2. การจำแนกความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กับงานของวิญญาณชั่ว
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
พระเจ้าไม่ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ซ้ำ พระองค์ไม่ทรงกระทำพระราชกิจที่ไม่สมจริง พระองค์ไม่กำหนดข้อพึงประสงค์ที่มากเกินไปจากมนุษย์ และพระองค์ไม่ทรงกระทำพระราชกิจที่อยู่เหนือสำนึกรับรู้ของมนุษย์ พระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำอยู่ภายในวงเขตแห่งสำนึกรับรู้ปกติของมนุษย์ และไม่เกินสำนึกรับรู้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และพระราชกิจของพระองค์ดำเนินไปตามข้อพึงประสงค์ต่างๆ ที่ปกติของมนุษย์ หากมันเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนก็จะกลายเป็นปกติมากขึ้นทุกที และสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็จะกลายเป็นปกติมากขึ้นทุกที ผู้คนได้ความรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอุปนิสัยของพวกเขา และเกี่ยวกับแก่นแท้ของมนุษย์ และพวกเขายังได้รับการถวิลหาความจริงที่มากขึ้นทุกทีอีกด้วย กล่าวคือ ชีวิตของมนุษย์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ก็กลายเป็นสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้นเรื่อยๆ—ซึ่งทั้งหมดนี้คือความหมายของการที่พระเจ้าทรงกลายเป็นชีวิตของมนุษย์ หากหนทางหนึ่งไม่สามารถที่จะเปิดเผยบรรดาสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของมนุษย์ได้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ได้ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่สามารถที่จะนำผู้คนไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือให้ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าแก่พวกเขาได้ และแม้กระทั่งทำให้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขากลายเป็นต่ำต้อยลงทุกทีและทำให้สำนึกรับรู้ของพวกเขาผิดปกติมากขึ้นทุกที เช่นนั้นแล้ว หนทางนี้ก็ต้องไม่ใช่หนทางที่แท้จริง และมันอาจเป็นงานของวิญญาณชั่ว หรือเป็นหนทางเก่า กล่าวโดยสรุปคือ มันไม่สามารถเป็นพระราชกิจในปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้
เจ้าต้องเข้าใจว่าสิ่งใดมาจากพระเจ้า และสิ่งใดมาจากซาตาน สิ่งที่มาจากพระเจ้ามอบนิมิตต่างๆ แก่เจ้าด้วยความกระจ่างแจ้งที่เพิ่มพูนขึ้นทุกที และนำเจ้ามาใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้นทุกที เจ้าแบ่งปันความรักที่จริงจังจริงใจกับพี่น้องชายหญิงของเจ้า เจ้าสามารถแสดงการคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้า และมีหัวใจที่รักพระเจ้าซึ่งไม่มีวันลดน้อยลง มีถนนสายหนึ่งข้างหน้าให้เจ้าเดิน สิ่งที่มาจากซาตานทำให้นิมิตทั้งหลายปลาสนาการไปพร้อมกับเจ้า และทำให้เจ้าสูญเสียทั้งหมดที่เจ้าได้มีมาก่อน เจ้ากลายเป็นเหินห่างจากพระเจ้า เจ้าไม่มีความรักสำหรับพี่น้องชายหญิงของเจ้า และเจ้ามีหัวใจที่น่าชัง เจ้ากลับกลายท้อแท้สิ้นหวัง เจ้าไม่ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตคริสตจักรอีกต่อไป และหัวใจที่รักพระเจ้าของเจ้าก็ไม่มีอีกต่อไป นี่คืองานของซาตาน และเป็นผลสืบเนื่องที่งานของพวกวิญญาณชั่วนำไปสู่
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 22
พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือรูปสัณฐานหนึ่งของการทรงนำเชิงรุกและความรู้แจ้งเชิงบวก ซึ่งไม่ยอมให้ผู้คนนิ่งเฉย สิ่งนั้นจะนำการปลอบขวัญมายังพวกเขา ให้ความศรัทธาและความแน่วแน่แก่พวกเขา และช่วยให้พวกเขาไล่ตามเสาะหาการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ ผู้คนก็สามารถเข้าสู่ได้อย่างแข็งขัน กล่าวคือ พวกเขาไม่ได้นิ่งเฉยหรือถูกบังคับ แต่กระทำด้วยการเริ่มของพวกเขาเอง เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ ผู้คนยินดีและเต็มใจ เต็มใจที่จะเชื่อฟังและเป็นสุขที่จะถ่อมตัวของพวกเขาเอง แม้ว่าพวกเขาเจ็บปวดและเปราะบางอยู่ภายใน แต่พวกเขาก็มีความแน่วแน่ในการให้ความร่วมมือ พวกเขาทนทุกข์ด้วยความยินดี พวกเขาสามารถเชื่อฟัง และพวกเขาไม่ด่างพร้อยด้วยเจตจำนงของมนุษย์ ไม่ด่างพร้อยด้วยการคิดแบบมนุษย์ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ด่างพร้อยด้วยความอยากได้อยากมีและแรงจูงใจแบบมนุษย์ เมื่อผู้คนได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาก็บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่งที่ภายใน บรรดาผู้ที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ใช้ชีวิตอยู่โดยการรักพระเจ้า และการรักพี่น้องชายหญิงของพวกเขา พวกเขาปีติยินดีในสิ่งทั้งหลายที่ทำให้พระเจ้าทรงปีติยินดี และเกลียดสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงเกลียด ผู้คนที่ได้รับการสัมผัสโดยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่เป็นนิตย์ และครองสภาวะความเป็นมนุษย์ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจภายในผู้คน สภาพเงื่อนไขของพวกเขาก็กลับกลายเป็นดีขึ้นและดีขึ้น และสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็กลับกลายเป็นปกติมากขึ้นและมากขึ้น และแม้ว่าความร่วมมือบางอย่างของพวกเขาอาจโง่เขลา แต่แรงจูงใจของพวกเขาก็ถูกต้อง การเข้าสู่ของพวกเขาก็เป็นเชิงบวก พวกเขาไม่ได้พยายามก่อให้เกิดการหยุดชะงักและไม่มีการคิดร้ายภายในตัวพวกเขา พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นปกติและเป็นจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในมนุษย์โดยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์แห่งชีวิตปกติของมนุษย์ และพระองค์ทรงดำเนินความรู้แจ้งและการทรงนำภายในผู้คนโดยสอดคล้องกับการไล่ตามเสาะหาที่แท้จริงของผู้คนปกติ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในผู้คน พระองค์ทรงนำและทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเขาโดยสอดคล้องกับความต้องการของผู้คนปกติ พระองค์ทรงจัดเตรียมสำหรับพวกเขาโดยสอดคล้องกับความจำเป็นของพวกเขา และพระองค์ทรงนำและทรงให้ความรู้แจ้งในเชิงบวกแก่พวกเขาโดยสอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาขาดพร่อง และโดยสอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาขัดสน พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำผู้คนในชีวิตจริง เฉพาะเมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตจริงของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเห็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ หากในชีวิตทุกๆ วันของพวกเขา ผู้คนอยู่ในสภาพเชิงบวกและมีชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณปกติ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในครอบครอง ในสภาพเช่นนั้น เมื่อพวกเขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า พวกเขามีความเชื่อ เมื่อพวกเขาอธิษฐาน พวกเขาได้รับแรงดลใจ เมื่อพวกเขาติดขัดในบางสิ่ง พวกเขาไม่นิ่งเฉย และในขณะที่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น พวกเขาสามารถเห็นบทเรียนทั้งหลายภายในสิ่งเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาเรียนรู้ พวกเขาไม่ได้นิ่งเฉยหรืออ่อนแอ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความลำบากยากเย็นที่แท้จริง แต่พวกเขาก็เต็มใจเชื่อฟังการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้า
ผลกระทบใดที่สัมฤทธิ์จากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์? เจ้าอาจโง่เขลา และเจ้าอาจไร้ซึ่งดุลยพินิจ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์มีแต่จะต้องทรงพระราชกิจเท่านั้น และจะมีความเชื่อในเจ้า และเจ้าจะรู้สึกเสมอว่าเจ้าไม่สามารถรักพระเจ้าได้อย่างเพียงพอ เจ้าจะเต็มใจร่วมมือ ไม่สำคัญว่าความลำบากยากเย็นเบื้องหน้าจะใหญ่หลวงเพียงใด สิ่งทั้งหลายจะเกิดขึ้นกับเจ้า และจะไม่ชัดเจนต่อเจ้าว่าสิ่งเหล่านั้นมาจากพระเจ้าหรือจากซาตาน แต่เจ้าจะสามารถรอคอยได้ และเจ้าจะไม่ทั้งนิ่งเฉยและเกียจคร้าน นี่คือพระราชกิจปกติของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจภายในตัวเจ้า เจ้าจะยังคงเผชิญกับความลำบากยากเย็นที่แท้จริง กล่าวคือ บางครั้งเจ้าจะถูกทำให้มีน้ำตา และบางครั้งจะมีสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่สามารถเอาชนะได้ แต่นี่ล้วนเป็นเพียงระยะหนึ่งของพระราชกิจธรรมดาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้ว่าเจ้าไม่ได้เอาชนะความลำบากยากเย็นเหล่านั้น และแม้ว่าในเวลานั้นเจ้าอ่อนแอและเต็มไปด้วยการพร่ำบ่น แต่หลังจากนั้นเจ้าก็ยังคงสามารถรักพระเจ้าด้วยความเชื่อมากยิ่ง ความนิ่งเฉยของเจ้าไม่สามารถป้องกันเจ้าไม่ให้มีประสบการณ์ปกติ และไม่ว่าผู้คนอื่นๆ จะพูดอะไร และผู้อื่นจะโจมตีเจ้าอย่างไร เจ้าก็ยังคงสามารถรักพระเจ้าได้ ในระหว่างการอธิษฐาน เจ้ารู้สึกเสมอว่าในอดีตเจ้าช่างเป็นหนี้พระเจ้า และเจ้าตั้งใจแน่วแน่ในการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และประกาศตัดขาดกับเนื้อหนังเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับสิ่งเช่นนั้นอีกครั้ง ความเข้มแข็งนี้แสดงว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในตัวเจ้า นี่คือสภาพปกติของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
อะไรคืองานที่มาจากซาตาน? ในงานที่มาจากซาตาน นิมิตภายในผู้คนนั้นคลุมเครือ ผู้คนปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ แรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของพวกเขานั้นผิด และถึงแม้ว่าพวกเขาปรารถนาที่จะรักพระเจ้า แต่ก็มีข้อกล่าวหาภายในพวกเขาเสมอ และข้อกล่าวหาและความคิดเหล่านี้ก่อให้เกิดการเข้าแทรกแซงเป็นนิตย์ภายในพวกเขา ซึ่งจำกัดควบคุมการเติบโตของชีวิตของพวกเขา และหยุดพวกเขาไม่ให้มายังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในสภาพเงื่อนไขปกติ กล่าวได้ว่า ทันทีที่งานของซาตานอยู่ภายในผู้คน หัวใจของพวกเขาก็ไม่สามารถสงบสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ ผู้คนเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับตัวเอง—เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนมารวมตัวกัน พวกเขาต้องการวิ่งหนี และพวกเขาไม่สามารถหลับตาได้เมื่อผู้อื่นอธิษฐาน งานของวิญญาณชั่วทำลายสัมพันธภาพปกติระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และปั่นป่วนนิมิตก่อนหน้านี้ของผู้คนหรือเส้นทางที่ผ่านมาในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาไม่สามารถมีวันเข้าไปใกล้พระเจ้าได้ และสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งก่อให้เกิดการหยุดชะงักแก่พวกเขาและพันธนาการพวกเขาไว้ หัวใจของพวกเขาไม่สามารถพบสันติสุข และพวกเขาถูกทิ้งไว้โดยไม่มีกำลังที่จะรักพระเจ้าและโดยที่จิตวิญญาณของพวกเขาจมลง เช่นนั้นคือการสำแดงของงานของซาตาน การสำแดงของงานของซาตานคือ การไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้และยืนหยัดเป็นพยาน ซึ่งทำให้เจ้ากลายเป็นใครคนหนึ่งที่ทำผิดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเป็นผู้ที่ไม่มีความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เมื่อซาตานเข้าแทรกแซง เจ้าสูญเสียความรักและความจงรักภักดีต่อพระเจ้าภายในเจ้า เจ้าถูกปลดเปลื้องจากสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้า เจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการปรับปรุงตัวเอง เจ้าถอยหลังและกลายเป็นนิ่งเฉย เจ้าหมกมุ่นกับตัวเอง เจ้าปล่อยให้การแพร่กระจายของบาปดำเนินไปอย่างอิสระและไม่รังเกียจบาป ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าแทรกแซงของซาตานทำให้เจ้าเหลวไหล นั่นทำให้การทรงสัมผัสของพระเจ้าอันตรธานไปภายในเจ้า และทำให้เจ้าพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ นำเจ้าไปสู่การตั้งคำถามกับพระเจ้า มีแม้กระทั่งความเสี่ยงที่ว่าเจ้าจะทอดทิ้งพระเจ้า ทั้งหมดนี้มาจากซาตาน
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และงานของซาตาน
พระเจ้าทรงพระราชกิจในหนทางที่สุภาพ ละเอียดอ่อน น่ารักน่าชื่นชม และใส่พระทัย ในหนทางที่ถูกต้องเหมาะสมและผ่านการไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบเหนือธรรมดา หนทางของพระองค์ไม่ยั่วยุปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้มข้นในตัวเจ้า เช่น “พระเจ้าต้องทรงยอมให้ข้าพระองค์ทำการนี้” หรือ “พระเจ้าต้องทรงยอมให้ข้าพระองค์ทำการนั้น” พระเจ้าไม่เคยทรงมอบความตึงเครียดทางจิตใจหรือทางอารมณ์ประเภทที่ทำให้สิ่งทั้งหลายเกินจะแบกรับได้แก่เจ้า เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? แม้กระทั่งเมื่อเจ้ายอมรับพระวจนะแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า จากนั้น เจ้ารู้สึกอย่างไร? เมื่อเจ้าสำนึกรับรู้ถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า และแล้ว เจ้ารู้สึกอย่างไร? เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงศักดิ์สิทธิ์และไม่อาจฝ่าฝืนได้หรือไม่? เจ้ารู้สึกถึงระยะห่างระหว่างตัวเจ้าเองกับพระเจ้าในเวลาเหล่านี้หรือไม่? เจ้ารู้สึกถึงความยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? ไม่—แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ารู้สึกเคารพอย่างยำเกรงต่อพระเจ้าต่างหาก ไม่ใช่เพราะพระราชกิจของพระเจ้าหรอกหรือที่ผู้คนรู้สึกถึงสิ่งทั้งหมดนี้?…
…พระเจ้าทรงพระราชกิจกับมนุษย์และทรงทะนุถนอมมนุษย์ทั้งในท่าทีของพระองค์และในพระทัยของพระองค์ ในทางกลับกัน ซาตานทะนุถนอมมนุษย์หรือไม่? ไม่ มันไม่ทะนุถนอมมนุษย์ ในทางตรงกันข้าม มันใช้เวลาส่วนมากคิดเกี่ยวกับการทำอันตรายมนุษย์ นั่นย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? เมื่อมันกำลังคิดเกี่ยวกับการทำอันตรายมนุษย์ สภาวะทางจิตของมันเป็นสภาวะของความเร่งด่วนหรือไม่? (เป็น) ดังนั้น ในแง่ของงานที่ซาตานทำกับมนุษย์ เรามีสองวลีที่สามารถบรรยายธรรมชาติที่ชั่วและมุ่งร้ายของซาตานได้อย่างเพียงพอ และสามารถเปิดโอกาสให้พวกเจ้ารู้จักความน่าเกลียดชังของซาตานได้อย่างแท้จริง กล่าวคือ ในการเข้าหามนุษย์ของซาตานนั้น มันมักต้องการที่จะบังคับยึดครองและครอบครองมนุษย์ทุกๆ คน จนถึงขอบเขตที่มันสามารถเข้าควบคุมมนุษย์ได้แบบเต็มที่และทำอันตรายมนุษย์ได้อย่างแสนสาหัส เพื่อให้มันสามารถสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของมันและทำให้ความทะเยอทะยานอันป่าเถื่อนของมันลุล่วงได้ คำว่า “บังคับยึดครอง” หมายความว่าอย่างไร? มันคือบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความยินยอมของเจ้า หรือโดยที่เจ้าไม่ยินยอมกันแน่? มันเกิดขึ้นโดยที่เจ้ารู้ หรือโดยที่เจ้าไม่รู้กันแน่? คำตอบก็คือว่า มันเกิดขึ้นโดยที่เจ้าไม่รู้โดยสิ้นเชิง! มันเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เจ้าไม่ตระหนักรู้ บางครั้งอาจจะโดยที่มันไม่แม้กระทั่งพูดหรือทำสิ่งใดกับเจ้า ไม่มีเรื่องราว ไม่มีบริบท—ซาตานอยู่ตรงนั้นละ กำลังวนเวียนดูลาดเลา ตีวงโอบล้อมเจ้า มันมองหาโอกาสที่จะหาประโยชน์และแล้วมันจะบังคับยึดครองเจ้า ครอบครองเจ้า สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของมันในการได้ควบคุมเจ้าอย่างเต็มที่และในการทำให้เจ้าเป็นอันตราย นี่คือเจตนาและพฤติกรรมที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตัวที่สุดของซาตานในขณะที่มันดิ้นรนที่จะกระชากมวลมนุษย์ไปจากพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4
บางคนกล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาตลอดเวลา นี่เป็นไปไม่ได้ หากพวกเขาจะกล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับพวกเขาตลอดเวลา นั่นอาจจะตรงกับความเป็นจริง หากพวกเขาจะกล่าวว่าการคิดและสำนึกรับรู้ของพวกเขาเป็นปกติตลอดเวลา นั่นก็อาจจะตรงกับความเป็นจริงได้เช่นกัน และอาจแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับพวกเขา หากพวกเขากล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจภายในตัวพวกเขาตลอดเวลา กล่าวว่าพวกเขาได้รับการให้ความรู้แจ้งโดยพระเจ้าและได้รับการสัมผัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทุกชั่วขณะ และได้รับความรู้ใหม่ตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องปกติแต่อย่างใดเลย! มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งสิ้น! ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ผู้คนเช่นนั้นก็คือเหล่าวิญญาณชั่ว! แม้คราที่พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็มีเวลาที่พระองค์ยังต้องเสวยและต้องทรงหยุดพัก—ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมนุษย์แต่อย่างใด พวกที่ได้ถูกเหล่าวิญญาณชั่วครอบครองนั้นดูเหมือนว่าไม่มีความอ่อนแอของเนื้อหนัง พวกเขาสามารถละทิ้งและล้มเลิกทุกสิ่งได้ พวกเขาเป็นอิสระจากอารมณ์ความรู้สึก สามารถสู้ทนความทรมานและไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกเขาได้อยู่เหนือเนื้อหนังแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติอย่างที่สุดหรอกหรือ? งานของเหล่าวิญญาณชั่วนั้นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ—ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถสัมฤทธิ์สิ่งต่างๆ เช่นนั้นได้! พวกที่ขาดการหยั่งรู้จะอิจฉาเมื่อพวกเขาเห็นผู้คนเช่นนั้น นั่นคือ พวกเขากล่าวว่าคนเหล่านั้นมีเรี่ยวแรงกำลังเช่นนั้นในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา มีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ และไม่เคยแสดงให้เห็นสัญญาณของความอ่อนแอแม้แต่น้อย! ในความเป็นจริงแล้ว เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการสำแดงให้เห็นถึงงานของวิญญาณชั่ว ด้วยเพราะผู้คนปกติย่อมมีความอ่อนแอของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือสภาวะปกติของบรรดาผู้ที่มีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (4)
บทตัดตอนจากคำเทศนาและการสามัคคีธรรมสำหรับการอ้างอิง
คุณลักษณะเฉพาะที่ชัดแจ้งมากที่สุดของงานของวิญญาณชั่วก็คือว่าการนั้นเหนือธรรมชาติ คำพูดที่วิญญาณชั่วพูดหรือสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาขอให้ผู้คนทำนั้นผิดปกติและไร้เหตุผล และแม้กระทั่งทรยศคุณธรรมและจริยธรรมพื้นฐานของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และธรรมชาติของคำพูดและการกระทำของพวกเขาก็คือธรรมชาติที่พวกเขาไม่ทำสิ่งใดเลยเว้นแต่หลอกลวง รบกวนผู้คน และทำให้ผู้คนเสื่อมทราม การนั้นทำให้พวกเขาสามารถทำได้เพียงแค่ทำอันตราย ทรมาน และกลืนกินผู้คน และหมายความว่าพวกเขาไม่มีวันให้คุณประโยชน์หรือมีประโยชน์ต่อผู้คนเลย เมื่อวิญญาณชั่วครอบงำผู้คน พวกเขารู้สึกกังวลและไม่สบายใจ บางคนถึงขั้นกลายเป็นผิดปกติ ในขณะที่คนอื่นๆ ตกอยู่ในความงุนงง และยังมีผู้อื่นที่พบว่าตัวพวกเขาเองกังวลอย่างเหลือเชื่อ และปรากฏว่านั่งไม่ติด เมื่อวิญญาณชั่วครอบงำผู้คน ไม่ว่าในระดับใด ผู้คนเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเป็นบางสิ่งที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์หรือปีศาจ และสูญเสียสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติและเหตุผลของพวกเขา นี่คือข้อพิสูจน์ที่เพียงพอว่าแก่นแท้ของวิญญาณชั่วคือแก่นแท้ที่ชั่วและอัปลักษณ์ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของซาตานอย่างแม่นยำ
การสำแดงหลักของบรรดาผู้ที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ในตัวพวกเขา (พวกที่ถูกปีศาจครอบงำ) คือ:
1. ผู้คนที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ในตัวพวกเขามักจะบอกผู้อื่นให้ทำเช่นนี้และเช่นนั้นบ่อยครั้ง หรือบอกบางสิ่งบางอย่างแก่ใครบางคน หรือพูดคำเผยพระวจนะเท็จบ่อยครั้ง
2. ผู้คนที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ในตัวพวกเขามักจะพูดด้วยภาษาแปลกๆ ในการอธิษฐานบ่อยครั้ง ในหนทางที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจ และแม้แต่ตัวผู้พูดเองก็ไม่เข้าใจ ผู้พูดบางคนสามารถ “แปลภาษาแปลกๆ เหล่านี้” ได้ด้วยตัวพวกเขาเอง
3. ผู้คนที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ภายในตัวพวกเขามักจะได้รับวิวรณ์อยู่เสมอด้วยความถี่อย่างยิ่ง วิญญาณชั่วส่งวิวรณ์เหล่านั้นมาในทิศทางหนึ่งนาทีหนึ่ง และในอีกทิศทางหนึ่งในนาทีถัดไป เป็นเหตุให้ผู้คนเหล่านี้อยู่ในสภาวะแห่งความกังวลอยู่เป็นเนืองนิจ
4. ผู้คนที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ภายในตัวพวกเขามักจะต้องการทำการนั้นหรือการนี้อย่างเร่งด่วนอยู่เสมอ ร้อนรนเกินกว่าที่จะรอคอยและไม่มีการพิจารณาถึงว่าสภาพเงื่อนไขเอื้ออำนวยหรือไม่ พวกเขาถึงขั้นวิ่งออกไปกลางดึก โดยจัดแสดงพฤติกรรมผิดปกติโดยเฉพาะ
5. ผู้คนที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ภายในตัวพวกเขาเป็นคนโอหังอย่างลำพอง พวกเขาขาดเหตุผล และวาทะของพวกเขาล้วนมีแนวโน้มที่จะเหนือกว่า และพวกเขาทำตัวสำคัญกว่าผู้อื่น พวกเขาทำให้ผู้อื่นทำอะไรไม่ถูกเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำ และพวกเขาบังคับคนเหล่านั้นให้ทำสิ่งทั้งหลายเหมือนกับปีศาจ
6. ผู้คนที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ภายในตัวพวกเขาไม่รู้วิธีที่จะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง นับประสาอะไรที่จะให้ความสนใจกับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาไม่นึกถึงพระองค์และลองพยายามที่จะทำตัวเป็นผู้วางกฎ และสามารถกระทำความชั่วร้ายได้ทุกประเภทเพื่อที่จะรบกวนและทำลายความเป็นระเบียบตามปกติของคริสตจักร
7. ผู้คนที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ภายในตัวพวกเขายอมรับตัวพวกเขาเองว่าเป็นคนอื่นบางคนโดยอธิบายไม่ได้ โดยอ้างว่าเป็นวิญญาณของใครบางคนที่ถูกส่งมาโดยใครบางคน และอ้างว่าผู้คนควรรับฟังพวกเขา
8. ผู้คนที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ภายในตัวพวกเขาตามปกติแล้วจะไม่มีสำนึกรับรู้ปกติ พวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงอันใดได้เลย พวกเขาไม่ได้ครองความสามารถใดๆ ในการเข้าโดยสิ้นเชิง อีกทั้งพวกเขาไม่ได้รับความรู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และความคิดของพวกเขาก็วุ่นวาย เมื่อทำความเข้าใจสิ่งทั้งหลาย ผู้คนเหล่านี้ก็ไร้สาระเป็นพิเศษ
9. ผู้คนที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ภายในตัวพวกเขาให้การมุ่งเน้นเป็นพิเศษในการอบรมสั่งสอนผู้อื่นในขณะที่ทำงาน ทุกอย่างที่พวกเขาทำและพูดนั้นหมายที่จะโจมตี ผูกพัน และทำให้ผู้อื่นเสื่อมทราม และพวกเขาไปไกลถึงขั้นทำลายความตั้งใจแน่วแน่ของผู้คนและเป็นเหตให้พวกเขากลายเป็นคิดลบจนถึงจุดที่พวกเขาไม่สามารถยกตัวพวกเขาเองกลับขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะเลิกวุ่นวาย การกระทำของพวกเขาล้วนเกี่ยวกับการทำให้เกิดการรบกวนและการขัดจังหวะ และกระทำการชั่วร้ายทุกประเภท พวกเขาเป็นมารโดยแท้ผู้เป็นอันตรายต่อผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเป็นของเล่น และกลืนกินผู้อื่น และทันทีที่พวกเขาได้หนทางของพวกเขา พวกเขาจะรู้สึกมีความสุข นี่คือเป้าหมายพื้นฐานของงานของเหล่าวิญญาณชั่ว
10. ผู้คนที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ภายในตัวพวกเขาใช้ชีวิตอย่างผิดปกติอย่างถึงที่สุด มีประกายบอกลางไม่ดีในดวงตาของพวกเขา และคำพูดที่พวกเขาเปล่งก็ชวนขนลุกอย่างสุดขีด ราวกับว่าปีศาจได้เคลื่อนลงมาสู่โลก ไม่มีระเบียบในชีวิตประจำวันของบุคคลประเภทนี้ พวกเขาคุ้มดีคุ้มร้ายราวกับสัตว์ป่าที่ไม่เชื่อง พวกเขา พวกเขาน่าขยะแขยงและน่ารังเกียจสำหรับผู้อื่นอย่างสุดขีด นี่คือวิธีที่ผู้คนที่ถูกซาตานผูกมัดแสดงตัวพวกเขาเองออกมาอย่างแม่นยำ
มีสิบหนทางหลักซึ่งงานของวิญญาณชั่วสำแดงออกมา บุคคลใดก็ตามที่แสดงให้เห็นการแสดงออกเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งย่อมเป็นหนึ่งในผู้ที่วิญญาณชั่วทำงานในตัวพวกเขาอย่างแน่นอน เพื่อให้แน่ชัด พวกเหล่านั้นทั้งหมดที่สำแดงการแสดงออกถึงงานของวิญญาณชั่วดังที่กล่าวไปข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นข้อใดก็ตาม ย่อมเป็นผู้คนที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ในตัวพวกเขา บุคคลที่วิญญาณชั่วกำลังทำงานอยู่ในตัวเขานั้นมักจะเกลียดชังและจงใจตีตัวออกห่างจากผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงงานอยู่ในตัวพวกเขาและผู้ที่สามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงได้ บ่อยครั้ง ยิ่งใครบางคนดีขึ้นมากเท่าใด พวกเขาก็ต้องการโจมตีและกล่าวโทษพวกเขามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งใครบางคนโง่เขลามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งลองพยายามที่จะประจบประแจงและสอพลอพวกเขามากขึ้นเท่านั้น และพึงปรารถนาเป็นพิเศษที่จะมาติดต่อกับพวกเขา เมื่อวิญญาณชั่วทำงาน พวกเขามักจะสับสนระหว่างสีดำกับสีขาว โดยพรรณนาเชิงบวกเป็นเชิงลบ และพรรณนาเชิงลบเป็นเชิงบวก นี่คือวิธีที่วิญญาณชั่วกระทำการอย่างแม่นยำ ถึงแม้จะมีหนทางมากมายที่งานของวิญญาณชั่วสำแดงอยู่ในนั้น แต่หนทางเดียวที่จะระลึกถึงการนั้นได้อย่างง่ายดายก็คือโดยการใช้ความจริงเพื่อประเมินวัดและหยั่งรู้การนั้น นี่เป็นเพราะผลที่ตามมาของานของวิญญาณชั่วนั้นตรงกันข้ามและเป็นปรปักษ์โดยสิ้นเชิงกับผลแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และมีความเข้าใจความจริงค่อนข้างดีสามารถระลึกได้ถึงงานของพวกวิญญาณชั่วอย่างง่ายดาย ในขณะที่ผู้คนที่ไม่มีประสบการณ์เพียงพอมีแนวโน้มที่จะมีช่วงที่ยากลำบากในการหยั่งรู้ถึงการนั้น
—การจัดการเตรียมการงาน