ผู้ที่บรรลุความรอดคือผู้ที่เต็มใจปฏิบัติตามความจริง

ความจำเป็นของการมีชีวิตคริสตจักรที่ถูกต้องเหมาะสมได้ถูกพาดพิงถึงอยู่บ่อยครั้งในคำเทศนาทั้งหลาย  ถ้าอย่างนั้น เหตุใดเล่าชีวิตแห่งคริสตจักรจึงยังไม่ดีขึ้น และยังคงเป็นสิ่งเก่าๆ เดิมๆ?  เหตุใดหรือจึงไม่มีหนทางชีวิตที่ใหม่และแตกต่างอย่างบริบูรณ์?  จะเป็นเรื่องปกติได้หรือไม่ที่บุคคลหนึ่งในยุคทศวรรษที่ 90 จะใช้ชีวิตเยี่ยงจักรพรรดิของยุคสมัยที่ล่วงเลยไปแล้ว?  ถึงแม้ว่าสิ่งที่ผู้คนกินและดื่มในตอนนี้จะเป็นอาหารอันโอชะที่แทบไม่มีใครได้ลิ้มรสในยุคก่อนหน้า แต่ชีวิตคริสตจักรนั้นยังไม่ได้มีการพลิกฟื้นที่สำคัญใดๆ เลย  ตลอดมานั้น เหมือนเป็นการเทเหล้าองุ่นเก่าใส่ลงในขวดใบใหม่ๆ  เช่นนั้นแล้ว อะไรหรือคือประโยชน์ของการที่พระเจ้าตรัสอย่างมากมายเหลือเกิน?  คริสตจักรในสถานที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอันใดเลย  เราได้เห็นด้วยตาของเราเอง และนั่นชัดเจนในหัวใจของเรา ถึงแม้ว่าเรายังไม่ได้รับประสบการณ์ชีวิตแห่งคริสตจักรด้วยตัวของเราเอง แต่เราก็รู้จักภาวะทั้งหลายของการชุมนุมของคริสตจักรเสมือนหลังมือของเราเอง  พวกเขาไม่ได้สร้างความก้าวหน้ามากนัก  นั่นจึงย้อนกลับไปที่คำกล่าวนั้น—มันเหมือนกับการเทเหล้าองุ่นเก่าใส่ลงในขวดใบใหม่ๆ  ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลย!  ยามที่มีใครสักคนคอยเป็นผู้เลี้ยงให้พวกเขา พวกเขาก็ลุกโชนราวกับไฟ แต่พอไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเพื่อเกื้อหนุนพวกเขา พวกเขาก็เป็นเหมือนกับก้อนน้ำแข็ง  มีผู้คนไม่มากที่สามารถพูดถึงสิ่งทั้งหลายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ และแทบไม่มีผู้ใดสามารถคุมหางเสือได้  ถึงแม้ว่าคำเทศนาจะสูงส่ง แต่แทบจะไม่มีผู้ใดได้สัมฤทธิ์การเข้าสู่อันใด  มีผู้คนเพียงเล็กน้อยที่ทะนุถนอมพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาพลันนองน้ำตาในยามที่พวกเขายอมรับพระวจนะของพระเจ้า กลายเป็นรื่นเริงเมื่อพวกเขาวางพระวจนะของพระเจ้าไว้ข้างกาย และซังกะตายและไร้ความสดใสเมื่อพวกเขาผละไปจากพระวจนะของพระเจ้า  กล่าวอย่างตรงไปตรงมาคือ พวกเจ้านั้นก็แค่ไม่ทะนุถนอมพระวจนะของพระเจ้า และพวกเจ้าไม่เคยมองเห็นพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระองค์เองในวันนี้ว่าเป็นขุมสมบัติ  เจ้าเพียงเกิดวิตกกังวนขึ้นมาตอนที่อ่านพระวจนะของพระองค์ และรู้สึกยากเย็นแสนเข็ญยามท่องจำพระวจนะของพระองค์ และเมื่อมาถึงเรื่องของการนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ มันก็เหมือนกับการพยายามปั่นเครื่องสูบน้ำโดยใช้แรงดึงจากขนหางม้าเพียงเส้นเดียว—ไม่สำคัญว่าเจ้าจะพยายามอย่างหนักสักเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถปั่นสร้างพลังงานได้เพียงพออย่างแน่นอน  เจ้าขะมักเขม้นเสมอเมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า ทว่ากลับหลงลืมยามปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์  อันที่จริง พระวจนะเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องนำมาพูดถึงอย่างอุตสาหะและกล่าวซ้ำอย่างอดทน แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนเพียงรับฟังโดยไม่นำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัตินั้น ได้กลายเป็นอุปสรรคกีดขวางสำหรับพระราชกิจของพระองค์  เราไม่อาจที่จะไม่หยิบยกการนั้นขึ้นมาพูด เราไม่อาจที่จะไม่พูดถึงการนั้น  เราถูกบีบให้ต้องทำเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าเราชื่นชมการตีแผ่จุดอ่อนทั้งหลายของผู้อื่น  พวกเจ้าคิดว่าการปฏิบัติของพวกเจ้าเพียงพอแล้วไม่มากก็น้อย—คิดว่าเมื่อการเปิดเผยอยู่ ณ จุดสูงสุด การเข้าสู่ของพวกเจ้าก็อยู่ ณ จุดสูงสุดเช่นกัน  มันเรียบง่ายปานนั้นเชียวหรือ?  พวกเจ้าช่างไม่เคยตรวจดูรากฐานที่ประสบการณ์ของพวกเจ้าถูกสร้างขึ้นบนนั้นในท้ายที่สุดเลย!  จนถึงชั่วขณะนี้ การชุมนุมของพวกเจ้าไม่อาจเรียกได้โดยสิ้นเชิงว่าเป็นชีวิตคริสตจักรที่ถูกต้องเหมาะสม อีกทั้งการชุมนุมเหล่านั้นก็ไม่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ถูกต้องเหมาะสมเลยแม้แต่น้อย  นั่นเป็นเพียงการชุมนุมของผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ชื่นชมการพูดคุยและขับร้อง  กล่าวอย่างเคร่งครัดก็คือ ในนั้นไม่มีความเป็นจริงมากนัก  กล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นคือ หากเจ้าไม่ปฏิบัติตามความจริงแล้ว ความเป็นจริงอยู่ที่ใดเล่า?  ไม่เป็นการอวดตัวหรอกหรือที่จะกล่าวว่าเจ้ามีความเป็นจริง?  พวกที่ปฏิบัติงานอยู่เสมอนั้นโอหังและทะนงตน ในขณะที่บรรดาผู้ที่เชื่อฟังอยู่เสมอก็ปิดปากเงียบและก้มหัวต่อไปโดยไม่มีโอกาสเหมาะสำหรับการฝึกฝน  ผู้คนที่ทำงานนั้นไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากพูดไปเรื่อยๆ ด้วยวาทะที่ฟังดูใหญ่โต และบรรดาผู้ติดตามก็เพียงแค่รับฟัง  ไม่มีการแปลงสภาพให้กล่าวถึง เหล่านี้ทั้งหมดเป็นหนทางของอดีต!  วันนี้ การที่เจ้าสามารถนบนอบและไม่กล้าดีที่จะเข้าแทรกแซงหรือปฏิบัติตนอย่างไรตามแต่เจ้ายินดีนั้น ก็เป็นเพราะการมาถึงของประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า กล่าวคือ นั่นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เจ้าได้ก้าวผ่านทางประสบการณ์  ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าไม่กล้าดีที่จะทำบางสิ่งที่เป็นการล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารในวันนี้นั้น เป็นเพราะพระราชกิจแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้เกิดผลชัดเจนและได้พิชิตผู้คนแล้ว  เราขอถามใครบางคนว่า มากเท่าใดของความสำเร็จลุล่วงของเจ้าในวันนี้ที่ได้มาด้วยหยาดเหงื่อแห่งการทำงานหนักของเจ้าเอง?  มากเท่าใดของความสำเร็จลุล่วงนั้นที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้าโดยตรง?  เจ้าจะตอบอย่างไรหรือ?  เจ้าจะตะลึงงันและเงียบอึ้งหรือไม่?  เหตุใดผู้อื่นจึงสามารถพูดถึงประสบการณ์จริงมากมายของพวกเขาออกมาเพื่อจัดเตรียมเสบียงอาหารให้แก่เจ้า ในขณะที่เจ้าเพียงชื่นชมมื้ออาหารที่ผู้อื่นได้ปรุงไว้?  เจ้าไม่รู้สึกอับอายหรือ?  พวกเจ้าอาจดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงโดยการตรวจสอบบรรดาผู้ที่ดีงามพอเปรียบเทียบได้ว่า เจ้าเข้าใจความจริงมากแค่ไหน?  ในท้ายที่สุดแล้วเจ้านำมาปฏิบัติมากเพียงใด?  เจ้ารักใครมากกว่ากัน พระเจ้าหรือตัวเจ้าเอง?  เจ้าเป็นผู้ให้บ่อยกว่า หรือเป็นผู้รับบ่อยกว่า?  ในยามที่เจตนาของเจ้าผิด มีกี่ครั้งที่เจ้าได้กบฏต่อตัวตนเก่าของเจ้าและสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า?  แค่คำถามไม่กี่ข้อเหล่านี้ก็ทำให้ผู้คนมากมายงงงันแล้ว  สำหรับคนส่วนใหญ่ ต่อให้พวกเขาตระหนักว่าเจตนาของพวกเขาผิด พวกเขายังคงทำผิดทั้งที่รู้ และพวกเขาไม่มีทางใกล้เคียงกับการกบฏต่อเนื้อหนังของพวกเขาเองเลยแม้แต่น้อย  ผู้คนส่วนใหญ่ยอมให้บาปวิ่งเพ่นพ่านไร้การควบคุมอยู่ภายในตัวพวกเขา ยอมให้บาปชี้นำทุกการกระทำของพวกเขา  พวกเขาไร้ความสามารถที่จะเอาชนะบาปของพวกเขาได้ และพวกเขาก็ดำรงชีวิตอยู่ในบาปต่อไป  ครั้นได้มาถึงช่วงระยะปัจจุบันนี้แล้ว ใครเล่าที่ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ทำสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด?  หากเจ้ากล่าวว่าเจ้าไม่รู้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังโกหกแบบซึ่งหน้าโดยปราศจากความสำนึกผิด พูดอย่างเปิดอกได้ว่าทั้งหมดนั้นคือความไม่เต็มใจที่จะกบฏต่อตัวตนเดิมของเจ้า  อะไรหรือคือประโยชน์ของการกล่าว “คำพูดจากใจ” ในเชิงกลับใจแบบไร้ค่าอย่างมากมายเหลือเกิน?  การนี้ช่วยให้เจ้าเติบโตในชีวิตของเจ้าไหม?  สามารถกล่าวได้ว่าการรู้จักตัวเจ้าเองก็คืองานเต็มเวลาของเจ้า  เราทำให้ผู้คนเพียบพร้อมโดยผ่านทางการนบนอบของพวกเขาและการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าของพวกเขา  หากเจ้าเพียงนุ่งห่มพระวจนะของพระเจ้าเหมือนกับที่เจ้านุ่งห่มเสื้อผ้าของเจ้า เพียงเพื่อให้ดูหลักแหลมและดูโก้ พวกเจ้าไม่ได้กำลังหลอกตัวเองและผู้อื่นอยู่หรอกหรือ?  หากทั้งหมดที่เจ้ามีก็คือการพูดคุย และเจ้าไม่เคยนำการนั้นมาปฏิบัติเลย เจ้าจะบรรลุสิ่งใดเล่า?

ผู้คนมากมายสามารถพูดถึงการปฏิบัติได้นิดหน่อย และพวกเขาก็สามารถพูดถึงความประทับใจส่วนตัวของพวกเขา แต่ส่วนใหญ่แล้วนั่นคือความกระจ่างที่ได้รับจากคำพูดของผู้อื่น  นั่นไม่รวมถึงสิ่งใดจากการปฏิบัติส่วนตัวของพวกเขาเองเลย อีกทั้งนั่นก็ไม่ได้รวมถึงสิ่งที่พวกเขามองเห็นจากประสบการณ์ของพวกเขาด้วย  เราได้ชำแหละประเด็นนี้ไปแล้วก่อนหน้านี้ จงอย่าได้คิดว่าเราไม่รู้อะไรเลย  เจ้าเป็นเพียงเสือกระดาษ แต่เจ้าพูดถึงการกำราบซาตาน การเป็นคำพยานแห่งชัยชนะ และการใช้ชีวิตตามพระฉายาของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  นี่ล้วนไร้สาระสิ้นดี!  เจ้าคิดหรือว่า พระวจนะทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสในวันนี้มีไว้ให้เจ้าเลื่อมใส?  ปากของเจ้าพูดถึงการกบฏต่อตัวตนเดิมของตัวเองและการนำความจริงมาปฏิบัติ แต่มือของเจ้ายังดำเนินความประพฤติอื่น และหัวใจของเจ้ายังคิดวางแผนกลอุบายอื่น—เจ้าเป็นบุคคลประเภทใดกัน?  เหตุใดหัวใจและมือของเจ้าจึงไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกัน?  การเทศนามากมายได้กลายเป็นคำพูดว่างเปล่า นี่ไม่น่าหัวใจสลายหรอกหรือ?  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติได้ นั่นก็พิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่หนทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ เจ้ายังไม่ได้มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวเจ้า และเจ้ายังไม่ได้รับการทรงนำของพระองค์  หากเจ้ากล่าวว่าเจ้าเพียงมีความสามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้เท่านั้น แต่ไร้ความสามารถที่จะนำมาปฏิบัติได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือบุคคลที่ไม่รักความจริง  พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อช่วยบุคคลประเภทนี้ให้รอด  พระเยซูทรงทนทุกข์ความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่งเมื่อพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อช่วยพวกคนบาปให้รอด เพื่อช่วยคนยากไร้ให้รอด และเพื่อช่วยบรรดาผู้ที่ถ่อมใจให้รอด  การตรึงกางเขนของพระองค์ทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป  หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรจากไปทันทีที่เจ้าสามารถทำได้ จงอย่าได้อ้อยอิ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าในฐานะคนเอารัดเอาเปรียบ  ผู้คนมากมายถึงขั้นพบว่ายากที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ทำสิ่งทั้งหลายที่ต้านทานพระเจ้าอย่างชัดเจน  ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังร้องขอความตายหรอกหรือ?  พวกเขาสามารถพูดถึงการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้อย่างไรกัน?  พวกเขาจะมีความอาจหาญที่จะมองพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่?  การกินอาหารที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่เจ้า การทำสิ่งคดโกงที่ต่อต้านพระเจ้า การมุ่งร้าย การมีความเคลือบแฝง และการมีกลอุบาย แม้ขณะที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เจ้าชื่นชมพระพรที่พระองค์ประทานให้แก่เจ้า—เจ้าไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นเผาไหม้มือของเจ้า ตอนที่เจ้ารับสิ่งเหล่านั้นไว้หรอกหรือ?  เจ้าไม่รู้สึกว่าหน้าของเจ้าแดงขึ้นมาหรอกหรือ?  เมื่อได้ทำบางสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้าไปแล้ว เมื่อได้ดำเนินกลอุบายที่จะ “เป็นอันธพาล” ไปแล้ว เจ้าไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือ?  หากเจ้าไม่รู้สึกสิ่งใดเลย เจ้าจะสามารถพูดถึงอนาคตอันใดได้อย่างไรเล่า?  อนาคตสำหรับตัวเจ้านั้นมันไม่มีไปนานมาแล้ว ดังนั้น ความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าอันใดหรือที่เจ้ายังคงมีได้?  หากเจ้ากล่าวบางสิ่งที่ไร้ยางอาย แต่ไม่รู้สึกถึงการตำหนิใดเลย และหัวใจของเจ้าไม่มีความตระหนักรู้ เช่นนั้นไม่หมายความว่าเจ้าได้ถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้งแล้วหรอกหรือ?  การพูดและการกระทำตามอำเภอใจและอย่างไร้การยับยั้งชั่งใจนั้นได้กลายมาเป็นธรรมชาติของเจ้า เจ้าจะมีวันสามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร?  เจ้าจะสามารถเดินไปทั่วโลกได้อย่างไร?  ใครหรือที่จะถูกเจ้าโน้มน้าวให้เชื่อ?  ผู้ที่รู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของเจ้าจะรักษาระยะห่างของพวกเขา  นี่ไม่ใช่การลงโทษของพระเจ้าหรอกหรือ?  โดยรวมแล้ว หากมีเพียงคำพูดและไม่มีการปฏิบัติ ก็ไม่มีการเติบโต  แม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจกำลังทรงพระราชกิจกับเจ้าในขณะที่เจ้าพูด หากเจ้าไม่ปฏิบัติ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงหยุดพระราชกิจ  หากเจ้ายังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ จะสามารถมีการพูดถึงอนาคตหรือการมอบการเป็นอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้าต่อพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร?  เจ้าเพียงสามารถพูดถึงการถวายการเป็นอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้า แต่เจ้ายังไม่ได้ให้หัวใจที่รักพระเจ้าแท้จริงแก่พระองค์  ทั้งหมดที่พระองค์ได้รับจากเจ้าคือการอุทิศด้วยวาจาของเจ้า พระองค์ไม่ทรงได้รับความตั้งใจของเจ้าที่จะปฏิบัติความจริง  นี่อาจเป็นวุฒิภาวะที่จริงแท้ของเจ้าได้หรือไม่?  หากเจ้าจำต้องดำเนินต่อไปเช่นนี้ เมื่อใดเล่าที่เจ้าจะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า?  เจ้าไม่รู้สึกวิตกกังวลกับอนาคตที่มืดมนและหม่นหมองของเจ้าหรือไร?  เจ้าไม่รู้สึกว่าพระเจ้าทรงสูญสิ้นความหวังในตัวเจ้าไปแล้วหรือไร?  เจ้าไม่รู้หรือว่าพระเจ้าทรงพึงปรารถนาที่จะทำให้ผู้คนใหม่ๆ จำนวนมากขึ้นมีความเพียบพร้อม?  สิ่งเก่าๆ จะสามารถยืนตำแหน่งไว้ได้หรือ?  เจ้าไม่ใช่กำลังให้ความสนใจกับพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ นั่นก็คือ เจ้ากำลังรอวันพรุ่งนี้อยู่หรือ?

ก่อนหน้า: ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริง เจ้าควรนำมันไปสู่การปฏิบัติ

ถัดไป: ผู้เลี้ยงที่เหมาะสมควรเตรียมตัวให้พร้อมสรรพด้วยสิ่งใดบ้าง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger