนงงสงสัย  ผู้คนรู้สึกเหมือนว่า นี่คือเรื่องราวปรัมปรา เพราะพวกเขาไม่ได้ระแคะระคายเลยว่าได้มีอะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์มากมายเพียงใดตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา นับประสาอะไรที่พวกเขาจะรู้ว่า มีเรื่องราวมากมายเพียงใดที่ได้อุบัติขึ้นในจักรวาลและภาคพื้น  และยิ่งไปกว่านั้น นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถซึ้งคุณค่าโลกอันชวนหวาดกลัวกว่าและน่าตกตะลึงกว่าซึ่งดำรงอยู่เหนือโลกวัตถุ แต่สายตามนุษย์ของพวกเขาทำให้พวกเขามองไม่เห็นเท่านั้นเอง  มนุษย์รู้สึกเหมือนไม่สามารถเข้าใจมันได้ ก็เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจนัยสำคัญแห่งความรอดของมนุษยชาติของพระเจ้า หรือนัยสำคัญของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ และไม่เข้าใจว่าท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าทรงปรารถนาให้มนุษย์เป็นอย่างไร  ใช่การไม่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถึงที่สุดเช่นเดียวกับเอวาและอาดัมหรือไม่?  ไม่ใช่!  จุดประสงค์ของการบริหารจัดการของพระเจ้าก็เพื่อที่จะได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งนมัสการพระเจ้าและนบนอบต่อพระองค์  แม้ผู้คนเหล่านี้ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มองซาตานเป็นบิดาอีกต่อไปแล้ว พวกเขาระลึกรู้ได้ถึงใบหน้าอันน่าขยะแขยงของซาตานและปฏิเสธใบหน้านั้น และพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์  พวกเขามารู้ว่าสิ่งใดที่อัปลักษณ์และสิ่งนั้นตรงกันข้ามกับสิ่งซึ่งบริสุทธิ์อย่างไร และมาระลึกรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความชั่วของซาตาน  มนุษยชาติเช่นนี้จะไม่ทำงานให้ซาตาน หรือนมัสการซาตาน หรือจัดแท่นบูชาซาตานอีกต่อไป  นี่เป็นเพราะพวกเขาคือกลุ่มของผู้คนที่ได้รับการรับไว้จากพระเจ้าอย่างแท้จริง  นี่คือนัยสำคัญของพระราชกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการมนุษย์ของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น

ก่อนหน้า: 2. เหตุใดพระเจ้าจึงได้รับการเรียกขานด้วยพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน?

ถัดไป: 2. จุดมุ่งหมายของสามช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger