2. จุดมุ่งหมายของสามช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

แผนการจัดการทั้งหมดของเรา ซึ่งเป็นแผนการจัดการระยะเวลา 6,000 ปีนั้นประกอบด้วยสามระยะ หรือสามยุค ได้แก่ ยุคธรรมบัญญัติปฐมกาล ยุคพระคุณ (ซึ่งเป็นยุคแห่งการทรงไถ่ด้วยเช่นกัน) และยุคแห่งราชอาณาจักรแห่งยุคสุดท้าย  งานของเราในสามยุคดังกล่าวแตกต่างกันในด้านเนื้อหาตามลักษณะของแต่ละยุค ทว่าในแต่ละระยะ งานส่วนนี้จะมีความเหมาะสมกับความจำเป็นของมนุษย์ หรือกล่าวให้ชัดเจนกว่านั้นได้ว่า ถูกกระทำไปโดยสอดรับกับเล่ห์เพทุบายที่ซาตานนำมาใช้ในสงครามที่เราต้องเข้าต่อกรด้วย  วัตถุประสงค์แห่งงานของเราคือเพื่อทำให้ซาตานพ่ายแพ้  เพื่อสำแดงปัญญาและฤทธานุภาพอันไม่สิ้นสุดของเราให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อเปิดโปงเล่ห์เพทุบายทั้งสิ้นของซาตาน และด้วยเหตุนั้นจะเป็นการช่วยเผ่าพันธุ์มนุษยชาติทั้งมวลซึ่งอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานให้รอด  ทั้งหมดก็เพื่อแสดงถึงปัญญาและฤทธานุภาพอันไม่มีที่สิ้นสุดของเรา และเพื่อเผยให้เห็นความน่าขยะแขยงเกินจะทานทนของซาตาน และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ เพื่อช่วยให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายสามารถแยกแยะระหว่างความดีกับความชั่วได้ เพื่อจะรับรู้ได้ว่าเราคือผู้ปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง  เพื่อให้ได้เห็นกันอย่างชัดแจ้งว่าซาตานคือศัตรูแห่งมนุษยชาติ เป็นผู้ที่เสื่อม เป็นมารชั่วร้าย และเพื่อให้พวกเขาสามารถบอกกล่าวด้วยความเชื่อมั่นเต็มหัวใจถึงข้อแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว ความจริงและความลวง ความบริสุทธิ์และความโสมม รวมถึงสิ่งใดยิ่งใหญ่เลอค่าและสิ่งใดไร้เกียรติควรเหยียดหยาม  ด้วยเหตุนี้มนุษย์ผู้ไม่รู้เท่าทันจึงจะสามารถเป็นประจักษ์พยานฝ่ายเราได้ว่า ไม่ใช่เราที่เป็นผู้บ่อนทำลายมนุษยชาติให้เสื่อมทราม และมีแต่เรา—พระผู้สร้าง—เท่านั้น ที่สามารถช่วยมนุษยชาติให้อยู่รอด ที่สามารถมอบสิ่งต่างๆ ซึ่งให้ความสุขแก่พวกเขาได้ จนกระทั่งพวกเขาได้ตระหนักรู้ว่าเราคือผู้ปกครองทุกสรรพสิ่ง และซาตานเป็นเพียงหนึ่งในสิ่งดำรงอยู่ที่เราได้สร้างขึ้นมาและซึ่งต่อมากลับผันแปรพักตร์ไปจากเรา  แผนการจัดการระยะเวลา 6,000 ปีของเราแบ่งออกเป็นสามระยะ และด้วยเหตุนั้นเราได้ดำเนินงานเพื่อให้บรรลุผลในการทำให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสามารถเป็นพยานต่อเราได้ เข้าใจเจตนาของเราได้ และรู้ได้ว่าเราคือความจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่

เจ้าต้องรู้ว่าไม่ว่าพระองค์ทรงพระราชกิจอะไรก็ตาม จุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง หัวใจของพระราชกิจของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง และน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่สำคัญว่าพระวจนะของพระองค์จะรุนแรงเพียงใด ไม่สำคัญว่าสภาพแวดล้อมจะไม่เป็นใจเพียงใด หลักการของพระราชกิจของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง และเจตนารมณ์ของพระองค์ในการช่วยมนุษย์ให้รอดจะไม่เปลี่ยนแปลง  หากว่านั่นไม่ใช่พระราชกิจแห่งวิวรณ์ของบทอวสานของมนุษย์หรือบั้นปลายของมนุษย์ และไม่ใช่พระราชกิจแห่งระยะสุดท้าย หรือพระราชกิจแห่งการนำแผนการบริหารจัดการทั้งปวงของพระเจ้าไปสู่บทอวสาน และหากว่าเป็นระหว่างเวลาที่พระองค์ทรงพระราชกิจกับมนุษย์  เช่นนั้นแล้ว หัวใจของพระราชกิจของพระองค์ย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง  นั่นจะเป็นความรอดของมวลมนุษย์เสมอ  นี่ควรเป็นรากฐานของการที่พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้า  จุดมุ่งหมายของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะคือความรอดของมวลมนุษย์ทั้งปวง—นี่หมายถึงความรอดที่ครบบริบูรณ์ของมนุษย์จากแดนครอบครองของซาตาน  แม้ว่าแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะจะมีวัตถุประสงค์และนัยสำคัญแตกต่างกัน แต่ละช่วงระยะก็เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และแต่ละช่วงระยะก็เป็นพระราชกิจแห่งความรอดที่แตกต่างกัน ซึ่งดำเนินการโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของมวลมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

วันนี้ ในอันดับแรกพวกเราจะสรุปเกี่ยวกับพระดำริและแนวความคิดของพระเจ้า และการเคลื่อนไหวทุกๆ ประการของพระองค์นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์  พวกเราจะดูว่าพระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจใด นับตั้งแต่การสร้างโลกไปจนถึงการเริ่มยุคพระคุณอย่างเป็นทางการ  จากนั้น พวกเราจึงสามารถค้นพบได้ว่าพระดำริและแนวความคิดใดของพระองค์ที่มนุษย์ไม่รู้ และจากจุดนั้น พวกเราสามารถชี้แจงลำดับของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และเข้าใจบริบทที่พระเจ้าได้ทรงสร้างพระราชกิจการบริหารจัดการของพระองค์ แหล่งที่มา และกระบวนการพัฒนาของแผนนั้นได้อย่างถ้วนทั่ว และยังเข้าใจผลลัพธ์ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์จากแผนการบริหารจัดการของพระองค์—นั่นคือ แกนหลักและจุดประสงค์ของแผนการบริหารจัดการของพระองค์ได้อย่างถ้วนทั่วด้วย  เพื่อให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ พวกเราจำเป็นต้องกลับไปยังช่วงเวลาอันไกลโพ้นที่นิ่งเงียบเมื่อครั้งที่ยังไม่มีพวกมนุษย์…

เมื่อพระเจ้าทรงลุกจากพระแท่นบรรทมของพระองค์ พระดำริแรกที่พระองค์ทรงมีคือสิ่งนี้: การสร้างบุคคลที่มีชีวิต—มนุษย์ที่มีชีวิตที่แท้จริง—ใครสักคนที่ใช้ชีวิตและเป็นสหายของพระองค์เสมอ บุคคลนี้สามารถรับฟังพระองค์ และพระองค์ทรงสามารถปรับทุกข์และตรัสกับบุคคลผู้นั้นได้  จากนั้น พระองค์ทรงช้อนฝุ่นมาหนึ่งกำพระหัตถ์และใช้มันสร้างบุคคลที่มีชีวิตคนแรกเป็นครั้งแรกตามพระฉายาที่พระองค์ได้ทรงจินตนาการไว้ในจิตใจของพระองค์ และจากนั้นพระองค์ได้ประทานชื่อให้กับสิ่งทรงสร้างซึ่งมีชีวิตนี้—อาดัม  ทันทีที่พระเจ้าทรงมีบุคคลที่มีชีวิตและหายใจนี้แล้ว พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร?  พระองค์ทรงรู้สึกเป็นครั้งแรกถึงความชื่นบานของการมีผู้ที่เป็นที่รัก มีสหาย  พระองค์ยังทรงรู้สึกเป็นครั้งแรกถึงความรับผิดชอบในการเป็นบิดา และความกังวลที่มาพร้อมความรับผิดชอบนั้น  บุคคลที่มีชีวิตและหายใจนี้นำความสุขและความชื่นบานมาสู่พระเจ้า พระองค์รู้สึกสบายพระทัยเป็นครั้งแรก  นี่คือสิ่งแรกที่พระเจ้าทรงทำ ซึ่งไม่ได้สำเร็จลุล่วงด้วยพระดำริหรือแม้กระทั่งพระวจนะของพระองค์ แต่ทรงกระทำด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง  เมื่อสิ่งประเภทนี้—บุคคลที่มีชีวิตและหายใจ—ที่ทำจากเลือดเนื้อ พร้อมด้วยร่างกายและรูปร่าง และสามารถพูดคุยกับพระเจ้ามายืนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับความชื่นบานแบบที่พระองค์ไม่เคยทรงรู้สึกมาก่อน  พระองค์ทรงรู้สึกถึงความรับผิดชอบของพระองค์อย่างแท้จริง และสิ่งมีชีวิตนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พระองค์ทรงเกิดความเห็นพระทัยเท่านั้น แต่ยังทำให้พระทัยของพระองค์อบอุ่นและเร้าพระทัยของพระองค์ในทุกๆ การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำ  เมื่อสิ่งมีชีวิตนี้ยืนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นั่นเป็นครั้งแรกที่พระองค์มีพระดำริที่จะได้มาซึ่งผู้คนเช่นนั้นเพิ่มขึ้น  นี่คือลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เริ่มต้นขึ้นด้วยพระดำริแรกที่พระเจ้าทรงมีนี้  สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ในเหตุการณ์แรกๆ เหล่านี้ ไม่ว่าพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น—ความชื่นบาน ความรับผิดชอบ ความกังวล—พระองค์ทรงไม่มีผู้ใดให้แบ่งปันความรู้สึกนั้นด้วย  นับตั้งแต่ชั่วขณะนั้น พระเจ้าทรงรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาและความเสียพระทัยที่พระองค์ไม่เคยทรงได้ประสบการณ์มาก่อนอย่างแท้จริง  พระองค์ทรงรู้สึกว่ามนุษย์ไม่สามารถยอมรับหรือจับใจความความรักและความกังวลของพระองค์ หรือเจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษย์ได้ ดังนั้นพระองค์จึงยังทรงรู้สึกโทมนัสและเจ็บปวดในพระทัยของพระองค์  ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้เพื่อมนุษย์ มนุษย์ก็ไม่ตระหนักรู้ถึงสิ่งนั้นและไม่เข้าใจ  นอกเหนือจากความสุขแล้ว ความชื่นบานและความสบายพระทัยที่มนุษย์นำมาให้พระองค์ยังทำให้พระองค์รู้สึกถึงความโทมนัสและความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเป็นครั้งแรกอย่างรวดเร็วด้วย  เหล่านี้คือพระดำริและความรู้สึกของพระเจ้าในเวลานั้น  ในขณะที่พระเจ้ากำลังทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนั้น ในพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงเปลี่ยนจากความชื่นบานเป็นความโทมนัส และจากความโทมนัสเป็นความเจ็บปวด และความรู้สึกเหล่านี้ผสมผสานกับความวิตกกังวล  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำคือการเร่งรีบทำให้บุคคลนี้ มนุษย์ผู้นี้ รู้สิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระองค์ และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์เร็วขึ้น  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงสามารถกลายเป็นผู้ติดตามของพระองค์ และมีความคิดเหมือนกับพระดำริของพระองค์ และเห็นพ้องกับน้ำพระทัยของพระองค์  พวกเขาจะไม่แค่รับฟังพระเจ้าตรัสและนิ่งเงียบอีกต่อไป พวกเขาจะตระหนักรู้วิธีการเข้าร่วมกับพระเจ้าในพระราชกิจของพระองค์  เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาจะไม่เป็นผู้คนที่ไม่แยแสต่อข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าอีกต่อไป  สิ่งแรกๆ เหล่านี้ที่พระเจ้าทรงทำมีความหมายอย่างยิ่ง และมีคุณค่ายิ่งใหญ่สำหรับแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และสำหรับมนุษย์ในวันนี้

หลังจากที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและมวลมนุษย์แล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงหยุดพัก  พระองค์ทรงกระวนกระวายและกระตือรือร้นที่จะดำเนินการบริหารจัดการของพระองค์ และทรงกระวนกระวายและกระตือรือร้นที่จะได้รับผู้คนที่พระองค์ทรงรักอย่างยิ่งในหมู่มวลมนุษย์

…………

…พระเจ้าทรงพิจารณากรณีการบริหารจัดการมวลมนุษย์นี้ของพระองค์ กรณีความรอดของมวลมนุษย์ของพระองค์ ว่ามีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด  พระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ด้วยจิตใจของพระองค์เท่านั้น ไม่เพียงแต่ด้วยพระวจนะของพระองค์เท่านั้น และแน่นอนว่าไม่ใช่ด้วยท่าทีที่ไม่ใส่พระทัย—แต่พระองค์ทรงทำสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ด้วยแผนการหนึ่ง ด้วยเป้าหมายหนึ่ง ด้วยมาตรฐานต่างๆ  และด้วยน้ำพระทัยของพระองค์  เห็นได้ชัดเจนว่าพระราชกิจในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งพระเจ้าและมนุษย์  ไม่ว่าพระราชกิจนี้จะลำบากยากเย็นเพียงใด ไม่ว่าอุปสรรคจะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ว่ามนุษย์จะอ่อนแอเพียงใด หรือไม่ว่าความกบฏของมนุษย์จะล้ำลึกเพียงใด ไม่มีสิ่งใดในนี้ที่ลำบากยากเย็นสำหรับพระเจ้า  พระเจ้าทรงทำพระองค์เองให้ยุ่งอยู่เสมอ โดยทรงทุ่มเทความมานะพยายามอย่างพากเพียรของพระองค์ และทรงบริหารจัดการพระราชกิจที่พระองค์เองมีพระประสงค์จะดำเนินการ  พระองค์ยังกำลังทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งและใช้อำนาจอธิปไตยของพระองค์เหนือผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดที่พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจ และเหนือพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้ครบบริบูรณ์—ทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดที่เคยได้รับการทำมาก่อน  นี่คือครั้งแรกที่พระเจ้าทรงใช้วิธีการเหล่านี้และที่ทรงจ่ายราคามากมายเช่นนั้นเพื่อโครงการอันสำคัญยิ่งในการบริหารจัดการและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนี้  ในขณะที่พระเจ้ากำลังทรงดำเนินพระราชกิจนี้ พระองค์กำลังทรงแสดงออกและทรงปลดปล่อยความมานะพยายามอย่างพากเพียรของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พระปรีชาญาณและความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ และทุกแง่มุมของพระอุปนิสัยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ทีละเล็กละน้อยอย่างไม่ตั้งข้อแม้ใดๆ  พระองค์ทรงปลดปล่อยและแสดงออกสิ่งเหล่านี้เพราะพระองค์ไม่เคยทรงทำมาก่อน  ดังนั้น ในทั้งจักรวาล นอกเหนือจากผู้คนที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายที่จะจัดการและช่วยให้รอดนั้น ไม่เคยมีสิ่งทรงสร้างใดๆ ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าเช่นนั้น ที่ได้มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมเช่นนั้นกับพระองค์  ในพระทัยของพระองค์ มวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะจัดการและช่วยให้รอดนั้นมีความสำคัญที่สุด  พระองค์ทรงให้คุณค่ากับมวลมนุษย์นี้เหนือสิ่งอื่นทั้งหมด  ถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ทรงจ่ายราคามากมายเพื่อพวกเขา และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงเจ็บปวดและถูกพวกเขาไม่เชื่อฟังอย่างต่อเนื่อง แต่พระองค์ก็ไม่เคยทรงล้มเลิกกับพวกเขา และทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยไม่มีการร้องทุกข์หรือความเสียใจใดๆ  นี่เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงรู้ว่าอีกไม่ช้าไม่นาน ผู้คนจะตื่นรับการทรงเรียกของพระองค์และได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวจนะของพระองค์ ระลึกได้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และกลับมาเคียงข้างพระองค์…

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดหรือพระองค์ทรงทำสิ่งนั้นด้วยวิธีการใด ไม่ว่าในราคาใด ไม่ว่าวัตถุประสงค์ของพระองค์คืออะไร จุดประสงค์แห่งการกระทำของพระองค์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง  จุดประสงค์ของพระองค์คือการแทรกพระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในตัวมนุษย์ รวมทั้งข้อพึงประสงค์และน้ำพระทัยที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เพื่อทำให้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงเชื่อว่าสอดคล้องในเชิงบวกกับขั้นตอนต่างๆ ของพระองค์แทรกซึมเข้าไปในตัวมนุษย์ ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าและจับใจความเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้าได้ ทั้งยังเปิดโอกาสให้มนุษย์เชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์บรรลุความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว—ทั้งหมดนี้คือแง่มุมหนึ่งของจุดประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือว่า เนื่องจากซาตานคือวัตถุปรนนิบัติที่เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นในพระราชกิจของพระเจ้า มนุษย์จึงมักจะถูกส่งมอบให้แก่ซาตาน นี่คือวิถีทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มองเห็นความชั่วร้าย ความน่าเกลียด และความน่าเหยียดหยามของซาตานในการทดลองและการโจมตีของซาตาน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้ผู้คนเกลียดชังซาตานและสามารถรู้จักและระลึกรู้สิ่งที่เป็นลบ  กระบวนการนี้เปิดโอกาสให้พวกเขาค่อยๆ ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการควบคุมและการกล่าวหา การแทรกแซง และการโจมตีของซาตาน—จนกระทั่งพวกเขามีชัยชนะเหนือการโจมตีและการกล่าวหาของซาตาน ด้วยพระวจนะของพระเจ้า ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและความเชื่อฟังพระเจ้าของพวกเขา และความเชื่อในพระเจ้าและความยำเกรงพระองค์ของพวกเขา เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับการช่วยให้พ้นจากแดนครอบครองของซาตานโดยบริบูรณ์  การช่วยผู้คนให้รอดพ้นหมายความว่าซาตานได้พ่ายแพ้แล้ว หมายความว่าพวกเขาไม่ใช่อาหารในปากของซาตานอีกต่อไป—แทนที่จะกลืนพวกเขา ซาตานก็ได้ปล่อยพวกเขาไป  นี่เป็นเพราะผู้คนเช่นนั้นเป็นคนเที่ยงธรรม เพราะพวกเขามีความเชื่อ มีความเชื่อฟัง และมีความยำเกรงพระเจ้า และเพราะพวกเขาแตกหักกับซาตานโดยสิ้นเชิง  พวกเขานำความอับอายมาให้ซาตาน พวกเขาทำให้ซาตานขลาดกลัว และพวกเขาทำให้ซาตานปราชัยอย่างเด็ดขาด  ความเชื่อมั่นในการติดตามพระเจ้า และความเชื่อฟังและความยำเกรงพระเจ้าของพวกเขาทำให้ซาตานปราชัย และทำให้ซาตานยอมปล่อยมือจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง  มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงรับไว้อย่างแท้จริง และนี่เองคือวัตถุประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอด

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

ที่กล่าวมานั้นคือการบริหารจัดการของพระเจ้าในอันที่จะส่งมอบมวลมนุษย์ให้กับซาตาน—มวลมนุษย์ที่ไม่รู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น สิ่งที่ผู้ทรงสร้างทรงเป็น วิธีที่จะนมัสการพระเจ้า หรือเหตุผลที่จำเป็นจะต้องนบนอบต่อพระเจ้า—และเปิดโอกาสให้ซาตานทำให้เขาเสื่อมทราม  พระเจ้าจึงทรงกู้คืนมนุษย์จากเงื้อมมือของซาตานทีละขั้นทีละตอน  จนกว่ามนุษย์จะนมัสการพระเจ้าอย่างสุดใจและปฏิเสธซาตาน  นี่คือการบริหารจัดการของพระเจ้า  นี่อาจฟังเหมือนเป็นนิทานปรัมปรา และอาจดูน่างุนงงสงสัย  ผู้คนรู้สึกเหมือนว่า นี่คือเรื่องราวปรัมปรา เพราะพวกเขาไม่ได้ระแคะระคายเลยว่าได้มีอะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์มากมายเพียงใดตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา นับประสาอะไรที่พวกเขาจะรู้ว่า มีเรื่องราวมากมายเพียงใดที่ได้อุบัติขึ้นในจักรวาลและภาคพื้น  และยิ่งไปกว่านั้น นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถซึ้งคุณค่าโลกอันชวนหวาดกลัวกว่าและน่าตกตะลึงกว่าซึ่งดำรงอยู่เหนือโลกวัตถุ แต่สายตามนุษย์ของพวกเขาทำให้พวกเขามองไม่เห็นเท่านั้นเอง  มนุษย์รู้สึกเหมือนไม่สามารถเข้าใจมันได้ ก็เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจนัยสำคัญแห่งความรอดของมนุษยชาติของพระเจ้า หรือนัยสำคัญของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ และไม่เข้าใจว่าท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าทรงปรารถนาให้มนุษย์เป็นอย่างไร  ใช่การไม่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถึงที่สุดเช่นเดียวกับเอวาและอาดัมหรือไม่?  ไม่ใช่!  จุดประสงค์ของการบริหารจัดการของพระเจ้าก็เพื่อที่จะได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งนมัสการพระเจ้าและนบนอบต่อพระองค์  แม้ผู้คนเหล่านี้ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มองซาตานเป็นบิดาอีกต่อไปแล้ว พวกเขาระลึกรู้ได้ถึงใบหน้าอันน่าขยะแขยงของซาตานและปฏิเสธใบหน้านั้น และพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์  พวกเขามารู้ว่าสิ่งใดที่อัปลักษณ์และสิ่งนั้นตรงกันข้ามกับสิ่งซึ่งบริสุทธิ์อย่างไร และมาระลึกรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความชั่วของซาตาน  มนุษยชาติเช่นนี้จะไม่ทำงานให้ซาตาน หรือนมัสการซาตาน หรือจัดแท่นบูชาซาตานอีกต่อไป  นี่เป็นเพราะพวกเขาคือกลุ่มของผู้คนที่ได้รับการรับไว้จากพระเจ้าอย่างแท้จริง  นี่คือนัยสำคัญของพระราชกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการมนุษย์ของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และได้จัดวางพวกเขาบนแผ่นดินโลก และพระองค์ได้ทรงนำทางพวกเขามานับตั้งแต่นั้น  จากนั้นพระองค์จึงได้ทรงช่วยพวกเขาให้รอดและทรงรับหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้มนุษยชาติ  ในท้ายที่สุด พระองค์ยังคงต้องทรงพิชิตมนุษยชาติ ช่วยมนุษยชาติให้รอดโดยถ้วนทั่ว และฟื้นคืนพวกเขากลับสู่สภาพเหมือนดั้งเดิมของพวกเขา  นี่คือพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงเข้าดำเนินการมานับตั้งแต่ตอนเริ่มต้น—เป็นการฟื้นคืนมนุษยชาติกลับสู่รูปลักษณ์และสภาพเหมือนดั้งเดิมของพวกเขา พระเจ้าจะทรงสถาปนาราชอาณาจักรของพระองค์และฟื้นคืนสภาพเหมือนดั้งเดิมของมวลมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าจะทรงฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์บนแผ่นดินโลกและท่ามกลางสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง  มนุษยชาติได้สูญเสียหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า รวมทั้งหน้าที่ที่เป็นภาระแก่สรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าหลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ด้วยเหตุนั้นจึงกลายเป็นศัตรูที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  มนุษยชาติจึงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานและปฏิบัติตามคำสั่งของซาตาน ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงมีหนทางใดที่จะทรงพระราชกิจท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระองค์ได้ และกลายเป็นไร้ความสามารถที่จะเอาชนะความเคารพยำเกรงมากมายของพวกเขาได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม  พวกมนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า และควรจะนมัสการพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วพวกเขาหันหลังให้พระองค์และนมัสการซาตานแทน  ซาตานได้กลายเป็นรูปเคารพในหัวใจของพวกเขา  ดังนั้น พระเจ้าจึงสูญเสียที่ประทับของพระองค์ในหัวใจของพวกเขา ซึ่งกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงสูญเสียความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์  เพราะฉะนั้น เพื่อฟื้นคืนความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์ พระองค์จึงต้องทรงฟื้นคืนสภาพเสมือนดั้งเดิมของพวกเขาและทำให้มนุษยชาติสลัดทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาไป  เพื่อเรียกคืนพวกมนุษย์จากซาตาน พระองค์จึงต้องทรงช่วยพวกเขาให้รอดจากบาป  เฉพาะในหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะสามารถฟื้นคืนสภาพเสมือนดั้งเดิมและหน้าที่ของพวกเขาทีละน้อย และฟื้นคืนราชอาณาจักรของพระองค์ได้ในที่สุด  การทำลายล้างขั้นสุดขีดของบรรดาบุตรแห่งการไม่เชื่อฟังจะต้องถูกดำเนินการด้วยเช่นกันเพื่อเปิดโอกาสให้พวกมนุษย์ได้นมัสการพระเจ้าดียิ่งขึ้นและดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลกได้ดียิ่งขึ้น  เพราะพระเจ้าได้ทรงสร้างพวกมนุษย์ พระองค์จึงจะทรงทำให้พวกเขานมัสการพระองค์ เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะฟื้นคืนหน้าที่ดั้งเดิมของมนุษยชาติ พระองค์จึงจะทรงฟื้นคืนมันโดยครบบริบูรณ์และโดยไม่มีการเจือปนใดๆ  การฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์หมายถึงการทำให้พวกมนุษย์นมัสการพระองค์และนบนอบต่อพระองค์ ซึ่งหมายความว่า พระเจ้าจะทรงทำให้พวกมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่เนื่องจากพระองค์และจะทรงทำให้บรรดาศัตรูของพระองค์พินาศย่อยยับไปอันเป็นผลแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์  นั่นหมายความว่าพระเจ้าจะทรงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระองค์คงทนอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์โดยไม่มีการต้านทานจากผู้ใดเลย  ราชอาณาจักรที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสถาปนาขึ้นคือราชอาณาจักรของพระองค์เอง  มนุษยชาติที่พระองค์ทรงปรารถนาคือมนุษยชาติที่จะนมัสการพระองค์ มนุษยชาติที่จะนบนอบต่อพระองค์โดยครบบริบูรณ์และสำแดงพระสิริของพระองค์  หากพระเจ้าไม่ทรงช่วยมนุษย์ชาติที่เสื่อมทรามให้รอด เช่นนั้นแล้วความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์ก็จะสูญหายไป พระองค์จะไม่ทรงมีสิทธิอำนาจท่ามกลางพวกมนุษย์อีกเลย และราชอาณาจักรของพระองค์ก็จะไม่สามารถดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกได้อีกต่อไป  หากพระเจ้าไม่ทรงทำลายศัตรูเหล่านั้นผู้ซึ่งไม่เชื่อฟังต่อพระองค์ พระองค์ก็จะทรงไร้ความสามารถที่จะได้มาซึ่งพระสิริที่ครบบริบูรณ์ของพระองค์ อีกทั้งพระองค์ก็จะไม่ทรงมีความสามารถที่จะสถาปนาราชอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้  เหล่านี้จะเป็นเครื่องหมายของความครบบริบูรณ์แห่งพระราชกิจของพระองค์และเครื่องหมายของความสำเร็จลุล่วงที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ นั่นก็คือ การทำลายล้างพวกที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ในหมู่มนุษยชาติโดยสิ้นเชิง และการนำบรรดาผู้ที่ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์เข้าสู่การหยุดพัก  เมื่อมนุษย์ได้รับการทำให้ฟื้นคืนสู่สภาพเสมือนดั้งเดิมของพวกเขาแล้ว และเมื่อพวกเขาสามารถทำหน้าที่แต่ละอย่างของพวกเขาให้ลุล่วง คงอยู่กับที่ตั้งที่ถูกต้องเหมาะสมของพวกเขาเอง และนบนอบต่อการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้าได้ พระเจ้าก็จะทรงได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งบนแผ่นดินโลกผู้ซึ่งนมัสการพระองค์  และพระองค์จะได้ทรงสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่งขึ้นบนแผ่นดินโลกที่นมัสการพระองค์อีกด้วย  พระองค์จะทรงมีชัยชนะอันเป็นนิรันดร์บนแผ่นดินโลก และพวกเหล่านั้นทั้งหมดผู้ซึ่งต่อต้านพระองค์จะพินาศย่อยยับไปตลอดกาล  นี่จะฟื้นคืนเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระองค์ในการทรงสร้างมนุษยชาติ ซึ่งจะฟื้นคืนเจตนารมณ์ของพระองค์ในการทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และยังจะฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์บนแผ่นดินโลก ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และท่ามกลางศัตรูของพระองค์อีกด้วย  เหล่านี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะทั้งหมดของพระองค์  นับตั้งแต่นั้นมา มนุษยชาติจะเข้าสู่การหยุดพักและเริ่มต้นชีวิตที่อยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้อง  พระเจ้าจะทรงเข้าสู่การหยุดพักอันเป็นนิรันดร์กับมนุษยชาติด้วยเช่นกัน และเริ่มต้นชีวิตอันเป็นนิรันดร์ซึ่งทั้งพระองค์เองและพวกมนุษย์ต่างก็มีร่วมกัน  ความโสมมและการไม่เชื่อฟังบนแผ่นดินโลกจะปลาสนาการไปแล้ว และเสียงคร่ำครวญทั้งหมดจะได้เหือดหายไปแล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ที่ต่อต้านพระเจ้าจะได้ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว  มีเพียงพระเจ้าและบรรดาผู้คนซึ่งพระองค์ได้ทรงนำความรอดมาให้เท่านั้นที่จะคงเหลืออยู่ เฉพาะสรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์เท่านั้นที่จะคงเหลืออยู่

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

เมื่อพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะมาถึงบทอวสานจะมีกลุ่มของพวกที่เป็นคำพยานต่อพระเจ้าถูกสร้างขึ้นกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มของบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดจะรู้จักพระเจ้า และจะมีความสามารถที่จะนำความจริงสู่การปฏิบัติได้  พวกเขาจะมีสภาวะความเป็นมนุษย์และสำนึกรับรู้ และทั้งหมดจะรู้จักพระราชกิจแห่งความรอดทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้า  นี่คือพระราชกิจที่จะทรงทำให้สำเร็จลุล่วงในบทอวสาน และผู้คนเหล่านี้คือการตกผลึกของพระราชกิจแห่ง 6,000 ปีของการบริหารจัดการ และเป็นคำพยานที่ทรงพลังที่สุดต่อการเอาชนะซาตานครั้งสุดท้าย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

หลังจากได้มีการดำเนินพระราชกิจหกพันปีของพระองค์จนเสร็จสิ้นตลอดมาจนถึงปัจจุบันแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงเปิดเผยการกระทำต่างๆ ของพระองค์ไปมากมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจุดประสงค์อันดับแรกสุดของการนั้นก็คือการได้มอบความปราชัยให้ซาตานและนำพาความรอดมาสู่มนุษยชาติ  พระองค์กำลังทรงใช้โอกาสนี้ในการเปิดโอกาสให้ทุกสิ่งทุกอย่างในสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดินโลก ทุกสิ่งทุกอย่างภายในท้องทะเล และวัตถุทุกๆ ชิ้นแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้เห็นพระมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ และเป็นพยานต่อการกระทำทั้งหมดของพระองค์  พระองค์กำลังทรงรีบฉวยโอกาสนี้ที่ถูกจัดเตรียมให้ โดยการที่พระองค์ทรงมอบความปราชัยให้กับซาตาน ทำการเปิดเผยกิจการของพระองค์ทั้งหมดต่อมนุษย์ และทำให้พวกเขาสามารถสรรเสริญพระองค์และยกย่องพระปรีชาญาณของพระองค์ในการทำให้ซาตานปราชัย  ทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดินโลก ในฟ้าสวรรค์ และภายในท้องทะเลนำพาพระสิริมาสู่พระเจ้า สรรเสริญพระมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ สรรเสริญทุกๆ กิจการของพระองค์ และโห่ร้องพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์  นี่คือบทพิสูจน์แห่งการมอบความปราชัยให้กับซาตานของพระองค์ มันคือบทพิสูจน์ของการกำราบซาตานของพระองค์  ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เป็นบทพิสูจน์ของความรอดแห่งมนุษยชาติของพระองค์  องค์รวมแห่งการทรงสร้างของพระองค์นำพาพระสิริมาสู่พระองค์ สรรเสริญพระองค์สำหรับการมอบความปราชัยให้กับศัตรูของพระองค์และการทรงกลับมาอย่างมีชัยชนะ และเชิดชูพระองค์ในฐานะมหากษัตริย์ผู้ทรงชัยชนะ  พระประสงค์ของพระองค์ไม่ใช่แค่เพียงทำให้ซาตานปราชัย ซึ่งเป็นเหตุผลที่พระราชกิจของพระองค์ได้สานต่อเป็นเวลาหกพันปี  พระองค์ทรงใช้ความปราชัยของซาตานในการช่วยมนุษยชาติให้รอด พระองค์ทรงใช้ความปราชัยของซาตานในการเปิดเผยการกระทำทั้งหมดของพระองค์และพระสิริทั้งปวงของพระองค์  พระองค์จะทรงได้รับพระสิริ และมวลชนของทูตสวรรค์จะมองเห็นพระสิริทั้งปวงของพระองค์  ทูตทั้งหลายในสวรรค์ พวกมนุษย์บนแผ่นดินโลก และวัตถุแห่งการทรงสร้างทั้งปวงบนแผ่นดินโลกจะมองเห็นพระสิริแห่งผู้ทรงสร้าง  นี่คือพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำ  การทรงสร้างของพระองค์ในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลกจะเป็นพยานให้แก่พระสิริของพระองค์ทั้งสิ้น และพระองค์จะทรงกลับมาอย่างมีชัยหลังจากที่ได้มอบความปราชัยแก่ซาตานอย่างถึงที่สุด และอำนวยให้มนุษยชาติได้สรรเสริญพระองค์ ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นการสัมฤทธิ์ชัยชนะเป็นสองเท่าในพระราชกิจของพระองค์  ในตอนสุดท้ายมนุษยชาติทั้งผองจะถูกพิชิตโดยพระองค์ และพระองค์จะทรงกวาดล้างผู้ใดก็ตามที่ต้านทานหรือกบฏ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์จะทรงกวาดล้างพวกที่เป็นของซาตานทั้งหมด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรรู้ว่าองค์รวมแห่งมนุษยชาติได้พัฒนามาจนถึงปัจจุบันอย่างไร

ผู้คนทุกคนจำเป็นต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายของงานของเราบนโลก นั่นคือ สิ่งที่เราปรารถนาที่จะได้รับในท้ายที่สุด และระดับที่เราต้องสัมฤทธิ์ผลในงานนี้ก่อนที่งานจะสามารถครบบริบูรณ์ได้  หากว่าหลังจากที่เดินมากับเราจนถึงวันนี้ ผู้คนยังไม่เข้าใจว่างานของเราเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เช่นนั้นแล้ว พวกเขาไม่ได้เดินมากับเราอย่างเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?  หากผู้คนติดตามเรา พวกเขาควรรู้เจตจำนงของเรา  เราได้ทำงานบนแผ่นดินโลกมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว และจนถึงวันนี้ เรายังคงดำเนินการงานของเราเช่นนี้ต่อไป  ถึงแม้ว่างานของเราจะมีโครงการมากมาย จุดประสงค์ของงานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเราเต็มเปี่ยมไปด้วยคำพิพากษาและการตีสอนต่อมนุษย์ ตัวอย่างเช่น สิ่งที่เราทำยังคงเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการช่วยเขาให้รอด และเพื่อประโยชน์แห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของเราให้ดียิ่งขึ้นและขยายงานของเราออกไปให้ไกลยิ่งขึ้นท่ามกลางประชาชาติทั้งปวงเมื่อมนุษย์ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์แล้ว  ดังนั้นวันนี้ ในยามที่ผู้คนจำนวนมากจมลึกอยู่ในความท้อใจมานานแล้ว เรายังคงทำงานของเราต่อไป เราทำงานที่เราต้องทำเพื่อพิพากษาและตีสอนมนุษย์ต่อไป  ถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงว่ามนุษย์เบื่อหน่ายกับสิ่งที่เราพูด และเขาไม่มีความพึงปรารถนาที่จะสนใจงานของเรา เราก็ยังคงดำเนินการตามหน้าที่ของเราอยู่ เนื่องจากจุดประสงค์ของงานของเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง และแผนดั้งเดิมของเราจะไม่หยุดชะงัก  หน้าที่ของการพิพากษาของเราคือการทำให้มนุษย์สามารถเชื่อฟังเรายิ่งขึ้น และหน้าที่ของการตีสอนของเราคือการช่วยให้มนุษย์สามารถรับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  แม้ว่าสิ่งที่เราทำจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการบริหารจัดการของเราก็ตาม แต่เราไม่เคยทำสิ่งใดที่ไร้ประโยชน์ต่อมนุษย์ เนื่องจากเราพึงปรารถนาที่จะทำให้ประชาชาติต่างๆ ทั้งหมดนอกเหนือไปจากอิสราเอลเชื่อฟังดังเช่นผู้คนแห่งอิสราเอล ทำให้พวกเขาเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ซึ่งเราคงจะมีหลักที่มั่นคงในแผ่นดินที่อยู่นอกอิสราเอล  นี่คือการบริหารจัดการของเรา มันคืองานที่เรากำลังทำให้สำเร็จลุล่วงท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย  แม้กระทั่งบัดนี้ ผู้คนจำนวนมากก็ยังคงไม่เข้าใจการบริหารจัดการของเรา เพราะว่าพวกเขาไม่มีความสนใจในเรื่องต่างๆ ดังกล่าว และใส่ใจเฉพาะอนาคตและบั้นปลายของตนเองเท่านั้น  ไม่ว่าเราจะกล่าวอะไรก็ตาม พวกเขายังคงไม่แยแสต่องานที่เราทำ แต่กลับมุ่งเน้นอยู่กับบั้นปลายในวันพรุ่งนี้ของตนเพียงอย่างเดียว  หากเรื่องต่างๆ ดำเนินไปอย่างนี้ งานของเราจะสามารถแผ่ขยายไปได้อย่างไร?  ข่าวประเสริฐของเราจะได้รับการเผยแผ่ไปทั่วทั้งโลกได้อย่างไร?  จงรู้ไว้เถิดว่าเมื่องานของเราเผยแผ่ออกไป เราจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไป และโจมตีพวกเจ้าเหมือนดังที่พระยาห์เวห์ได้โจมตีแต่ละเผ่าของอิสราเอล  ทั้งหมดนี้จะถูกทำลงไปเพื่อที่ข่าวประเสริฐของเราจะสามารถเผยแผ่ไปทั่วทั้งโลกได้ เพื่อที่งานของเราอาจแผ่ขยายไปยังประชาชาติทั้งหลาย เพื่อที่นามของเราจะได้รับการสรรเสริญโดยบรรดาผู้ใหญ่และเด็กๆ เช่นเดียวกัน และนามอันศักดิ์สิทธิ์ของเราจะได้เป็นที่ยกย่องในปากของผู้คนจากทุกเผ่าและทุกชาติ  มันเป็นไปเพื่อที่ว่า ในยุคสุดท้ายนี้ นามของเราจะได้รับการสรรเสริญท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย เพื่อที่ประชาชาติทั้งหลายจะได้เห็นกิจการทั้งหลายของเราและพวกเขาจะเรียกเราว่าองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เนื่องจากกิจการทั้งหลายของเรา และเพื่อที่วจนะของเราจะได้บังเกิดขึ้นในอีกไม่นาน  เราจะทำให้ผู้คนทั้งปวงรู้ว่าเราไม่ได้เป็นเพียงพระเจ้าของผู้คนแห่งอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังเป็นพระเจ้าของประชาชาติในบรรดาชาติทั้งหมดอีกด้วย แม้แต่บรรดาชาติที่เราได้สาปแช่ง  เราจะปล่อยให้ผู้คนทั้งหมดได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง  นี่คืองานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา จุดประสงค์ของแผนงานของเราสำหรับยุคสุดท้าย และงานเดียวที่จะต้องทำให้ลุล่วงในยุคสุดท้าย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐคืองานแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยเช่นกัน

ก่อนหน้า: 1. พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์คืออะไร?

ถัดไป: 3. จุดประสงค์และนัยสำคัญของแต่ละช่วงระยะในสามช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger