สิ่งใดคือการปฏิบัติความจริง
ผู้คนมากมายฟังคำเทศนามาหลายปี แต่ไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร และพวกเขาควรทุ่มเทความพยายามให้กับแง่มุมใดของความจริง พวกเขาเพียงรับฟังแล้วก็จบเพียงเท่านั้น ไม่เคยใส่ใจเหมือนผู้คนที่ไม่รู้จักคิดและไร้หัวใจ ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่ยังคงไร้ซึ่งคำพยานจากประสบการณ์ ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ต้องทบทวนตนเองว่า สิ่งที่ฉันพูดและทำสอดคล้องกับความจริงหรือไม่? ฉันขาดสิ่งใดไป? ฉันควรชดเชยข้อบกพร่องใดบ้าง? ฉันปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีเพียงใด? ฉันสามารถกระทำการตามหลักธรรมหรือไม่? หากเจ้าไม่ชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากเจ้าปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาและได้รับความจริง เจ้าต้องหมั่นอ่านและใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าอยู่เนืองๆ ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ใด เจ้าต้องใคร่ครวญและทำความเข้าใจความจริงที่เจ้าต้องเข้าใจให้ได้ และไม่ว่าความจริงที่เจ้าเข้าใจจะมีมากเพียงใด เจ้าก็ต้องสามารถปฏิบัติและมีประสบการณ์กับความจริงเหล่านั้น เจ้าต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า “ฉันปฏิบัติและเข้าสู่ความจริงนี้แล้วหรือยัง? ความจริงข้อนี้กล่าวถึงแง่มุมใดของชีวิต? สภาพแวดล้อมใด? สถานการณ์ใด?” คำถามเหล่านี้ต้องติดตรึงอยู่ในหัวใจของเจ้า และเจ้าต้องพยายามขบคิดหาคำตอบให้ได้เมื่อมีเวลาว่าง หากเจ้าครุ่นคิดเรื่องนี้ แต่ไม่เข้าใจ เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องอ่านอธิษฐาน มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเปิดใจให้พระองค์ ในการเชื่อในพระเจ้านั้น ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีใจปรารถนาที่จะบรรลุความจริง หัวใจของพวกเขาอยู่ที่ใด? หัวใจของพวกเขาอยู่กับเรื่องภายนอกเสมอ หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของความหยิ่งทะนงและเรื่องที่ไร้แก่นสาร วิตกกังวลอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งใดเกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับความจริง ทั้งยังคิดว่า “ตราบใดที่ฉันกำลังทำสิ่งต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า วิ่งวุ่นและสู้ทนความยากลำบากเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นแล้ว ฉันก็กำลังปฏิบัติความจริง” นี่ไม่ถูกต้อง คนเราปฏิบัติความจริงด้วยการทำสิ่งต่างๆ เพื่อพระนิเวศของพระเจ้า วิ่งวุ่นและสู้ทนความยากลำบากกระนั้นหรือ? การกล่าวเช่นนี้มีพื้นฐานรองรับหรือไม่? การสู้ทนความยากลำบากขณะทำสิ่งต่างๆ กับการปฏิบัติความจริงเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน หากเจ้าไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร เจ้าจะปฏิบัติความจริงได้อย่างไร? นั่นเป็นเรื่องที่ไร้สาระมิใช่หรือ? เจ้ากำลังปฏิบัติตนตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ เจ้าอยู่ในสภาวะที่สับสน ทำสิ่งต่างๆ ตามแนวคิดของตัวเจ้าเอง หัวใจของเจ้าสับสน ไม่มีเป้าหมาย ทิศทาง หรือหลักธรรม เจ้าเพียงกำลังทำสิ่งต่างๆ และสู้ทนความยากลำบากขณะทำสิ่งเหล่านั้น—แล้วนั่นเกี่ยวข้องอย่างไรกับการปฏิบัติความจริง? หากผู้คนไม่เข้าใจความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด ไม่ว่าพวกเขาจะสู้ทนความยากลำบากอันใด พวกเขาก็ห่างไกลจากการปฏิบัติความจริง ผู้คนทำสิ่งต่างๆ ตามเจตจำนงของตนเองอยู่เสมอ เพียงเพื่อให้สิ่งเหล่านั้นลุล่วงเท่านั้น พวกเขาไม่คำนึงเลยว่าการกระทำของพวกเขาสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่ หากเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ เช่นนั้นแล้วก็แน่นอนว่าเจ้าไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริง บางคนอาจกล่าวว่า “ฉันกำลังทำสิ่งต่างๆ เพื่อคริสตจักร นั่นคือการปฏิบัติความจริงมิใช่หรือ?” อันที่จริงนั่นเป็นความคิดที่ผิด การทำสิ่งต่างๆ เพื่อคริสตจักรหมายความว่าใครบางคนกำลังปฏิบัติความจริงกระนั้นหรือ? ไม่จำเป็น—นั่นกำหนดได้จากการดูว่าการกระทำของบุคคลนั้นมีหลักธรรมหรือไม่เท่านั้น หากสิ่งที่ใครบางคนกำลังทำอยู่ไร้ซึ่งหลักธรรม เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งนั้นเพื่อผู้ใด พวกเขาก็ไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริง ต่อให้พวกเขาทำบางสิ่งที่ดี สิ่งนั้นก็ต้องทำโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง จึงจะมีคุณสมบัติของการปฏิบัติความจริง หากพวกเขาละเมิดหลักธรรม เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาจะทำเรื่องดีอันใด ก็เป็นเพียงพฤติกรรมที่ดีและไม่ใช่การปฏิบัติความจริง ตอนนี้มีผู้คนมากมายที่ไม่เคยเพียรพยายามไปสู่หลักธรรมความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตน นี่หมายความว่าพวกเขาเพียงกำลังออกแรงทำงานเท่านั้น หากบุคคลหนึ่งไม่เคยเพียรพยายามที่จะบรรลุความจริง พวกเขาย่อมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีพอ แน่นอนว่าคนแบบนั้นไม่ใช่หนึ่งในประชากรของพระเจ้า พวกเขาเรียกได้ว่าเป็นคนลงแรงเท่านั้น หากพวกเขาสามารถยืนหยัดให้การออกแรงทำงานไปจนถึงปลายทางได้ พวกเขาก็อาจได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนลงแรงที่จงรักภักดี และได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อไป แต่หากพวกเขาทำเรื่องไม่ดีในระหว่างการออกแรงทำงาน พวกเขาย่อมจะถูกกำจัดออกไปกลางคัน เหมือนคนทำงานเฉพาะกิจที่ไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป คนลงแรงส่วนใหญ่ถูกกำจัดออกไปในลักษณะนี้ หากการออกแรงทำงานของพวกเขาไม่ถึงมาตรฐาน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่สามารถยืนหยัดได้อย่างแน่นอน
การปฏิบัติความจริงคืออะไร? ขณะที่คนเรากำลังทำงานให้เสร็จสมบูรณ์หรือกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น พวกเขาจะปฏิบัติความจริงหรือไม่ปฏิบัติความจริงกันอย่างไร? การไม่ปฏิบัติความจริงหมายความว่าสิ่งที่คนเรากำลังทำอยู่นั้นไม่สัมพันธ์กับความจริง บุคคลนั้นอาจกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ แต่การที่พวกเขาทำเช่นนั้นสัมพันธ์กับความจริงเพียงเล็กน้อย นี่เป็นเพียงพฤติกรรมที่ดีงามอย่างหนึ่งเท่านั้น และถือได้ว่าเป็นการทำดี แต่ยังห่างไกลจากการปฏิบัติความจริง—สิ่งเหล่านี้มีความแตกต่างกันอยู่ ความแตกต่างดังกล่าวคืออะไร? เวลาที่เจ้าทำบางสิ่ง เจ้าเพียงยึดตามขอบเขตหรือข้อบังคับ เจ้าไม่ยอมให้พระนิเวศของพระเจ้าสูญเสียผลประโยชน์ใดๆ เจ้าวิ่งวุ่นมากขึ้นอีกนิด และเผชิญความยากลำบากมากขึ้นอีกหน่อย เจ้าสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ และหากว่าสิ่งที่กำหนดให้เจ้าทำนั้นไม่ได้สูงส่งเป็นพิเศษ เจ้าก็อาจปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีพอ แต่มีเรื่องอื่นที่ควรคำนึงถึง นั่นคือ ขณะที่เจ้าทำสิ่งนั้น เจ้าได้ขุดหาและค้นพบบ้างหรือไม่ว่าอุปนิสัย ความคิด และสิ่งต่างๆ อันเสื่อมทรามภายในตัวเจ้าที่ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยคือสิ่งใด? เจ้าได้มารู้จักตนเองอย่างแท้จริงผ่านทางการทำสิ่งนั้นและผ่านทางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่? เจ้าพบความจริงที่เจ้าจำเป็นต้องปฏิบัติและเข้าสู่หรือไม่? (แทบไม่พบเลย—บางครั้งข้าพเจ้าได้แต่นำพระวจนะของพระเจ้ามาเทียบดูตนเอง รู้จักตนเองเล็กน้อย และจบเพียงเท่านั้น) เช่นนั้นแล้วโดยมาก เจ้าก็เอาแต่รู้จักตนเองตามสูตรสำเร็จในทางทฤษฎีเท่านั้น ไม่มีความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ได้ทำเรื่องที่ผิดพลาดใหญ่โต และไม่ได้ละเมิดหลักธรรมสำคัญ รวมถึงเจ้าไม่ได้แข็งขันที่จะทำชั่วและดูเป็นคนดีที่มีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ปฏิบัติหรือได้รับความจริง และการไร้ซึ่งข้อผิดพลาดและการดูเหมือนมีความเป็นมนุษย์ของเจ้าก็ยังคงไม่ใช่การทำตัวสอดคล้องกับความจริงหรือปฏิบัติความจริง สิ่งเหล่านี้ห่างไกลและแตกต่างจากการปฏิบัติความจริง หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ผู้คนมากมายค้นพบว่าพวกเขาเป็นแบบฉบับของคนลงแรง พวกเขาสงสัยว่าตนกลายเป็นคนลงแรงไปได้อย่างไร แต่พวกเขาก็ไม่ได้คำตอบไม่ว่าจะคิดตริตรองมากเท่าใดก็ตาม ตอนที่ผู้คนเพิ่งจะเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นคนลงแรง พวกเขาวางแผนว่าจะเป็นผู้เชื่อที่ดี สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง ได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ในที่สุด—หรืออย่างน้อยก็สามารถมีชีวิตรอดได้ พวกเขายังคิดด้วยว่าในฐานะผู้เชื่อ พวกเขาต้องยำเกรงพระเจ้า หลบเลี่ยงความชั่ว และนบนอบพระองค์ แล้วพวกเขากลายมาเป็นคนลงแรงโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร? นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เคยปฏิบัติความจริงได้หรือเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ในหน้าที่ของเจ้า และในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้า—เจ้าทุ่มเทความพยายามอยู่เสมอแทนที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน นั่นคือสาเหตุ ดังนั้น หลังจากที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ามาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเจ้าสงบใจและคิดว่า “ฉันได้รับสิ่งใดบ้างตลอดช่วงเวลานี้? ตอนที่ฉันออกไปข้างนอก ครั้งหนึ่งฉันเกือบมีอันตราย แต่พระเจ้าก็ทรงคุ้มครองฉัน” การมองเห็นว่าพระเจ้าทรงคุ้มครองเจ้านั้นนับเป็นการรู้จักพระองค์กระนั้นหรือ? สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เจ้ามีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น และไม่อาจทำให้เจ้ามีความเข้าใจที่แท้จริงในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ธรรมชาติของตนเองได้ เมื่อคิดย้อนไปถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าระหว่างช่วงเวลานี้ เจ้ามีความก้าวหน้าในการเข้าสู่ชีวิตของตนบ้างหรือไม่? หากเจ้านำความจริงไปปฏิบัติขณะทำหน้าที่ และกระทำการตามหลักธรรม เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีความก้าวหน้าอย่างแน่นอน หากเจ้ากล่าวว่า “ในส่วนที่เป็นด้านบวกของสิ่งต่างๆ ความจริงของการรู้จักพระเจ้านั้นลุ่มลึก ฉันยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริง หรือเรียนรู้จากเรื่องนี้มากนัก แต่ในส่วนที่เป็นด้านลบของสิ่งต่างๆ นั้น ฉันรู้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่บ่งชี้ได้ยากที่สุดคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนที่พระเจ้าทรงเปิดโปง นั่นคือ แก่นแท้ของพวกเขาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าและต้านทานพระองค์ ธรรมชาติอันเลวร้ายและความหลอกลวงของพวกเขา รวมถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ซ่อนอยู่ลึกที่สุดในหัวใจของผู้คนที่พระเจ้าได้ทรงเปิดโปงเอาไว้ ก่อนหน้านี้ฉันไม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้กับตัวเอง แต่ตอนนี้ฉันได้ตระหนักและเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้กับตัวเองแล้ว อีกทั้งหัวใจของฉันก็มีสำนึกในสิ่งเหล่านี้บ้างแล้ว” นี่คือความก้าวหน้า เจ้ามีความรู้สึกเหล่านี้ และเมื่อเจ้าสงบใจ พยายามคิดคำนึงถึงการนี้อย่างละเอียด เจ้าย่อมจะพบว่าประสบการณ์หลายปีในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าตื้นเขินเกินไป และจะมองเห็นว่าตัวเจ้าบกพร่องหลายเรื่องเกินไป เจ้าเข้าใจความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของเจ้าอยู่บ้าง แต่เจ้าเพิ่งเริ่มกลับใจเท่านั้น เจ้าทำบาปน้อยลง และแสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ทางพฤติกรรมอยู่บ้าง แต่นี่ยังคงห่างไกลจากความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตอยู่มาก เมื่อเจ้ามีประสบการณ์มากขึ้นอีกสักสองสามปี และเจ้ามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และมีความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตอยู่บ้าง เมื่อนั้นเจ้าจะรู้สึกในที่สุดว่าเจ้าได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้าแล้ว และเจ้าจะกล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงมนุษย์นั้นเป็นเรื่องจริง และฉันขอกล่าวอาเมนต่อพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระองค์คือความจริง และช่างเที่ยงแท้เหลือเกิน!” เมื่อผู้คนไม่รู้จักตนเอง พวกเขาล้วนกล่าวว่า “คนอื่นอาจทรยศพระเจ้า แต่ฉันจะไม่มีวันทำเช่นนั้น คนอื่นอาจจะละทิ้งพระเจ้า แต่ฉันจะไม่มีวันละทิ้งพระองค์” คำพูดเหล่านี้ว่างเปล่ามิใช่หรือ? จากข้อเท็จจริงที่เผยให้เห็น ผู้คนสามารถสำนึกได้ว่าพวกเขาเองก็เชื่อถือไม่ได้เท่าใดนัก พวกเขาจำเป็นต้องให้พระเจ้าทรงเฝ้าดูแลและคุ้มครองพวกเขา ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาไม่สามารถออกจากการดูแลของพระเจ้าได้ ด้วยพระคุณและความกรุณาของพระเจ้าเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนอยู่รอดมาได้จนถึงวันนี้ และผู้คนไม่มีสิ่งใดให้โอ้อวดเลย หากเจ้ามีความรู้สึกเช่นนี้ นี่ย่อมมาจากประสบการณ์ของเจ้า ไม่ใช่เพราะผู้อื่นปลูกฝังให้เจ้า ความรู้สึกนี้ย่อมเกิดจากสิ่งที่เจ้าก้าวผ่านและมีประสบการณ์มาด้วยตนเอง สิ่งเหล่านี้ช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงและลุ่มลึกยิ่งนัก สัมพันธ์กับชีวิตจริงเสียยิ่งกว่าคำพูดใหญ่โตอันว่างเปล่าที่ผู้คนมักจะพูดกัน เมื่อเจ้ามีประสบการณ์ในลักษณะนี้ และหัวใจของเจ้าก็มีความรู้สึกเช่นนี้ เมื่อนั้นหัวใจของเจ้าย่อมจะโหยหาพระเจ้า กระหายพระวจนะของพระองค์และความจริง เจ้าจะเกิดแรงบันดาลใจที่จะเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นล้ำค่า เกิดแรงบันดาลใจที่จะปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ และในความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระองค์นั้น เจ้าจะเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นอีกหนึ่งก้าว นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเจ้าอยู่ในครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้าแล้ว และเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ผู้คนที่เอาแต่ประกาศคำพูดและคำสอนกับทฤษฎีอันว่างเปล่าอยู่ตลอดเวลาย่อมถูกทิ้งห่างออกไปทุกที ถูกโดดเดี่ยวและได้รับความอับอายมากขึ้นเรื่อยๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาต้องทบทวนตนเอง และถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะตื่นขึ้นมา
เกณฑ์สำหรับประเมินวัดว่าผู้ใดมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่คืออะไร? หรืออะไรคือเกณฑ์สำหรับดูว่าผู้ใดกำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือไม่? เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา เจ้าก็ต้องดูว่าพวกเขามีท่าทีเช่นไรต่อพระเจ้า พวกเขาสามารถแสวงหาความจริงได้หรือไม่ พวกเขารู้จักตนเองอย่างแท้จริงหรือไม่ และพวกเขาสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้หรือไม่ การมีทรรศนะที่ชัดเจนในประเด็นเหล่านี้ย่อมทำให้เจ้ากำหนดได้ว่า พวกเขากำลังปฏิบัติความจริงหรือมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ เมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา หากใครบางคนประกาศคำพูดและคำสอนอยู่เสมอ ทั้งยังพรั่งพรูคำพูดที่ฟังดูสูงส่ง นี่ย่อมชัดเจนว่าพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่มีความเป็นจริงความจริง พวกเขาจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่? พวกเขาไม่มีทางทำเช่นนั้นได้ พวกเขาอาจกล่าวว่า “เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ฉันขอนบนอบพระเจ้า!” เหตุใดเจ้าจึงต้องการนบนอบพระเจ้า? หลักการนั้นถูกต้อง แต่เจ้าอาจกระทำการตามความรู้สึกของเจ้า ด้วยวิธีการที่เจ้าได้ชั่งน้ำหนักและตัดสินใจเอาเอง เจ้าพูดถึงการนบนอบพระเจ้า ทว่าในใจเจ้ากลับกังขาทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำอยู่ตลอดเวลา เจ้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงกระทำในหนทางนั้น แต่เจ้าพร่ำบอกตนเองว่าเจ้าต้องนบนอบพระองค์ ทั้งที่จริงแล้วเจ้าไม่ตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นเลย ภายนอกเจ้าเพียงดูเหมือนไม่ต้านทาน ไม่พร่ำบ่น และทำในสิ่งที่เจ้าได้รับการบอกกล่าวให้ทำเท่านั้น นี่ดูเหมือนเจ้าได้นบนอบแล้ว แต่การนบนอบแบบนี้เป็นเพียงการรับใช้ด้วยปาก เป็นแค่การปฏิบัติตามข้อบังคับเท่านั้น เจ้าไม่ได้กำลังทำการนบนอบ เจ้าต้องดึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่หยุดยั้งเจ้าจากการนบนอบออกมาชำแหละและนำมาเทียบเคียงกับพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน หากเจ้าสามารถเข้าใจพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และรู้ว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงกระทำในหนทางนั้น หากเจ้าเข้าใจการนี้ได้โดยสมบูรณ์ เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถนบนอบพระเจ้าได้ เจ้าจะกล่าวว่า “ไม่ว่าความยากลำบากจะหนักหนาเพียงใด ไม่ว่าฉันจะรู้สึกอ่อนแอหรือเศร้าโศกเพียงใด ฉันก็จะไม่คิดลบ และฉันจะนบนอบพระเจ้า เพราะฉันรู้ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำเป็นสิ่งที่ดี ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำล้วนถูกต้อง พระองค์จะไม่ทรงทำสิ่งผิด” เมื่อเจ้าบรรลุได้เช่นนี้ ปัญหาของเจ้าย่อมจะได้รับการแก้ไขโดยสมบูรณ์ บางคนไม่แสวงหาความจริงและแก้ปัญหาในหนทางนี้ พวกเขาเพียงแต่ประกาศคำพูดและคำสอน และดูราวกับพวกเขาเข้าใจทุกอย่าง แต่เมื่อเกิดความยากลำบากที่แท้จริงขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้แม้อยากจะทำเช่นนั้นก็ตาม การพร่ำบ่นและความเข้าใจผิดฝังแน่นอยู่ในหัวใจของพวกเขา–แต่พวกเขากลับไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานี้ การพร่ำบ่นและความเข้าใจผิดเหล่านี้ซุกซ่อนอยู่ในตัวผู้คน อันที่จริงสิ่งเหล่านี้คือมะเร็งร้าย และจะปะทุขึ้นมาเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก่อนเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ผู้คนย่อมไม่สามารถรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ และพวกเขาคิดว่าตนเข้าใจความจริงทั้งหมดและไม่มีความยากลำบากอันใด แต่ต่อมาเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าไม่มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและไม่ได้เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง นั่นหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าสามารถประกาศคำพูดและคำสอนได้บ้าง และแค่ยึดถือข้อบังคับเพียงบางข้อเท่านั้น แม้เจ้าอาจจะนบนอบได้ในบางครั้ง แต่นั่นก็เป็นการนบนอบที่ยึดตามข้อบังคับ และเป็นการนบนอบที่มีขอบเขตจำกัดมาก หากมีบางสิ่งซึ่งไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเกิดขึ้น เจ้าก็จะไม่สามารถนบนอบได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ที่สามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง อีกทั้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็ไม่ได้รับการแก้ไขและไม่เปลี่ยนแปลง เจ้าต้องรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนจากสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ้า รวมถึงเจ้าต้องรู้ เข้าใจ และคำนึงถึงทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ หลังจากนั้นเจ้าต้องบรรลุการนบนอบอย่างเต็มใจและโดยแท้จริง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า หรือสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้ามากเพียงใด เจ้าก็ต้องนบนอบให้ได้ นี่คือระดับที่ต้องไปให้ถึง เพื่อที่จะเป็นผู้ที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงและเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยแท้จริง
ผู้คนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีไม่รู้ว่าการนบนอบพระองค์คืออะไร พวกเขารู้แค่วิธีเอ่ยคำพูดและคำสอนเท่านั้น แต่ไม่รู้ความหมายของการปฏิบัติความจริง หรือวิธีปฏิบัติความจริงเพื่อที่จะนบนอบพระเจ้า เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? บางคนนบนอบพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเองเสมอ และเมื่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถพาตนเองให้มานบนอบได้ จากนั้นก็เกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดต่อพระเจ้าในตัวพวกเขา และพวกเขาย่อมจะไม่แสวงหาความจริง หากพวกเขาคือผู้คนที่นบนอบพระเจ้าจริงๆ พวกเขาก็จะสามารถทำได้โดยไม่คำนึงว่าพระวจนะของพระเจ้าจะสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์หรือไม่ เพราะการที่มนุษย์นบนอบพระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ หากคนเราปฏิบัติในหนทางนี้ พวกเขาย่อมกำลังนบนอบพระเจ้า และหากคนเราเข้าใจความจริงผ่านการปฏิบัตินี้ เช่นนั้น พวกเขาย่อมมีความเป็นจริงของการนบนอบพระเจ้า เมื่อคนส่วนใหญ่พยายามที่จะปฏิบัติความจริง พวกเขาเพียงปฏิบัติคำสอนตามตัวอักษรจากพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น โดยคิดว่าตนกำลังปฏิบัติความจริง ข้อเท็จจริงคือ การทำเช่นนั้นยังไม่ใช่การปฏิบัติความจริง การปฏิบัติความจริงพึงต้องมีหลักธรรม หากคนเราไม่สามารถค้นพบหลักธรรมในการปฏิบัติ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็แค่กำลังทำตามข้อบังคับ และการปฏิบัตินี้ก็ไร้ซึ่งรายละเอียดที่จำเป็นของการกระทำตามหลักธรรม ผู้คนมากมายเพียงค้ำจุนข้อบังคับของคำพูดและคำสอนเท่านั้น แต่พวกเขาไม่มีหลักธรรมในการปฏิบัติ นี่ย่อมไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการปฏิบัติความจริง ทุกคนในศาสนาต่างกระทำการตามมโนคติอันหลงผิดกับความคิดฝันของตนเอง และคิดว่านี่คือการปฏิบัติความจริง ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจประกาศเรื่องความรักหรือความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ทั้งหมดที่พวกเขากำลังทำอยู่คือการท่องจำคำพูดที่น่าฟัง การปฏิบัติของพวกเขาไม่มีหลักธรรม และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดได้ คนเราจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้อย่างไรหากพวกเขาปฏิบัติในหนทางนี้? ความจริงคือพระวจนะของพระเจ้า ความเป็นจริงคือสิ่งที่มนุษย์ใช้ในการดำเนินชีวิต ไม่มีผู้ใดมีความเป็นจริงความจริงจนกว่าพวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้ ผู้คนได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และความรู้ที่แท้จริงในพระวจนะของพระเจ้าผ่านการปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะเข้าใจความจริง ผู้ที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริงย่อมสามารถกำหนดหลักธรรมการปฏิบัติได้ เมื่อเจ้าเข้าใจหลักธรรมของการปฏิบัติแล้ว คำพูดและการกระทำของเจ้าก็จะมีหลักธรรม อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง นี่คือการปฏิบัติความจริง นี่คือการมีความเป็นความจริง เจ้าจะปฏิบัติความจริงได้ก็ต่อเมื่อเจ้าได้ใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง และหากเจ้าไม่ใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริง การปฏิบัติความจริงไม่ใช่เรื่องของการทำตามข้อบังคับอย่างที่ผู้คนคิดฝัน และคนเราต้องไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาต้องการปฏิบัติ พระเจ้าทรงดูว่าระหว่างที่เจ้าปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์นั้น เจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่ ทั้งยังทรงดูว่าคำพูดและการกระทำของเจ้ามีหลักธรรมความจริงหรือไม่ หากเจ้าเข้าใจความจริงและสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ เจ้าย่อมจะมีการเข้าสู่ชีวิต ไม่ว่าเจ้ามีประสบการณ์และความรู้ในพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร ไม่ว่าเจ้ามีความซาบซึ้งเช่นไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าโดยตรง หากเจ้าได้รับประสบการณ์จากสิ่งต่างๆ มากมาย ล้มเหลวมาหลายครั้ง เรียนรู้บทเรียนที่แท้จริง และมีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็อาจรู้สึกว่าตนมีความเป็นจริงความจริง เรื่องนี้ถูกต้องหรือไม่? ไม่ถูกต้อง ความรู้สึกเช่นนั้นเชื่อถือได้หรือไม่? เชื่อถือไม่ได้เช่นกัน ผู้คนที่มีความเป็นจริงความจริงนั้นสามารถนบนอบพระเจ้าและเป็นพยานให้พระองค์ได้ และเป็นเรื่องเจริญใจผู้อื่นอย่างยิ่งที่ได้ฟังคำพยานของพวกเขา มีเพียงคนเหล่านั้นเท่านั้นที่เรียกได้ว่ามีความเป็นจริงความจริง มีเพียงผู้ที่กระตุ้นการยอมรับและความเห็นชอบจากผู้ที่เข้าใจความจริงได้เท่านั้นที่มีความเป็นจริงความจริง เจ้าจะมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถเข้าใจความจริงและมารู้จักพระเจ้าขณะปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ได้หรือไม่เป็นสำคัญ หากการปฏิบัติและประสบการณ์ของเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีประสบการณ์ชีวิตที่แท้จริง นี่ยังพิสูจน์ด้วยว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้านั้นผิดปกติ เหตุใดเราจึงกล่าวว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าผิดปกติ? เพราะเจ้าไม่มีการปฏิบัติหรือไม่มีประสบการณ์ในพระวจนะของพระองค์เลย อีกทั้งเจ้ายังไม่บรรลุการเข้าใจความจริง นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ใช่คนที่มีประสบการณ์ในพระราชกิจของพระเจ้า นับประสาอะไรกับการเป็นผู้ที่นบนอบพระเจ้าเล่า ต่อเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี เจ้าได้ก้าวผ่านบททดสอบและความทุกข์ยากมากมาย ความเชื่อและความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าเติบโตขึ้น และเจ้าได้ตั้งมั่นในคำพยานของตนแล้ว นั่นจึงจะเห็นได้ว่าเจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า ความเชื่อที่แท้จริงเช่นนั้นต้องได้รับการพิสูจน์ด้วยการตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า เจ้าสามารถทำเช่นนั้นหรือไม่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง การทดสอบนี้กำหนดว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือไม่ และเผยให้เห็นว่าเจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์หนึ่ง และเจ้าเห็นว่าพระองค์ตั้งพระทัยจะพรากบุคคลที่เจ้ารักและห่วงใยมากที่สุด หรือสิ่งที่เจ้าหวงแหนที่สุดไป เจ้าจะมีท่าทีเช่นไร? นี่ไม่ใช่เพียงการพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นดีแล้ว ข้าพระองค์ขอขอบพระคุณและขอสรรเสริญพระองค์” แล้วเจ้าจะสามารถผ่านการทดสอบนี้ได้ เมื่อเจ้าเห็นลมหายใจสุดท้ายของบุคคลที่เจ้ารักมากที่สุด หัวใจของเจ้าย่อมจะทุกข์ระทมและปั่นป่วน แล้วเจ้าก็กล่าวว่า “หากเขาจากไปฉันก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ฉันจะตายไปกับเขาด้วยเพราะฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา! หากเขาตาย ฉันจะไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป” ในกรณีนี้ เจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริง และถูกเผยออกมาอย่างหมดเปลือกแล้ว เจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่? คนที่เจ้ารักจากไปและเจ้าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ เจ้าไม่ต้องการพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ เมื่อคนที่เจ้ารักจากไป เจ้าถึงกับไม่นบนอบพระเจ้า นี่ย่อมพิสูจน์ว่าผู้ที่เจ้ารักและนบนอบคือมนุษย์ เจ้าไม่เคยถูกเผยด้วยเรื่องนี้เลยหรือ? โดยพื้นฐานแล้วเจ้าไม่ใช่ผู้ที่นบนอบพระเจ้า นับประสาอะไรกับการรักพระองค์ สามัคคีธรรมกับผู้อื่นตามปกติของเจ้าต้องเต็มไปด้วยการพูดคุยและคำสอนที่ว่างเปล่า ไม่ใช่คำพูดที่จริงใจและสัมพันธ์กับชีวิตจริง คำสอนที่เจ้าเอ่ย และคำขวัญที่เจ้าตะโกนมาจากความเชื่อของเจ้าและเป็นความเข้าใจที่แท้จริงของเจ้าหรือไม่ ก็จะถูกเผยให้เห็นเมื่อเจ้าถูกทดสอบ ผลปรากฏว่า เจ้าคือผู้เชื่อเทียมเท็จ เป็นคนหลอกลวง และเป็นผู้ไม่เชื่อ เจ้าเพียงพูดแต่ปากว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ไม่ได้หยั่งรากลงในหัวใจของเจ้าเลย รูปแบบของการเชื่อในพระเจ้าที่น่ากลัวที่สุดคือเมื่อคนคนหนึ่งเข้าใจคำสอนทั้งหมด แต่ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย ความเชื่อที่แท้จริงตรวจสอบได้อย่างไร? โดยหลักแล้วคือดูว่าเมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับใครบางคน พวกเขาสามารถยอมรับความจริงและนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่ หากพวกเขาไม่เคยยอมรับความจริงและไม่เคยนำความจริงไปปฏิบัติเลย อันที่จริงนั้นพวกเขาถูกเผยให้เห็นแล้ว และไม่จำเป็นต้องรอการทดสอบเพื่อเผยพวกเขา เมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นในชีวิตประจำวันของใครบางคน เจ้าย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ มีผู้คนมากมายที่มักจะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่นำความจริงไปปฏิบัติเมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับพวกเขา คนเช่นนี้จำเป็นต้องรอให้บททดสอบเพื่อเผยพวกเขาหรือไม่? ไม่เลย หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง หากพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นก็หมายความว่าพวกเขาได้รับการเผยแล้ว หากพวกเขาได้รับการตัดแต่งแต่ยังไม่ยอมรับความจริงและยังคงแน่วแน่ที่จะไม่กลับใจ เช่นนั้นพวกเขาย่อมถูกเผยให้เห็นมากขึ้น รวมถึงควรถูกเอาตัวออกไปและถูกกำจัด ผู้ที่มักจะไม่มุ่งเน้นที่การยอมรับความจริงหรือนำความจริงไปปฏิบัติล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อ และต้องไม่ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานหรือรับผิดชอบเรื่องใดทั้งสิ้น ผู้ที่ไม่มีความจริงสามารถตั้งมั่นได้หรือไม่? การนำความจริงไปปฏิบัติเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่? จงมองดูผู้คนที่ไม่เคยปฏิบัติความจริงเลย–พวกเขาจะถูกเผยให้เห็นจนหมดในเวลาไม่นานนัก พวกเขาไม่มีคำพยานจากประสบการณ์เลย พวกเขาช่างน่าอนาถและน่าสมเพช และพวกเขาต้องรู้สึกอับอายเพียงใด!
ความเชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงเกิดขึ้นในตัวใครบางคนได้อย่างไร? ความเชื่อนั้นเกิดจากประสบการณ์ แล้วประสบการณ์ทำให้เกิดความเชื่อได้อย่างไร? หากเจ้าสามารถแสวงหาและใคร่ครวญเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทุกบุคคล ทุกเหตุการณ์ และทุกสิ่งที่เจ้าเผชิญ อีกทั้งเข้าใจพระองค์ผ่านสิ่งเหล่านั้นได้ หลังจากผ่านประสบการณ์มากมายแล้ว เจ้าก็จะค่อยๆ เข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง—มิใช่เข้าใจด้วยวาจา แต่เป็นความเข้าใจเชิงลึกภายในตัวเจ้า พระเจ้าที่หัวใจของเจ้าเชื่อและปากของเจ้ายอมรับนั้นสถิตอยู่ในหัวใจของเจ้า และไม่มีผู้ใดสามารถพรากพระองค์ไปได้ เช่นเดียวกับโยบ เมื่อเขาถูกทดสอบ เพื่อนพ้องของเขากล่าวว่า “เจ้าได้ทำบาปและล่วงเกินพระเจ้า รีบวิงวอนต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าให้ทรงอภัยเจ้าเถิด!” โยบไม่คิดเช่นนั้น แต่เป็นเพราะเหตุใดเล่า? เพราะหลังจากใช้ชีวิตมาหลายทศวรรษ ความเข้าใจที่โยบมีต่อพระเจ้าไม่ได้มาจากประสบการณ์ โยบไม่ได้กล่าวว่า “พระเจ้าประทานพรและทรงเปี่ยมกรุณาต่อมนุษย์ อีกทั้งไม่เคยพรากสิ่งเหล่านั้นไปเลย” สิ่งที่เขามีประสบการณ์คือพระเจ้าประทานแก่มนุษย์ แต่พระองค์ก็ทรงเอาไปด้วยเช่นกัน เมื่อพระองค์ประทานสิ่งต่างๆ ให้มนุษย์ บางครั้งพระองค์ก็ทรงสั่งสอน บ่มวินัย และลงโทษ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำต่อผู้คนไม่ได้สั่งการโดยความรู้สึกนึกคิด การคิดอ่าน หรือความคิดฝันของมนุษย์ ดังนั้น ประสบการณ์ชีวิตหลายสิบปีของโยบจึงทำให้เขาสรุปว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) นั่นคือทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ไม่ว่าจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีในสายตามนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ แม้จะมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น ซาตานก็ไม่กล้ากระทำต่อต้านมนุษย์หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต มวลมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพวกเขาไม่มีอะไรต้องกลัวเมื่ออยู่ภายใต้อธิปไตยของพระองค์ ต่อให้เจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตาน นั่นก็จะยังคงอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า และซาตานย่อมจะไม่กล้าแตะต้องเจ้าหากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต โยบมีความเข้าใจในระดับนี้ เขาจึงไม่พร่ำบ่นไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตาม เขามองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีเพียงพระยาห์เวห์พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และบรรดาทูตสวรรค์ วิญญาณชั่ว รวมถึงปีศาจทั้งหมดนั้นย่อมไม่ใช่พระเจ้า ใครคือผู้ที่ครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง? ใครคือผู้ที่ครองอธิปไตยเหนือมวลมนุษย์ และเหนือสรรพสิ่งที่มีอยู่? ย่อมเป็นพระเจ้า พูดในภาษาทั่วไปคือพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ที่สุด ครอบครัวของคนคนหนึ่ง ระดับความมั่งคั่งของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาผ่านแต่ละวันไปอย่างสะดวกสบายหรือเจ็บปวด รวมทั้งอายุขัยของพวกเขา—ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า โยบมีประสบการณ์อันลุ่มลึกในเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสองครั้งในชีวิต เมื่อใดก็ตามที่มีบางสิ่งเกิดขึ้น หากเขาสามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นภายในอธิปไตยของพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมฝังลึกลงในความทรงจำของเขา นั่นทำให้เขาเกิดความรู้สึกอันลุ่มลึกและสำนึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือโดยเจตจำนงของมนุษย์หรือซาตาน แต่นั่นคือพระราชกิจของพระเจ้าและเขาไม่อาจพร่ำบ่นได้ โยบตระหนักถึงสิ่งใดบ้างยามก้าวผ่านบททดสอบอันยิ่งใหญ่เช่นนั้น? ตระหนักว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์สูงสุด พระเจ้าทรงเปี่ยมปัญญา เขาสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้ตลอดเวลาไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใดก็ตาม หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเจ้า แต่เจ้าไม่อาจเข้าใจได้ จงอย่าตัดสินหรือกำหนดบทสรุปจบด้วยตัวเจ้าเอง หากเจ้าไม่รู้ว่าน้ำพระทัยอันดีของพระเจ้าคือสิ่งใด เช่นนั้นจงแสวงหา รอคอย แล้วจงนบนอบ นี่คือหนทางปฏิบัติที่ดีที่สุด และเป็นเส้นทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกดูหมิ่นและอับอายขายหน้า โยบมีความรู้จากประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้อย่างลึกซึ้งมาก หากเจ้าเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่เสมอ เจ้าจะไม่สามารถได้รับความจริง และจะถูกริบพรจากพระเจ้าคืน ต่อให้เจ้าทนทุกข์กับความยากลำบากมากมาย เจ้าก็จะไม่ได้รับสิ่งใด เพราะความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าไม่ปกติ เจ้าไม่ปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้า เจ้าไม่เข้าใจพระราชกิจของพระองค์ และเจ้าไม่นบนอบพระองค์อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ เจ้าจะไม่สามารถบรรลุความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า พระเจ้าตรัสและทรงพระราชกิจ และไม่ว่าพระองค์ทรงอุตสาหพยายามเพื่อเจ้าในรูปแบบใด และไม่ว่าพระเจ้าทรงสร้างสภาพแวดล้อมแบบใดแก่เจ้า ท้ายที่สุดก็ล้วนเป็นไปเพื่อให้เจ้าสามารถรู้จักพระเจ้า เมื่อเจ้ารู้จักพระเจ้า ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระองค์ก็ย่อมจะใกล้ชิดและเป็นปกติมากขึ้น พระเจ้าไม่ทรงกระทำการโดยไร้เหตุผล นับประสาอะไรกับการหยอกล้อใครบางคนเพราะความเบื่อหน่าย และการที่ผู้คนไม่เข้าใจวิธีการทรงพระราชกิจของพระองค์ก็เป็นเรื่องปกติ แต่พวกเขาควรแสวงหาความจริง และอย่างน้อยที่สุดก็ไม่ควรจำกัดความพระเจ้า—นี่คือความหมายของการเป็นคนที่มีเหตุผล ดังที่เปโตรกล่าวไว้ว่า ไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนราวกับของเล่น และไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาในหนทางใดก็ตาม พระองค์ทรงถูกต้องเสมอ “หากพระเจ้าทรงปฏิบัติกับข้าพเจ้าเหมือนของเล่น ข้าพเจ้าจะไม่พร้อมและไม่เต็มใจได้อย่างไร?” สิ่งใดทำให้เปโตรกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา? (ประสบการณ์ของเปโตรนำไปสู่คำพูดเช่นนี้ เขาตระหนักว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด เจตนารมณ์ของพระองค์ย่อมดีเสมอ) บางครั้งเจ้าอาจจะไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าควรทำเช่นไร? เจ้าต้องรอคอย แสวงหา และพยายามตระหนักรู้ ถึงแม้โยบและเปโตรมีชีวิตในช่วงเวลาที่ต่างกัน มีภูมิหลังต่างกัน ได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกัน และกล่าวคำพูดที่ไม่เหมือนกัน แต่เส้นทางและหนทางในการปฏิบัติของทั้งคู่เหมือนกัน และท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นก็เหมือนกัน พวกเขาเพียงใช้ภาษาที่แตกต่างกันในการแสดงแนวคิดนี้ แต่ผู้คนเข้าใจสิ่งใดจากเรื่องนี้บ้าง? เข้าใจว่าเจ้าต้องปฏิบัติการนบนอบระหว่างแสวงหาและรอดูว่าพระเจ้าประสงค์สิ่งใด จงอย่าวิตกกังวล การมีท่าทีเช่นนี้ก่อนนั้นถูกต้องแล้ว เมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น หากเจ้าร้อนใจมากเกินควรและไม่รู้จักแสวงหาความจริง กลับเอาแต่พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นย่อมจะเป็นปัญหา บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่เข้าใจเลย! เหตุใดพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเราเช่นนี้? ฉันไม่อาจนบนอบหากพวกเราถูกปฏิบัติราวหมู่มารและเหล่าซาตาน ช่างไร้เหตุผลและไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!” เจ้ายังคงคู่ควรกับการทรงนำของพระเจ้าหรือไม่หากปล่อยความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์ มโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความเป็นกบฏ และการไม่เชื่อฟังของเจ้าไร้การควบคุม? การนบนอบนั้นไม่ง่ายเหมือนแค่การพูดว่าเจ้านบนอบ หรือประกาศคำสอน หรือแสดงความมุ่งมั่นสักนิด และมีความยับยั้งชั่งใจสักหน่อย เรื่องนี้ไม่ง่ายขนาดนั้น หากเจ้านบนอบพระเจ้า บำเหน็จสูงสุดของเจ้าก็คือการมีความรู้เกี่ยวกับพระองค์ เข้าใจสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดวางไว้ให้เจ้า รวมถึงมีความรู้จากประสบการณ์จริง นั่นคือ เจ้าจะเข้าใจพระทัยของพระเจ้าและเจตนารมณ์อันจริงจังของพระองค์ และเข้าใจว่าพระองค์ทรงผิดหวังกับเหล็กมีตำหนิที่ไม่อาจกลายเป็นเหล็กกล้าได้ พระเจ้าไม่ทรงต้องการเห็นเจ้าใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่ทรงต้องการให้เจ้ารอดพ้นจากสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น พระองค์จึงต้องทรงใช้วิธีการเหล่านั้นมาพิพากษาและตีสอนเจ้า ตัดแต่ง ตำหนิ และบ่มวินัยเจ้าอย่างหนักเสียจนดูเหมือนพระเจ้าไม่ทรงใส่ใจความรู้สึกของเจ้า ราวกับพระองค์กำลังทรงกล่าวโทษและลงโทษเจ้า หรือกำลังทรงเล่นอยู่กับเจ้า แล้วเจ้าจะทำเช่นไร? หากเจ้าสามารถเข้าใจถึงเจตนารมณ์ที่จริงจังของพระเจ้าได้ แม้เมื่อพระองค์ทรงกระทำในหนทางนี้ นั่นก็เพียงพอแล้ว–เจ้าย่อมจะนบนอบอย่างแท้จริง ขณะที่โยบกำลังถูกทดสอบ เขากล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” โยบมีความเข้าใจในเรื่องนี้ว่าอย่างไร? “ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้ามีล้วนเป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าประทาน และพระองค์ก็ทรงเอาไปได้หากพระองค์ประสงค์เช่นนั้น เพราะพระองค์คือพระเจ้าและพระองค์ทรงมีฤทธานุภาพนี้ ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ เพราะทุกสิ่งที่ข้าพเจ้ามีล้วนมาจากพระองค์” นี่คือสิ่งที่โยบเข้าใจและมีประสบการณ์ ในเวลานั้นเขามีความตั้งใจอย่างไร? “ข้าพเจ้าต้องเข้าใจพระเจ้า ทำสิ่งที่มีเหตุผล และเป็นคนที่มีเหตุผล ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้า และพระองค์ก็ทรงเอาไปได้ทุกเมื่อ ข้าพเจ้าไม่สามารถพยายามหาเหตุผลมาอ้างกับพระเจ้าในเรื่องนี้ได้ การทำเช่นนั้นจะเป็นการกบฏต่อพระองค์ การปฏิเสธการกระทำของพระเจ้าย่อมจะทำให้พระองค์ทรงเจ็บปวดพระทัย และข้าพเจ้าจะไม่ใช่คนดีอย่างแท้จริง หรือเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงหากทำเช่นนั้น” นี่คือวิธีปฏิบัติของเขาในเวลานั้น แล้วการปฏิบัตินี้นำผลลัพธ์ใดมาให้เขา? จริงๆ แล้ว ผลลัพธ์ที่แท้จริงไม่ใช่การที่เขาร่ำรวยขึ้น หรือมีวัวควายและมีแกะมากกว่าแต่ก่อน หรือมีบุตรธิดาที่รูปงามมากกว่าแต่ก่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่พระคุณของพระเจ้าประทานให้ จากประสบการณ์นี้ สิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับเขาโดยแท้คือการเข้าใจพระองค์ดีขึ้น การนบนอบ ความสัมพันธ์กับพระองค์ที่แน่นแฟ้นขึ้น และใกล้ชิดกับพระทัยของพระองค์ยิ่งขึ้น โยบสามารถเข้าใจทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ และไม่พูดจาไร้สาระหรืออวดดี รวมทั้งไม่กล่าวคำพูดที่ทำให้พระเจ้าเจ็บปวดพระทัยอีกต่อไป นี่คือความหมายของการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนมิใช่หรือ? ซาตานไม่สามารถควบคุมเจ้าได้อีกต่อไป เจ้าไม่ได้อยู่ใต้การควบคุมของมันอีกแล้ว ทว่าอยู่ใต้การควบคุมของพระเจ้า เจ้าสามารถนบนอบได้ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด และเจ้าเป็นของพระองค์ นี่คือสภาวะของโยบในเวลานั้นและโยบมีท่าทีเช่นนี้ นอกจากนี้แล้ว เพราะเขาปฏิบัติตนในหนทางนี้และเข้าสู่ความเป็นจริงเช่นนี้ ท้ายที่สุดพระเจ้าจึงทรงปรากฏพระองค์แก่เขา การทรงปรากฏของพระเจ้าไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม ทำให้ความเข้าใจที่เขามีต่อพระเจ้าลึกซึ้งขึ้นหรือไม่? (ลึกซึ้งขึ้น) ใช่แล้ว แน่นอนว่าการนี้ทำให้ความเข้าใจของเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้น จากเดิมที่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าแต่ในตำนาน ไปสู่การยืนยันถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ และการได้เห็นพระองค์–ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ พวกเจ้าคิดว่าสิ่งใดเป็นพรที่ยิ่งใหญ่สำหรับมวลมนุษย์มากกว่ากัน เมื่อเทียบกับพระคุณที่พระเจ้าประทานให้? (การได้เห็นพระเจ้าคือพรที่ยิ่งใหญ่กว่า) แน่นอน เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็ร้องขอให้พระเจ้าคุ้มครองพวกเขา ประทานพระคุณแก่พวกเขา ยกชูพวกเขาเหนือผู้อื่นและประทานพรให้ครอบครัวของพวกเขามีความสุขและปลอดภัยอยู่เสมอ พวกเขาขอให้สามารถประกาศในทุกที่ที่พวกเขาไป และมีคนอื่นอิจฉาและเลื่อมใสพวกเขา นี่คือสิ่งที่ผู้คนต้องการ แต่พวกเขาไม่ตระหนักถึงพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าประสงค์จะประทานให้ พวกเขาขอเพียงพระคุณที่เป็นวัตถุภายนอก ทว่าทุกสิ่งที่พวกเขาเรียกร้องรังแต่จะทำให้พวกเขาห่างไกลจากพระทัยของพระเจ้ายิ่งขึ้น พวกเขาสูญเสียความโชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และพวกเขาสูญเสียพรของพระเจ้าไป หากเจ้าไม่สามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและไม่อาจได้รับความจริง เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตในการดำรงอยู่ของพระองค์หรือไม่? เจ้าสามารถนบนอบการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้าได้โดยแท้จริงหรือไม่? เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
กระบวนการของการนำความจริงไปปฏิบัติและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงนั้น แท้จริงแล้วเป็นกระบวนการของการเข้าใจตนเอง และเป็นการทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า นี่ยังเป็นกระบวนการของปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าแบบซึ่งหน้า และเป็นการมารู้จักพระองค์ เจ้ากล่าวว่าเจ้านำความจริงไปปฏิบัติ ทว่าเจ้าไม่รู้จักพระเจ้าได้อย่างไร? ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าไม่ใกล้ชิดกันมากขึ้นได้อย่างไร? เจ้ากล่าวว่าเจ้าอธิษฐานและเปิดใจต่อพระองค์ทุกวัน อย่างนั้นแล้วในช่วงเวลานี้ เจ้ารู้สึกใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้นหรือไม่? เจ้ารู้สึกว่าความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเพิ่มขึ้นหรือไม่? ระหว่างนี้ เจ้ารู้สึกว่าเจ้าได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้ามากมายขึ้น พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์น้อยลง รวมถึงเข้าใจผิดและกบฏต่อพระองค์น้อยลงหรือไม่? หากเจ้าไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ในตนเอง ทั้งยังเป็นเหมือนเดิมทุกประการ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ได้นำความจริงไปปฏิบัติและเสียเวลาเปล่า เพียงแต่ทุ่มเรี่ยวแรงไปเท่านั้น ไม่มีผู้ใดบังคับเจ้าให้ลงแรงหรือทุ่มเทพละกำลัง และในขณะเดียวกันก็ไม่มีผู้ใดกำลังกีดกันเจ้าไม่ให้นำความจริงไปปฏิบัติ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเลือกเอง และเจ้าก็เดินอยู่บนเส้นทางของการออกแรงทำงาน หากผู้คนไม่นำความจริงไปปฏิบัติหรือไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้นอกจากจะกลายเป็นคนลงแรง การนำความจริงไปปฏิบัติเป็นเรื่องยากสำหรับผู้คน พวกเขาไม่รู้วิธีนบนอบพระเจ้า ทั้งยังพึงพอใจเพียงการตรากตรำและออกแรงทำงานอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดเมื่อพวกเขาสามารถเข้าใจคำสอนบางข้อ พวกเขาไม่รู้ว่าจะนำความจริงไปปฏิบัติอย่างไร พวกเขาได้แต่ออกแรงทำงานอีกครั้ง โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้าจึงต้องใช้เวลาในการทบทวน ตรวจสอบตนเอง และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงถึงสิ่งที่เจ้าได้รับมาในช่วงนี้เป็นระยะๆ เจ้ากล่าวว่า “ฉันยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่มากมาย และฉันยังไม่ได้แก้ไขอีกมาก” คนอื่นก็กล่าวว่า “ช่วงนี้ฉันรู้สึกว่าฉันได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพระทัยของพระเจ้า การที่พระเจ้าทรงปล่อยให้มวลมนุษย์ทนทุกข์เป็นเรื่องที่ดี ฉันเคยกลัวความทุกข์ และอยากหลบซ่อนหรือวิ่งหนีเมื่อเผชิญกับความทุกข์ ตอนนี้ฉันรู้สึกว่า ผู้คนสามารถสงบใจของตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และป้องกันไม่ให้ตนเผลอไผลมุ่งเน้นที่เรื่องภายนอกได้ ก็หลังจากที่พวกเขาได้ทนทุกข์มาบ้างแล้วเท่านั้น การทนทุกข์เป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงสร้างสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากต่างๆ เพื่อทดสอบและถลุงผู้คนอยู่เสมอ ฉันรู้สึกเหมือนฉันเข้าใจและรู้สึกถึงจุดประสงค์บางอย่าง รวมถึงเจตนารมณ์ที่จริงจังของพระเจ้า ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำล้วนดีงาม!” นี่คือวิธีที่เจ้าต้องสามัคคีธรรม เจ้าจะได้ประโยชน์จากการสามัคคีธรรม หากคนไม่กี่คนมารวมตัวกันในยามว่างเพื่อซุบซิบนินทา ตัดสิน หรือพูดเรื่องอื่นที่มีแนวโน้มว่าจะนำไปสู่การโต้เถียง พวกเขาอาจดูเหมือนกำลังพูดถึงความเชื่อในพระเจ้าหรือประสบการณ์ชีวิตของตน แต่หากหัวใจของพวกเขาไม่มีสันติสุข เช่นนั้นพวกเขาก็ควรที่จะปฏิบัติวิธีแสวงหาและเพียรพยายามเพื่อความจริง รวมถึงเพียรพยายามทำตามข้อกำหนดของพระเจ้า หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงในหนทางนี้เสมอ เช่นนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงพระราชกิจในตัวเจ้าและประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า จงถือเอาความจริงที่เจ้าขาดเป็นภาระในการไล่ตามเสาะหา จงปฏิบัติและมีประสบการณ์ รวมถึงเพียรพยายามเพื่อความจริง เจ้าควรนำการนี้ไปปฏิบัติอย่างไร? เจ้าควรแสวงหาและขอการนำจากผู้ที่เข้าใจความจริงเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เจ้าไม่เข้าใจหรือไม่สามารถจับความเข้าใจได้ หากเจ้าปฏิบัติเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงได้มากขึ้นและได้รับประโยชน์มากมาย ส่วนใหญ่แล้ว พวกเจ้าไม่รู้จักวิธีสามัคคีธรรมความจริง เพียงแต่มุ่งหารือเรื่องงาน หรือพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการเสมอ ไม่ใช่หลักธรรม นี่คือการเบี่ยงเบน อันที่จริงแล้วเมื่อเจ้าพูดคุยเรื่องงาน เจ้าควรสามัคคีธรรมถึงเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง นั่นจะเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าเอง ทันทีที่เจ้าได้สามัคคีธรรมเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริงอย่างชัดเจนแล้ว เช่นนั้นเจ้าย่อมจะมีเส้นทางในการเข้าสู่ชีวิต นี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการทำงานและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า รวมถึงการเข้าสู่ชีวิตของตัวเจ้าเอง เป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองด้านมิใช่หรือ? เจ้าต้องสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์เกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าด้วยหนทางที่บริสุทธิ์และเปิดเผยเพื่อที่จะได้รับผลลัพธ์และสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิต การซุบซิบนินทาหรือตัดสินผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาไม่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตเลย ทั้งยังทำให้คนเราสูญเสียโอกาสในการได้รับความรอดจากการเชื่อในพระเจ้า การเชื่อในพระเจ้าหมายถึงคนเราต้องมุ่งเน้นในการนำความจริงไปปฏิบัติตลอดเวลา ยิ่งเจ้านำความจริงไปปฏิบัติมากเท่าใด โอกาสในการได้รับความรอดของเจ้าก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หากเจ้าเข้าใจความจริงน้อยเกินไป เจ้ายิ่งต้องแสวงหาให้มากขึ้น มีเพียงการเข้าใจความจริงและการนำความจริงไปปฏิบัติเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถมีประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง รวมถึงสัมฤทธิ์โอกาสแห่งความรอดที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและแน่นอนมากขึ้น
16 กรกฎาคม ค.ศ. 2017