1. การจำแนกความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้ากับงานของมนุษย์

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

พระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองเกี่ยวพันกับงานของมวลมนุษย์ทั้งปวง และยังเป็นสิ่งแทนพระราชกิจของทั้งยุคสมัยด้วยเช่นกัน ซึ่งหมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าเองเป็นสิ่งแทนทุกๆ การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและแนวโน้มของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในขณะที่งานของอัครทูตมาหลังจากพระราชกิจของพระเจ้าเองและติดตามพระราชกิจของพระเจ้าเอง และไม่ได้นำยุคสมัย อีกทั้งไม่ได้เป็นสิ่งแทนแนวโน้มของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในทั้งยุคสมัย  พวกเขาเพียงทำงานที่มนุษย์ควรทำ ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการเลย  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำด้วยพระองค์เองคือโครงการที่อยู่ภายในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการ  ส่วนงานของมนุษย์เป็นเพียงหน้าที่ที่ผู้คนที่ได้รับการใช้งานทำให้ลุล่วง และไม่มีความเกี่ยวข้องกับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการ  ถึงแม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงว่าทั้งสองต่างก็เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ระหว่างพระราชกิจของพระเจ้าเองและงานของมนุษย์ก็มีความแตกต่างที่ชัดเจนและมีความสำคัญเนื่องจากความแตกต่างในอัตลักษณ์และการเป็นตัวแทนของพระราชกิจนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น ขอบเขตที่พระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำนั้นแตกต่างออกไปตามวัตถุที่มีอัตลักษณ์ที่แตกต่าง  เหล่านี้คือหลักการและวงเขตของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

 พระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงทำล้วนเป็นพระราชกิจที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะทำในแผนการบริหารจัดการของพระองค์เองทั้งสิ้น และมันเป็นเรื่องของการบริหารจัดการที่ยิ่งใหญ่  งานที่มนุษย์ทำประกอบด้วยการจัดหาประสบการณ์แบบปัจเจกบุคคลของพวกเขา  มันประกอบด้วยการค้นหาเส้นทางใหม่แห่งประสบการณ์ที่นอกเหนือจากเส้นทางที่ถูกเหยียบย่ำโดยผู้ที่ได้ไปแล้วก่อนหน้านั้น และเส้นทางแห่งการนำพี่น้องชายหญิงของพวกเขาขณะที่อยู่ภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  สิ่งที่ผู้คนเหล่านี้จัดหาคือประสบการณ์แบบปัจเจกบุคคลของพวกเขาหรืองานเขียนเชิงจิตวิญญาณของผู้คนฝ่ายวิญญาณ  ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้ถูกใช้งานโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่งานที่พวกเขาทำก็ไม่มีความสัมพันธ์กับพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่แห่งการบริหารจัดการในแผนหกพันปี  พวกเขาเป็นแค่บรรดาผู้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงอุ้มชูขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อนำทางผู้คนในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนกระทั่งหน้าที่รับผิดชอบที่พวกเขาสามารถปฏิบัติได้จะสิ้นสุดลงหรือจนกว่าชีวิตของพวกเขาจะมาถึงปลายทาง  งานที่พวกเขาทำเป็นเพียงเพื่อตระเตรียมเส้นทางอันเหมาะควรไว้สำหรับพระเจ้าพระองค์เอง หรือเพื่อสานต่อแง่มุมเฉพาะบางอย่างจากการบริหารจัดการของพระเจ้าพระองค์เองบนแผ่นดินโลก  ในตัวของผู้คนเหล่านี้นั้น พวกเขาไร้ความสามารถที่จะทำงานที่ยิ่งใหญ่กว่าแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถเปิดหนทางใหม่ๆ ออกไปได้ นับประสาอะไรที่พวกเขาคนใดจะสามารถนำพาพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าจากยุคก่อนหน้านั้นไปสู่บทสรุปได้  เพราะฉะนั้น งานที่พวกเขาทำจึงเป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่หน้าที่รับผิดชอบของเขาเท่านั้น และไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เองที่ทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ได้  นี่เป็นเพราะงานที่พวกเขาทำไม่เหมือนกับพระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงทำ  งานแห่งการนำยุคใหม่เข้ามาไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถทำแทนพระเจ้าได้  งานนี้ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้นอกจากพระเจ้าพระองค์เอง  งานทั้งหมดที่มนุษย์ทำนั้นประกอบด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และทำไปเมื่อเขาได้รับการขับเคลื่อนหรือได้รับการให้ความรู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  การนำที่ผู้คนเหล่านี้จัดเตรียมนั้นประกอบด้วยการแสดงให้มนุษย์เห็นเส้นทางแห่งการปฏิบัติในชีวิตประจำวันและวิธีที่เขาควรปฏิบัติตนอย่างกลมกลืนกับน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งสิ้น  งานของมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระเจ้า อีกทั้งไม่เป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ดังตัวอย่างหนึ่งคือ งานของวิทเนสลีและวอทช์แมนนี คือการนำทาง  ไม่ว่าหนทางนั้นจะใหม่หรือเก่า งานนั้นก็ตั้งอยู่บนหลักธรรมแห่งการคงอยู่ภายในพระคัมภีร์  ไม่ว่างานนั้นจะเป็นการฟื้นฟูคริสตจักรท้องถิ่นหรือสร้างคริสตจักรท้องถิ่น งานของพวกเขาจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการสถาปนาคริสตจักรทั้งหลาย  งานที่พวกเขาทำได้ทำให้งานที่พระเยซูและอัครทูตทั้งหลายของพระองค์ทิ้งไว้แบบยังไม่เสร็จสิ้นหรือไม่ได้พัฒนาคืบหน้าในยุคพระคุณได้ดำเนินการต่อไปจริงๆ  สิ่งที่พวกเขาทำในงานของพวกเขาก็คือ การฟื้นฟูสิ่งที่พระเยซูได้ทรงขอจากชนรุ่นที่จะมาภายหลังพระองค์ไว้ในพระราชกิจของพระองค์ในกาลสมัยนั้น เช่น การคลุมศีรษะของพวกเขา การรับบัพติศมา การหักขนมปัง หรือการดื่มเหล้าองุ่น  อาจกล่าวได้ว่า งานของพวกเขาคือการปฏิบัติตามพระคัมภีร์และการแสวงหาเส้นทางต่างๆ ภายในพระคัมภีร์  พวกเขาไม่ได้ทำความรุดหน้าใหม่ๆ ประเภทใดเลย  ดังนั้นในงานของพวกเขา คนเราจึงสามารถมองเห็นเพียงการค้นพบหนทางใหม่ๆ ภายในพระคัมภีร์เท่านั้น ตลอดจนการปฏิบัติแบบสมจริงที่ดีขึ้นและมากขึ้น  แต่คนเราไม่สามารถพบน้ำพระทัยปัจจุบันของพระเจ้าในงานของพวกเขาได้ นับประสาอะไรที่จะพบพระราชกิจใหม่ที่พระเจ้าในยุคสุดท้ายทรงวางแผนที่จะทำ  นี่เป็นเพราะเส้นทางที่พวกเขาเดินนั้นยังคงเป็นเส้นทางเก่า—ไม่มีการเริ่มใหม่และไม่มีความรุดหน้า  พวกเขายังคงยึดมั่นต่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตรึงกางเขนพระเยซู ยังคงรักษาการปฏิบัติในการขอให้ผู้คนกลับใจและสารภาพบาปของพวกเขา ยังคงยึดติดอยู่ต่อไปกับคำกล่าวทั้งหลายที่ว่า เขาผู้ซึ่งสู้ทนจนถึงปลายทางจะได้รับการช่วยให้รอด และคำกล่าวที่ว่า บุรุษเป็นหัวหน้าของสตรี  และสตรีต้องเชื่อฟังสามีของเธอ และยิ่งยึดติดมากเข้าไปใหญ่กับมโนคติที่หลงผิดตามประเพณีที่ว่าพี่น้องหญิงไม่สามารถเทศนาได้ ได้แต่เชื่อฟังเท่านั้น  หากความเป็นผู้นำในลักษณะนั้นได้รับการถือปฏิบัติต่อไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คงจะไม่มีวันทรงสามารถดำเนินการพระราชกิจใหม่ ปลดปล่อยผู้คนให้เป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ หรือนำทางพวกเขาไปสู่อาณาจักรแห่งอิสรภาพและความงดงามได้  ดังนั้น พระราชกิจช่วงระยะนี้ ซึ่งเปลี่ยนแปลงยุค จึงพึงต้องให้พระเจ้าพระองค์เองทรงพระราชกิจและตรัส มิฉะนั้นก็ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำเช่นนั้นแทนพระองค์ได้  จนถึงบัดนี้แล้ว พระราชกิจทั้งหมดของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นอกเหนือจากกระแสนี้ได้มาถึงจุดหยุดนิ่ง และบรรดาผู้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานก็ได้สูญเสียทิศทางของตน  ดังนั้น ในเมื่องานของผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานนั้นไม่เหมือนกับพระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงทำ อัตลักษณ์ของพวกเขาและบุคคลเป้าหมายที่พวกเขากระทำการแทนก็แตกต่างไปในทำนองเดียวกัน  นี่เป็นเพราะพระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งพระทัยที่จะทำนั้นแตกต่างออกไป และด้วยเหตุผลนี้ บรรดาผู้ที่ทำงานเหมือนกันจึงได้รับมอบอัตลักษณ์และสถานะที่แตกต่างกัน  ผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานอาจทำงานบางอย่างที่ใหม่ด้วยเช่นกัน และอาจจะขจัดงานบางอย่างที่เคยทำในยุคก่อนหน้านั้นทิ้งไปด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็ไม่สามารถแสดงออกถึงพระอุปนิสัยและน้ำพระทัยของพระเจ้าในยุคใหม่ได้  พวกเขาทำงานเพียงแค่เพื่อลบงานของยุคก่อนหน้านั้นทิ้งไป และไม่ใช่เพื่อที่จะทำงานใหม่เพื่อจุดประสงค์แห่งการเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าพระองค์เองโดยตรง  ด้วยเหตุนี้ ไม่สำคัญว่าพวกเขาลบล้างการปฏิบัติที่ล้าสมัยไปมากเพียงใด หรือพวกเขาแนะนำการปฏิบัติใหม่ๆ มากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงเป็นตัวแทนของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าพระองค์เองทรงดำเนินพระราชกิจ พระองค์ไม่ทรงประกาศสำแดงการลบล้างการปฏิบัติต่างๆ ของยุคเก่าอย่างเปิดเผยหรือทรงประกาศสำแดงการตั้งต้นยุคใหม่โดยตรง  พระองค์ทรงซื่อตรงและตรงไปตรงมาในพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ทรงเฉียบขาดในการปฏิบัติพระราชกิจที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะทำ นั่นก็คือ พระองค์ทรงแสดงออกโดยตรงถึงพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำให้เกิดขึ้น ทรงทำพระราชกิจของพระองค์โดยตรงตามที่ได้ตั้งพระทัยไว้แต่เดิม อันเป็นการแสดงออกถึงสิ่งที่ทรงเป็นและพระอุปนิสัยของพระองค์  ตามที่มนุษย์มองเห็นนั้น พระอุปนิสัยของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ก็ล้วนแตกต่างไปจากพระอุปนิสัยและพระราชกิจของพระองค์ในยุคต่างๆ ในอดีต  อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของพระเจ้าพระองค์เอง นี่เป็นเพียงความต่อเนื่องและการพัฒนาคืบหน้าในพระราชกิจของพระองค์  เมื่อพระเจ้าพระองค์เองทรงพระราชกิจ พระองค์ทรงแสดงพระวจนะของพระองค์ออกมาและทรงนำพาพระราชกิจใหม่มาโดยตรง  ในทางตรงกันข้าม เมื่อมนุษย์ทำงาน มันเป็นไปโดยผ่านทางการตรึกตรองและการศึกษา หรือมันเป็นการขยายความรู้และความเป็นระบบของการปฏิบัติซึ่งมีรากฐานอยู่บนงานของผู้อื่น  นั่นกล่าวได้ว่า แก่นสารของงานที่มนุษย์ทำคือการปฏิบัติตามระเบียบที่ตั้งไว้และการ “เดินบนเส้นทางเก่าในรองเท้าคู่ใหม่”  นี่หมายความว่า แม้กระทั่งเส้นทางที่ผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานได้เดินไป ก็ถูกสร้างขึ้นบนเส้นทางที่พระเจ้าพระองค์เองทรงเริ่มไว้  ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากทุกอย่างแล้ว มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ และพระเจ้าก็ยังทรงเป็นพระเจ้าอยู่ดี

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (1)

ในยุคพระคุณ พระเยซูได้ตรัสไว้หลายคำและทรงพระราชกิจมากมาย  พระองค์ทรงแตกต่างจากอิสยาห์อย่างไร?  พระองค์ทรงแตกต่างจากดาเนียลอย่างไร?  พระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะหรือไม่?  ทำไมจึงพูดว่าพระองค์คือพระคริสต์?  อะไรคือความแตกต่างระหว่างพวกเขา?  พวกเขาล้วนเป็นบุรุษทุกคนที่กล่าวคำพูด และคำพูดของพวกเขาก็ปรากฏต่อมนุษย์เหมือนกันไม่มากก็น้อย  พวกเขาทั้งหมดกล่าวคำพูดและทำงาน  ผู้เผยพระวจนะในภาคพันธสัญญาเดิมได้กล่าวคำพยากรณ์ และในทำนองเดียวกัน พระเยซูก็สามารถทำเช่นนั้นได้  ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?  ความแตกต่างในที่นี้อยู่บนพื้นฐานของลักษณะของงาน  เพื่อแยกแยะในเรื่องนี้ เจ้าต้องไม่พิจารณาธรรมชาติของเนื้อหนัง อีกทั้งเจ้าไม่ควรพิจารณาความลึกหรือความผิวเผินของคำพูดของพวกเขา  เจ้าต้องพิจารณางานของพวกเขาและผลที่งานของพวกเขาสัมฤทธิ์ในมนุษย์ก่อนเสมอ  คำพยากรณ์ที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ในเวลานั้นไม่ได้จัดหาชีวิตของมนุษย์ และการดลใจที่พวกเขา เช่น อิสยาห์และดาเนียล ได้รับนั้นเป็นเพียงคำพยากรณ์ และไม่ใช่วิถีชีวิต  หากไม่ใช่เพื่อการเปิดเผยโดยตรงของพระยาห์เวห์ ก็คงไม่มีใครสามารถทำงานนั้นได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์  พระเยซูก็ได้ตรัสพระวจนะหลายคำเช่นกัน แต่คำพูดเช่นนี้เป็นวิถีชีวิตซึ่งมนุษย์สามารถหาเส้นทางไปสู่การปฏิบัติจากมันได้  นั่นก็คือการกล่าวว่า ประการแรก พระองค์สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์ได้เพราะพระเยซูทรงเป็นชีวิต ประการที่สอง พระองค์สามารถย้อนกลับการเบี่ยงเบนของมนุษย์ได้ ประการที่สาม พระราชกิจของพระองค์สามารถทำต่อจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์เพื่อดำเนินการยุคต่อได้ ประการที่สี่ พระองค์สามารถจับความเข้าใจในสิ่งจำเป็นภายในมนุษย์และเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์ขาดพร่อง ประการที่ห้า พระองค์สามารถนำมาซึ่งยุคใหม่และสรุปปิดตัวยุคเก่า  นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ทรงถูกเรียกว่าพระเจ้าและพระคริสต์ พระองค์ไม่เพียงทรงแตกต่างจากอิสยาห์เท่านั้น แต่ทรงแตกต่างจากผู้เผยพระวจนะท่านอื่นๆ ทั้งหมดอีกด้วย  ลองดูอิสยาห์เป็นตัวเปรียบเทียบสำหรับงานของบรรดาผู้เผยพระวจนะ  ประการแรก เขาไม่สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์ ประการที่สอง เขาไม่สามารถนำมาซึ่งยุคใหม่  เขาทำงานภายใต้การนำของพระยาห์เวห์และไม่ใช่เพื่อการนำมาซึ่งยุคใหม่  ประการที่สาม คำพูดที่เขากล่าวนั้นอยู่เหนือเขา  เขาได้รับการเปิดเผยโดยตรงจากพระวิญญาณของพระเจ้า และคนอื่นๆ จะไม่เข้าใจ แม้จะได้ฟังคำพูดเหล่านั้น  เพียงไม่กี่สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาไม่ได้เป็นมากกว่าคำพยากรณ์ ไม่ได้เป็นมากกว่าแง่มุมหนึ่งของงานที่ถูกทำแทนที่ของพระยาห์เวห์  อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ได้อย่างสมบูรณ์  เขาเป็นผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ เป็นเครื่องมือในพระราชกิจของพระยาห์เวห์  เขาเพียงแค่กำลังทำงานในยุคธรรมบัญญัติและภายในขอบเขตของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ เขาไม่ได้ทำงานเกินเลยยุคธรรมบัญญัติ  ในทางตรงกันข้าม พระราชกิจของพระเยซูแตกต่างออกไป  พระองค์ทรงอยู่เหนือขอบเขตของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงพระราชกิจเสมือนพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์และก้าวผ่านการตรึงกางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมด  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงดำเนินการพระราชกิจใหม่นอกพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำ  นี่คือการนำมาซึ่งยุคใหม่  นอกจากนี้ พระองค์ยังสามารถตรัสถึงสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้  พระราชกิจของพระองค์เป็นพระราชกิจภายในการบริหารจัดการของพระเจ้าและเกี่ยวข้องกับมวลมนุษย์ทั้งหมด  พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจในมนุษย์เพียงไม่กี่คน อีกทั้งพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อนำทางมนุษย์จำนวนจำกัด  ในส่วนของวิธีที่พระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์ วิธีที่พระวิญญาณทรงมอบวิวรณ์ในเวลานั้น และวิธีที่พระวิญญาณทรงเคลื่อนลงสถิตบนบุรุษหนึ่งเพื่อทรงพระราชกิจ—เหล่านี้เป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้  มันเป็นไปไม่ได้อย่างที่สุดที่ความจริงเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นบทพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์  ดังนั้น ความแตกต่างสามารถทำขึ้นได้ท่ามกลางพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งเป็นรูปธรรมสำหรับมนุษย์  นี่เท่านั้นที่เป็นจริง  นี่เป็นเพราะเรื่องของพระวิญญาณนั้นไม่สามารถมองเห็นได้สำหรับเจ้าและมีพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงรู้จักอย่างชัดเจน และแม้แต่เนื้อหนังในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ก็ทรงรู้ไม่ทั้งหมด เจ้าสามารถเพียงแค่ตรวจสอบยืนยันได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่จากพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไปแล้ว  จากพระราชกิจของพระองค์ จะเห็นได้ว่า ประการแรก พระองค์สามารถเปิดฉากยุคใหม่ ประการที่สอง พระองค์สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์และแสดงให้มนุษย์เห็นหนทางที่จะติดตามไป  นี่เพียงพอที่จะยืนยันว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง  อย่างน้อยที่สุด พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำก็สามารถเป็นตัวแทนของพระวิญญาณของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ และจากพระราชกิจเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่ภายในพระองค์  เมื่อพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงทำโดยหลักแล้วเป็นไปเพื่อนำมาซึ่งยุคใหม่ นำพระราชกิจใหม่ และเปิดฉากอาณาจักรใหม่ เหล่านี้เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง  ดังนั้น นี่จึงทำให้พระองค์ทรงแตกต่างจากอิสยาห์ ดาเนียล และผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ท่านอื่นๆ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์

พวกเจ้าต้องรู้วิธีที่จะบอกความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้ากับงานของมนุษย์  เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดในงานของมนุษย์?  มีองค์ประกอบของประสบการณ์ของมนุษย์มากมายในงานของเขา สิ่งที่มนุษย์แสดงออกคือสิ่งที่เขาเป็น  พระราชกิจของพระเจ้าเองก็แสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นก็แตกต่างจากสิ่งที่มนุษย์เป็น  สิ่งที่มนุษย์เป็นนั้นเป็นตัวแทนประสบการณ์และชีวิตของมนุษย์ (สิ่งที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์หรือเผชิญในชีวิตของพวกเขา หรือปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิตที่เขามี) และผู้คนที่ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างก็แสดงออกถึงการเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน  ไม่ว่าเจ้ามีประสบการณ์ของสังคมหรือไม่และไม่ว่าเจ้าใช้ชีวิตจริงๆ ในครอบครัวของเจ้าและได้รับประสบการณ์ภายในนั้นอย่างไร สามารถมองเห็นได้ในสิ่งที่เจ้าแสดงออก ในขณะที่เจ้าไม่สามารถมองเห็นว่าพระองค์ทรงมีประสบการณ์ทางสังคมหรือไม่ในพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์  พระองค์ทรงตระหนักรู้เป็นอย่างดีถึงแก่นแท้ของมนุษย์ และสามารถเปิดเผยการปฏิบัติประเภทต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับผู้คนทุกประเภท  พระองค์ทรงพระปรีชายิ่งกว่านั้นในการเปิดเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามทั้งหลายและพฤติกรรมที่เป็นกบฏของพวกมนุษย์  พระองค์ไม่ดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางผู้คนทางโลก แต่พระองค์ทรงตระหนักรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์ธรรมดาและความเสื่อมทรามทั้งหมดของผู้คนทางโลก  นี่คือสิ่งทรงเป็นของพระองค์  ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ทรงจัดการกับโลก พระองค์ทรงรู้กฎการจัดการโลก เพราะพระองค์เข้าพระทัยธรรมชาติของมนุษย์อย่างครบถ้วน  พระองค์ทรงรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระวิญญาณที่ตาของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นและหูของมนุษย์ไม่สามารถได้ยิน ทั้งในวันนี้และในอดีต  นี่รวมถึงสติปัญญาที่ไม่ใช่ปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิตและการอัศจรรย์ที่ผู้คนหยั่งลึกได้ยาก  นี่คือสิ่งทรงเป็นของพระองค์ ซึ่งเปิดกว้างต่อผู้คนและซ่อนเร้นจากผู้คนด้วยเช่นกัน  สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงออกไม่ใช่สิ่งที่บุคคลเหนือปกติเป็น แต่เป็นพระลักษณะโดยธรรมชาติของพระวิญญาณและสิ่งที่พระวิญญาณทรงเป็น  พระองค์ไม่ได้ทรงพระดำเนินทั่วโลก แต่ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับโลก  พระองค์ทรงสัมผัสกับ “พวกลิงคล้ายคน” ที่ไม่มีความรู้หรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึก แต่พระองค์ทรงแสดงพระวจนะที่สูงกว่าความรู้และสูงกว่าเหล่ามนุษย์ที่ยิ่งใหญ่  พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพภายในกลุ่มผู้คนที่ทึ่มและด้านชา ผู้ที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์และผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมเนียมและชีวิตของมนุษยชาติ แต่พระองค์สามารถขอให้มวลมนุษย์ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และในขณะเดียวกันก็ทรงเปิดเผยพื้นฐานและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อยของมวลมนุษย์  ทั้งหมดนี้คือสิ่งทรงเป็นของพระองค์ ซึ่งสูงส่งกว่าสิ่งที่บุคคลที่มีเลือดเนื้อคนใดเป็น  สำหรับพระองค์แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับประสบการณ์กับชีวิตทางสังคมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และสกปรกเพื่อที่จะทรงพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำและเปิดเผยถึงแก่นแท้ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามอย่างถ้วนทั่ว  ชีวิตทางสังคมที่สกปรกไม่เสริมสร้างเนื้อหนังของพระองค์  พระราชกิจและพระวจนะของพระองค์เพียงเปิดเผยถึงความไม่เชื่อฟังของมนุษย์เท่านั้น และไม่ได้จัดเตรียมประสบการณ์และบทเรียนเพื่อการจัดการโลกให้กับมนุษย์  พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องเจาะลึกด้านสังคมหรือครอบครัวของมนุษย์เมื่อพระองค์ทรงจัดหาชีวิตให้กับมนุษย์  การตีแผ่และการพิพากษามนุษย์ไม่ใช่การแสดงออกถึงประสบการณ์ของเนื้อหนังของพระองค์  นั่นคือการเปิดเผยของพระองค์ถึงความไม่ชอบธรรมของมนุษย์หลังจากที่ทรงได้รู้ถึงความไม่เชื่อฟังของมนุษย์มาเป็นเวลานานและทรงชิงชังความเสื่อมทรามของมนุษย์  พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำทั้งหมดมีความหมายเพื่อเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ต่อมนุษย์ และเพื่อแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น  มีเพียงพระองค์ที่สามารถปฏิบัติพระราชกิจนี้ได้ พระราชกิจนี้ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่บุคคลที่มีเลือดเนื้อสามารถสัมฤทธิ์ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำไม่ได้เป็นตัวแทนถึงประสบการณ์ของเนื้อหนังของพระองค์ ส่วนงานที่มนุษย์ทำเป็นตัวแทนถึงประสบการณ์ของเขา  ทุกคนพูดถึงประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขา  พระเจ้าสามารถแสดงออกถึงความจริงได้โดยตรง ในขณะที่มนุษย์สามารถแสดงออกได้เพียงประสบการณ์ที่สอดคล้องกับความจริงที่เขาได้รับประสบการณ์มาแล้วเท่านั้น  พระราชกิจของพระเจ้าไม่มีกฎเกณฑ์และไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลาหรือภูมิศาสตร์  พระองค์สามารถแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นได้ทุกที่ทุกเวลา  พระองค์ทรงพระราชกิจตามที่พระองค์มีพระประสงค์  งานของมนุษย์มีเงื่อนไขและบริบท หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ เขาจะไร้ความสามารถที่จะทำงานและไร้ความสามารถที่จะแสดงออกถึงความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าหรือประสบการณ์ที่เขามีเกี่ยวกับความจริง  ในการที่จะบอกว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นพระราชกิจของพระเจ้าเองหรืองานของมนุษย์นั้น เจ้าเพียงต้องเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างทั้งสอง  

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพียงเพื่อนำทางยุคและทำให้งานใหม่เริ่มดำเนินไปเท่านั้น  เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพวกเจ้าที่ต้องเข้าใจประเด็นนี้  การนี้แตกต่างอย่างมากจากหน้าที่รับผิดชอบของมนุษย์ และสองอย่างนี้ไม่สามารถดำเนินไปในเวลาเดียวกันได้  มนุษย์จำเป็นต้องได้รับการบ่มเพาะและการทำให้เพียบพร้อมผ่านช่วงเวลาที่ยาวนาน ก่อนที่เขาจะสามารถถูกใช้ให้ดำเนินงานได้ และสภาวะความเป็นมนุษย์ประเภทซึ่งเป็นที่ต้องการนั้น ก็คือประเภทที่มีอันดับสูงเป็นพิเศษ  มนุษย์ไม่เพียงแค่ต้องมีความสามารถที่จะค้ำชูสำนึกรับรู้ถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติเท่านั้น แต่เขาต้องเข้าใจหลักธรรมและกฎเกณฑ์เพิ่มไปอีกมากมายที่ควบคุมดูแลการประพฤติปฏิบัติของเขาโดยสัมพันธ์กับผู้อื่น และยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องมุ่งมั่นที่จะศึกษาให้มากยิ่งขึ้นไปอีกเกี่ยวกับความรู้ทางปัญญาและทางจริยธรรมของมนุษย์  นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะได้รับการประดับให้มีพร้อม  อย่างไรก็ตาม การนี้ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เพราะพระราชกิจของพระองค์ไม่ได้เป็นตัวแทนของมนุษย์ อีกทั้งไม่ใช่งานของมนุษย์ ตรงกันข้าม นั่นเป็นการแสดงออกโดยตรงถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และเป็นการดำเนินงานพระราชกิจที่พระองค์ทรงควรทำโดยตรง  (โดยธรรมชาติแล้วนั้น พระราชกิจของพระองค์ได้รับการดำเนินการในเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่อย่างไม่ตั้งใจหรือไร้แบบแผน และนั่นเริ่มต้นก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่จะทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วง)  พระองค์ไม่ทรงเข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิตของมนุษย์หรืองานของมนุษย์ กล่าวคือ สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์นั้นไม่ได้รับการประดับให้มีสิ่งอันใดเหล่านี้ (ถึงแม้ว่านี่ไม่กระทบต่อพระราชกิจของพระองค์)  พระองค์เพียงแต่ทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วงเมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะทรงทำเช่นนั้น ไม่ว่าพระองค์ทรงมีสถานะใดก็ตาม พระองค์แค่ทรงทะยานไปข้างหน้ากับพระราชกิจที่พระองค์ทรงควรจะทำ  ไม่ว่ามนุษย์รู้สิ่งใดเกี่ยวกับพระองค์ และไม่ว่าความคิดเห็นของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์นั้นเป็นอย่างไร พระราชกิจของพระองค์ก็ไม่ได้รับผลกระทบโดยสิ้นเชิง  

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (3)

งานของมนุษย์คงอยู่ภายในแนวข่ายหนึ่งและถูกจำกัด  บุคคลหนึ่งสามารถทำได้เพียงงานระยะเฉพาะใดๆ เท่านั้น และไม่สามารถทำงานของทั้งยุคสมัยได้—มิฉะนั้น เขาคงจะนำทางผู้คนเข้าไปสู่ท่ามกลางกฎต่างๆ แล้ว  งานของมนุษย์สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับเวลาหรือระยะที่เฉพาะเจาะจงหนึ่งๆ เท่านั้น  นี่เป็นเพราะว่าประสบการณ์ของมนุษย์มีวงเขตของมันเอง  คนเราไม่สามารถเปรียบเทียบงานของมนุษย์กับพระราชกิจของพระเจ้าได้  วิธีการปฏิบัติของมนุษย์และความรู้เกี่ยวกับความจริงของเขาทั้งหมดใช้ได้กับวงเขตที่เฉพาะเจาะจงหนึ่งๆ  เจ้าไม่สามารถกล่าวว่าเส้นทางที่มนุษย์ก้าวย่างนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ เพราะมนุษย์สามารถได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น และไม่สามารถได้รับการเติมเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ได้  สิ่งที่มนุษย์สามารถรับประสบการณ์ได้ทั้งหมดอยู่ภายในวงเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไม่สามารถเกินจากแนวข่ายความคิดในจิตใจของมนุษย์ที่ปกติได้  คนเหล่านั้นทั้งหมดที่สามารถใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของความจริงได้รับประสบการณ์ภายในแนวข่ายนี้  เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์กับความจริง สิ่งนั้นเป็นประสบการณ์ของชีวิตมนุษย์ที่ปกติที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ นั่นไม่ใช่วิธีการรับประสบการณ์ที่เบี่ยงเบนไปจากชีวิตของมนุษย์ที่ปกติ  พวกเขาได้รับประสบการณ์กับความจริงที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่บนรากฐานของการใช้ชีวิตมนุษย์ของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงนี้แตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล และความลึกซึ้งของความจริงนี้สัมพันธ์กับสภาวะของบุคคลนั้นๆ  คนเราสามารถพูดได้เพียงว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินคือชีวิตมนุษย์ที่ปกติของใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และอาจจะเรียกเส้นทางนั้นได้ว่าเส้นทางที่เดินโดยบุคคลที่ปกติที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  คนเราไม่สามารถพูดได้ว่าเส้นทางที่เขาเดินคือเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระดำเนิน  ในประสบการณ์ของมนุษย์ที่ปกตินั้น เพราะผู้คนที่ไล่ตามเสาะหานั้นไม่เหมือนกัน พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่เหมือนกันด้วยเช่นกัน  นอกจากนั้น เพราะสภาพแวดล้อมที่ผู้คนได้รับประสบการณ์และแนวข่ายของประสบการณ์ของพวกเขาไม่เหมือนกัน และเพราะส่วนผสมของจิตใจและความคิดของพวกเขา ประสบการณ์ของพวกเขาจึงผสมผสานในระดับที่แตกต่างกัน  บุคคลแต่ละคนเข้าใจความจริงตามสภาพเงื่อนไขของพวกเขาที่แตกต่างกันและเป็นปัจเจก  ความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความหมายจริงๆ ของความจริงไม่ได้ครบบริบูรณ์ และเป็นเพียงหนึ่งหรือหลายแง่มุมของความจริงนั้นเท่านั้น  วงเขตของความจริงที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งสอดคล้องกับสภาพเงื่อนไขของแต่ละบุคคล  ในหนทางนี้ ความรู้เกี่ยวกับความจริงเรื่องเดียวกันตามที่แสดงออกโดยผู้คนที่ต่างกันก็ไม่เหมือนกัน  นี่จึงกล่าวได้ว่าประสบการณ์ของมนุษย์มีข้อจำกัดเสมอ และไม่สามารถเป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างครบบริบูรณ์ อีกทั้งงานของมนุษย์ไม่สามารถได้รับการล่วงรู้ว่าเป็นพระราชกิจของพระเจ้า ถึงแม้ว่าสิ่งที่มนุษย์แสดงออกจะสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างใกล้ชิดมากก็ตาม และถึงแม้ว่าประสบการณ์ของมนุษย์จะใกล้เคียงกับพระราชกิจการทำให้มีความเพียบพร้อมที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนินการก็ตาม  มนุษย์สามารถเป็นได้เพียงผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ที่กระทำการงานที่พระเจ้ามอบความไว้วางพระทัยให้แก่เขา  มนุษย์สามารถแสดงออกได้เพียงความรู้ที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และความจริงที่ได้รับจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเองเท่านั้น  มนุษย์ไม่มีคุณสมบัติและไม่เป็นไปตามสภาพเงื่อนไขที่จะเป็นทางออกของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดว่างานของเขาคือพระราชกิจของพระเจ้า  มนุษย์มีหลักการทำงานของมนุษย์ และมนุษย์ทุกคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันและครอบครองสภาพเงื่อนไขที่หลากหลาย  งานของมนุษย์รวมถึงประสบการณ์ทั้งหมดของเขาภายใต้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ประสบการณ์เหล่านี้สามารถเพียงเป็นตัวแทนสิ่งที่มนุษย์เป็น และไม่ได้เป็นตัวแทนสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นหรือน้ำพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ดังนั้น จึงไม่สามารถพูดได้ว่าเส้นทางที่มนุษย์เดินเป็นเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระดำเนิน เพราะงานของมนุษย์ไม่สามารถเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระเจ้า และงานของมนุษย์และประสบการณ์ของมนุษย์ไม่ได้เป็นน้ำพระทัยที่ครบบริบูรณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์  งานของมนุษย์มีแนวโน้มที่จะเริ่มกลายเป็นกฎเกณฑ์ และวิธีการทำงานของเขาถูกจำกัดเขตที่วงเขตที่จำกัดได้โดยง่าย และไร้ความสามารถที่จะนำผู้คนสู่หนทางที่อิสระได้  ผู้ติดตามส่วนใหญ่ใช้ชีวิตภายในวงเขตที่จำกัด และวิธีได้รับประสบการณ์ของพวกเขาก็ถูกจำกัดในวงเขตของมันด้วยเช่นกัน  ประสบการณ์ของมนุษย์ถูกจำกัดอยู่เสมอ และวิธีการทำงานของเขาก็ถูกจำกัดเป็นไม่กี่ชนิดเช่นเดียวกัน และไม่สามารถเทียบได้กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง  นี่เป็นเพราะว่าในท้ายที่สุดแล้ว ประสบการณ์ของมนุษย์ถูกจำกัด  ไม่ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างไรก็ตาม พระราชกิจนั้นก็ไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์  ไม่ว่าพระราชกิจนั้นได้รับการดำเนินการอย่างไรก็ตาม พระราชกิจนั้นก็ไม่ถูกจำกัดด้วยวิธีการหนึ่งเดียวใดๆ  ไม่มีกฎเกณฑ์แต่อย่างใดเลยกับพระราชกิจของพระเจ้า—พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ได้รับการปลดปล่อยและเป็นอิสระ  ไม่สำคัญว่ามนุษย์ใช้เวลาในการติดตามพระองค์มากเพียงใดก็ตาม เขาไม่สามารถกลั่นกรองกฎใดๆ ที่ควบคุมวิธีการทรงพระราชกิจของพระเจ้าได้  ถึงแม้ว่าพระราชกิจของพระองค์จะมีหลักการ แต่พระราชกิจก็ได้รับการดำเนินการในวิธีใหม่ๆ เสมอ และมีการพัฒนาใหม่ๆ เสมอ และอยู่เกินเอื้อมสำหรับมนุษย์  ในช่วงเวลาหนึ่ง พระเจ้าอาจทรงมีพระราชกิจที่ต่างกันหลายชนิดและการนำทางผู้คนที่ต่างกันหลายวิธี ซึ่งทำให้ผู้คนมีการเข้าสู่และการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ อยู่เสมอ  เจ้าไม่สามารถหยั่งรู้กฎของพระราชกิจของพระองค์ได้ เพราะพระองค์ทรงพระราชกิจในวิธีใหม่ๆ เสมอ และดังนั้นผู้ติดตามพระเจ้าจึงไม่กลายเป็นถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเท่านั้น  พระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองหลีกเลี่ยงมโนคติที่หลงผิดของผู้คนและตอบโต้มโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเสมอ  มีเพียงบรรดาผู้ที่ติดตามและไล่ตามเสาะหาพระองค์ด้วยหัวใจที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถทำให้อุปนิสัยของพวกเขาได้รับการแปลงสภาพและมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใดๆ หรือถูกจำกัดด้วยมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาใดๆ  งานของมนุษย์เรียกร้องจากผู้คนโดยมีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ของเขาเองและสิ่งที่เขาเองสามารถสัมฤทธิ์ผลได้  มาตรฐานของข้อพึงประสงค์เหล่านี้จำกัดอยู่ภายในวงเขตเฉพาะหนึ่งๆ และวิธีการปฏิบัติก็ยังถูกจำกัดอย่างมากเช่นเดียวกัน  ดังนั้นผู้ติดตามจึงใช้ชีวิตภายในวงเขตที่จำกัดนี้โดยไม่รู้ตัว เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็กลายเป็นกฎเกณฑ์และพิธีกรรม  หากงานของช่วงเวลาหนึ่งได้รับการนำทางโดยใครบางคนที่ยังไม่ได้ก้าวผ่านการทำให้มีความเพียบพร้อมของพระเจ้าโดยพระองค์เองและยังไม่ได้รับการพิพากษา ผู้ติดตามของเขาทั้งหมดจะกลายเป็นนักศาสนาและผู้เชี่ยวชาญในการต้านทานพระเจ้า  ดังนั้น หากมีใครสักคนเป็นผู้นำที่มีคุณสมบัติ บุคคลนั้นต้องได้ก้าวผ่านการพิพากษาและได้ยอมรับการทำให้มีความเพียบพร้อมมาแล้ว  พวกที่ยังไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษาจะแสดงออกเพียงสิ่งที่คลุมเครือและไม่เป็นจริงเท่านั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตาม  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะนำทางผู้คนเข้าไปในกฎเกณฑ์ที่คลุมเครือและเกินธรรมชาติ  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงดำเนินการไม่ได้สอดคล้องกับเนื้อหนังของมนุษย์  พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้สอดคล้องกับความคิดของมนุษย์ แต่ตอบโต้มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์  พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ถูกทำให้ด่างพร้อยด้วยการแต้มสีสันของศาสนาที่คลุมเครือ  ผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้โดยใครบางคนที่ยังไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์  ผลลัพธ์เหล่านี้เกินที่ความคิดของมนุษย์จะเอื้อมถึง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

ก่อนหน้า: 5. การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์

ถัดไป: 2. การจำแนกความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กับงานของวิญญาณชั่ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger