การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (2)

ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมกันว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร  พวกเรามาเริ่มด้วยการทบทวนว่า การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  เจ้ามีคำตอบให้กับคำถามนี้หรือไม่?  หลังการสามัคคีธรรมครั้งที่แล้ว พวกเจ้าได้ใคร่ครวญเรื่องนี้บ้างหรือไม่?  หลังจากที่พวกเราสามัคคีธรรมบางหัวข้อเสร็จแล้ว เจ้าจำเป็นต้องใคร่ครวญหัวข้อเหล่านั้น จากนั้นก็มีประสบการณ์และก้าวผ่านเรื่องเหล่านั้นในชีวิตจริงของเจ้าในลักษณะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถได้รับความรู้ที่แท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเข้าใจและซาบซึ้งในคุณค่าของหัวข้อที่เจ้าได้ใคร่ครวญแล้วนั้นอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถนำเสนอประสบการณ์และความรู้ที่แท้จริงได้  ย่อมเป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้นพวกเจ้าได้ใคร่ครวญคำถามนี้หรือไม่?  การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  การไล่ตามเสาะหาความจริงมีองค์ประกอบอะไรมาเกี่ยวข้องบ้าง?  พ่วงเอาอะไรมาด้วยเป็นหลัก?  พวกเจ้าสรุปเรื่องเหล่านี้หรือยัง?  (ครั้งที่แล้วพระเจ้าทรงเริ่มด้วยการสามัคคีธรรมถึงแนวคิด ทัศนะ และท่าทีที่ผิดพลาดนานัปการที่มนุษย์มีเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริง จากนั้นพระเจ้าก็ทรงสามัคคีธรรมในรายละเอียดเรื่องขั้นตอนทั้งห้าของการไล่ตามเสาะหาความจริง)  โดยพื้นฐานแล้วมีส่วนสำคัญอยู่สองส่วนในสามัคคีธรรมครั้งที่แล้วคือ สภาวะที่คิดลบหรือทัศนะผิดๆ บางอย่างที่หลายคนมีเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริง ความเข้าใจผิดที่มนุษย์มีต่อการไล่ตามเสาะหาความจริง ตลอดจนข้ออ้างและเหตุผลที่ผู้คนใช้สร้างความชอบธรรมให้กับการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง—นั่นคือส่วนสำคัญส่วนแรก  ส่วนที่สองคือสามัคคีธรรมถึงวิธีไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งมีอยู่ห้าขั้นตอน  แม้จะมีเพียงสองส่วน แต่พวกเราก็ลงรายละเอียดและพูดถึงส่วนประกอบปลีกย่อยของแต่ละส่วนไปมากมาย  เราได้เผยให้เห็นความรู้และความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนบางอย่างที่มนุษย์มีต่อการไล่ตามเสาะหาความจริง และเราก็ได้เปิดเผยความยากลำบากหลายประการที่มนุษย์มีในการไล่ตามเสาะหาความจริง รวมทั้งข้ออ้าง ข้อแก้ตัว และเหตุผลบางประการซึ่งผู้ที่เบื่อหน่ายความจริงใช้สร้างความชอบธรรมให้แก่การไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย  ท่าทีและความคิดอ่านเชิงลบอันนิ่งเฉยที่ผู้คนแสดงออกมาเวลาไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นสอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตและการไล่ตามเสาะหาที่พวกเขายึดถือในชีวิตจริง รวมทั้งท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง—ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกับพฤติกรรมอันชัดแจ้งและการพรั่งพรูอันชัดเจนที่ผู้คนแสดงออกมาทั้งสิ้น  จากนั้นเราก็ได้ให้วิธีการและขั้นตอนการปฏิบัติบางอย่างที่ชัดเจนเกี่ยวกับเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง  ทั้งหมดนั้นชัดเจนสำหรับพวกเจ้าหรือไม่?  (ชัดเจน)  จริงหรือ?  เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่พูดอะไรบ้าง?  ดูเหมือนว่าสำหรับพวกเจ้าแล้ว นั่นยังไม่ชัดเจนเท่าใดนัก มีเรื่องที่พวกเราจำเป็นต้องสามัคคีธรรมกันอีก

เรื่องใหญ่ที่สุดในการเชื่อในพระเจ้าคือการไล่ตามเสาะหาความจริง  การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  เมื่อเป็นเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริง ทั้งหมดที่ผู้คนสำแดงออกมาเผยให้เห็นปัญหาและความยากลำบากมากมายของพวกเขา ผู้คนมีข้ออ้างและเหตุผลสารพัดอย่างที่จะใช้สร้างความชอบธรรมให้กับการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง—กำแพงที่ขวางกั้นอยู่นั้นสูงใหญ่มากทีเดียว  เนื่องด้วยความยากลำบากนานาประการของผู้คน พวกเขาจึงดูเหมือนลำบากและอึดอัดใจอย่างมากเวลาที่ต้องไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาคิดไปว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นยากมาก  ที่จริงแล้วคำถามที่ว่า—“การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?”—โดยตัวมันเองเป็นคำถามที่ตอบง่าย ดังนั้น เหตุใดผู้คนจึงไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริง?  อะไรคือสาเหตุ?  ทุกคนต่างก็โอ่ว่าตนมีมโนธรรมและสำนึก ว่าตนนั้นเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง สามารถทำให้หน้าที่ของตนลุล่วงได้ เต็มใจที่จะทนทุกข์และพร้อมที่จะจ่ายราคา  ในเมื่อมีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้เป็นรากฐานของพวกเขา แล้วเหตุใดพวกเขาจึงออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ได้?  พวกเขามีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีหน้าตาที่ใหญ่โตปานนั้น พวกเขามีเจตจำนง ความมุ่งมาด และความปรารถนาในการไล่ตามเสาะหาของตน พวกเขามีความพยายามของตน มีเจตจำนงที่จะสู้ทนความทุกข์ยาก และมีท่าทีของการยอมลำบาก พวกเขามีท่าทีของการโหยหาที่จะยอมรับความจริง ซึ่งเป็นท่าทีเชิงบวกที่แข็งขันและมองสูง  เมื่อมีสิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานของพวกเขา เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง?  เหตุใดพวกเขาจึงสัมฤทธิ์การไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ได้?  รากเหง้าของปัญหาอยู่ตรงที่ใด?  (ธรรมชาติของมนุษย์ไม่รักความจริงและเบื่อหน่ายความจริง)  นั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง  สาเหตุสำคัญที่สุดก็คือผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์คืออุปนิสัยของซาตาน สิ่งใดก็ตามที่เป็นของซาตานย่อมตรงข้ามกับพระเจ้าและความจริง  เพราะฉะนั้นการขอให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงจึงเท่ากับการให้พวกเขาละทิ้งชีวิตและลักษณะเฉพาะตัวที่มีมาแต่กำเนิด รวมทั้งวิธีไล่ตามเสาะหาและทัศนคติเฉพาะตัวที่พวกเขามีต่อชีวิต การปล่อยมือจากสิ่งที่ผิดเหล่านี้ ละทิ้งความชอบส่วนตนทางด้านเนื้อหนัง หันมาไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงซึ่งเนื้อหนังของพวกเขาไม่ชอบ เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มี และเป็นสิ่งที่พวกเขานึกดูถูก รังเกียจ และปฏิเสธ—นี่คือสิ่งที่ยากสำหรับพวกเขา  การขอให้เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงเทียบเท่ากับการขอให้เจ้าปล่อยมือจากชีวิตที่เจ้ามีมาแต่กำเนิด  นั่นก็เหมือนกับการให้เจ้ายอมพลีชีวิตมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือการที่เจ้ายอมสละชีวิตของตนเอง  ผู้คนเต็มใจที่จะยกชีวิตของตนให้กับสิ่งต่างๆ หรือไม่?  (ไม่เต็มใจ)  ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา พวกเขากล่าวว่า “ฉันจะไม่ทำ”—ร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้งก็คือ “ฉันจะไม่ทำ”  ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นการยากที่ผู้คนจะปล่อยมือจากสิ่งที่เป็นของซาตานซึ่งพวกเขาถือครองมาแต่กำเนิด  นี่คือข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่พวกเจ้าผ่านประสบการณ์มาแล้วอย่างลึกล้ำและแท้จริง  ลึกลงไปในหัวใจของผู้คน พวกเขาไม่เต็มใจที่จะละทิ้งเนื้อหนัง หรือละทิ้งชีวิตของตนซึ่งเป็นชีวิตที่มีธรรมชาติและแก่นแท้เป็นของซาตาน หรือละทิ้งลักษณะเฉพาะตัวเยี่ยงซาตานหรือธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่ตนมีมาแต่กำเนิดเพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  ดังนั้นสำหรับผู้ที่มีธรรมชาติเยี่ยงซาตานและใช้ชีวิตตามอุปนิสัยของซาตานแล้ว การรักและไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมสวนทางกับเจตจำนงของพวกเขา และพวกเขาก็ลังเลที่จะทำเช่นนั้น  รากเหง้าของการนี้คืออะไร?  คือการที่ลักษณะเฉพาะภายในตัวมนุษย์เป็นของซาตาน มีเนื้อแท้ที่ตรงข้ามกับพระเจ้า  ดังนั้น หลังจากที่ผู้คนได้ฟังและเข้าใจความจริงแล้ว จึงมีเพียงผู้ที่รักความจริง เต็มใจที่จะพากเพียรขึ้นมาเพื่อความจริงและจ่ายราคา รวมทั้งมีเจตจำนง ความมุ่งมาด และความปรารถนาเช่นนี้เท่านั้น ที่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ทันทีที่พวกเขาเข้าใจความจริง  เฉพาะพวกเขาเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตตามความจริงและใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของความจริง  มีหลายคนที่เต็มใจปฏิบัติความจริง แต่พวกเขาก็ถูกธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนขัดขวาง พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติความจริง แม้พวกเขาอาจปรารถนาที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม  ข้อเท็จจริงก็คือการปฏิบัติความจริงในชีวิตจริงเป็นเรื่องที่ทำยากมาก  การขอให้เจ้าปล่อยมือจากเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่เจ้าโปรดปราน หรือสิ่งที่เจ้าชอบใจ หรืองานและอาชีพที่เจ้าชื่นชอบ หรือจุดแข็งและงานอดิเรกของเจ้า หรืออะไรทำนองนั้น ก็เป็นเรื่องหนึ่ง  เจ้าสามารถละทิ้งสิ่งใดๆ เหล่านี้ได้ เป็นสิ่งที่วางมือง่าย  แต่การให้เจ้าละทิ้งเนื้อหนังของตนและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้า เพื่อมาปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า—นั่นยากกว่ามาก  หากจะบรรยายโดยใช้สำนวนที่ไม่ค่อยตรงนัก ก็ย่อมจะเหมือนการต้อนเป็ดขึ้นคอน หรือให้กระทิงปีนต้นไม้—สิ่งเหล่านี้ยากเย็นเกินไปสำหรับสัตว์เหล่านั้น  อนึ่งการให้แมวขึ้นต้นไม้ย่อมจะง่าย นั่นเป็นธรรมชาติของพวกแมว  แต่เป็นไปไม่ได้เลยทีเดียวที่จะให้แมวสักตัวกินหญ้าแห้งแทนเนื้อ  หากเจ้าขอให้คนคนหนึ่งทนทุกข์บ้าง ยอมลำบากบ้าง และใช้ชีวิตอย่างถ่อมใจไปตลอดชีวิต นั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครที่มีเจตจำนงที่จะทำเช่นนั้นย่อมสัมฤทธิ์ได้  อันที่จริง ความยากลำบากทางกายไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและโหยหาความจริงโดยแท้  ตัวอย่างเช่น การไม่หลงระเริงไปกับความสุขสบายทางเนื้อหนัง หรือนอนให้น้อยลงในแต่ละวัน หรือมีชีวิตที่ลำบากต่อเนื่องกันสักสิบปี หรือพออยู่ได้ด้วยอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย และการคมนาคมขนส่งที่แย่เอามากๆ—ความทุกข์ยากและราคาเช่นนี้ไม่ว่าผู้ใดก็รับได้ ตราบใดที่พวกเขามีเจตจำนงที่จะทำเช่นนี้ เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง และมีความยับยั้งชั่งใจบ้าง  แต่หากเจ้าขอให้ใครบางคนละทิ้งเนื้อหนังและซาตาน ปฏิบัติตนตามพระประสงค์ของพระเจ้าและตามพระวจนะของพระองค์ทุกประการ ปฏิบัติตามความจริงและสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าด้วยประการฉะนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมจะมองเรื่องนั้นว่ายาก  ความยากลำบากของมนุษย์อยู่ตรงนั้น  ดังนั้นในการไล่ตามเสาะหาความจริง จึงไม่ใช่แค่ว่าผู้คนสามารถตั้งปณิธานและลุยทำได้ หรือสามารถยับยั้งชั่งใจและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ได้ แล้วจากนั้นก็สามารถนำความจริงไปปฏิบัติและมีความจริง  การไล่ตามเสาะหาความจริงคือสิ่งที่ยากที่สุดและลำบากที่สุดที่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจะทำ  รากเหง้าของปัญหานี้เกิดจากอะไร?  (เกิดจากอุปนิสัยของซาตาน)  นั่นถูกต้อง  อุปนิสัยของซาตานเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวงที่สุดของมนุษย์  คนเราอาจมีขีดความสามารถที่อ่อนด้อย หรือมีภาวะอารมณ์และบุคลิกภาพที่ไม่ดี พวกเขาอาจไม่มีจุดแข็ง ความสามารถพิเศษ หรือพรสวรรค์ให้พูดถึงเลย—สิ่งเหล่านี้ย่อมจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่ท้าทายพวกเขา  ท้ายที่สุดแล้วปัญหาเกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามควบคุมมือเท้าของผู้คน จิตใจและแนวคิดของพวกเขา ความคิดอ่าน วิธีคิด และส่วนลึกในดวงจิตของพวกเขาเอาไว้อย่างเหนียวแน่นเสียจนทุกตารางนิ้วบนทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นยากที่พวกเขาจะเดิน  คนเราอาจจะเชื่อในพระเจ้านานสามหรือห้าปีโดยไม่ได้อะไรสักอย่าง ถึงกับมีบางคนที่เชื่อมานานสิบ ยี่สิบ หรือสามสิบปี และได้รับแต่สิ่งที่ฉาบฉวยจากการเชื่อนั้น  และพวกเขาบางคนก็ไม่ได้รับอะไรเลย—ผู้คนที่ไม่ได้อะไรติดมือไปนั้นช่างยากแค้นและน่าเวทนาเสียจริง!  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาสามสิบปีแล้ว แต่ยังคงอัตคัดและมืดบอด ไม่ได้ประโยชน์อันใดจากการนั้น  เมื่อพวกเขาตกอยู่ในความคิดลบ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะออกจากตรงนั้นอย่างไร เมื่อพวกเขาตกอยู่ในความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะขจัดความเข้าใจผิดเหล่านั้นอย่างไร  เวลาที่ความทุกข์ร้อนบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญมันอย่างไร และไม่รู้ว่าจะแก้ไขความยากลำบากเช่นนั้นอย่างไร  การใช้แต่พลังใจของตนในการหักห้ามใจตนเอง หรือการพึ่งพาความอดทนของคนเราเพื่อที่จะบุกบั่นไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด จะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้หรือไม่?  ผู้คนอาจจะย่ำผ่านสถานการณ์ต่างๆ ไปทีละก้าวจนผ่านพ้นมันไป แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขายังคงอยู่ ยังไม่ได้รับการแก้ไข  ไม่ว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์กับความคิดลบ หรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า หรือมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า หรือล้มเหลว ล้มลง และอ่อนแอมากี่ครั้งแล้วก็ตาม จนถึงวันนี้พวกเขาก็ยังคงให้คำพยานจากประสบการณ์ไม่ได้แม้แต่น้อย และไม่มีอะไรสักอย่างให้พูดถึงเกี่ยวกับความรู้ ประสบการณ์ หรือการที่ตนได้สัมผัสพระวจนะของพระเจ้า  หัวใจของพวกเขาว่างเปล่า ลึกลงไปในดวงจิตของพวกเขานั้นว่างเปล่า  พวกเขาไม่มีความเข้าใจในความจริงอันเป็นความเข้าใจที่เกิดจากประสบการณ์ และพวกเขาก็ไม่มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาห่างไกลจากการรู้จักพระราชกิจและพระอุปนิสัยของพระองค์มากขึ้นด้วยซ้ำ  พวกเขาย่อมยากแค้น มืดบอด และน่าเวทนามิใช่หรือ?  (ใช่แล้ว)  หากใครบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีก็ไร้ประโยชน์  แล้วเหตุใดคนคนหนึ่งจึงยอมปล่อยให้ตนเองมาถึงจุดนี้?  สาเหตุอยู่ตรงที่ใด?  นี่ก็เช่นกัน ปัญหาเกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  นี่คือสาเหตุที่เป็นข้อเท็จจริง

พวกเราได้อธิบายชัดเจนแล้วว่าสาเหตุในเชิงข้อเท็จจริงของการที่ผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร  บัดนี้พวกเราจะกล่าวถึงสาเหตุที่เกิดจากตัวบุคคลกันบ้าง  สาเหตุในส่วนของตัวบุคคลก็คือ แม้ผู้คนอาจจะเรียนรู้จากพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะทั้งปวงของพระองค์ หรือจากชีวิตจริงของตนแล้วว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่พวกเขาก็ไม่เคยนำพระวจนะของพระเจ้าและความจริงมาเทียบดูตนเอง พวกเขาไม่เคยทำความรู้จักและละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และพวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  กลายเป็นว่าแม้พวกเขาอาจจะทุ่มเทและยอมสละไปมากบนทางแห่งการเชื่อในพระเจ้า แม้พวกเขาอาจจะทำงานหนักมาก ทุกข์ทนมาก และยอมจ่ายไปหลายราคาบนถนนสายนั้น แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงพฤติกรรมภายนอกเท่านั้น ไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าคนเราออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว  ผู้คนที่ทนทุกข์ที่สุดคือผู้ที่เริ่มติดตามพระเจ้าในสมัยแรกๆ รับทำหน้าที่ของตนตอนที่พวกเขาอยู่ในวัยประมาณยี่สิบปี  ตอนนี้ผู้คนเหล่านี้มีอายุราวห้าสิบปีและยังคงเป็นโสด  เจ้าอาจกล่าวได้ว่าพวกเขาได้อุทิศวัยหนุ่มสาวของตนให้แก่ความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้า และปล่อยมือจากครอบครัวและชีวิตสมรสไปแล้ว  นั่นเป็นราคาที่สูงหรือไม่?  (สูง)  พวกเขายอมทิ้งวัยหนุ่มสาวของตนและยกทั้งชีวิตให้ แล้วได้ผลเช่นไร?  ราคาที่พวกเขาจ่ายไปนั้นสูงมาก แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับในท้ายที่สุดกลับไม่ทัดเทียมหรือสอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาจ่ายไป  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  ตามท่าทีและปณิธานที่พวกเขาใช้ในการจ่ายราคา ระยะเวลา จำนวน และระดับของสิ่งที่พวกเขาจ่ายไป ย่อมจะดูเหมือนว่าพวกเขาควรที่จะเข้าใจความจริงและสามารถปฏิบัติความจริงได้  เจ้าย่อมจะคิดว่าพวกเขาควรที่จะมีคำพยานและหัวใจที่เคารพพระเจ้า พวกเขาควรที่จะรู้จักพระเจ้า พวกเขาพึงออกเดินไปบนเส้นทางที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วแล้ว พวกเขาพึงเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงแล้ว  แต่อันที่จริงนั่นเป็นเพียงการคาดคะเนตามหลักเหตุผลเท่านั้น—สองสิ่งนี้สัมพันธ์กันในเชิงตรรกะเท่านั้น ไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงหรือสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  พวกเราควรที่จะตรวจสอบและเสวนาเรื่องนี้กันมิใช่หรือ?  นี่เป็นปัญหาที่สมควรตรึกตรองให้ลึกซึ้งมิใช่หรือ?  (ใช่)  ท่ามกลางผู้ที่ยอมรับพระราชกิจขั้นตอนนี้ของพระเจ้ามาสองหรือสามปีแล้ว มีมากมายหลายคนที่มีประสบการณ์และคำพยาน  พวกเขาเป็นพยานยืนยันว่าพระวจนะของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงพวกเขาและทำให้พวกเขากลายเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ พวกเขาเป็นพยานยืนยันว่าพระวจนะของพระเจ้าเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าใจความจริงบนทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาเป็นพยานยืนยันว่าพระวจนะของพระเจ้าได้แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา ความโอหังและความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของพวกเขา ความเป็นกบฏ การถวิลหาสถานะ ความทะเยอทะยาน และความอยากได้อยากมีของพวกเขา เป็นต้น  เพียงสองหรือสามปีหลังการเชื่อในพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ก็มีประสบการณ์และคำพยานได้ พวกเขามีความเข้าใจอันลึกซึ้งในพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นความเข้าใจที่เกิดจากประสบการณ์ และพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความเที่ยงแท้แห่งพระวจนะของพระองค์  แล้วเหตุใดบางคนที่เชื่อในพระเจ้ามานานยี่สิบหรือสามสิบปี จ่ายราคาไปมากมายหลายอย่าง ทุกข์ทนเหลือเกิน และวิ่งเต้นมากนัก แต่ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขาและในโลกทางฝ่ายวิญญาณของพวกเขากลับยังคงกลวงและว่างเปล่า?  ผู้คนมากมายที่อยู่ในภาวะเช่นนี้มักจะรู้สึกหลงทาง  พวกเขาพูดเสมอว่า “ฉันไปต่อไม่ถูกเลย”  เราย่อมกล่าวว่า “บัดนี้เจ้าเชื่อในพระเจ้ามายี่สิบหรือสามสิบปีแล้ว  เจ้ายังคงหลงทางอยู่ได้อย่างไร?  เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ได้อะไรเลย”  จนถึงทุกวันนี้บางคนก็ยังคงคิดลบและอ่อนแอ  พวกเขากล่าวว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีนักแล้ว แล้วฉันได้อะไร?”  บ่อยครั้งเมื่อพวกเขาคิดลบและอ่อนแอ หรือถูกลิดรอนสถานะและผลประโยชน์ หรือเมื่อความไม่เป็นแก่นสารของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนอง พวกเขาก็ตำหนิพระเจ้าและเสียใจที่มาเชื่อในพระองค์นานหลายปีเช่นนี้  พวกเขาเสียใจที่เชื่อพระวจนะของพระองค์ในตอนแรก พวกเขาเสียใจที่ปล่อยมืออย่างเด็ดเดี่ยวจากการงานของตน จากชีวิตสมรสและครอบครัว จากโอกาสที่จะเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อมาติดตามพระเจ้า  พวกเขาบางคนถึงกับคิดที่จะออกจากคริสตจักร  เวลานี้พวกเขาเต็มไปด้วยความเสียใจในความเชื่อของตน—เหตุใดพวกเขาจึงถึงกับสนใจที่จะเชื่อตั้งแต่แรก?  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามายี่สิบหรือสามสิบปี พวกเขาได้ฟังความจริงไปแล้วมากมาย และมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าไปมากนัก ทว่าส่วนลึกในหัวใจของพวกเขายังคงว่างเปล่า แล้วพวกเขาก็มักจะจมจ่อมอยู่ในภาวะที่อลหม่าน สับสน เสียใจ ลังเล และถึงกับไม่แน่ใจในอนาคตของตนเอง—อะไรทำให้เป็นเช่นนี้?  ผู้คนเช่นนี้สมควรได้รับความสงสารหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นผู้คนเหล่านี้ เมื่อใดก็ตามที่เราได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับพวกเขาและได้รู้ความเป็นไปของพวกเขาในช่วงที่ผ่านมา เราก็สังหรณ์ใจในเรื่องของพวกเขา  เรานึกถึงพวกเขาขึ้นมา  เหตุใดเราจึงรู้สึกคุ้นๆ กับภาวะและโลกภายในตัวของพวกเขานัก?  แม้กระทั่งตอนนี้พวกเขาก็ยังคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ—พวกเขาพึ่งพาสิ่งใดอยู่?  ใช่ชุดความคิดเรื่องความรอดโดยพระคุณหรือไม่?  ใช่ชุดความคิดว่าหากคนเราติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง แน่นอนว่านี่ย่อมจะนำไปสู่ความรอดหรือไม่?  หรือเป็นวิธีคิดที่อิงโชคและโอกาส?  ไม่ใช่อะไรเหล่านี้เลย  เช่นนั้นแล้วเป็นสิ่งใด?  นี่เหมือนที่เปาโลกล่าวไว้นั่นเองว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8)  หากจะวิเคราะห์ข้อความนี้และกล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ ถ้อยคำเหล่านี้มีลักษณะของการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนในตัวเอง มีท่าที แนวคิด และแผนการที่จะทำข้อตกลงอยู่ในนั้น ถ้อยคำเหล่านี้เกิดจากความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยาน  เจ้ามองเห็นข้อเท็จจริงอันใดในถ้อยคำเหล่านี้?  ผู้คนไล่ตามเสาะหาอะไรในการเชื่อในพระเจ้า?  (มงกุฎและพร)  ใช่แล้ว  พวกเขาไล่ตามเสาะหาพรและบั้นปลายอันดีงาม  แล้วพวกเขาจะเอาอะไรมาแลกเป็นบั้นปลายอันดีงามนั้นกับพรทั้งหลาย?  พวกเขาจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งเหล่านี้?  (การตรากตรำและน้ำพักน้ำแรงของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาพลีอุทิศและลงทุนจ่ายไป การทนทุกข์และการจ่ายราคาของพวกเขา)  หากจะใช้คำพูดของเปาโลก็คือ พวกเขาได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง พวกเขาได้วิ่งแข่งจนครบถ้วนแล้ว  พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาได้ทำทุกสิ่งที่ตนควรทำ และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงควรได้รับบั้นปลายอันดีงามและพรที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้ให้แก่มวลมนุษย์  พวกเขาคิดว่าไม่ต้องพูดก็ได้ว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าควรทำ—สิ่งที่พระองค์ต้องทำ—และหากพระองค์ไม่ทำ พระองค์ย่อมจะไม่ใช่พระเจ้า  เห็นได้ชัดว่านี่ไม่มีการเชื่อฟังพระเจ้า ไม่มีท่าทีของการไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่มีท่าทีหรือแผนการที่จะทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วง  นี่เป็นเพียงความปรารถนาที่จะนำอะไรไม่กี่อย่างที่พวกเขาสามารถทำได้มาแลกเป็นพรที่พระเจ้าทรงสัญญากับมวลมนุษย์เอาไว้  ดังนั้นผู้คนที่พวกเราเพิ่งจะพูดถึงจึงมักจะรู้สึกว่าโลกภายในตัวของพวกเขามีความว่างเปล่าอยู่ ว่าลึกลงไปในหัวใจของตน พวกเขาไม่มีอะไรให้พึ่งพา กระนั้นพวกเขาก็ยังเดินต่อไปอย่างที่ทำเสมอมา จ่ายราคาเช่นนั้นและทุกข์ทนอยู่เช่นนั้น ตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้และวิ่งแข่ง  พวกเขาพึ่งพาสิ่งใด?  เป็นคำพูดที่ยกมาของเปาโลที่พวกเขายึดเกาะและเชื่ออย่างมืดบอดนั่นเองที่พยุง “ความเชื่อ” ของพวกเขาเอาไว้  พวกเขาพึ่งพาความทะเยอทะยานและความอยากได้รางวัล ความอยากมีมงกุฎของตน พวกเขาพึ่งพาความฝันที่จะใช้การแลกเปลี่ยนเชิงธุรกรรมมาทำให้ตนได้รับพรอันยิ่งใหญ่  พวกเขาไม่พึ่งพาการเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า หรือประสบการณ์และความรู้ที่ได้จากการไล่ตามเสาะหาความจริงระหว่างที่สละตนเพื่อพระเจ้าไปด้วย  นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาพึ่งพา

เมื่อดูสิ่งที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไป คนเราก็สามารถมองเห็นว่าบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง แม้จะมีความท้าทายเป็นอันมากที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง มีโซ่ตรวนและข้อจำกัดที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ตลอดจนความยากลำบากและอุปสรรคมากมายหลายอย่าง แต่คนเราก็ควรเชื่อว่าตราบใดที่คนเรามีความเชื่อที่แท้จริง ตราบนั้นด้วยการพึ่งพาการชี้นำจากพระวจนะของพระเจ้าและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาย่อมจะออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างสมบูรณ์  เปโตรคือตัวอย่างในเรื่องนี้  ในความเชื่อที่ผู้คนมีในพระเจ้า หลายคนมุ่งเน้นแต่การทำงานให้พระเจ้า พวกเขาพอใจที่จะทนทุกข์และจ่ายราคาเท่านั้น แต่กลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใด  ผลก็คือหลังจากเชื่อในพระองค์นานสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี พวกเขากลับไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริง และไม่สามารถพูดถึงประสบการณ์หรือสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้าได้  เมื่อพวกเขาพยายามที่จะกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตนในระหว่างการชุมนุมบ้าง พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะกล่าว พวกเขาไม่รู้เลยว่าตนจะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมเป็นเช่นนี้  ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้เชื่อมากี่ปีแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริง และยิ่งไม่สามารถปฏิบัติความจริง  ผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใดจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้อย่างไร?  มีบางคนที่ไม่สามารถมองเห็นปัญหานี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  พวกเขาเชื่อว่าหากผู้คนที่กล่าวถ้อยคำและวลีต่างๆ ตามคำสอนมาปฏิบัติความจริง คนเหล่านั้นย่อมจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้เช่นกัน  นี่ถูกต้องหรือไม่?  โดยธรรมชาติแล้วผู้คนที่ท่องบ่นถ้อยคำและวลีต่างๆ ตามคำสอนย่อมไม่สามารถเข้าใจความจริงได้—ดังนั้นพวกเขาจะปฏิบัติความจริงได้อย่างไร?  สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติดูเหมือนไม่ได้ละเมิดความจริง ดูเป็นการทำดีและเป็นพฤติกรรมที่ดีงาม แต่จะเรียกการทำดีและพฤติกรรมอันดีงามนั้นว่าเป็นความเป็นจริงของความจริงได้อย่างไร?  ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่รู้ว่าความเป็นจริงของความจริงคืออะไร พวกเขาคิดว่าการทำดีและพฤติกรรมอันดีงามของผู้คนคือการปฏิบัติความจริง  นี่ไร้สาระมิใช่หรือ?  นี่แตกต่างจากความคิดอ่านและทัศนะของผู้คนในโลกศาสนาอย่างไรบ้าง?  แล้วจะแก้ปัญหาเรื่องความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเช่นนี้ได้อย่างไร?  ก่อนอื่นผู้คนต้องเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจากพระวจนะของพระองค์ พวกเขาควรรู้ว่าการเข้าใจความจริงคืออะไร และการปฏิบัติความจริงคืออะไร เพื่อให้สามารถมองดูผู้อื่นและมีวิจารณญาณแยกแยะได้ว่าที่จริงแล้วคนเหล่านั้นเป็นเช่นไร และสามารถบอกได้ว่าคนเหล่านั้นมีความเป็นจริงของความจริงหรือไม่  พระราชกิจและการช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าหมายที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจและปฏิบัติความจริง เมื่อนั้นเท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน กระทำการตามหลักธรรม และเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพอใจกับการสละ การทนทุกข์ และการจ่ายราคาเพื่อพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้าเท่านั้น ทุกสิ่งที่เจ้าทำจะแสดงว่าเจ้าปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้ากระนั้นหรือ?  ทุกสิ่งที่เจ้าทำจะพิสูจน์ให้เห็นกระนั้นหรือว่าเจ้าได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าไปแล้ว?  นั่นจะแสดงให้เห็นหรือไม่ว่าเจ้ารู้จักพระเจ้าโดยแท้?  ไม่  ดังนั้นทุกสิ่งที่เจ้าทำจะแสดงให้เห็นสิ่งใด?  นั่นย่อมแสดงให้เห็นได้แต่เพียงความชอบส่วนตน ความเข้าใจ และความคิดฝันเฟื่องของเจ้าเท่านั้น  ย่อมเป็นแต่เพียงสิ่งที่เจ้าชอบทำ สิ่งที่เจ้าเต็มใจทำเท่านั้น ทุกสิ่งที่เจ้าทำย่อมตอบสนองความอยากได้อยากมี เจตจำนง และอุดมคติของเจ้าเองเท่านั้น  เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง  การกระทำหรือพฤติกรรมของเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงหรือพระประสงค์ของพระเจ้า  การกระทำและพฤติกรรมทั้งปวงของเจ้าเป็นไปเพื่อตัวเจ้าเอง เจ้ากำลังทำงาน กำลังต่อสู้ และวิ่งเต้นเพื่ออุดมคติ ความมีหน้ามีตา และสถานะของเจ้าเองเท่านั้น—นี่ทำให้เจ้าไม่ต่างจากเปาโลที่ตรากตรำและทำงานตลอดชีวิตของเขาเพียงเพื่อให้ได้รับรางวัล มงกุฎ และได้เข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์เท่านั้น—นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเปาโลอย่างชัดเจน  บางคนกล่าวว่า “ฉันตรากตรำและทำงานด้วยความเต็มใจ  ฉันไม่ได้พยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้า”  ไม่สำคัญว่าจะเป็นไปในทางใด ไม่ว่าเจ้าจะพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะมีเจตนาที่จะยื่นข้อตกลงให้พระเจ้าอยู่ในจิตใจหรือท่าทีของเจ้าหรือไม่—ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนการและเป้าหมายเช่นนั้นหรือไม่—เจ้าก็กำลังพยายามนำเอาการตรากตรำและงานของเจ้า ความทุกข์ยากของเจ้า และราคาที่เจ้าได้จ่ายไปนั้นมาแลกเปลี่ยนเป็นรางวัลและมงกุฎแห่งราชอาณาจักรสวรรค์  แก่นแท้ของปัญหานี้ก็คือเจ้ากำลังพยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้า—เพียงแต่เจ้าไม่รู้ตัวว่าเจ้ากำลังทำเช่นนั้น  ไม่ว่าอย่างไร ตราบใดที่ใครบางคนก้าวผ่านความทุกข์ยากและจ่ายราคาเพื่อให้ได้รับพร แก่นแท้ของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาก็ย่อมเหมือนกับของเปาโล  เหมือนกันอย่างไร?  ทั้งสองกรณีต่างก็พยายามที่จะเอาพฤติกรรมอันดีงามของคนเรา—อาทิ น้ำพักน้ำแรงของพวกเขา ความทุกข์ยากที่พวกเขาประสบ ราคาที่พวกเขาจ่ายไป และอื่นๆ—มาแลกเป็นพรจากพระเจ้า แลกเป็นพรที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับมวลมนุษย์  สิ่งเหล่านี้มีแก่นแท้ที่เหมือนกันมิใช่หรือ?  (ใช่)  สิ่งเหล่านี้มีแก่นแท้ที่เหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกันโดยแท้  หากเจ้าไม่ปรารถนาที่จะเดินไปบนเส้นทางของเปาโล แต่เป็นเส้นทางของเปโตร และเจ้าปรารถนาที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า เจ้าควรปฏิบัติอย่างไร?  ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  เจ้าต้องสามารถยอมรับความจริง ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ตลอดจนการถูกตัดแต่งและจัดการ เจ้าต้องมุ่งเน้นการรู้จักตนเอง สร้างความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า และเสาะแสวงที่จะรักพระเจ้า  นั่นคือความหมายของการเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและออกเดินไปบนเส้นทางของเปโตร  การเดินไปตามเส้นทางของเปโตรนั้น เจ้าต้องเข้าใจเสียก่อนว่าพระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใดจากมนุษย์และพระเจ้าทรงชี้เส้นทางเช่นใดให้แก่มนุษย์  เจ้าต้องสามารถแยกแยะเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าที่นำไปสู่ความรอด ออกจากเส้นทางที่นำไปสู่ความพินาศและการทำลายล้าง  เจ้าจำเป็นต้องคิดทบทวนอย่างแท้จริงว่าเหตุใดเจ้าจึงมาเดินบนเส้นทางของเปาโลได้ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นอุปนิสัยใดที่สั่งการให้เจ้าเดินบนเส้นทางนั้น  เจ้าควรดูให้ออกว่าสิ่งที่โดดเด่นและเห็นชัดที่สุดในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าคืออะไร เช่น ความโอหัง หรือความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง หรือความชั่ว  จงไตร่ตรอง วิเคราะห์ และทำความรู้จักตนเองโดยเริ่มจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้  หากเจ้าสัมฤทธิ์การรู้จักตนเองและเกลียดชังตนเองได้อย่างแท้จริง ก็ย่อมง่ายที่เจ้าจะปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และย่อมง่ายที่เจ้าจะนำความจริงไปปฏิบัติ  ดังนั้นหากจะกล่าวให้แน่ชัด เรื่องนี้ควรปฏิบัติอย่างไร?  พวกเรามาสามัคคีธรรมเรื่องนี้ให้ชัดเจนโดยยกอุปนิสัยอันโอหังมาเป็นตัวอย่างกันเถิด  ในชีวิตประจำวันของเจ้า เวลาเจ้าพูดจา ประพฤติปฏิบัติตน จัดการเรื่องต่างๆ ปฏิบัติหน้าที่ของตน และสามัคคีธรรมกับผู้อื่น เป็นต้น ไม่ว่าจะกำลังทำเรื่องใดอยู่ หรืออยู่ที่ใด หรือรูปการณ์แวดล้อมเป็นเช่นใด เจ้าต้องมุ่งตรวจสอบตลอดเวลาว่าเจ้าได้พรั่งพรูอุปนิสัยอันโอหังแบบใดออกมา  เจ้าต้องขุดหาการพรั่งพรูทั้งหลาย ความคิดอ่าน และแนวคิดที่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหังที่เจ้ารู้ตัวว่ามีอยู่และสามารถล่วงรู้ได้ รวมทั้งเจตนาและเป้าหมายของเจ้า—โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอยากอบรมสั่งสอนผู้อื่นจากตำแหน่งที่สูงส่งอยู่เสมอ ไม่เชื่อฟังผู้ใด เห็นว่าตัวเจ้าเองดีกว่าผู้อื่น ไม่ยอมรับสิ่งที่ผู้อื่นพูดไม่ว่าพวกเขาอาจจะถูกต้องเพียงใดก็ตาม ให้ผู้อื่นยอมรับและนบนอบต่อสิ่งที่เจ้ากล่าวแม้ในยามที่เจ้าผิด มีความโน้มเอียงที่จะนำผู้อื่นอยู่เสมอ ดื้อดึงและให้เหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเองเวลาผู้นำและคนทำงานตัดแต่งและจัดการเจ้าโดยกล่าวโทษพวกเขาว่าเทียมเท็จ กล่าวโทษผู้อื่นและยกชูตนเองอยู่เสมอ คิดตลอดเวลาว่าเจ้าเก่งกว่าทุกคน อยากเป็นคนดังที่มีผู้นับหน้าถือตาตลอดเวลา รักที่จะอวดตัวอยู่เสมอเพื่อให้ผู้อื่นยกย่องเจ้าและเทิดทูนเจ้า…  ด้วยการคิดทบทวนและวิเคราะห์การพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมาเช่นนี้ เจ้าย่อมจะรู้ได้ว่าอุปนิสัยอันโอหังของเจ้าอัปลักษณ์เพียงใด เจ้าจะเกลียดและชิงชังตนเองได้ และจะยิ่งเกลียดชังอุปนิสัยอันโอหังของตนมากขึ้นอีกได้  ด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมเต็มใจที่จะคิดทบทวนว่าเจ้าได้พรั่งพรูอุปนิสัยอันโอหังออกมาในเรื่องทั้งปวงหรือไม่  ในด้านหนึ่งนี่คือการคิดทบทวนว่าวาจาของเจ้าพรั่งพรูอุปนิสัยอันใดที่โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอออกมา—เจ้ากล่าวสิ่งใดที่อวดตัว โอหัง และไร้สำนึกออกมาบ้าง  อีกด้านหนึ่งก็เป็นการคิดทบทวนว่าเจ้าทำสิ่งใดที่ไร้สาระและไร้สำนึกออกมาเวลากระทำการตามมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความทะเยอทะยาน และความอยากได้อยากมีของเจ้าบ้าง  มีเพียงการทบทวนตนเองแบบนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้รู้จักตนเองได้  ทันทีที่เจ้ารู้จักตนเองอย่างแท้จริงแล้ว เจ้าก็ควรแสวงหาเส้นทางและหลักธรรมของการปฏิบัติเพื่อที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ในพระวจนะของพระเจ้า แล้วจากนั้นก็ลงมือปฏิบัติ ทำหน้าที่ของเจ้า เข้าหาและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นตามเส้นทางและหลักธรรมที่พระวจนะของพระเจ้าระบุไว้  เมื่อเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้ไปสักระยะหนึ่งแล้ว บางทีอาจจะเดือนหนึ่งหรือสองเดือน เจ้าจะรู้สึกว่าเกิดความแจ่มแจ้งในหัวใจเกี่ยวกับการปฏิบัติ เจ้าย่อมจะได้รับบางสิ่งจากการปฏิบัติและได้ลิ้มรสความสำเร็จ  เจ้าจะรู้สึกว่าตนเองมีเส้นทางของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์และมีเหตุผล แล้วเจ้าจะรู้สึกมั่นคงขึ้นมาก  แม้เจ้าจะยังพูดถึงความรู้ที่ลึกซึ้งเป็นพิเศษเกี่ยวกับความจริงไม่ได้ แต่เจ้าย่อมจะมีความรู้เกี่ยวกับความจริงที่เกิดจากการรับรู้บ้างแล้ว รวมทั้งเส้นทางของการปฏิบัติด้วย  แม้เจ้าจะไม่สามารถกล่าวถึงความรู้นั้นออกมาเป็นถ้อยคำที่ชัดเจน แต่เจ้าก็ย่อมจะดูออกบ้างแล้วว่าอุปนิสัยอันโอหังทำร้ายผู้คนและทำให้สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาบิดเบี้ยวไปอย่างไร  ตัวอย่างเช่น ผู้คนที่โอหังและทะนงตนมักจะกล่าวสิ่งที่อวดตัวและคึกคะนอง พูดปดเพื่อล่อให้ผู้อื่นหลงกล พวกเขาพูดจาด้วยถ้อยคำที่ฟังดูสูงส่ง ร้องคำโฆษณาชวนเชื่อ และกล่าววาจาหว่านล้อมอันสวยหรูอย่างยืดยาว  สิ่งเหล่านี้สำแดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้เห็นมิใช่หรือ?  การพรั่งพรูอุปนิสัยอันโอหังเหล่านี้ออกมาย่อมไร้สำนึกอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  หากเจ้าสามารถเข้าใจได้จริงว่าเจ้าต้องสูญเสียเหตุผลตามปกติของมนุษย์ไปแล้วจึงได้พรั่งพรูอุปนิสัยอันโอหังเช่นนั้นออกมา และเข้าใจได้จริงว่าการใช้ชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันโอหังหมายความว่าเจ้ากำลังใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมารมากกว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะตระหนักโดยแท้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคืออุปนิสัยของซาตาน และเจ้าจะสามารถเกลียดชังซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้จากหัวใจของเจ้า  เมื่อมีประสบการณ์เช่นนี้นานหกเดือนหรือหนึ่งปี เจ้าก็จะสามารถรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริง และหากเจ้าพรั่งพรูอุปนิสัยอันโอหังออกมาอีก เจ้าก็จะรู้ตัวทันที และเจ้าจะสามารถละทิ้งและตัดขาดจากมันได้  เจ้าย่อมจะเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว และเจ้าจะสามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ตลอดจนเข้ากับผู้อื่นได้ตามปกติ  เจ้าจะพูดจาได้อย่างซื่อสัตย์และจากหัวใจ เจ้าจะไม่พูดปดหรือกล่าวสิ่งที่โอหังอีกต่อไป  จากนั้นเจ้าย่อมจะมีเหตุผลขึ้นมาบ้างและมีสภาพเสมือนคนที่ซื่อสัตย์บ้างมิใช่หรือ?  เจ้าย่อมจะมีการเข้าสู่นั้นแล้วมิใช่หรือ?  นี่คือยามที่เจ้าจะเริ่มได้รับบางสิ่งบางอย่าง  เมื่อเจ้าซื่อสัตย์ในหนทางนี้ เจ้าย่อมจะสามารถแสวงหาความจริงและทบทวนตนเองได้ไม่ว่าเจ้าจะพรั่งพรูอุปนิสัยอันโอหังชนิดใดออกมา และหลังจากที่มีประสบการณ์กับการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ในหนทางนี้สักระยะหนึ่ง เจ้าจะค่อยๆ มาเข้าใจความจริงและพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับการเป็นคนที่ซื่อสัตย์โดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว  และเมื่อเจ้าใช้ความจริงเหล่านั้นชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า ลึกลงไปในหัวใจของเจ้าย่อมจะมีความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวจนะของพระเจ้า หัวใจของเจ้าจะเริ่มรู้สึกสว่างไสวขึ้น  เจ้าจะมองเห็นชัดถึงความเสื่อมทรามที่อุปนิสัยอันโอหังนำมาสู่ผู้คนและความอัปลักษณ์ในการใช้ชีวิตของผู้คนที่เกิดจากอุปนิสัยดังกล่าว และเมื่อผู้คนพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา เจ้าก็จะสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะสภาวะอันเสื่อมทรามแต่ละอย่างที่พวกเขามีได้  เมื่อวิเคราะห์เพิ่มเติม เจ้าย่อมจะมองเห็นความอัปลักษณ์ของซาตานชัดเจนขึ้นอีก และเจ้าจะยิ่งเกลียดชังซาตานมากขึ้นอีก  ด้วยเหตุนี้ก็ย่อมง่ายที่เจ้าจะปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  เมื่อความรู้ของเจ้ามาถึงขั้นนี้ เจ้าก็จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและความจริงที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัดแจ้ง และเจ้าจะรู้ว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงประสงค์จากมนุษย์ก็คือสิ่งที่ผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมีและควรใช้ในการดำเนินชีวิต  เมื่อทำดังนั้นแล้ว เจ้าจะไม่รู้สึกว่าการปฏิบัติความจริงนั้นยากอีกต่อไป  เจ้ากลับจะเชื่อว่าการปฏิบัติความจริงคือสิ่งที่ฟ้าสวรรค์ลิขิตและแผ่นดินโลกก็ยอมรับรู้ เจ้าจะเชื่อว่ามนุษย์ควรที่จะใช้ชีวิตเช่นนี้  ถึงตอนนั้นการปฏิบัติของเจ้าตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงย่อมจะเป็นไปตามธรรมชาติ ในเชิงบวก และในเชิงรุกทุกประการ และพร้อมกันนั้นเจ้าก็จะยิ่งรักความจริงมากขึ้นอีก  สิ่งที่เป็นบวกในหัวใจของเจ้าจะเพิ่มจำนวนขึ้น และการรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงก็จะค่อยๆ เกิดขึ้นในหัวใจของเจ้า  นั่นคือความหมายของการเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง  เจ้าจะมีทัศนะและมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งปวง ความรู้ที่แท้จริงและทัศนะที่ถูกต้องเหล่านี้จะค่อยๆ หยั่งรากลงในหัวใจของเจ้า  นั่นคือความหมายของการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงแล้ว—เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถเอาไปจากเจ้าหรือปล้นชิงไปได้  หลังจากที่เจ้าได้สั่งสมสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ไปทีละน้อย เจ้าก็จะรู้สึกอยู่ลึกๆ ในหัวใจของเจ้าว่าเจ้าก้าวหน้าขึ้นมาก  เจ้าจะไม่รู้สึกอีกต่อไปว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นไม่มีประโยชน์ แล้วความรู้สึกกลวงเปล่าในหัวใจของเจ้าก็จะหมดไป  เมื่อเจ้ารู้สึกว่าการเข้าใจความจริงวิเศษเพียงใด และมองเห็นความสว่างแห่งชีวิตมนุษย์ ความเชื่อที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้นในตัวเจ้า  และเมื่อเจ้ามีความเชื่อที่จะผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และมองเห็นว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงและการสัมฤทธิ์ความรอดนั้นเป็นจริงและสัมพันธ์กับชีวิตจริงเพียงใด เจ้าก็จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระวจนะในเชิงบวกและในเชิงรุก  เจ้าจะสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์จริงและสิ่งที่เจ้ารู้อย่างแท้จริง ซึ่งก็คือการเป็นพยานให้พระเจ้าและช่วยให้ผู้คนอีกมากรู้จักฤทธานุภาพแห่งพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งประโยชน์ที่มนุษย์ได้รับจากความจริง  และแล้วเจ้าก็จะมีความเชื่อมากขึ้นที่จะปฏิบัติความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี—เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมจะนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว  เมื่อเจ้ากล่าวคำพยานที่แท้จริงจากประสบการณ์ของเจ้า หัวใจของเจ้าจะส่ว่างไสวยิ่งขึ้นทุกที  เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้ามีเส้นทางมากขึ้นที่จะปฏิบัติความจริง และในเวลาเดียวกันเจ้าก็จะมองเห็นว่าเจ้ามีข้อบกพร่องมากมายนัก ว่ามีความจริงมากมายเหลือเกินที่เจ้าควรปฏิบัติ  คำพยานจากประสบการณ์เช่นนี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและชวนให้ผู้อื่นเจริญใจเท่านั้น—เจ้าจะรู้สึกด้วยว่าเจ้าได้รับบางสิ่งจากการที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าเจ้าได้รับพรจากพระเจ้าแล้วโดยแท้  เมื่อใครบางคนมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในหนทางนี้จนกระทั่งพวกเขาสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระองค์ได้ นี่ไม่เพียงแต่จะนำให้ผู้คนอีกมากมารู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ปลดเปลื้องโซ่ตรวน ข้อจำกัด และความเดือดเนื้อร้อนใจที่เกิดจากอุปนิสัยเหล่านั้น และทำให้พวกเขาสามารถหลุดจากอำนาจของซาตานเท่านั้น—แต่ยังจะสามารถทำให้คนคนนั้นมีความเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ในการเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการทำให้เพียบพร้อมอีกด้วย  ประสบการณ์เช่นนั้นย่อมกลายเป็นคำพยานที่แท้จริงมิใช่หรือ?  นั่นคือความหมายของคำพยานที่แท้จริง  คนที่สามารถให้คำพยานเช่นนี้แด่พระเจ้าจะรู้สึกหรือไม่ว่าการเชื่อในพระองค์นั้นน่าเบื่อ หรือไร้ประโยชน์ หรือกลวงเปล่า?  แน่นอนที่สุดว่าไม่  เมื่อคนคนหนึ่งสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าและเมื่อพวกเขารู้จักพระองค์อย่างแท้จริง ส่วนลึกในหัวใจของพวกเขาย่อมเต็มไปด้วยสันติสุขและความชื่นบาน พวกเขารู้สึกก้าวหน้าขึ้นและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อคนเราใช้ชีวิตอยู่ในภาวะและขอบเขตดังกล่าว ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ยอมให้ตนเองทนทุกข์ จ่ายราคา และฝืนใจ  พวกเขาจะไม่ยอมเอาแต่บ่มวินัยร่างกายของตนและละทิ้งเนื้อหนังเท่านั้น  แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาจะทำให้มากขึ้นก็คือการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  พวกเขาจะไล่ตามเสาะหาการรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และทำความเข้าใจว่าคนเราควรทำอะไรเพื่อที่จะนบนอบพระเจ้าและทำให้พระองค์พอพระทัยอีกด้วย  ด้วยเหตุนี้ท่ามกลางพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาย่อมจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ และค้นพบหลักธรรมของการปฏิบัติความจริง มากกว่าที่จะหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกชั่วครู่ชั่วยามภายในตัวพวกเขาเอง  ตัวอย่างเช่น การไม่สามารถควบคุมตนเองเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น อารมณ์ร้าย อารมณ์ไม่ดี แล้วก็โมโหอีกในวันนั้น ทำบางสิ่งได้ไม่ดีหรือไม่ดีเท่าที่ควรอีกครั้งในวันนั้น หรือในเรื่องใดๆ ที่เล็กน้อยทำนองนั้น  ตราบใดที่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขัดขวางเจ้าจากการปฏิบัติความจริง  ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึง  เจ้าควรมุ่งแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าและแสวงหาวิธีปฏิบัติในหนทางที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยและสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์  จงปฏิบัติความจริงแบบนี้ แล้วเจ้าจะก้าวหน้าในชีวิตอย่างรวดเร็ว และเจ้าย่อมจะออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการทำให้เพียบพร้อมแล้ว  หัวใจของเจ้าจะไม่กลวงเปล่าอีกต่อไป เจ้าจะมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และเจ้าจะสนใจพระวจนะของพระเจ้าและความจริงมากขึ้นทุกที และจะเห็นคุณค่าของพระวจนะและความจริงยิ่งขึ้นทุกที  เจ้าจะมาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อคนเรามาถึงขั้นนี้ พวกเขาย่อมเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าและความเป็นจริงของความจริงโดยบริบูรณ์แล้ว

สิ่งที่หลายคนกำลังปฏิบัติและเข้าสู่ในเวลานี้ไม่ใช่ความเป็นจริงของความจริง แต่พวกเขาเข้าสู่ภาวะอย่างหนึ่งที่ตนเองแสดงพฤติกรรมภายนอกอันดีงามให้เห็น และเต็มใจที่จะจ่ายราคา พร้อมที่จะทนทุกข์ และพร้อมที่จะสละทุกสิ่ง  อย่างไรก็ตาม ส่วนลึกในหัวใจของพวกเขายังคงว่างเปล่า และโลกภายในตัวพวกเขาก็ไม่มีสิ่งใดที่เกื้อหนุนพวกเขา  เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีสิ่งเกื้อหนุน?  เพราะเวลาที่สิ่งใดก็ตามบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขากลับไม่มีเส้นทาง พวกเขาพึ่งพาความคิดฝันเฟื่องและไม่มีหลักธรรมของการปฏิบัติความจริง  เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามพรั่งพรูออกมาจากตัวพวกเขา พวกเขาก็ทำได้เพียงยั้งตนเองไว้เท่านั้น พวกเขาไม่สามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยดังกล่าว  โชคยังดีสำหรับผู้คนที่เนื้อหนังอันมีอายุของพวกเขานั้นมีความสามารถตามสัญชาตญาณคือทนทุกข์ได้  มีคำกล่าวในหมู่ผู้ไม่เชื่ออยู่ว่า “ไม่มีความทุกข์ที่สู้ทนไม่ได้ มีแต่พรที่ไม่อาจชื่นชมได้เท่านั้น”  เนื้อหนังของมนุษย์มีความสามารถทางสัญชาตญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิดคือ มันไม่สามารถชื่นชมพรมากเกินไป แต่สามารถทนทุกข์กับอะไรก็ได้ ทนฝ่าไปได้ และควบคุมตัวเองได้  นี่ใช่เรื่องดีหรือไม่?  เป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อน ใช่ข้อบกพร่องหรือไม่?  คำกล่าวนั้นของพวกเขาใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ไม่ใช่ความจริง และหากบางสิ่งไม่ใช่ความจริง ก็ย่อมไร้สาระ  คำกล่าวนั้นเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า ไม่สามารถแก้ปัญหาให้เจ้าได้แต่อย่างใด และไม่สามารถแก้ไขความยากลำบากที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงให้เจ้าได้  กล่าวให้ถูกต้องก็คือ มันไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวออกมา  แม้เจ้าอาจรู้จักคำกล่าวนั้นอยู่บ้าง ตระหนักรู้ และมีประสบการณ์กับคำกล่าวนั้นมาอย่างลึกซึ้ง แต่นั่นก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี  พวกผู้ไม่เชื่อยังมีคำกล่าวอื่นอีกด้วย เช่น “ฉันไม่กลัวตาย แล้วจะกลัวการมีชีวิตอยู่ไปไย?” และ “เมื่อเข้าฤดูหนาวแล้ว ฤดูใบไม้ผลิจะอยู่ห่างออกไปสักเท่าใดกัน?”  เหล่านี้เป็นถ้อยแถลงที่ใหญ่โตทีเดียวมิใช่หรือ?  ค่อนข้างเป็นปรัชญาและให้แรงบันดาลใจใช่หรือไม่?  พวกผู้ไม่เชื่อเรียกคำกล่าวเหล่านี้ว่า “ซุปไก่เพื่อดวงจิต”  เจ้าชอบคำกล่าวแนวนี้หรือไม่?  (ไม่ชอบ)  เหตุใดจึงไม่ชอบ?  บางคนอาจกล่าวว่า “พวกเราก็แค่ไม่ชอบ  นั่นเป็นสิ่งที่พวกผู้ไม่เชื่อพูดกัน พวกเราชอบพระวจนะของพระเจ้า”  ถ้าเช่นนั้น เจ้าชอบพระวจนะส่วนใดของพระเจ้า?  วลีใดที่เจ้ามองว่าเป็นความจริง?  วลีใดที่เจ้ามีประสบการณ์ด้วย ปฏิบัติแล้ว เข้าสู่แล้ว และได้ไว้กับตัวแล้ว?  เพียงไม่ชอบคำกล่าวเหล่านี้ของผู้ไม่เชื่อย่อมไร้ประโยชน์ เจ้าอาจไม่ชอบ แต่เจ้าก็ไม่มีวิจารณญาณที่จะมองเห็นแก่นแท้ของมันอย่างชัดเจน  คำกล่าวเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ ถ้อยคำของพวกผู้ไม่เชื่อก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง  ต่อให้ผู้คนมองว่าดีงามและถูกต้อง คำกล่าวเหล่านี้ก็ไม่ได้สอดคล้องกับความจริง และไม่สามารถขึ้นมาเทียบชั้นความจริงได้  คำกล่าวทั้งหมดนี้ละเมิดความจริงและเป็นปฏิปักษ์กับความจริง  ผู้ไม่เชื่อย่อมไม่ยอมรับความจริง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโต้เถียงกับพวกเขาว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด  ทั้งหมดที่พวกเราทำได้คือทำเหมือนว่าถ้อยคำของพวกเขาคือเรื่องไร้สาระที่เลอะเลือน แล้วก็จบกันไป  “เรื่องไร้สาระ” หมายถึงอะไร?  หมายถึงคำพูดที่ไม่ชวนให้เจริญใจหรือมีคุณค่ากับผู้คน กับชีวิตของพวกเขา กับเส้นทางที่พวกเขาใช้เดิน หรือความรอดของพวกเขาแต่อย่างใด  การพูดจาเช่นนั้นไร้สาระทั้งสิ้น เรียกได้ด้วยว่าเป็นคำพูดที่ว่างเปล่า  ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของมนุษย์หรือเส้นทางที่พวกเขาเดินอยู่ และเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่ได้ทำอะไรในเชิงบวกเลย  ผู้คนฟังวลีเยี่ยงนั้นแล้วก็ใช้ชีวิตของตนไปตามที่จะใช้ ตามที่พวกเขาทำเสมอมา สำนวนเช่นนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงใดๆ เพราะไม่ใช่ความจริง  เฉพาะความจริงเท่านั้นที่พาให้มนุษย์เจริญใจ มีคุณค่าที่ไม่อาจประเมินได้  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะความจริงสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของผู้คน ความคิดอ่านและทัศนะ และโลกภายในตัวพวกเขาได้  ที่สำคัญที่สุดคือความจริงสามารถขจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ได้ สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะประจำตัวคนคนหนึ่ง ทำให้ลักษณะเยี่ยงซาตานของพวกเขากลายเป็นลักษณะของความจริง—สามารถเปลี่ยนคนคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนให้เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตตามความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อคนคนหนึ่งดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงของความจริง โดยมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของตน ชีวิตของพวกเขาย่อมเปลี่ยนแปลงไปเพราะเหตุนั้นมิใช่หรือ?  เมื่อชีวิตของคนเราเปลี่ยนแปลงไป นี่ก็หมายความว่าความคิดอ่านและทัศนะของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หมายความว่าทัศนคติ ท่าที และมุมมองที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หมายความว่าจุดยืนและทัศนะที่พวกเขามีต่อเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ แตกต่างไปจากเมื่อก่อน  คำกล่าวเหล่านั้นของพวกผู้ไม่เชื่อเป็นคำพูดที่ว่างเปล่าและเป็นสิ่งที่ไร้สาระทั้งสิ้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอันใดได้  คำกล่าวที่เราเพิ่งยกมา—“ไม่มีความทุกข์ที่สู้ทนไม่ได้ มีแต่พรที่ไม่อาจชื่นชมได้เท่านั้น”—นั่นก็เป็นสิ่งที่ไร้สาระและเป็นคำพูดที่ว่างเปล่ามิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าสามารถทนทุกข์ได้—แล้วอย่างไร?  เจ้าไม่ได้ทนทุกข์เพื่อที่จะได้รับความจริง เจ้าทนทุกข์เพื่อที่จะสุขสำราญกับเกียรติยศและสถานะ  ความทุกข์ของเจ้าไม่มีค่าหรือนัยสำคัญเลย  จงมองดูข้อเท็จจริงว่าเจ้าได้ทนทุกข์ไปมากนักและจ่ายราคาไปสูงมาก กระนั้นเจ้าก็ยังคงไม่รู้จักตนเอง เจ้าไม่สามารถเข้าใจความคิดอ่านและแนวคิดที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้ด้วยซ้ำ และเจ้าก็ไม่สามารถแก้ไขความคิดอ่านและแนวคิดเหล่านั้นได้  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถเข้าสู่ชีวิตได้?  ความทุกข์ของเจ้ามีค่าหรือไม่?  ไม่มีคุณค่าเลย  ความทุกข์ของบางคนมีค่า  ตัวอย่างเช่น ความทุกข์ที่ผู้คนก้าวผ่านเพื่อที่จะได้มาซึ่งความจริงนั้นมีค่า กล่าวคือ เมื่อคนเราได้มาซึ่งความจริง พวกเขาย่อมจะสามารถทำให้ผู้อื่นเจริญใจและให้เสบียงแก่พวกเขาได้  หลายคนทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ช่วยแผ่ขยายงานของคริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้า และเผยแผ่ข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  จากเรื่องนี้พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่าผู้ใดก็ตามที่ทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริงและทำให้พระเจ้าพอพระทัย ย่อมจะได้รับบางสิ่งบางอย่างจากการนั้น  ผู้คนเหล่านี้จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  แต่ก็มีบางคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และแม้พวกเขาอาจสละตนเอง ทนทุกข์เพื่อพระเจ้า และได้รับความเมตตาจากพระองค์ แต่ความเมตตานั้นก็เป็นเพียงความเวทนาและการยอมผ่อนปรนของพระเจ้า และเป็นการสะท้อนให้เห็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ รวมทั้งพระคุณที่พระองค์ทรงหยิบยื่นให้แก่มนุษย์  พระคุณแบบใด?  คือพรทางด้านวัตถุไม่กี่อย่าง—ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น  นั่นใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรือไม่?  นั่นใช่จุดหมายขั้นสุดท้ายของเจ้าในการเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  เราคิดว่าไม่ใช่  ตั้งแต่วันที่เจ้ามาเชื่อในพระเจ้า เจ้าปรารถนาเพียงความเมตตาฃองพระองค์ การทรงคุ้มครอง และพรทางวัตถุไม่กี่อย่างที่พระองค์ประทานให้กระนั้นหรือ?  นั่นใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรือไม่?  นั่นใช่สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาในการเชื่อของเจ้าหรือไม่?  (ไม่ใช่)  สิ่งเหล่านี้จะแก้ไขปัญหาเรื่องความรอดของเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าคิดอ่านได้อย่างชัดเจนทีเดียว  เจ้าเข้าใจว่าสิ่งใดสำคัญและสิ่งใดสำคัญยิ่ง  เจ้าไม่สับสน  เจ้ารู้ว่าสิ่งใดมีน้ำหนักและสิ่งใดไม่มี  อย่างไรก็ดี ยังคงต้องรอดูว่าเจ้าจะสามารถออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่

การเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของการได้รับพระคุณหรือได้รับการยอมผ่อนปรนและความเวทนาจากพระเจ้า  เช่นนั้นแล้วเป็นเรื่องอะไร?  เป็นเรื่องของการได้รับการช่วยให้รอด  ดังนั้น อะไรคือเครื่องหมายของความรอด?  มาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดเอาไว้เป็นเช่นใด?  ต้องทำเช่นใดบ้างจึงจะได้รับการช่วยให้รอด?  การแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา  นี่คือปมสำคัญของเรื่อง  ดังนั้น ท้ายที่สุดเมื่อพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะทนทุกข์มามากเพียงใดหรือจ่ายราคาไปมากเท่าใด หรือเจ้าจะป่าวประกาศไปมากมายเพียงใดก็ตามว่าเจ้าคือผู้เชื่อที่แท้จริง—หากว่าในที่สุด อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้รับการแก้ไขเลย นี่ย่อมหมายความว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจึงไม่ได้รับการแก้ไข  นี่หมายความว่าเจ้าไม่ได้ออกเดินไปบนเส้นทางของความรอดเลย หมายความว่าทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสและพระราชกิจทั้งปวงที่พระองค์ทรงทำเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดไม่ได้สัมฤทธิ์อะไรในตัวเจ้า ไม่ได้ทำให้เจ้ามีคำพยาน และไม่ได้ก่อเกิดผลอันใดในตัวเจ้า  พระเจ้าย่อมจะตรัสว่า “เพราะเจ้าทนทุกข์และจ่ายราคาไปแล้ว เราจึงได้มอบพระคุณ พร ความเอาใจใส่ และการคุ้มครองอันสมควรแก่เจ้าในชีวิตนี้และในโลกนี้  แต่เจ้าย่อมไม่มีส่วนในสิ่งที่สมควรแก่มนุษย์หลังจากที่ได้รับการช่วยให้รอด  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะเราได้ให้สิ่งที่เจ้าสมควรได้รับในชีวิตนี้และในโลกนี้แก่เจ้าแล้ว ส่วนสิ่งที่มนุษย์สมควรได้รับภายหลังความรอดนั้น ไม่มีให้เจ้า เพราะเจ้าไม่ได้ออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง”  เจ้าไม่อยู่ในบรรดาผู้ที่จะได้รับการช่วยให้รอด เจ้าไม่ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง และพระเจ้าก็ไม่ทรงต้องการเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงต้องการผู้ที่เอาแต่ทำงาน วิ่งวุ่น ทนทุกข์ และจ่ายราคาเพื่อพระองค์ ออกจะเชื่ออย่างแท้จริง มีความเชื่ออยู่บ้าง และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น  ผู้คนเช่นนี้พบเจอได้ทุกหนทุกแห่งในกลุ่มผู้เชื่อทั้งหลายของพระองค์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีพวกเขาอยู่มากมายเหลือเกินนั่นเอง คนที่ทำงานและให้การปรนนิบัติพระเจ้า มากจนเกินจะคาดคะเนได้  หากพวกเขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าและเลือกสรรไว้แล้ว ผู้ที่พระเจ้าทรงพากลับมายังพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีพวกเขาคนใดไม่เต็มใจที่จะทำงานและให้การปรนนิบัติพระองค์  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะการทำเช่นนั้นย่อมง่ายมากทีเดียว  นี่คือสาเหตุที่มีผู้คนมากมายนักให้การปรนนิบัติและยอมตรากตรำเพื่อพระเจ้า  แม้กระทั่งศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วก็ทำเช่นนี้ได้ด้วย เช่น เปาโล  มีผู้คนมากมายเหลือเกินที่เป็นอย่างเปาโลมิใช่หรือ?  (ใช่)  หากเจ้าเข้าไปในคริสตจักรสักแห่งและประกาศดังนี้ว่า—“ตราบใดที่คุณเต็มใจที่จะวิ่งวุ่น ทนทุกข์ และจ่ายราคาเพื่อพระเจ้า ตราบนั้นมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะรอคุณอยู่”—เจ้าคิดหรือไม่ว่าผู้คนมากมายย่อมจะตอบรับเสียงร้องเรียกของเจ้า?  พวกเขาย่อมจะตอบรับกันหลายคนนัก  แต่น่าเสียดายที่ในท้ายที่สุด นี่ไม่ใช่ผู้คนที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอดหรือสามารถได้รับการช่วยให้รอด  ผู้คนเช่นนี้เพียงร่ำไรอยู่ตรงขั้นตอนของการให้การปรนนิบัติเท่านั้น พวกเขาเต็มใจที่จะให้การปรนนิบัติพระเจ้าเท่านั้น  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนเหล่านี้เต็มใจที่จะใช้น้ำพักน้ำแรงของตนมาแลกเป็นโชคอันดีจากพระเจ้า แลกเป็นพระคุณและพรจากพระองค์เท่านั้น  พวกเขาไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการเอาตัวรอด หรือวิถีชีวิตของตน หรือรากฐานที่พวกเขาพึ่งพาอาศัยเพื่อการอยู่รอด พวกเขาไม่อยากยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้าเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน หรือไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อสัมฤทธิ์ความรอด  แน่นอนว่าเจ้าสามารถกล่าวได้ด้วยว่าผู้คนเหล่านี้เต็มใจที่จะทนทุกข์และจ่ายราคาเท่านั้น พวกเขาเต็มใจที่จะละทิ้งและมอบถวายทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมีเท่านั้น พวกเขาสละทั้งหมดที่พวกเขาสละได้ ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม และพวกเขาก็เต็มใจที่จะตรากตรำในทุกหนทางที่ทำได้—กระนั้นหากเจ้าขอให้พวกเขารู้จักตนเอง ยอมรับความจริง แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ละทิ้งเนื้อหนัง ปฏิบัติความจริง วางความชั่วของตน และหันกลับมาหาพระเจ้าดังที่ชาวเมืองนีนะเวห์ทำ ใส่ใจพระวจนะของพระเจ้า และใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ ก็ย่อมจะยากยิ่งสำหรับพวกเขา  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่ค่อนข้างเป็นปัญหามิใช่หรือ?  พระเจ้าทรงพระราชกิจไปมากมายนักและตรัสพระวจนะไปมากมายเหลือเกิน ดังนั้นแล้วเหตุใดผู้คนจึงรู้สึกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นยากนัก?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ยินดียินร้ายอยู่เสมอกับการไล่ตามเสาะหาความจริง?  แม้จะฟังคำเทศนามาหลายปี แต่พวกเขาก็ยังคงไม่มีเจตนาที่จะเปลี่ยนแปลง  พวกเขาไม่เคยกลับใจต่อพระเจ้าอย่างจริงใจจากส่วนลึกในหัวใจของตน และไม่เคยรับรู้หรือยอมรับอย่างแท้จริงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ในทัศนะที่พวกเขามีทั้งต่อสิ่งต่างๆ และการกระทำทั้งหลาย พวกเขาไม่เคยปล่อยมือจากทัศนคติของตนและไม่เคยแสวงหาความจริง พวกเขาไม่จัดการเรื่องทุกเรื่องด้วยท่าทีของการพลิกทัศนคติของตนกลับมาและกลับใจต่อพระเจ้า  ดังนั้นจึงมีหลายคนที่มีประสบการณ์มามากและทำงานมาก็มาก ทำหน้าที่ของตนมานานพอดู แต่ยังคงไม่สามารถมีคำพยานใดๆ  พวกเขายังคงไม่รู้จักหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เมื่อพวกเขาพูดถึงประสบการณ์และสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็อับอายและจนหนทางอย่างมาก และพวกเขาก็ดูไร้ความสามารถอย่างยิ่ง  สาเหตุที่เป็นดังนี้ก็คือพวกเขาไม่รู้จักความจริงหรือไม่สนใจความจริง  ขณะที่อีกด้านหนึ่ง การตรากตรำเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ง่ายมาก  ดังนั้นทุกคนจึงเต็มใจที่จะให้การปรนนิบัติพระเจ้า แต่ไม่เลือกที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง

ทีนี้ เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว การไล่ตามเสาะหาความจริงหมายความว่าอะไรกันแน่?  พวกเรากล่าวไปมากมายนัก พวกเราควรให้คำนิยามมิใช่หรือว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงหมายถึงอะไร?  พวกเจ้านิยามได้หรือไม่?  นี่ควรเป็นคำนิยามที่ค่อนข้างง่ายใช่หรือไม่?  หากพวกเจ้าเอาแต่ใคร่ครวญ ครุ่นคิด และตรึกตรองหาถ้อยคำ พวกเจ้าจะคิดออกหรือไม่?  อาจมีบางคนที่จะกล่าวว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องใหญ่  ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนด้วยถ้อยคำไม่กี่ประโยคเท่านั้น  ฉันไม่รู้ว่าจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไร  มีถ้อยคำอะไรที่บรรยายเรื่องนี้ได้?  การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องใหญ่มาก และมีแต่ถ้อยคำที่เลิศเลอที่สุดเท่านั้นที่สามารถบรรยายและนิยามเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสม—นั่นเป็นทางเดียวที่จะทำให้ทุกคนประทับใจได้อย่างแท้จริง!”  พวกเจ้าคิดหรือไม่ว่าต้องเป็นแบบนั้น?  (ไม่ได้คิด)  ถ้าเช่นนั้นก็จงนิยามการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันมาเถิด  (การไล่ตามเสาะหาความจริงหมายถึงการใช้ความจริงแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน)  นั่นเป็นคำนิยามได้หรือไม่?  นี่พวกเจ้ากำลังให้ข้อสรุปอยู่มิใช่หรือ?  การไล่ตามเสาะหาความจริงนิยามง่ายหรือไม่?  การนิยามเรื่องนี้ไม่ใช่งานง่าย เจ้าจำเป็นต้องใช้ความพยายามบางอย่างในการไตร่ตรอง  การไล่ตามเสาะหาความจริงหมายความว่าอย่างไร?  พวกเรามาลองนิยามกันดูดีไหม?  ภาษาที่ดีที่สุดของมนุษย์คือภาษาพูดที่เรียบง่ายและสะท้อนชีวิตตามจริง  พวกเราจะไม่ใช้ภาษาที่แปลกประหลาดหรือคำบางคำที่เลิศลอย  พวกเราจะใช้ภาษาในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วไป ในแบบที่คล่องปาก เป็นภาษาพูด และง่ายแก่การทำความเข้าใจ เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจสิ่งที่พวกเรากล่าวเอาไว้ได้ทันที  นอกเหนือจากผู้เยาว์ หรือผู้ที่ไม่รู้เดียงสาหรือป่วยทางจิตจนเข้าใจไม่ได้ ผู้ใหญ่คนใดก็ตามที่คิดอ่านตามปกติย่อมจะสามารถเข้าใจภาษาที่พวกเราใช้ทันทีที่พวกเขาได้ยิน  นั่นคือความหมายของภาษาพูด นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าภาษาในชีวิตประจำวัน  ดังนั้น การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  คือการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ ใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐาน โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา—นั่นคือความหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริง  นั่นคือสิ่งที่ฟังดูเหมือนนิยามที่ถูกต้องแม่นยำของการไล่ตามเสาะหาความจริง  คำถามคือ การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  คำตอบมีอยู่ว่า คือการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา  นั่นคือคำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริง  เรียบง่ายใช่หรือไม่?  พวกเจ้าบางคนอาจกล่าวว่า “ตลอดเวลามานี้พระองค์สามัคคีธรรมถึงความหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่คำนิยามเรื่องนี้กลับมีเพียงประโยคเดียวนั้นเท่านั้น  ง่ายแบบนั้นเชียวหรือ?”  ใช่แล้ว ง่ายเช่นนั้น  นี่เป็นคำนิยามที่ง่ายถึงเพียงนั้น แต่ก็กล่าวถึงหัวข้อที่เกี่ยวข้องกันมากมายหลายเรื่อง—แล้วหัวข้อที่เกี่ยวข้องกันนั้นก็กล่าวถึงหัวข้อเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงทั้งสิ้น  หัวข้อเหล่านี้ประกอบด้วยความยากลำบากของมนุษย์ ความคิดและทัศนคติของมนุษย์ รวมทั้งข้ออ้าง เหตุผลที่มนุษย์ใช้สร้างความชอบธรรมให้ตนเอง วิธีการ และท่าทีนานาประการที่มนุษย์มีต่อการไล่ตามเสาะหาความจริง  แล้วยังมีหัวข้อที่มนุษย์ต้านทานและไม่ยอมไล่ตามเสาะหาความจริงอีกด้วย ซึ่งเกิดขึ้นเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  แน่นอนว่าสิ่งที่เราบอกพวกเจ้าไปนั้น—ทั้งเส้นทางและขั้นตอนมากมายของการไล่ตามเสาะหาความจริง ลักษณะของการไล่ตามเสาะหาความจริงของคนเรา ผลสัมฤทธิ์ของการไล่ตามเสาะหาความจริง และความเป็นจริงของความจริงที่มองเห็นได้ในตัวผู้คนที่ใช้ชีวิตด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง—เหล่านี้กล่าวถึงหัวข้อเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงทั้งสิ้น  ผลสุดท้ายของการนี้ก็คือคำพยานจากประสบการณ์ถึงพระวจนะของพระเจ้าและพระราชกิจที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ และมีประสบการณ์กับพระวจนะ  นี่คือผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ที่สุด  ลักษณะอย่างหนึ่งของคำพยานเช่นนี้ก็คือการเป็นพยานถึงผลลัพธ์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า ลักษณะอีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นพยานถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่มองเห็นได้ในตัวผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งก็คือการที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้รับการแก้ไขไม่มากก็น้อย  ตัวอย่างเช่น บางคนที่เคยโอหังมาก เอาแต่ใจ บุ่มบ่าม และทำตัวเป็นกฎเสียเองนั้น เรียนรู้จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าว่านี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม แล้วจากนั้นก็ยอมรับและรับรู้ว่าเป็นเช่นนี้  พวกเขาค่อยๆ มารู้จักภัยที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้นำมาให้ผู้อื่นและตนเอง กล่าวคือ เมื่อมองให้แคบลง นี่เป็นภัยต่อผู้คน และเมื่อมองให้กว้างขึ้น นี่ย่อมก่อกวน ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก และสร้างความเสียหายให้แก่งาน  นี่คือผลลัพธ์ส่วนหนึ่ง เป็นสิ่งที่คนคนหนึ่งเรียนรู้เมื่อพวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนตามการเปิดเผยในพระวจนะของพระเจ้า แล้วจากนั้นในสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมไว้ให้ พวกเขาก็ค่อยๆ กลับใจและปล่อยมือจากรูปแบบการใช้ชีวิต จากทัศนคติที่พวกเขาเคยยึดถือในการวางตัวและการกระทำของตน  พวกเขาค้นพบหลักธรรมและเส้นทางของการปฏิบัติภายในพระวจนะของพระเจ้า และรับมือเรื่องราวต่างๆ ตามหลักธรรมของการปฏิบัติที่พระเจ้าได้ประทานแก่พวกเขา  นี่คือการกลับใจที่แท้จริงและเป็นการกลับตัวโดยแท้  พวกเขาสามารถวางตัวและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า และในท้ายที่สุดพวกเขาก็แสวงหาหลักธรรมของความจริงทุกครั้งที่พวกเขาลงมือกระทำการ และพวกเขาใช้ชีวิตตามความเป็นจริงในส่วนของการถือเอาพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของตน  นี่คือตัวอย่างของการแก้ไขอุปนิสัยอันโอหัง  ผลสัมฤทธิ์ขั้นสุดท้ายของการนี้ก็คือการที่คนคนนี้ไม่ใช้ชีวิตด้วยความโอหังอีกต่อไป พวกเขากลับมีมโนธรรมและเหตุผล สามารถแสวงหาหลักธรรมของความจริง และนบนอบต่อความจริงโดยแท้ สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติและวิธีดำเนินชีวิตของพวกเขาไม่ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนครอบงำอีกต่อไป พวกเขากลับใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน และดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า—นั่นคือผลลัพธ์  ผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมสัมฤทธิ์ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือผลลัพธ์ในตัวคนซึ่งเกิดจากการไล่ตามเสาะหาความจริง  และสำหรับพระเจ้าแล้ว การดำเนินชีวิตในหนทางนี้คือคำพยานที่แท้จริงถึงพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ นี่คือผลสัมฤทธิ์เมื่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างถูกพระวจนะของพระเจ้าพิพากษา ตีสอน และเปิดโปง  นี่คือคำพยานที่แท้จริง และเป็นสิ่งที่เปี่ยมพระสิริสำหรับพระเจ้า  แน่นอนว่าสำหรับมนุษย์แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เปี่ยมสง่าราศี เรียกได้แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติและภาคภูมิเท่านั้น และเป็นคำพยานที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมีและพึงใช้เป็นวิธีดำเนินชีวิตหลังจากที่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว  นี่เป็นผลสัมฤทธิ์เชิงบวกในตัวผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พระเจ้าทรงมองประสบการณ์และความรู้เช่นนี้ รวมทั้งวิธีใช้ชีวิตของผู้คนเหล่านี้ด้วยว่าเป็นผลสัมฤทธิ์แห่งพระราชกิจของพระองค์  สำหรับพระองค์แล้ว สิ่งที่ตีโต้ซาตานด้วยแรงกำลังอันยิ่งใหญ่ย่อมเป็นคำพยานนี่เอง  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าโปรดและเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงมองว่าล้ำค่า

พวกเราเพิ่งนิยามกันไปว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงหมายความว่าอย่างไร  ด้วยคำนิยามนี้ ทัศนะที่พวกเจ้ามีต่อความหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริงได้เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นแล้วหรือไม่?  (เข้าใกล้มากขึ้นแล้ว)  บัดนี้เมื่อพวกเราได้นิยามการไล่ตามเสาะหาความจริงในแบบที่พวกเจ้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าควรที่จะมองการไล่ตามเสาะหาที่ผ่านมาของตนเองอย่างไร?  เป็นไปได้ว่าพวกเจ้าส่วนมากไม่ใช่ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่อาจทำให้พวกเจ้าฟังแล้วรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างใช่หรือไม่?  จงอ่านคำนิยามอีกครั้งหนึ่งเถิด  (การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  คำตอบมีอยู่ว่า คือการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา)  บัดนี้พวกเจ้าสามารถกล่าวคำนิยามได้อย่างถูกต้องแม่นยำแล้ว  เมื่อพิจารณาเพิ่มเติม นี่ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  หากเจ้าประเมินการไล่ตามเสาะหาและการปฏิบัติแต่เก่าก่อนของตนตามคำนิยามนี้ ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร?  เจ้าจะสามารถเรียนรู้ได้ว่าปัจจุบันนี้พวกเจ้ามีความเป็นจริงของความจริงหรือไม่มี และเจ้าจะสามารถยืนยันได้ว่าการประพฤติปฏิบัติตนของพวกเจ้าในเวลานี้ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  นี่ไม่ใช่การกล่าวที่เข้าใจยากใช่หรือไม่?  ค่อนข้างที่จะเป็นภาษาพูดใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่เป็นภาษาธรรมดาที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้  แม้อาจจะดูเหมือนเข้าใจค่อนข้างง่าย แต่ผู้คนก็มีปัญหา  ปัญหานั้นคืออะไร?  ปัญหาว่าเมื่อพวกเขาเข้าใจคำนิยามแล้ว พวกเขาก็รู้สึกอึดอัดและเสียใจ  เหตุใดพวกเขาจึงเสียใจ?  เพราะพวกเขารู้สึกว่าความทุกข์ที่ผ่านมาของตนและราคาที่พวกเขาจ่ายไปนั้นถูกกล่าวโทษ ว่าพวกเขาได้มอบสิ่งเหล่านั้นไปอย่างสูญเปล่า และนี่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ค่อยดี  บางคนพอได้ฟังเช่นนี้ก็ย่อมจะกล่าวว่า “โอ—ดังนั้น นั่นก็คือคำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าพวกเรายึดตามคำนิยามนั้น เช่นนั้นแล้วราคาทั้งหมดที่พวกเราจ่ายไปและค่าใช้จ่ายที่ผ่านมาของพวกเราไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?  หากพระองค์ไม่ได้ทรงนิยามว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงหมายความว่าอย่างไร พวกเราก็คงจะคิดต่อไปว่าตนเองกำลังไล่ตามเสาะหาด้วยดี ตอนนี้เมื่อพระองค์ได้ประทานคำนิยามนี้แล้ว การไล่ตามเสาะหาและราคาที่พวกเราได้จ่ายไปไม่สูญสิ้นหมดแล้วหรอกหรือ?  ความฝันของพวกเราที่จะได้รับมงกุฎและรางวัลไม่ย่อยยับหมดแล้วหรอกหรือ?  เมื่อพวกเราเข้าใจความจริง พวกเราก็ควรได้รับพรและความฝันของพวกเราก็ควรที่จะกลายเป็นจริง แล้วบัดนี้ที่พวกเราเข้าใจความจริง ทำไมพวกเราถึงถูกพิพากษา?  ทำไมพวกเราถึงใช้ชีวิตอย่างอับจนหนทางอยู่ในความมืด?  อดีตและปัจจุบันของพวกเราถูกกล่าวโทษไปแล้ว และบอกไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร  ดูเหมือนพวกเราหมดหวังที่จะได้รับพรแล้ว”  เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  การที่ผู้คนคิดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ดังนั้นผู้คนควรคิดเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่ควร)  พวกเขาไม่ควร  แต่เรื่องนี้ก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือ เจ้าสามารถอ่านพลางอธิษฐานตามคำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริงนี้ซ้ำๆ จากนั้นก็ย้อนมองอดีตของเจ้า มองดูปัจจุบันของเจ้า และตั้งตารออนาคตของเจ้า  เจ้าอาจรู้สึกเสียใจ แต่ความรู้สึกนั้นย่อมหมายความว่าเจ้าไม่ได้ด้านชา  เจ้ารู้จักคำนึงถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของตน และเจ้ารู้จักวางแผนเพื่อความสำเร็จในอนาคตของเจ้า รู้จักคิด กังวล และอนาทรร้อนใจถึงโอกาสของเจ้าที่จะประสบความสำเร็จในภายภาคหน้า  นั่นเป็นเรื่องดี  พิสูจน์ว่าเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ ว่าเจ้าเป็นบุคคลที่มีชีวิต และหัวใจของเจ้าก็ยังไม่ตาย  สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือเวลาที่ใครบางคนยังคงไม่ยินดียินร้าย ไม่ว่าจะกล่าวอะไรแก่พวกเขาหรือไม่ว่าจะสามัคคีธรรมถึงเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงให้พวกเขาฟังอย่างชัดเจนเพียงใดก็ตาม  พวกเขาคิดว่า “ข้าพระองค์ก็เป็นเช่นนี้เอง ใครจะไปสนใจว่าข้าพระองค์จะได้รับพรหรือจะประสบความวิบัติ?  พิพากษาข้าพระองค์เถิด ตรัสกล่าวโทษข้าพระองค์เถิด—ทำตามพระทัยของพระองค์เถิด!”  ไม่ว่าจะกล่าวอะไรกับพวกเขา พวกเขาก็ด้านชา  นั่นย่อมเป็นปัญหา  ที่ว่าปัญหานี้เราหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงให้พวกเขาฟังอย่างไร พวกเขาก็จะไม่เข้าใจ พวกเขาคือคนตายที่ไร้วิญญาณ  พวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริง การได้รับการช่วยให้รอด หรือพระราชกิจที่ช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่เข้าใจเรื่องทำนองนั้น  นี่ก็เหมือนการพยายามสอนคนที่แยกแยะระดับเสียงไม่ได้ให้ร้องเพลง หรือสอนคนที่ตาบอดสีให้ผสมสี ซึ่งย่อมทำไม่ได้นั่นเอง  การสามัคคีธรรมถึงเรื่องเหล่านี้ไร้ซึ่งนัยสำคัญหรือคุณค่าใดๆ สำหรับพวกเขา เพราะไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ลึกซึ้งหรือตื้นเขิน ลงรายละเอียดหรือพูดกว้างๆ ก็จะไม่สร้างความแตกต่าง—ไม่ว่ากรณีใด พวกเขาก็จะไม่รู้สึกอะไร  พวกเขาเหมือนคนตาบอดสวมแว่น ไม่ว่าจะสวมแว่นนั้นไว้หรือไม่ก็ไม่มีผลต่อการมองเห็นของพวกเขา  บางคนมักจะกล่าวว่า “เมื่อเข้าฤดูหนาวแล้ว ฤดูใบไม้ผลิจะอยู่ห่างออกไปสักเท่าใดกัน?” และ “ฉันไม่กลัวตาย แล้วจะกลัวการมีชีวิตอยู่ไปไย?” และ “ฉันสะบัดมือทั้งสอง แต่ไม่อาจสลายเมฆแม้สักสายหนึ่ง”  ทั้งหมดนี้เป็นถ้อยคำของคนตายที่ไร้วิญญาณและเชื่อว่าตนนั้นฉลาดมาก  กล่าวด้วยศัพท์ทางฝ่ายวิญญาณก็คือ พวกเขาไม่มีความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณ  ผู้ที่ไร้ความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณ แม้ในยามที่พวกเขามีชีวิตอยู่ก็คือคนตาย  คนตายสามารถเข้าใจถ้อยคำของคนเป็นหรือไม่?  พวกเขาคิดไปว่า “การพูดคุยทั้งหมดนี้เรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริง เรื่องทัศนะที่คนเรามีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ เรื่องการวางตัวและการกระทำของคนเรา—เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน?  ฉันไม่กลัวตาย แล้วจะกลัวการมีชีวิตอยู่ไปไย?”  ใครก็ตามที่คิดเช่นนี้ย่อมจบสิ้นแล้ว  พวกเขาก็คือคนตายคนหนึ่ง  คำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริงก็เป็นเช่นนั้น  หลังจากอ่านคำนิยามนี้ ไม่ว่าเจ้าจะมีความตั้งใจหรือแผนการอะไรให้กับเส้นทางในอนาคตของเจ้า หรือเจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ทั้งหมดนั้นก็คือการไล่ตามเสาะหาส่วนตัวของเจ้า  เหล่านี้คือวจนะที่เราจำเป็นต้องกล่าวและงานที่เราจำเป็นต้องทำ  เราได้กล่าวทุกสิ่งที่เราจำเป็นต้องกล่าวไปแล้ว และเราก็ได้พูดทุกอย่างที่เราต้องพูดไปหมดแล้ว  หากพวกเจ้ารักความจริงและมีเจตจำนงที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ พวกเจ้าก็ควรที่จะใช้คำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริงที่เรามอบให้นี้ เป็นเป้าหมายและทิศทางของการไล่ตามเสาะหาของเจ้าในเรื่องที่ว่า โดยปกติแล้วพวกเจ้าควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างไร วางตัวและกระทำการอย่างไร หรือใช้อ้างอิงเพื่อให้เจ้าค่อยๆ เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าและความจริงด้วยประการฉะนั้น  หากเจ้าทำดังนั้น เช่นนั้นแล้ว แน่นอนว่าในอนาคตอันใกล้ เจ้าย่อมจะได้รับบางสิ่งบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง  บางคนอาจกล่าวว่า “ไม่มีวันสายเกินไปที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง”  นี่ไม่ถูกต้อง—หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงจนกระทั่งพระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดไปแล้ว นั่นย่อมจะสายเกินไปจริงๆ  จะอธิบายแนวคิดนั้นอย่างไรดี?  การไล่ตามเสาะหาความจริงต้องเกิดขึ้นก่อนที่พระราชกิจของพระเจ้าจะสิ้นสุด  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้อยแถลงนี้เป็นจริงก่อนที่พระเจ้าจะทรงตีระฆังเพื่อแสดงว่าพระราชกิจของพระองค์ปิดตัวลงแล้ว  แต่เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้น และพระองค์ตรัสว่า “เราจะไม่ทำงานช่วยมนุษย์ให้รอดอีกต่อไป เราจะไม่กล่าววจนะเพื่อช่วยให้ผู้คนสัมฤทธิ์ความรอดหรือวจนะที่เกี่ยวข้องกับความรอดของมนุษย์อีกแล้ว  เราจะไม่พูดถึงเรื่องเหล่านั้นอีก” เมื่อนั้นพระราชกิจของพระองค์ย่อมจะสิ้นสุดลงแล้วโดยแท้  หากเจ้ารอคอยจนถึงตอนนั้นแล้วค่อยไล่ตามเสาะหาความจริง ก็ย่อมสายเกินไปจริงๆ  ไม่ว่าอย่างไรหากเจ้าเริ่มไล่ตามเสาะหาความจริงในตอนนี้ เจ้าก็จะยังคงมีเวลา—เจ้ายังคงมีโอกาสที่จะบรรลุความรอด  จากนี้ไป จงพยายามให้สุดความสามารถของเจ้าที่จะค่อยๆ มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  จงพากเพียรอ่านและทำความเข้าใจพระวจนะทั้งปวงของพระเจ้าที่เปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ในระยะเวลาอันสั้น จงทบทวนตัวเจ้าเองและรู้จักตนเอง  การทำเช่นนั้นย่อมเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า  ยกตัวอย่างพระวจนะที่กล่าวถึงอุปนิสัยแห่งศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งอยู่ท่ามกลางพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  นั่นคือพระวจนะที่สำคัญที่สุดมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วเจ้าควรทำเช่นไรกับพระวจนะเหล่านั้นในฐานะที่เป็นหลักพื้นฐานของเจ้า?  กล่าวโทษตัวเจ้ากระนั้นหรือ?  สาปแช่งตัวเจ้า?  ทิ้งอนาคตและโชคชะตาของเจ้าเองกระนั้นหรือ?  ไม่ใช่—เจ้าต้องใช้พระวจนะเพื่อที่จะรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  จงอย่าพยายามหลีกหนีเรื่องนี้  นี่เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต้องผ่านล่วงไป  ที่ว่าทุกคนต้องผ่านช่วงเวลานี้ไปหมายความว่าอย่างไร?  นี่ก็เหมือนที่ทุกคนมาเกิดกับพ่อแม่ เติบโตขึ้น จากนั้นก็แก่เฒ่า แล้วก็ตาย  เหล่านี้คือช่วงเวลาที่ทุกคนต้องผ่านพ้นไปทีละช่วง  การแสวงหาความจริงมีความสำคัญเพียงใด?  สำคัญพอๆ กับอาหารและเครื่องดื่มประจำวันของมนุษย์  หากว่าในแต่ละวันเจ้าเลิกกินเลิกดื่ม เนื้อหนังของเจ้าย่อมจะไม่สามารถมีชีวิตรอด ชีวิตของเจ้าจะดำรงอยู่ไม่ได้  “ตามพระวจนะของพระเจ้า” หมายความว่าเจ้าต้องมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ ซึ่งส่งผลให้เกิดทัศนคติ วิธีการ และการปฏิบัติของเจ้า  แน่นอนว่า “ตามพระวจนะของพระเจ้า” ย่อมเทียบเท่ากับ “โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา”  ดังนั้น ตามคำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว “ตามพระวจนะของพระเจ้า” ย่อมเพียงพอในตัวเอง  เหตุใดจึงต้องเพิ่ม “โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา” เข้ามา?  เพราะมีปัญหาบางอย่างในรายละเอียดที่พระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ระบุไว้  ในกรณีเช่นนั้น เจ้าควรแสวงหาหลักธรรมของความจริง แล้วมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและกระทำการอยู่ภายในหลักธรรมเหล่านั้น  ด้วยการทำเช่นนั้น แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์ความถูกต้องสมบูรณ์  ก่อนที่จะสัมฤทธิ์ความถูกต้องสมบูรณ์ คนเราต้องรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ยอมรับรู้การพรั่งพรูอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตน  หลังจากนั้นพวกเขาต้องกลับใจด้วยใจจริง ซึ่งเป็นการกลับตัวอย่างแท้จริง  แต่ละขั้นตอนในกระบวนการนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดเหมือนเวลาคนเรากินไม่มีผิด กล่าวคือ ต้องนำอาหารเข้าปาก แล้วจากนั้นอาหารก็ต้องล่วงผ่านหลอดอาหารลงไปที่กระเพาะอาหาร หลังจากนั้นจึงถูกย่อยและดูดซึม  เมื่อนั้นเท่านั้นที่อาหารจะค่อยๆ เข้าสู่โลหิตและกลายเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการได้  ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงและใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน จากนั้นพวกเขาจึงจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติ ใช้ชีวิตตามความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง  ขั้นตอนที่เป็นปกติแต่ละขั้นตอนในกระบวนการนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด เป็นขั้นตอนบังคับซึ่งคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงทุกคนต้องทำเมื่อไล่ตามเสาะหาองค์ประกอบใดๆ ของความจริง  บางคนอาจกล่าวว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องใช้ขั้นตอนและกระบวนการเหล่านั้นในการไล่ตามเสาะหาความจริง  ฉันจะแสวงหาความจริงโดยตรงเท่านั้น แล้วจากนั้นก็นำไปปฏิบัติและทำให้เป็นความเป็นจริงของฉันเอง”  นั่นเป็นความเข้าใจแบบพื้นๆ แต่หากสามารถให้ผลได้ เช่นนั้นแล้วก็แน่นอนว่าย่อมเป็นหนทางที่ดีกว่า  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าได้สั่งสมความรู้และความสำเร็จถึงระดับหนึ่งแล้วระหว่างที่ทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเองเป็นประจำ ดังนั้นเจ้าจึงงดเว้นขั้นตอนของการตรวจสอบ ทำความรู้จัก ยอมรับ กลับใจ และอื่นๆ ได้ แล้วตรงไปแสวงหาหลักธรรมของความจริงเลย  การที่คนคนหนึ่งจะตรงไปแสวงหาหลักธรรมของความจริง พวกเขาต้องมีวุฒิภาวะบางอย่าง  การมีวุฒิภาวะเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพวกเขารู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอย่างแท้จริง และเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจความจริงเกี่ยวกับบางสิ่งที่บังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำความรู้จักตนเอง หรือกลับใจ หรือพลิกวิถีทางของตนกลับมาอีกต่อไป  สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำมีเพียงการบรรลุความเข้าใจในหลักธรรมของความจริงโดยตรง แล้วจากนั้นก็นำหลักธรรมของความจริงไปปฏิบัติต่อไป  นั่นย่อมเพียงพอแล้ว  นี่ไม่ใช่วุฒิภาวะของบุคคลทั่วไป  คนที่มีวุฒิภาวะระดับนี้อย่างน้อยที่สุดย่อมมีประสบการณ์กับขั้นตอนของการถูกพระเจ้าทรงพิพากษา ตีสอน บ่มวินัย และทดสอบอย่างหนักหนามาแล้ว  พวกเขานบนอบพระองค์และอยู่บนทางที่มุ่งไปสู่การได้รับการทำให้เพียบพร้อมแล้ว  ผู้คนเช่นนี้ไม่ต้องการขั้นตอน เช่น การรู้จักความเสื่อมทรามของตน จากนั้นก็ยอมรับรู้ความเสื่อมทราม กลับใจ และกลับตัว  แล้วพวกเจ้าเป็นเช่นไร?  พวกเจ้าส่วนใหญ่จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักตนเองใช่หรือไม่?  หากเจ้าไม่รู้จักตนเอง เจ้าก็จะไม่ปักใจเชื่อ และย่อมไม่ง่ายที่เจ้าจะยอมรับความจริง และเจ้าก็จะไม่สามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง  หากเจ้าไม่กลับใจอย่างแท้จริง เจ้าจะนบนอบความจริงได้หรือไม่?  เจ้าจะนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมไม่ใช่คนที่จะได้รับการช่วยให้รอด

หลังสามัคคีธรรมครั้งนี้แล้ว ตอนนี้พวกเจ้ามีเส้นทางที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงบ้างหรือไม่?  เจ้ามีความมั่นใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (มี)  ดีแล้ว หากพวกเจ้าไม่มี ก็จะน่าเป็นห่วง  หลังการเทศนาครั้งนี้อาจมีพวกเจ้าบางคนที่รู้สึกในทางลบว่า “แย่แล้ว—ฉันมีขีดความสามารถอ่อนด้อย  ฉันฟังคำเทศนานี้ แต่กลับเข้าใจไม่ได้สักอย่าง ฉันเข้าใจคำสอนไปนิดเดียวเท่านั้น  ดูเหมือนฉันไม่มีความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณมากนัก  ฉันไม่รู้สึกกระตือรือร้นที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  เวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน สิ่งที่ฉันทำได้มีแต่การออกแรงนิดหน่อย  ฉันมีข้อบกพร่องมากเกินไปและเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ฉันเดาว่านี่ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้  มีแต่จะเป็นไปเช่นนี้เท่านั้น  สำหรับฉันแล้ว เป็นแค่คนปรนนิบัติก็พอ”  คนที่มีความคิดลบแบบนี้จะออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  นี่ดูอันตรายอยู่บ้าง เพราะความคิดลบเหล่านี้นี่เองที่สร้างกำแพงใหญ่ขึ้นมาขวางการไล่ตามเสาะหาความจริงของคนเรา  หากคนเราไม่แก้ไขความคิดลบเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถออกเดินไปบนเส้นทางนี้ได้ ไม่ว่าเส้นทางนี้จะดีสักเพียงใดก็ตาม  บางคนล้มเหลวและล้มลงหลายครั้งบนถนนของการไล่ตามเสาะหาความจริง แล้วพวกเขาก็ลงเอยด้วยการหมดกำลังใจว่า “จบสิ้นแล้ว—ฉันไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริงอีกต่อไป  การได้รับพรไม่ใช่ชะตากรรมของฉัน  พระเจ้าตรัสเองมิใช่หรือว่า ‘เจ้ามีหน้าตาเหมือนผู้หนึ่งซึ่งสามารถได้รับพรหรือไม่?’  มองกระจกแวบหนึ่งก็ทำให้ฉันเห็นว่าตัวเองมีหน้าตาปานกลาง พร้อมดวงตาที่ไร้วิญญาณ และเครื่องหน้าซึ่งไม่ได้สัดส่วนกัน ไม่มีอะไรประณีตแม้แต่น้อย  ไม่ว่าจะมองอย่างไร ฉันก็ดูไม่เหมือนใครบางคนที่ได้รับพร ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าให้เป็นเช่นนั้น ผู้คนก็สามารถไล่ตามเสาะหาได้มากเท่าที่อยากจะทำ แต่ย่อมจะไม่เกิดประโยชน์อะไร!”  จงดูวิธีคิดของผู้คนเหล่านี้ว่าเมื่อหัวใจของพวกเขายังมีสิ่งที่น่าขยะแขยงให้แก้ไขอยู่มากมายเช่นนี้ พวกเขาจะออกเดินไปบนทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างไร?  การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิต แล้วสิ่งเลวร้ายที่สุดที่เจ้าจะสามารถทำได้ก็คือการเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับการได้รับพร  คนเราต้องแก้ไขเจตนาของตนที่จะรับพรเสียก่อน  หลังจากนั้นการไล่ตามเสาะหาความจริงก็จะราบรื่นขึ้นอีกหน่อย  พอเป็นเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริง สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือไม่ดูว่ามีผู้คนอยู่บนเส้นทางนี้มากหรือไม่ และไม่ทำตามสิ่งที่คนส่วนใหญ่เลือกทำ แต่มุ่งพากเพียรที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า เอาอย่างเปโตร  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมองเห็นปัจจุบันอย่างชัดเจนและใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน รู้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอะไรที่พรั่งพรูออกมาจากตัวเจ้าในเวลานี้ แสวงหาความจริงในทันทีและทันใดเพื่อแก้ไขอุปนิสัยดังกล่าว วิเคราะห์และทำความรู้จักอุปนิสัยนั้นให้ถี่ถ้วนเสียก่อน แล้วจึงกลับใจต่อพระเจ้า  เวลาที่เจ้ากลับใจ การนำความจริงไปปฏิบัติมีความสำคัญอย่างที่สุด—เป็นหนทางเดียวที่จะสัมฤทธิ์ผลที่แท้จริง  หากเจ้าเอาแต่กล่าวกับพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะกลับใจ  ข้าพระองค์ขออภัย  ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว  ได้โปรดยกโทษให้ข้าพระองค์ด้วย!” แล้วคิดว่าทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เจ้าต้องทำเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า นั่นจะใช้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  หากเจ้าเต็มใจเสมอที่จะกล่าวกับพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขออภัย  ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว” พลางหวังอย่างที่เจ้าหวัง ว่าพระเจ้าจะตรัสว่า “ไม่เป็นไร  เดินต่อไปเถิด”—หากเจ้าดำรงชีวิตอยู่ในภาวะเช่นนี้ตลอดเวลา เจ้าก็จะไม่สามารถเข้าสู่ความจริง  ดังนั้นเจ้าควรอธิษฐานและกลับใจต่อพระเจ้าอย่างไร?  มีเส้นทางอยู่หรือไม่?  ใครก็ตามที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย  ไม่มีใครเลยหรือ?  ดูเหมือนว่าปกติแล้วพวกเจ้าไม่เคยอธิษฐานกลับใจกัน รวมทั้งไม่เคยสารภาพบาปและกลับใจต่อพระเจ้า  ดังนั้นพวกเจ้าควรปล่อยมือจากความต้องการและเจตนาของตนเองอย่างไร?  เจ้าควรแก้ไขอุปนิสัยของตนอย่างไร?  เจ้ามีเส้นทางปฏิบัติหรือไม่?  ยกตัวอย่าง หากเจ้าไม่มีเส้นทางที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันโอหัง เจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าแบบนี้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มีอุปนิสัยอันโอหัง  ข้าพระองค์นึกว่าตนเองเก่งกว่าคนอื่น ดีกว่าคนอื่น ฉลาดกว่าคนอื่น และอยากจะให้คนอื่นทำตามที่ข้าพระองค์บอก  นี่ช่างไร้สำนึกอย่างยิ่ง  ทำไมข้าพระองค์ถึงปล่อยมือจากอุปนิสัยนี้ไม่ได้ แม้จะรู้ว่าเป็นความโอหังก็ตาม?  ขอพระองค์ทรงบ่มวินัยและติเตียนข้าพระองค์  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะปล่อยมือจากความโอหังและเจตจำนงของตนเพื่อแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์แทน  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะฟังพระวจนะของพระองค์ และยอมรับพระวจนะมาเป็นชีวิตของตนและเป็นหลักธรรมให้ปฏิบัติตาม  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระองค์  ขอพระองค์ทรงนำข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือและนำทางข้าพระองค์ด้วยเถิด”  มีท่าทีของการนบนอบในถ้อยคำเหล่านี้หรือไม่?  มีความปรารถนาที่จะนบนอบหรือไม่?  (มี)  บางคนอาจกล่าวว่า “อธิษฐานเพียงครั้งเดียวไม่ได้ผล  เวลาบางสิ่งบังเกิดแก่ฉัน ฉันก็ยังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และอยากกำกับควบคุมอยู่ดี”  ในกรณีเช่นนั้น จงอธิษฐานต่อไปว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์โอหังยิ่งนัก เป็นกบฏยิ่งนัก!  ขอพระองค์ทรงบ่มวินัย หยุดยั้งการทำชั่วของข้าพระองค์ทันที และยับยั้งอุปนิสัยอันโอหังของข้าพระองค์  ขอพระองค์ทรงนำและชี้ทางให้ข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ กระทำการและปฏิบัติตามพระวจนะและพระประสงค์ของพระองค์ด้วยเถิด”  จงมาอธิษฐานและวิงวอนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้มากขึ้น และยอมให้พระองค์ทรงพระราชกิจ  ยิ่งคำพูดของเจ้าจริงใจ และยิ่งหัวใจของเจ้าจริงใจ ความปรารถนาของเจ้าที่จะละทิ้งเนื้อหนังและตัวเจ้าเองก็จะยิ่งเพิ่มพูน  เมื่อการนี้เอาชนะความต้องการของเจ้าที่จะกระทำการตามเจตจำนงของตนเอง หัวใจของเจ้าก็จะค่อยๆ หันกลับมา—และเมื่อการนั้นเกิดขึ้น ก็ย่อมมีความหวังที่เจ้าจะปฏิบัติความจริงและกระทำการตามหลักธรรมของความจริง  เวลาที่เจ้าอธิษฐาน พระเจ้าจะไม่ตรัสสิ่งใดกับเจ้า หรือแสดงสิ่งใดแก่เจ้า หรือสัญญาอะไรกับเจ้า แต่พระองค์จะทรงตรวจสอบหัวใจของเจ้าและเจตนาเบื้องหลังคำพูดของเจ้า พระองค์จะทรงเฝ้าสังเกตว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นจริงใจและแท้จริงหรือไม่ เจ้ากำลังวิงวอนและอธิษฐานถึงพระองค์ด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์หรือไม่  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าหัวใจของเจ้าซื่อสัตย์ พระองค์ก็จะทรงชี้ทางและนำเจ้าตามที่เจ้าร้องขอและอธิษฐานให้พระองค์ทรงทำ และแน่นอนว่าพระองค์จะทรงว่ากล่าวและบ่มวินัยเจ้าด้วย  เมื่อพระเจ้าทรงทำให้สิ่งที่เจ้าวิงวอนขอนั้นลุล่วงแล้ว หัวใจของเจ้าย่อมจะได้รับความรู้แจ้งและเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  ในทางกลับกัน หากคำอธิษฐานและคำวิงวอนที่เจ้ามีต่อพระเจ้าไม่จริงใจ และเจ้าไม่มีความปรารถนาที่จะกลับใจ เอาแต่พยายามใช้วาจาของเจ้าเอาใจพระเจ้าและหลอกลวงพระองค์อย่างสุกเอาเผากินเท่านั้น และแล้วเมื่อพระเจ้าทรงตรวจสอบหัวใจของเจ้า พระองค์ย่อมจะไม่ทรงทำอะไรให้เจ้า พระองค์จะทรงรังเกียจและปฏิเสธเจ้า  ภายใต้รูปการณ์เหล่านี้ เจ้าจะไม่รู้สึกเลยด้วยว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใดกับเจ้า หรือทรงทำสิ่งใด หรือทรงกระทำการอันใด แต่พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจอันใดในตัวเจ้า เพราะหัวใจของเจ้าไม่ซื่อสัตย์  และเมื่อพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจ จะเกิดอะไรขึ้น?  ย่อมเป็นไปตามที่เจ้าตั้งใจพอดีคือ หัวใจของเจ้าจะไม่มีความอยากกลับใจ และจะไม่หันกลับมาแต่อย่างใด  ดังนั้น ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นและในเหตุการณ์ที่บังเกิดแก่เจ้า สิ่งที่เจ้าทำย่อมจะยังคงถูกเจตจำนงของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคอยบงการ แทนที่จะเป็นไปตามหลักธรรมของความจริง  เจ้าจะยังคงกระทำการและปฏิบัติตามสิ่งที่เจ้าต้องการและอยากได้อยากมี  ผลของคำอธิษฐานที่เจ้ามีถึงพระเจ้าย่อมจะเป็นเหมือนก่อนที่เจ้าจะอธิษฐาน จะไม่มีความเปลี่ยนแปลง  เจ้าจะยังคงทำทุกสิ่งตามใจชอบโดยไม่มีการกลับตัวแต่อย่างใด  นี่หมายความว่าในกระบวนการไล่ตามเสาะหาความจริง ความพยายามในส่วนของผู้คนนั้นสำคัญ และการที่พวกเขาเข้าใจความจริงหรือไม่ก็สำคัญ  ในเวลาเดียวกัน เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงและปรารถนาที่จะปฏิบัติความจริง แต่พบว่ายากที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องพึ่งพาพระเจ้า รวมทั้งมอบถวายหัวใจของตนและคำอธิษฐานที่จริงใจ  นั่นก็สำคัญมากเช่นกัน สิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดทั้งสิ้น  หากเจ้าเอาแต่อธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างตื้นเขินและขอไปทีโดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว  ข้าพระองค์ขออภัย” และหากหัวใจของเจ้าสุกเอาเผากินกับพระเจ้าเหมือนวาจาที่เจ้าอธิษฐาน เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่ทรงพระราชกิจ และพระองค์จะไม่สนพระทัยในตัวเจ้า  หากเจ้ากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขออภัย  ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว” พระเจ้าจะไม่ตรัสเป็นแน่ว่า “ไม่เป็นไร”  เนื่องด้วยวาจาที่ตื้นเขินและขอไปทีที่เจ้ากล่าวกับพระองค์ พระเจ้าย่อมจะตรัสถามเจ้าว่า “เจ้าผิดอย่างไร?  เจ้าตั้งใจจะทำเช่นไร?  เจ้าจะกลับใจหรือไม่?  เจ้าจะละทิ้งความชั่วของเจ้าและกลับตัวหรือไม่?  เจ้าจะปล่อยมือจากเจตจำนง เจตนา และผลประโยชน์ของตน แล้วเร่งกลับตัวหรือไม่?  เจ้าตั้งปณิธานที่จะกลับตัวได้หรือไม่?”  เวลาที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เจ้าอาจจะไม่ได้ยินพระเจ้าตรัสถามสิ่งใดกับเจ้า แต่หากเจ้าทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขออภัย  ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว” จากมุมมองของพระเจ้า ท่าทีของพระองค์ย่อมจะเป็นอย่างที่เราเพิ่งบอกไปคือ พระองค์จะตรัสถามเจ้าด้วยพระดำรัสเหล่านี้  พระองค์จะตรัสถามเจ้าอย่างไร?  พระองค์จะทรงเฝ้าดูสิ่งที่เจ้าทำและสิ่งที่เจ้าเลือกหลังจากที่เจ้ากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขออภัย  ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว”  พระองค์จะทอดพระเนตรดูว่าเจ้ามีการกลับใจจริงซึ่งเกิดจากการยอมรับรู้และเกลียดชังความเสื่อมทรามของตนเองโดยแท้หรือไม่  พระเจ้าจะทรงดูว่าท่าทีที่เจ้ามีต่อพระองค์เป็นเช่นไร ท่าทีที่เจ้ามีต่อความจริงเป็นอย่างไร เจ้ามองอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองว่าอย่างไรและมีทัศนะกับอุปนิสัยดังกล่าวอย่างไร เจ้าตั้งใจที่จะปล่อยมือจากทัศนะที่ผิดพลาดและหนทางที่ผิดพลาดของเจ้าหรือไม่ พระองค์จะทรงดูตัวเลือกของเจ้า ดูว่าเจ้าเลือกที่จะเดินบนทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ดูว่าเจ้าพึงกระทำการอย่างไรและดูหลักธรรมที่เจ้าพึงค้ำชูต่อไปข้างหน้า ดูว่าเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระองค์หรือไม่  พระเจ้าจะทรงสำรวจความเคลื่อนไหวทุกอย่างของเจ้า เจตนาและตัวเลือกทุกอย่างของเจ้า และขณะที่พระองค์ทรงทำเช่นนั้น พระองค์ก็จะทรงดูว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เจ้าทำหลังจากที่เลือกสิ่งเหล่านั้น ใช่การกระทำของการกลับใจหรือไม่ ใช่การกลับตัวหรือไม่  นั่นคือประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งยวด

เมื่อผู้คนเลือกที่จะกลับใจแล้ว พวกเขาต้องกลับตัวอย่างไร?  ด้วยการปล่อยมือจากความต้องการ ความคิดอ่าน ทัศนะ และหนทางเดิมๆ ในการทำสิ่งทั้งหลายของเจ้า เพื่อที่จะปฏิบัติความจริงและเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง  นั่นคือความหมายของการกลับตัวที่แท้จริง  หากเจ้าเพียงกล่าวอ้างว่าเต็มใจที่จะกลับตัว แต่ในหัวใจนั้นเจ้ายังคงเกาะกุมความต้องการของเจ้าเอาไว้ ละทิ้งความจริง และเดินตามหนทางเดิมๆ ของเจ้าต่อไป เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้กำลังกลับตัวอย่างแท้จริง  หากสิ่งที่เจ้ากล่าวกับพระเจ้าเวลาเจ้าอธิษฐานมีเพียง “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขออภัย  ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว” แต่ในพฤติกรรมทั้งหมดของเจ้าที่เกิดขึ้นตามมา เจ้ายังคงเลือก กระทำการ ปฏิบัติ และใช้ชีวิตตามเจตจำนงของเจ้าเอง วิ่งสวนทางกับความจริงในเรื่องทั้งหมดนี้ เช่นนั้นแล้ว จากมุมมองของพระเจ้า ควรจะมีการกล่าวถึงเจ้าว่าอย่างไร?  เจ้าไม่ได้กลับตัว  อย่างน้อยที่สุดพระองค์ย่อมจะตรัสว่าเจ้าไม่ได้หมายใจที่จะกลับตัว  เจ้าอาจทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขออภัย  ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว” แต่นี่เป็นเพียงวาจาแบบขอไปที ไม่ใช่การกลับใจและการสารภาพที่มาจากส่วนลึกในหัวใจของเจ้า  ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนท่าทีที่ยอมรับความผิดพลาดและกลับใจ เป็นแต่เพียงคำพูดที่ว่างเปล่าเท่านั้น  พระเจ้าย่อมไม่ทรงสดับฟังสิ่งที่เจ้ากล่าว—พระองค์ทอดพระเนตรดูสิ่งที่เจ้ากำลังคิด กำลังวางแผน และกำลังออกอุบาย  แล้วเมื่อพระเจ้าทรงมองเห็นว่าพื้นฐานและหลักธรรมในการกระทำของเจ้ายังคงตรงข้ามกับความจริง พระองค์ก็จะทรงมีคำพิพากษาที่เที่ยงแท้ เป็นจริง และถูกต้องแม่นยำในเรื่องของเจ้า  พระองค์จะตรัสว่า “ตลอดมาเจ้าหาได้กลับตัวไม่ และเจ้าก็ไม่ได้กำลังกลับตัวอยู่”  แล้วเมื่อพระเจ้าตรัสเช่นนี้ เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาเจ้าเช่นนี้ พระองค์จะไม่สนพระทัยเจ้าอีกต่อไป  และเมื่อพระเจ้าไม่สนพระทัยเจ้า หัวใจของเจ้าก็จะมืดมิดลงในกาลข้างหน้า เจ้าจะไร้ซึ่งความรู้แจ้งและความกระจ่างในทุกสิ่งที่เจ้าทำ และเมื่อเจ้าพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา เจ้าจะไม่รู้ตัวเลยและจะไม่ได้รับการบ่มวินัยในเรื่องนั้น  เจ้าจะเดินต่อไปอย่างด้านชาและไร้ชีวิตชีวา และเจ้าจะรู้สึกกลวงเปล่า รู้สึกว่าเจ้าไม่มีสิ่งใดให้พึ่งพา  ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เจ้าจะหลงระเริงกับพฤติกรรมที่เอาแต่ใจและบุ่มบ่ามต่อไป เจ้าจะปล่อยให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าขยายตัวและไร้การควบคุมต่อไป  นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้น  ผลสุดท้ายของการที่คนคนหนึ่งทำตัวเช่นนี้คืออะไร?  เมื่อคนคนหนึ่งละทิ้งความจริง ผลที่พวกเขานำมาสู่ตนเองก็คือพระเจ้าจะไม่สนพระทัยพวกเขา  แม้พระเจ้าอาจจะไม่ตรัสสิ่งใดหรือแสดงสิ่งใดให้เจ้าเห็นอย่างชัดเจน เจ้าก็สามารถรู้สึกได้ในเรื่องนี้  เมื่อดูตามความคิดอ่านและแนวคิดของเจ้า ตามสภาวะที่แท้จริงและท่าทีที่เจ้ามีต่อความจริงแล้ว ย่อมจะชัดเจนว่าภาวะโดยรวมของเจ้าคือภาวะที่ด้านชา ไร้ชีวิตชีวา ดื้อแพ่ง และอื่นๆ ที่สำแดงออกมาในทำนองเดียวกัน  สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นอยู่ในตัวผู้คน  ดังนั้นหลังจากเปรียบเทียบเรื่องนี้กับชีวิตจริงของพวกเจ้าและสิ่งที่พวกเจ้าปฏิบัติอยู่ พวกเจ้าก็อาจจะอยากศึกษาหรือสืบค้นดังต่อไปนี้ว่า เวลาที่เจ้าไม่หันกลับมาหาพระเจ้าเลย เจ้าอาจกล่าววาจาที่หวานหูฟังดูดีกับพระองค์มากมาย แต่เมื่อเจ้าทำเช่นนั้น ตัวเจ้าเองอยู่ในภาวะและสภาวะเช่นไร?  แล้วเวลาที่เจ้ากลับตัวอย่างแท้จริง แม้เจ้าอาจจะไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยถ้อยคำที่หวานหูหรือฟังดูดี เพียงแต่กล่าวออกมาจากหัวใจของเจ้าบ้าง เมื่อนั้นตัวเจ้าอยู่ในสภาวะและภาวะเช่นใด?  สภาวะทั้งสองต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ในชีวิตประจำวันของผู้คน พระเจ้าอาจจะไม่ทรงแสดงสิ่งใดให้พวกเขาเห็นอย่างชัดเจนหรือตรัสกับพวกเขาด้วยพระดำรัสที่ชัดแจ้ง แต่ผู้คนก็ควรที่จะรู้สึกได้ถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รู้สึกได้ถึงทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ และน้ำพระทัยทุกประการที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะแสดงออกมาในชีวิตประจำวันของพวกเขา  แน่นอนว่าผู้ที่สังเกตการณ์อยู่ย่อมจะสามารถจับสังเกตสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน  คนที่ด้านชาและโง่เขลาอาจฉลาดหลักแหลมขึ้นมาทันใด หรือคนที่ปกติแล้วฉลาดหลักแหลมอาจด้านชา โง่เขลา และไร้ประโยชน์ขึ้นมาทันใด  ภาวะหรือสภาวะทั้งสองอย่างนี้สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกันในตัวคนคนหนึ่ง หรือในตัวผู้คนที่ต่างกัน—นี่คือบางสิ่งที่เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย  จากเรื่องนี้ คนเราย่อมจะมองเห็นได้ว่าในหลายๆ กรณี คนคนหนึ่งจะฉลาดหลักแหลมหรือเบาปัญญาไม่ได้เกี่ยวข้องกับสมอง ความคิดอ่าน หรือขีดความสามารถของพวกเขา เป็นพระเจ้าต่างหากที่ทรงเป็นผู้กำหนด  นั่นชัดเจนหรือไม่?  (ชัดเจน)  เจ้าจะไม่มีวันเข้าใจเรื่องเหล่านี้จนกระทั่งเจ้ามีประสบการณ์กับเรื่องเหล่านี้แล้ว  ทันทีที่เจ้ามีประสบการณ์กับเรื่องเหล่านี้ เจ้าจะรู้—ยิ่งเจ้ามีประสบการณ์กับเรื่องเหล่านี้ ความเข้าใจของเจ้าก็จะยิ่งถ่องแท้ และเจ้าก็จะยิ่งมองเห็นคุณค่าของเรื่องเหล่านี้มากขึ้น  น้ำพระทัยของพระเจ้านั้นอยู่ในการกระทำของพระองค์ พระองค์จะไม่ประทานเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนแก่เจ้า และจะไม่ตรัสบอกเรื่องนี้แก่เจ้าหรือตรัสถึงเรื่องนี้กับเจ้าอย่างแจ่มแจ้ง แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ทรงมีจุดยืนในเรื่องของเจ้า  นี่ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงมีทัศนะในเรื่องความคิดอ่าน แนวคิด สภาวะ หรือท่าทีใดๆ ที่เจ้ามี  เวลาที่บางสิ่งบังเกิดแก่ใครบางคน แล้วพวกเขาเก็บงำเจตนาและแผนการส่วนตัวเอาไว้ เวลาที่พวกเขาพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาอย่างชัดเจน—ช่วงเวลาเหล่านี้นี่เองคือช่วงเวลาที่พวกเขาจำเป็นต้องทบทวนตนเองและแสวงหาความจริง และนี่ยังเป็นช่วงเวลาอันสำคัญยิ่งที่พระเจ้าทรงตรวจสอบคนคนนั้น  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าจะสามารถแสวงหาความจริง ยอมรับความจริง และกลับใจได้อย่างแท้จริงหรือไม่—ช่วงเวลาเหล่านี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เปิดเผยคนคนหนึ่งออกมามากที่สุด  ในช่วงเวลาเช่นนั้น เจ้าควรยอมรับว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและควรเต็มใจที่จะกลับใจอย่างแท้จริง  เจ้าควรทูลพระเจ้าอย่างจริงใจ มากกว่าที่จะทำตัวไม่ไยดีพระองค์ด้วยการกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขออภัย  ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว”  สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากเจ้าไม่ใช่ความไม่ใส่ใจของเจ้า แต่เป็นท่าทีของการกลับใจด้วยใจจริง  หากเจ้ามีความยากลำบาก พระเจ้าย่อมจะทรงช่วยเจ้า นำเจ้า และชี้ทางให้เจ้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อให้เจ้ากลับตัว และมุ่งไปสู่เส้นทางที่ยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริง  แน่นอนว่าหากเจ้ากลับใจแต่เพียงวาจาเท่านั้น หรือหากเจ้าตั้งใจที่จะกลับใจและปรารถนาที่จะปล่อยมือจากเจตนาและความอยากได้อยากมีของตน แต่เจ้าไม่จริงใจในเรื่องนั้นและไม่มีเจตจำนงที่จะทำเช่นนั้น พระเจ้าก็จะไม่ทรงบีบบังคับเจ้า  เมื่อเป็นเรื่องของพระเจ้า ท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ไม่มีคำว่า “ต้อง” พระเจ้าประทานอิสรภาพแก่เจ้าและพระเจ้าก็ทรงมอบตัวเลือกให้แก่เจ้า แล้วพระองค์ก็ทรงรอคอย  พระองค์ทรงรอคอยอะไร?  พระองค์ทรงรอดูว่าเจ้าจะลงเอยด้วยการเลือกสิ่งใด และเจ้ามีเจตนาที่จะกลับใจหรือไม่  หากเจ้ามีเจตนาที่จะกลับใจ เจ้าจะกลับใจเมื่อใด?  การกลับใจของเจ้าจะสำแดงออกมาอย่างไร?  หากเจ้าเจตนาที่จะกลับใจและเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น แต่เจ้าก็ยังคงพยายามปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเวลาที่เจ้ากระทำการ และเจ้ายังคงไม่ต้องการสูญเสียสถานะของตน เช่นนั้นแล้วก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง เจ้าไม่ได้จริงใจในเรื่องนี้  เจ้าเพียงแต่ปรารถนาที่จะกลับใจบ้าง แต่เจ้าไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง  หากเจ้าเพียงแต่เจตนาที่จะกลับใจ แต่ไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง พระเจ้าจะทรงพระราชกิจในตัวเจ้าหรือไม่?  พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น  พระองค์จะตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น เจ้าตั้งใจว่าจะกลับใจเมื่อใด?”  เจ้าย่อมจะไม่รู้  พระเจ้าจะตรัสถามเจ้าอีกหรือไม่?  ไม่—พระองค์จะตรัสว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง  เช่นนั้นเราก็จะรอแล้วกัน”  เจ้าอาจไม่มีเจตนาที่จะกลับใจ เจ้าอาจไม่เต็มใจที่จะกลับใจ หรือปล่อยมือจากสถานะและผลประโยชน์ของตน  เช่นนั้นก็ดี  พระเจ้าย่อมประทานอิสรภาพแก่เจ้า และเจ้าก็สามารถเลือกสิ่งใดก็ได้ตามใจชอบ  พระเจ้าจะไม่ทรงบีบบังคับเจ้า  แต่มีข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งให้เจ้าพิจารณา หากเจ้าไม่กลับตัวและกลับใจเหมือนชาวเมืองนีนะเวห์ จะเกิดอะไรขึ้น?  เจ้าจะถูกทำลายล้าง  หากว่าในเวลานี้เจ้ามีแต่เจตนาที่จะกลับใจ แต่ไม่ลงมือทำจริงเพื่อที่จะกลับใจ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่สนพระทัยเจ้า  เหตุใดพระองค์จึงจะไม่สนพระทัยเจ้า?  พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าไม่จริงใจ เจ้าไม่ประกาศออกมาว่าจุดยืนของเจ้าอยู่ตรงไหน และหัวใจของเจ้าก็ยังคงโลเล”  หลังจากคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เจ้าอาจกล่าวว่าเจ้าเต็มใจที่จะกลับใจ แต่นั่นเป็นเพียงความคิดของเจ้าเท่านั้น เป็นถ้อยแถลงที่กลวงเปล่า ไม่มีการลงมือทำหรือแผนการที่เป็นรูปธรรมใดๆ  นั่นคือสาเหตุที่พระเจ้าตรัสว่า “เรามีแต่จะไม่สนใจผู้คนอย่างเจ้าเท่านั้น  เจ้าไม่ใช่ผู้ที่เราจะใส่ใจ  จงทำตามใจอยากเถิด!”  เมื่อเจ้าตระหนักในวันหนึ่งว่า “แย่แล้ว ฉันต้องกลับใจ” เจ้าควรทำอย่างไรในเรื่องนั้น?  พระเจ้าจะไม่ทรงยอมให้วาจาของเจ้าหลอกและจะไม่ทรงพระราชกิจอย่างมืดบอดโดยตรัสว่า “เขาตั้งใจที่จะกลับใจ ดังนั้นตอนนี้เราจึงต้องให้พรเขามิใช่หรือ?”  พระเจ้าจะไม่ทรงทำเช่นนั้น  พระองค์จะทรงทำอย่างไร?  พระองค์จะทรงตรวจสอบเจ้า  เจ้ามีเจตนาที่จะกลับใจ จ้าปรารถนาที่จะกลับใจ และเจ้าก็เรียกร้องขอกลับใจอย่างหนักแน่นกว่าเมื่อก่อนอยู่บ้าง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าอีกนานเพียงใดเจ้าจึงจะลงมือทำจริง  หากเจ้าไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมหรือไม่มีแผนการที่เป็นรูปธรรมของการกลับใจ นั่นย่อมไม่ใช่การกลับใจที่แท้จริง  เจ้าต้องลงมือทำจริง ทันทีที่เจ้าลงมือทำจริง พระราชกิจของพระเจ้าก็จะตามมา  พระราชกิจของพระเจ้าและการทรงปฏิบัติต่อผู้คนย่อมมีหลักธรรมอยู่มิใช่หรือ?  เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจ คนเราย่อมได้รับความรู้แจ้ง ดวงตาของพวกเขาส่องประกาย พวกเขาย่อมสามารถเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้ และสิ่งที่พวกเขาได้รับย่อมเพิ่มพูนเป็นร้อยเท่าพันเท่า  ทันทีที่เรื่องนี้เกิดขึ้น เจ้าย่อมได้รับพรแล้วโดยแท้  ดังนั้นผู้คนต้องสร้างรากฐานเช่นใดเพื่อที่จะสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้?  (ความสามารถที่จะกลับใจได้อย่างแท้จริง)  นั่นถูกต้อง  เมื่อผู้คนปล่อยมือจากผลประโยชน์และความอยากได้อยากมีของตนอย่างแท้จริง เมื่อพวกเขากลับใจต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง—หมายความว่าพวกเขาเลิกการทำชั่วของตนทันที และปล่อยมือจากความชั่วของตน ความอยากได้อยากมีและเจตนาของตน แล้วสารภาพกับพระเจ้า ยอมรับพระประสงค์และพระวจนะของพระเจ้า—เมื่อนั้นพวกเขาก็จะเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงของการกลับตัว  นี่เท่านั้นที่เป็นการกลับใจอันแท้จริง

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงปัญหาที่พบอยู่เนืองๆ ในระหว่างที่มนุษย์ไล่ตามเสาะหาความจริง รวมทั้งปัญหาซึ่งผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถตระหนักรู้และทำความรู้จักได้ เป็นปัญหาที่พึงแก้ไขนั่นเอง  ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเราอาจไม่ได้อธิบายหรือชำแหละปัญหาเหล่านี้มากนัก พวกเราอาจไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ด้วยซ้ำ แต่พระเจ้ามีพระวจนะและพระราชกิจที่สอดคล้องกับขั้นตอนแต่ละขั้นตอนที่มนุษย์ประสบในระหว่างการไล่ตามเสาะหาความจริง รวมทั้งพฤติกรรมและสภาวะต่างๆ ที่พวกเขามีระหว่างที่อยู่ในกระบวนการนี้ และพระองค์ก็ทรงมีหนทางและวิธีการที่เกี่ยวข้องสำหรับจัดการและแก้ไขเรื่องเหล่านั้น  ผู้คนสามารถมีประสบการณ์และเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ได้บ้าง พวกเขาไม่ควรเข้าใจพระเจ้าผิด หรือเก็บงำมโนคติอันหลงผิดหรือความคิดฝันใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้าที่ไม่เข้ากับความเป็นจริง  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าก็ประทานอิสรภาพและความสามารถในการเลือกแก่ผู้คนมากพอในเรื่องของขั้นตอน วิธีลงมือ และหนทางปฏิบัติทุกประการที่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความความจริง—พระองค์ไม่ทรงฝืนใจผู้คน  และแม้พระวจนะและพระประสงค์เหล่านี้จะพิมพ์เป็นข้อความและมีการกล่าวไว้ด้วยภาษาที่ชัดเจนและแจ่มแจ้ง แต่ก็ยังคงขึ้นอยู่กับการเลือกอย่างอิสระของแต่ละคนว่าพวกเขาจะเข้าใกล้ความจริงเหล่านี้อย่างไร  พระเจ้าไม่ทรงบีบบังคับผู้คน  หากเจ้าเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง หากเจ้าไม่ใส่ใจความจริงเหล่านี้และเพิกเฉย หากเจ้าไม่สนใจวิธีเหล่านี้ของการไล่ตามเสาะหาความจริงเลย—นั่นก็ไม่เป็นไรเช่นกัน  พระเจ้าจะไม่ทรงบีบบังคับเจ้า  แล้วก็ไม่เป็นไรด้วยหากเจ้าเต็มใจที่จะตรากตรำเพื่อพระเจ้าเท่านั้น  ตราบใดที่เจ้าไม่ละเมิดหลักธรรม พระนิเวศของพระเจ้าก็จะปล่อยให้เจ้าเลือกของเจ้าเอง  แม้การไล่ตามเสาะหาความจริงจะเชื่อมโยงกับการบรรลุความรอดอย่างแยกจากกันไม่ออกและเกี่ยวข้องกับการบรรลุความรอดอย่างแนบแน่น แต่ก็ยังคงมีผู้คนมากมายที่ไม่สนใจการไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่นึกถึงหรือมีเจตนาที่จะทำเช่นนั้น และไม่มีแผนการที่จะทำเช่นนั้น  ดังนั้นแล้วมีการกล่าวโทษผู้คนเหล่านี้หรือไม่?  ก็ไม่เชิงเป็นเช่นนั้น  หากผู้คนเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามความประสงค์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนที่นั่นต่อไปได้  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่เพิกถอนสิทธิ์ของเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่เพราะเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  แต่จนถึงทุกวันนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของคนเราในหนทางนี้ถูกจัดว่าเป็น “การตรากตรำ”  “การตรากตรำ” เป็นการเรียกขานที่ดี เป็นคำที่พระนิเวศของพระเจ้าใช้ แต่ที่จริงแล้วก็สามารถเรียกง่ายๆ ได้ว่า “การปฏิบัติงาน” อีกด้วย  พวกเจ้าบางคนอาจกล่าวว่า “เวลาคุณทำงาน คุณได้รับค่าจ้าง”  ใช่แล้ว เจ้าสามารถได้ค่าจ้างจากการทำงาน  ดังนั้นอะไรคือค่าจ้างของเจ้า?  พระคุณทั้งปวงที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า—นั่นคือค่าจ้างของเจ้า  ส่วนการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น ไม่ว่าเจ้าตั้งใจจะทำสิ่งใด วางแผนที่จะทำสิ่งใด หรือต้องการที่จะทำสิ่งใด เราสามารถบอกเจ้าได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ว่าเจ้าเป็นอิสระ  เจ้าจะไล่ตามเสาะหาความจริงก็ได้ นั่นก็ดี หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นก็ดีเช่นกัน  แต่สิ่งสุดท้ายที่เราจะบอกพวกเจ้าก็คือคนเราจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดก็ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ความหวังของเจ้าที่จะได้รับการช่วยให้รอดย่อมเป็นศูนย์  นั่นคือข้อเท็จจริงที่เราจะบอกเจ้า  ต้องมีการบอกข้อเท็จจริงนี้แก่พวกเจ้า เพื่อให้ข้อเท็จจริงนี้ทิ้งรอยประทับเอาไว้ในหัวใจของพวกเจ้าอย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง เห็นเด่น เป็นประจักษ์—เพื่อให้พวกเจ้ารู้แจ้งแก่ใจว่าความหวังที่จะได้รับความรอดนั้นก่อร่างสร้างขึ้นบนรากฐานเช่นใด  หากเจ้าพอใจที่จะตรากตรำเท่านั้น คิดไปว่า “ถ้าฉันเพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้และไม่ถูกขับออกจากพระนิเวศของพระเจ้า สิ่งต่างๆ ย่อมดีแล้ว ฉันไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องที่ยากอย่างการไล่ตามเสาะหาความจริง” ทัศนะเช่นนี้ของเจ้าใช้ได้หรือไม่?  แม้ตอนนี้เจ้าจะยังคงเชื่อในพระเจ้า หรือปฏิบัติหน้าที่ แต่เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะสามารถติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางได้?  ไม่ว่าอย่างไร การไล่ตามเสาะหาความจริงก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต สำคัญกว่าการแต่งงานและมีลูก สำคัญกว่าการเลี้ยงดูบุตรธิดาของเจ้าให้เติบใหญ่ สำคัญกว่าการใช้ชีวิตของเจ้าและการหาเงิน  การไล่ตามเสาะหาความจริงสำคัญกว่าการปฏิบัติหน้าที่และการไล่ตามเสาะหาอนาคตในพระนิเวศของพระเจ้าด้วยซ้ำ  เมื่อพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นสิ่งที่มีนัยสำคัญที่สุดบนเส้นทางชีวิตของคนคนหนึ่ง  หากพวกเจ้ายังไม่เกิดความสนใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ก็ย่อมจะไม่มีผู้ใดตัดสินพวกเจ้าและกล่าวว่าในอนาคตข้างหน้าพวกเจ้าก็จะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เราก็จะไม่พิพากษาพวกเจ้าและไม่กล่าวเช่นกันว่าหากพวกเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงตอนนี้ ในอนาคตพวกเจ้าย่อมจะไม่มีวันทำเช่นนั้น  นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น  ไม่มีความสัมพันธ์เชิงตรรกะเช่นนั้น นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง  ไม่ว่าอย่างไร เราก็หวังว่าในอนาคตอันใกล้ หรือแม้แต่ในชั่วขณะนี้นี่เอง พวกเจ้าจะสามารถออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง กลายเป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่มีหวังในความรอด

การไล่ตามเสาะหาความจริงสัมพันธ์โดยตรงกับการบรรลุความรอด ดังนั้นหัวข้อเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก  แม้อาจจะเป็นหัวข้อธรรมดา แต่ก็พูดถึงความจริงมากมายหลายเรื่อง  อันที่จริงเรื่องนี้ผูกติดอยู่กับความสำเร็จในอนาคตและโชคชะตาของมนุษย์อย่างแนบแน่น และแม้พวกเราจะสามัคคีธรรมเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ แต่ผู้คนก็ยังคงไม่ชัดเจนเท่าใดนักเกี่ยวกับความจริงและปัญหาต่างๆ ที่พวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจในเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริง  ตรงกันข้าม พวกเขากลับประพฤติตนในหนทางที่เลอะเลือน และใช้แนวทางต่างๆ ที่ผู้คนมองว่าดีงาม รวมทั้งความคิดอ่านและทัศนะที่ผู้คนมองว่าค่อนข้างแข็งขัน ใฝ่ดี และเป็นบวก มาไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นในฐานะความจริง  นี่เป็นความผิดพลาดอย่างมาก  มีหลายสิ่งที่ผู้คนมองว่าดีงาม เที่ยงตรง และถูกต้อง ซึ่งกล่าวให้แน่ชัดก็คือไม่ใช่ความจริง  อย่างมากที่สุดก็อาจมีบางสิ่งที่สอดคล้องกับความจริง แต่คนเราก็ไม่อาจพูดได้ว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง  ผู้คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจผิดอย่างลึกล้ำเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเขาก็เก็บงำความเข้าใจผิดและอคติเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริงไว้ไม่น้อย  นั่นคือสาเหตุที่พวกเราจำเป็นต้องสามัคคีธรรมเรื่องนี้ให้ชัดเจน และทำให้ผู้คนเข้าใจความจริงที่พวกเขาควรที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ รวมทั้งปัญหาที่พวกเขาควรแก้ไข  พวกเจ้ามีความคิดอ่านเกี่ยวกับรายละเอียดของเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริงซึ่งพวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปหรือไม่?  พวกเจ้ามีแผนการหรือความตั้งใจอะไรบ้างหรือไม่?  ตอนนี้เมื่อพวกเราได้ให้คำนิยามที่ละเอียดขึ้นว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไรผ่านทางการสามัคคีธรรมของพวกเรา หลายคนก็นึกแปลกใจอยู่บ้างในสิ่งที่ตนเคยทำและเคยพรั่งพรูออกมา รวมทั้งสิ่งที่พวกเขาตั้งใจว่าจะทำในอนาคต  พวกเขารู้สึกไม่ดีและบางคนก็ถึงกับรู้สึกสิ้นหวัง รู้สึกว่าพวกเขาเสี่ยงที่จะถูกขับออกไป  ถ้ามีการสามัคคีธรรมความจริงอย่างชัดเจนมาโดยตลอด แต่ผู้คนกลับไม่รู้สึกกระตือรือร้น สภาวะของพวกเขาถูกต้องหรือไม่?  ปกติหรือไม่?  (ไม่ปกติ)  หากเจ้าเคยไล่ตามเสาะหาความจริงมาก่อนและได้รับการยืนยันว่าเจ้าเคยไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยการฟังสามัคคีธรรมนี้ เจ้าย่อมจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วทำไมผู้คนถึงรู้สึกเซื่องซึม?  อะไรคือต้นตอของความเซื่องซึมนั้น?  ยิ่งมีการสามัคคีธรรมความจริงอย่างชัดเจนและแจ่มแจ้งเท่าใด ผู้คนก็ควรมีเส้นทางมากขึ้นเท่านั้น—ดังนั้น ถ้าผู้คนมีเส้นทางมากขึ้น ทำไมพวกเขาถึงยิ่งรู้สึกว่าไม่มีชีวิตชีวา?  ย่อมมีปัญหาตรงจุดนี้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ปัญหาอะไร?  (ถ้าบางคนรู้ว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นดีงาม แต่ไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นย่อมเป็นเพราะพวกเขาไม่รักความจริง)  ผู้คนไม่รักความจริงหรือตั้งใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง—นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาเซื่องซึม  แล้วการกระทำก่อนหน้านี้ของพวกเขาเป็นอย่างไร?  (การกระทำของพวกเขาถูกกล่าวโทษ)  คำว่า “ถูกกล่าวโทษ” ไม่ค่อยถูกต้องนัก—พูดให้ชัดเจนก็คือ การกระทำก่อนหน้านี้ของพวกเขาไม่เป็นที่ยอมรับ  หากว่าตลอดมาการกระทำของคนเราไม่เป็นที่ยอมรับ ผลที่ออกมาย่อมเป็นเช่นไร?  เมื่อการกระทำของคนเราไม่ได้รับการยอมรับย่อมเกิดอะไรขึ้น?  นี่หมายความว่าอย่างไร?  นี่เป็นเรื่องง่าย—ถ้าการกระทำของคนคนหนึ่งไม่ได้รับการยอมรับ ก็แสดงว่าพวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์มองว่าถูกต้องและดีงามแทน พวกเขายังคงใช้ชีวิตตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน  สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น  เมื่อพระเจ้าไม่ทรงยอมรับการกระทำของผู้คน พวกเขาย่อมเสียใจ  ในเวลาเช่นนั้นพวกเขาจะไม่มีเส้นทางปฏิบัติที่เป็นบวกและถูกต้องอยู่บ้างหรอกหรือ?  การที่ใครบางคนคิดลบ ทิ้งหน้าที่ของตน และทอดอาลัยว่าตนนั้นหมดหวังแล้วเพียงเพราะการกระทำของพวกเขาไม่เป็นที่ยอมรับ นั่นถูกต้องหรือไม่?  ใช่เส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นั่นไม่ใช่เส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง  เมื่อเกิดอะไรแบบนี้กับคนคนหนึ่ง และพวกเขาค้นพบปัญหาของตนเอง พวกเขาก็ควรที่จะเปลี่ยนวิถีทางของตนทันที  แล้วด้วยการสามัคคีธรรมของพวกเราเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร หากเจ้าค้นพบว่าการกระทำและพฤติกรรมแต่ก่อนของเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่านี่จะทำให้เจ้าเสียใจหรือไม่ สิ่งแรกที่เจ้าควรทำก็คือเปลี่ยนหนทางและวิธีการปฏิบัติแต่เดิมของเจ้าที่ผิดพลาดให้ถูกต้อง รวมทั้งเปลี่ยนเส้นทางของการไล่ตามไขว่คว้าที่ไม่ถูกต้องของเจ้าด้วย  เจ้าควรแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องทันที  เมื่อพระเจ้าทรงเมินและไม่ยอมรับการกระทำแต่หนหลังของพวกเขา เมื่อพระเจ้าตรัสว่าการกระทำเหล่านี้เป็นเพียงการตรากตรำเท่านั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริง บางคนก็คิดว่า “โอ มนุษย์อย่างพวกเราเบาปัญญาและมืดบอดกันจริงๆ  พวกเราไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็น—แล้วตลอดเวลามานี้ พวกเราก็เชื่อว่าพวกเราปฏิบัติความจริงอยู่ กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง และทำให้พระเจ้าพอพระทัย  เพิ่งจะตอนนี้นี่เองที่พวกเราเรียนรู้ว่าสิ่งที่พวกเราทำในการที่พวกเราเรียกว่า ‘ไล่ตามเสาะหาความจริง’ นั้นเป็นเพียงพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์—เป็นสิ่งที่ผู้คนทำตามศักยภาพ ขีดความสามารถ และพรสวรรค์ต่างๆ ที่เนื้อหนังของตนมีอยู่ตามธรรมชาติเท่านั้น  สิ่งที่พวกเราทำยังห่างไกลจากแก่นแท้ คำนิยาม และข้อกำหนดของการไล่ตามเสาะหาความจริงมากนัก ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริงเลย  พวกเราควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้?”  นี่เป็นปัญหาใหญ่ และควรได้รับการแก้ไข  วิธีแก้ไขเรื่องนี้คืออะไร?  มีการตั้งคำถามกันแล้วว่าในเมื่อพฤติกรรมและแนวทางที่แต่ก่อนนี้ผู้คนเคยมองว่าดีงามล้วนถูกเมิน และพระเจ้าก็ไม่ทรงจดจำสิ่งเหล่านั้น และไม่ทรงนิยามสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง—เช่นนั้นแล้วการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  การที่จะตอบคำถามนี้ คนเราต้องอ่านพลางอธิษฐานคำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างเอาใจใส่ ค้นหาวิธีปฏิบัติจากคำนิยามนั้น และทำให้กลายเป็นความเป็นจริงของชีวิตตน  ที่ผ่านมาผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงกัน ดังนั้นจากนี้ไปพวกเขาต้องใช้คำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นหลักพื้นฐานของตน และเป็นรากฐานในการวางตัวของพวกเขา  เพราะฉะนั้น คำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริงมีว่าอย่างไร?  มีดังนี้คือ การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา  นี่ไม่อาจกล่าวให้ชัดเจนหรือแจ่มแจ้งไปกว่านี้ได้อีกแล้ว  การกระทำและพฤติกรรมทั้งหมดของมนุษย์แต่ก่อนนี้เป็นอย่างไร?  สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของพวกเขาหรือไม่?  จงนึกทบทวนดู—เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่ใช่)  อาจกล่าวว่ายากมากที่จะพบการกระทำและพฤติกรรมเช่นนั้น หาไม่เจอเลยจริงๆ  ดังนั้น ตลอดเวลาหลายปีที่เชื่อในพระเจ้า อ่านและสามัคคีธรรมพระวจนะของพระองค์มา มนุษย์ไม่ได้สัมฤทธิ์อะไรเลยจริงหรือ?  ผู้คนไม่ได้ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าสักอย่างเดียวกระนั้นหรือ?  คำนิยามที่ว่า “การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา” ที่พวกเราพูดถึงในที่นี้เจาะจงกล่าวถึงอะไร?  หมายที่จะแก้ไขปัญหาอะไร?  มุ่งชี้ไปที่ปัญหาใดของมนุษย์และแง่มุมใดในแก่นแท้แห่งอุปนิสัยของมนุษย์?  ผู้คนอาจเข้าใจคำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริงในตอนนี้ แต่พอถามว่าทำไมการกระทำที่ผ่านมาของพวกเขาจึงไม่เป็นที่ยอมรับ และเหตุใดการกระทำเหล่านั้นจึงถูกกล่าวว่าไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง เรื่องเหล่านี้กลับไม่ชัดเจน เข้าใจไม่ได้ และไม่กระจ่างสำหรับพวกเขาอยู่ดี  บางคนก็จะกล่าวว่า “ตั้งแต่พวกเรายอมรับพระนามของพระเจ้า พวกเราก็ยอมทิ้งไปมากมายนัก กล่าวคือ พวกเรายอมทิ้งครอบครัวและงานการของตน พวกเราทิ้งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตของตน  พวกเราบางคนลาออกจากงานดีๆ บ้างก็ทิ้งครอบครัวที่มีความสุข บ้างเคยมีอาชีพการงานที่ยอดเยี่ยม เงินเดือนก็ดี โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตก็ไร้ขีดจำกัด แล้วก็ปล่อยมือจากทั้งหมดนั้น  นี่คือสิ่งที่พวกเรายอมตัดขาด  ตั้งแต่มาเชื่อในพระเจ้า พวกเราได้เรียนรู้ที่จะถ่อมใจ อดทน และยอมผ่อนปรน  เวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น พวกเราก็ไม่โต้เถียงกับพวกเขา พวกเราพยายามอย่างดีที่สุดที่จะรับมือเรื่องใดๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักร เมื่อใดก็ตามที่พี่น้องชายหญิงเกิดความยากลำบาก พวกเราก็ทำอย่างสุดความสามารถที่จะช่วยพวกเขาอย่างเปี่ยมรัก  พวกเราหลีกเลี่ยงการทำร้ายผู้อื่น แล้วก็เลี่ยงการทำให้ผลประโยชน์ของผู้อื่นเสียหายให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  แท้จริงแล้ววิธีการเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริงเลยหรือ?”  คราวนี้จงตรองดูให้ถี่ถ้วนเถิดว่า สิ่งที่มนุษย์ยอมตัดขาด ยอมจ่าย ยอมออกแรง การยอมผ่อนปรน ความอดทน และแม้กระทั่งความทุกข์ของมนุษย์เกี่ยวข้องกับอะไร?  สิ่งเหล่านี้สัมฤทธิ์กันอย่างไร?  สิ่งเหล่านี้เป็นไปตามหลักอะไร?  แรงจูงใจอะไรที่ขับเคลื่อนผู้คนให้ทำสิ่งเหล่านี้?  จงตรองเรื่องนี้ดู  เรื่องเหล่านี้ควรค่าแก่การครุ่นคิดให้ลึกซึ้งมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเช่นนั้น ในเมื่อควรค่าแก่การคิดให้ลึกซึ้ง วันนี้พวกเราก็มาสำรวจและตรวจสอบเรื่องเหล่านี้กันเถิด มาดูกันว่าเรื่องที่มนุษย์ยึดถืออยู่เสมอว่าดีงาม ถูกต้อง และสูงส่งนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่

พวกเราจะเริ่มด้วยการมองดูสิ่งที่มนุษย์ยอมตัดขาด ยอมออกแรง และราคาที่มนุษย์ยอมจ่าย  ไม่ว่าบริบทหรือสภาพแวดล้อมของการตัดขาด การออกแรง และราคาเหล่านี้จะเป็นเช่นใดก็ตาม แรงจูงใจหลักๆ ของการทำเช่นนี้มาจากไหน?  ตามที่เราสรุปไว้มีที่มาอยู่สองแห่ง  ที่แรกคือตอนที่ผู้คนนึกตามแนวคิดและมโนคติอันหลงผิดของตนว่า “ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้า คุณก็ควรตัดขาด สละตนเอง และจ่ายราคาเพื่อพระองค์  พระเจ้าชอบเวลาที่ผู้คนทำเช่นนั้น  พระองค์ไม่ชอบเวลาที่ผู้คนปล่อยตัวให้สุขสบายและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ทางโลก หรือมัวแต่เพิกเฉยและใช้ชีวิตของตนต่อไปหลังจากที่กล่าวอ้างว่ายอมรับพระนามของพระองค์และเป็นผู้ติดตามของพระองค์แล้ว  เวลาผู้คนทำเช่นนั้น พระเจ้าไม่ชอบ”  ในแง่ของเจตจำนงส่วนตนแล้ว แน่นอนว่าผู้คนย่อมคิดเช่นนี้  ไม่ว่าเหตุผลที่ใครบางคนยอมรับพระเจ้าและยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระองค์จะเป็นอะไรก็ตาม เจตจำนงส่วนตนของพวกเขาย่อมเห็นด้วยกับการทำเช่นนี้ โดยเชื่อว่าต่อเมื่อผู้คนทำเช่นนี้เท่านั้น พระเจ้าจึงจะชอบ และพวกเขาก็จะได้รับความสุขและความพอพระทัยของพระเจ้าด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้น  พวกเขาคิดไปว่าตราบใดที่ผู้คนก้มหน้าก้มตาดิ้นรนพยายาม และออกแรงโดยไม่ร้องขอสิ่งตอบแทน ตราบใดที่ผู้คนยอมจ่ายราคาโดยไม่สนใจทุกข์สุขของตนเอง แล้วออกแรงต่อไป จ่ายราคาต่อไป สละและมอบถวายตนเองให้พระเจ้าต่อไป ตราบนั้นพระเจ้าย่อมจะมีความสุขเป็นแน่  ดังนั้นเมื่อใครบางคนเชื่อเช่นนี้ พวกเขาย่อมค้อมหัวโดยไม่คิดอะไรอีก และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาย่อมตัดขาดจากทุกสิ่งที่พวกเขาสามารถตัดขาดได้ พลางมอบถวายทุกอย่างที่ตนมอบถวายได้ สู้ทนความทุกข์ใดๆ ที่ตนสู้ทนได้  ผู้คนทำตามแนวทางเหล่านี้ แต่มีใครเงยหน้าขึ้นมาถามพระเจ้าหรือไม่ว่า “พระเจ้า สิ่งที่ข้าพระองค์ทำอยู่นี้ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการหรือไม่?  พระเจ้า พระองค์ทรงรับรู้สิ่งที่ข้าพระองค์ยอมเสีย ยอมลงแรง ความทุกข์ และราคาที่ข้าพระองค์จ่ายไปหรือไม่?”  ผู้คนไม่เคยถามพระเจ้าแบบนี้ และโดยที่ไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงมีปฏิกิริยาหรือท่าทีเช่นใด พวกเขาก็พร่ำออกแรง มอบถวาย และสละตนอย่างฝันเฟื่องต่อไป โดยเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงมีความสุขและพอพระทัยก็ต่อเมื่อพวกเขาทุกข์ทนเช่นนี้เท่านั้น  บางคนถึงกับเลิกกินเกี๊ยว เกรงว่าหากตนกินเกี๊ยว พระเจ้าจะไม่มีความสุข  แล้วพวกเขาก็กินแป้งข้าวโพดนึ่งแทน เชื่อว่าการกินเกี๊ยวคือการปล่อยตัวให้สุขสบาย  พวกเขารู้สึกสบายใจก็ต่อเมื่อตนกำลังกินแป้งข้าวโพดนึ่ง ขนมเปี๊ยะเก่าเก็บ และผักดองเท่านั้น แล้วพอพวกเขารู้สึกสบายใจ พวกเขาก็คิดว่าพระเจ้าต้องพอพระทัยเป็นแน่  พวกเขาเข้าใจผิดว่าความรู้สึกของตน ความชื่นบาน ความเศร้า ความโกรธ และความสุขของตนก็คือความรู้สึก ความชื่นบาน ความเศร้า ความโกรธ และความสุขของพระเจ้า  นั่นไร้สาระไม่ใช่หรือ?  หลายคนทำเหมือนสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์ยึดถือว่าถูกต้องนั้นคือความจริง แล้วพวกเขาก็เอาสิ่งเหล่านั้นมาใช้กับพระเจ้า บรรยายว่าเป็นพระประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ เพราะนั่นคือสิ่งที่ผู้คนทั้งปวงเชื่อ  แล้วตราบใดที่ผู้คนเชื่อเช่นนั้น ก็เป็นธรรมดาและเป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะพูดโดยไม่รู้ตัวว่าถ้อยแถลง พฤติกรรม และแนวทางเหล่านั้นคือความจริง  แล้วเมื่อผู้คนกำหนดลงไปว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง พวกเขาก็ย่อมคิดว่านั่นต้องเป็นหลักปฏิบัติที่มนุษย์ต้องทำตาม ว่าหากใครปฏิบัติและทำตามสิ่งเหล่านั้นในลักษณะนี้แล้ว พวกเขาย่อมกำลังปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และแน่นอนว่ากำลังทำตามน้ำพระทัยของพระองค์  แล้วในเมื่อผู้คนกำลัง “ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า” ความทุกข์ยากของพวกเขาก็ย่อมคุ้มค่าไม่ใช่หรือ?  วิธีการที่พวกเขาจ่ายราคานี้ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยและทรงจดจำหรอกหรือ?  ผู้คนย่อมจะคิดว่าเป็นเช่นนั้นแน่นอน นี่คือระยะห่างและความแตกต่างระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับสิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็น “ความจริง”  ผู้คนพร้อมใจกันจัดให้ทุกสิ่งที่—ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา—สอดคล้องกับลักษณะทางศีลธรรมของมนุษย์ ดีงาม สูงส่ง และถูกต้องนั้น เป็นความจริง แล้วจากนั้นพวกเขาก็ลงมือทำและมุมานะที่จะปฏิบัติตามแนวทางนั้น พลางเข้มงวดกับตนเอง  พวกเขาเชื่อว่าด้วยการทำเช่นนั้น ตนกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง เชื่อว่าพวกเขาไม่ต่างอะไรจากคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และแน่นอนว่าพวกเขาคือคนที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยบริบูรณ์อีกด้วย  ข้อเท็จจริงก็คือพระวจนะของพระเจ้าและความจริงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้คนยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าดีงาม ถูกต้อง และเป็นบวกเหล่านั้น  แต่ต่อให้ผู้คนอ่านและถือพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในมือ พวกเขาก็ถือว่าทุกสิ่งที่—ตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา—ดี ถูกต้อง งดงาม เมตตา เป็นบวก และได้รับการสนับสนุนจากมนุษย์ คือความจริง คือสิ่งที่เป็นบวก และพวกเขาก็ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ไม่เพียงบังคับให้ตนเองไล่ตามไขว่คว้าและสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้นเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ผู้อื่นไล่ตามไขว่คว้าและสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้นด้วย  ผู้คนเข้าใจผิดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยว่าสิ่งที่มนุษย์มองว่าดีงามย่อมเป็นความจริง แล้วจากนั้นพวกเขาก็ไล่ไขว่คว้าตามมาตรฐานและแนวทางที่สิ่งเหล่านั้นเรียกร้อง แล้วก็เชื่อตามนั้นว่าพวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาความจริงและใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของความจริงแล้ว  นี่คือความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งที่ผู้คนมีต่อการไล่ตามเสาะหาความจริง  ความเข้าใจผิดนี้ก็คือการที่ผู้คนถือเอาสิ่งที่พวกเขาเชื่อ—ในมโนคติอันหลงผิดของตน—ว่าดีงาม ถูกต้อง และเป็นบวกนั้นมาเป็นมาตรฐานของตน แทนที่ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ แทนที่ข้อเรียกร้องและมาตรฐานในพระวจนะของพระองค์  ผู้คนเข้าใจผิดว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้องและดีงามในมโนคติอันหลงผิดของตนนี้คือความจริง ไม่เพียงเท่านั้น—พวกเขายังปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้และไล่ตามไขว้คว้ามันอีกด้วย  นี่คือปัญหาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือปัญหาด้านความคิดอ่านและทัศนะของมนุษย์  เวลาที่ผู้คนทำสิ่งเหล่านี้ พวกเขามีอะไรเป็นแรงจูงใจ?  ต้นตอที่พาให้พวกเขามีแนวคิดและความเข้าใจผิดเช่นนี้คืออะไร?  ต้นตอก็คือผู้คนเชื่อว่าพระเจ้าชอบสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจึงเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้กับพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมดั้งเดิมบอกให้ผู้คนขยันและมัธยัสถ์ ความขยันและความมัธยัสถ์จึงเป็นคุณความดีของมนุษย์  “เจ้าต้องทนทุกข์ใหญ่หลวงจึงจะเป็นผู้ชนะ” เป็นคุณความดีอีกข้อในหนทางดังกล่าว เช่นเดียวกับ “จงทำตามที่นายสั่ง มิเช่นนั้นถึงทุ่มเทเต็มที่ก็จะไม่ได้อะไร” รวมทั้งแนวคิดอื่นๆ ทำนองนั้น  ผู้คนทุกกลุ่มทุกเผ่าพันธุ์เชื่อว่าทุกสิ่งที่พวกเขาคิดว่าดีงาม ถูกต้อง เป็นบวก แข็งขัน และใฝ่ดีล้วนเป็นความจริง และพวกเขาก็ทำเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้คือความจริง ใช้แทนความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าแสดงไว้  พวกเขาเข้าใจผิดว่าสิ่งที่มนุษย์เชื่ออย่างหนักแน่น ซึ่งเป็นของซาตาน คือความจริงและเป็นมาตรฐานตามพระประสงค์ของพระเจ้า  พวกเขามุ่งไล่ตามเสาะหาตามอุดมคติ แนวทาง และเป้าหมายที่ตนนึกคิดและเชื่อว่าถูกต้อง  นี่เป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรง  สิ่งที่เกิดจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์นี้ไม่ได้เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าแต่อย่างใด และตรงข้ามกับความจริงอย่างสิ้นเชิง

เราจะยกตัวอย่างผู้คนที่เข้าใจผิดว่าสิ่งที่พวกเขายึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าดีงามและถูกต้องนั้นคือความจริงสักสองสามตัวอย่าง แนวคิดนี้จะได้เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ยากนัก และพวกเจ้าก็จะสามารถเข้าใจได้  ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงบางคนเลิกแต่งหน้าและสวมเครื่องประดับหลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า  พวกเธอวางเครื่องสำอางและเครื่องประดับลง คิดไปว่าผู้เชื่อในพระเจ้าควรประพฤติตัวให้ดี และจะแต่งหน้าหรือแต่งตัวไม่ได้  บางคนมีรถยนต์ แต่ก็ไม่ขับรถ กลับขี่จักรยานแทน  พวกเขานึกว่าการขับรถเป็นการปรนเปรอตนเองให้สุขสบาย  บางคนมีเงินซื้อเนื้อกิน แต่ก็ไม่ยอมซื้อกิน คิดไปว่าถ้าพวกเขากินเนื้อสัตว์อยู่เสมอ แล้วเกิดถึงเวลาที่รูปการณ์ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขากินเนื้ออีกต่อไป พวกเขาก็จะคิดลบ อ่อนแอ และทรยศพระเจ้า  ดังนั้นพวกเขาจึงหัดทนทุกข์จากการไม่มีเนื้อกินเอาไว้ล่วงหน้า  คนอื่นก็คิดไปว่าในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องดูประพฤติตัวดี พวกเขาจึงสำรวจข้อเสียและนิสัยที่ไม่ดีของตน พยายามที่จะปรับเปลี่ยนน้ำเสียงในการพูดจาของตน ควบคุมอารมณ์ และพยายามอย่างที่สุดที่จะให้ตนเองดูมีการขัดเกลา ไม่หยาบกระด้าง  พวกเขาคิดว่าทันทีที่คนคนหนึ่งมาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ต้องเคร่งครัดและควบคุมตนเอง ต้องเป็นคนดีในสายตาของผู้อื่นและประพฤติตัวดี  พวกเขานึกว่าเมื่อทำเช่นนั้นก็คือพวกเขากำลังยอมลำบาก กำลังทำให้พระเจ้าพอพระทัย และปฏิบัติความจริงอยู่  บางคนแต่งตัวออกไปเดินซื้อของเป็นครั้งคราว แล้วก็รู้สึกผิดเมื่อทำเช่นนั้น  พวกเขานึกว่าตอนนี้เมื่อพวกเขาเชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกเขาจะแต่งหน้าและแต่งตัวไม่ได้ จะสวมเสื้อผ้าดีๆ ไม่ได้  พวกเขาเชื่อว่าถ้าพวกเขาแต่งหน้า แต่งตัว และสวมเสื้อผ้าดีๆ พระเจ้าจะเกลียดและไม่ชอบ  พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าชอบมวลมนุษย์ที่ล้าหลัง พระเจ้าไม่ชอบอุตสาหกรรม หรือวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ หรือกระแสนิยมใดๆ  พวกเขาคิดว่าพวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาความจริงเมื่อพวกเขาปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้เท่านั้น  นี่คือความเข้าใจที่บิดเบี้ยวไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนเหล่านี้ตั้งใจอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาถือว่าพระวจนะของพระองค์คือความจริงหรือไม่? (ไม่)  แล้วในเมื่อพวกเขาไม่ได้ถือว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่หรือไม่?  (ไม่)  นั่นคือสาเหตุที่แนวทางและลักษณะของการแสดงออกเหล่านี้เป็นเพียงการเข้าใจผิดของผู้คนว่าสิ่งที่พวกเขายึดถือในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงามนั้นคือความจริง และเป็นการใช้สิ่งเหล่านั้นมาแทนที่ความจริงเท่านั้น  พวกเขาปฏิบัติสิ่งเหล่านี้อย่างฝันเฟื่อง แล้วจากนั้นก็คิดว่าตนกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าตนเป็นคนที่มีความเป็นจริงของความจริง  ตัวอย่างเช่น มีผู้คนที่ไม่ดูรายการโทรทัศน์ หรือดูข่าว หรือแม้กระทั่งออกไปเดินซื้อของนับตั้งแต่มาเชื่อในพระเจ้า  มีหลายคืนที่พวกเขานอนบนกองฟางและมีหลายวันที่พวกเขาใช้เวลาอยู่ข้างสถานรับเลี้ยงสัตว์เพราะพวกเขากำลังประกาศข่าวประเสริฐและปฏิบัติหน้าที่ของตน  หลายครั้งที่พวกเขาเป็นโรคกระเพาะอาหารเพราะกินอาหารเย็นๆ น้ำหนักลดไปหลายกิโลและทนทุกข์เป็นอันมากจากการอดนอนและกินน้อย  พวกเขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ดีมาก และลงบัญชีเอาไว้ทีละอย่าง  ทำไมพวกเขาจึงบันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ชัดเจนอย่างนั้น?  เหตุผลก็คือพวกเขาเชื่อว่าพฤติกรรมและวิธีการเหล่านี้คือการปฏิบัติความจริงและเป็นการทำให้พระเจ้าพอพระทัย และถ้าพวกเขาสัมฤทธิ์พฤติกรรมอันดีงามทั้งหมดนี้ พระเจ้าก็จะทรงเห็นชอบในตัวพวกเขา  ดังนั้นผู้คนจึงไม่ปริปากบ่น พวกเขาปฏิบัติสิ่งเหล่านี้อย่างไม่ลังเล  พวกเขาไม่เคยเหนื่อยที่จะพูดถึงสิ่งเหล่านี้ เล่าสิ่งเหล่านี้ซ้ำๆ และหวนระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ หัวใจของพวกเขารู้สึกเต็มอิ่มเอามากๆ  แต่พอพวกเขาเผชิญบททดสอบจากพระเจ้า เมื่อสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ไม่เป็นไปตามที่พวกเขาอยากให้เป็น เมื่อสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จากพวกเขาและการกระทำของพระองค์ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา เมื่อนั้นสิ่งที่คนเหล่านี้ยึดถือว่าถูกต้อง รวมทั้งราคาที่พวกเขาจ่ายและการปฏิบัติของพวกเขา ก็ย่อมจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง  สิ่งเหล่านี้จะไม่ช่วยให้พวกเขานบนอบพระเจ้าหรือรู้จักพระองค์ภายในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเผชิญอยู่แม้แต่น้อยด้วยซ้ำ  ตรงกันข้าม สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเครื่องกีดขวางและอุปสรรคต่อการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าและการนบนอบพระเจ้าของพวกเขา  สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผู้คนไม่เคยเรียนรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้องนั้นโดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่ความจริง และสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติอยู่ก็ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง  เช่นนั้นแล้ว ผู้คนน่าจะได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้?  มีแต่พฤติกรรมอันดีงามอย่างหนึ่งเท่านั้น  ผู้คนจะไม่ได้รับความจริงและชีวิตจากสิ่งเหล่านี้  ถึงกระนั้นพวกเขาก็เชื่ออย่างผิดๆ ว่าพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้คือความเป็นจริงของความจริง และถึงกับรู้สึกแน่วแน่ยิ่งขึ้นในความมุ่งมั่นของตนว่าสิ่งที่พวกเขายึดถือว่าถูกต้องในมโนคติอันหลงผิดของตนนี้คือความจริงและใช่สิ่งที่เป็นบวก ด้วยเหตุนี้ความมุ่งมั่นนั้นจึงหยั่งรากอยู่ในหัวใจของพวกเขา  ยิ่งผู้คนเคารพบูชาและเชื่ออย่างมืดบอดในสิ่งที่พวกเขายึดถือว่าถูกต้องในมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาก็ยิ่งปฏิเสธความจริง และยิ่งออกห่างจากพระประสงค์ของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์มากขึ้น  ในขณะเดียวกัน ยิ่งผู้คนยอมลำบากมากมายหลายอย่าง พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าตนกำลังสะสมต้นทุน และยิ่งเชื่อว่าตนมีคุณสมบัติที่จะได้รับการช่วยให้รอดและได้รับสัญญาจากพระเจ้า  นี่คือวงจรอุบาทว์มิใช่หรือ?  (ใช่)  อะไรคือรากเหง้าของปัญหานี้?  อะไรคือตัวการหลัก?  (ผู้คนเข้าใจผิดว่ามโนคติอันหลงผิดของตนคือสิ่งที่เป็นบวก และใช้มโนคติเหล่านั้นแทนที่พระวจนะของพระเจ้า)  ผู้คนแทนที่พระวจนะของพระเจ้าด้วยมโนคติอันหลงผิดของตนเอง พวกเขาวางพระวจนะของพระเจ้าลง และโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาเมินพระวจนะ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาไม่ถือว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงแต่อย่างใด  พูดได้ว่าหลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า ผู้คนอาจอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่สิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา เลือก และปฏิบัตินั้นยังคงเป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ และพวกเขาก็ยังไม่ได้ออกเดินไปบนเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าตามพระวจนะและพระประสงค์ของพระองค์  แท้จริงแล้วปัญหาที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนนี้มาจากไหน?  มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์เกิดขึ้นตรงไหน?  มาจากที่ใด?  กล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม จากมรดกตกทอดของมนุษย์ รวมทั้งอิทธิพลและการปรับพฤติกรรมที่โลกศาสนาทำกัน  มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์สัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้โดยตรง

ในความคิดและทัศนะของผู้คน มีสิ่งใดอีกที่พวกเขาเชื่อว่าดีงาม ถูกต้อง และเป็นบวก?  พวกเจ้ายกตัวอย่างมาสักสองสามอย่างได้เลย  ผู้คนมักจะพูดว่า “คนดีมีชีวิตที่เปี่ยมสันติสุข” และ “ผู้คนที่ไร้เล่ห์มารยาเหนือกว่าเสมอ”—นี่ก็ใช่มิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วยังมี “ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ถ้ายังมาไม่ถึง ก็กำลังส่งผล” “ตั้งหน้าตั้งตาทำชั่วย่อมทำลายตนเอง” “คนที่พระเจ้าจะทรงทำลาย พระองค์ย่อมทำให้วิปลาสเสียก่อน” “เจ้าต้องทนทุกข์ใหญ่หลวงจึงจะเป็นผู้ชนะ” “การไล่ตามเสาะหาอื่นๆ ล้วนด้อยกว่าตำรา” เป็นต้น  เรื่องไร้สาระทั้งหมดนี้ชวนให้คลื่นเหียน  เรานึกเดือดดาลเมื่อได้ยินถ้อยคำเช่นนี้ แต่ผู้คนก็กล่าวคำเหล่านี้กันง่ายเหลือเกิน  เหตุใดพวกเขาจึงกล่าวคำเหล่านี้ได้ง่ายดายนัก?  ทำไมเราจึงพูดคำเหล่านี้ไม่ออก?  เราไม่ชอบถ้อยคำเหล่านี้ ไม่ชอบคำกล่าวเหล่านี้  ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเจ้าพร้อมจะเอ่ยมันออกมา และคำกล่าวเหล่านี้ก็พรั่งพรูออกมาจากปากของพวกเจ้าได้ทันที แล้วพวกเจ้าก็ท่องจำคำเหล่านี้ได้อย่างไหลลื่นเหลือเกิน พิสูจน์ว่าพวกเจ้าชื่นชูและเคารพบูชาสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษ  พวกเจ้าเคารพบูชาสิ่งที่ว่างเปล่า ลวงตา และไม่จริงเหล่านี้ แล้วก็ใช้เป็นคติเตือนใจไปพร้อมกัน ใช้เป็นหลักธรรม หลักเกณฑ์ และพื้นฐานในการกระทำของพวกเจ้า  จากนั้นพวกเจ้าก็ถึงกับคิดว่าพระเจ้าทรงเชื่อสิ่งเหล่านี้ด้วย ว่าพระวจนะของพระองค์เป็นเพียงวิธีที่ต่างออกไปในการกล่าวถึงแนวคิดเดียวกัน และสิ่งเหล่านี้ก็คือความหมายโดยรวมแห่งพระวจนะของพระองค์ กล่าวคือ เป็นการร้องเรียกให้ผู้คนเป็นคนดี  ทัศนะเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้คือความหมายในพระวจนะของพระเจ้าและความจริงที่พระองค์ทรงแสดงไว้กระนั้นหรือ?  ไม่ใช่เลย ความหมายที่พระเจ้าตรัสถึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้  เพราะฉะนั้นผู้คนต้องเปลี่ยนท่าทีที่ตนมีต่อความจริงให้ถูกต้อง และจำเป็นต้องแก้ไขการรับรู้ความจริงของพวกเขาให้ถูกต้อง—ซึ่งหมายความว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนและแก้ไขมาตรฐานที่พวกเขาใช้วัดความจริงให้ถูกต้อง  มิฉะนั้นพวกเขาก็จะยอมรับความจริงได้ยาก และไม่มีทางที่จะออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง อะไรคือความจริง?  หากจะกล่าวอย่างกว้างๆ พระวจนะทุกคำของพระเจ้าคือความจริง  หากจะกล่าวให้ชัดเจนลงไป—อะไรคือความจริง?  เราเคยบอกพวกเจ้าไปแล้ว  เรากล่าวว่าอะไร?  (“ความจริงคือหลักเกณฑ์ที่ผู้คนใช้วางตน กระทำการ และนมัสการพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด (ภาคที่สาม))  ถูกต้อง  ความจริงคือหลักเกณฑ์ที่ผู้คนใช้วางตน กระทำการ และนมัสการพระเจ้า  ดังนั้นความจริงมีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้คนเชื่อตามมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงามหรือไม่?  (ไม่มี)  สิ่งที่มนุษย์เชื่อนี้มาจากไหน?  (จากปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตของซาตาน และจากความคิดบางอย่างที่วัฒนธรรมดั้งเดิมปลูกฝังเอาไว้ในตัวมนุษย์)  ถูกต้อง  กล่าวให้แน่ชัดก็คือสิ่งเหล่านี้มาจากซาตาน  แล้วพวกคนที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาและเป็นคนปลูกฝังสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในตัวมนุษย์คือใคร?  พวกเขาใช่ซาตานหรือไม่?  (ใช่)  บูรพาจารย์เหล่านั้นของพวกเจ้าเป็นซาตานกันทุกคน—พวกเขาคือซาตานที่มีชีวิตและมีลมหายใจ  จงดูคำกล่าวเหล่านั้นที่ชาวจีนยึดถือ เช่น “เมื่อมิตรมาจากแดนไกลย่อมพาให้ชื่นบาน” “เมื่อมาถึงแล้วก็ค้างแรมด้วยเถิด” “อย่าเดินทางไกลเมื่อพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่” “ความกตัญญูต่อบุพการีคือคุณธรรมที่ต้องยึดถือเหนือสิ่งอื่นใด” “ในสามอกตัญญู การไม่มีทายาทเลวร้ายที่สุด” “จงเคารพผู้ล่วงลับ” “เมื่อคนเราใกล้ตาย ย่อมพูดจริงและพูดดี”  จงวิเคราะห์ถ้อยคำเหล่านี้ให้ถี่ถ้วน—มีคำกล่าวไหนที่เป็นความจริงบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ทั้งหมดล้วนไร้สาระและเป็นเหตุผลวิบัติ  จงบอกเราเถิดว่าหลังจากที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว ผู้คนต้องเบาปัญญาเพียงใดจึงจะเข้าใจผิดว่าเหตุผลวิบัติและความไร้สาระเหล่านี้คือความจริง?  ผู้คนเหล่านี้มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงหรือไม่?  (ไม่มี)  ผู้คนเช่นนี้เป็นพวกไร้สาระและไม่สามารถเข้าใจความจริงได้อย่างสิ้นเชิง  แล้วพวกเจ้า—เมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าไปเป็นอันมากแล้วในตอนนี้ พวกเจ้ารู้จักความจริงบ้างหรือไม่?  (รู้จัก)  ความจริงมาจากไหน?  (มาจากพระเจ้า)  ความจริงมาจากพระเจ้า  จงอย่าเชื่อคำพูดใดๆ ที่พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ตรัส  ปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตของซาตานและแนวคิดจากวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นไม่ใช่ความจริง คนเราต้องไม่มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือวางตัวและกระทำการตามปรัชญาและแนวคิดเหล่านั้น หรือใช้อะไรแบบนั้นเป็นหลักเกณฑ์ของตน เพราะไม่ใช่สิ่งที่มาจากพระเจ้า  ตราบใดที่สิ่งนั้นมาจากมนุษย์ ไม่ว่าจะมาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมหรือคนที่มีชื่อเสียงบางคน หรือเป็นผลิตผลของการเรียนรู้หรือสังคม หรือมาจากราชวงศ์หรือผู้คนเผ่าพันธุ์ใดก็ไม่สำคัญ—สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่ความจริง  กระนั้นก็ชัดเจนว่านี่ยังคงเป็นสิ่งที่ผู้คนถือว่าเป็นความจริง เป็นสิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าและปฏิบัติแทนความจริง  แล้วพร้อมกันนั้นพวกเขาก็คิดว่าตนกำลังปฏิบัติความจริง ว่าสิ่งเหล่านี้ใกล้เคียงกับการสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ที่จริงแล้วกลับตรงกันข้ามโดยแท้ กล่าวคือ เมื่อเจ้าไล่ตามไขว่คว้าและปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้ เจ้าย่อมออกห่างจากพระประสงค์ของพระเจ้าไปทุกที ออกห่างความจริงไปเรื่อยๆ

การที่ผู้คนเข้าใจผิดว่าสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์มองว่าดีงามและเป็นบวกคือความจริง และไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านั้นเหมือนเป็นความจริง ย่อมไร้สาระในตัวมันเอง  เป็นไปได้อย่างไรที่ผู้คนที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระองค์ไปมากมายยังคงสามารถตั้งหน้าตั้งตาเข้าใจผิดว่าสิ่งที่มนุษย์มองว่าดีงามนั้นคือความจริงและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านั้นเหมือนเป็นความจริง?  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร และแท้จริงแล้วพวกเขาไม่รู้จักความจริง  นี่คือปัจจัยหนึ่งซึ่งอยู่ในคำถามที่เราเพิ่งถามไปว่า “ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง แล้วผู้คนยังคงปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้ต่อไปและคิดว่าตนเองกำลังปฏิบัติความจริงได้อย่างไร?”  เราจะพูดถึงปัจจัยอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  ผู้คนเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขายึดถือตามมโนคติอันหลงผิดของตนว่าดีงาม ถูกต้อง และเป็นบวกนั้นคือความจริง และพวกเขาก็สร้างแผนการขึ้นมาบนรากฐานนี้ โดยเชื่อว่าเมื่อตนทำให้พระเจ้าพอพระทัยและพระเจ้าก็มีความสุขแล้ว พระองค์ก็จะทรงอวยพรตนตามที่พระองค์สัญญากับมนุษย์เอาไว้  แผนการแบบนี้คือความพยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ในแง่หนึ่ง ผู้คนก็ค้ำจุนและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ พลางเก็บงำความเข้าใจที่ไร้สาระและไม่ถูกต้องไปด้วย พร้อมกันนั้นพวกเขาก็พยายามเอาความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานของตนมาทำข้อตกลงกับพระเจ้า  นั่นคือปัจจัยอีกข้อหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  ที่ผ่านมาพวกเราสามัคคีธรรมถึงปัจจัยข้อนี้กันอยู่เนืองๆ ดังนั้นพวกเราจะไม่ลงรายละเอียดในเรื่องนี้กันในตอนนี้  เพราะฉะนั้นเราขอถามพวกเจ้าว่า เมื่อใครคนหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าประกาศตัดขาด ทนทุกข์ สละตน และยอมลำบากเพื่อพระเจ้า พวกเขาย่อมมีเจตนาและเป้าหมายในการทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  มีใครบ้างไหมที่กล่าวว่า “ฉันไม่อยากได้อะไรและไม่ร้องขออะไร  ฉันจะตัดขาด สละตน และยอมลำบาก ไม่ว่ารูปการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม  เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้  ฉันไม่มีความอยากหรือความทะเยอทะยานส่วนตัวใดๆ  ไม่ว่าพระเจ้าจะทำกับฉันอย่างไรย่อมเป็นเรื่องดี  พระองค์อาจให้รางวัลฉัน พระองค์อาจไม่ให้—ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ปฏิบัติตนตามพระประสงค์ของพระองค์มาตลอด ฉันมอบถวายตนเอง ประกาศตัดขาดจากทุกสิ่ง ฉันยอมลำบากและยอมทนทุกข์”?  มีผู้คนเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่มี)  จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคนแบบนี้มาเกิด  บางคนอาจกล่าวว่า “คนแบบนั้นจะต้องปลีกตัวใช้ชีวิตตามลำพัง”  ต่อให้คนคนหนึ่งปลีกตัวไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียว พวกเขาก็จะไม่เป็นอย่างนี้ กล่าวคือ พวกเขาจะยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ความทะเยอทะยาน และความอยากได้อยากมี และจะพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่ดี  ดังนั้นปัจจัยข้อที่สองในคำถามนี้ก็คือว่า เมื่อผู้คนทำเหมือนกับว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อตามมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องนั้นคือความจริง พวกเขาย่อมมีแผน  แล้วแผนการนั้นคืออะไร?  คือการปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้เพื่อเอามาแลกเปลี่ยนเป็นพรที่พระเจ้าทรงสัญญากับมนุษย์เอาไว้และแลกเป็นบั้นปลายอันงดงาม  พวกเขาเชื่อว่าตราบใดที่มนุษย์มองบางสิ่งว่าเป็นบวก สิ่งนั้นก็ต้องถูกต้อง พวกเขาจึงปฏิบัติและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง และพวกเขาคิดว่าด้วยการปฏิบัติในลักษณะนี้ พวกเขาต้องได้รับพรจากพระเจ้าเป็นแน่  นั่นคือแผนการของมนุษย์  แท้จริงแล้วปัจจัยข้อที่สองนี้เกี่ยวข้องกับการที่ผู้คนพยายามสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนเอง และพยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้า  หากเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ ก็จงลองห้ามผู้คนทำข้อตกลง แล้วเอาความอยาก ความทะเยอทะยานไปจากพวกเขา—ให้พวกเขาปล่อยมือจากความอยากและความทะเยอทะยานของตน  พวกเขาย่อมหมดแรงกำลังที่จะทนทุกข์และทนลำบากทันที  ทำไมพวกเขาจึงหมดแรงกำลังที่จะทำสิ่งเหล่านี้?  เพราะพวกเขาย่อมจะรู้สึกว่าตนเองสูญเสียโชคชะตาและโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของตนไปแล้ว พวกเขาไม่มีความหวังใดๆ ที่จะได้รับพรอีกต่อไป และรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้รับอะไร  สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติอยู่นั้นไม่ใช่ความจริง และสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาก็ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นสิ่งที่พวกเขานึกว่าเป็นบวก แต่พอความอยากและความทะเยอทะยานของพวกเขาพังทลาย พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะทำสิ่งเหล่านี้อีกต่อไปด้วยซ้ำ  จงบอกเราเถิดว่าผู้คนมีอะไรบ้าง?  พวกเขามีความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่?  (ไม่มี)  ถ้าถามต่อไปอีกขั้นหนึ่งก็คือผู้คนจงรักภักดีหรือไม่?  บางคนอาจกล่าวว่า “ไม่ว่าพระเจ้าตรัสอะไรในตอนนี้ พวกเราย่อมปฏิบัติตามพระองค์  ไม่ว่าพระองค์จะตรัสว่าอะไร พวกเราก็ไม่คิดลบหรือท้อใจ พวกเราไม่ท้อถอย และยิ่งไม่ยอมล้มเลิก  ต่อให้พระเจ้าไม่ต้องการพวกเรา และตรัสว่าพวกเราเป็นคนปรนนิบัติ เป็นคนใช้แรงงาน ว่าพวกเราไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเราไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด พวกเราก็จะยังคงติดตามพระองค์อย่างไม่ลังเลและตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา  นั่นไม่ใช่ความจงรักภักดีหรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่การมีความเชื่อหรอกหรือ?  การจงรักภักดีและการมีความเชื่อไม่เหมือนกับการไล่ตามเสาะหาความจริงหรอกหรือ?  ไม่ได้หมายความว่าพวกเรากำลังไล่ตามเสาะหาความจริงในระดับหนึ่งหรอกหรือ?”  จงบอกเราเถิดว่านั่นใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วการพูดว่านั่นไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่า “เครื่องช่วยชีวิต” ของมนุษย์ถูกปิดกั้นหมดแล้ว พวกเขาไม่มีแม้แต่ฟางให้ยึดเกาะ  ถ้าอย่างนั้นจะทำเช่นไร?  มีอะไรที่พอจะทำได้หรือไม่?  ไม่ว่าจะมีอะไรที่พวกเขาพอจะทำได้หรือไม่ก็ตาม หลังจากที่ได้ฟังแบบนี้ ผู้คนย่อมรู้สึกอย่างไร?  พวกเขาย่อมรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งว่า “นี่หมายความว่าฉันไม่มีหวังที่จะได้รับพรจริงๆ ใช่ไหม?  นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”  ในรูปการณ์เช่นนี้ผู้คนสูญเสียทิศทางอย่างสิ้นเชิง  บัดนี้เมื่อวจนะของเราริบเอา “เครื่องช่วยชีวิต” ของพวกเจ้าไปหมดแล้ว เราจะดูว่าจากจุดนี้ไป พวกเจ้าจะไปทางไหน  บางคนบอกว่า “เมื่อไม่ถูกต้องที่จะลงแรง หรือพยายามทำข้อตกลง หรือมีความเข้าใจที่บิดเบี้ยว หรือทนทุกข์และจ่ายราคา—แล้วอะไรกันแน่คือสิ่งที่ทำแล้วถูกต้อง?  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสเช่นไร พวกเราก็จะไม่ผละจากพระองค์  พวกเราจะปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไป  นั่นไม่ใช่การปฏิบัติความจริงหรอกหรือ?”  ต้องทำความเข้าใจคำถามข้อนี้ให้ชัดเจน  เนื่องจากผู้คนไม่เข้าใจความจริงและมีความเข้าใจที่บิดเบี้ยวอยู่เสมอว่าการปฏิบัติความจริงคืออะไร พวกเขาจึงเชื่อว่าการประกาศตัดขาด การสละ ทนทุกข์ และการยอมลำบากคือการปฏิบัติความจริงและเป็นการนบนอบพระเจ้า  นี่เป็นความผิดพลาดอย่างมาก  การปฏิบัติความจริงคือการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า แต่ผู้คนต้องปฏิบัติตามพระวจนะอย่างมีหลักธรรม—แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาต้องไม่ปฏิบัติเช่นนั้นตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์  สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ก็คือหัวใจที่จริงใจ หัวใจที่รักพระองค์ หัวใจที่ทำให้พระองค์พอพระทัย  เฉพาะการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าในลักษณะนี้เท่านั้นที่เป็นการปฏิบัติความจริง  หากคนเราอยากทำข้อตกลงกับพระเจ้าเสมอเวลาพวกเขาสละตนเพื่อพระองค์ และอยากสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนเอง พวกเขาก็ไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริง พวกเขากำลังเล่นไม่ซื่อและเหยียบย่ำการปฏิบัติความจริงอยู่ และพวกเขาก็เป็นคนหน้าซื่อใจคด  ดังนั้นถ้าใครบางคนสามารถยอมรับคำพิพากษาของพระเจ้า และไม่ผละจากพระเจ้า ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ของตนแม้ว่าเจตนาและความอยากได้พรของตนจะพังทลาย แม้ว่าจะไม่มีอะไรให้ตั้งตารอคอยและไม่มีอะไรเป็นแรงจูงใจของตนเองก็ตาม นี่ก็คือการไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงไม่ใช่หรือ?  ตามความเห็นของเรา หากพวกเราประเมินเรื่องนี้ตามคำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วนี่ก็ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่ดี และห่างไกลจากมาตรฐานของการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างทาบไม่ติด  ตอนนี้เมื่อพวกเรามีคำนิยามที่ถูกต้องของการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเราก็ควรยึดถือตามนั้นอย่างเคร่งครัดเวลาประเมินการกระทำ การประพฤติปฏิบัติ และการแสดงออกของผู้คน  เมื่อใครบางคนสามารถคงอยู่กับพระเจ้าและตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ของตน แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีพรให้ตั้งตารอคอยก็ตาม จะสามารถประเมินว่าอย่างไรได้บ้าง?  ประเมินได้ว่าในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผู้คนเกิดมาพร้อมสิ่งที่น่าชมเชยสองอย่างในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และหากเจ้าใช้สองสิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์ได้ ก็แน่นอนว่าเจ้า—อย่างน้อยที่สุด—ติดตามพระเจ้าอยู่  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสองสิ่งนั้นคืออะไร?  (มโนธรรมและเหตุผล)  ถูกต้อง  มีสองสิ่งที่ทรงคุณค่าที่สุดในสภาวะความเป็นมนุษย์ของมนุษย์เอง—เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง เมื่อพวกเขามีขีดความสามารถที่อ่อนด้อยมาก เมื่อพวกเขาไร้ซึ่งความรู้หรือการเข้าสู่ในเรื่องของพระประสงค์ของพระเจ้าและความจริง และพวกเขายังคงสามารถตั้งมั่นตามฐานะของตนเอง อะไรคือเงื่อนไขเบื้องต้นที่เปิดโอกาสให้พวกเขาสัมฤทธิ์การทำเช่นนี้?  พวกเขาต้องมีมโนธรรมและเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เมื่อเป็นดังนี้ คำตอบจึงชัดแจ้ง  ในเมื่อผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่มีความอยากหรือความทะเยอทะยานที่จะได้รับพร ในเมื่อพวกเขาหมดความอยากที่จะได้รับพร หากพวกเขายังคงสามารถติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง พวกเขาทำเช่นนี้ตามหลักอะไร?  พวกเขามีอะไรเป็นแรงจูงใจ?  การกระทำของพวกเขาไม่มีหลักการหรือแรงจูงใจอันใด—ตราบใดที่ผู้คนมีมโนธรรมและเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาย่อมทำสิ่งเหล่านี้ได้  สถานการณ์ตอนนี้เป็นดังนี้คือ เจ้าไม่เข้าใจความจริง นั่นคือข้อเท็จจริง—และความเข้าใจที่เจ้ามีเกี่ยวกับคำสอนก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้ นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงแล้ว  เจ้ารู้ว่าการพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้าเพื่อที่จะไล่ตามไขว่คว้าความสำเร็จในอนาคตและโชคชะตาให้ตนเองนั้นผิด แต่ถ้าเจ้ายังคงมีความสุขที่จะติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนหลังจากที่การไล่ตามไขว่คว้าความสำเร็จในอนาคตและโชคชะตา รวมทั้งความอยากได้พรนั้นถูกกล่าวโทษและถูกริบไปจากเจ้าแล้ว นั่นย่อมจะยอดเยี่ยมโดยแท้  ถ้าเจ้าสามารถติดตามพระเจ้าโดยที่ยังไม่ได้รับความจริง นั่นย่อมจะขึ้นอยู่กับอะไร?  ย่อมจะขึ้นอยู่กับมโนธรรมและเหตุผลของเจ้า  มโนธรรมและเหตุผลของคนคนหนึ่งสามารถค้ำชูการดำรงอยู่ตามปกติ ชีวิต และการปฏิบัติที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลายได้  ดังนั้นช่องว่างระหว่างการปฏิบัติความจริงกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตามมโนธรรมและเหตุผลของเจ้าคืออะไร?  ลักษณะของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็คือพวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน ส่วนผู้ที่เอาแต่กระทำการตามมโนธรรมและเหตุผลของตนอาจไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขายังคงสามารถตรากตรำ ปฏิบัติหน้าที่ของตน และคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าได้โดยประวัติของพวกเขาไม่เคยเสีย  นั่นย่อมขึ้นอยู่กับอะไร?  พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและกระทำการตามหลักเกณฑ์ที่เป็นมโนธรรมและเหตุผลของตนเองมากกว่าที่จะทำเช่นนั้นตามพระวจนะของพระเจ้าและมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  ดังนั้นเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว หากเจ้าเพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามมโนธรรมและเหตุผลของเจ้า ก็ย่อมมีระยะห่างระหว่างการทำเช่นนั้นกับการไล่ตามเสาะหาความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  การปฏิบัติหน้าที่ตามมโนธรรมและเหตุผลของคนเราคือการพอใจที่จะตรากตรำเท่านั้น เป็นการใช้สิ่งต่างๆ เป็นมาตรฐานของคนเรา อาทิ การตรากตรำทำงานให้ดี ไม่ก่อให้เกิดการหยุดชะงักหรือความไม่สงบ เชื่อฟังและนบนอบ มีพฤติกรรมอันดีงามและมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น ตลอดจนไม่มีประวัติเสียหาย  นั่นเทียบเท่าระดับของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  ไม่เท่า  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะมีพฤติกรรมอันดีงามมากมายเท่าใด ถ้าพวกเขาไม่รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเลย ไม่รู้จักความเป็นกบฏ มโนคติอันหลงผิด ความเห็นผิดที่ตนมีเกี่ยวกับพระเจ้า รวมทั้งสภาวะเชิงลบต่างๆ ของตน และถ้าพวกเขาแก้ไขสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ หากว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเข้าใจหลักธรรมของการปฏิบัติความจริง และหากว่าการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมาไม่ได้รับการแก้ไขสักอย่าง หากพวกเขายังคงโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ เอาแต่ใจและบุ่มบ่าม คดโกงและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และมีหลายครั้งที่พวกเขาถึงกับคิดลบ อ่อนแอ และสงสัยพระเจ้า เป็นต้น—ถ้ายังคงมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวพวกเขา พวกเขาจะสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าโดยแท้ได้หรือไม่?  ถ้ายังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้อยู่ในตัวพวกเขา พวกเขาจะสามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  ถ้าคนคนหนึ่งมีแต่พฤติกรรมอันดีงาม นั่นใช่ลักษณะของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  สิ่งที่ดีที่สุดในตัวมนุษย์คืออะไร?  มีแต่มโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์เท่านั้น มีเพียงสองสิ่งนี้เท่านั้นที่เป็นบวก และเป็นสิ่งที่น่าชมเชยในตัวมนุษย์  อย่างไรก็ดี สองอย่างนี้ไม่ได้สัมพันธ์กับความจริง เป็นแต่เพียงเงื่อนไขขั้นพื้นฐานที่สุดในการไล่ตามเสาะหาความจริงของมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าถ้าเจ้ามีมโนธรรมและเหตุผลตามปกติของสภาวะความเป็นมนุษย์ และเจ้าสามารถเข้าใจความจริง เมื่อสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่เจ้า เจ้าก็จะสามารถเลือกสิ่งที่ถูกต้องได้  มโนธรรมและเหตุผลที่มนุษย์มีนั้นเป็นดังนี้คือ พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และเจ้าก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระเจ้าทรงเลือกสรรเจ้าเอาไว้ ดังนั้นจึงเป็นการถูกต้องที่เจ้าจะอุทิศตัวและสละตนเพื่อพระเจ้า และเป็นการถูกต้องที่เจ้าจะฟังพระวจนะของพระองค์  คำว่า “เป็นการถูกต้อง” นี้ มโนธรรมและเหตุผลของเจ้าเป็นผู้ตัดสิน—แต่เจ้าฟังพระวจนะของพระเจ้าบ้างหรือไม่?  หลักธรรมและวิธีการที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของเจ้าคืออะไร?  เจ้ามีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม—เจ้าละทิ้งมันไปหรือยัง?  เจ้าแก้ไขแล้วหรือยัง?  อะไรเช่นนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ “เป็นการถูกต้อง” แต่อย่างใด  หากเจ้าไม่ก้าวออกจากรากฐานของสิ่งที่เป็นการถูกต้องที่จะทำและรากฐานว่าการทำเช่นนั้นเป็นการถูกต้องอย่างไร และเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของสิ่งที่ “เป็นการถูกต้อง” นั่นก็คือผลที่เกิดจากมโนธรรมและเหตุผลของเจ้าไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  มโนธรรมของเจ้าบอกเจ้าว่า “พระเจ้าทรงช่วยฉันให้รอด ดังนั้นฉันก็ควรสละตนเพื่อพระองค์  พระเจ้าทรงช่วยชีวิตฉันให้รอดและมอบชีวิตที่สองให้ฉัน ดังนั้นจึงเป็นการถูกต้องที่ฉันจะตอบแทนความรักของพระองค์  พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และฉันคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ดังนั้นฉันจึงควรนบนอบการจัดแจงเตรียมการของพระองค์”  นี่คือผลจากมโนธรรมและเหตุผลของเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  พฤติกรรม วิธีปฏิบัติ ท่าที และทัศนะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตัวผู้คนอันเป็นผลจากมโนธรรมและเหตุผลของพวกเขาย่อมอยู่แต่ในกรอบของสิ่งที่มโนธรรมและเหตุผลของพวกเขาสามารถคิดได้ตามปกติ และสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่การปฏิบัติความจริง  เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  ตัวอย่างเช่น บางคนอาจบอกว่า “พระนิเวศของพระเจ้ายกชูฉันโดยยอมให้ฉันปฏิบัติหน้าที่ แล้วพระนิเวศของพระเจ้าก็ให้อาหาร ให้เครื่องนุ่งห่ม และดูแลเรื่องที่พักอาศัยให้ฉัน  พระนิเวศของพระเจ้าดูแลชีวิตของฉันในทุกๆ ด้าน  ฉันได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าเป็นอันมาก ดังนั้นฉันจึงควรตอบแทนความรักของพระองค์ ฉันไม่ควรหลอกลวงพระเจ้าด้วยการสุกเอาเผากินในหน้าที่ของตน และยิ่งไม่ควรทำอะไรที่ก่อให้เกิดการหยุดชะงักหรือความไม่สงบ  ฉันเต็มใจที่จะนบนอบต่อสิ่งใดก็ตามที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดแจงไว้ให้ฉัน  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะไม่บ่น”  การชี้แจงเช่นนี้ก็เป็นเรื่องดี ง่ายมากที่คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลจะทำเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เทียบชั้นกับการปฏิบัติความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นี่ไม่ใช่การปฏิบัติความจริง  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครคนหนึ่งจะมีมโนธรรมสูงส่งปานใดหรือมีเหตุผลที่ปกติอย่างไร หรือสามารถทำทุกสิ่งได้ภายใต้การกำกับดูแลของมโนธรรมและเหตุผลของตน และไม่ว่าการกระทำของพวกเขาจะถูกต้องเหมาะสมและใช้ได้เพียงใด หรือคนอื่นจะเลื่อมใสในการกระทำเหล่านี้มากขนาดไหน ก็เป็นเพียงพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์เท่านั้น  สิ่งเหล่านี้จัดได้ว่าอยู่ในขอบเขตของพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์เท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วนี่ไม่ใช่การปฏิบัติความจริง  เมื่อเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นตามเหตุผลของตน วาจาของเจ้าจะอ่อนโยนขึ้นบ้าง และเจ้าจะไม่เล่นงานผู้อื่น หรือโมโห เจ้าจะไม่ข่ม ควบคุม รังแก หรือแสวงหาอำนาจต่อรองเหนือผู้อื่น เป็นต้น—ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ—แต่นี่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริงหรือไม่?  ไม่เกี่ยวข้องกัน  เป็นสิ่งที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยเหตุผลของมนุษย์ และมีระยะห่างอยู่บ้างระหว่างสิ่งเหล่านี้กับความจริง

เหตุใดเราจึงกล่าวว่าการกระทำตามมโนธรรมและเหตุผลของคนเราไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริง?  เราจะยกตัวอย่างให้ฟัง  สมมุติว่าคนคนหนึ่งใจดีกับเจ้า และเจ้ากับพวกเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แล้วพวกเขายอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า จากนั้นก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่เจ้า—ซึ่งก็เหมือนกับการที่พระเจ้าทรงใช้พวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่เจ้า  หลังจากที่เจ้ายอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าแล้ว เจ้าก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณพวกเขามากขึ้นและปรารถนาตลอดเวลาที่จะตอบแทนพวกเขา  ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร เจ้าก็เหลือทางหนีทีไล่ให้พวกเขาบ้าง และไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรกับพวกเขา เจ้าก็สุภาพเป็นพิเศษเสมอ  เจ้าเคารพ นอบน้อม และยอมผ่อนปรนให้พวกเขาเป็นพิเศษ และไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดที่ไม่ดีหรือลักษณะนิสัยของพวกเขาจะเป็นเช่นใด เจ้าก็อดทนและโอนอ่อนผ่อนตามพวกเขามากเสียจนเวลาพวกเขาเผชิญปัญหาที่ท้าทาย ไม่ว่าเมื่อใดที่พวกเขาขอความช่วยเหลือจากเจ้า เจ้าก็ช่วยพวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข  ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้?  อะไรที่ส่งผลต่อการกระทำของเจ้า?  (มโนธรรมของข้าพระองค์)  การทำเช่นนี้คือผลจากมโนธรรมของเจ้า  ผลที่เกิดจากมโนธรรมของเจ้าแบบนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ คนเราพูดได้แต่เพียงว่าเจ้ามีมโนธรรมและมีสภาวะความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง และเมื่อใครบางคนใจดีกับเจ้า เจ้าก็สำนึกบุญคุณและตอบแทนพวกเขา  เมื่อมองจากมุมนี้ เจ้าเป็นคนที่ใช้ได้  แต่ถ้าพวกเราจะใช้ความจริงประเมินเรื่องนี้ พวกเราก็อาจจะได้ข้อสรุปที่ต่างออกไป  สมมุติว่าวันหนึ่งคนคนนั้นทำความชั่วและพวกเขากำลังจะถูกคริสตจักรคัดออก และเจ้ายังคงใช้มโนธรรมของเจ้าประเมินพวกเขา และกล่าวว่า “พวกเขาคือคนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ฉัน  ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะไม่ลืมความเมตตาของพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา ฉันก็จะไม่ได้อยู่ตรงที่ฉันอยู่ในตอนนี้  ถึงแม้วันนี้พวกเขาจะทำความชั่ว แต่ฉันก็จะเปิดโปงพวกเขาไม่ได้  แม้ฉันจะมองเห็นว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นผิด แต่ฉันก็จะพูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะพวกเขาช่วยฉันไว้มากนัก  ฉันอาจจะไม่สามารถตอบแทนพวกเขา แต่ฉันก็จะเล่นงานพวกเขาไม่ได้  ถ้าคนอื่นอยากรายงานพวกเขา ก็ทำไปได้เลย แต่ฉันจะไม่ทำ  ฉันจะซ้ำเติมพวกเขาไม่ได้—ถ้าฉันทำอย่างนั้น นั่นจะทำให้ฉันกลายเป็นคนเช่นไร?  จะไม่ทำให้ฉันกลายเป็นคนที่ไร้มโนธรรมหรอกหรือ?  คนที่ไร้มโนธรรมก็เป็นเพียงสัตว์ร้ายเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”  เจ้าคิดว่าอย่างไร?  ในรูปการณ์เช่นนั้น มโนธรรมก่อให้เกิดผลอย่างไร?  ผลที่เกิดจากมโนธรรมในสถานการณ์แบบนั้นไม่ละเมิดความจริงหรอกหรือ?  (ละเมิด)  จากเรื่องนี้ พวกเราย่อมมองเห็นได้ว่าบางครั้งผลที่เกิดจากมโนธรรมของคนเราก็ถูกความรู้สึกของตนบีบคั้นและครอบงำเอาไว้ แล้วผลที่ตามมาก็คือการตัดสินใจของพวกเขาขัดแย้งกับหลักธรรมของความจริง  เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราย่อมจะมองเห็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งได้ชัดเจนว่า ผลที่เกิดจากมโนธรรมของคนเราต่ำกว่ามาตรฐานของความจริง และบางครั้งเวลาที่ทำตามมโนธรรมของตน ผู้คนก็ละเมิดความจริง  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ใช้ชีวิตตามความจริง กลับกระทำการตามมโนธรรมของเจ้า เจ้าจะทำความชั่วและต้านทานพระเจ้าได้หรือไม่?  แท้จริงแล้วเจ้าย่อมจะทำบางสิ่งที่ชั่วได้—จึงแน่นอนที่สุดว่าไม่อาจกล่าวได้ว่าการทำตามมโนธรรมของคนเราไม่มีวันผิด  นี่แสดงให้เห็นว่าหากคนเราปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยและทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ การเอาแต่ทำตามมโนธรรมของตนย่อมบกพร่องอย่างมาก  คนเราต้องกระทำการตามความจริงจึงจะทำได้ตามพระประสงค์ของพระเจ้า  เมื่อเจ้าทำเหมือนว่ามโนธรรมของตนคือความจริงและมองว่ามโนธรรมของเจ้านั้นเป็นเลิศเหนือทุกสิ่ง เมื่อนั้นเจ้าเอาความจริงไปวางไปตรงไหน?  เจ้าเอามโนธรรมของตนมาแทนที่ความจริง นั่นคือการต้านทานความจริงไม่ใช่หรือ?  นั่นคือการต่อต้านความจริงไม่ใช่หรือ?  ถ้าเจ้าใช้ชีวิตตามมโนธรรมของเจ้าเอง เจ้าก็สามารถละเมิดความจริง และการละเมิดความจริงก็คือการต้านทานพระเจ้า  หลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า มีผู้คนมากมายที่ใช้มโนธรรมของตนเป็นมาตรฐานในการพูดจาและกระทำการต่างๆ ทั้งยังวางตัวตามมโนธรรมของตนด้วย  การทำตามมโนธรรมของคนเราใช่การปฏิบัติความจริงหรือว่าไม่ใช่?  มโนธรรมของคนเราแทนที่ความจริงได้กระนั้นหรือ?  แท้จริงแล้วการทำตามมโนธรรมของตนแตกต่างจากการทำตามความจริงอย่างไร?  บางคนยืนกรานที่จะทำตามมโนธรรมของตนเองอยู่เสมอ และนึกว่าพวกเขาคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ทัศนะเช่นนั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ความรู้สึกตามมโนธรรมของคนคนหนึ่งแทนที่ความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  คนเหล่านี้ทำความผิดอะไรกันอยู่?  (ฝ่าฝืนความจริง ซึ่งเป็นการต้านทานพระเจ้า)  ถูกต้อง  พวกเขานึกว่าความรู้สึกที่เกิดจากมโนธรรมของตนนั้นเทียบเท่าความจริง ซึ่งทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะละเมิดความจริง  คนเช่นนี้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและกระทำการตามมาตรฐานของมโนธรรมของตนเสมอ โดยใช้มโนธรรมของตนเป็นหลักเกณฑ์  พวกเขาถูกมโนธรรมของตนเองเกาะเกี่ยวและควบคุมเอาไว้ และพร้อมกันนั้นเหตุผลของพวกเขาก็ถูกมโนธรรมควบคุมเอาไว้เช่นกัน  ถ้าใครบางคนถูกมโนธรรมของตนควบคุมเอาไว้ พวกเขาจะยังคงแสวงหาความจริงและปฏิบัติตามความจริงได้หรือไม่?  พวกเขาย่อมทำไม่ได้  เมื่อเป็นเช่นนั้น มโนธรรมแทนที่ความจริงได้หรือไม่?  ไม่ได้  บางคนอาจถามว่า “ในเมื่อพวกเราไม่สามารถใช้มโนธรรมของตนประเมินว่าพวกเราควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร และพวกเราก็ไม่สามารถทำเหมือนว่ามโนธรรมของตนเองคือความจริง การใช้มโนธรรมของพวกเราเป็นมาตรฐานวัดว่าพวกเราควรปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไรนั้นถูกต้องหรือไม่?”  นี่เป็นคำถามที่ควรแก่การไตร่ตรอง  ไม่ว่ากรณีใด มโนธรรมของคนคนหนึ่งก็ไม่สามารถแทนที่ความจริง  ถ้าเจ้าไม่มีความจริงและเจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้าตามมโนธรรมของเจ้าเอง ตามมาตรฐานของมนุษย์แล้วย่อมจะมองว่าการทำเช่นนั้นดี แต่เจ้าจะไม่สามารถรักหรือนบนอบพระเจ้าได้ด้วยการทำตามมาตรฐานนี้—อย่างมากที่สุดเจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงการละเมิดความจริงหรือต้านทานพระเจ้าได้ ซึ่งโดยตัวมันเองก็เป็นเรื่องดีทีเดียว  บางคนอาจกล่าวว่า “คุณไม่จำเป็นต้องใช้มโนธรรมของคุณกับคนอื่น และคุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้มโนธรรมของคุณกับพระเจ้าอีกด้วย”  นั่นถูกต้องหรือไม่?  ตามมุมมองด้านคำสอนและทฤษฎีแล้ว นี่ดูเหมือนผิดไม่ใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้วก็จงใช้ความจริงวัด—ในสายตาของเจ้า นั่นดูเหมือนถูกต้องหรือไม่?  พระเจ้าตรัสบอกให้ผู้คนปฏิบัติต่อพระองค์โดยใช้มโนธรรมของตนกระนั้นหรือ?  พระเจ้าประสงค์อะไรจากมนุษย์?  พระองค์อยากให้มนุษย์ปฏิบัติต่อพระองค์อย่างไร?  เจ้าอาจมีมโนธรรม แต่เจ้าจริงใจหรือไม่?  ถ้าเจ้ามีมโนธรรม แต่ไม่จริงใจ นั่นย่อมจะใช้ไม่ได้โดยแท้  สิ่งที่พระเจ้าประสงค์ก็คือให้มนุษย์ปฏิบัติต่อพระองค์ด้วยใจจริง  ในพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดความคิดของท่าน และด้วยสุดกำลังของท่าน” (มาระโก 12:30)  พระเจ้าทรงประสงค์อะไร?  (ให้ผู้คนรักพระเจ้าอย่างสุดหัวใจของตน สุดความรู้สึกนึกคิดของตน และสุดดวงจิตของตน)  พระเจ้าทรงต้องการอะไรจากผู้คน?  (ความจริงใจของพวกเขา)  ถูกต้อง  พระเจ้าตรัสหรือไม่ว่า “พวกเจ้าต้องรักเราด้วยมโนธรรมและเหตุผลของพวกเจ้า ด้วยสัญชาตญาณของพวกเจ้า”?  พระเจ้าตรัสเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่ได้ตรัส)  ทำไมพระเจ้าจึงไม่ตรัสเช่นนั้น?  (เพราะมโนธรรมไม่ใช่ความจริง)  มโนธรรมคืออะไร?  (มาตรฐานขั้นต่ำสุดของสภาวะความเป็นมนุษย์)  ถูกต้อง มโนธรรมและเหตุผลคือมาตรฐานขั้นต่ำสุดและพื้นฐานที่สุดของสภาวะความเป็นมนุษย์  เจ้าจะบอกได้อย่างไรว่าคนคนหนึ่งดีงามและมีสภาวะความเป็นมนุษย์?  เจ้าจะวัดเรื่องนี้ได้อย่างไร?  เจ้าใช้อะไรมาวัดเรื่องนี้?  มาตรฐานขั้นต่ำสุดและพื้นฐานที่สุดก็คือคนคนนั้นมีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่  นั่นคือมาตรฐานที่เจ้าจะใช้วัดว่าคนคนหนึ่งมีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่  เช่นนั้นแล้ว อะไรคือมาตรฐานที่ใช้วัดว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  เจ้าบอกได้ว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่โดยดูว่าพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่—ที่พูดมานี้ใช่ความจริงหรือเปล่า?  ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  เช่นนั้นแล้วสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการจากมนุษย์คืออะไร?  (ความจริงใจ)  พระเจ้าต้องการความจริงใจจากมนุษย์  แล้วความจริงใจนั้นประกอบด้วยอะไร?  คนเราควรทำอย่างไรจึงจะแสดงถึงความจริงใจ?  เวลาอธิษฐาน ถ้าคนเราเพียงแต่กล่าวว่าพวกเขามอบถวายความจริงใจของตนให้พระเจ้า แต่หลังจากนั้นพวกเขากลับไม่สละตนเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี นั่นใช่ความจริงใจหรือไม่?  นั่นไม่ใช่ความจริงใจ—นั่นคือการหลอกลวง  ดังนั้นพฤติกรรมเช่นไรคือการแสดงความจริงใจให้เห็น?  อะไรคือการปฏิบัติที่ชัดเจน?  เจ้ารู้หรือไม่?  ใช่ท่าทีที่นบนอบพระเจ้าหรือไม่?  (ใช่)  คนคนหนึ่งจริงใจก็ต่อเมื่อพวกเขามีท่าทีที่นบนอบ  นี่ย่อมเลิศกว่ามโนธรรมมากมิใช่หรือ?  มโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์ไม่ได้ใกล้เคียงความจริงใจเลยด้วยซ้ำ มีระยะห่างระหว่างสองอย่างนี้  มโนธรรมและเหตุผลของผู้คนเป็นเพียงเงื่อนไขขั้นพื้นฐานที่สุดที่จะดำรงการมีอยู่ของพวกเขา ชีวิตตามปกติของพวกเขา และความสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับผู้อื่น  ถ้าผู้คนสูญเสียมโนธรรมและเหตุผลของตน พวกเขาย่อมจะดำรงอยู่ หรือมีชีวิตที่ปกติ หรือมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นแม้ในระดับพื้นฐานที่สุดไม่ได้  จงดูผู้คนที่ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล ดูคนชั่วพวกนั้น—มีใครในกลุ่มเต็มใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีใครเต็มใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา  เวลามีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา ผู้คนย่อมรู้สึกอย่างไร?  รังเกียจ ชิงชัง—พวกเขาอาจรู้สึกกลัว รู้สึกว่าถูกคนเหล่านี้บีบคั้นและผูกมัดด้วยซ้ำ  คนแบบนี้ไม่มีแม้กระทั่งมโนธรรมและเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไม่มีใครเต็มใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา  จงบอกเราเถิดว่าพระเจ้าจะทรงช่วยคนเหล่านี้ให้รอดหรือไม่?  (ไม่)  ถ้าคนชั่วบอกใครก็ตามที่ล่วงเกินตนว่า “ถ้าสถานการณ์เป็นใจไม่ว่าในรูปแบบไหน ฉันจะฆ่าแก—ฉันจะทำลายแก!” เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำดังนั้นได้จริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถพูดออกมาเช่นนั้นได้ย่อมทำให้พวกเขาเป็นคนชั่วไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นคนที่มีวาจากระตุ้นให้ผู้อื่นหวาดกลัวเป็นคนแบบใด?  ใช่คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วคนที่ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลมีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่?  (ไม่มี)  ใครบ้างที่จะกล้ามีปฏิสัมพันธ์กับพวกคนชั่วที่ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์?  แล้วคนชั่วเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ที่ปกติกับคนอื่นหรือไม่?  (ไม่มี)  ความสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับคนอื่นมีภาวะอย่างไร?  ทุกคนกลัวพวกเขา ทุกคนถูกพวกเขาควบคุมและบังคับ—พวกเขาอยากรังแกทุกคนที่ตนพบเจอ และอยากลงโทษทุกคน  คนแบบนี้มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  ไม่มีใครกล้ามีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลแบบนี้  พวกเขามีชีวิตอย่างมนุษย์ที่ปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต่างจากพวกมารและสัตว์ร้าย  เวลาอยู่เป็นกลุ่ม พวกเขาเล่นงานคนอื่นเสมอ ลงโทษคนนั้นแล้วก็คนนี้  ท้ายที่สุดแล้วทุกคนย่อมอยู่ห่างจากพวกเขา ทุกคนหลีกเลี่ยงพวกเขา  พวกเขาต้องน่ากลัวจริงๆ!  พวกเขาไม่สามารถมีความสัมพันธ์แบบมนุษย์ตามปกติด้วยซ้ำและไม่สามารถมีที่ยืนในกลุ่ม—พวกเขาเป็นอะไร?  คนแบบนี้ไม่มีแม้กระทั่งสภาวะความเป็นมนุษย์—พวกเขาจะไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  คนแบบไหนกันที่ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์?  สัตว์ร้าย มาร  พระเจ้าประทานความจริงที่พระองค์ทรงแสดงแก่มวลมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ร้ายและมาร  ผู้ที่มีมโนธรรมและเหตุผลเท่านั้นที่เหมาะจะเรียกว่ามนุษย์  จงบอกเราอีกทีว่าการมีมโนธรรมและเหตุผลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะทำให้คนคนหนึ่งใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติโดยสมบูรณ์ใช่หรือไม่?  คนเราอาจกล่าวว่ายังคงมีช่องโหว่อยู่ เพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  พวกเขาต้องไล่ตามเสาะหาความจริงก่อนจึงจะขจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้  บางคนอาจบอกว่า “ฉันมีมโนธรรมและเหตุผล  ตราบใดที่ฉันแน่ใจว่าไม่ได้ทำชั่ว ฉันย่อมจะมีความเป็นจริงของความจริง”  นั่นถูกต้องหรือไม่?  ถ้าใครบางคนมีมโนธรรมและเหตุผล นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาออกไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว—และข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาใช้ชีวิตตามมโนธรรมและเหตุผลของตนก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้นเหมือนกัน  ดังนั้นแท้จริงแล้วมโนธรรมและเหตุผลคืออะไร?  มโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์เป็นเพียงเครื่องหมายและคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่สุดที่แสดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ผู้คนต้องมีเพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  การดำเนินชีวิตตามสองสิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าคนคนหนึ่งกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง และยิ่งไม่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขามีความเป็นจริงของความจริง  จากตัวอย่างที่เราเพิ่งยกมา ย่อมจะเห็นได้ว่าเมื่อคนเรามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและกระทำการตามมโนธรรมและเหตุผลของตน พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะละเมิดความจริงและหลักธรรม  พวกเขาห่างไกลจากมาตรฐานของการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตนมากนัก  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าจะมีมโนธรรมมากเพียงใด และไม่ว่าเหตุผลของเจ้าจะปกติเพียงใด ถ้าเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้าไม่ได้ เจ้าก็ไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าเจ้าจะทนทุกข์และตรากตรำอยู่ภายในขอบเขตของสัญชาตญาณทางมโนธรรมและเหตุผลของเจ้าขนาดไหน ก็พูดไม่ได้ว่าเจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาความจริง

พวกเราเพิ่งวิเคราะห์สามสิ่งไป ซึ่งทั้งหมดนั้นคืออคติและความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริง  จงบอกเราเถิดว่าสามสิ่งนั้นมีอะไรบ้าง?  (อย่างแรกคือผู้คนเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตนยึดถือตามมโนคติอันหลงผิดของตนว่าดีงาม ถูกต้อง และเป็นบวกนั้นคือความจริง และใช้เป็นมาตรฐานของตน—แทนที่พระประสงค์ที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ รวมทั้งข้อกำหนดและมาตรฐานตามพระวจนะของพระองค์—หลังจากนั้นพวกเขาก็ไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติตามสิ่งเหล่านั้น  อย่างที่สองคือเมื่อมีรากฐานที่ผู้คนยึดมั่นตามความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนแล้ว พวกเขาก็พยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้าพลางเก็บงำความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานเอาไว้  ผู้คนเชื่อว่าเมื่อพวกเขาทำให้พระเจ้าพอพระทัยและพระเจ้าก็มีความสุขแล้ว พระเจ้าย่อมจะให้สัญญาแก่พวกเขา  อย่างที่สามคือผู้คนเชื่อว่าด้วยการวางตัวและกระทำการตามมโนธรรมและเหตุผลของตน พวกเขาย่อมไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว)  นอกเหนือจากสามสิ่งนั้นแล้ว การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไรกันแน่?  พวกเรากลับมาหาคำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริงกัน กล่าวคือ “การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา”  ถ้อยคำเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงหมายความว่าอย่างไรและควรทำเช่นไร  พวกเราพูดกันไปมากแล้วว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร  ดังนั้นคนเราไล่ตามเสาะหาความจริงกันอย่างไร?  พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องนั้นกันไปมากแล้วทั้งในตอนนี้และก่อนหน้านี้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะกำลังมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือวางตัวและกระทำการ ก็ต้องเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  นั่นคือการไล่ตามเสาะหาความจริง  สิ่งอื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับถ้อยคำเหล่านี้ย่อมไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง แน่นอนว่าหาก “การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา” ไม่ได้เจาะจงไปที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ก็ย่อมพูดถึงความคิดอ่าน ทัศนะ และมโนคติอันหลงผิดบางอย่างของมนุษย์  และถ้าพูดถึงสิ่งเหล่านี้ และหมายที่จะบรรลุเป้าหมายของการทำให้มนุษย์สามารถปฏิบัติตามหลักธรรมของความจริง สามารถนบนอบพระวจนะของพระเจ้าและความจริง เช่นนั้นแล้วก็แน่นอนว่านั่นย่อมจะเป็นผลสุดท้ายของคำนิยามดังกล่าว  “การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา” นั้นชัดเจนและแจ่มแจ้งทีเดียว  เส้นทางที่คำนิยามนี้มอบให้ผู้คน ทำให้พวกเขาสามารถวางอคติที่พวกเขามีในการปฏิบัติของตน และปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานของพวกเขา  ในขณะเดียวกันผู้คนก็ต้องไม่ใช้ชีวิตด้วยการซ่อนอยู่ข้างหลังความเชื่อว่าตนนั้นเป็นเลิศ ตนนั้นมีสภาวะความเป็นมนุษย์ มีมโนธรรมและเหตุผล แล้วใช้สิ่งนี้แทนที่หลักธรรมของการปฏิบัติซึ่งก็คือการใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักพื้นฐานของตน ใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  ไม่ว่าเจ้าจะใช้เหตุผลอะไรมาสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง ไม่ว่าเจ้าจะมีจุดแข็งและข้อได้เปรียบอะไรก็ตาม  สิ่งเหล่านั้นก็ไม่เพียงพอที่จะแทนที่การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอย่างที่สุด  เมื่อเทียบกันแล้ว ถ้าจุดตั้งต้นของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตัวและการกระทำของเจ้า เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ และมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังปฏิบัติความจริง  หาไม่แล้วเจ้าก็ไม่ได้ปฏิบัติความจริงอยู่  สรุปว่าการที่ผู้คนใช้ชีวิตตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ กระทำการโดยมีเจตนาที่จะทำข้อตกลง หรือแทนที่การไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงด้วยการเชื่อว่าพวกเขามีการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมเป็นอันมาก—วิธีการเช่นนี้เบาปัญญาทั้งสิ้น  ไม่มีอะไรที่เป็นลักษณะของการไล่ตามเสาะหาความจริง และท้ายที่สุดแล้ว ผลลัพธ์ของวิธีการอันโง่เขลาเหล่านี้ก็คือผู้คนย่อมไม่เข้าใจความจริง พวกเขาไม่สามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่สามารถออกเดินไปบนทางแห่งความรอด  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  แน่นอนว่าในบรรดาผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง—นอกจากผู้ที่ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดแล้ว—มีบางส่วนที่เต็มใจเป็นคนปรนนิบัติซึ่งย่อมจะมีชีวิตรอด  นี่ก็ดีทีเดียว สามารถมองได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีแทนการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเจ้าจะเจาะจงเลือกเส้นทางใดย่อมขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง  บางทีบางคนอาจบอกว่า “หลังจากสามัคคีธรรมทั้งหมดนั้นแล้ว พระองค์ยังไม่ได้บอกพวกเราเลยว่าควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างไร หรือวางตัวและกระทำการอย่างไร”  เรายังไม่ได้บอกหรอกหรือ?  (บอกแล้ว)  คนเราควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและกระทำการตามสิ่งใด?  (ตามพระวจนะของพระเจ้า)  โดยมีอะไรเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา?  (โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา)  เช่นนั้นแล้วพระวจนะของพระเจ้าคืออะไร?  ความจริงอยู่ที่ไหน?  (พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง)  พระวจนะของพระเจ้ามีอยู่มากมายนัก บอกผู้คนครบทุกแง่มุมว่าควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างไร ควรวางตัวและกระทำการอย่างไร ดังนั้นพวกเราจะไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียดในตอนนี้  จงอ่านอีกครั้งหนึ่งว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร  (การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  คือการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา)  พวกเจ้าต้องสลักถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในหัวใจของตน และใช้เป็นคติในการดำรงชีวิตของเจ้า  เอาถ้อยคำเหล่านี้ออกมาดูบ่อยๆ เจ้าจะได้นำไปคิดและตรึกตรอง เอาพฤติกรรมของตน ท่าทีในชีวิต ทัศนะที่เจ้ามีต่อสิ่งต่างๆ เจตนาและเป้าหมายของเจ้ามาเทียบกับคำนิยามนี้  และแล้วเจ้าก็จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสภาวะที่แท้จริงของเจ้าเป็นอย่างไร อะไรคือแก่นแท้ของอุปนิสัยต่างๆ ที่เจ้าพรั่งพรูออกมา  จงเอาพฤติกรรม ท่าทีในชีวิต ทัศนะที่เจ้ามีต่อสิ่งต่างๆ เจตนาและเป้าหมายของเจ้ามาเปรียบเทียบกับคำนิยามนี้ และใช้ถ้อยคำเหล่านี้เป็นหลักธรรมในการปฏิบัติของเจ้า เป็นเส้นทางและทิศทางในการปฏิบัติของเจ้า  เมื่อเจ้าไล่ตามเสาะหาเช่นนี้ เมื่อเจ้าสามารถเข้าสู่และใช้ชีวิตตามถ้อยคำเหล่านี้โดยบริบูรณ์ เจ้าจะเข้าใจว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร  แน่นอนว่าเมื่อเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงของถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าย่อมจะออกเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว  เมื่อเจ้าออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ผลที่ได้ย่อมจะเป็นเช่นไร?  ความทุกข์ใจที่เกิดจากการถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก่อกวน ควบคุม และบีบคั้น ย่อมจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะเจ้าจะรู้สึกว่าเจ้ามีเส้นทางที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และมีหวังที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะรู้สึกว่าชีวิตที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ชีวิตที่กินและดื่มพระวจนะของพระองค์นั้นเต็มอิ่ม มีสันติสุข และชื่นบาน  หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ผู้ที่ไม่รักความจริงย่อมรู้สึกอยู่ดีว่าชีวิตกลวงเปล่ามาก และไม่มีอะไรให้พวกเขาพึ่งพา  บ่อยครั้งที่พวกเขาถึงกับรู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้นเจ็บปวดจริงๆ และแม้พวกเขาปรารถนาที่จะทิ้งมันไป พวกเขาก็ทำไม่ได้  พวกเขายังคงถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองบีบคั้น ตีตรวน และพันธนาการตลอดไป ซึ่งทำให้พวกเขาทุกข์ใจอย่างมาก กระนั้นพวกเขาก็ไม่มีเส้นทางให้ติดตามแต่อย่างใด  วันเวลาที่ขมขื่นของพวกเขานี้ไม่มีที่สิ้นสุด  ถ้าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงและบรรลุความรอด เช่นนั้นแล้ววันเวลาที่ขมขื่นนี้ก็จะผ่านพ้นไป  อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ของทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาและการเข้าสู่ในอนาคตของพวกเจ้า

วันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (1)

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (4)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger