การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (1)

สามัคคีธรรมในวันนี้เป็นหัวข้อที่ทุกคนคุ้นเคย  เชื่อมโยงกับการเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาเป็นอย่างมาก เป็นหัวข้อที่ผู้คนพบเจอและได้ยินได้ฟังอยู่ทุกวัน  เช่นนั้นแล้ว หัวข้อนี้คืออะไร?  หัวข้อนี้คือ “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร”  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับหัวข้อนี้?  แปลกใหม่พอสำหรับพวกเจ้าหรือไม่?  น่าสนใจหรือไม่?  ไม่ว่าหัวข้อนี้จะน่าสนใจเพียงใด เราก็รู้ว่าเป็นหัวข้อที่มีความสำคัญต่อพวกเจ้าแต่ละคน สำคัญต่อความรอดของผู้คน ต่อการที่พวกเขาจะเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ต่อการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา ต่อจุดจบและบั้นปลายในอนาคตข้างหน้าของพวกเขา  เวลานี้พวกเจ้าส่วนใหญ่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและเริ่มตื่นรู้กันบ้างแล้ว แต่พวกเจ้าก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นหมายความว่าอย่างไร หรือควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร  นั่นคือสาเหตุที่พวกเราจำเป็นต้องสามัคคีธรรมหัวข้อนี้กันในวันนี้  การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นหัวข้อที่ผู้คนมักจะพบเจอในชีวิตประจำวันของตน เป็นปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงซึ่งผู้คนเผชิญเมื่อสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่พวกเขาในชีวิตประจำวัน ขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน และอื่นๆ  เมื่อบางสิ่งบังเกิดแก่ผู้คนส่วนใหญ่ พวกเขาก็เพียงแต่พยายามจูงใจตนเองให้อ่านพระวจนะของพระเจ้า แล้วพวกเขาก็ป้องกันไม่ให้ความคิดของตนกลายเป็นลบ หวังว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้วจะหยุดยั้งตนเองจากการจมดิ่งลงไปในความคิดลบหรือการเข้าใจพระเจ้าผิด และทำให้ตนสามารถนบนอบต่อพระราชกิจของพระองค์ได้  ผู้คนที่มีขีดความสามารถดีกว่าย่อมสามารถแสวงหาความจริงภายในพระวจนะของพระเจ้าได้ครบทุกแง่มุมทั้งในเชิงบวกและในเชิงรุก พวกเขาย่อมมองหาหลักธรรม พระประสงค์ของพระเจ้า และเส้นทางปฏิบัติ  หรือสามารถตรวจสอบตนเอง ไตร่ตรอง และได้รับความรู้ผ่านทางสิ่งทั้งหลายที่บังเกิดแก่พวกเขา และด้วยเหตุนั้นจึงมาเข้าใจหลักธรรมของความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง  อย่างไรก็ตาม นี่ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขวางกั้นผู้คนส่วนมาก และไม่แน่ว่าพวกเขาจะสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่  ผู้คนส่วนมากยังไม่เข้าสู่ความเป็นจริงในแง่มุมนี้  ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่พวกเจ้าจะเข้าใจหัวข้อเฉพาะที่ธรรมดาและสามัญนี้อย่างแท้จริง อย่างเป็นรูปธรรม และอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง ต่อให้มอบเวลาให้พวกเจ้าไตร่ตรองเรื่องนี้ก็ตาม  ดังนั้น กลับมาที่หัวข้อหลักของพวกเรา พวกเรามาสามัคคีธรรมกันเถิดว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร”  พวกเจ้ายังไตร่ตรองไม่เก่ง แต่เราก็หวังว่าพวกเจ้าจะเก่งในการรับฟัง—ไม่ใช่ด้วยหูของเจ้าเท่านั้น แต่ด้วยหัวใจของเจ้า  เราหวังว่าเจ้าจะใช้หัวใจของเจ้าในการทำความเข้าใจและตระหนักรู้เรื่องนี้ แล้วทุกสิ่งที่เจ้าสามารถทำความเข้าใจได้ ทุกสิ่งที่ตรงกับสภาวะของเจ้า อุปนิสัยของเจ้า และสถานการณ์ของเจ้าในแต่ละด้าน เราหวังว่าเจ้าจะเก็บไปใส่ใจในฐานะที่เป็นสิ่งสำคัญ  หลังจากนั้นเราก็หวังว่าเจ้าจะตั้งใจแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เพียรพยายามที่จะจริงจังกับหลักธรรมทั้งปวงของการปฏิบัติ เพื่อที่ว่าเมื่อเกิดปัญหาที่เชื่อมโยงกัน เจ้าจะมีเส้นทางให้เดิน และเจ้าจะสามารถปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าในฐานะที่เป็นเส้นทางปฏิบัติ เชื่อฟังและดำเนินการตามพระวจนะในฐานะดังกล่าว  นั่นจึงจะเป็นการดีที่สุด

การไล่ตามเสาะหาความจริงหมายความว่าอย่างไร?  นี่อาจเป็นคำถามเชิงแนวคิด แต่ก็เป็นคำถามที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าอีกด้วย  ไม่ว่าผู้คนจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่ ย่อมสัมพันธ์โดยตรงกับความชอบส่วนตนของพวกเขา ขีดความสามารถของพวกเขา และการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา  การไล่ตามเสาะหาความจริงครอบคลุมองค์ประกอบหลายอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  พวกเราควรสามัคคีธรรมถึงองค์ประกอบเหล่านี้ทีละอย่าง เพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจความจริงได้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และรู้แน่ว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงหมายถึงอะไรและมีปัญหาใดบ้างที่เชื่อมโยงกับการไล่ตามเสาะหานั้น  เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะเข้าใจได้ในที่สุดว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงหมายความว่าอย่างไร  ก่อนอื่นพวกเรามาพูดคุยถึงเรื่องนี้กันว่าพวกเจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยการฟังคำเทศนานี้อยู่ใช่หรือไม่?  (ไม่เชิงเป็นเช่นนั้น)  การฟังคำเทศนาเป็นเพียงเงื่อนไขเบื้องต้นและเป็นการเตรียมตัวเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น  มีองค์ประกอบใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริง?  มีหลายหัวข้อที่กล่าวถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง และโดยปกติแล้วก็มีหลายปัญหาในตัวผู้คนที่พวกเราจำเป็นต้องพูดคุยกันในที่นี้อีกด้วย  ตัวอย่างเช่น บางคนกล่าวว่า “ถ้าคนเรากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงทุกวัน ถ้าพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ ถ้าพวกเขาทำสิ่งใดก็ตามที่คริสตจักรจัดแจงให้ทำ และไม่เคยก่อให้เกิดความไม่สงบหรือการหยุดชะงัก—และแม้ว่าอาจมีหลายครั้งที่พวกเขาละเมิดหลักธรรมของความจริง พวกเขาก็ไม่รู้ตัวหรือมีเจตนาที่จะทำเช่นนั้น—นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่ไม่ใช่หรือ?”  นี่เป็นคำถามที่ดี  หลายคนมีแนวคิดเช่นนี้  ก่อนอื่นเลยเจ้าต้องเข้าใจว่าบางคนอาจเข้าใจความจริงและได้รับความจริงด้วยการปฏิบัติในหนทางนี้อย่างต่อเนื่อง  จงบอกมาสิว่าพวกเจ้าคิดอย่างไร  (แม้การปฏิบัติเช่นนี้จะถูกต้อง แต่ก็ดูเหมือนเป็นพิธีกรรมทางศาสนามากกว่า—เป็นการทำตามกฎเกณฑ์  ไม่สามารถนำไปสู่การเข้าใจความจริงหรือได้รับความจริง)  ดังนั้น แท้จริงแล้วนี่ย่อมเป็นพฤติกรรมแบบใด?  (เป็นพฤติกรรมที่ดีแบบผิวเผิน)  เราชอบคำตอบนี้  เหล่านี้เป็นเพียงพฤติกรรมอันดีงามที่เกิดขึ้นหลังจากที่คนคนหนึ่งมาเชื่อในพระเจ้า ตั้งอยู่บนรากฐานของมโนธรรมและเหตุผลของคนคนนั้นเมื่อพวกเขาได้รับอิทธิพลจากคำสอนเชิงบวกอันดีงามนานาประการ  แต่นี่เป็นเพียงพฤติกรรมอันดีงามเท่านั้น ยังห่างไกลจากการไล่ตามเสาะหาความจริง  เช่นนั้นแล้วอะไรคือต้นตอของพฤติกรรมดีเหล่านี้?  อะไรก่อให้เกิดพฤติกรรมดีเหล่านี้?  นี่เกิดจากมโนธรรมและเหตุผลของคนคนหนึ่ง ศีลธรรมของพวกเขา ความรู้สึกชื่นชมที่พวกเขามีต่อการเชื่อในพระเจ้า และการยับยั้งชั่งใจตนเองของพวกเขา  ในเมื่อนี่เป็นพฤติกรรมอันดี ก็ย่อมไม่มีความเกี่ยวข้องกับความจริง และแน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งเดียวกัน  การมีพฤติกรรมอันดีงามไม่ใช่การปฏิบัติความจริง และหากคนคนหนึ่งประพฤติตนดี ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  พฤติกรรมอันดีงามและการปฏิบัติความจริงเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน—ไม่มีความเชื่อมโยงกัน  การปฏิบัติความจริงคือพระประสงค์ของพระเจ้าและล้วนเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ส่วนพฤติกรรมอันดีงามเกิดจากเจตจำนงของมนุษย์ มีเจตนาและแรงจูงใจของมนุษย์อยู่ในนั้น—เป็นบางสิ่งที่มนุษย์มองว่าดีงาม  แม้พฤติกรรมที่ดีงามจะไม่ใช่การทำชั่ว แต่ก็ขัดต่อหลักธรรมของความจริงและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง  ไม่ว่าพฤติกรรมเหล่านี้จะดีงามเพียงใด หรือสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์มากเท่าใด สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สัมพันธ์กับความจริง  ดังนั้นพฤติกรรมอันดีงามไม่ว่าจะทำมากเท่าใดก็ไม่สามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ในเมื่อมีการนิยามพฤติกรรมอันดีงามไว้เช่นนี้ จึงชัดเจนว่าพฤติกรรมดีไม่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติความจริง  ถ้าต้องมีการจำแนกผู้คนออกเป็นประเภทตามพฤติกรรมของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว อย่างมากที่สุดพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ย่อมจะเป็นเพียงการกระทำของคนปรนนิบัติที่จงรักภักดีเท่านั้น  ไม่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติความจริงหรือการนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงแต่อย่างใด  เป็นเพียงพฤติกรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น และไม่เกี่ยวข้องอย่างสิ้นเชิงกับความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของผู้คน การยอมรับและนบนอบต่อความจริงของพวกเขา การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว หรือองค์ประกอบอื่นใดที่สัมพันธ์กับความจริงและเกี่ยวข้องกับความจริงโดยแท้  ดังนั้นแล้ว ทำไมถึงเรียกกันว่าพฤติกรรมอันดีงาม?  นี่คือคำอธิบาย และเป็นธรรมดาที่ย่อมเป็นคำอธิบายถึงแก่นแท้ของคำถามนี้ด้วย  ซึ่งก็คือพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากมโนคติอันหลงผิดของผู้คน ความชอบส่วนตนของพวกเขา การตัดสินใจของพวกเขา และความพยายามอันเกิดจากการจูงใจตนเองของพวกเขาเท่านั้น  ไม่ใช่สิ่งที่สำแดงถึงการกลับใจอันเกิดจากการรู้จักตนเองอย่างแท้จริงด้วยการยอมรับความจริง ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า และไม่ใช่พฤติกรรมหรือการปฏิบัติความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนพยายามที่จะนบนอบพระเจ้า  เจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่?  นี่หมายความว่าพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของผู้คน หรือสิ่งที่เกิดจากการก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า หรือการกลับใจอย่างแท้จริงอันเกิดจากการมารู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา  แน่นอนว่าย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการนบนอบอย่างแท้จริงที่มนุษย์มีต่อพระเจ้าและความจริง และยิ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับการมีหัวใจที่เคารพและรักพระเจ้า  พฤติกรรมอันดีงามไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้เลย เป็นเพียงสิ่งที่เกิดจากมนุษย์และเป็นสิ่งที่มนุษย์มองว่าดีงาม  กระนั้นก็มีหลายคนที่มองว่าพฤติกรรมดีเหล่านี้คือเครื่องหมายว่าใครบางคนกำลังปฏิบัติความจริง  นี่เป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง เป็นทัศนะและความเข้าใจที่ไร้สาระและวิบัติ  พฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้เป็นเพียงการประกอบศาสนพิธีและการทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น  ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริงเลย  พระเจ้าอาจไม่ตรัสกล่าวโทษพฤติกรรมเหล่านี้อย่างโจ่งแจ้ง แต่แน่นอนที่สุดว่าพระองค์ไม่ทรงเห็นชอบด้วย แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น  พวกเจ้าควรรู้ไว้ว่าการกระทำให้เห็นภายนอกเหล่านี้ที่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ รวมทั้งพฤติกรรมดีเหล่านี้ ไม่ใช่การปฏิบัติความจริง และไม่ใช่สิ่งที่สำแดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อได้ฟังสามัคคีธรรมนี้แล้ว พวกเจ้าย่อมมีแต่เพียงความรู้เชิงแนวคิดอยู่บ้างว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร” เป็นความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับแนวคิดอันธรรมดาสามัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง  หากเจ้าปรารถนาที่จะเข้าใจอย่างแท้จริงว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร” ก็ย่อมมีเรื่องอีกมากที่พวกเราต้องสามัคคีธรรมกัน

เพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง คนเราต้องเข้าใจความจริง คนเราจะปฏิบัติความจริงได้ก็ด้วยการเข้าใจความจริงเท่านั้น  พฤติกรรมอันดีงามของผู้คนสัมพันธ์กับการปฏิบัติความจริงหรือไม่?  พฤติกรรมอันดีงามเกิดมาจากการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  สิ่งที่สำแดงออกมาและการกระทำทั้งหลายเป็นเรื่องของการปฏิบัติความจริงหรือไม่?  ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมสำแดงอะไรออกมา?  เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจคำถามเหล่านี้  และเพื่อที่จะสามัคคีธรรมถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง ก่อนอื่นพวกเราต้องพูดถึงความยากลำบากและทัศนะที่ผิดซึ่งผู้คนมีต่อความจริง  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขสิ่งเหล่านี้เสียก่อน  มีบางคนที่มีความเข้าใจอันถ่องแท้และมีมุมมองที่ชัดแจ้งว่าความจริงคืออะไร  พวกเขามีเส้นทางในการไล่ตามเสาะหาความจริง  มีผู้อื่นที่ไม่เข้าใจว่าอะไรคือความจริง และแม้พวกเขาจะสนใจความจริง แต่พวกเขาก็ไม่รู้วิธีปฏิบัติความจริง  พวกเขาเชื่อว่าการทำสิ่งที่ดีและประพฤติดีก็เหมือนกับการปฏิบัติความจริง—ว่าการปฏิบัติความจริงคือการทำสิ่งที่ดี  จนกระทั่งพวกเขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าไปมากแล้ว พวกเขาจึงตระหนักว่าการทำสิ่งที่ดีและการประพฤติดีแตกต่างจากการปฏิบัติความจริงอย่างสิ้นเชิง  เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่ามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คนนั้นไร้สาระเพียงใด—ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจน!  หลายคนปฏิบัติหน้าที่ของตนมานานหลายปี พวกเขามีงานยุ่งทุกวัน และประสบความทุกข์ยากไม่น้อย พวกเขาจึงนึกว่าตนคือผู้คนที่ปฏิบัติความจริง เป็นคนที่มีความเป็นจริงของความจริง  อย่างไรก็ดี พวกเขากลับให้คำพยานจากประสบการณ์ไม่ได้  ปัญหาที่เกี่ยวข้องในที่นี้คืออะไร?  ถ้าพวกเขาเข้าใจความจริง ทำไมพวกเขาจึงพูดถึงประสบการณ์จริงของตนไม่ได้?  นี่เป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกันอยู่ไม่ใช่หรือ?  บางคนกล่าวว่า “เมื่อก่อนนี้เวลาฉันปฏิบัติหน้าที่ของตน ฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ได้อ่านและอธิษฐานตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างถี่ถ้วน  ฉันเสียเวลาไปมาก  มัวแต่จดจ่ออยู่กับงานของตนเอง คิดไปว่าการสาละวนอยู่กับหน้าที่ของตนก็คือการปฏิบัติความจริงและเป็นการนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้า—แต่ฉันเพียงแต่หมดเปลืองเวลาของตนเองเท่านั้น”  ตรงนี้แฝงความนัยว่าอย่างไร?  ว่าพวกเขาผัดผ่อนการไล่ตามเสาะหาความจริงเพราะมัวยุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน  เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่?  ผู้คนที่ไร้สาระบางคนเชื่อว่าตราบใดที่พวกเขามัวสาละวนอยู่กับหน้าที่ของตน ก็ย่อมจะไม่มีเวลาให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเผยตัวออกมา ว่าพวกเขาจะไม่เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้เห็นหรือใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะอันเสื่อมทรามอีกต่อไป เพราะฉะนั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  แนวคิดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  ผู้คนไม่เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้เห็นเวลาที่พวกเขาง่วนอยู่กับหน้าที่ของตนจริงหรือ?  นี่เป็นแนวคิดที่ไร้สาระ—เป็นคำโกหกหน้าตาย  พวกเขากล่าวว่าพวกเขาไม่มีเวลาไล่ตามเสาะหาความจริงเพราะยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตน  นี่คือเหตุผลวิบัติโดยแท้ พวกเขากำลังใช้การมีงานยุ่งมาเป็นข้ออ้าง  พวกเราสามัคคีธรรมกันไปหลายครั้งแล้วถึงความจริงเรื่องการเข้าสู่ชีวิตและการปฏิบัติหน้าที่ว่า ผู้คนจะเติบโตในชีวิตได้ก็ด้วยการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น  เพราะฉะนั้น ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน ถ้าทั้งหมดที่คนเราทำคือวุ่นอยู่กับงาน ถ้าพวกเขาไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีวันเข้าใจความจริง  ผู้คนที่ไม่รักความจริงบางคนพอใจที่จะให้การปรนนิบัติเท่านั้น และหวังที่จะนำการนั้นมาแลกเปลี่ยนเป็นพรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์  พวกเขาลงเอยด้วยการอ้างว่าพวกเขายุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของตนจนไม่มีเวลาไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาถึงกับกล่าวว่าพวกเขายุ่งกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนเสียจนพวกเขาไม่เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้เห็น  นี่แฝงความนัยว่าเพราะพวกเขายุ่งอยู่กับหน้าที่ของตน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจึงอันตรธานไป ไม่มีอยู่อีกต่อไป  นี่คือคำเท็จไม่ใช่หรือ?  การกล่าวอ้างของพวกเขาตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่?  ไม่เลย—อาจเรียกได้ว่าเป็นการโกหกครั้งใหญ่ที่สุด  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามจะไม่เผยตัวออกมาอีกต่อไปเพราะคนคนหนึ่งยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนได้อย่างไร?  มีผู้คนเช่นนั้นกระนั้นหรือ?  มีคำพยานเช่นนั้นจากประสบการณ์กระนั้นหรือ?  แน่นอนว่าไม่มี  ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก พวกเขาทุกคนจึงมีธรรมชาติเยี่ยงซาตาน และล้วนมีชีวิตอยู่กับอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  มีอะไรบ้างที่เป็นบวกในตัวมนุษย์ มีอะไรนอกเหนือจากความเสื่อมทรามหรือไม่?  มีใครที่เกิดมาแล้วไร้ซึ่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือไม่?  มีใครที่เกิดมาแล้วสามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดีหรือไม่?  มีใครที่เกิดมาแล้วสามารถนบนอบพระเจ้าและรักพระองค์หรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าไม่มี  เนื่องจากผู้คนทั้งปวงมีธรรมชาติเยี่ยงซาตานและเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ถ้าพวกเขาไม่อาจเข้าใจและปฏิบัติความจริงได้ พวกเขาย่อมจะทำได้เพียงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเท่านั้น  ดังนั้นการกล่าวว่าคนคนหนึ่งจะไม่เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาถ้าพวกเขามัววุ่นอยู่กับหน้าที่ของตน จึงเป็นความไร้สาระและเป็นเหตุผลวิบัติ  เป็นคำโกหกหน้าตายที่มุ่งชักนำผู้คนไปในทางที่ผิด  ไม่ว่าพวกเขาจะสาละวนปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะมีเวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ ผู้คนที่ไม่รักความจริงย่อมจะมีเหตุผลและข้อแก้ตัวที่จะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนเหล่านี้คือคนปรนนิบัติอย่างไม่ต้องสงสัย  ถ้าคนปรนนิบัติไม่กินและไม่ดื่มพระวจนะของพระเจ้า และไม่ยอมรับความจริง พวกเขาจะสามารถให้การปรนนิบัติที่ดีได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  ทุกคนที่ไม่ยอมรับความจริงย่อมไร้มโนธรรมและเหตุผล พวกเขาคือผู้คนที่จะใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและย่อมจะทำความชั่วเป็นอันมาก  พวกเขาไม่ใช่คนปรนนิบัติที่จงรักภักดีแต่อย่างใด และแม้พวกเขาจะให้การปรนนิบัติ ก็ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ในตัวพวกเขา  เจ้าแน่ใจในข้อนี้ได้

บางคนพัวพันกับครอบครัวของตนมากเกินไปและมักจะจมปลักอยู่กับความร้อนใจ  เมื่อพวกเขามองเห็นพี่น้องชายหญิงที่อ่อนวัยกว่ายอมทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานของตนเพื่อติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาก็นึกอิจฉาพี่น้องและกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเมตตาคนหนุ่มสาวเหล่านี้เสมอมา  พวกเขาเริ่มเชื่อในพระองค์ตอนอายุยังน้อย ก่อนที่จะแต่งงานและมีลูก พวกเขาไม่มีพันธะทางครอบครัวและไม่ต้องห่วงว่าคนในครอบครัวจะเอาตัวรอดกันอย่างไร  พวกเขาไม่มีความกังวลที่จะกีดกันไม่ให้พวกเขาติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขามาทันพระราชกิจของพระเจ้าและการเผยแผ่ข่าวประเสริฐในยุคสุดท้ายของพระองค์พอดี—พระเจ้าทรงจัดเตรียมปัจจัยแวดล้อมที่เป็นคุณเช่นนั้นให้แก่พวกเขา  พวกเขาจึงสามารถอุทิศตน อุทิศกายและดวงจิตให้แก่การปฏิบัติหน้าที่ได้  พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงได้ แต่กับฉันนั้นไม่เหมือนกัน  พระเจ้าไม่ได้จัดแจงเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้ฉัน—ฉันมีภาระผูกพันทางครอบครัวมากเกินไป และต้องหาเงินมาจุนเจือพวกเขา  ปัญหาจริงๆ ของฉันอยู่ตรงนั้น  นั่นคือสาเหตุที่ฉันไม่มีเวลาไล่ตามเสาะหาความจริง  การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องของผู้คนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเต็มเวลาและไม่มีพันธะเหล่านี้เลย  ตัวฉันผูกติดอยู่กับภาระผูกพันทางครอบครัว หัวใจของฉันเต็มไปด้วยเรื่องสัพเพเหระของการเอาตัวให้รอด ดังนั้นฉันจึงไม่มีเวลาหรือเรี่ยวแรงเหลือไว้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าหรือปฏิบัติหน้าที่ของฉัน  ไม่ว่าคุณจะมองดูรูปการณ์ของฉันในแง่มุมไหน ก็ไม่มีหนทางให้ฉันไล่ตามเสาะหาความจริง  คุณจะติเตียนฉันในเรื่องนั้นไม่ได้  ก็แค่โชคชะตาของฉันไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง และสภาพการณ์ของฉันก็ไม่เปิดโอกาสให้ฉันปฏิบัติหน้าที่  ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือรอให้ภาระผูกพันทางครอบครัวของฉันเบาบางลง รอให้ลูกๆ ของฉันพึ่งตัวเองได้ และรอให้ตัวฉันเองเกษียณและเป็นอิสระจากความห่วงกังวลทางวัตถุ—จากนั้นฉันถึงจะไล่ตามเสาะหาความจริง”  ผู้คนเช่นนี้มีประสบการณ์กับความทุกข์ยากในชีวิตประจำวันของตน และบางครั้งบางคราวพวกเขาก็รู้สึกได้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนกำลังพรั่งพรูออกมาทางเรื่องสัพเพเหระทั้งหลายในชีวิตประจำวันของพวกเขา  พวกเขาจับสังเกตสิ่งเหล่านี้ได้ แต่เพราะติดบ่วงทางโลก พวกเขาจึงเชื่อว่าตนกำลังไปได้ดีด้วยการดำรงชีวิต เชื่อในพระเจ้า ฟังคำเทศนา และเอาตัวรอดอย่างสุขสบายในหนทางนี้  พวกเขาเชื่อว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นรอได้ และอีกสองสามปีให้หลังค่อยแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดๆ ก็ตามที่พวกเขามีก็ย่อมจะไม่สายเกินไป  พวกเขาผัดผ่อนการไล่ตามเสาะหาความจริงซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากออกไปแบบนั้น แล้วก็เลื่อนออกไปอีกครั้งแล้วครั้งเล่า  พวกเขาพูดอยู่เสมอว่าอย่างไร?  “ไม่มีวันสายเกินไปที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  ฉันจะรอเวลาอีกสองสามปี  ตราบใดที่พระราชกิจของพระเจ้ายังไม่เสร็จสิ้น ฉันย่อมมีเวลาอยู่ดี—ฉันยังคงมีโอกาส”  เจ้าคิดอย่างไรกับทัศนะเช่นนี้?  (ทัศนะนี้ผิด)  พวกเขาแบกรับภาระของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่)  ถ้าเช่นนั้น พวกเขาแบกรับภาระอะไรอยู่?  เป็นภาระของการเอาตัวให้รอด หาเลี้ยงครอบครัวของตน และเลี้ยงดูลูกๆ ของพวกเขาให้เติบใหญ่ไม่ใช่หรือ?  พวกเขาอุทิศพละกำลังทั้งหมดของตนให้ลูกๆ ของพวกเขา ให้ครอบครัวของพวกเขา ให้แก่วันเวลาและชีวิตของพวกเขาเอง และเฉพาะเมื่อสิ่งเหล่านี้ได้รับการดูแลแล้วเท่านั้น พวกเขาถึงจะวางแผนที่จะเริ่มไล่ตามเสาะหาความจริง  ดังนั้นข้ออ้างเหล่านี้ของพวกเขาฟังขึ้นหรือไม่?  พวกเขาคืออุปสรรคขัดขวางการไล่ตามเสาะหาความจริงของตนเองไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ระหว่างที่ผู้คนเหล่านี้เชื่อในอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า พวกเขาก็พร่ำบ่นสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดแจงให้พวกเขาไปด้วย  พวกเขาไม่ใส่ใจพระประสงค์ของพระเจ้า และไม่ปฏิบัติตามพระประสงค์เหล่านั้นในเชิงรุกแต่อย่างใด  พวกเขากลับเอาแต่สนใจที่จะตอบสนองเนื้อหนัง ครอบครัว และญาติพี่น้องของตนเท่านั้น  พวกเขาให้เหตุผลของการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงว่าอย่างไร?  “แค่พยายามจะมีชีวิตอยู่ พวกเราก็ยุ่งและเหนื่อยล้าเต็มที  พวกเราไม่มีเวลาไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเราไม่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การไล่ตามเสาะหาความจริง”  พวกเขามีทัศนะว่าอย่างไร?  (ไม่มีวันสายเกินไปที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง)  “ไม่มีวันสายเกินไปที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  อีกสองสามปีฉันถึงจะทำเช่นนั้น”  นี่โง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นเรื่องเขลา—พวกเขากำลังใช้ข้ออ้างของตนมาหลอกตัวเอง  พระราชกิจของพระเจ้าจะรอเจ้าหรือไม่?  (ไม่รอ)  “อีกสองสามปีฉันถึงจะทำ”—คำว่า “สองสามปี” นั้นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้ามีความหวังน้อยลงที่จะได้รับการช่วยให้รอด และจำนวนปีที่เจ้าจะผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าก็จะน้อยลง  เวลาสองสามปีย่อมจะผ่านพ้นไปในลักษณะนี้ จากนั้นก็จะผ่านไปอีกสองสามปี แล้วก่อนที่เจ้าจะทันรู้ตัว เวลาย่อมจะผ่านเลยไปสิบปีแล้ว และเจ้าก็จะไม่เข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงแต่อย่างใด อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะไม่ได้รับการแก้ไขแม้แต่น้อย  เพียงกล่าวคำสัตย์สักคำหนึ่ง เจ้าก็กระเสือกกระสนดิ้นรนถึงขนาดนี้  นี่ย่อมอันตรายไม่ใช่หรือ?  นี่ไม่น่าเสียดายหรอกหรือ?  (น่าเสียดาย)  เมื่อผู้คนใช้ข้ออ้างและเหตุผลทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาทำร้ายใครในท้ายที่สุด?  (ตัวพวกเขาเอง)  ถูกต้อง—ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่พวกเขาทำร้ายก็คือตัวพวกเขาเอง  และในยามที่พวกเขานอนรอความตาย พวกเขาจะนึกเกลียดตัวเองที่ไม่ได้มาซึ่งความจริงในช่วงเวลาหลายต่อหลายปีของการเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาจะเสียใจไปชั่วชีวิต!

บางคนได้รับการศึกษาค่อนข้างดี แต่ขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อยและพวกเขาก็ไม่เข้าใจเรื่องราวทางฝ่ายวิญญาณ  ไม่ว่าพวกเขาจะฟังคำเทศนาไปกี่ครั้ง พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริง  พวกเขามีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนอยู่เสมอ ขับเคี่ยวกันเพื่อสถานะอยู่ตลอดเวลา  ถ้าพวกเขาไม่มีสถานะ พวกเขาก็จะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขากล่าวว่า “พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยจัดแจงให้ฉันปฏิบัติหน้าที่ที่สะท้อนคุณค่าของฉัน เช่น งานด้านข้อความ งานโสตทัศน์ การเป็นผู้นำคริสตจักร หรือการเป็นผู้ดูแลกลุ่ม  พวกเขาไม่มอบงานสำคัญเช่นนั้นให้ฉันทำสักอย่าง  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ส่งเสริมหรือบ่มเพาะฉัน และทุกครั้งที่คริสตจักรจัดให้มีการคัดเลือกคน ก็ไม่มีใครลงคะแนนเลือกฉัน ไม่มีใครชอบฉัน  ฉันไม่มีคุณสมบัติอันเป็นที่ต้องการจริงๆ หรือ?  ฉันคือปัญญาชน ฉันมีการศึกษาที่ดี แต่พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่เคยส่งเสริมหรือบ่มเพาะฉัน ฉันเลยไม่มีแรงจูงใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  พี่น้องชายหญิงทุกคนที่เริ่มเชื่อในพระเจ้าในช่วงเวลาเดียวกันกับฉันต่างก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญ รับใช้ในฐานะผู้นำและคนทำงาน—แล้วทำไมฉันถึงถูกทิ้งให้อยู่ว่างๆ?  ฉันได้แต่เล่นบทตัวประกอบด้วยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐบ้างเป็นครั้งคราว แล้วพวกเขาก็ไม่ยอมให้ฉันเป็นพยานยืนยันเช่นกัน  เมื่อใดก็ตามที่พระนิเวศของพระเจ้าเลื่อนตำแหน่งให้ผู้คนไปทำหน้าที่สำคัญๆ ก็ไม่มีการเลื่อนตำแหน่งให้ฉัน ฉันไม่ได้รับโอกาสให้นำการชุมนุมด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ให้ฉันรับผิดชอบอะไร  ฉันรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง  นี่คือสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดแจงไว้ให้ฉัน  ทำไมฉันถึงไม่สามารถรู้สึกถึงคุณค่าในการดำรงอยู่ของตนเอง?  ทำไมพระเจ้าทรงรักคนอื่น แต่ไม่ใช่ฉัน?  ทำไมพระองค์ถึงบ่มเพาะคนอื่น แต่ไม่ใช่ฉัน?  พระนิเวศของพระเจ้าควรมอบภาระให้ฉันมากขึ้น ให้ฉันเป็นผู้ดูแลหรืออะไรสักอย่าง  แบบนั้นฉันถึงจะมีแรงจูงใจในการไล่ตามเสาะหาความจริงบ้าง  เมื่อไม่มีแรงจูงใจ ฉันจะไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างไร?  ผู้คนจำเป็นต้องมีแรงจูงใจในการไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่เสมอ พวกเราจำเป็นต้องสามารถมองเห็นประโยชน์ของการไล่ตามเสาะหาความจริงได้  ฉันรู้ว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง และฉันก็รู้ว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นสิ่งที่ดี เปิดโอกาสให้พวกเราได้รับการช่วยให้รอดและได้รับการทำให้เพียบพร้อม—แต่ไม่เคยมีการใช้ฉันทำอะไรที่สำคัญเลย แล้วฉันก็รู้สึกว่าไม่มีสิ่งจูงใจให้ไล่ตามเสาะหาความจริง!  ฉันจะเริ่มไล่ตามเสาะหาความจริงเมื่อพี่น้องชายหญิงนับถือฉันและเกื้อหนุนฉัน—ถึงตอนนั้นย่อมจะไม่สายเกินไป”  มีผู้คนเช่นนี้อยู่มิใช่หรือ?  (มีอยู่)  พวกเขามีปัญหาอะไร?  ปัญหาคือพวกเขาต้องการสถานะและตำแหน่งในสังคม  ชัดเจนว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ที่รักความจริง กระนั้นพวกเขาก็ต้องการตำแหน่งและมีอำนาจร่วมตัดสินใจในพระนิเวศของพระเจ้า  นี่ไม่ไร้ความละอายหรอกหรือ?  การที่เจ้าเป็นคนปรนนิบัติก็ดีพอแล้ว ส่วนจะไต่เต้าขึ้นไปเป็นคนปรนนิบัติที่จงรักภักดีได้หรือไม่นั้นต้องดูกันต่อไป  ทำไมเจ้าถึงไม่ชัดแจ้งในเรื่องนี้?  เจ้าคิดหรือว่าถ้าเจ้ามีสถานะและตำแหน่ง เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด?  ว่าเจ้าจะกลายเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  ความคิดเห็นเหล่านี้ของเจ้าใช้การได้กระนั้นหรือ?  (ไม่ได้)  ผู้คนเหล่านี้อยากเด่น อยากรู้สึกว่ามีตัวตน แล้วพอความอยากได้อยากมีของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนอง พวกเขาก็พร่ำบ่นว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม ว่าพระองค์ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความลำเอียง พระนิเวศของพระองค์ไม่ส่งเสริมพวกเขา พี่น้องชายหญิงไม่ลงคะแนนเลือกพวกเขา—แน่ใจหรือว่าสิ่งเหล่านี้คือรากฐานที่คนเราจำเป็นต้องมีเพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง?  ในพระวจนะของพระเจ้ามีตรงไหนที่บอกว่าผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงต้องได้รับการโอบรับจากทุกคนและได้รับความนับถือจากพี่น้องชายหญิงของตน?  หรือกล่าวว่าพวกเขาต้องสามารถรับทำหน้าที่อันสำคัญและทำงานที่สำคัญได้ และต้องสร้างคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ให้แก่พระนิเวศของพระเจ้าได้อีกด้วย?  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้หรือว่าเฉพาะผู้คนเช่นนั้นเท่านั้นที่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริง เฉพาะพวกเขาเท่านั้นที่เหมาะจะไล่ตามเสาะหาความจริง?  พระวจนะของพระองค์กล่าวไว้หรือว่าเฉพาะผู้คนเหล่านั้นเท่านั้นที่มีลักษณะตรงตามหลักเกณฑ์ของการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่ามีแต่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง หรือกล่าวว่าในท้ายที่สุดแล้วมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถได้รับการช่วยให้รอด?  มีตรงไหนในพระวจนะของพระเจ้าเขียนไว้เช่นนี้หรือไม่?  (ไม่มี)  เห็นได้ชัดว่าคำกล่าวอ้างที่คนเช่นนี้ว่าไว้ฟังไม่ขึ้น  ดังนั้น ทำไมพวกเขาถึงกล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมา?  พวกเขากำลังแก้ตัวให้กับการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขารักสถานะและเกียรติยศ  พวกเขาใส่ใจแต่การไล่ตามความมีหน้ามีตาและผลประโยชน์ส่วนตน ใส่ใจแต่การไล่ตามไขว่คว้าสถานะในการเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขารู้สึกว่าการกล่าวเช่นนี้ออกมาดังๆ ย่อมจะน่าละอาย ดังนั้นพวกเขาเลยให้เหตุผลมากมายเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง ปกป้องตนเองที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและยัดเยียดความผิดให้คริสตจักร ให้พี่น้องชายหญิง และให้พระเจ้า  นี่ไม่ชั่วร้ายหรอกหรือ?  พวกเขาคือคนชั่วที่ชี้นิ้วใส่กลุ่มคนที่ไร้ความผิดไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขากำลังสร้างความเดือดร้อนโดยใช่เหตุและรังควานผู้อื่นด้วยข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผล พวกเขาไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลอย่างสิ้นเชิง!  การไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นปัญหาที่ร้ายแรงพออยู่แล้วในตัวมันเอง กระนั้นพวกเขาก็ยังพยายามที่จะโต้เถียงและทำตัวว่ายากอีกด้วย—นั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลโดยแท้ใช่หรือไม่?  การไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมเป็นไปโดยสมัครใจ  ถ้าเจ้ารักความจริง เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงพระราชกิจในตัวเจ้า  เมื่อเจ้ารักความจริง เมื่อเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพิงพระองค์ ทบทวนตนเองและพยายามที่จะรู้จักตัวเจ้าเองไม่ว่าจะมีการข่มเหงหรือความทุกข์ร้อนอะไรบังเกิดแก่เจ้าก็ตาม เมื่อเจ้าแสวงหาความจริงอย่างแข็งขันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เจ้าพบอยู่ในตัวเจ้า เจ้าย่อมจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดีพอ  เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าย่อมจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าได้  เมื่อผู้คนรักความจริง พวกเขาย่อมสำแดงทั้งหมดนี้ให้เห็นเป็นธรรมดา  ทั้งหมดนี้ย่อมเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจ ด้วยความยินดี และปราศจากการบีบบังคับ ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมใดๆ ติดมา  ถ้าผู้คนสามารถติดตามพระเจ้าในลักษณะนี้ พวกเขาย่อมจะได้รับความจริงและชีวิตในท้ายที่สุด พวกเขาจะเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง และย่อมจะใช้ชีวิตตามภาพลักษณ์ของมนุษย์  เจ้าจำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขอะไรอีกหรือไม่ในการไล่ตามเสาะหาความจริง?  ไม่เลย  การเชื่อในพระเจ้าเป็นไปโดยสมัครใจ เป็นสิ่งที่คนเราเลือกให้ตนเอง และการไล่ตามเสาะหาความจริงก็เป็นสิ่งที่ฟ้าลิขิตและแผ่นดินโลกยอมรับรู้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ  ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมไม่เต็มใจที่จะตัดขาดจากความยินดีทางเนื้อหนังและยังคงปรารถนาที่จะได้รับพรจากพระเจ้า แต่เมื่อพวกเขาเผชิญความทุกข์ร้อนและการข่มเหงบางอย่าง หรือเผชิญการเยาะหยันและทำลายชื่อเสียงบ้าง พวกเขาก็คิดลบและอ่อนแอ ไม่อยากเชื่อในพระเจ้าหรือติดตามพระองค์อีกต่อไป  พวกเขาอาจถึงขั้นติเตียนและปฏิเสธพระองค์  นี่ไม่สมเหตุสมผลมิใช่หรือ?  พวกเขาปรารถนาที่จะได้รับพร กระนั้นพวกเขาก็ยังคงไล่ตามไขว่คว้าความยินดีทางเนื้อหนัง และพอเผชิญความทุกข์ร้อนหรือการข่มเหง พวกเขาก็ตำหนิพระเจ้า  ผู้คนที่ไม่รักความจริงเหล่านี้ไร้เหตุผลถึงขนาดนั้น  การที่พวกเขาจะติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางย่อมจะยาก ทันทีที่พวกเขาเผชิญความทุกข์ร้อนหรือการข่มเหงบางอย่าง พวกเขาก็จะถูกเปิดโปงและถูกขับออกไป  มีผู้คนแบบนี้อยู่มากเหลือเกิน  ไม่ว่าเหตุผลที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าจะเป็นเช่นใด ท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าย่อมจะทรงกำหนดจุดจบของเจ้าโดยดูว่าเจ้าได้รับความจริงหรือไม่  ถ้าเจ้ายังไม่ได้รับความจริง เช่นนั้นแล้วเหตุผลที่ใช้สร้างความชอบธรรมให้ตนเองหรือข้ออ้างที่เจ้าคิดขึ้นมาย่อมฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น  จงพยายามให้เหตุผลไปตามแต่ใจของเจ้าเถิด วิตกกังวลไปตามแต่เจ้าจะพอใจ—พระเจ้าจะใส่พระทัยกระนั้นหรือ?  พระเจ้าจะตรัสสนทนากับเจ้ากระนั้นหรือ?  พระองค์จะทรงเสวนาและหารือกับเจ้ากระนั้นหรือ?  พระองค์จะทรงปรึกษาเจ้ากระนั้นหรือ?  คำตอบคืออะไร?  ไม่  แน่นอนที่สุดว่าพระองค์จะไม่ทำเช่นนั้น  ไม่ว่าการให้เหตุผลของเจ้าจะหนักแน่นเพียงใด ก็ย่อมจะฟังไม่ขึ้น  เจ้าต้องไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าไปในทางที่ผิด คิดไปว่าหากเจ้าให้เหตุผลและข้ออ้างทุกอย่าง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริง  พระเจ้าทรงต้องการให้เจ้าแสวงหาความจริงได้ในทุกสภาพแวดล้อมและในทุกเรื่องที่บังเกิดแก่เจ้า สัมฤทธิ์การเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงและได้รับความจริงในที่สุด  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดแจงเตรียมรูปการณ์เช่นไรไว้ให้เจ้า ไม่ว่าเจ้าจะพบพานผู้คนและเหตุการณ์แบบไหน และไม่ว่าเจ้าจะตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นไร เจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงเพื่อที่จะเผชิญหน้าสิ่งเหล่านี้  นี่คือบทเรียนทั้งหลายที่เจ้าควรเรียนรู้โดยแท้ในการไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าเจ้ามองหาข้อแก้ตัวอยู่เสมอเพื่อเลี่ยงหนี ไม่ยอมรับ ต้านทาน หรือออกจากสภาพการณ์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงละทิ้งเจ้า  ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะให้เหตุผล ดื้อดึง หรือทำตัวว่ายาก—ถ้าพระเจ้าไม่ทรงกังวลถึงเจ้า เจ้าย่อมจะสูญสิ้นโอกาสที่จะได้รับความรอด  สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีปัญหาที่ทรงแก้ไม่ได้ พระองค์ทรงจัดแจงเตรียมการต่างๆ ไว้ให้คนแต่ละคน และทรงมีหนทางในการรับมือพวกเขา  ไม่ว่าเหตุผลและข้ออ้างของเจ้าจะมีความชอบธรรมหรือไม่ พระเจ้าก็จะไม่เสวนากับเจ้า  พระเจ้าจะไม่รับฟังว่าข้อโต้แย้งที่เจ้าใช้ปกป้องตนเองสมเหตุสมผลหรือไม่  พระองค์จะตรัสถามเจ้าเท่านั้นว่า “วจนะของพระเจ้าใช่ความจริงหรือไม่?  เจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือไม่?  เจ้าควรไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?”  เจ้าจำเป็นต้องชัดเจนในข้อเท็จจริงข้อเดียวเท่านั้นคือ พระเจ้าคือความจริง ส่วนเจ้าคือมนุษย์ที่เสื่อมทราม ดังนั้นเจ้าจึงควรขวนขวายแสวงหาความจริง  ไม่มีปัญหาหรือความยากลำบากอันใด เหตุผลหรือข้ออ้างอันใด ที่จะยืนยง—ถ้าเจ้าไม่ยอมรับความจริง เจ้าย่อมจะพินาศ  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะจ่ายราคาใดไปเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงก็ย่อมคุ้มค่า  ผู้คนควรละทิ้งข้ออ้างทั้งปวงของตน เหตุผลทั้งหมดที่ใช้สร้างความชอบธรรมให้ตนเอง รวมทั้งความยุ่งยากทั้งมวลในการยอมรับความจริงและได้รับชีวิต เพราะพระวจนะของพระเจ้าและความจริงคือชีวิตที่พวกเขาควรได้รับ และเป็นชีวิตที่ไม่อาจนำสิ่งใดมาแลกได้  ถ้าเจ้าพลาดโอกาสนี้ ไม่เพียงเจ้าจะเสียใจไปชั่วชีวิตเท่านั้น—นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของความเสียใจ—เจ้าย่อมจะทำลายตัวเจ้าเองให้ย่อยยับอย่างสิ้นเชิงทีเดียว  จะไม่มีจุดจบหรือบั้นปลายสำหรับเจ้าอีกต่อไป และเจ้าที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างย่อมจะมาสุดทางแล้ว  เจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดอีก  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (พวกเราเข้าใจ)  จงอย่ามองหาข้อแก้ตัวหรือเหตุผลเพื่อที่จะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  สิ่งเหล่านั้นไม่มีประโยชน์ เจ้าเพียงแต่หลอกตัวเองอยู่เท่านั้น

ผู้นำบางคนไม่เคยทำงานตามหลักธรรม พวกเขาตั้งตัวเป็นกฎเสียเอง เอาแต่ใจและมุทะลุ  พี่น้องชายหญิงอาจชี้เรื่องนี้ให้เห็นและกล่าวว่า “คุณแทบไม่ปรึกษาใครก่อนที่คุณจะลงมือ  พวกเราไม่รู้ว่าคุณมีความคิดเห็นและตัดสินใจว่าอย่างไรจนกระทั่งคุณตัดสินใจไปแล้ว  ทำไมคุณถึงไม่หารือเรื่องเหล่านี้กับใคร?  ทำไมเวลาคุณตัดสินใจอะไร คุณกลับไม่ยอมให้พวกเรารู้ล่วงหน้า?  ต่อให้สิ่งที่คุณทำอยู่นั้นถูกต้องและขีดความสามารถของคุณดีกว่าของพวกเรา คุณก็ควรแจ้งให้พวกเรารู้ก่อนอยู่ดี  อย่างน้อยพวกเราก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง  ด้วยการทำตัวเป็นกฎเสียเองอยู่ตลอดเวลา คุณกำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์!”  แล้วเจ้าจะได้ยินผู้นำตอบคำว่าอย่างไร?  “ในบ้านของฉัน ฉันเป็นเจ้านาย  ทุกเรื่องราวทั้งใหญ่และเล็ก ฉันคือคนตัดสินใจ  ฉันเคยชินอย่างนั้น  ในครอบครัวใหญ่ของฉันเวลาใครมีปัญหา พวกเขาก็มาหาฉันและให้ฉันตัดสินใจว่าควรทำอย่างไร  พวกเขารู้ว่าฉันแก้ปัญหาเก่ง  นั่นคือสาเหตุที่ฉันเป็นคนดูแลเรื่องราวทั้งหลายในครอบครัวของฉัน  ตอนที่ฉันเข้าร่วมคริสตจักร ฉันนึกว่าฉันจะไม่ต้องวุ่นวายกับสิ่งต่างๆ อีกต่อไป แต่แล้วฉันกลับได้รับเลือกเป็นผู้นำ  นี่ก็ช่วยไม่ได้—ฉันเกิดมาพร้อมชะตากรรมนี้  พระเจ้าประทานทักษะนี้แก่ฉัน  ฉันเกิดมาเพื่อที่จะตัดสินใจและกำกับดูแลคนอื่น”  ความนัยที่แฝงอยู่ในที่นี้ก็คือพวกเขาถูกลิขิตให้เป็นขุนนาง ส่วนคนอื่นเกิดมาเป็นพลเดินเท้าและทาส  พวกเขาคิดว่าตนควรเป็นผู้ชี้ขาด และคนอื่นควรฟังพวกเขา  แม้ในยามที่พี่น้องชายหญิงมองเห็นปัญหาของผู้นำแบบนี้และชี้ให้พวกเขาดู พวกเขาก็จะไม่ยอมรับ และจะไม่ยอมถูกจัดการและตัดแต่ง  พวกเขาจะต่อสู้และต้านทานจนกระทั่งพี่น้องชายหญิงส่งเสียงเรียกร้องให้ปลดพวกเขา  ตลอดเวลานั้นผู้นำก็จะคิดไปว่า “ด้วยขีดความสามารถอย่างที่ฉันมี ฉันจึงถูกกำหนดชะตากรรมให้ควบคุมดูแลทุกที่ที่ฉันไป  ด้วยขีดความสามารถอย่างที่พวกคุณมี พวกคุณย่อมจะเป็นทาสและคนรับใช้อยู่เสมอ  เป็นชะตากรรมของพวกคุณที่จะถูกคนอื่นคอยออกคำสั่ง”  ด้วยการกล่าวอะไรเช่นนี้บ่อยครั้ง พวกเขากำลังเผยให้เห็นอุปนิสัยแบบใด?  ชัดเจนว่านี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม เป็นความโอหัง ความทะนงตน และการถือตนว่าสำคัญอย่างสุดโต่ง กระนั้นพวกเขาก็แสดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาและอวดมันอย่างไม่ละอายแก่ใจ ราวกับว่าเป็นจุดแข็งและเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง  เมื่อคนคนหนึ่งเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา พวกเขาควรทบทวนตนเอง รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน กลับใจ และละทิ้งอุปนิสัยนั้น พวกเขาควรไล่ตามเสาะหาความจริงจนกระทั่งพวกเขาสามารถกระทำการตามหลักธรรม  แต่ผู้นำแบบนี้ไม่ได้ปฏิบัติเช่นนั้น  พวกเขาไม่อาจจะแก้ไขได้อยู่ดี ยึดติดอยู่กับทัศนะและวิธีการของตน  จากพฤติกรรมเหล่านี้ เจ้าย่อมจะมองเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด และแน่นอนที่สุดว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาไม่รับฟังคนที่เปิดโปงและจัดการพวกเขา พวกเขากลับยังคงเต็มไปด้วยการสร้างความชอบธรรมให้ตนเองว่า “ฮึ่ม—ก็ฉันเป็นอย่างนี้นี่!  นี่เรียกว่าความรู้ความสามารถและพรสวรรค์ต่างหาก—พวกคุณคนไหนมีสิ่งเหล่านี้บ้าง?  ฉันถูกกำหนดชะตากรรมให้มาควบคุมดูแล  ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน ฉันย่อมเป็นผู้นำ  ฉันชินกับการเป็นคนชี้ขาดและตัดสินใจในทุกเรื่องโดยไม่ต้องปรึกษาคนอื่น  ฉันเป็นคนอย่างนี้เอง นี่คือเสน่ห์ส่วนตัวของฉัน”  นี่คือความมัวเมาไร้ยางอายมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่ยอมรับว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และชัดเจนว่าพวกเขาไม่ยอมรับรู้พระวจนะของพระเจ้าที่พิพากษาและเปิดโปงมนุษย์  ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับถือเอาความนอกรีตและเหตุผลวิบัติของตนว่าเป็นความจริง และพยายามที่จะทำให้คนที่เหลือยอมรับและเคารพสิ่งเหล่านั้น  ลึกลงไปแล้วพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาควรเป็นใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ใช่ความจริง ว่าพวกเขาควรกำกับควบคุมพระนิเวศ  นี่คือความไร้ยางอายอย่างชัดแจ้งมิใช่หรือ?  พวกเขากล่าวว่าพวกเขาต้องการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พฤติกรรมของพวกเขาตรงกันข้ามทีเดียว  พวกเขาบอกว่าตนเชื่อฟังพระเจ้าและความจริง แต่ก็อยากจะกุมอำนาจอยู่เสมอ อยากมีสิทธิ์ขาด และอยากให้พี่น้องชายหญิงนบนอบและเชื่อฟังตน  พวกเขาจะไม่ยินยอมให้คนอื่นกำกับดูแลหรือแนะนำตน ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นจะเหมาะสมหรือสอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่ก็ตาม  พวกเขากลับเชื่อว่าคนอื่นต่างหากที่ต้องใส่ใจและเชื่อฟังคำพูดและการตัดสินใจของพวกเขา  พวกเขาไม่ทบทวนการกระทำของตนเองเลย  ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะให้คำปรึกษาและช่วยเหลือพวกเขาอย่างไร และไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะตัดแต่งและจัดการพวกเขาอย่างไร หรือต่อให้พวกเขาถูกปลดหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาก็ไม่ทบทวนปัญหาของตน  พวกเขายึดมั่นในคำกล่าวนั้นของตนทุกครั้งว่า “ในบ้านของฉัน ฉันคือเจ้านาย  ฉันตัดสินใจทุกอย่าง  ฉันคนเดียวที่มีสิทธิ์ชี้ขาดในทุกๆ เรื่อง  ฉันเคยชินอย่างนั้น และเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลี่ยง”  พวกเขาช่างไร้เหตุผลและเกินจะช่วยได้แล้วจริงๆ!  พวกเขาเผยแพร่การกระทำเชิงลบเหล่านี้เหมือนเป็นสิ่งเชิงบวก ยกย่องตนเองอย่างมากตลอดเวลา  พวกเขาช่างไร้ความละอายอย่างยิ่ง!  ผู้คนเหล่านี้ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใดและเหลือที่จะแก้ไขได้—ดังนั้นเจ้าย่อมจะแน่ใจได้ว่าพวกเขาไม่รักหรือไล่ตามเสาะหาความจริง  หัวใจของพวกเขาเบื่อหน่ายและเป็นปฏิปักษ์กับความจริง  ราคาที่พวกเขายอมจ่ายและความทุกข์ยากที่พวกเขาประสบเพื่อที่จะสนองความอยากได้อยากมีของตนและเพื่อที่จะได้รับสถานะล้วนสูญเปล่า  พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบในเรื่องนี้แต่อย่างใด พระองค์ทรงชิงชังการนี้  นี่เป็นสิ่งที่สำแดงถึงการต่อต้านความจริงและการต้านทานพระเจ้าของพวกเขา  คนเราย่อมแน่ใจในข้อนี้ได้อย่างเต็มที่ และทุกคนที่เข้าใจความจริงย่อมดูออก

นอกจากนี้ยังมีบางคนที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่ไม่มีความเป็นจริงของความจริงแต่อย่างใด พวกเขาฟังคำเทศนามาหลายปี แต่กลับไม่เข้าใจความจริง  แม้พวกเขาจะมีขีดความสามารถอ่อนด้อย แต่พวกเขาก็มี “พรสวรรค์” อันไม่มีใครเทียบได้คือการพูดปดและปกปิดคำโกหกเหล่านั้น หลอกลวงและล่อให้คนอื่นหลงคารมที่เสนาะหู  ถ้าพวกเขาพูดสักสิบกว่าประโยค ก็ย่อมจะมีอะไรปลอมปนมาในนั้นสักสิบกว่าอย่าง—แต่ละอย่างย่อมจะมีความไม่บริสุทธิ์อยู่ระดับหนึ่ง  กล่าวให้แน่ชัดลงไปก็คือ สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นไม่มีอะไรจริง  แต่เนื่องจากพวกเขามีขีดความสามารถอ่อนด้อยและดูเหมือนประพฤติตนค่อนข้างดี พวกเขาจึงคิดว่า “ฉันเป็นคนที่ไร้เล่ห์มารยาและขลาดกลัวโดยธรรมชาติ แล้วขีดความสามารถของฉันก็อ่อนด้อย  ไม่ว่าจะไปที่ไหน ฉันก็ถูกรังแก เวลาผู้คนรังแกฉัน ฉันก็จำต้องสู้ทนและยอมทนทุกข์เท่านั้น  ฉันไม่กล้าพูดจาโต้ตอบหรือต่อสู้พวกเขา—ฉันทำได้เพียงซ่อนตัว ยอมจำนน และรับสภาพ  ฉันคือ ‘มนุษย์ที่ซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ความ’ ที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึง  ฉันคือประชากรคนหนึ่งของพระองค์”  ถ้าใครบางคนถามพวกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณโกหกได้อย่างไร?”  พวกเขาก็จะตอบว่า “ฉันโกหกตอนไหน?  ฉันหลอกลวงใคร?  ฉันไม่เคยโกหก!  ฉันจะพูดปดได้อย่างไรในเมื่อฉันเป็นคนไร้เล่ห์มารยา?  ความรู้สึกนึกคิดของฉันมีปฏิกิริยาต่อสิ่งต่างๆ ช้า และฉันก็ไม่ได้มีการศึกษาที่ดีนัก—ฉันไม่รู้ว่าการโกหกทำกันอย่างไร!  ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงที่อยู่ข้างนอกพวกนั้นสามารถสร้างแนวคิดและแผนการเลวๆ ขึ้นมาได้สองอย่างในพริบตาเดียว  ฉันไม่ได้มีเหลี่ยมคูอย่างนั้น และฉันก็ถูกรังแกอยู่เสมอ  เพราะฉะนั้น ฉันจึงเป็นคนซื่อสัตย์ที่พระเจ้าตรัสถึง และการที่พวกคุณเรียกฉันว่าคนโกหกหรือคนหลอกลวงย่อมไม่มีเหตุผลรองรับ  ไม่มีมูลความจริงในเรื่องนั้นเลย—พวกคุณแค่พยายามจะใส่ความฉัน  ฉันรู้ว่าพวกคุณทุกคนดูถูกฉัน พวกคุณคิดว่าฉันโง่ ว่าขีดความสามารถของฉันแย่ พวกคุณทุกคนอยากจะรังแกฉัน  พระเจ้าคือองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ทรงรังแกฉัน พระองค์ทรงใช้พระคุณกับฉัน”  คนแบบนี้จะไม่ยอมรับด้วยซ้ำว่าโกหก พวกเขามีความกล้าที่จะพูดว่าพวกเขาคือคนซื่อสัตย์ที่พระเจ้าตรัสถึง และด้วยถ้อยแถลงเช่นนั้น พวกเขาก็ยกตัวเองขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ทันที  พวกเขาเชื่อว่าโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาคือคนที่ซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ความ และเป็นที่รักของพระเจ้า  พวกเขาคิดว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริงหรือทบทวนตนเอง  พวกเขานึกว่าตั้งแต่ชั่วเวลาที่พวกเขาเกิดมาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคำเท็จอยู่ในปากของตน  พวกเขาไม่ยอมรับว่าโกหกไม่ว่าใครจะพูดว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขากลับใช้ข้ออ้างเดิมๆ มาโต้แย้งและปกป้องตัวเอง  พวกเขาทบทวนตนเองบ้างหรือไม่?  ในแง่หนึ่งพวกเขาก็ทบทวน  แล้วใน “การทบทวนตนเอง” นั้นพวกเขาคิดอะไรได้บ้าง?  “ฉันคือมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ความ ที่พระเจ้าตรัสถึง  ฉันอาจจะไม่ค่อยรู้อะไร แต่ฉันก็เป็นคนซื่อสัตย์”  พวกเขากำลังภาคภูมิใจในตนเองไม่ใช่หรือ?  พวกเขาไม่ชัดเจนว่าตัวเองเป็นคนแบบไหนกันแน่ คนที่ไม่รู้ความหรือคนที่ซื่อสัตย์ แต่พวกเขาก็ลงความเห็นว่าตนเป็นคนที่ซื่อสัตย์  พวกเขามีความตระหนักรู้ในตนเองหรือไม่?  ถ้าใครบางคนเป็นคนเขลาที่ถูกรังแกและใช้ชีวิตอย่างขลาดกลัว นั่นย่อมหมายความว่าพวกเขาต้องเป็นคนดีกระนั้นหรือ?  แล้วถ้าคนอื่นมองใครบางคนว่าเป็นคนดี นั่นย่อมหมายความว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริงกระนั้นหรือ?  จะด้วยเหตุใดก็ตาม คนแบบนั้นย่อมมีความจริงอยู่แล้วโดยธรรมชาติกระนั้นหรือ?  บางคนกล่าวว่า “ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างไร้เล่ห์มารยา ฉันพยายามที่จะพูดความจริงอยู่เสมอ ฉันแค่ไม่ค่อยรู้อะไรเท่านั้น  ฉันไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันเป็นคนดีและซื่อสัตย์อยู่แล้ว”  ด้วยการกล่าวเช่นนี้ พวกเขากำลังแฝงความนัยมิใช่หรือว่าพวกเขามีความจริงและไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม?  มวลมนุษย์ทุกคนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนักไปแล้ว  ทุกคนต่างก็มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเมื่อคนเรามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาย่อมโกหกได้ โกงได้ และหลอกลวงได้ทุกเวลาที่พวกเขาพอใจ  พวกเขาอาจถึงกับโอ้อวดความสำเร็จหรือคุณงามความดีเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างของตน พรั่งพรูอุปนิสัยอันโอหังออกมา  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อต่อพระองค์ พยายามที่จะอ้างเหตุผลกับพระองค์  เหล่านี้คือปัญหาไม่ใช่หรือ?  นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่ใช่หรือ?  นี่ย่อมต้องมีการตรวจสอบไม่ใช่หรือ?  ย่อมต้องตรวจสอบ  กระนั้นผู้คนเหล่านี้ก็สถาปนาตนเองเป็นคนซื่อสัตย์ที่ไม่เคยพูดปดหรือหลอกลวงคนอื่นไปแล้ว พวกเขาป่าวประกาศว่าตนไม่มีอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริง  เพราะฉะนั้น ผู้ที่ประพฤติเช่นนี้จึงไม่มีใครไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่มีพวกเขาคนใดได้เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง  เมื่อพวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า พวกเขามักจะร้องไห้อย่างขมขื่นถึงความโง่เขลาของตน ถึงการที่พวกเขาถูกรังแกอยู่เสมอ ถึงขีดความสามารถอันอ่อนด้วยเป็นพิเศษของตนว่า “ข้าแต่พระเจ้า มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่รักข้าพระองค์ มีแต่พระองค์เท่านั้นที่เวทนาและปฏิบัติต่อข้าพระองค์อย่างเปี่ยมพระคุณ  ผู้คนล้วนรังแกข้าพระองค์และบอกว่าข้าพระองค์เป็นคนโกหก—แต่ข้าพระองค์ไม่ใช่!”  จากนั้นพวกเขาก็เช็ดน้ำตาและลุกขึ้นยืน พอพวกเขามองเห็นคนอื่น พวกเขาก็คิดว่า “พวกคุณไม่มีใครเป็นที่รักของพระเจ้า  มีแต่ฉันเท่านั้นที่ทรงรัก”  ผู้คนเหล่านี้ยกย่องตนเอง และไม่ยอมรับว่าตนแสดงพฤติกรรมและพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พระเจ้าตรัสถึงออกมานานัปการ  แม้ในยามที่ปัญหาบางอย่างบังเกิดแก่พวกเขาและก่อให้เกิดการพรั่งพรูหรือสภาวะอันเสื่อมทรามภายในตัวพวกเขา พวกเขาก็เพียงออกปากยอมรับหลังจากที่คิดอยู่อึดใจหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็จบเรื่องไป  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงแต่อย่างใด ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามีความเสื่อมทรามและเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม  แน่นอนว่าพวกเขายิ่งจะไม่ยอมรับว่าเคยพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ  แล้วไม่ว่าพวกเขาจะก่อให้เกิดปัญหามากเพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาเท่าใด พวกเขาก็ลงเอยด้วยการกล่าวดังเดิมอยู่เสมอว่า “ฉันคือมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ความ ที่พระเจ้าตรัสถึง  ฉันคือคนที่พระองค์ทรงเวทนา และพระองค์ย่อมจะประทานพรแก่ฉันเป็นอันมาก”  และดังนั้น ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ พวกเขาจึงรู้สึกว่าตนไม่ต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้อยคำเหล่านี้คือข้ออ้างที่ผู้คนเช่นนี้ใช้เพื่อที่จะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนแบบนี้ย่อมไร้สาระไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาไร้สาระและไม่รู้ความ  พวกเขาไร้สาระขนาดไหน?  ไร้สาระขนาดที่พวกเขาฉวยเอาประโยคหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นผลดีต่อตนเองมาใช้เป็นตราไว้ขู่เข็ญพระเจ้าและช่วยให้ตนพ้นผิดที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พลางทำเหมือนว่าพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงและพิพากษามนุษย์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตน  พวกเขารู้สึกว่าตนไม่จำเป็นต้องฟังพระวจนะเพราะพวกเขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์แล้ว  กล่าวให้แน่ชัดก็คือ ผู้คนเช่นนี้คือคนชั่วช้าที่น่าสมเพช  พวกเขามีขีดความสามารถอ่อนด้อย ไร้สำนึก และมีความละอายน้อยยิ่งนัก แต่พวกเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะได้รับพร  และแม้พวกเขาจะมีขีดความสามารถอ่อนด้อย ไม่มีทั้งสำนึกและความละอาย แต่พวกเขาก็หยิ่งทะนงมาก และดูแคลนผู้คนทั่วไป  พวกเขาไม่เคารพนับถือผู้คนที่มีขีดความสามารถดีและไล่ตามเสาะหาความจริงได้ สามัคคีธรรมถึงความเป็นจริงของความจริงได้  พวกเขาคิดไปว่า “แล้วจุดแข็งเหล่านี้ของพวกคุณมีอะไรดี?  เรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงและการรู้จักตนเองทั้งหมดของพวกคุณ—ฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไรพวกนั้น  ฉันเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันอาจจะไม่รู้ความอยู่บ้าง แต่ที่จริงแล้วนั่นไม่ใช่ปัญหา  ส่วนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ฉันพรั่งพรูออกมาก็ไม่มีอะไรให้กังวลเช่นกัน  ตราบใดที่ฉันถึงพร้อมด้วยพฤติกรรมที่ดีงามบางอย่าง ฉันย่อมจะไม่เป็นไร”  พวกเขาให้ตนเองทำสิ่งใดบ้าง?  “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พระเจ้าก็ทรงรู้ใจฉัน และความเชื่อที่ฉันมีในพระองค์ก็จริงแท้  นั่นย่อมเพียงพอแล้ว  การพูดคุยติดต่อกันหลายวันถึงคำพยานจากประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า—การสนทนาทั้งหมดนี้มีประโยชน์อะไร?  เมื่อพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว การเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจย่อมเพียงพอ”  ไม่มีทางเขลาไปกว่านั้นแล้วไม่ใช่หรือ?  ประการแรก ผู้คนเช่นนี้ไม่สนใจความจริงเลย ประการที่สอง สมควรแล้วที่จะกล่าวว่าพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้า  แม้กระนั้นพวกเขาก็ยังคงยกย่องตนเอง ทำตัวสูงส่งและมีอำนาจถึงขนาดนั้น  พวกเขามองหาเหตุผลในการสร้างความชอบธรรมว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หรือมองหาวิธีการไล่ตามไขว่คว้าหรือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นจุดแข็งเพื่อใช้แทนที่การไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่เบาปัญญาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)

ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงบางคนไม่มีปัญหาใหญ่ๆ ในแง่ของสภาวะความเป็นมนุษย์ในตัวพวกเขา  พวกเขายึดกฎเกณฑ์และรู้จักประพฤติตน  ผู้หญิงที่เป็นเช่นนี้อ่อนโยนและมีคุณธรรม มีศักดิ์ศรี ทำตัวเหมาะสม และไม่เที่ยวหยอกล้อไปทั่ว  พวกเธอเป็นเด็กสาวที่ดีต่อหน้าพ่อแม่ของตน เป็นภรรยาและแม่ที่ดีในชีวิตครอบครัวของตน และใช้เวลาทั้งวันดูแลบ้านช่องตามหน้าที่  ส่วนผู้ชายที่เป็นเช่นนี้ก็ไร้เล่ห์มารยาและรับผิดชอบต่อหน้าที่  พวกเขาประพฤติตัวดี เป็นบุตรที่กตัญญู ไม่ดื่มสุราหรือสูบบุหรี่ ไม่ลักขโมยหรือปล้นชิง พวกเขาไม่เล่นการพนันหรือเที่ยวโสเภณี—พวกเขาเป็นสามีตัวอย่าง และพออยู่นอกบ้าน พวกเขาก็แทบไม่ทะเลาะเบาะแว้งหรือวิวาทกับผู้อื่นว่าใครถูกหรือผิด  บางคนคิดไปว่าการสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าย่อมเพียงพอแล้ว ว่าผู้ที่ทำเช่นนี้คือคนดีตามที่ยอมรับกันและได้มาตรฐาน  พวกเขาเชื่อว่าหลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า ถ้าพวกเขาโอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือ ถ่อมใจ อดทน และอดกลั้น และถ้าพวกเขาทำงานทุกอย่างที่คริสตจักรจัดแจงให้ทำอย่างขยันหมั่นเพียรและทำอย่างดี โดยไม่มักง่ายหรือสุกเอาเผากิน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมบรรลุความเป็นจริงของความจริงและใกล้ที่จะลุล่วงพระประสงค์ของพระเจ้า  พวกเขาคิดว่าถ้าพวกเขาเริ่มทำงานอย่างจริงจังและทุ่มเทพยายามมากขึ้นอีกนิด ถ้าพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น ถ้าพวกเขาจดจำวลีต่างๆ ในพระวจนะได้มากขึ้น และประกาศพระวจนะแก่ผู้อื่นให้มากขึ้น เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมจะไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่  แต่พวกเขาไม่ได้ตระหนักรู้การพรั่งพรูความเสื่อมทรามของตนออกมา พวกเขาไม่รู้ว่าตนมีอุปนิสัยอะไรที่เสื่อมทราม และยิ่งไม่รู้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเกิดขึ้นมาอย่างไร หรือควรทำความรู้จักและแก้ไขมันอย่างไร  พวกเขาไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย  มีผู้คนเช่นนี้หรือไม่?  (มี)  พวกเขามองว่า “ความดี” ที่ตนมีตามธรรมชาติคือมาตรฐานซึ่งผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงควรสัมฤทธิ์  ถ้าใครบางคนบอกว่าพวกเขาโอหัง เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และชั่ว พวกเขาจะไม่โต้เถียงด้วยอย่างเปิดเผย และจะแสดงท่าทีอันถ่อมใจ อดทน และยอมรับ  แต่ลึกลงไปแล้ว แทนที่จะจริงจังกับเรื่องนี้ พวกเขากลับต้านทานว่า “ฉันโอหังหรือ?  ถ้าฉันโอหัง ก็ไม่มีคนดีอยู่บนโลกสักคนเดียว!  ถ้าฉันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง เช่นนั้นก็ไม่มีใครในโลกที่ซื่อสัตย์!  ถ้าฉันชั่ว เช่นนั้นย่อมไม่มีใครในโลกที่ดีพอ!  ทุกวันนี้ง่ายกระนั้นหรือที่จะหาใครสักคนที่ดีอย่างฉัน?  ไม่ง่าย—และเป็นไปไม่ได้เลย!”  การเรียกพวกเขาว่าเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงหรือโอหัง หรือการกล่าวว่าพวกเขาไม่รักความจริง ย่อมทำไม่ได้ และแน่นอนว่าการเรียกพวกเขาว่าผู้ปราศจากความเชื่อก็ย่อมทำไม่ได้  พวกเขารังแต่จะเอามือทั้งสองข้างตบโต๊ะและเถียงว่า “คุณว่าฉันเป็นผู้ปราศจากความเชื่ออย่างนั้นหรือ?  ถ้าฉันไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด ก็ไม่มีพวกคุณสักคนที่ทำได้!”  ใครบางคนอาจเปิดโปงพวกเขาด้วยการกล่าวว่า “คุณไม่ยอมรับความจริง  พอผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาของคุณ คุณก็ทำเป็นถ่อมใจและอดทนเอาการ แต่ลึกๆ แล้วคุณต้านทานจริง  สิ่งที่คุณประกาศเวลาคุณสามัคคีธรรมความจริงนั้นถูกต้อง แต่ยังคงมีข้อเท็จจริงที่ว่าคุณไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงและพิพากษาแก่นแท้แห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์แม้สักคำเดียว  คุณต้านทานและชิงชังพระวจนะเหล่านั้น  คุณมีอุปนิสัยที่ชั่วช้า”  ถ้าเจ้าเรียกพวกเขาว่า “ชั่วช้า” พวกเขาก็มีแต่จะรับไม่ได้  “ฉันชั่วช้าหรือ?  ถ้าฉันชั่วช้า ฉันก็คงจะเหยียบย่ำพวกคุณทุกคนไว้ใต้ฝ่าเท้าไปนานแล้ว!  ถ้าฉันชั่วช้า ฉันก็คงจะทำลายล้างพวกคุณทุกคนไปแล้ว!”  พวกเขาไม่สามารถทำความเข้าใจอะไรก็ตามที่เจ้าเปิดโปงเกี่ยวกับตัวพวกเขาหรือสามัคคีธรรมกับพวกเขาได้อย่างถูกต้อง  การทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้องหมายความอย่างไร?  หมายความว่าไม่ว่าใครจะเผยให้เห็นปัญหาอะไรในตัวเจ้า เจ้าก็ยกเอาปัญหาเหล่านั้นมาเทียบเคียงกับพระวจนะของพระเจ้าเพื่อตรวจสอบว่ามีความผิดพลาดอะไรในเจตนาและความคิดอ่านของเจ้าจริงหรือไม่ และไม่ว่าจะมีการเผยปัญหาในตัวเจ้าออกมาสักกี่อย่าง เจ้าก็จัดการปัญหาทั้งหมดนั้นด้วยท่าทีที่ยอมรับและนบนอบ  เมื่อทำเช่นนั้น คนคนหนึ่งจึงจะสามารถรู้ปัญหาของตนได้อย่างแท้จริง  คนเราไม่อาจรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนได้ นี่ต้องอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้า  ดังนั้น อะไรคือปัจจัยเบื้องต้นของการรู้จักตนเอง?  เจ้าต้องยอมรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าซาตานได้หลอกลวงและทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามไปแล้ว ว่าผู้คนทั้งปวงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ด้วยการยอมรับข้อเท็จจริงนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะทบทวนตนเองได้ตามการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้า และในกระบวนการทบทวนตนเองนี้ เจ้าย่อมจะค้นพบปัญหาของเจ้าได้ทีละน้อย  ปัญหาของเจ้าจะผุดขึ้นมาที่พื้นผิวทีละนิดโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว แล้วจากนั้นเจ้าก็จะเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าอะไรคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  และด้วยรากฐานนี้ เจ้าย่อมจะรู้ได้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นไรและแก่นแท้ของเจ้าคืออะไร  ด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์การยอมรับทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสและทุกอย่างที่พระองค์ทรงเปิดเผย แล้วจากนั้นจึงจะดำเนินการค้นหาเส้นทางปฏิบัติที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้มนุษย์ภายในพระวจนะของพระองค์ ปฏิบัติและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์  นั่นคือความหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริง  แต่นั่นใช่วิธีการที่คนเช่นนี้น้อมรับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่—พวกเขาอาจแสร้งยอมรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ว่าพระวจนะของพระองค์ที่เปิดโปงมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนั้นเป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น แต่ถ้าเจ้าขอให้พวกเขาทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน พวกเขาก็จะทั้งไม่ยอมรับและไม่รับรู้ว่ามีอุปนิสัยดังกล่าว  พวกเขาเชื่อว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน  นี่เป็นเพราะพวกเขาคิดว่าตนเองเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีและดีพอ—คนที่เที่ยงธรรม คนที่มีเกียรติ  การเป็นคนเที่ยงธรรมหมายความว่าพวกเขามีความจริงกระนั้นหรือ?  การเป็นคนเที่ยงธรรมเป็นเพียงสิ่งที่สำแดงให้เห็นสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเราในเชิงบวกเท่านั้น ไม่ได้แสดงถึงความจริง  ดังนั้นเพียงเพราะเจ้ามีลักษณะอย่างหนึ่งของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ย่อมไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้รับความจริงแล้ว—และยิ่งไม่ได้หมายความว่าเจ้าเป็นคนที่พระเจ้าทรงรัก  ย่อมเป็นดังนี้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่แล้ว)  ผู้คนที่เรียกกันว่า “ผู้มีเกียรติ” เหล่านี้เชื่อว่าพวกเขาไม่มีอุปนิสัยอันโอหังและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง หรืออุปนิสัยที่เบื่อหน่ายความจริง ว่าพวกเขาไม่มีอุปนิสัยที่ชั่วและต่ำช้าอย่างแน่นอน  พวกเขานึกว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ไม่มีอยู่ในตัวพวกเขา เพราะพวกเขาคือคนที่มีเกียรติ พวกเขามีธรรมชาติอันเที่ยงธรรมและเมตตา พวกเขาถูกผู้อื่นรังแกตลอดเวลา และแม้พวกเขาจะมีขีดความสามารถที่อ่อนด้อยและไม่รู้ความ แต่พวกเขาก็ซื่อสัตย์  “ความซื่อสัตย์” นี้ไม่ใช่ความซื่อสัตย์ที่แท้จริง เป็นความไร้เล่ห์มารยา ความขลาดกลัว และความไม่รู้  ผู้คนเช่นนี้เบาปัญญาอย่างยิ่งไม่ใช่หรือ?  ทุกคนมองว่าพวกเขาเป็นคนดี  ทัศนะเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  คนที่ผู้คนเข้าใจว่าดีนี้มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือไม่?  คำตอบคือ “มี”—ย่อมเป็นเช่นนี้แน่นอน  ผู้คนที่ไร้เล่ห์มารยาไม่พูดปดหรอกหรือ?  พวกเขาไม่โกงคนอื่นหรืออำพรางตนเองเอาไว้หรอกหรือ?  พวกเขาไม่เห็นแก่ตัวหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ละโมบหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ปรารถนาตำแหน่งสูงๆ หรอกหรือ?  พวกเขาปลอดจากความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อกระนั้นหรือ?  แน่นอนว่าไม่  สาเหตุเดียวที่พวกเขาไม่ทำความชั่วก็คือพวกเขาไม่มีโอกาสที่เหมาะสม  และพวกเขาก็ภูมิใจในข้อนี้—พวกเขาสถาปนาตนเองเป็นผู้มีเกียรติและเชื่อว่าพวกเขาไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ดังนั้นถ้าใครสักคนจะชี้ให้เห็นอุปนิสัย สภาวะ หรือการพรั่งพรูอันเสื่อมทรามบางอย่างในตัวพวกเขา พวกเขาย่อมจะปฏิเสธว่า “ฉันไม่ได้ทำ!  ฉันไม่ใช่คนอย่างนั้น และฉันก็ไม่ได้ทำหรือคิดอะไรอย่างนั้น  พวกคุณเข้าใจฉันผิดแล้ว  พวกคุณทุกคนเห็นว่าฉันไร้เล่ห์มารยา ว่าฉันไม่รู้อะไร และขลาดกลัว พวกคุณก็เลยรังแกฉัน”  คิดอย่างไรกับผู้คนเช่นนี้ ใครบ้างที่จะกัดตอบแบบนี้?  ถ้าใครกล้ายั่วโมโหคนเช่นนี้ พวกเขาย่อมจะถูกคนเหล่านี้ไล่ล่าตลอดไป  พวกเขาจะต้องฟังคนเหล่านี้พูดไปอีกนาน จะไม่มีวันสลัดคนเหล่านี้หลุดได้ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดก็ตาม  ผู้คนที่ไร้เหตุผลและทำให้เดือดเนื้อร้อนใจอย่างไม่หยุดหย่อนเหล่านี้ยังคงคิดว่าพวกเขาคือผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าพวกเขาเป็นคนไร้เล่ห์มารยาที่ไม่รู้ความและปราศจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  พวกเขามักจะกล่าวด้วยซ้ำว่า “ฉันอาจไม่รู้ความ แต่ฉันก็ไร้เล่ห์มารยา—ฉันเป็นคนที่ซื่อสัตย์และพระเจ้าก็ทรงรักฉัน!”  สำหรับพวกเขาแล้ว เหล่านี้คือสิ่งที่มีไว้ให้ใช้เป็นต้นทุน  นี่ย่อมไร้ความละอายอยู่บ้างไม่ใช่หรือ?  เจ้ากล่าวว่าพระเจ้าทรงรักเจ้า  นั่นถูกต้องแล้วหรือ?  เจ้ามีเหตุผลรองรับการกล่าวเช่นนั้นหรือ?  เจ้ามีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กระนั้นหรือ?  พระเจ้าตรัสแล้วหรือว่าพระองค์จะทรงทำให้เจ้าเพียบพร้อม?  พระเจ้าทรงมีแผนการที่จะใช้งานเจ้ากระนั้นหรือ?  ถ้าพระเจ้าไม่ได้ตรัสสิ่งเหล่านี้แก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงรักเจ้า—เจ้ากล่าวได้แต่เพียงว่าพระองค์ทรงเวทนาเจ้า ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมแล้ว  ถ้าเจ้าบอกว่าพระเจ้าทรงรักเจ้า นั่นก็เป็นเพียงความเข้าใจส่วนตัวของเจ้าเท่านั้น ไม่ได้พิสูจน์ว่าพระเจ้ารักเจ้าจริง  พระเจ้าจะรักคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงกระนั้นหรือ?  พระเจ้าจะรักคนที่ขลาดกลัวและไม่รู้ความกระนั้นหรือ?  พระเจ้าทรงเวทนาผู้ที่ไม่รู้ความและผู้ที่ขลาดกลัว—เรื่องนั้นจริง  พระเจ้าทรงรักผู้ที่ซื่อสัตย์อย่างแท้จริง ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้ที่สามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระองค์ได้ ผู้ที่สามารถยกชูพระองค์และเป็นพยานยืนยันให้พระองค์ ผู้ที่คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์และรักพระองค์ได้ด้วยใจจริง  เฉพาะผู้ที่สามารถสละตนเองอย่างแท้จริงเพื่อพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างจงรักภักดีเท่านั้นที่ได้รับความรักจากพระเจ้า เฉพาะผู้ที่สามารถยอมรับความจริง รวมทั้งยอมรับการถูกตัดแต่งและจัดการได้เท่านั้นที่มีความรักของพระเจ้า  ผู้ที่ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับการตัดแต่งและจัดการ คือผู้ที่พระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธ  ถ้าเจ้าเบื่อหน่ายความจริงและต้านทานพระวจนะทั้งหมดที่พระเจ้าตรัส เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมจะเบื่อหน่ายเจ้าและเดียดฉันท์เจ้า  ถ้าเจ้าคิดอยู่เสมอว่าเจ้าเป็นคนดี เป็นคนเรียบง่ายที่ไร้เล่ห์มารยาและน่าเวทนา แต่กลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พระเจ้าจะทรงรักเจ้าหรือไม่?  นั่นเป็นไปไม่ได้ ในพระวจนะของพระองค์ก็ไม่มีหลักการรองรับเรื่องนั้น  พระเจ้าไม่ทรงดูว่าเจ้าไร้เล่ห์มารยาหรือไม่ และพระองค์ก็ไม่ใส่พระทัยว่าเจ้าเกิดมาพร้อมสภาวะความเป็นมนุษย์หรือขีดความสามารถแบบไหน—พระองค์ทรงดูว่าหลังจากที่ได้ฟังพระวจนะของพระองค์แล้ว เจ้ายอมรับพระวจนะหรือเพิกเฉย เจ้านบนอบต่อพระวจนะหรือต้านทาน  พระองค์ทรงดูว่าพระวจนะของพระองค์มีผลกับเจ้าและออกดอกออกผลในตัวเจ้าหรือไม่ ว่าเจ้าสามารถเป็นคำพยานอันแท้จริงให้แก่พระวจนะมากมายที่พระองค์ตรัสไปแล้วได้หรือไม่  หากท้ายที่สุดแล้วเจ้าสรุปประสบการณ์ของตนว่า “ฉันไร้เล่ห์มารยา ฉันขลาดกลัว ฉันถูกทุกคนที่ฉันพบเจอรังแกเอา  ทุกคนดูแคลนฉัน” เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะตรัสว่านี่ไม่ใช่คำพยาน  ถ้าเจ้าเสริมว่า “ฉันคือมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ความ ที่พระเจ้าตรัสถึง” พระเจ้าก็จะตรัสว่าตัวเจ้าเต็มไปด้วยคำเท็จ ไม่อาจพบถ้อยคำที่เป็นความจริงในปากของเจ้าได้เลยสักคำเดียว  เวลาที่พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เจ้าทำสิ่งต่างๆ ถ้าเจ้าไม่เพียงทำตามพระประสงค์ไม่ได้เลยเท่านั้น แต่ยังพยายามอ้างเหตุผลกับพระเจ้าและแก้ตัวว่า “ฉันทนทุกข์และยอมลำบากไปแล้ว และฉันรักพระเจ้า” นั่นย่อมจะฟังไม่ขึ้น  เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  คำพยานอันแท้จริงจากประสบการณ์ของเจ้าอยู่ที่ไหน?  ความรักที่เจ้ามีให้พระเจ้าสำแดงออกมาอย่างไร?  ถ้าเจ้าให้หลักฐานไม่ได้ ก็จะไม่มีใครปักใจเชื่อ  เจ้ากล่าวว่า “ฉันเป็นคนที่มีเกียรติและทำตัวดี  ฉันไม่ทำผิดประเวณี และในด้านการกระทำ ฉันก็ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทุกอย่าง  ฉันเป็นคนที่ประพฤติดี  ฉันไม่เที่ยวดื่ม ไม่เที่ยวโสเภณี และไม่เล่นการพนันไปทั่ว  ฉันไม่ก่อให้เกิดการหยุดชะงักหรือความไม่สงบในพระนิเวศของพระเจ้า หรือสร้างความร้าวฉาน  ฉันสู้ทนความทุกข์และทำงานหนัก  เหล่านี้คือเครื่องหมายว่าฉันไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่หรือ?  ฉันไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว”  และพระเจ้าก็จะตรัสว่า เจ้าแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าหรือยัง?  คำพยานของการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าอยู่ที่ไหน?  เจ้าสามารถได้รับความเห็นชอบและความเลื่อมใสจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่?  ถ้าเจ้าให้คำพยานจากประสบการณ์ไม่ได้เลย แต่เจ้ากลับกล่าวว่าเจ้าคือคนซื่อสัตย์ที่รักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนที่ล่อลวงผู้อื่นด้วยคำเท็จ—เจ้าคือมารซาตานที่ไร้เหตุผลตนหนึ่ง และเจ้าสมควรถูกสาปแช่ง  สิ่งที่เหลืออยู่สำหรับเจ้ามีแต่การถูกพระเจ้าตรัสกล่าวโทษและขับออกไปเท่านั้น

ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่นั้น บางคนมักจะกระทำการตามใจชอบและวู่วาม  พวกเขาไม่คงเส้นคงวาอย่างยิ่ง กล่าวคือ เวลาที่พวกเขามีความสุข พวกเขาก็ทำหน้าที่ของตนบ้าง และเมื่อพวกเขาไม่มีความสุข พวกเขาก็บูดบึ้งและกล่าวว่า “วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี  ฉันจะไม่กินอะไรและจะไม่ทำหน้าที่ของตนเอง”  จากนั้นผู้อื่นก็ต้องเจรจากับพวกเขา และกล่าวว่า “นั่นทำไม่ได้  คุณจะไม่อยู่กับร่องกับรอยขนาดนี้ไม่ได้”  แล้วคนเหล่านั้นจะตอบคำว่าอย่างไร?  “ฉันรู้ว่าทำไม่ได้ แต่ฉันโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยและมีสิทธิพิเศษ  ปู่ย่ากับป้าๆ ของฉันตามใจฉันกันทุกคน ส่วนพ่อแม่ของฉันนั้นยิ่งแล้วใหญ่  ฉันคือขวัญใจของพวกเขา เป็นแก้วตาดวงใจของพวกเขา พวกเขายอมฉันทุกอย่างและตามใจฉัน  การเลี้ยงดูแบบนั้นทำให้ฉันมีภาวะอารมณ์ที่แปรปรวนอย่างนี้ ดังนั้นเวลาฉันปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันจึงไม่หารือเรื่องต่างๆ กับคนอื่น หรือแสวงหาความจริง หรือนบนอบพระเจ้า  ฉันผิดหรือในเรื่องนี้?”  ความเข้าใจของพวกเขาถูกต้องหรือไม่?  ท่าทีของพวกเขาใช่ท่าทีของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เมื่อใดก็ตามที่มีคนหยิบยกข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขาขึ้นมา เช่น การที่พวกเขาตักอาหารชิ้นที่ดีที่สุดในมื้อ และสนใจแต่ตนเองเท่านั้น ไม่นึกถึงผู้อื่น พวกเขาก็จะกล่าวว่า “ฉันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ฉันเคยชินอย่างนี้  ฉันไม่เคยคิดถึงคนอื่นอยู่แล้ว  ชีวิตของฉันมีสิทธิพิเศษอยู่เสมอ มีพ่อแม่ที่ชื่นชูฉัน และปู่ย่าที่รักและเอ็นดูฉัน  ฉันเป็นแก้วตาดวงใจของคนทั้งครอบครัว”  นี่คือคำพูดคำจาที่เหลวไหลและเป็นเหตุผลวิบัติเสียมาก  นี่ไร้ความละอายและหน้าหนาอยู่บ้างไม่ใช่หรือ?  พ่อแม่ของเจ้ารักและเอ็นดูเจ้า—นั่นหมายความว่าคนที่เหลือต้องทำอย่างนั้นด้วยหรือ?  ญาติพี่น้องของเจ้าชื่นชูเจ้าและเอาใจเจ้า—นั่นเป็นเหตุผลให้เจ้ากระทำการวู่วามและเอาแต่ใจในพระนิเวศของพระเจ้ากระนั้นหรือ?  นั่นเป็นเหตุผลที่ใช้การได้หรือไม่?  นี่คือท่าทีอันถูกต้องที่ควรมีต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ากระนั้นหรือ?  นี่ใช่ท่าทีของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เมื่อสิ่งใดก็ตามบังเกิดแก่ผู้คนเหล่านี้ เมื่อพวกเขามีปัญหาอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาหรือชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็แสวงหาเหตุผลที่อิงข้อเท็จจริงมาตอบ มาอธิบาย และสร้างความชอบธรรมให้สิ่งเหล่านั้น  พวกเขาไม่เคยแสวงหาความจริงหรืออธิษฐานถึงพระเจ้า และไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนตนเอง  เมื่อไม่ทบทวนตนเอง คนเราจะรู้ปัญหาของตนและรู้จักความเสื่อมทรามของตนได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วเมื่อไม่รู้จักความเสื่อมทรามของตน พวกเขาจะกลับใจได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้าใครบางคนกลับใจไม่ได้ พวกเขาย่อมจะใช้ชีวิตอยู่ในภาวะเช่นใดตลอดเวลา?  ย่อมจะเป็นภาวะของการอภัยให้ตนเองไม่ใช่หรือ?  เป็นภาวะของการรู้สึกว่าแม้พวกเขาจะพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมา แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำความชั่วหรือละเมิดกฤษฎีกาบริหาร—ว่าแม้การทำเช่นนี้จะไม่สอดคล้องกับหลักธรรมของความจริง แต่นี่ก็ไม่ได้เจตนาและย่อมยกโทษให้ได้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ถ้าเช่นนั้น นั่นใช่ภาวะที่ผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงควรมีหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้าใครบางคนไม่เคยกลับใจอย่างแท้จริงและใช้ชีวิตอยู่ในภาวะเช่นนี้เสมอ พวกเขาจะกลับตัวได้หรือไม่?  ไม่ได้ พวกเขาจะไม่มีวันทำได้  และถ้าคนคนหนึ่งไม่กลับตัว พวกเขาก็จะไม่สามารถปล่อยมือจากความชั่วของตนได้  การไม่สามารถปล่อยมือจากความชั่วของคนเราได้อย่างแท้จริงหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าคนเราจะไม่สามารถปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้อย่างแท้จริง  นั่นคือผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน  ถ้าเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากความชั่วของเจ้าหรือปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง เช่นนั้นแล้ว ถ้าเจ้าปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยเกี่ยวกับตัวเจ้า มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระเจ้า ให้พระเจ้าอภัยโทษแก่การฝ่าฝืนทั้งหลายของเจ้า และแก้ไขความเสื่อมทรามของตน นั่นจะเป็นไปได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้านั่นเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นแล้วการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าจะให้ผลเป็นความรอดแก่เจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้าคนคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในภาวะที่ให้อภัยตนเองและเลื่อมใสตัวเอง พวกเขาก็ห่างไกลจากการไล่ตามเสาะหาความจริงมากนัก  สิ่งที่พวกเขาสาละวนทำ มองดู รับฟัง และวิ่งเต้นทำ อาจจะค่อนข้างสัมพันธ์กับการเชื่อในพระเจ้า แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาหรือปฏิบัติความจริง  ผลลัพธ์เช่นนี้เห็นได้ชัดเจน  และในเมื่อสิ่งเหล่านั้นไม่สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาหรือปฏิบัติความจริง คนคนนั้นย่อมจะไม่ทบทวนตนเอง และจะไม่มีการรู้จักตนเอง  พวกเขาจะไม่รู้ว่าตนเองถูกทำให้เสื่อมทรามไปถึงขั้นไหนแล้ว และจะไม่รู้วิธีกลับใจ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้น้อยลงไปอีกที่พวกเขาจะสัมฤทธิ์การกลับใจอย่างแท้จริงหรือทำให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยในเรื่องของพวกเขา  ถ้าเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในภาวะเช่นนี้และอยากให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยเกี่ยวกับตัวเจ้า อภัยโทษ หรือเห็นชอบในตัวเจ้า นั่นย่อมจะยากโดยแท้  คำว่า “เห็นชอบ” ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพระเจ้าทรงยอมรับสิ่งที่เจ้าทำ เห็นชอบในสิ่งนั้น และทรงจดจำเอาไว้  ถ้าเจ้าไม่สามารถได้รับอะไรจากสิ่งเหล่านี้ นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริงในสิ่งที่เจ้าทำ ในความพยายามของเจ้า ในพฤติกรรมและการพรั่งพรูของเจ้า  ไม่สำคัญว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ต่อให้เจ้าประพฤติดีได้บ้าง พฤติกรรมเหล่านี้ก็เพียงแสดงให้เห็นว่าพอจะมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้างในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าเท่านั้น  แต่พฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ก็ไม่ได้แสดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง เพราะว่าจุดเริ่มต้น เจตนา และแรงจูงใจของเจ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  มีเหตุผลอะไรถึงกล่าวเช่นนี้?  เหตุผลก็คือว่าความคิด การกระทำ หรือความประพฤติของเจ้าไม่มีอะไรที่เป็นไปเพื่อการไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง  ถ้าทุกสิ่งที่คนเราทำไม่ได้เป็นไปเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบและการยอมรับจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำจะสามารถได้รับความเห็นชอบหรือการยอมรับจากพระเจ้า และเห็นได้ชัดว่าสามารถเรียกพฤติกรรมและการปฏิบัติเหล่านี้ได้แต่เพียงว่าเป็นพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์เท่านั้น  ไม่ใช่เครื่องหมายว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริง และไม่ใช่เครื่องหมายว่าพวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่ไม่คงเส้นคงวา มักจะประพฤติตนวู่วามและเอาแต่ใจนั้น ย่อมไม่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่ยอมรับการถูกตัดแต่งและจัดการ  พวกเขามักจะมีข้อแก้ตัวให้กับการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงของตน รวมทั้งการที่ตนไม่สามารถยอมรับการถูกตัดแต่งและถูกจัดการ  นั่นเป็นอุปนิสัยเช่นใด?  เห็นได้ชัดว่าเป็นอุปนิสัยที่เบื่อหน่ายความจริง—อุปนิสัยของซาตาน  มนุษย์มีธรรมชาติและอุปนิสัยของซาตานอยู่ ดังนั้นผู้คนจึงเป็นของซาตานอย่างไม่ต้องสงสัย  พวกเขาคือมาร ลูกหลานของซาตาน และเลือดเนื้อเชื้อไขของพญานาคใหญ่สีแดง  บางคนสามารถยอมรับว่าตนคือมาร เป็นเหล่าซาตาน และเลือดเนื้อเชื้อไขของพญานาคใหญ่สีแดง และพูดถึงการที่พวกเขารู้จักตนเองอย่างน่าฟังมาก  แต่เมื่อพวกเขาเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แล้วมีใครบางคนเปิดโปงพวกเขา จัดการพวกเขา และตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็จะพยายามอย่างสุดกำลังที่จะสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและจะไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด  อะไรคือปัญหาในที่นี้?  ในการนี้ ผู้คนเหล่านี้ถูกเปิดโปงอย่างหมดเปลือก  พวกเขาพูดจาชวนฟังเหลือเกินเวลาที่พวกเขาพูดถึงการรู้จักตัวพวกเขาเอง ดังนั้นทำไมเวลาเผชิญการถูกตัดแต่งและถูกจัดการ พวกเขาถึงยอมรับความจริงไม่ได้?  มีปัญหาที่ตรงนี้  เรื่องแบบนี้ทำกันเป็นปกติมากไม่ใช่หรือ?  นี่ดูออกง่ายหรือไม่?  อันที่จริงดูออกง่าย  มีผู้คนไม่น้อยที่ยอมรับว่าตนคือมารและเป็นเหล่าซาตานเวลาที่พวกเขาพูดถึงการรู้จักตนเอง แต่ก็ไม่กลับใจหรือเปลี่ยนแปลงในภายหลัง  ดังนั้นการรู้จักตนเองที่พวกเขาพูดถึงย่อมแท้จริงหรือเทียมเท็จ?  พวกเขามีการรู้จักตนเองจริงหรือไม่ หรือว่านั่นเป็นเพียงกลโกงที่หมายจะลวงคนอื่น?  คำตอบย่อมชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น การดูว่าคนคนหนึ่งรู้จักตนเองจริงหรือไม่ เจ้าจึงไม่ควรเอาแต่ฟังพวกเขาพูดคุยถึงเรื่องนั้น—เจ้าควรดูท่าทีที่พวกเขามีต่อการถูกตัดแต่งและจัดการ และดูว่าพวกเขายอมรับความจริงได้หรือไม่  นั่นคือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด  ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับการถูกตัดแต่งและจัดการย่อมมีแก่นแท้ที่ไม่ยอมรับความจริง ปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง และอุปนิสัยของพวกเขาก็เบื่อหน่ายความจริง  นั่นไม่ต้องสงสัยเลย  บางคนไม่ยินยอมให้คนอื่นจัดการพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะเผยให้เห็นความเสื่อมทรามมากมายเพียงใดแล้วก็ตาม—ไม่มีใครสามารถตัดแต่งหรือจัดการพวกเขาได้  พวกเขาอาจพูดถึงการรู้จักตัวพวกเขาเองในหนทางใดก็ได้ตามชอบ แต่ถ้ามีใครอื่นเปิดโปงพวกเขา วิจารณ์ หรือจัดการพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นกลางหรือสอดคล้องกับข้อเท็จจริงเพียงใด พวกเขาก็จะไม่ยอมรับ  ไม่ว่าอีกคนหนึ่งจะเปิดโปงการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นใดในตัวพวกเขาออกมา พวกเขาก็จะต่อต้านอย่างที่สุดและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองด้วยคำอธิบายที่ลวงโลกอยู่ร่ำไป ไม่มีความนบนอบอันแท้จริงแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ  ถ้าผู้คนเช่นนี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ก็ย่อมจะมีปัญหา  ในคริสตจักร พวกเขาทั้งแตะต้องไม่ได้และตำหนิติเตียนไม่ได้  เวลาผู้คนพูดเรื่องดีๆ เกี่ยวกับพวกเขา นั่นย่อมจะทำให้พวกเขามีความสุข พอผู้คนชี้ให้เห็นสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับพวกเขา พวกเขาก็จะโกรธ  ถ้าใครสักคนเปิดโปงพวกเขาและบอกว่า “คุณเป็นคนดี แต่คุณไม่อยู่กับร่องกับรอยเอามากๆ  คุณทำอะไรตามใจชอบและวู่วามเสมอ  คุณจำเป็นต้องยอมรับการถูกตัดแต่งและจัดการ  จะดีกว่าไหมถ้าคุณขจัดข้อบกพร่องและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้?” ซึ่งพวกเขาก็จะตอบว่า “ฉันยังไม่ได้ทำอะไรที่ชั่ว  ฉันไม่ได้ทำบาป  ทำไมคุณถึงมาจัดการฉัน?  ฉันได้รับความรักความเอ็นดูจากทั้งพ่อแม่และปู่ย่าที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก  เป็นขวัญใจของพวกเขา เป็นแก้วตาดวงใจของพวกเขา  ตอนนี้พอมาอยู่ที่พระนิเวศของพระเจ้านี่ กลับไม่มีใครรักและเอ็นดูฉันเลย—การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่สนุก!  พวกคุณจับผิดฉันอยู่เสมอไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง พยายามที่จะจัดการฉัน  ฉันควรต้องใช้ชีวิตแบบนี้อย่างไร?”  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  คนที่มีสายตาคมชัดย่อมจะบอกได้ทันทีว่าผู้คนเหล่านี้ถูกพ่อแม่และครอบครัวตามใจมาตลอด ว่าแม้กระทั่งบัดนี้พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรประพฤติตนหรือใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาตนเองอย่างไร  ครอบครัวของเจ้ารักและเอ็นดูเจ้าประหนึ่งคนดังในดวงใจ และเจ้าก็ไม่รู้จักที่ทางของตนในจักรวาล  เจ้าพัฒนานิสัยชั่วช้าอันโอหัง คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างที่สุด ซึ่งเจ้าไม่รู้ตัวว่ามีและไม่รู้ว่าจะทบทวนนิสัยเหล่านั้นอย่างไร  เจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่กลับไม่ฟังพระวจนะของพระองค์หรือปฏิบัติความจริง  ด้วยการเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้า เจ้าจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่?  เจ้าจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงหรือไม่?  เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนอันแท้จริงของมนุษย์หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่สามารถ  ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า อย่างน้อยเจ้าต้องยอมรับความจริงและรู้จักตนเอง  เช่นนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้  ถ้าเจ้าพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนอยู่เสมอในความเชื่อของเจ้า ถ้าเจ้าแสวงหาแต่สันติและความสุขเท่านั้น แทนที่จะแสวงหาความจริง ถ้าเจ้าไม่สามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง และไม่มีความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้ว การที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าก็ไร้ความหมาย  ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องเข้าใจความจริง  เจ้าต้องพยายามรู้จักตัวเจ้าเอง  เจ้าต้องแสวงหาความจริงไม่ว่าอะไรจะบังเกิดแก่เจ้าก็ตาม และเจ้าต้องแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดๆ ก็ตามที่พรั่งพรูออกมาจากตัวเจ้าโดยสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า  ถ้าใครบางคนชี้ให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า หรือเจ้าริเริ่มตรวจสอบอุปนิสัยดังกล่าวด้วยตัวเจ้าเอง ถ้าเจ้าสามารถยกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมาเทียบเคียงกับพระวจนะของพระเจ้า ทบทวนดูสภาวะภายในของตนเอง ตรวจสอบ และรู้จักตัวเจ้าเอง จากนั้นก็ดำเนินการแก้ไขปัญหาของเจ้าและกลับใจ เจ้าย่อมจะใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ได้  ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต้องยอมรับความจริง  ถ้าเจ้าชอบใจความรู้สึกที่ได้รับความรักความเอ็นดูจากครอบครัวของเจ้าอยู่เสมอ พอใจกับการเป็นแก้วตาดวงใจของพวกเขา เป็นขวัญใจของพวกเขาอยู่เสมอ เจ้าจะสามารถได้รับอะไร?  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นแก้วตาดวงใจและขวัญใจของครอบครัวของเจ้าเพียงใด ถ้าไม่มีความเป็นจริงของความจริง เจ้าก็เป็นขยะ  การเชื่อในพระเจ้ามีคุณค่าเฉพาะเมื่อเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง เจ้าจะรู้วิธีประพฤติตน และเจ้าจะรู้วิธีใช้ชีวิตเพื่อที่จะมีประสบการณ์กับความสุขอันแท้จริงและเป็นคนที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย  ไม่มีสภาพแวดล้อมในครอบครัวและจุดแข็ง ข้อดี หรือพรสวรรค์ส่วนตนใดๆ ที่จะแทนที่ความเป็นจริงของความจริงได้ และไม่ควรมีอะไรเช่นนั้นให้เจ้าใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  การได้รับความจริงเป็นสิ่งเดียวที่จะสามารถนำความสุขอันแท้จริงมาสู่ผู้คน เปิดโอกาสให้พวกเขาดำรงชีวิตที่มีนัยสำคัญ และมอบบั้นปลายอันงดงามให้แก่พวกเขา  เหล่านี้คือข้อเท็จจริงของเรื่อง

หลังจากที่ได้เป็นผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรแล้ว บางคนเชื่อว่าตนคือดาวรุ่ง คิดไปว่าในที่สุดตนก็มีโอกาสเฉิดฉาย  พวกเขารู้สึกดีกับตัวเองและเริ่มใช้จุดแข็งของตน พวกเขาปล่อยให้ความทะเยอทะยานของตนโลดแล่นเป็นอิสระและแสดงความสามารถของตนออกมาอย่างเต็มที่  ผู้คนเหล่านี้มีฐานะและมีการศึกษา มีทักษะด้านการจัดการ มีลักษณะและท่าทางเป็นผู้นำ  พวกเขาเป็นคนเก่งในชั้นเรียนและเป็นนายกสโมสรนักศึกษาของคณะ เป็นผู้จัดการหรือประธานบริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่ และเมื่อพวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าและมาที่พระนิเวศของพระองค์ พวกเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดในใจว่า “สวรรค์ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง  การที่ใครสักคนที่มีความสามารถอย่างฉันจะได้อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวนั้นย่อมจะยาก  ทันทีที่ฉันลงจากตำแหน่งประธานบริษัท ฉันก็มาที่พระนิเวศของพระเจ้าและมีบทบาทเป็นผู้นำ  ต่อให้พยายาม ฉันก็เป็นคนธรรมดาไม่ได้  นี่คือการที่พระเจ้าทรงยกชูฉันขึ้นมา นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงจัดแจงเตรียมไว้ให้ฉันทำ ดังนั้นฉันก็จะนบนอบ”  พอเป็นผู้นำแล้ว พวกเขาก็นำเอาประสบการณ์ ความรู้ ทักษะในการจัดการ และรูปแบบการเป็นผู้นำของตนมาใช้  พวกเขาคิดว่าตนเองแกร่งกล้าและสามารถ เป็นคนที่เก่งกาจและมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง  เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงน่าเสียดายที่มีปัญหาตรงจุดนี้  ผู้นำที่เก่งกาจ มีพรสวรรค์ และเกิดมาพร้อมความสามารถในการเป็นผู้นำเหล่านี้—พวกเขาทำอะไรเก่งที่สุดในคริสตจักร?  ตั้งอาณาจักรอิสระ ยึดอำนาจทั้งหมดมาเป็นของตนเอง และครอบงำการหารือทั้งหลาย  หลังจากเป็นผู้นำ พวกเขาก็เอาแต่ทำงาน วิ่งวุ่นไปทั่ว ประสบความทุกข์ยาก และจ่ายราคาเพื่อเกียรติยศและสถานะของตน  พวกเขาไม่ใส่ใจอะไรอีก  พวกเขาเชื่อว่างานและความวุ่นอยู่กับงานของพวกเขานั้นเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ว่าพวกเขาไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ว่าคริสตจักรต้องการพวกเขาอยู่เสมอ และพี่น้องชายหญิงก็ต้องการพวกเขาเช่นกัน  พวกเขาเชื่อว่าหากไม่มีพวกเขาก็จะทำงานใดๆ ไม่สำเร็จ ว่าพวกเขาสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตนเองและผูกขาดอำนาจเอาไว้  แล้วพวกเขาก็มีหนทางอันยอดเยี่ยมในการตั้งอาณาจักรอิสระของตน  พวกเขาสามารถทำสิ่งที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์ พวกเขามีทักษะพิเศษในการทำตัวเหมือนขุนนางและวางโต รวมทั้งถนัดในการอบรมสั่งสอนผู้อื่นจากตำแหน่งอันสูงส่ง  มีสิ่งสำคัญอยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่พวกเขาทำไม่ได้คือ หลังการเป็นผู้นำ พวกเขาไม่อาจพูดกับผู้อื่นจากหัวใจ ไม่อาจรู้จักตนเอง ไม่อาจสังเกตเห็นความเสื่อมทรามของตน หรือรับฟังข้อเสนอแนะจากพี่น้องชายหญิงได้อีกต่อไป  ถ้าใครบางคนหยิบยกแนวคิดบางอย่างที่แตกต่างออกไปขึ้นมาในระหว่างที่หารือเรื่องงาน ไม่เพียงผู้นำเหล่านี้จะปฏิเสธแนวคิดดังกล่าวเท่านั้น—พวกเขายังจะสร้างความชอบธรรมให้กับการทำเช่นนั้นโดยกล่าวว่า “พวกคุณไม่ได้ตรึกตรองข้อเสนอนั้นอย่างละเอียด  ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร—ถ้าฉันทำอย่างที่พวกคุณพูดและไม่มีอะไรผิดพลาด นั่นก็ดีไป แต่ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ความรับผิดชอบก็จะตกอยู่กับฉันคนเดียว  ดังนั้นโดยมากแล้วพวกคุณแสดงความคิดเห็นได้—พวกเราสามารถทำตามขั้นตอนเช่นนั้น—แต่ท้ายที่สุดแล้วคนที่เลือกและตัดสินใจว่าควรทำอย่างไรต้องเป็นฉันเท่านั้น”  นานเข้า พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ก็เลิกมีส่วนร่วมในการหารือหรือสามัคคีธรรมเกี่ยวกับงาน แล้วผู้นำเหล่านี้ก็จะไม่สนใจสามัคคีธรรมกับพี่น้องถึงปัญหาใดๆ ในงาน  พวกเขาจะตัดสินใจเรื่องต่างๆ และวิพากษ์วิจารณ์ต่อไปโดยไม่พูดกับใครสักคำ แล้วพวกเขาก็จะยังคงเต็มไปด้วยเหตุผลที่สร้างความชอบธรรมให้ตนเอง  พวกเขาเชื่อว่า “คริสตจักรก็คือคริสตจักรของผู้นำ ผู้นำวางแนวทาง  ผู้นำคือคนที่ชี้ขาดว่าพี่น้องชายหญิงจะเดินไปในทิศทางใดและจะเดินบนเส้นทางใด”  แน่นอนว่าจากนั้นผู้นำเหล่านี้ย่อมควบคุมการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง เส้นทางที่พี่น้องเดิน และทิศทางในการไล่ตามเสาะหาของพี่น้อง  ทันทีที่ผู้นำเหล่านี้ได้รับแต่งตั้งเป็น “กัปตัน” พวกเขาก็ผูกขาดอำนาจและตั้งอาณาจักรอิสระขึ้นมา  ไม่มีความโปร่งใสในการกระทำของพวกเขา และโดยไม่ทันรู้ตัว พวกเขาก็กำราบผู้คนบางส่วน และผลักไสพี่น้องชายหญิงบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถเข้าใจความจริงได้  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ยังคงคิดว่าในการทำเช่นนั้น พวกเขากำลังปกป้องงานของคริสตจักรและผลประโยชน์ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พวกเขาทำทุกสิ่งโดยอ้างเหตุผลอันแน่ชัดเช่นนั้น ด้วยเหตุผลที่สร้างความชอบธรรมและข้ออ้างมากมายเช่นนั้น—แล้วท้ายที่สุดเป็นอย่างไร?  ทุกสิ่งที่พวกเขาทำเป็นไปเพื่อปกป้องสถานะและการผูกขาดอำนาจของพวกเขา  พวกเขานำเอาหลักการ หนทาง และวิธีประพฤติตนในสังคมทางโลกและชีวิตครอบครัวเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า และคิดไปว่าในการทำเช่นนั้น พวกเขากำลังปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศ  กระนั้นพวกเขาก็ไม่เคยรู้ตัวหรือทบทวนตนเอง  ต่อให้ใครบางคนชี้ให้เห็นว่าพวกเขากำลังละเมิดหลักธรรมของความจริง ต่อให้พวกเขาได้พบกับความรู้แจ้ง การบ่มวินัย และการสั่งสอนจากพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่ตระหนักรู้สิ่งเหล่านั้น  ปัญหาอยู่ตรงไหน?  จากวันที่พวกเขารับตำแหน่งผู้นำ พวกเขาก็ทำเหมือนว่าหน้าที่ของพวกเขาคืออาชีพการงาน และนี่เองที่ทำให้พวกเขาเดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ นี่ย่อมรับประกันว่าพวกเขาจะไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริง  ถึงกระนั้นพวกเขาก็เชื่อว่าบนเส้นทางของ “อาชีพการงาน” นี้ ทุกสิ่งที่พวกเขาทำคือการไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขามองการไล่ตามเสาะหาความจริงว่าอย่างไร?  พวกเขาปกป้องสถานะและอำนาจสั่งการของตนเองโดยอำพรางว่าเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของพี่น้องชายหญิงและพระนิเวศของพระเจ้า แล้วพวกเขาก็เชื่อว่านี่แสดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริงของตน  พวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่สำแดงและพรั่งพรูออกมาจากตัวพวกเขาระหว่างที่พวกเขาอยู่ในตำแหน่งนี้  ต่อให้พวกเขามีสำนึกรางๆ ในบางครั้งว่านี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม ว่าพระเจ้าทรงชังสิ่งนี้ ว่านี่คืออุปนิสัยอันชั่วช้าและดื้อแพ่ง พวกเขาก็รีบเปลี่ยนใจพลางคิดว่า “จะคิดอย่างนั้นไม่ได้  ฉันเป็นผู้นำ และฉันจำเป็นต้องมีศักดิ์ศรีของผู้นำ  ฉันจะให้พี่น้องชายหญิงเห็นฉันพรั่งพรูอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมาไม่ได้”  ด้วยเหตุนั้น แม้พวกเขาจะตระหนักว่าพวกเขาพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมามากมาย ว่าพวกเขาได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ขัดกับหลักธรรมเพื่อปกป้องสถานะและอำนาจของตน แต่เมื่อใครบางคนเปิดโปงพวกเขา พวกเขากลับหันไปใช้เหตุผลวิบัติหรือพยายามปิดกั้นการเปิดโปงนั้น เพื่อไม่ให้ใครอื่นล่วงรู้  ทันทีที่พวกเขามีอำนาจสั่งการและสถานะ พวกเขาก็วางตนไว้ในตำแหน่งอันเป็นที่เคารพสักการะซึ่งจะละเมิดมิได้ นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่ ถูกต้อง อยู่เหนือคำติเตียน และอยู่เหนือข้อสงสัย  และเมื่อได้ครองตำแหน่งดังกล่าวแล้ว พวกเขาก็ต้านทานและปฏิเสธเสียงที่เห็นต่าง ข้อเสนอแนะ หรือคำแนะนำที่สามารถเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงและต่องานของคริสตจักรเหมือนกันหมด  พวกเขาใช้ข้ออ้างอะไรในการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  พวกเขากล่าวว่า “ฉันมีสถานะ ฉันเป็นคนมีตำแหน่ง—นั่นหมายความว่าฉันมีศักดิ์ศรี เป็นที่เคารพสักการะซึ่งจะละเมิดมิได้”  เมื่ออ้างเหตุผลและแก้ตัวเช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาทำไม่ได้  พวกเขาพูดจาและกระทำการจากฐานะอันสูงส่งของตนอยู่เสมอ พลางสุขสำราญกับเครื่องประดับสถานะของตน  ด้วยการทำเช่นนี้ พวกเขาจึงประคองตัวอยู่เหนือกองไฟ และทำให้มีความจำเป็นต้องเปิดโปงพวกเขา  ผู้คนเช่นนี้น่าเวทนาไม่ใช่หรือ?  พวกเขาน่าเวทนาและน่ารังเกียจ ทั้งยังน่าชิงชังอีกด้วย—พวกเขาน่าขยะแขยง!  ในฐานะผู้นำ พวกเขาปรุงแต่งให้ตนเองมีภาพลักษณ์ของธรรมิกชน  ธรรมิกชน คนที่ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร และถูกต้อง—คำเรียกเหล่านี้คืออะไร? คือโซ่ตรวน และใครก็ตามที่ล่ามตนเองไว้กับโซ่ตรวนเหล่านี้ย่อมจะไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้อีกต่อไป  ถ้าใครบางคนใส่โซ่ตรวนเหล่านี้เอาไว้ นั่นย่อมหมายความว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับการไล่ตามเสาะหาความจริงอีกต่อไป  สาเหตุหลักของการที่ผู้คนเหล่านี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  อันที่จริงสาเหตุก็คือว่าพวกเขาถูกสถานะควบคุมเอาไว้แล้ว  พวกเขาคิดในใจอยู่เสมอว่า “ฉันคือผู้นำ  ฉันกำกับดูแลที่นี่  ฉันคือผู้มีตำแหน่งและสถานะ  ฉันคือคนที่มีศักดิ์ศรี  ฉันจะมีอุปนิสัยที่โอหังหรือชั่วไม่ได้  ฉันจะเปิดใจและสามัคคีธรรมถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไม่ได้—ฉันต้องปกป้องศักดิ์ศรีและเกียรติยศของตนเอง  ฉันต้องทำให้ผู้คนยกย่องนับถือและเทิดทูนฉัน”  พวกเขาถูกสิ่งเหล่านี้ควบคุมตลอดเวลา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเปิดใจหรือทบทวนและรู้จักตนเอง  พวกเขาถูกสิ่งเหล่านี้ทำลายจนย่อยยับ  ทัศนะและชุดความคิดของพวกเขาสอดคล้องกับความจริงหรือไม่?  ชัดเจนทีเดียวว่าไม่สอดคล้อง  พฤติกรรมที่พวกเขามักจะแสดงออกมาในหน้าที่ของตน—ความโอหังและการคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ การตั้งตนเป็นกฎเสียเอง การเสแสร้ง การใช้เล่ห์เหลี่ยม และอื่นๆ—การกระทำเหล่านี้ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ชัดเจนทีเดียวว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง  แล้วพวกเขาอ้างเหตุผลหรือการสร้างความชอบธรรมอันใดสำหรับการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  (พวกเขาเชื่อว่าผู้นำคือคนที่มีสถานะและศักดิ์ศรี ว่าต่อให้พวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ก็ไม่อาจเปิดโปงอุปนิสัยนั้นๆ ได้)  นี่เป็นมุมมองที่ไร้สาระไม่ใช่หรือ?  ถ้าคนคนหนึ่งยอมรับว่ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่ไม่ยินยอมให้เปิดโปงออกมา พวกเขาใช่คนที่ยอมรับความจริงหรือไม่?  ในฐานะผู้นำ ถ้าเจ้ายอมรับความจริงไม่ได้ เจ้าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร?  จะชำระความเสื่อมทรามของเจ้าให้สะอาดได้อย่างไร?  แล้วถ้าชำระความเสื่อมทรามของเจ้าให้สะอาดไม่ได้ และเจ้ายังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าต่อไป เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือผู้นำที่ไม่สามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง—เจ้าคือผู้นำเทียมเท็จ  ในฐานะผู้นำ เจ้าย่อมมีสถานะ แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องของการมีงานที่ต่างออกไป มีหน้าที่ที่แตกต่างกันเท่านั้น—ไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้กลายเป็นผู้ที่มีตำแหน่ง  เจ้าไม่ได้มีศักดิ์ศรีมากกว่าคนอื่นหรือกลายเป็นผู้มีตำแหน่งอันสำคัญเพราะว่าเจ้าได้รับสถานะนี้และปฏิบัติหน้าที่ที่ต่างออกไป  ถ้ามีคนที่คิดเช่นนี้จริง พวกเขาก็ไร้ความละอายไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้ากล่าวให้เป็นภาษาพูดกว่านี้เรียกว่าอย่างไร?  พวกเขาใจกล้าหน้าด้านใช่หรือไม่?  เวลาที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้นำ พวกเขาก็ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างจริงใจ พวกเขาสามารถเปิดใจเกี่ยวกับการพรั่งพรูความเสื่อมทรามของตนและวิเคราะห์อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้  พอพวกเขารับตำแหน่งเป็นผู้นำ พวกเขาก็กลายเป็นอีกคนอย่างสิ้นเชิง  ทำไมเราจึงกล่าวว่าพวกเขากลายเป็นอีกคน?  เพราะพวกเขาสวมหน้ากาก แล้วตัวคนจริงๆ ก็อยู่หลังหน้ากากนั่น  หน้ากากไม่มีการแสดงออกแต่อย่างใด ไม่มีการร้องไห้ ไม่มีการหัวเราะ ไม่มีความพอใจหรือความโกรธ ไม่มีความเศร้าหรือความชื่นบาน ไม่มีอารมณ์และความต้องการ—และแน่นอนว่าไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  การแสดงออกและภาวะของหน้ากากเหมือนเดิมตลอดเวลา ขณะที่สภาวะอันแท้จริง ความคิดอ่านและแนวคิดส่วนตัวทั้งปวงของผู้นำซ่อนเร้นอยู่หลังหน้ากาก ที่ซึ่งไม่มีใครสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้น  มีผู้นำและคนทำงานบางคนที่คิดอยู่เสมอว่าตนมีตำแหน่งและสถานะ  ถ้ามีใครจะตัดแต่งและจัดการพวกเขา พวกเขาก็หวาดกลัวว่าตนจะเสียศักดิ์ศรี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมรับความจริง  พวกเขาเรียนรู้จากสถานะและอำนาจของตนในอันที่จะพูดจาหวานหู กล่าวคำเท็จ และปกปิดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็เชื่ออย่างผิดๆ ว่าพวกเขาโดดเด่นและบริสุทธิ์กว่าคนอื่นเพราะสถานะของพวกเขา ว่าด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริง—ว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องที่คนอื่นเขาทำกัน  การคิดเช่นนี้ผิด ออกจะไร้ความละอายและไร้สำนึก  คนแบบนี้ประพฤติตนเช่นนี้เอง  จากแก่นแท้แห่งพฤติกรรมของผู้คนดังกล่าวย่อมเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  แต่พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าสถานะและเกียรติยศ  ยามที่พวกเขาทำงาน พวกเขาก็ปกป้องสถานะและอำนาจของตน หลอกตนเองให้คิดไปว่าพวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาเป็นเหมือนเปาโลไม่มีผิด มักจะทำบันทึกอยู่เนืองๆ สรุปงานที่ตนได้ทำลงไปและหน้าที่ที่ตนได้ปฏิบัติ กิจที่ตนจัดการเวลาทำงานของคริสตจักร และผลสัมฤทธิ์ที่ตนเองทำได้ระหว่างที่ทำงานของพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขามักจะลงบัญชีสิ่งเหล่านี้อยู่เนืองๆ เหมือนที่เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (ทิโมธี 4:7-8)  ตามที่กล่าวมานี้ เขาหมายความว่าหลังจากวิ่งแข่งจนครบถ้วนและต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ก็ถึงเวลาที่จะคำนวณว่าเขามีโอกาสในความรอดมากเพียงใด คุณงามความดีของเขามีมากขนาดไหน และรางวัลของเขาจะมีมากเท่าใด ถึงเวลาขอให้พระเจ้าปูนบำเหน็จให้แก่คุณงามความดีของเขาแล้ว  เขาหมายความว่าถ้าพระเจ้าไม่ประทานมงกุฎเป็นรางวัลแก่เขา เขาก็จะไม่คิดว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม เขาจะไม่ยอมนบนอบและจะถึงกับพร่ำบ่นความไม่ชอบธรรมของพระเจ้า  คนเช่นนี้ที่มีชุดความคิดและอุปนิสัยแบบนี้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริงกระนั้นหรือ?  พวกเขาคือคนที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงกระนั้นหรือ?  พวกเขายอมตนอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าได้หรือไม่?  นี่มองปราดเดียวก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?  พวกเขาคิดว่าการวิ่งแข่งและการสู้รบของพวกเขาคือการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาไม่แสวงหาความจริงแต่อย่างใดและไม่มีอะไรที่สำแดงให้เห็นการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง—ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง

เมื่อครู่นี้สามัคคีธรรมของพวกเราเพิ่งจะเปิดโปงปัญหาใดของมนุษย์เป็นหลัก?  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามัคคีธรรมของพวกเราเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอันใดของมนุษย์เป็นหลัก?  อุปนิสัยพื้นฐานอย่างหนึ่งก็คือการที่มนุษย์เอือมระอาและไม่ยอมรับความจริง นี่เป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่กล่าวไว้ละเอียดมาก  อุปนิสัยหลักอีกอย่างเป็นสิ่งที่มีอยู่ในแก่นแท้ของอุปนิสัยของทุกคนคือ ความดื้อแพ่ง  นี่ก็แสดงออกมาค่อนข้างเป็นรูปธรรมและเห็นได้ชัดเช่นกันไม่ใช่หรือ?  (ใช่แล้ว)  นี่คือลักษณะหลักๆ สองอย่างที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์สำแดงและพรั่งพรูออกมา  พฤติกรรมเฉพาะเหล่านี้ ทัศนะและท่าทีจำเพาะเหล่านี้ เป็นต้น ทำให้เห็นภาพอย่างถูกต้องแม่นยำและแท้จริงว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์มีการเอือมระอาความจริงเป็นองค์ประกอบ  แน่นอนว่าสิ่งที่เด่นชัดกว่าในอุปนิสัยของมนุษย์ก็คือสิ่งที่แสดงให้เห็นการดื้อแพ่ง กล่าวคือ ผู้คนดื้อดึงต้านทานและปฏิเสธที่จะยอมรับรู้สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส รวมทั้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดๆ ก็ตามที่ถูกเปิดโปงขณะที่พระเจ้าทรงพระราชกิจอยู่  นอกจากการต้านทานที่เห็นได้ชัดหรือการปฏิเสธอย่างดูแคลนแล้ว แน่นอนว่ายังมีพฤติกรรมอีกแบบหนึ่งซึ่งก็คือเวลาที่ผู้คนไม่กังวลสนใจพระราชกิจของพระเจ้า ราวกับว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตน  การไม่กังวลสนใจพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร?  นี่คือเวลาที่คนคนหนึ่งกล่าวว่า “พระองค์จะตรัสอะไรก็ตรัสเถิด—ไม่เกี่ยวข้องกับข้าพระองค์  การพิพากษาหรือการเปิดโปงของพระองค์ก็ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้าพระองค์  ข้าพระองค์ไม่ยอมรับหรือรับรู้สิ่งเหล่านั้น”  พวกเราอาจเรียกท่าทีเช่นนี้ว่า “ดื้อแพ่ง” ได้หรือไม่?  (ได้)  นี่คือสิ่งที่แสดงถึงการดื้อแพ่ง  ผู้คนเหล่านี้กล่าวว่า “ข้าพระองค์มีชีวิตตามแต่ข้าพระองค์จะชื่นชอบ ในหนทางใดก็ได้ที่ทำให้ข้าพระองค์สะดวกสบาย และในลักษณะใดก็ได้ที่ทำให้ตนเองเป็นสุข  พฤติกรรมที่พระองค์ตรัสถึง เช่น ความโอหัง การหลอกลวง การเอือมระอาความจริง ความชั่ว ความต่ำช้า และอื่นๆ—ต่อให้ข้าพระองค์มีสิ่งเหล่านี้ แล้วอย่างไร?  ข้าพระองค์จะไม่ตรวจสอบ หรือทำความรู้จัก หรือยอมรับสิ่งเหล่านี้  การเชื่อในพระเจ้าของข้าพระองค์เป็นเช่นนี้ พระองค์จะทำอย่างไร?”  นี่คือท่าทีของการดื้อแพ่ง  เมื่อผู้คนไม่พะวงถึงหรือใส่ใจในพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าพวกเขาพากันเมินพระเจ้าเหมือนกันหมด ไม่ว่าพระองค์จะตรัสว่าอย่างไร ไม่ว่าพระองค์จะตรัสในรูปแบบของการเตือนความจำ หรือคำตักเตือน หรือการเตือนสติ—ไม่ว่าพระองค์จะใช้วิธีตรัสแบบใด หรือถ้อยดำรัสของพระองค์จะมีสาเหตุและเป้าหมายเช่นใด—เมื่อนั้นท่าทีของพวกเขาก็คือท่าทีที่ดื้อแพ่ง  นี่หมายความว่าพวกเขาไม่ใส่ใจน้ำพระทัยอันเร่งด่วนของพระเจ้า และยิ่งไม่ใส่ใจความปรารถนาอันจริงใจและมีเจตนาดีของพระองค์ในการที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใด ผู้คนก็ไม่มีแก่ใจที่จะให้ความร่วมมือและพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะพากเพียรเข้าถึงความจริง  ต่อให้พวกเขายอมรับรู้ว่าการพิพากษาและการเปิดเผยของพระเจ้าล้วนเป็นไปตามข้อเท็จจริงทั้งสิ้น หัวใจของพวกเขาก็ไม่สำนึกเสียใจ และพวกเขาก็เชื่อต่อไปอย่างที่เคยทำมา  ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกเขาได้ฟังคำเทศนาไปมาก พวกเขาย่อมจะกล่าวเหมือนๆ กันว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันก็คือผู้เชื่อที่แท้จริง สภาวะความเป็นมนุษย์ของฉันไม่แย่ ฉันย่อมจะไม่จงใจทำชั่ว ฉันละทิ้งสิ่งต่างๆ ได้ ฉันรับความทุกข์ยากได้ และฉันก็เต็มใจจ่ายราคาเพื่อความเชื่อของตน  พระเจ้าย่อมจะไม่ทอดทิ้งฉัน”  นี่เหมือนที่เปาโลกล่าวเลยไม่ใช่หรือว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า”?  นั่นคือท่าทีแบบที่ผู้คนมี  อุปนิสัยอะไรที่อยู่เบื้องหลังท่าทีเช่นนั้น?  การดื้อแพ่ง  อุปนิสัยดื้อแพ่งนี้เปลี่ยนยากหรือไม่?  มีเส้นทางในการทำเช่นนั้นหรือไม่?  วิธีการที่ง่ายที่สุดและตรงไปตรงมาที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่เจ้ามีต่อพระวจนะของพระเจ้าและต่อพระเจ้าพระองค์เอง  เจ้าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?  ด้วยการวิเคราะห์และมารู้จักสภาวะและชุดความคิดทั้งหลายที่เกิดจากท่าทีอันดื้อแพ่งของเจ้า และด้วยการมองดูว่าการกระทำและวาจาใดของเจ้า มุมมองและเจตนาใดที่เจ้ายึดถืออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้กระทั่งความคิดอ่านและแนวคิดที่เจ้าพรั่งพรูออกมา มีสิ่งใดบ้างที่อยู่ภายใต้การครอบงำของอุปนิสัยอันดื้อแพ่งของเจ้า  จงตรวจสอบและแก้ไขพฤติกรรม สภาวะ และการพรั่งพรูเหล่านี้ไปทีละอย่าง จากนั้นก็ปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ให้ดีขึ้น—ทันทีที่เจ้าตรวจสอบและสังเกตพบบางสิ่ง จงรีบปรับปรุงสิ่งนั้น  ตัวอย่างเช่น พวกเราเพิ่งจะพูดถึงการกระทำตามความชอบส่วนตนและอารมณ์ของคนเรา ซึ่งก็คือการไม่อยู่กับร่องกับรอย  อุปนิสัยที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยย่อมมีการเบื่อหน่ายความจริงอยู่ด้วย  หากเจ้าตระหนักว่าเจ้าเป็นคนแบบนั้น พร้อมด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงนั้น และเจ้าไม่ทบทวนตนเองหรือแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยนั้น คิดอย่างดื้อดึงว่าเจ้าก็สบายดีอยู่ นั่นคือการดื้อแพ่ง  หลังการเทศนาครั้งนี้ เจ้าอาจตระหนักในบัดดลว่า “ฉันเคยพูดอะไรแบบนั้น และฉันมีทัศนะอย่างนั้น  อุปนิสัยนี้ของฉันเป็นอุปนิสัยที่เบื่อหน่ายความจริง  เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันก็จะเริ่มแก้ไขอุปนิสัยนี้”  แล้วเจ้าจะตั้งต้นแก้ไขอุปนิสัยของเจ้าอย่างไร?  จงเริ่มด้วยการปล่อยมือจากความรู้สึกว่าเจ้าเหนือกว่าผู้อื่น ความไม่คงเส้นคงวาของเจ้า และความเอาแต่ใจของเจ้า ไม่ว่าอารมณ์ของเจ้าจะดีหรือไม่ดี จงดูว่าพระประสงค์ของพระเจ้ามีอะไรบ้าง  ถ้าเจ้าละทิ้งเนื้อหนังและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์จะทรงมองเจ้าว่าอย่างไร?  ถ้าเจ้าเริ่มแก้ไขพฤติกรรมที่เสื่อมทรามเหล่านี้ได้จริง ก็ย่อมเป็นเครื่องหมายว่าเจ้ากำลังให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าในเชิงบวกและในเชิงรุก  เจ้าจะละทิ้งและแก้ไขอุปนิสัยที่เบื่อหน่ายความจริงนั้นอย่างมีสติ และเจ้าย่อมจะแก้ไขอุปนิสัยที่ดื้อแพ่งของเจ้าไปพร้อมกัน  เมื่อเจ้าแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งสองอย่างนี้แล้ว เจ้าจะสามารถเชื่อฟังและทำให้พระเจ้าพอพระทัย และนี่ย่อมจะยังความยินดีแก่พระองค์  ถ้าเจ้าเข้าใจเนื้อหาของสามัคคีธรรมนี้และฝึกละทิ้งเนื้อหนังในหนทางนี้ เราจะมีความสุขมาก  เมื่อเป็นเช่นนั้น เราย่อมจะไม่กล่าววจนะเหล่านี้อย่างสูญเปล่า

การดื้อแพ่งคือปัญหาด้านอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติของคนเรา และแก้ไม่ง่าย  เมื่อใครบางคนมีอุปนิสัยที่ดื้อแพ่ง โดยมากแล้วย่อมสำแดงออกมาเป็นความโน้มเอียงที่จะอ้างเหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและมีข้อโต้แย้งอันลวงโลก ยึดแนวคิดของตน และไม่ยอมรับสิ่งใหม่โดยง่าย  มีหลายครั้งที่ผู้คนรู้ว่าแนวคิดของตนนั้นผิด ทว่าพวกเขาก็ยึดมั่นในแนวคิดเหล่านั้นโดยเห็นแก่ความหยิ่งทะนงและความไม่เป็นแก่นสารของตน ดื้อรั้นไปจนถึงปลายทาง  อุปนิสัยที่ดื้อแพ่งเช่นนี้ต่อให้คนเราตระหนักรู้ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง  การแก้ไขปัญหาเรื่องการดื้อแพ่งนั้น คนเราต้องรู้จักความโอหัง การใช้เล่ห์ลวง ความชั่วช้า การเบื่อหน่ายความจริง และอุปนิสัยอื่นๆ เยี่ยงนั้นของมนุษย์  เมื่อคนเรารู้จักความโอหัง การใช้เล่ห์ลวง และความชั่วช้าของตนเอง รู้ว่าพวกเขาเบื่อหน่ายความจริง ว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะละทิ้งเนื้อหนังแม้ว่าพวกเขาปรารถนาที่จะปฏิบัติความจริงก็ตาม รู้ว่าพวกเขาแก้ตัวและบรรยายความยากลำบากของตนอยู่เสมอแม้ว่าพวกเขาปรารถนาที่จะเชื่อฟังพระเจ้าก็ตาม ก็ย่อมง่ายที่พวกเขาจะตระหนักรู้ว่าพวกเขามีปัญหาเรื่องการดื้อแพ่ง  การที่จะแก้ปัญหานี้ ก่อนอื่นคนเราต้องมีสำนึกตามปกติของมนุษย์และเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ที่จะฟังพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าปรารถนาที่จะเป็นแกะของพระเจ้า เจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะฟังพระวจนะของพระองค์  แล้วเจ้าควรฟังพระวจนะอย่างไร?  ด้วยการฟังปัญหาอันใดก็ตามที่พระเจ้าทรงเปิดโปงเอาไว้ในพระวจนะของพระองค์ซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวเจ้า  หากเจ้าพบสักเรื่องหนึ่ง เจ้าก็ควรยอมรับ เจ้าต้องไม่เชื่อว่านั่นเป็นปัญหาที่ผู้อื่นมี ว่านั่นเป็นปัญหาของทุกคน หรือเป็นปัญหาของมนุษยชาติ ว่านั่นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเจ้า  การที่เจ้าเชื่อเช่นนั้นย่อมจะผิด  เจ้าควรตรึกตรองผ่านทางการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้าว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือทัศนะอันไม่ถูกต้องที่พระเจ้าทรงเปิดโปงเอาไว้หรือไม่  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าฟังพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดเผยสิ่งที่สำแดงถึงการพรั่งพรูอุปนิสัยอันโอหังออกมาจากตัวใครบางคน เจ้าก็ควรคิดในใจว่า “ฉันแสดงให้เห็นสิ่งที่สำแดงถึงความโอหังหรือไม่?  ฉันเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม ดังนั้นฉันต้องสำแดงสิ่งเหล่านั้นออกมาบ้าง ฉันควรทบทวนว่าตนเองทำเช่นนั้นตรงจุดไหน  ผู้คนบอกว่าฉันโอหัง ว่าฉันทำตัวสูงส่งและทรงอำนาจอยู่เสมอ ว่าฉันตีกรอบผู้คนเวลาฉันพูดจา  นั่นเป็นอุปนิสัยของฉันจริงหรือ?”  ด้วยการตรึกตรอง เจ้าย่อมจะตระหนักในที่สุดว่าการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้าถูกต้องแม่นยำทั้งสิ้น—ว่าเจ้าคือคนโอหัง  แล้วเพราะการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้าถูกต้องแม่นยำทั้งหมด เพราะการเปิดเผยนั้นตรงกับสถานการณ์ของเจ้าอย่างที่สุด ไม่มีความคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย และเมื่อตรึกตรองเพิ่มเติมก็ดูเหมือนว่าจะถูกต้องแม่นยำมากขึ้นด้วยซ้ำ เจ้าจึงควรที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระองค์ มีวิจารณญาณและมารู้จักแก่นแท้แห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าตามที่พระวจนะกล่าวไว้  เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะรู้สึกสำนึกผิดได้อย่างแท้จริง  ในการเชื่อในพระเจ้า เจ้าจะมารู้จักตนเองได้ก็ด้วยการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ในหนทางนี้เท่านั้น  เจ้าต้องยอมรับการพิพากษาและการเปิดโปงแห่งพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  หากเจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้ ก็จะไม่มีหนทางให้เจ้าปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  หากเจ้าเป็นคนฉลาดที่มองเห็นว่าการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้าโดยรวมแล้วถูกต้องแม่นยำ หรือหากเจ้ายอมรับได้ว่าการเปิดเผยนั้นถูกต้องอยู่ครึ่งหนึ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรยอมรับการเปิดเผยของพระวจนะทันทีและนบนอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระองค์และทบทวนตัวเจ้าเองอีกด้วย  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเข้าใจว่าพระวจนะทั้งปวงแห่งการเปิดเผยของพระเจ้าล้วนถูกต้องแม่นยำ ว่าทั้งหมดนั้นคือข้อเท็จจริง และไม่มีสิ่งใดที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง  ผู้คนจะทบทวนตนเองได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการนบนอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยหัวใจที่เคารพพระองค์เท่านั้น  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถมองเห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานัปการที่มีอยู่ในตัวพวกเขาได้ มองเห็นได้ว่าพวกเขาโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอโดยแท้ ไม่มีสำนึกแม้แต่น้อย  หากใครบางคนเป็นผู้ที่รักความจริง พวกเขาย่อมจะสามารถหมอบกราบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ยอมรับกับพระองค์ว่าตนถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก และมีเจตจำนงที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระองค์  เมื่อทำเช่นนี้ พวกเขาย่อมจะสามารถมีหัวใจที่สำนึกผิด เริ่มปฏิเสธและเกลียดชังตนเองได้ และเสียใจที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงมาก่อน พลางคิดว่า “ทำไมตอนที่เริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันถึงยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะไม่ได้?  ท่าทีที่ฉันมีต่อพระวจนะของพระองค์นี้เป็นท่าทีที่โอหังไม่ใช่หรือ?  ฉันโอหังขนาดนี้ได้อย่างไร?”  หลังจากที่ทบทวนตนเองในลักษณะนี้อยู่เนืองๆ สักระยะหนึ่ง พวกเขาก็จะตระหนักรู้ว่าพวกเขาโอหังจริง ว่าพวกเขายอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิงว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงและข้อเท็จจริง ว่าที่จริงแล้วพวกเขาไม่มีสำนึกแต่ประการใด  แต่การรู้จักตนเองเป็นเรื่องยาก  แต่ละครั้งที่คนคนหนึ่งตรึกตรอง พวกเขาก็จะรู้จักตนเองได้มากขึ้นทีละนิดและลึกลงไปทีละหน่อยเท่านั้น  การรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างชัดแจ้งไม่ใช่สิ่งที่ทำให้สำเร็จลุล่วงได้ในระยะเวลาอันสั้น คนเราต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น อธิษฐานให้มากขึ้น และทบทวนตนเองให้มากขึ้น  เช่นนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถมารู้จักตนเองได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป  ทุกคนที่รู้จักตนเองอย่างแท้จริงล้วนเคยล้มเหลวและสะดุดอยู่สองสามครั้งในกาลที่ผ่านมา หลังจากนั้นพวกเขาจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐานถึงพระองค์ และทบทวนตนเอง และด้วยเหตุนั้นจึงมามองเห็นความจริงเรื่องความเสื่อมทรามของตนอย่างชัดแจ้ง และมารู้สึกว่าพวกเขาถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำจริงๆ ไร้ซึ่งความเป็นจริงของความจริงอย่างสิ้นเชิง  หากเจ้ามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในลักษณะนี้ และเจ้าอธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาความจริงเวลาที่สิ่งต่างๆ บังเกิดแก่เจ้า เจ้าก็จะค่อยๆ มารู้จักตนเอง  และแล้วในที่สุด สักวันหนึ่งเจ้าก็จะเกิดความกระจ่างชัดในหัวใจของเจ้าว่า “ฉันอาจมีขีดความสามารถดีกว่าคนอื่นนิดหน่อย แต่นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่ฉัน  เวลาพูดจา ฉันก็โอ้อวดอยู่เสมอ พยายามที่จะเอาชนะคนอื่น และพยายามให้ผู้คนทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีของฉัน  ฉันไร้สำนึกจริงๆ—นี่คือความโอหังและการคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ!  ด้วยการตรึกตรอง ฉันถึงได้เรียนรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง  นี่คือความรู้แจ้งและพระคุณของพระเจ้า ฉันขอขอบคุณพระองค์สำหรับการนี้!”  การเรียนรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเองเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี?  (เป็นสิ่งที่ดี)  จากจุดนั้นเจ้าควรแสวงหาวิธีพูดจาและวิธีกระทำการอย่างมีสำนึกและเชื่อฟัง วิธียืนอย่างทัดเทียมกับผู้อื่น วิธีปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรมโดยไม่บังคับพวกเขา วิธีมองขีดความสามารถ พรสวรรค์ และจุดแข็งของเจ้าอย่างถูกต้อง เป็นต้น  ในหนทางนี้ อุปนิสัยอันโอหังของเจ้าย่อมจะได้รับการแก้ไข เหมือนการใช้ค้อนทุบภูเขาไปทีละครั้งจนเป็นผุยผง  หลังจากนั้นเมื่อเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือทำงานกับพวกเขาเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็จะสามารถปฏิบัติต่อทัศนะของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง และระหว่างที่รับฟังพวกเขา เจ้าก็สามารถให้ความสนใจได้อย่างละเอียดและตั้งใจ  และเมื่อเจ้าได้ยินพวกเขาแสดงทัศนะที่ถูกต้อง เจ้าก็จะค้นพบว่า “ดูเหมือนขีดความสามารถของฉันไม่ได้ดีที่สุด  ข้อเท็จจริงก็คือทุกคนมีจุดแข็งของตนเอง พวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าฉันเลย  ก่อนหน้านี้ฉันนึกเสมอว่าฉันมีขีดความสามารถดีกว่าคนอื่น  นั่นคือการเลื่อมใสตนเองและเป็นความไม่รู้ที่มีจิตใจคับแคบ  ฉันมีทัศนคติที่จำกัดมาก เหมือนกบที่ก้นบ่อ  การคิดเช่นนั้นไร้ซึ่งสำนึกโดยแท้—ไม่มีความละอาย!  ฉันหูหนวกและตาบอดเพราะอุปนิสัยอันโอหังของตนเอง  วาจาของคนอื่นสื่อไม่เข้าหูฉัน และฉันก็นึกว่าตัวเองเก่งกว่าพวกเขา นึกว่าตัวเองถูก แต่ที่จริงแล้วฉันไม่ได้เก่งกว่าพวกเขาคนไหนเลย!”  จากนั้นเป็นต้นไป เจ้าย่อมจะมีความรู้และความเข้าใจเชิงลึกที่แท้จริงเกี่ยวกับความบกพร่องและความด้อยวุฒิภาวะของเจ้า  แล้วหลังจากนั้นเมื่อเจ้าสามัคคีธรรมกับผู้อื่น เจ้าจะรับฟังทัศนะของพวกเขาอย่างละเอียด และเจ้าจะตระหนักว่า “มีผู้คนมากมายนักที่เก่งกว่าฉัน  อย่างดีที่สุดขีดความสามารถและความสามารถในการเข้าใจของฉันก็อยู่ในระดับปานกลางทั้งคู่”  เมื่อตระหนักเช่นนี้ เจ้าย่อมจะเกิดความรู้ตัวขึ้นมาบ้างมิใช่หรือ?  เมื่อมีประสบการณ์เช่นนี้และทบทวนตนเองตามพระวจนะของพระเจ้าอยู่เนืองๆ เจ้าก็จะสามารถรู้จักตนเองอย่างแท้จริงซึ่งย่อมลึกซึ้งขึ้นทุกที  เจ้าจะสามารถมองทะลุไปถึงความจริงเรื่องความเสื่อมทรามของเจ้า ถึงความอ่อนด้อยและความน่าเวทนาของเจ้า ถึงความอัปลักษณ์อันน่าสังเวชของเจ้า และในเวลานั้นเจ้าจะนึกรังเกียจตัวเองและเกลียดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะละทิ้งตนเองโดยง่าย  นั่นคือวิธีการที่เจ้าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าต้องคิดทบทวนตามพระวจนะของพระเจ้าเรื่องการพรั่งพรูความเสื่อมทรามของตนออกมา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่เปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาไม่ว่าจะในสถานการณ์แบบใดก็ตาม เจ้าต้องทบทวนตนเองและรู้จักตนเองอยู่เนืองๆ  เมื่อนั้นเจ้าจึงจะมองเห็นแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตนอย่างชัดเจนโดยง่าย และเจ้าจะสามารถเกลียดความเสื่อมทรามของเจ้า เนื้อหนังของเจ้า และซาตานได้จากหัวใจ  เจ้าจะสามารถรักและพากเพียรเพื่อความจริงได้จากหัวใจ  ในหนทางนี้ อุปนิสัยอันโอหังของเจ้าจะลดน้อยลงเรื่อยๆ และเจ้าก็จะทยอยปลดเปลื้องอุปนิสัยดังกล่าว  เจ้าจะมีสำนึกมากขึ้นทุกที และจะนบนอบพระเจ้าง่ายขึ้น  ในสายตาของผู้อื่น เจ้าจะดูหนักแน่นและมั่นคงขึ้น และจะดูเหมือนว่าเจ้าพูดจาตามข้อเท็จจริงมากขึ้น  เจ้าจะสามารถรับฟังผู้อื่นได้ และจะให้เวลาพวกเขาพูดบ้าง  เมื่อผู้อื่นถูกต้อง เจ้าก็จะยอมรับคำพูดของพวกเขาโดยง่าย และปฏิสัมพันธ์ที่เจ้ามีกับผู้คนก็จะไม่ยากเย็นเท่าใดนัก  เจ้าจะสามารถร่วมมือกับใครก็ได้อย่างกลมเกลียว  หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนดังนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีสำนึกและสภาวะความเป็นมนุษย์มิใช่หรือ?  นั่นคือหนทางแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามจำพวกนี้

คราวนี้พวกเรามาสามัคคีธรรมกันสักหน่อยถึงวิธีแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามผ่านทางเรื่องของอุปนิสัยที่ดื้อแพงซึ่งเราเพิ่งจะกล่าวถึง  การที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้น ก่อนอื่นคนเราต้องยอมรับความจริงได้  การยอมรับความจริงคือการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า เป็นการยอมรับพระวจนะของพระองค์ที่เปิดโปงแก่นแท้แห่งความเสื่อมทรามของมนุษย์  หากเจ้ามารู้จักและวิเคราะห์การพรั่งพรูความเสื่อมทรามของเจ้า สภาวะที่เสื่อมทรามของเจ้า เจตนาและพฤติกรรมอันเสื่อมทรามของเจ้าตามพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าสามารถค้นพบแก่นแท้แห่งปัญหาของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าแล้ว และเจ้าย่อมจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการแก้ไขอุปนิสัยนั้นแล้ว  ในอีกด้านหนึ่ง หากเจ้าไม่ปฏิบัติในหนทางนี้ ไม่เพียงเจ้าจะไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันดื้อแพ่งของเจ้าได้เท่านั้น แต่เจ้าจะไม่มีหนทางกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอีกด้วย  ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่มาก  คนเราควรเริ่มแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้นตรงที่ใด?  ก่อนอื่นคนเราต้องแก้ไขความดื้อแพ่งของตน เพราะอุปนิสัยที่ดื้อแพ่งกีดขวางไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้พระเจ้า แสวงหาความจริง และนบนอบพระเจ้า  การดื้อแพ่งคืออุปสรรคอันใหญ่หลวงที่สุดที่ขัดขวางการอธิษฐานและสามัคคีธรรมของมนุษย์กับพระเจ้า เป็นสิ่งที่แทรกแซงความสัมพันธ์ตามปกติของมนุษย์กับพระเจ้ามากที่สุด  หลังจากที่เจ้าแก้ไขอุปนิสัยอันดื้อแพ่งของเจ้าแล้ว อุปนิสัยอื่นที่เหลือย่อมจะแก้ไขง่าย  การแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเริ่มที่การทบทวนตนเองและการรู้จักตนเอง  จงแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอันใดก็ตามที่เจ้าตระหนักรู้—ยิ่งเจ้ารู้จักอุปนิสัยเหล่านั้นมาก เจ้าก็จะยิ่งแก้ไขได้มาก ยิ่งเจ้ารู้ลึกเกี่ยวกับอุปนิสัยเหล่านั้น เจ้าก็จะยิ่งแก้ไขได้อย่างละเอียด  นี่คือขั้นตอนของการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ดำเนินไปด้วยการอธิษฐานถึงพระเจ้า และด้วยการทบทวนตนเอง รู้จักตนเอง และวิเคราะห์แก่นแท้แห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า จนกระทั่งคนเราสามารถละทิ้งเนื้อหนังและปฏิบัติความจริงได้  การรู้จักแก่นแท้แห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย  การรู้จักตนเองไม่ใช่การกล่าวอย่างกว้างๆ ว่า “ฉันเป็นคนที่เสื่อมทราม ฉันคือมาร เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของซาตาน เป็นลูกหลานของพญานาคใหญ่สีแดง ฉันต้านทานและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า ฉันคือศัตรูของพระองค์”  การพูดเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้ารู้จักความเสื่อมทรามของเจ้าเองอย่างแท้จริง  เจ้าอาจเรียนรู้ถ้อยคำเหล่านี้จากผู้อื่นและไม่ได้รู้จักตนเองนัก  การรู้จักตนเองที่แท้จริงไม่ได้เป็นไปตามการเรียนรู้หรือการตัดสินของมนุษย์ นี่เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า—คือการมองเห็นผลสืบเนื่องของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและมองเห็นความทุกข์ที่เจ้ามีประสบการณ์ด้วยว่าเป็นผลจากอุปนิสัยเหล่านั้น รู้สึกว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่เพียงทำร้ายเจ้าเท่านั้น แต่ยังทำร้ายผู้อื่นอีกด้วย  นี่คือการมองทะลุไปถึงข้อเท็จจริงที่ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามถือกำเนิดขึ้นในตัวซาตาน เป็นพิษและปรัชญาของซาตาน ล้วนกีดขวางความจริงและพระเจ้า  เมื่อเจ้ามองปัญหานี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าย่อมจะรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าแล้ว  หลังจากที่บางคนยอมรับรู้ว่าตนคือมารซาตาน พวกเขาก็ไม่ยอมรับการถูกตัดแต่งและจัดการอยู่ดี  พวกเขาไม่ยอมรับว่าตนได้ทำสิ่งใดผิดหรือละเมิดความจริงไปแล้ว  พวกเขามีปัญหาอันใด?  พวกเขายังคงไม่รู้จักตนเอง  บางคนกล่าวว่าพวกเขาคือมารซาตาน แต่หากเจ้าถามพวกเขาว่า “ทำไมคุณถึงบอกว่าคุณเป็นมารซาตาน?” พวกเขาก็จะตอบไม่ได้  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน หรือธรรมชาติและแก่นแท้ของตน  หากพวกเขาสามารถมองเห็นว่าธรรมชาติของพวกเขาคือธรรมชาติของมาร ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาคืออุปนิสัยของซาตาน และยอมรับว่าด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงเป็นมาร เป็นซาตาน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมจะรู้จักธรรมชาติและแก่นแท้ของตนเองแล้ว  การรู้จักตนเองที่แท้จริงนั้นสัมฤทธิ์ผ่านทางการเปิดโปงและพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า การปฏิบัติตามพระวจนะ และมีประสบการณ์กับพระวจนะ  นี่สัมฤทธิ์ผ่านทางการเข้าใจความจริง  หากคนคนหนึ่งไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวถึงการรู้จักตัวพวกเขาเองว่าอย่างไร ก็ย่อมกลวงเปล่าและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เพราะพวกเขาไม่สามารถค้นพบหรือทำความเข้าใจสิ่งที่เป็นต้นเหตุและเป็นแก่นสำคัญเหล่านั้น  การที่จะรู้จักตนเองนั้น คนเราต้องยอมรับรู้ว่าในกรณีนั้นๆ พวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอันใดออกมา พวกเขามีเจตนาเช่นใด พวกเขาประพฤติตนอย่างไร พวกเขามีสิ่งใดเจือปนอยู่ และเหตุใดพวกเขาจึงยอมรับความจริงไม่ได้  พวกเขาต้องสามารถระบุสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถรู้จักตนเอง  เวลาที่บางคนเผชิญหน้าการถูกตัดแต่งและจัดการ พวกเขายอมรับว่าพวกเขาเบื่อหน่ายความจริง ว่าพวกเขามีความระแวงและมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ว่าพวกเขาคอยระแวดระวังพระองค์  พวกเขายอมรับอีกด้วยว่าพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าที่พิพากษาและเปิดโปงมนุษย์ล้วนแล้วแต่เป็นข้อเท็จจริง  นี่แสดงว่าพวกเขามีการรู้จักตนเองอยู่บ้าง  แต่เพราะพวกเขาไม่มีการรู้จักพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระองค์ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ พวกเขาจึงรู้จักตนเองอย่างค่อนข้างตื้นเขิน  หากใครบางคนยอมรับรู้เฉพาะความเสื่อมทรามของตน แต่หารากเหง้าของปัญหาไม่พบ ความระแวง ความเข้าใจผิด และการระวังตัวที่พวกเขามีกับพระเจ้าจะได้รับการแก้ไขหรือไม่?  ไม่ ย่อมจะแก้ไขไม่ได้  นี่คือสาเหตุที่การรู้จักตนเองเป็นมากกว่าการยอมรับรู้ความเสื่อมทรามและปัญหาของคนเราเท่านั้น—คนเราต้องเข้าใจความจริงและแก้ไขปัญหาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนที่ต้นตอด้วย  นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะมองทะลุไปถึงความจริงเรื่องความเสื่อมทรามของคนเราและสัมฤทธิ์การกลับใจที่แท้จริง  เมื่อผู้ที่รักความจริงมารู้จักตนเอง พวกเขาย่อมจะสามารถแสวงหาและเข้าใจความจริงเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาของตนด้วย  เฉพาะการรู้จักตนเองเช่นนี้เท่านั้นที่ให้ผล  เมื่อใดก็ตามที่คนที่รักความจริงอ่านวลีหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดเผยและพิพากษามนุษย์ เหนือสิ่งอื่นใดพวกเขาย่อมมีความเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดเผยมนุษย์นั้นจริงและเป็นข้อเท็จจริง ว่าพระวจนะของพระเจ้าที่พิพากษามนุษย์คือความจริง ว่าพระวจนะเป็นตัวแทนแห่งความชอบธรรมของพระเจ้า  อย่างน้อยผู้ที่รักความจริงต้องสามารถตระหนักรู้ข้อนี้  หากใครบางคนถึงกับไม่เชื่อพระวจนะของพระเจ้าและไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงและพิพากษามนุษย์คือข้อเท็จจริงและเป็นความจริง พวกเขาจะสามารถรู้จักตนเองผ่านทางพระวจนะของพระองค์ได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้—ต่อให้พวกเขาปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาก็ทำไม่ได้  หากเจ้าหนักแน่นในความเชื่อของเจ้าได้ว่าพระวจนะทั้งปวงของพระเจ้าคือความจริง และเชื่อพระวจนะทั้งหมดไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใดหรือพระองค์จะตรัสในลักษณะใด หากเจ้าสามารถเชื่อและยอมรับพระวจนะของพระเจ้าได้ ต่อให้เจ้าไม่เข้าใจพระวจนะ ก็ย่อมจะเป็นการง่ายที่เจ้าจะทบทวนและรู้จักตนเองผ่านทางพระวจนะ  การทบทวนตนเองต้องอ้างอิงตามความจริง  นั่นไม่ต้องสงสัยเลย  เฉพาะพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง—ถ้อยคำของมนุษย์และวาจาของซาตานไม่มีคำใดที่เป็นความจริง  ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามด้วยการเรียนรู้ หลักคำสอน และทฤษฎีสารพัดอย่างมานานหลายพันปี แล้วผู้คนก็ด้านชาและสมองทึบเสียจนไม่เพียงพวกเขาไม่รู้จักตนเองแม้แต่น้อยเท่านั้น แต่พวกเขาถึงกับค้ำจุนความคิดนอกรีตและเหตุผลวิบัติทั้งหลาย และไม่ยอมรับความจริงอีกด้วย  มนุษย์เช่นคนเหล่านี้มิอาจแก้ไขได้  ผู้ที่มีความเชื่ออันแท้จริงในพระเจ้าย่อมเชื่อว่ามีเพียงพระวจนะของพระองค์เท่านั้นที่เป็นความจริง พวกเขาสามารถรู้จักตนเองโดยอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง และด้วยเหตุนั้นจึงสัมฤทธิ์การกลับใจที่แท้จริง  บางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาทบทวนตนเองตามการเรียนรู้ของมนุษย์เท่านั้น และพวกเขาก็ไม่ยอมรับสิ่งใดนอกจากพฤติกรรมที่เป็นบาป พร้อมกันนั้นก็ไม่สามารถมองทะลุไปถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตนเองได้  การรู้จักตนเองเช่นนี้เป็นความมานะที่ไร้ประโยชน์และไม่ให้ผลอันใด  คนเราต้องใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานในการทบทวนตนเอง และหลังจากที่ทบทวนแล้ว จึงค่อยๆ มารู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พระวจนะเปิดเผยเอาไว้  คนเราต้องสามารถประเมินและรู้ความบกพร่องของตน แก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของตน ทัศนะที่ตนมีต่อสิ่งต่างๆ ค่านิยมและทัศนคติที่ตนมีในชีวิต โดยใช้ความจริงเป็นพื้นฐาน แล้วจากนั้นจึงมาประเมินและวินิจฉัยสิ่งทั้งปวงนี้อย่างถูกต้องแม่นยำได้  ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมบรรลุการรู้จักตนเองได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป  แต่ระหว่างที่คนเรามีประสบการณ์ในชีวิตมากขึ้น การรู้จักตนเองย่อมลงลึกไปเรื่อยๆ และก่อนที่คนเราจะได้รับความจริง ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมองทะลุไปถึงธรรมชาติและแก่นแท้ของตนได้ทั้งหมด  หากคนคนหนึ่งรู้จักตนเองอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมจะมองเห็นได้ว่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามคือเลือดเนื้อเชื้อไขและร่างจำแลงของซาตานโดยแท้  พวกเขาจะรู้สึกว่าพวกเขาไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ว่าพวกเขาไม่คู่ควรกับความรักและความรอดจากพระองค์ และพวกเขาจะสามารถหมอบกราบเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้โดยสมบูรณ์  เฉพาะผู้ที่รู้ได้ถึงระดับนี้เท่านั้นที่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง  การรู้จักตนเองเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง  หากใครบางคนอยากปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง พวกเขาก็ต้องรู้จักตนเอง  คนทุกผู้มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และแม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่พวกเขาก็ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ตีตรวนและควบคุมไว้เสมอ  พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติความจริงหรือเชื่อฟังพระเจ้า  ดังนั้นหากพวกเขาปรารถนาที่จะทำสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็ต้องรู้จักตนเองและแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเสียก่อน  ผ่านทางขั้นตอนของการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเท่านั้นที่คนเราจะสามารถเข้าใจความจริงและรู้จักพระเจ้าได้ เมื่อนั้นเท่านั้นที่คนเราจะสามารถนบนอบพระเจ้าและเป็นพยานให้พระองค์  นั่นคือวิธีการที่คนเราได้รับความจริง  กระบวนการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงคือกระบวนการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา  ดังนั้น คนเราต้องทำเช่นไรเพื่อที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน?  ก่อนอื่นคนเราต้องรู้จักแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตน  กล่าวให้แน่ชัดลงไปก็คือ นี่หมายถึงการรู้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราเกิดขึ้นอย่างไร รู้ว่าเรื่องโกหกและเหตุผลวิบัติอันใดของซาตานที่พวกเขายอมรับได้ก่อให้เกิดอุปนิสัยดังกล่าว  เมื่อคนเรามาเข้าใจสาเหตุที่เป็นรากเหง้าเหล่านี้อย่างถ่องแท้โดยอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้าและมีวิจารณญาณในเรื่องเหล่านี้แล้ว พวกเขาย่อมไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอีกต่อไป  พวกเขาจะอยากนบนอบพระเจ้าและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์เท่านั้น  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา พวกเขาก็สามารถตระหนักรู้และปฏิเสธอุปนิสัยนั้น รวมทั้งละทิ้งเนื้อหนังของตนได้  ด้วยการปฏิบัติและมีประสบการณ์ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมจะปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของตนอย่างช้าๆ

บางคนกล่าวว่า “เวลาฉันอ่านพระวจนะที่เปิดโปงและพิพากษาของพระเจ้า ฉันก็ทบทวนตนเองและตระหนักว่าตนเองโอหัง เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง เห็นแก่ตัว ชั่ว ดื้อแพ่ง และไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์”  มีบางคนที่ถึงกับกล่าวว่าพวกเขาโอหังอย่างยิ่ง พวกเขาเป็นสัตว์ร้าย และพวกเขาคือมารซาตาน  นี่ใช่การรู้จักตนเองที่แท้จริงหรือไม่?  หากพวกเขากล่าวออกมาจากหัวใจ และไม่ได้เอาแต่ลอกบางสิ่งบางอย่างมา เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมแสดงว่าอย่างน้อยพวกเขาก็รู้จักตนเองอยู่บ้าง มีคำถามเพียงข้อเดียวคือนั่นเป็นไปอย่างตื้นเขินหรือลงลึก  หากพวกเขาลอกบางสิ่งมา พูดตามถ้อยคำของคนอื่น เช่นนั้นแล้วนั่นก็ไม่ใช่การรู้จักตนเองอย่างแท้จริง  การรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราต้องเป็นรูปธรรม ต้องรู้ลึกลงไปถึงทุกสภาวะและทุกเรื่อง—นี่หมายถึงรายละเอียดทั้งหลาย เช่น สภาวะต่างๆ การพรั่งพรูทั้งหลาย พฤติกรรม ความคิดอ่านและแนวคิดที่สัมพันธ์กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้นๆ  เมื่อนั้นเท่านั้นที่คนเราจะมารู้จักตนเองได้อย่างแท้จริง  และเมื่อคนคนหนึ่งรู้จักตนเองอย่างแท้จริง หัวใจของพวกเขาก็จะเต็มไปด้วยความสำนึกผิด พวกเขาจะสามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง  สิ่งแรกที่คนเราต้องปฏิบัติเพื่อที่จะกลับใจคืออะไร?  (คนเราต้องยอมรับความผิดพลาดของตน)  “การยอมรับความผิดพลาดของตน” ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องในการแสดงออกถึงการนี้ ทว่าเป็นเรื่องของการยอมรับและรู้ว่าคนเรามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบางอย่างอยู่  หากคนเรากล่าวว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาคือความผิดพลาดอย่างหนึ่ง พวกเขาก็ผิดแล้ว  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นเรื่องของธรรมชาติของคนเรา เป็นบางสิ่งที่ควบคุมคนคนหนึ่งเอาไว้  ไม่เหมือนความผิดพลาดแบบครั้งเดียวจบ  หลังจากที่เปิดเผยความเสื่อมทรามออกมาแล้ว บางคนก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทำความผิด  ข้าพระองค์ขออภัย”  นี่ไม่ถูกต้อง  “การยอมรับว่าทำบาป” ย่อมจะเหมาะสมกว่า  หนทางจำเพาะในการกลับใจของผู้คนคือการรู้จักตนเองและการแก้ไขปัญหาของตน  เมื่อคนคนหนึ่งเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาหรือกระทำการฝ่าฝืน และตระหนักว่าพวกเขากำลังต้านทานพระเจ้าและยั่วยุความเกลียดชังของพระองค์ เมื่อนั้นพวกเขาก็ควรทบทวนตนเองและทำความรู้จักตนเองภายในพระวจนะที่เกี่ยวข้องของพระเจ้า  ผลก็คือพวกเขาย่อมจะรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบางอย่างของตน และยอมรับรู้ว่าอุปนิสัยนั้นเกิดจากพิษและความเสื่อมทรามของซาตาน  หลังจากนั้นเมื่อพวกเขาค้นพบหลักธรรมของการปฏิบัติความจริงและสามารถนำความจริงไปปฏิบัติแล้ว นั่นย่อมเป็นการกลับใจที่แท้จริง  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะเปิดเผยความเสื่อมทรามอันใดออกมา หากพวกเขาสามารถรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเป็นอันดับแรก แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยนั้น และมาปฏิบัติความจริง นั่นย่อมเป็นการกลับใจที่แท้จริง  บางคนพอจะรู้จักตนเองอยู่บ้าง แต่ไม่มีเครื่องหมายของการกลับใจภายในตัวพวกเขา หรือมีข้อพิสูจน์ว่าพวกเขาปฏิบัติความจริงโดยแท้  หลังจากที่รู้จักตนเองแล้ว หากพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นก็ห่างไกลจากการกลับใจที่แท้จริง  การที่จะสัมฤทธิ์การกลับใจอันแท้จริงนั้น คนเราต้องแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  ดังนั้นหากจะกล่าวให้แน่ชัด คนเราควรปฏิบัติและเข้าสู่อย่างไรเพื่อที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน?  นี่คือตัวอย่าง  ผู้คนมีอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พวกเขาโกหกและโกงอยู่เสมอ  หากเจ้าตระหนักดังนั้น เช่นนั้นแล้วหลักธรรมของการปฏิบัติที่ง่ายที่สุดและตรงไปตรงมาที่สุดในการแก้ไขความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของเจ้าก็คือการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พูดความจริงและทำสิ่งที่ซื่อตรง  องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่”  การที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์นั้น คนเราควรปฏิบัติตามหลักธรรมในพระวจนะของพระเจ้า  การปฏิบัติง่ายๆ เช่นนี้มีประสิทธิผลที่สุด ง่ายต่อการเข้าใจและการนำไปปฏิบัติ  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้คนเสื่อมทรามหนักมาก และเนื่องจากพวกเขาทุกคนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตานและใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน จึงค่อนข้างยากที่พวกเขาจะปฏิบัติความจริง  พวกเขาอยากซื่อสัตย์ แต่ก็ทำไม่ได้  พวกเขาอดไม่ได้ที่จะพูดปดและใช้เล่ห์เหลี่ยม และหลังจากที่ตระหนักรู้เรื่องนี้ แม้พวกเขาอาจจะรู้สึกสำนึกผิด แต่พวกเขาก็จะไม่สามารถปลดเปลื้องข้อผูกมัดที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอยู่ดี และพวกเขาย่อมจะโกหกและโกงอย่างที่เคยทำต่อไป  ควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?  ส่วนหนึ่งก็คือการรู้ว่าแก่นแท้แห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรานั้นอัปลักษณ์และน่าดูหมิ่น และสามารถเกลียดมันจากหัวใจของตนได้ อีกส่วนหนึ่งก็คือการฝึกฝนตนเองให้ปฏิบัติตามหลักธรรมของความจริง “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่”  เมื่อเจ้าปฏิบัติตามหลักธรรมข้อนี้ เจ้าก็กำลังแก้ไขอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของเจ้า  ตามปกติแล้วหากเจ้าสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมของความจริงได้ระหว่างที่แก้ไขอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของเจ้า นั่นย่อมเป็นสิ่งที่สำแดงว่าเจ้ากำลังกลับตัว และเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการกลับใจอันแท้จริงของเจ้า และพระเจ้าย่อมจะทรงเห็นชอบ  นี่หมายความว่าเมื่อเจ้ากลับตัว พระเจ้าย่อมจะเปลี่ยนพระทัยในเรื่องของเจ้า  อันที่จริง การที่พระเจ้าทรงทำเช่นนี้ก็เป็นการอภัยโทษแก่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามและความเป็นกบฏของมนุษย์อย่างหนึ่ง  พระองค์ทรงยกโทษให้ผู้คนและไม่ทรงจดจำบาปหรือการฝ่าฝืนของพวกเขา  นั่นชัดเจนพอหรือไม่?  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องที่กล่าวมานี้หรือไม่?  ยังมีอีกตัวอย่างหนึ่ง  สมมุติว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันโอหัง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าก็ดื้อรั้นเอาแต่ใจอย่างมาก—เจ้าอยากเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด อยากให้ผู้อื่นเชื่อฟังเจ้า และทำตามที่เจ้าต้องการให้พวกเขาทำอยู่เสมอ  และแล้วก็มาถึงวันที่เจ้าตระหนักว่านี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง  การที่เจ้ายอมรับว่านี่เป็นอุปนิสัยอันโอหังคือก้าวแรกของการรู้จักตนเอง  จากจุดนั้นเจ้าควรแสวงหาจนพบบทตอนในพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงอุปนิสัยอันโอหังสักสองสามบทตอนเพื่อใช้เทียบเคียงดูตัวเจ้า ทบทวนตนเองและรู้จักตัวเจ้าเอง  หากเจ้าพบว่าการเทียบเคียงเช่นนั้นเหมาะสมอย่างที่สุด และเจ้ายอมรับว่าอุปนิสัยอันโอหังที่พระเจ้าทรงเปิดโปงนั้นมีอยู่ในตัวเจ้า แล้วจากนั้นเจ้าก็ใช้วิจารณญาณจนค้นพบว่าอุปนิสัยอันโอหังของเจ้ามาจากที่ใด เหตุใดจึงเกิดขึ้น และถูกพิษ ความคิดนอกรีต และเหตุผลวิบัติอันใดของซาตานกำกับควบคุมอยู่ เช่นนั้นแล้ว หลังจากที่ให้ความสนใจกับหัวใจสำคัญของคำถามทั้งหมดนี้ เจ้าย่อมจะขุดลงไปถึงรากเหง้าแห่งความโอหังของเจ้าแล้ว  นี่คือการรู้จักตนเองที่แท้จริง  เมื่อเจ้ามีคำนิยามที่แน่ชัดขึ้นว่าเจ้าเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ออกมาอย่างไร ก็จะช่วยให้เจ้ารู้จักตนเองในแบบที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นและลงลึกยิ่งขึ้น  แล้วเจ้าควรทำเช่นไรต่อไป?  เจ้าควรมองหาหลักธรรมของความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และเข้าใจว่าการประพฤติตนและวาจาแบบใดของมนุษย์ที่เป็นการสำแดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  หลังจากที่เจ้าพบเส้นทางปฏิบัติ เจ้าต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และเมื่อหัวใจของเจ้าพลิกกลับมา เจ้าย่อมจะกลับใจอย่างแท้จริงแล้ว  ไม่เพียงแต่จะมีหลักธรรมในวาจาและการกระทำของเจ้าเท่านั้น เจ้าจะใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์และค่อยๆ ละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าอีกด้วย  ผู้อื่นจะมองเจ้าว่าเป็นคนใหม่ กล่าวคือ เจ้าจะไม่ใช่คนเดิมที่เสื่อมทรามดังที่เคยเป็นอีกต่อไป แต่จะเป็นคนที่ถือกำเนิดใหม่ในพระวจนะของพระเจ้า  คนเช่นนี้คือผู้ที่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนแล้ว

การรู้จักตนเองไม่ใช่เรื่องง่าย  เป็นเรื่องที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยการยอมรับความจริง ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และมีประสบการณ์กับพระวจนะ การรู้จักตนเองอย่างแท้จริงนี้บรรลุได้ด้วยการยอมรับการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้าเท่านั้น  ผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน อย่างมากที่สุดก็จะสามารถยอมรับความผิดพลาดที่ตนก่อและสิ่งที่ตนเคยทำผิดไว้ได้  การที่พวกเขาจะมองเห็นธรรมชาติและแก่นแท้ของตนอย่างชัดเจนย่อมจะยากมาก  เหตุใดแม้ผู้เชื่อในยุคพระคุณจะเลิกทำบาปบางอย่างและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนให้ดีขึ้น แต่พวกเขากลับไม่เคยสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตน?  เหตุใดแม้พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาก็ต้านทานพระองค์และถึงกับทรยศพระองค์?  เป็นการยากที่มนุษยชาติที่เสื่อมทรามจะตระหนักรู้บ่อเกิดของเรื่องนี้  เหตุใดคนทุกผู้จึงมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน?  เพราะซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามไปแล้ว และผู้คนก็ยอมรับคำโกหกและปรัชญาของมันไปแล้ว  นั่นคือสิ่งที่ทำให้เกิดอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และนั่นคือกระบวนการที่อุปนิสัยของซาตานกลายเป็นบ่อเกิดแห่งการต้านทานพระเจ้าของมนุษย์  นี่คือสิ่งที่ผู้คนตระหนักรู้ยากที่สุด  พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากอิทธิพลของซาตาน และเพื่อสลายบ่อเกิดแห่งบาปและการต้านทานพระเจ้าของมนุษย์  ซาตานได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามมานานหลายพันปี และธรรมชาติของมันก็ได้หยั่งรากลงไปในหัวใจของมนุษย์  เพราะฉะนั้น การพยายามทบทวนตนเองและรู้จักตนเองเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นจึงไม่สามารถแก้ไขและปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามชนิดใดได้  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามพรั่งพรูออกมาตลอดเวลาและอย่างต่อเนื่อง ผู้คนจึงจำเป็นต้องยอมรับความจริงและทำสงครามอันยาวนานกับอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนจนกระทั่งพวกเขามีชัยเหนือซาตาน  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้อย่างหมดจด  ดังนั้นผู้คนต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริง ทบทวนตนเอง รู้จักตนเอง และปฏิบัติความจริงกันอย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งความเสื่อมทรามไม่พรั่งพรูออกมาจากตัวพวกเขาอีกต่อไป อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลง และพวกเขาสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ผลการต่อสู้แต่ละครั้งอาจไม่ปรากฏชัดในทันที และเจ้าอาจจะยังคงเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาในภายหลัง  เจ้าอาจรู้สึกในทางลบและท้อใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะล้มเลิก และเจ้าจะยังคงสามารถพยายามอย่างหนัก ยอมรับนับถือพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์  หากเจ้าบากบั่นเช่นนั้นสักสองหรือสามปี เจ้าจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง และหัวใจของเจ้าจะมีสันติสุขและความชื่นบาน  เมื่อนั้นเจ้าก็จะมองเห็นอย่างชัดเจนว่าทุกความล้มเหลว ทุกความพยายาม และทุกผลลัพธ์ที่เจ้าทำได้คือเครื่องหมายอันดีว่าเจ้ากำลังขยับเข้าหาการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้าและกำลังทำให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยเกี่ยวกับตัวเจ้า  แม้จิตสำนึกของมนุษย์จะไม่สามารถรับรู้ความเปลี่ยนแปลงแต่ละอย่างได้ แต่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งไม่อาจสัมฤทธิ์ด้วยการกระทำอย่างอื่นหรือสิ่งอื่นได้  นี่คือเส้นทางที่คนเราต้องใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนและเข้าสู่ชีวิต  การไล่ตามเสาะหาความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยต้องปฏิบัติเช่นนี้  แน่นอนว่าผู้คนควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยเกิดขึ้นอย่างไร กล่าวคือ นี่ไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงในบัดดลที่สะท้านสะเทือนโลก พาให้ประหลาดใจและปีติยินดีอย่างที่พวกเขาจินตนาการ  ไม่ได้เกิดขึ้นแบบนั้น  นี่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว ช้าๆ ทีละนิด  เมื่อคนเราสามารถนำความจริงไปปฏิบัติ พวกเขาก็จะมองเห็นผลแห่งการลงแรงของตน  หลังจากที่เดินบนเส้นทางนี้สักสามปี ห้าปี สิบปี พอเจ้ามองย้อนกลับไป เจ้าจะประหลาดใจที่พบว่าอุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงสิบปีนั้น ว่าเจ้าแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง  อาจเป็นได้ว่าบุคลิกภาพและภาวะอารมณ์ของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนไป หรือรูปแบบการใช้ชีวิตและอื่นๆ ของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนไป แต่อุปนิสัย สภาวะ และพฤติกรรมที่เจ้าพรั่งพรูออกมาย่อมจะต่างกันลิบลับ ราวกับว่าเจ้าได้กลายเป็นคนที่แตกต่างออกไปโดยแท้  เหตุใดจึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น?  เพราะในช่วงสิบปีนั้น เจ้าย่อมจะถูกพระวจนะของพระเจ้าพิพากษาและตีสอน ตัดแต่งและจัดการ ทดสอบและถลุงไปหลายต่อหลายครั้ง และเจ้าย่อมจะเข้าใจความจริงไปมากแล้ว  นี่จะเริ่มต้นด้วยความเปลี่ยนแปลงในทัศนะที่เจ้ามีต่อสิ่งต่างๆ ความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิตและค่านิยมของเจ้า ซึ่งจะตามมาด้วยความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้า ความเปลี่ยนแปลงในรากฐานที่เจ้าพึ่งพาเพื่อที่จะมีชีวิตรอด—และเมื่อความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้น เจ้าจะค่อยๆ กลายเป็นอีกคนหนึ่ง เป็นคนใหม่  แม้บุคลิกภาพ ภาวะอารมณ์ และรูปแบบการใช้ชีวิตของเจ้า แม้กระทั่งวาจาและความประพฤติของเจ้า อาจไม่เปลี่ยนแปลง แต่เจ้าย่อมจะเปลี่ยนอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าไปแล้ว และนั่นเพียงอย่างเดียวก็เป็นความเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง  เครื่องหมายของความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยมีสิ่งใดบ้าง?  สำแดงให้เห็นแน่ชัดอย่างไร?  นี่เริ่มด้วยความเปลี่ยนแปลงในทัศนะที่คนคนหนึ่งมีต่อสิ่งต่างๆ—เป็นยามที่ทัศนะมากมายอย่างที่ผู้ไม่เชื่อมีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งคนคนหนึ่งเก็บงำไว้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อพวกเขาเกิดความเข้าใจในความจริง และทัศนะเหล่านั้นก็เข้าใกล้ความจริงในพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นทุกที  นี่คือความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยในระยะแรก  พ้นจากระยะนั้นแล้ว ผู้คนย่อมจะสามารถมุ่งปฏิบัติความจริงผ่านทางการทบทวนตนเองและการรู้จักตนเองได้  และด้วยการคิดทบทวนเจตนา แรงจูงใจ ความคิดอ่านและแนวคิด มโนคติอันหลงผิด มุมมอง และท่าทีนานัปการที่เกิดขึ้นภายในตัวพวกเขา พวกเขาย่อมจะสามารถระบุปัญหาของตนและเริ่มรู้สึกสำนึกผิดในเรื่องเหล่านั้นได้  และแล้วพวกเขาก็จะสามารถละทิ้งเนื้อหนังและนำความจริงไปปฏิบัติได้  และระหว่างที่พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาก็จะยิ่งซาบซึ้งในคุณค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าและความจริงมากขึ้นอีก ยอมรับรู้ว่าพระคริสต์คือความจริง หนทาง และชีวิต  พวกเขาจะเต็มใจยิ่งขึ้นที่จะติดตามพระคริสต์และนบนอบพระองค์ และพวกเขาก็จะรู้สึกว่าพระเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อเปิดโปง พิพากษา ตีสอนมนุษย์ และเพื่อเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน และรู้สึกว่าด้วยการทำเช่นนั้น พระเจ้าก็ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดและทำให้พวกเขาเพียบพร้อมในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงโดยแท้  พวกเขาจะรู้สึกว่าหากปราศจากการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า หรือการจัดหาและการชี้นำแห่งพระวจนะของพระองค์ ผู้คนย่อมจะไม่มีหนทางสัมฤทธิ์ความรอด และพวกเขาย่อมจะไม่สามารถเก็บเกี่ยวรางวัลเช่นนั้นได้  พวกเขาจะเริ่มรักพระวจนะของพระเจ้า และจะรู้สึกว่าพวกเขาพึ่งพิงพระวจนะในชีวิตจริงของตน ว่าพวกเขาต้องการให้พระวจนะของพระองค์จัดหาให้พวกเขา ชี้นำพวกเขา และขจัดทุกอย่างออกนอกทางให้พวกเขา  หัวใจของพวกเขาจะเปี่ยมสันติสุข และเมื่อบางสิ่งบังเกิดแก่พวกเขา โดยไม่ทันรู้ตัวพวกเขาก็จะค้นดูพระวจนะของพระเจ้าเพื่อใช้เป็นหลักพื้นฐานของตน มองหาหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติภายในพระวจนะ  นี่คือผลลัพธ์อย่างหนึ่งที่สัมฤทธิ์ด้วยการรู้จักตนเอง  ยังมีผลลัพธ์อีกอย่างคือ ผู้คนจะไม่ใช้ท่าทีที่ดื้อแพ่งกับการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนดังที่เคยทำมาอีกต่อไป  พวกเขากลับจะสามารถสงบใจตนเองและฟังพระวจนะของพระเจ้าได้ด้วยท่าทีที่ซื่อสัตย์ พวกเขาจะยอมรับความจริงและสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกได้  นี่หมายความว่าเมื่อพวกเขาพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา พวกเขาจะไม่เป็นดังที่เคยเป็นมาอีกต่อไป—คือดื้อแพ่ง ว่ายาก ก้าวร้าวด้วยความคึกคะนอง โอหัง กำแหง และชั่วช้า—แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะทบทวนตนเองในเชิงรุกและรู้ปัญหาที่แท้จริงของตน  พวกเขาอาจไม่รู้ว่าแก่นแท้แห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนคืออะไร แต่พวกเขาก็จะสามารถสงบนิ่ง อธิษฐานถึงพระเจ้า และแสวงหาความจริง หลังจากนั้นพวกเขาก็จะยอมรับปัญหาและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน กลับใจต่อพระเจ้า และตั้งใจแน่วแน่ที่จะประพฤติตนต่างออกไปในภายภาคหน้า  ทั้งหมดนั้นคือท่าทีแห่งการนบนอบ  ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมจะมีหัวใจที่นบนอบพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใด ไม่ว่าพระองค์จะทรงให้พวกเขาทำอะไร ไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจใดหรือจัดแจงเตรียมสภาพแวดล้อมอันใดไว้ให้พวกเขา ก็ย่อมง่ายที่ผู้คนจะนบนอบต่อสิ่งเหล่านั้น  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะไม่เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงขนาดนั้นต่อพวกเขาเอง และย่อมง่ายที่จะแก้ไขและก้าวข้าม  เมื่อถึงจุดนั้น การนำความจริงไปปฏิบัติก็จะเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่ต้องใช้ความพยายาม และพวกเขาก็จะสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า  เหล่านี้คือเครื่องหมายของความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย  เมื่อใครบางคนสามารถนำความจริงไปปฏิบัติและนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ก็สมควรที่จะกล่าวว่าอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขามีการเปลี่ยนแปลงแล้ว—เป็นความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ความเปลี่ยนแปลงที่สัมฤทธิ์ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริงทั้งสิ้น  พฤติกรรมทั้งปวงที่เกิดขึ้นในตัวผู้คนในกระบวนการนี้ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมเชิงบวกหรือเป็นความคิดลบและความอ่อนแอตามปกติ ย่อมมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  ในเมื่อมีพฤติกรรมเชิงบวก ก็ต้องมีพฤติกรรมเชิงลบและพฤติกรรมที่อ่อนแอเช่นกัน—แต่ความคิดลบและความอ่อนแอนี้เป็นของชั่วคราว  ทันทีที่คนคนหนึ่งมีวุฒิภาวะระดับหนึ่ง พวกเขาย่อมจะมีสภาวะที่คิดลบและอ่อนแอน้อยลงทุกที และมีพฤติกรรมและการเข้าสู่ในเชิงบวกมากขึ้นเรื่อยๆ การกระทำของพวกเขาย่อมจะมีหลักธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ  คนเช่นนี้คือคนที่เชื่อฟังพระเจ้า และหลังการชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนให้สะอาด ย่อมเป็นคนที่มีอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงไปแล้ว  อาจกล่าวได้ว่าเหล่านี้คือผลที่ผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงบรรลุด้วยการมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า และด้วยการถูกตัดแต่งและจัดการ ถูกทดสอบและถลุงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บัดนี้ในเมื่อคนทุกผู้ได้ฟังและเข้าใจขั้นตอนเฉพาะตามปกติของการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว พวกเขาก็ไม่ควรคิดหาข้ออ้างหรือเหตุผลต่างๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเองอีกต่อไปว่าเหตุใดพวกเขาจึงเบื่อหน่ายความจริง หรือต้านทานความจริง หรือไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  บัดนี้หลังจากที่เข้าใจความจริงเหล่านี้และมองเห็นปัญหานี้อย่างชัดเจนแล้ว เจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะเหตุผลในการสร้างความชอบธรรมและข้ออ้างที่ผู้คนใช้เพื่อที่จะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  หากคนที่มีอายุมากกว่ากล่าวว่า “ฉันแก่แล้ว  ฉันไม่มีแรงขับหรือว่ากระตือรือร้นอย่างคนหนุ่มสาว  พอมีอายุ ฉันก็หมดความเด็ดเดี่ยวและความทะเยอทะยานของวัยหนุ่มสาว ฉันไม่โอหังอีกแล้ว  ดังนั้นการที่คุณบอกว่าฉันโอหังจึงเป็นเรื่องไร้สาระ—ฉันไม่ได้โอหัง!”  พวกเขาพูดถูกหรือไม่?  (ไม่ถูก)  เห็นได้ชัดว่าไม่ถูก  ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนมีวิจารณญาณแยกแยะคำพูดเช่นนี้แล้ว  เจ้าย่อมจะสามารถเปิดโปงคนคนนั้นและกล่าวว่า “แม้คุณจะมีอายุ แต่คุณก็ยังคงมีอุปนิสัยที่โอหัง  คุณโอหังมาชั่วชีวิตโดยไม่เคยแก้ไขมันเลย  คุณอยากจะโอหังต่อไปอย่างนั้นหรือ?”  คนหนุ่มสาวบางคนกล่าวว่า “ฉันอายุน้อยนัก ฉันไม่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องยุ่งเหยิงในสังคม ไม่เคยต่อสู้ดิ้นรนและลองใช้ชีวิตไปตามกลุ่มต่างๆ  ฉันไม่มีประสบการณ์อย่างที่ผู้คนที่อยู่ในโลกมานานเขามีกัน—และแน่นอนว่าที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ฉันไม่ได้กลับกลอกหรือคิดคดทรยศอย่างจิ้งจอกเฒ่าพวกนั้น  ในฐานะคนหนุ่มสาวย่อมเป็นปกติที่ฉันจะมีอุปนิสัยที่โอหังอยู่บ้าง อย่างน้อยฉันก็ไม่คิดคำนวณ ใช้เล่ห์ลวง และชั่วเท่าคนสูงอายุ”  การกล่าวเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่?  (ไม่เหมาะสม)  ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับวัยหรือเพศสภาพ  เจ้ามีสิ่งที่ผู้อื่นมี และพวกเขาก็มีสิ่งที่เจ้ามี  ไม่มีความจำเป็นที่ผู้ใดจะชี้นิ้ว  แน่นอนว่าเพียงยอมรับรู้ว่าทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามย่อมไม่พอ  ในเมื่อเจ้ายอมรับรู้ว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้าก็ต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมัน—เจ้าจะไม่บรรลุเป้าหมายของเจ้าจนกว่าเจ้าจะได้มาซึ่งความจริงและอุปนิสัยของเจ้ามีการเปลี่ยนแปลง  ท้ายที่สุดแล้วการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามย่อมขึ้นอยู่กับการที่เจ้ายอมรับความจริง ยอมปล่อยมือจากเหตุผลที่ใช้สร้างความชอบธรรมและข้อแก้ตัวของเจ้า และสามารถเผชิญหน้าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  เจ้าต้องไม่หลีกเลี่ยงหรือบ่ายเบี่ยงโดยใช้ข้ออ้าง และแน่นอนว่าเจ้าต้องไม่ปฏิเสธอุปนิสัยนั้นๆ  เหล่านี้คือสิ่งที่สัมฤทธิ์ง่าย  สิ่งที่ทำยากที่สุดคืออะไร?  เรานึกออกบางอย่าง  มีผู้คนที่กล่าวว่า “พูดไปเลยว่าฉันไล่ตามเสาะหาหรือไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พูดไปเลยว่าฉันไม่รักความจริงหรือว่าฉันเบื่อหน่ายความจริง เปิดโปงไปเลยว่าฉันมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอะไรบ้าง—ฉันก็แค่จะไม่สนใจคุณ  ฉันทำทุกสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าขอให้ฉันทำหรืองานอะไรก็ตามที่จำเป็นต้องทำ  ฉันฟังคำเทศนาและเข้าฟังการชุมนุม เวลาที่ทุกคนกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็อ่านตามไปด้วย ฉันนั่งดูวิดีโอคำพยานจากประสบการณ์อยู่ข้างๆ พวกคุณ และฉันกินเมื่อพวกคุณกิน  ฉันทำทุกอย่างพร้อมกับพวกคุณ  แล้วจะมีพวกคุณคนไหนพูดได้ว่าฉันไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  นี่คือวิธีเชื่อของฉัน ดังนั้นคุณจะทำหรือพูดอะไรตามใจชอบก็ย่อมได้ ฉันไม่สนใจ!”  คนแบบนี้ต่อหน้าก็แสร้งทำเป็นไม่มีข้ออ้างหรือเหตุผลที่จะสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง แต่ก็ไม่มีเจตนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน  ราวกับว่าพระราชกกิจแห่งความรอดของพระเจ้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องได้รับความรอด  ผู้คนเช่นนี้ไม่กล่าวออกมาอย่างแจ่มแจ้งว่า “สภาวะความเป็นมนุษย์ของฉันดีงาม ฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันเต็มใจที่จะละทิ้งสิ่งต่างๆ ฉันทนทุกข์และยอมลำบากได้  นอกเหนือจากนั้นแล้วฉันจำเป็นต้องยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้าอีกหรือ?”  พวกเขาไม่กล่าวออกมาดังนี้อย่างแจ่มแจ้ง พวกเขาไม่มีท่าทีที่ชัดเจนต่อความจริง และภายนอกแล้วพวกเขาก็ไม่กล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนี้อย่างไร?  หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากพวกเขาเมินและไม่ใส่ใจพระวจนะของพระเจ้าเท่าใดนัก เช่นนั้นแล้วท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขาย่อมชัดเจนมาก  เหมือนประโยคนั้นในพระคัมภีร์ไม่มีผิด ความว่า “เพราะว่าเจ้าเป็นแต่อุ่นๆ ไม่ร้อนและไม่เย็น เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา” (วิวรณ์ 3:16)  พระเจ้าไม่ทรงต้องการพวกเขา และนั่นย่อมหมายถึงปัญหา  มีผู้คนเยี่ยงนี้ในคริสตจักรหรือไม่?  (มี)  ดังนั้นแล้วจะจำแนกแยกแยะพวกเขากันอย่างไร?  ควรจะแยกพวกเขาไปไว้ที่ใด?  ไม่มีความจำเป็นต้องคัดแยกพวกเขาออกมา  กล่าวสั้นๆ คือผู้คนเช่นนี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงหรือทบทวนตนเองและรู้จักตนเอง พวกเขาไม่มีหัวใจของการกลับใจ—พวกเขากลับมีความเชื่อที่เลอะเลือนและสับสนในพระเจ้า  สิ่งใดก็ตามที่พระนิเวศของพระเจ้าขอให้พวกเขาทำ พวกเขาก็ทำโดยไม่ก่อให้เกิดความไม่สงบหรือการหยุดชะงัก  ถามพวกเขาสิว่า “คุณมีมโนคติอันหลงผิดบ้างไหม?”  “ไม่มี”  “คุณมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบ้างไหม?”  “ไม่มี”  “คุณอยากบรรลุความรอดหรือไม่?”  “ฉันก็ไม่รู้”  “คุณยอมรับไหมว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง?”  “ฉันไม่รู้”  จงถามอะไรพวกเขาก็ได้ พวกเขาย่อมกล่าวว่าพวกเขาไม่รู้  ผู้คนเช่นนี้มีปัญหาหรือไม่?  (มี)  ย่อมมี ทว่าพวกเขากลับรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ปัญหา ว่านั่นไม่จำเป็นต้องแก้ไข  พระคัมภีร์บอกว่า “เพราะว่าเจ้าเป็นแต่อุ่นๆ ไม่ร้อนและไม่เย็น เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา”  วลีที่ว่า—“เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา” นั้น—คือหลักธรรมในการรับมือผู้คนเยี่ยงนี้ นี่คือผลลัพธ์ที่จะเกิดกับพวกเขา  การไม่ร้อนและไม่เย็นหมายความว่าผู้คนเหล่านี้ไม่มีทัศนะอันใด หมายความว่าไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยหรือความรอดกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงเพิกเฉย  คำว่า “เพิกเฉย” ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพวกเขาไม่สนใจเรื่องดังกล่าวและไม่เต็มใจที่จะรับฟัง  บางคนอาจถามว่า “การไม่มีทัศนะหรือไม่มีการพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมาผิดอะไรนักหนาหรือ?”  นี่ช่างไร้สาระอย่างที่สุด!  นี่คือคนตายที่ไร้ดวงจิต ทั้งไม่ร้อนและไม่เย็น และไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา  เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด พระเจ้าก็จะทรงคายพวกเขาออกมาและเลิกสนพระทัยพวกเขาเท่านั้น  พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา และพวกเราก็จะไม่ประเมินผู้คนเยี่ยงนี้กันแต่อย่างใด พวกเรามีแต่จะไม่สนใจพวกเขาเท่านั้น  หากมีผู้คนเช่นนี้ในคริสตจักร พวกเขาอาจจะอยู่ต่อไปตราบเท่าที่พวกเขาไม่ก่อให้เกิดความไม่สงบ—หากพวกเขาก่อกวน พวกเขาย่อมจะถูกขับออกไป  นี่เป็นสิ่งที่แก้ไขง่าย  วจนะของเรามุ่งกล่าวกับผู้ที่ยอมรับความจริงได้ ปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและมีท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับความจริง ผู้ที่ยอมรับรู้ว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและสามารถได้รับการช่วยให้รอด วจนะของเราพุ่งเป้าไปยังผู้ที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ วจนะของเรามุ่งตรงไปยังแกะของพระเจ้า—พระวจนะของพระเจ้ามุ่งกล่าวกับผู้คนเหล่านั้น  พระวจนะของพระเจ้าไม่ได้มุ่งกล่าวกับผู้ที่ไม่ร้อนและไม่เย็นกับพระองค์  ผู้คนเช่นนี้ไม่สนใจความจริง ทั้งไม่ร้อนและไม่เย็นกับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า  หนทางในการรับมือผู้คนเช่นนี้ก็คือการกล่าวว่า “จงไปเถิด  เจ้าจะเป็นเช่นไรก็ไม่เกี่ยวกับเรา”—คือการเมินพวกเขาและไม่เปลืองแรงกับพวกเขา

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันถึงตัวอย่างเชิงลบบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริง  โดยไม่ทันรู้ตัว ผู้คนมักจะคิดหาเหตุผลเพื่อที่จะสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง คิดหาข้ออ้าง และข้อแก้ตัวนานัปการเพื่อใช้ปฏิเสธการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมา—แน่นอนว่าพวกเขามักจะซ่อนเร้นการมีอยู่ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนด้วย อันเป็นการหลอกตนเองและผู้อื่น  เหล่านี้คือวิธีการอันเบาปัญญาและโง่เขลาของมนุษย์  ในด้านหนึ่ง ผู้คนก็ยอมรับรู้ว่าพระวจนะทั้งปวงของพระเจ้าที่พิพากษามนุษย์คือความจริง ในอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ปฏิเสธการมีอยู่แห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง รวมทั้งพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องของพวกเขาซึ่งละเมิดความจริง  นี่เป็นเครื่องหมายที่ชัดเจนว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริง  ไม่ว่าเจ้าจะปฏิเสธหรือยอมรับรู้ว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หรือว่าเจ้ามีข้ออ้าง เหตุผลในการสร้างความชอบธรรม หรือข้อโต้แย้งอันลวงโลกสำหรับการพรั่งพรูพฤติกรรมอันเสื่อมทรามของเจ้าออกมา—สรุปแล้ว หากเจ้าไม่ยอมรับความจริง เจ้าก็ไม่สามารถได้รับความรอดจากพระเจ้า  นี่เป็นเรื่องที่มิอาจโต้แย้งได้  ผู้ใดก็ตามที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใดย่อมจะถูกเปิดโปงและขับออกไปในท้ายที่สุดไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้เชื่อมากี่ปีแล้วก็ตาม  จุดจบเช่นนี้เป็นจุดจบอันน่าหวาดหวั่น  แล้วอีกไม่นานความวิบัติทั้งหลายก็จะมาเยือนและเจ้าก็จะถูกเปิดโปง เมื่อความวิบัติทั้งหลายมาถึงตัว เจ้าจะรู้สึกหวาดกลัว  เจ้าอาจมีเหตุผลที่จะใช้สร้างความชอบธรรมอยู่มากและมีข้ออ้างมากมาย หรืออาจเป็นได้ว่าเจ้านั้นอำพรางตนเก่งและปกปิดตนเองไว้อย่างมิดชิด แต่มีข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้อยู่อย่างหนึ่งคือ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ายังอยู่ครบ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย  เจ้าไม่สามารถรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริง เจ้าไม่สามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง และท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็จะไม่สามารถกลับตัวหรือนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และพระเจ้าก็จะไม่เปลี่ยนพระทัยในเรื่องของเจ้า  เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะเดือดร้อนอย่างหนักมิใช่หรือ?  เจ้าจะมีภัยของการถูกขับออกไป  นั่นคือสาเหตุที่คนฉลาดหลักแหลมย่อมจะเลิกใช้ข้ออ้างที่ไม่ฉลาดและเหตุผลอันเบาปัญญาพวกนี้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง ปลดเปลื้องสิ่งที่พวกเขาใช้อำพรางและปกปิดตนเองเสีย  พวกเขาจะเผชิญหน้าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ตนพรั่งพรูออกมาอย่างถูกต้องเหมาะสม และใช้วิธีการที่ถูกต้องในการจัดการและแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้น เพียรพยายามที่จะทำให้ทุกสิ่งที่ตนทำและแสดงออกมานั้นเป็นความประพฤติอันดีงาม เพื่อให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยในเรื่องของพวกเขา  หากพระเจ้าเปลี่ยนพระทัยเกี่ยวกับตัวเจ้า นั่นย่อมพิสูจน์ว่าพระองค์ได้ทรงอภัยให้แก่ความเป็นกบฏและการต้านทานของเจ้าในกาลที่ผ่านมาแล้ว  เจ้าจะรู้สึกมีสันติสุขและชื่นบาน และเจ้าจะไม่รู้สึกเก็บกดอีกต่อไป ประหนึ่งยกภูเขาออกจากอก  ความรู้สึกนี้คือการยืนยันจากวิญญาณของเจ้าว่าบัดนี้เจ้ามีหวังที่จะได้รับความรอด  ความหวังนี้คือสิ่งที่เจ้าแลกมาด้วยราคาที่เจ้ายอมจ่ายเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริงและเป็นความประพฤติอันดีงามของเจ้า  นี่คือผลสัมฤทธิ์จากการไล่ตามเสาะหาความจริงและตระเตรียมความประพฤติอันดีงามของเจ้า  ในทางกลับกัน เจ้าอาจนึกว่าตนเองฉลาดหลักแหลมพอแล้ว และทุกครั้งที่เจ้าพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมา เจ้าอาจสามารถค้นพบเหตุผลมากมายที่จะใช้ปกป้องตนเองและแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ผิด  เจ้าอาจอำพรางและกลบเกลื่อนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า และด้วยเหตุนั้นจึงหลีกเลี่ยงการต้องคิดทบทวนและทำความรู้จักอุปนิสัยของตนเองไปอย่างชาญฉลาด ราวกับว่าเจ้าไม่ได้พรั่งพรูความเสื่อมทรามอันใดออกมา  เจ้าอาจคิดว่าตัวเจ้าเองฉลาดหลักแหลม หลบหลีกการถูกเปิดโปงจากสภาพแวดล้อมนานาประการที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า  เจ้าย่อมจะไม่ทบทวนหรือทำความรู้จักตนเอง เจ้าย่อมจะไม่ได้รับความจริง และเจ้าย่อมจะพลาดโอกาสเป็นอันมากที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า  นี่จะมีผลสืบเนื่องเช่นไรบ้าง?  ตอนนี้ขอให้พวกเราวางเรื่องที่ว่าเจ้าจะสามารถกลับใจหรือบรรลุความรอดได้หรือไม่เอาไว้ก่อน แล้วกล่าวแต่เพียงว่าหากพระเจ้าประทานโอกาสให้เจ้ากลับใจครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่มีครั้งใดเคยผลักดันให้เจ้ายอมเปลี่ยนใจ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเดือดร้อนอย่างมาก  จะสำคัญกระนั้นหรือว่าเจ้าปกป้องตนเองดีเพียงใด นำเสนอตนเองดีเพียงใด อำพรางตนเองดีเพียงใด แก้ตัวและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองดีเพียงใด?  หากพระเจ้าประทานโอกาสแก่เจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า และนี่ก็ยังไม่ทำให้เจ้าเปลี่ยนใจด้วยซ้ำ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีภัย  เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นเป็นภัยอันใด?  เจ้าดื้อรั้นสร้างข้ออ้างให้กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่หยุด ให้ข้ออ้างและเหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ต้านทานและปฏิเสธการพิพากษาของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ ทว่าเจ้ากลับนึกว่าตนเองสบายดียิ่งและเชื่อว่ามโนธรรมของเจ้านั้นชัดเจน  เจ้าไม่ยอมรับการกำกับดูแล การตัดแต่งและจัดการจากพระนิเวศของพระเจ้า หลบหลีกการพิพากษา การตีสอน และการช่วยให้รอดของพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเป็นกบฏต่อพระองค์—พระเจ้าทรงชังเจ้าแล้วและพระองค์ก็ทรงทอดทิ้งเจ้าไปแล้ว ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังคิดว่าเจ้าอาจได้รับการช่วยให้รอด  เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าได้เดินห่างออกไปทุกทีแล้วบนเส้นทางที่ผิด ว่าเจ้าพ้นวิสัยที่จะได้รับการไถ่แล้ว?  พระเจ้าทรงเป็นใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้า  เจ้านึกหรือว่าเมื่อเจ้าต้านทานพระองค์และทำความชั่วนานาชนิดของเจ้าแล้ว สิทธิอำนาจของพระเจ้าย่อมเข้าไม่ถึงตัวเจ้า?  เจ้าไม่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า เจ้าไม่ได้มาซึ่งความจริงและชีวิต และเจ้าก็ไม่มีคำพยานจากประสบการณ์แต่อย่างใด  ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงตรัสกล่าวโทษเจ้า  เจ้ากำลังนำมหันตภัยมาสู่ตัวเจ้าเอง  ไม่มีอะไรฉลาดหลักแหลมในการทำเช่นนั้นเลย—เป็นความเบาปัญญา ความเบาปัญญาอย่างที่สุด!  นี่เป็นภัยมหันต์!  พวกเราได้อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างชัดแจ้งในที่นี้แล้ว—หากเจ้าไม่เชื่อ ก็จงรอดูเท่านั้น  เจ้าไม่ควรนึกว่าหากเจ้ามีเหตุผลต่างๆ ในการสร้างความชอบธรรมให้กับการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง มีคารมคมคาย และมีการวางกลอุบาย หากไม่มีผู้ใดโต้แย้งชนะเจ้าได้ และพี่น้องชายหญิงก็เปิดโปงเจ้าไม่ได้ และหากคริสตจักรไม่มีเหตุอันควรที่จะเอาเจ้าออก เช่นนั้นแล้วพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่อาจทำอะไรเจ้าได้แต่อย่างใด  เจ้าคิดผิดในเรื่องนั้น  เจ้าเฝ้าขับเคี่ยวกับพระเจ้า เราจะดูว่าเจ้าจะแข่งกับพระองค์ไปได้นานเพียงใด!  เจ้าจะสามารถแข่งขันกับพระองค์ไปจนถึงวันที่พระเจ้าประทานรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่วหลังจากที่เสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์กระนั้นหรือ?  เจ้าจะรับประกันได้หรือไม่ว่าเจ้าจะไม่ตายในความวิบัติทั้งหลาย—ว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดจากความวิบัติ?  เจ้ามีอธิปไตยเหนือชะตากรรมของเจ้าเองจริงหรือ?  เหตุผลในการสร้างความชอบธรรมและข้ออ้างของเจ้าอาจเปิดโอกาสให้เจ้าหนีพ้นการตรวจสอบแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไปสักพัก อาจทำให้เจ้ายืดการดำรงอยู่อันไร้เกียรติของเจ้าออกไปได้สักระยะหนึ่ง  เจ้าอาจบังตาผู้คนได้ชั่วคราว อำพรางตนและโกงผู้อื่นในคริสตจักร และครองตำแหน่งที่นั่นต่อไปได้—แต่เจ้าก็จะหนีการตรวจสอบหรือการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าไม่พ้น  พระเจ้าทรงตัดสินจุดจบของคนคนหนึ่งโดยทรงดูว่าพวกเขามีความจริงหรือไม่ พระองค์ทรงพระราชกิจและทำการฝัดร่อนของพระองค์เอง  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นใดหรือเป็นมารพวกใด เจ้าก็ไม่สามารถหนีพ้นการพิพากษาและการกล่าวโทษของพระเจ้า  ทันทีที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถหนีพ้น นั่นคือเวลาที่เจ้าจะถูกพาตัวออกจากคริสตจักร  บางคนอาจไม่ปักใจเชื่อและบ่นพึมพำว่า “ฉันวิ่งวุ่นเพื่อพระเจ้าไปตั้งมากมาย ทำงานให้พระองค์มากนัก และยอมลำบากถึงขนาดนั้น  ฉันทิ้งครอบครัวและชีวิตสมรสของตน ฉันมอบวัยหนุ่มสาวของฉันให้พระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์  ฉันยอมทิ้งอาชีพการงานและทุ่มเทแรงกำลังของตนเองไปครึ่งชีวิต นึกว่าฉันจะได้รับพรจากพระองค์เป็นแน่  ฉันไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะถูกขับออกมาเพราะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ยอมปฏิบัติความจริง!”  เจ้าไม่รู้หรือว่าความจริงเป็นใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้า?  เจ้าไม่ชัดเจนหรือว่าพระเจ้าประทานรางวัลแก่ใครและทรงอวยพรผู้ใด?  หากการตัดขาดและการเสียสละของเจ้าพาให้เกิดคำพยานที่แท้จริงจากประสบการณ์ และเป็นพยานยืนยันพระราชกิจของพระเจ้าอีกด้วย เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมจะประทานรางวัลและพรแก่เจ้า  หากการประกาศตัดขาดและการเสียสละของเจ้าไม่ใช่คำพยานที่แท้จริงจากประสบการณ์ และยิ่งไม่ใช่คำพยานให้แก่พระราชกิจของพระเจ้า หากแต่เป็นเพียงคำพยานให้ตัวเจ้าเอง เป็นคำขอให้พระเจ้าทรงยอมรับรู้ความสำเร็จของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับเปาโล  สิ่งที่เจ้าทำอยู่นั้นชั่วและเป็นการต้านทานพระเจ้า และพระเจ้าจะตรัสแก่เจ้าว่า “จงไปเสียจากเรา เจ้าคนทำชั่ว!”  เช่นนี้จะหมายความว่ากระไร?  นี่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเจ้านั้นย่อยยับไปแล้ว ไม่แคล้วที่จะตกอยู่ในความวิบัติและถูกลงโทษ  เจ้าย่อมจะประสบเภทภัย  เปาโลเหนือกว่าคนทั่วไปในยุคสมัยของเขาในแง่ของสถานะ งานที่เขาทำ ความสามารถ และพรสวรรค์ของเขา—แต่ทั้งหมดนั้นให้อะไร?  ตั้งแต่ต้นจนจบในการที่เขาเชื่อในพระเจ้า เปาโลพยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้า พยายามที่จะวางเงื่อนไข เขาแสวงหาบำเหน็จและมงกุฎจากพระเจ้า  แล้วในท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริงหรือตระเตรียมความประพฤติอันดีงามมากนัก—จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะห่างไกลจากการมีคำพยานที่แท้จริงจากประสบการณ์อย่างมากมาย  แล้วเขาจะสามารถได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้าโดยที่ไม่มีแม้กระทั่งการกลับใจที่แท้จริงหรือไม่?  เขาจะสามารถทำให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยในเรื่องของเขาได้หรือไม่?  นั่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้  เปาโลใช้เวลาทั้งชีวิตของตนเพื่อพระเจ้า แต่เพราะเขาเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์และไม่ยอมกลับใจอย่างเด็ดขาด ไม่เพียงเขาไม่ได้รับการปูนบำเหน็จเท่านั้น—แต่เขายังถูกพระเจ้าลงโทษอีกด้วย  จึงไม่ต้องกล่าวเลยว่าผลสืบเนื่องที่เขาทนทุกข์นั้นเป็นภัยมหันต์  ดังนั้นเราจึงบอกเจ้าอย่างชัดเจนในครานี้ว่าหากเจ้าไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้ว อย่างน้อยเจ้าก็ควรมีสำนึกอยู่บ้างและไม่โต้แย้งพระเจ้า หรือเอาจุดจบและบั้นปลายของเจ้ามาเสี่ยงวางเดิมพัน ราวกับว่าเจ้ากำลังเล่นพนันอยู่  นั่นคือการพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า ซึ่งเป็นวิธีต้านทานพระองค์อย่างหนึ่ง  ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า แต่ต้านทานพระองค์ จะมีบทอวสานอันใดที่ดีได้?  ผู้คนพากันประพฤติดีเมื่อเผชิญหน้าความตาย ผู้ที่ไม่สนใจเหตุผลย่อมจะไม่ยอมทิ้งหนทางของตนจนกระทั่งพวกเขามาถึงประตูแห่งความตาย  และเพื่อที่จะได้รับการช่วยให้รอด วิธีการที่ดีที่สุด เรียบง่ายและชาญฉลาดที่สุดก็คือการวางข้ออ้าง เหตุผลในการสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง และเงื่อนไขทั้งปวงของเจ้าลง ยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริงโดยที่เท้าของเจ้ายืนหยัดติดดินอย่างมั่นคง อันเป็นการทำให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยเกี่ยวกับตัวเจ้า  เมื่อพระเจ้าเปลี่ยนพระทัยในเรื่องของเจ้า เจ้าย่อมมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ความหวังที่มนุษย์มีในความรอดเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ และเงื่อนไขเบื้องต้นที่พระเจ้าจะประทานความหวังนี้แก่เจ้าก็คือการที่เจ้าปล่อยมือจากทุกสิ่งที่เจ้ารักและหวงแหน ละทิ้งทุกอย่างเพื่อติดตามพระองค์และไล่ตามเสาะหาความจริง โดยไม่พยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระองค์  ไม่สำคัญว่าเจ้าชราหรือหนุ่มสาว เป็นชายหรือเป็นหญิง มีการศึกษาหรือไม่มีการศึกษา และไม่สำคัญว่าเจ้าเกิดที่ใด  พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรมองสิ่งเหล่านี้  เจ้าอาจกล่าวว่า “ฉันเป็นคนอารมณ์ดี  ฉันอดทน อดกลั้น และสงสารเห็นใจ  ถ้าฉันอดทนไปจนถึงปลายทาง นั่นย่อมจะทำให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยเกี่ยวกับตัวฉัน”  สิ่งเหล่านั้นไม่มีประโยชน์  พระเจ้าไม่ทรงดูที่ภาวะอารมณ์ของเจ้า หรือบุคลิกภาพของเจ้า หรือการศึกษาของเจ้า หรือวัยของเจ้า และก็ไม่สำคัญว่าเจ้าทนทุกข์ไปมากเพียงใดหรือเจ้าทำงานไปมากเท่าใด  พระเจ้าจะตรัสถามเจ้าว่า “ตลอดเวลาหลายปีที่เจ้าเชื่อมา อุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่?  เจ้าใช้สิ่งใดเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต?  เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงบ้างหรือไม่?  เจ้ายอมรับวจนะของพระเจ้าบ้างหรือไม่?”  เจ้าอาจกล่าวว่า “ฉันฟังพระวจนะและยอมรับพระวจนะแล้ว”  และแล้วพระเจ้าก็จะตรัสถามเจ้าว่า “ในเมื่อเจ้าเคยฟังวจนะ แล้วเจ้าก็ยอมรับวจนะ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้รับการแก้ไขบ้างหรือไม่?  เจ้ากลับใจอย่างแท้จริงหรือยัง?  เจ้านบนอบต่อวจนะของพระเจ้าและยอมรับวจนะโดยแท้หรือยัง?”  เจ้าก็กล่าวว่า “ฉันทนทุกข์และยอมลำบากไปแล้ว ฉันสละตนเองและละทิ้งสิ่งต่างๆ แล้วฉันก็ถวายของ—ฉันถวายลูกๆ ของฉันให้พระเจ้าด้วย”  ของถวายทั้งปวงของเจ้าย่อมไร้ประโยชน์  สิ่งของเช่นนั้นไม่อาจแลกเป็นพรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์หรือใช้ทำให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยในเรื่องของเจ้าได้  วิธีเดียวที่จะทำให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยในเรื่องของเจ้าก็คือการออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่มีทางเลือกอื่น  เมื่อเป็นเรื่องของความรอด มนุษย์ต้องไม่ฉวยโอกาสหรือทำตัวเจ้าเล่ห์ และย่อมไม่มีช่องโหว่ให้ใช้  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  เจ้าต้องชัดเจนในเรื่องนี้  จงอย่าเลอะเลือนในเรื่องนี้—ต่อให้เจ้าเลอะเลือน พระเจ้าก็จะไม่ทรงเป็นเช่นนั้น  ดังนั้นจากนี้ไป เจ้าควรทำเช่นไร?  จงกลับท่าทีและเปลี่ยนแปลงมุมมองของเจ้า ยอมให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐานของเจ้าไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดก็ตาม  “ความดี” อย่างที่มนุษย์กำหนดขึ้นมา ข้ออ้างของมนุษย์ ปรัชญา ความรู้ ศีลธรรม จริยธรรม หรือแม้กระทั่งมโนธรรมของมนุษย์ หรือสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าความซื่อสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรี ไม่สามารถแทนที่ความจริงได้  จงวางสิ่งเหล่านี้ สงบใจของเจ้า และค้นหารากฐานแห่งการประพฤติตนและการกระทำทั้งหมดของเจ้าให้พบภายในพระวจนะของพระเจ้า  และขณะที่เจ้าทำเช่นนั้น จงค้นหาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยไว้ภายในพระวจนะของพระองค์  จงเทียบเคียงตัวเจ้ากับพระวจนะ และแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  จงเพียรพยายามที่จะรู้จักตัวเจ้าเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ปลดเปลื้องความเสื่อมทราม รีบกลับตัวและกลับใจ  จงปล่อยมือจากความชั่วของเจ้า และแสวงหาหลักธรรมของความจริงในการประพฤติตนและการกระทำของเจ้า โดยทำทั้งหมดนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า—เจ้าต้องไม่ทำสิ่งเหล่านี้ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์  เจ้าต้องไม่พยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้าเป็นอันขาด เจ้าต้องไม่พยายามนำความทุกข์และการพลีอุทิศอันไร้นัยสำคัญของเจ้ามาแลกเปลี่ยนเป็นรางวัลและพรจากพระเจ้า  จงเลิกทำสิ่งที่เบาปัญญาเช่นนั้น หาไม่แล้วพระเจ้าย่อมจะกริ้วเจ้า สาปแช่งเจ้า และขับเจ้าออกไป  นั่นชัดเจนหรือไม่?  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ใช่หรือไม่?  (เข้าใจ)  ถ้าเช่นนั้นก็จงใคร่ครวญเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนขณะที่เจ้าก้าวเดินต่อไป

ทุกสิ่งที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปนั้นสัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริง และแม้พวกเราจะไม่ได้ให้คำตอบที่แน่นอนแก่คำถามเชิงแนวคิดว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงหมายความว่าอย่างไร แต่พวกเราก็ได้สามัคคีธรรมบางอย่างซึ่งพุ่งเป้าไปที่ความเข้าใจผิดและความรู้อันคลาดเคลื่อนนานัปการที่มนุษย์มีต่อการไล่ตามเสาะหาความจริง รวมทั้งความยากลำบากและปัญหานานาที่เกิดขึ้นยามที่คนเราไล่ตามเสาะหาความจริง  เพื่อเป็นการปิดท้าย เราอยากจะสรุปความหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริง หนทางที่สำแดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง และสรุปให้แน่ชัดว่าเส้นทางปฏิบัติของการไล่ตามเสาะหาความจริงมีอะไรบ้าง  ดังนั้น การไล่ตามเสาะหาความจริงหมายความว่าอย่างไร?  การไล่ตามเสาะหาความจริงคือการเริ่มปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระวจนะ แล้วจากนั้นก็สัมฤทธิ์ความเข้าใจในความจริง เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงผ่านทางการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า กลายเป็นผู้ที่รู้จักและเชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริง  นั่นคือผลสุดท้ายที่สัมฤทธิ์ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง  แน่นอนว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นกระบวนการที่มีขั้นตอน ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายระยะ  เมื่อเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าและพบว่าพระวจนะคือความจริงและความเป็นจริง เจ้าจะเริ่มทบทวนตนเองภายในพระวจนะของพระเจ้าและทำความรู้จักตัวเจ้าเอง  เจ้าจะมองเห็นว่าเจ้านั้นกบฏเหลือเกินและเจ้าพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมามากมายนัก  เจ้าจะปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติและสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า เจ้าจะเริ่มพากเพียรเข้าสู่ความจริง  นั่นคือผลลัพธ์ที่เกิดจากการทบทวนตนเองและรู้จักตนเองโดยแท้  จากเวลานั้นเป็นต้นไป ประสบการณ์ชีวิตของเจ้าก็เริ่มต้น  เมื่อเจ้าเริ่มสืบเสาะและตรวจสอบสภาวะและปัญหาที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเริ่มไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว  เจ้าจะสามารถคิดทบทวนและตรวจสอบปัญหาอันใดที่เกิดขึ้นหรือความเสื่อมทรามอันใดที่เจ้าพรั่งพรูออกมาได้ในเชิงรุก  และเมื่อเจ้าตระหนักว่าสิ่งเหล่านั้นคือการพรั่งพรูความเสื่อมทรามและเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามโดยแท้ เจ้าก็จะแสวงหาความจริงและเริ่มแก้ไขปัญหาเหล่านั้นไปเอง  การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นด้วยการทบทวนตนเอง นี่คือขั้นแรกของการไล่ตามเสาะหาความจริง  หลังจากนั้น ด้วยการทบทวนตนเองและรู้จักตนเอง เจ้าจะมองเห็นทันทีว่าพระวจนะแห่งการเปิดโปงของพระเจ้าล้วนสอดคล้องกับข้อเท็จจริง  และแล้วเจ้าก็จะสามารถนบนอบต่อพระวจนะจากหัวใจของเจ้า สามารถยอมรับการพิพากษาและตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า  นั่นคือขั้นตอนที่สองของการไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนส่วนใหญ่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดเผยพฤติกรรมอันเสื่อมทรามของมนุษย์ออกมา แต่พวกเขาไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของมนุษย์ได้โดยง่าย  หลังจากที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจึงไม่ยอมรับรู้ว่าความเสื่อมทรามของตนหนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง พวกเขายอมรับรู้แต่พระวจนะของพระเจ้าที่เปิดเผยพฤติกรรมอันเสื่อมทรามของมนุษย์  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สามารถยอมรับการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้าจากหัวใจของตนได้  แต่พวกเขากลับเพิกเฉยแทน  บางคนกล่าวว่า “ฉันมีพฤติกรรมที่เสื่อมทรามไม่กี่อย่างเท่านั้น แต่ฉันก็พอจะทำเรื่องดีๆ ได้  ฉันเป็นคนดี ไม่ใช่คนของซาตาน  ฉันเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นฉันก็ควรเป็นคนของพระเจ้า”  นี่ย่อมไร้สาระมิใช่หรือ?  เจ้าเกิดมาในโลกของมนุษย์ เจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน แล้วเจ้าก็ได้รับการศึกษาตามวัฒนธรรมดั้งเดิม  ลักษณะที่สืบทอดกันมาตามธรรมชาติและสิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้ก็มาจากซาตาน  ผู้คนที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่เจ้าเทิดทูนล้วนเป็นพวกของซาตาน  การกล่าวว่าเจ้าไม่ใช่คนของซาตานจะทำให้เจ้าหนีพ้นความเสื่อมทรามของมันกระนั้นหรือ?  นี่ก็เหมือนกับการที่เด็กเล็กพอเปิดปากก็สามารถพูดปดและถากถางผู้อื่นได้  ผู้ใดสอนให้เด็กๆ ทำเช่นนั้น?  ไม่มีใครสอน  แล้วนั่นจะเป็นอะไรได้นอกจากผลสืบเนื่องจากความเสื่อมทรามของซาตาน?  เหล่านี้คือข้อเท็จจริง  ผู้คนไม่สามารถมองเห็นซาตานและเหล่าวิญญาณชั่วของโลกวิญญาณ แต่พวกปีศาจที่มีชีวิตและราชามารทั้งหลายนั้นมีอยู่ทุกหนแห่งในโลกมนุษย์  พวกมันคือการปรากฏในรูปมนุษย์ของซาตานทั้งสิ้น  นี่คือข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ผู้คนทั้งปวงต้องรับรู้  ผู้ที่เข้าใจความจริงย่อมมองสิ่งเหล่านี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง และพวกเขาย่อมรับรู้ได้ว่าพระวจนะแห่งการเปิดโปงของพระเจ้าคือข้อเท็จจริงทั้งสิ้น  บางคนอาจพูดถึงการรู้จักตัวพวกเขาเอง แต่พวกเขาไม่เคยยอมรับรู้ว่าความเสื่อมทรามที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยเอาไว้นั้นคือข้อเท็จจริง หรือรับรู้ว่าพระวจนะของพระองค์คือความจริง  นี่เทียบเท่ากับการยอมรับความจริงไม่ได้  หากคนเราไม่ยอมรับรู้ข้อเท็จจริงว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาย่อมจะไม่สามารถกลับใจได้จริง  แน่นอนว่าคนเราต้องมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าสักระยะหนึ่งเพื่อที่จะรับรู้และยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าทุกคนล้วนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  หลังจากพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมามากแล้ว พวกเขาก็จะยอมก้มศีรษะนบนอบอยู่เบื้องหน้าข้อเท็จจริงนั้นไปเอง  พวกเขาจะไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับรู้ว่าพระวจนะทั้งปวงของพระเจ้าที่เปิดเผย พิพากษา และกล่าวโทษมนุษย์คือข้อเท็จจริงและความจริง และยอมรับพระวจนะเหล่านั้นโดยสมบูรณ์  การถูกพระวจนะของพระเจ้าพิชิตมีความหมายเช่นนั้น  เมื่อผู้คนสามารถรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตนตามพระวจนะของพระเจ้า และยอมรับได้ว่าพวกเขามีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ว่าความเสื่อมทรามของพวกเขานั้นไหลลึก เมื่อนั้นพวกเขาก็จะยอมรับและนบนอบต่อการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่  พวกเขาจะเต็มใจนบนอบต่อพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดเผยและพิพากษามวลมนุษย์ไม่ว่าพระวจนะจะเกรี้ยวกราดหรือทิ่มแทงเพียงใดก็ตาม  เมื่อเจ้าเข้าใจและรู้บ้างแล้วว่าพระวจนะของพระเจ้านิยาม จำแนก และกล่าวโทษมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามอย่างไร รวมทั้งพิพากษาและเปิดเผยมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามออกมาอย่างไร เมื่อเจ้ายอมรับการพิพากษาและตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้าโดยแท้ และเริ่มรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของเจ้าเอง เมื่อเจ้าเริ่มเกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เกลียดชังซาตาน และเนื้อหนังของเจ้า—และเมื่อเจ้าถวิลหาที่จะได้รับความจริง มีชีวิตอย่างที่มนุษย์ควรจะมี และกลายเป็นคนที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง—เมื่อนั้นเจ้าจะเริ่มมุ่งไล่ตามเสาะหาความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า  นี่คือขั้นตอนที่สามของการไล่ตามเสาะหาความจริง

การรู้จักตนเองอย่างแท้จริงคือการทบทวนและทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราตามพระวจนะของพระเจ้า และด้วยเหตุนี้จึงสัมฤทธิ์การรู้จักแก่นแท้อันเสื่อมทรามของคนเราและข้อเท็จจริงเรื่องความเสื่อมทรามของคนเรา  เมื่อคนคนหนึ่งทำเช่นนี้ พวกเขาย่อมจะมองเห็นอย่างชัดเจนที่สุดว่าความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์หนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง—พวกเขาจะมองเห็นว่ามวลมนุษย์ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ผู้คนควรจะทำ ว่ามนุษยชาติดำรงชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเท่านั้น และมวลมนุษย์ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ  พวกเขาจะมองเห็นว่าทัศนะที่ผู้คนมีต่อสิ่งต่างๆ ล้วนเป็นของซาตาน และไม่มีทัศนะใดถูกต้องหรือตรงตามความจริง ว่าความชอบส่วนตน การไล่ตามไขว่คว้า และเส้นทางที่ผู้คนเลือกล้วนมีพิษของซาตานเจือปนอยู่ และทั้งหมดนี้บรรจุความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อของมนุษย์และเจตนาที่จะได้รับพรเอาไว้  พวกเขาจะมองเห็นว่าอุปนิสัยที่มนุษย์พรั่งพรูออกมานั้นแท้จริงแล้วคืออุปนิสัย ธรรมชาติ และแก่นแท้ของซาตาน  การรู้จักตนเองถึงขั้นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย จะสัมฤทธิ์ได้ก็ด้วยการอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  หากทำตามทฤษฎี ถ้อยแถลง และความคิดอ่านทางด้านศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิม คนเราจะสามารถสัมฤทธิ์การรู้จักตนเองที่แท้จริงได้หรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ามาจากปรัชญาและทฤษฎีเหล่านี้ของซาตาน  การรู้จักตนเองโดยอ้างอิงตามสิ่งเหล่านี้ที่เป็นของซาตานย่อมจะไร้สาระมิใช่หรือ?  นี่ย่อมจะเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดีมิใช่หรือ?  เพราะฉะนั้น การรู้จักตนเองต้องอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้า  เฉพาะพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง และเฉพาะพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นหลักเกณฑ์ในการประเมินผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งปวง หากเจ้ามองเห็นอย่างแท้จริงว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ว่าพระวจนะคือหลักการพื้นฐานอันถูกต้องเพียงอย่างเดียวในการประเมินผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งปวง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีหนทางที่จะก้าวไปข้างหน้า  และแล้วเจ้าจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง ซึ่งก็คือการใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เมื่อผู้คนรู้จักแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตนอย่างแท้จริงภายในพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจะประพฤติตนและปฏิบัติอย่างไรหลังจากนั้น?  (พวกเขาจะกลับใจ)  นั่นถูกต้อง  เมื่อคนคนหนึ่งรู้จักธรรมชาติและแก่นแท้ของตน ก็เป็นธรรมดาที่หัวใจของพวกเขาจะสำนึกผิด และพวกเขาก็จะเริ่มกลับใจ  นี่หมายความว่าพวกเขาจะเสาะแสวงที่จะขจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และไม่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอีกต่อไป  แต่พวกเขากลับจะใช้ชีวิตและประพฤติตนตามพระวจนะของพระเจ้า และสามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า  นี่คือการกลับใจที่แท้จริง  นี่คือขั้นตอนที่สี่ของการไล่ตามเสาะหาความจริง  บัดนี้พวกเจ้าทุกคนเข้าใจชัดเจนแล้วว่าการกลับใจที่แท้จริงเป็นเช่นไร ดังนั้นพวกเจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อที่จะกลับใจ?  จงกลับตัวเสีย  นี่หมายถึงการวางมือจากสิ่งที่เจ้ายึดมั่นและคิดว่าถูกต้อง ไม่ดำรงชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน และเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า  นี่คือความหมายของการกลับตัว  กล่าวให้แน่ชัดลงไปก็คือ เจ้าต้องปฏิเสธตนเองเสียก่อนและระบุลักษณะของความคิดอ่าน แนวคิด การกระทำ และความประพฤติของเจ้าว่าตรงตามความจริงหรือไม่ และเกิดขึ้นมาอย่างไร โดยอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าชี้ว่าสิ่งเหล่านี้จัดเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและเกิดจากปรัชญาของซาตาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรใช้ท่าทีที่กล่าวโทษและสาปแช่งสิ่งเหล่านี้  การทำเช่นนี้ย่อมเอื้อต่อการละทิ้งเนื้อหนังและซาตาน  นี่เป็นพฤติกรรมแบบใด?  นี่คือการปฏิเสธ เลิกล้ม ตัดขาด และละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ามิใช่หรือ?  การปฏิเสธสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้อง ปล่อยมือจากผลประโยชน์ของเจ้า ละทิ้งเจตนาอันไม่ถูกต้องของเจ้า อันเป็นการสัมฤทธิ์การพลิกครรลองของเจ้ากลับมานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และมีรายละเอียดเฉพาะอยู่มาก  หากเจ้าเต็มใจที่จะกลับใจ แต่เจ้าเอาแต่กล่าวเช่นนี้เท่านั้น และไม่ปฏิเสธ ล้มเลิก ตัดขาด หรือละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมไม่ได้สำแดงถึงการกลับใจ และเจ้าก็ยังไม่ได้เข้าสู่การกลับใจในแบบที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  การกลับใจที่แท้จริงสำแดงออกมาอย่างไร?  ก่อนอื่นเจ้าย่อมปฏิเสธสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้องเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น มโนคติอันหลงผิดและข้อเรียกร้องที่เจ้ามีต่อพระเจ้า รวมทั้งสิ่งทั้งหลาย เช่น ทัศนะที่เจ้ามีต่อสิ่งต่างๆ วิธีการและหนทางที่เจ้าใช้จัดการปัญหา ประสบการณ์ในฐานะมนุษย์ของเจ้า เป็นต้น  การปฏิเสธสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้คือการกลับใจที่เป็นรูปธรรมจากหัวใจและเป็นการหันเข้าหาพระเจ้า  เจ้าจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งที่ผิดพลาดทั้งหลายได้ต่อเมื่อเจ้ามองทะลุและปฏิเสธสิ่งเหล่านี้เท่านั้น  หากเจ้าไม่ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ และยังคงเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ดีงามและถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว ต่อให้ผู้อื่นบอกให้เจ้าปล่อยสิ่งเหล่านี้ไป เจ้าก็จะทำเช่นนั้นไม่ได้  เจ้าจะกล่าวว่า “ฉันมีการศึกษาที่ดีมาก และฉันก็มีประสบการณ์มากมาย  ฉันเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้อง แล้วทำไมฉันถึงควรจะปล่อยสิ่งเหล่านี้ทิ้งไป?”  หากเจ้ายึดมั่นในหนทางของเจ้าและดึงดันทำเช่นนั้นต่อไป เจ้าจะยอมรับความจริงได้หรือไม่?  ย่อมจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  หากเจ้าต้องการที่จะได้รับความจริง เจ้าก็ต้องปฏิเสธสิ่งที่เจ้าคิดว่าถูกต้องและเป็นบวกเหล่านั้นเสียก่อน จากนั้นก็มองให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้นเป็นลบ ว่าสิ่งเหล่านั้นก่อเกิดขึ้นในตัวซาตาน เป็นเหตุผลวิบัติที่ลวงโลกทั้งสิ้น—การยึดถือสิ่งที่เป็นของซาตานเอาไว้มีแต่จะพาให้เจ้าทำชั่ว ต้านทานพระเจ้า ถูกลงโทษและถูกทำลายล้างในท้ายที่สุดเท่านั้น  หากเจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าความคิดอ่านและพิษที่ซาตานใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามนั้นสามารถนำไปสู่การทำลายล้างมนุษย์ เจ้าก็จะสามารถเลิกล้มสิ่งเหล่านั้นได้โดยสิ้นเชิง  แน่นอนว่าการปฏิเสธ ล้มเลิก ตัดขาด ละทิ้ง และอื่นๆ เป็นท่าทีและวิธีการที่คนเราใช้ต่อต้านกองกำลังและธรรมชาติของซาตานทั้งสิ้น รวมทั้งต่อต้านปรัชญา ตรรกะ ความคิดอ่าน และทัศนะที่ซาตานใช้ชักนำผู้คนไปในทางที่ผิดอีกด้วย  ตัวอย่างเช่น การปล่อยมือจากผลประโยชน์ของเนื้อหนังของคนเรา การล้มเลิกความชอบส่วนตนและล้มเลิกการไล่ตามไขว่คว้าตามเนื้อหนังของคนเรา การตัดขาดจากปรัชญา ความคิดอ่าน ความเห็นนอกรีต และเหตุผลวิบัติของซาตาน การละทิ้งอิทธิพลของซาตานและกองกำลังอันชั่วของมัน  ขั้นตอนของการปฏิบัติทั้งหมดนี้คือวิธีการและเส้นทางที่ผู้คนสามารถใช้กลับใจได้  การที่จะเข้าสู่การกลับใจที่แท้จริงนั้น คนเราต้องเข้าใจความจริงมากมายนัก เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถปฏิเสธตนเองและละทิ้งเนื้อหนังของตนได้อย่างสิ้นเชิง  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าเชื่อว่าตนเองมีความรู้และรุ่มรวยประสบการณ์ ว่าเจ้าควรที่จะได้เป็นทรัพยากรบุคคลแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและทำประโยชน์ให้อย่างมาก  ทว่าหลังจากที่ฟังคำเทศนาเรื่องความจริงมานานหลายปีและเข้าใจความจริงบางประการแล้ว เจ้ากลับรู้สึกว่าความรู้และการศึกษาของเจ้านั้นไร้ค่าและไม่มีประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้าแม้แต่น้อย  เจ้าตระหนักว่าความจริงและพระวจนะของพระเจ้าต่างหากที่สามารถช่วยผู้คนให้รอด ความจริงต่างหากที่สามารถเป็นชีวิตของคนคนหนึ่งได้  เจ้ามารู้สึกว่าไม่ว่าคนคนหนึ่งจะมีความรู้หรือประสบการณ์มากเพียงใด นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความจริง และไม่ว่าสิ่งต่างๆ ที่เป็นของมนุษย์จะสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เพียงใด สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่ความจริง  เจ้าย่อมตระหนักว่าทั้งหมดนั้นล้วนมาจากซาตาน ว่าทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เป็นลบและไม่สัมพันธ์กับความจริง  ไม่ว่าเจ้าจะมีการศึกษา มีความรู้ หรือมีประสบการณ์เพียงใด ก็แทบไม่มีประโยชน์หากเจ้าไม่เข้าใจเรื่องราวทางฝ่ายวิญญาณและไม่สามารถเข้าใจความจริงได้  หากเจ้าได้ทำหน้าที่ผู้นำ เจ้าก็จะไม่มีความเป็นจริงของความจริงและแก้ไขปัญหาไม่ได้  หากเจ้าเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ เจ้าย่อมจะเขียนไม่ออก  หากเจ้าเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า เจ้าก็จะไม่มีการรู้จักพระองค์  หากเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าย่อมจะสามัคคีธรรมถึงความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของผู้คนไม่ได้  หากเจ้าให้น้ำผู้มาใหม่ เจ้าก็จะไม่ชัดเจนในเรื่องของความจริงเกี่ยวกับนิมิต และเจ้าจะทำได้เพียงประกาศคำและวลีต่างๆ ตามคำสอนเท่านั้น  หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเอง เจ้าจะแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของผู้มาใหม่ได้อย่างไร?  เจ้าย่อมจะทำงานใดๆ นี้ไม่ได้—ดังนั้นแล้วเจ้าจะทำสิ่งใดได้?  หากขอให้เจ้าทำงานใช้แรง เจ้าก็จะคิดว่าเป็นการใช้ความสามารถพิเศษของเจ้าอย่างสูญเปล่า  เจ้ากล่าวว่าเจ้ามีความสามารถพิเศษ ทว่าเจ้าก็ไม่สามารถจัดการงานหรือปฏิบัติหน้าที่อันใดได้ดี—ดังนั้น แท้จริงแล้วสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้คืออะไร?  ไม่ใช่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่อยากใช้เจ้า แต่เจ้าไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ที่เจ้าควรทำให้ลุล่วงต่างหาก  เจ้าไม่สามารถตำหนิคริสตจักรในเรื่องนั้นได้  กระนั้นก็ตามเจ้าอาจคิดในใจว่า “พระเจ้าทรงคาดหวังจากมนุษย์มากเกินไปมิใช่หรือ?  พระประสงค์เหล่านี้พ้นวิสัยของฉัน  ทำไมถึงเรียกร้องเอาจากฉันมากอย่างนี้?”  หากใครบางคนเก็บงำความเข้าใจผิดในพระเจ้าไว้มากขนาดนี้ ก็ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่รู้จักพระองค์และไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย  หากเจ้ารู้สึกว่าทัศนะของเจ้าถูกต้องและไม่จำเป็นต้องพลิกทัศนะเหล่านั้นกลับมา และหากเจ้ายอมรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงในทางทฤษฎี แต่เจ้าก็ไม่สามารถปล่อยมือจากขยะที่เจ้ายึดถืออยู่ได้ นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้ายังไม่เข้าใจความจริง  เจ้าควรมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาความจริงให้มากขึ้น เจ้าควรอ่านพระวจนะของพระองค์ให้มากขึ้น ฟังสามัคคีธรรมและคำเทศนาให้มากขึ้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะค่อยๆ มาเข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  ในฐานะคนคนหนึ่ง หนทางที่เจ้าควรใช้ปฏิบัติต่อความจริงและพระเจ้าก็คือการเชื่อฟัง  นี่เป็นหน้าที่ในความรับผิดชอบของมนุษย์  หากเจ้าสามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ก็ย่อมหมายความว่าเจ้ากำลังพลิกครรลองของเจ้ากลับมา  การพลิกครรลองของเจ้ากลับมาคือเส้นทางปฏิบัติของการกลับใจ นี่คือการล้มเลิกสิ่งเหล่านั้นที่เจ้าเคยคิดว่าถูกต้องซึ่งมาจากซาตานให้หมด และเลือกทางที่เจ้าจะเดินเสียใหม่  นี่คือการนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์และหลักธรรมของความจริง และเดินไปบนทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่คือความหมายของการพลิกครรลองของคนเรากลับมา  เป็นการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเข้าสู่ความเป็นจริงของการกลับใจ  เมื่อคนเราสามารถนำความจริงไปปฏิบัติ ก็ไม่ต้องพูดเลยว่าพวกเขาเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงและกลับใจอย่างแท้จริงแล้ว  เฉพาะเมื่อมนุษย์กลับใจอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้นที่อาจกล่าวว่าพวกเขาได้เริ่มเดินไปตามทางที่มุ่งสู่ความรอดแล้ว  การทำดังนั้นคือการลงมือตามขั้นตอนที่สี่ของการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว

เมื่อคนคนหนึ่งกลับใจอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมจะออกเดินไปบนทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว โดยทั่วไปพวกเขาจะไม่เก็บงำมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดในพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาย่อมเต็มใจที่จะนบนอบต่อการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า และพวกเขาจะเริ่มมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างเป็นกิจจะลักษณะ  มีช่วงเวลาอันยาวนานในการเปลี่ยนผ่านจากคนคนหนึ่งที่มาเชื่อในพระเจ้าไปสู่คนที่มีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าอย่างเป็นกิจจะลักษณะ  ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้เป็นระยะที่คนคนหนึ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้าไปจนกระทั่งพวกเขากลับใจอย่างแท้จริง  หากใครบางคนไม่รักความจริง พวกเขาย่อมจะไม่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าแม้แต่น้อย และไม่ยอมรับความจริงแม้แต่นิดเดียว พวกเขาจะไม่มีวันสามารถรู้จักตนเองได้  ผู้คนเช่นนี้ย่อมจะถูกขับออกไป  หากใครบางคนรักความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสามารถได้รับบางสิ่งโดยแท้ทั้งจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและจากการฟังคำเทศนา รู้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าคือพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอด ทบทวนและทำความรู้จักตนเองภายในความจริงที่พวกเขาเข้าใจ พวกเขาจะเกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนมากขึ้นเรื่อยๆ และสนใจความจริงมากขึ้นทุกที พวกเขาจะรู้จักตนเองอย่างแท้จริงโดยไม่รู้ตัว และย่อมจะสำนึกผิดและกลับใจอย่างแท้จริง  เมื่อผู้คนที่รักความจริงอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังคำเทศนา พวกเขาย่อมสัมฤทธิ์ผลดังที่กล่าวมาเป็นธรรมดา  พวกเขาย่อมมารู้จักตนเองและสัมฤทธิ์การกลับใจที่แท้จริงอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ทันทีที่คนเรากลับใจอย่างแท้จริง พวกเขาควรปฏิบัติอย่างไร?  พวกเขาควรแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งใดจะบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ควรที่จะสามารถค้นพบหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติจากในพระวจนะของพระเจ้า แล้วจากนั้นก็เริ่มปฏิบัติความจริงต่อไป  นี่คือขั้นตอนที่ห้าของการไล่ตามเสาะหาความจริง  จุดประสงค์ของการแสวงหาความจริงคืออะไร?  คือการปฏิบัติความจริงและสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า  แต่เพื่อที่จะปฏิบัติความจริง คนเราต้องทำเช่นนั้นตามหลักธรรมของความจริง  นั่นเท่านั้นที่เป็นการปฏิบัติความจริงอย่างถูกต้องแม่นยำ นั่นเท่านั้นที่เปิดโอกาสให้คนเราได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ดังนั้นสิ่งที่การปฏิบัติความจริงหมายที่จะสัมฤทธิ์จึงเป็นการสามารถกระทำการตามหลักธรรมของความจริง  เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็หมายความว่าคนเราได้เข้าสู่ความเป็นจริงของการปฏิบัติความจริงแล้ว  การแสวงหาความจริงนั้นทำไปเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  เมื่อคนคนหนึ่งสามารถนำความจริงไปปฏิบัติ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมจะลดน้อยลงไปเอง และการปฏิบัติความจริงของพวกเขาย่อมสัมฤทธิ์ผลที่พระเจ้าทรงประสงค์  กระบวนการเช่นนี้นำการกลับใจที่แท้จริงเข้าสู่การปฏิบัติความจริง  การเคยดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามก็คือการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน เป็นการทำให้พระเจ้าตรัสกล่าวโทษและเกลียดชังการกระทำและพฤติกรรมทั้งปวงของคนเรา บัดนี้เมื่อสามารถยอมรับความจริงได้ กลับใจอย่างแท้จริง สามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า และใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์—แน่นอนว่านี่ย่อมได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงควรทบทวนตนเองบ่อยๆ  พวกเขาควรยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า พวกเขาควรรู้จักแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตนอย่างแท้จริงและมีหัวใจที่สำนึกผิด หลังจากกลับใจพวกเขาควรเริ่มแสวงหาความจริงในสิ่งทั้งปวง ปฏิบัติตามหลักธรรมของความจริง และสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่ทำให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริงและทำให้การเข้าสู่ชีวิตของคนเราหยั่งรากลึกลงไปเรื่อยๆ  หากคนเราไม่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะนบนอบต่อการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า หรือกลับใจอย่างแท้จริง  และหากคนเราไม่กลับใจอย่างแท้จริง คนคนนั้นก็จะใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานต่อไป  จะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในตัวพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้านานกี่ปีก็ตาม  พฤติกรรมของพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างเท่านั้นเอง  เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะยอมรับความจริงมาเป็นชีวิตของตน ดังนั้นจึงแน่นอนว่าการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาจะยังคงเป็นการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะเข้ากันไม่ได้กับความจริงและย่อมจะต้านทานพระเจ้า  ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมสามารถยอมรับความจริงมาเป็นชีวิตของตนได้ พวกเขาสามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งไป นำความจริงไปปฏิบัติ และสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง  ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะแสวงหาความจริงเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน  พวกเขาไม่ออกอุบายเพื่อตนเองอีกต่อไปและจะหลบเลี่ยงความชั่วทั้งปวงด้วยหัวใจที่เข้ากันได้กับพระเจ้า  ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมนบนอบพระเจ้ายิ่งๆ ขึ้นไป พวกเขาสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ดำรงชีวิตอย่างที่มนุษย์ควรทำยิ่งๆ ขึ้นไป  ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด?  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าเกียรติยศ ผลประโยชน์ และสถานะ พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าพรและรางวัล  ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็ไม่มีเป้าหมายที่ถูกต้องในชีวิต  ไม่ว่าพวกเขาจะชอบไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด หากพวกเขาไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของตน พวกเขาก็จะไม่วางมือและยิ่งจะไม่เปลี่ยนใจ  ทันทีที่รูปการณ์เปิดโอกาสและสภาวะแวดล้อมก็เหมาะสม พวกเขาจะสามารถทำชั่วและต้านทานพระเจ้า พวกเขาอาจพยายามตั้งอาณาจักรอิสระ  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีหัวใจที่เคารพพระเจ้าหรือนบนอบพระองค์ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะทำได้แค่ถูกพระเจ้าลบล้างฐานกระทำความชั่วนานาชนิดและทรยศพระองค์เท่านั้น  ทุกคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงคือผู้คนที่เบื่อหน่ายความจริง และทุกคนที่เบื่อหน่ายความจริงก็คือผู้ที่รักความชั่ว  ในวิญญาณ เลือด และกระดูกของพวกเขานั้น ทั้งหมดที่พวกเขาเคารพคือเกียรติยศ ผลประโยชน์ สถานะ และอิทธิพล พวกเขามีความสุขที่จะใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและต่อสู้กับสวรรค์ แผ่นดินโลก และมนุษย์เพื่อที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน  พวกเขาคิดว่าชีวิตเช่นนั้นเต็มไปด้วยความชื่นบาน พวกเขาปรารถนาที่จะดำรงชีวิตอย่างคนที่โดดเด่นและตายอย่างผู้กล้า  เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเดินอยู่บนทางแห่งการทำลายล้างของซาตาน  ยิ่งผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเข้าใจความจริง พวกเขาก็ยิ่งรักพระเจ้าและรู้สึกว่าความจริงนั้นล้ำค่าเพียงใด  พวกเขาเต็มใจที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้า และไม่ว่าพวกเขาจะสู้ทนความทุกข์ยากมากเท่าใด พวกเขาก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาและได้มาซึ่งความจริง  นี่หมายความว่าพวกเขาออกเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอดและความเพียบพร้อมแล้ว ว่าพวกเขาสามารถสัมฤทธิ์การเข้ากันได้กับพระเจ้า  ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้า พวกเขากลับสู่ฐานะดั้งเดิมของตนที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแล้ว และมีหัวใจที่เคารพพระเจ้า  พวกเขาสามารถได้รับการทรงนำ การชี้แนะ และพรจากพระเจ้าโดยชอบ และพระเจ้าก็ไม่ทรงรังเกียจหรือปฏิเสธพวกเขาอีกต่อไป  ช่างเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!  ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมจะไม่สามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งไป หัวใจของพวกเขาจึงยิ่งออกห่างจากพระเจ้าไปเรื่อยๆ และพวกเขาก็เบื่อหน่ายและปฏิเสธความจริง  ผลก็คือพวกเขาต้านทานพระเจ้ามากขึ้นทุกที และออกเดินไปบนทางที่ต่อต้านพระองค์  พวกเขาเป็นเหมือนเปาโลไม่มีผิด ร้องขอบำเหน็จรางวัลของตนจากพระเจ้าอย่างเปิดเผย  หากพวกเขาไม่ได้รับรางวัล พวกเขาก็จะพยายามโต้แย้งพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ แล้วในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ เผยให้เห็นโฉมหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของซาตานอย่างหมดเปลือก ซึ่งหลังจากนั้นพระเจ้าก็จะทรงสาปแช่งและทำลายพวกเขา  ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ผู้ที่เดินบนทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมจะสามารถยอมรับและนบนอบความจริงได้  พวกเขาสามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานทิ้งได้ เต็มใจที่จะละทิ้งทุกสิ่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีและตอบแทนความรักของพระเจ้า พวกเขาสามารถกลายเป็นคนที่เชื่อฟังและนมัสการพระเจ้า  คนที่เต็มใจที่จะนบนอบพระเจ้า และทำเช่นนั้นได้โดยสมบูรณ์ย่อมกลับสู่ฐานะดั้งเดิมของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแล้วโดยบริบูรณ์ และพวกเขาก็สามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าได้ในทุกสิ่ง  นี่หมายความว่าพวกเขามีสภาพเสมือนมนุษย์ขั้นพื้นฐาน  สภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริงหมายถึงสิ่งใด?  นี่คือยามที่คนคนหนึ่งเชื่อฟังและเคารพพระผู้สร้างดังที่โยบและเปโตรทำ  เช่นนี้คือผู้ที่พระเจ้าทรงอวยพรโดยแท้

ขั้นตอนหลักๆ ของการไล่ตามเสาะหาความจริงที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปในวันนี้ก็เรียบง่ายเช่นนั้นเอง  จงทวนขั้นตอนเหล่านั้นให้เราฟังสิ  (ขั้นแรกให้ทบทวนตนเองตามพระวจนะของพระเจ้า ขั้นที่สอง รับรู้และยอมรับข้อเท็จจริงทั้งหลายที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยเอาไว้ ขั้นที่สาม ทำความรู้จักอุปนิสัยและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตนเอง และเริ่มเกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและซาตาน ขั้นที่สี่ให้กลับใจและทิ้งความประพฤติชั่วทั้งหมดของตน ขั้นที่ห้า แสวงหาหลักธรรมของความจริงและปฏิบัติความจริง)  นั่นคือขั้นตอนทั้งห้า  สำหรับผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การปฏิบัติในแต่ละขั้นตอนนั้นยากมาก มีอุปสรรคขัดขวางและความยากลำบากมากมายเข้ามาเกี่ยวพันในแต่ละขั้นตอน และทั้งหมดนั้นต้องใช้ความอุตสาหะพยายามในการปฏิบัติและสัมฤทธิ์ และแน่นอนว่าตลอดทางคนเราย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงความล้มเหลวและปัญหาบางอย่างที่ทำให้เกิดการชะงักงันได้—แต่นี่คือสิ่งที่เราจะกล่าวแก่เจ้า จงอย่าหมดใจ  แม้ผู้อื่นอาจกล่าวโทษเจ้าว่า “คุณจบสิ้นแล้ว” “คุณไม่ได้เรื่อง” “คุณก็เป็นอย่างนี้เอง—คุณเปลี่ยนมันไม่ได้”—ไม่ว่าถ้อยคำของพวกเขาอาจจะไม่น่าฟังเพียงใดก็ตาม เจ้าก็ต้องชัดเจนในวิจารณญาณของเจ้า  จงอย่าหมดใจ และอย่ายอมแพ้ เพราะมีเพียงเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง มีแต่การเข้าสู่และการปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้เท่านั้นที่ทำให้เจ้าสามารถหลบหลีกมหันตภัยได้  ผู้คนที่ฉลาดย่อมเลือกที่จะวางความยากลำบากทั้งปวงของตนเอาไว้ พวกเขาจะไม่หลีกเลี่ยงความล้มเหลวและภาวะชะงักงัน และจะดั้นด้นทำต่อไปไม่ว่าจะยากเพียงใด  ต่อให้เจ้าอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบและทำความรู้จักตัวเจ้าเองนานถึงสามหรือห้าปี หรือต่อให้พ้นแปดหรือสิบปีไปแล้ว เจ้าก็รู้เพียงว่าตนเองมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอันใดเท่านั้น แต่เจ้ายังคงไม่สามารถเข้าใจความจริงหรือโยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าทิ้งไปได้ เราก็จะกล่าวแก่เจ้าเหมือนเดิมอยู่ดีว่า อย่าหมดใจ  แม้เจ้าจะยังสัมฤทธิ์การกลับตัวที่แท้จริงไม่ได้ แต่เจ้าก็เข้าสู่สามขั้นตอนแรกแล้ว ดังนั้นเหตุใดจึงกังวลว่าจะไม่สามารถเข้าสู่สองขั้นตอนที่เหลือ?  อย่ากังวลไปเลย จงพยายามให้มากขึ้น ออกแรงให้มากขึ้น แล้วเจ้าจะไปถึงจุดนั้นเอง  นอกจากนี้อาจมีบางคนที่มาถึงขั้นตอนที่สี่ของการกลับใจ แต่พวกเขาก็ไปไม่ถึงการแสวงหาหลักธรรมของความจริงและไม่สามารถเข้าสู่ขั้นตอนนี้ได้  เมื่อนั้นจะต้องทำเช่นไร?  เจ้าก็ต้องไม่ถอดใจเช่นเดียวกัน  ตราบใดที่เจ้ามีเจตจำนงที่จะทำเช่นนั้น เจ้าก็ควรตั้งหน้าตั้งตาไล่ตามการแสวงหาความจริงในทุกสิ่ง และอธิษฐานถึงพระเจ้าให้มากขึ้น—การทำเช่นนั้นมักจะให้ผลดี  จงไล่ตามเสาะหาให้ดีเท่าที่เจ้าจะทำได้ ตามขีดความสามารถและรูปการณ์แวดล้อมของเจ้า จงหมั่นเพียรที่จะสัมฤทธิ์สิ่งที่เจ้าทำได้  ตราบใดที่เจ้ายังทำทุกสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ และมโนธรรมของเจ้าก็ชัดเจน เจ้าย่อมจะสามารถทำได้มากขึ้นเป็นแน่  แม้กระทั่งการเข้าใจความจริงมากขึ้นอีกข้อหนึ่งก็เป็นสิ่งดี—ชีวิตของเจ้าจะมีความสุขมากขึ้นอีกนิดและชื่นบานมากขึ้นอีกหน่อยเนื่องด้วยเหตุนั้น  สรุปแล้วการไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่สิ่งที่กลวงเปล่า แต่ละขั้นตอนมีเส้นทางปฏิบัติเฉพาะของตน และผู้คนจำต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดบ้างและจ่ายราคาบางอย่าง  ความจริงไม่ใช่การศึกษาเชิงวิชาการสาขาหนึ่ง หรือทฤษฎี หรือคำพูดชวนเชื่อ หรือข้อโต้แย้ง ความจริงไม่ได้กลวงเปล่า  ผู้คนพึงต้องปฏิบัติและมีประสบการณ์กับความจริงแต่ละข้อเป็นเวลาหลายปีก่อนที่พวกเขาจะสามารถเข้าใจและรู้จักความจริงนั้นๆ  แต่ไม่ว่าเจ้าจะจ่ายราคาใดหรือทุ่มเทพยายามเช่นไร ตราบใดที่ท่าที วิธีการ เส้นทาง และทิศทางของเจ้าถูกต้อง ตราบนั้นไม่ช้าก็เร็วย่อมถึงวันที่เจ้าจะเก็บเกี่ยวดอกผลอันไพบูลย์ยิ่ง ได้รับความจริง และสามารถรู้จักพระเจ้าและนบนอบพระองค์—และด้วยเหตุนั้นเจ้าย่อมจะสุขใจอย่างที่สุด

8 มกราคม ค.ศ. 2022

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (2)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger