มีเพียงมีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยครั้งเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระองค์

พวกเจ้าส่วนใหญ่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว และวางรากฐานในหนทางที่แท้จริงมาแล้วไม่มากก็น้อย  ตอนนี้พวกเจ้าสามารถทิ้งภาระผูกพันของครอบครัวและสังคมทางโลกมาติดตามพระเจ้าได้แล้ว  เจ้ากำลังฝึกปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเจ้าเต็มใจที่จะสละตนเพื่อพระเจ้า และพร้อมที่จะเพียรพยายามไปให้ถึงความจริง  นี่หมายความว่าพวกเจ้าเริ่มเข้าใจสิ่งทั้งหลายแล้ว และพอจะมีมโนธรรมและสำนึกอยู่บ้าง  นั่นเป็นสิ่งที่ดี  นัยสำคัญของการปฏิบัติหน้าที่นั้นยิ่งใหญ่นัก!  การที่พวกเจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของตนได้ดีหรือไม่ย่อมสัมพันธ์โดยตรงกับความรอดและความเพียบพร้อมของเจ้า  อาจกล่าวได้ว่าคนเราจะสามารถบรรลุการเข้าสู่ชีวิตได้ก็ด้วยการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น และจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าได้ก็ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีเท่านั้น  ดังนั้นการเรียกร้องเอาจากพวกเจ้าอีกเล็กน้อยในเรื่องหน้าที่ของพวกเจ้า และการตัดแต่งพวกเจ้านิดหน่อย ย่อมจะเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า  อย่างน้อยที่สุดชีวิตของพวกเจ้าก็จะก้าวหน้าเร็วขึ้น  การมีข้อเรียกร้องสูงๆ กับพวกเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย และการให้ปัญหายากๆ แก่พวกเจ้าเป็นครั้งคราวเพื่อที่จะทดสอบพวกเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย  ทั้งหมดนี้ทำไปเพื่อช่วยให้พวกเจ้าเติบโตในชีวิตและทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และเพื่อให้พวกเจ้าสามารถมีความเชี่ยวชาญในความรู้บางอย่างในสายงานได้ดีขึ้น และมีประสิทธิผลในหน้าที่ของพวกเจ้ามากขึ้น  หากไม่มีข้อเรียกร้องเหล่านี้ต่อพวกเจ้า ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร?  พวกเจ้าจะสามารถทำได้เพียงประกาศคำสอนและปฏิบัติตามข้อบังคับทั้งหลายเท่านั้น และย่อมจะเชื่อในพระเจ้านานหลายปีโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด  ในกรณีนั้น เมื่อไรพวกเจ้าจะสามารถก้าวหน้าได้?  พวกเจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไร?  ไม่เพียงพวกเจ้าจะไม่มีความก้าวหน้าในเรื่องของความจริงเท่านั้น แต่ความรู้ที่พวกเจ้ามีในสายงานซึ่งจำเป็นต่อหน้าที่ของพวกเจ้าก็จะไม่ก้าวหน้าด้วย  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของตนในลักษณะที่ได้มาตรฐานและเป็นคำพยานให้พระเจ้าได้หรือ?  ในแง่ที่เกี่ยวข้องกับวุฒิภาวะในปัจจุบันของพวกเจ้า ความเข้าใจที่พวกเจ้ามีในความจริงนั้นตื้นเขินเกินไป และพวกเจ้าก็ยังไม่เชี่ยวชาญในหลักธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  นอกจากนี้พวกเจ้ายังห่างไกลมากจากการได้เกณฑ์มาตรฐานของการปฏิบัติหน้าที่ของตนในลักษณะที่ได้มาตรฐาน  ถึงกระนั้นพวกเจ้าก็ไม่ตระหนักรู้เรื่องนี้และรู้สึกเหมือนว่าพวกตนทำได้ดี บางครั้งพวกเจ้าก็บังอาจมากและคิดว่าตนถูกเอามากๆ ด้วยซ้ำไป  คำพูดที่พวกเจ้ากล่าวหรือสิ่งที่พวกเจ้าทำนั้นไม่อาจเปิดเผยได้และไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  เมื่อใครบางคนชี้ให้พวกเจ้าเห็นปัญหาหนึ่งๆ ที่พวกเจ้ามี พวกเจ้าก็ไม่สามารถยอมรับได้ และไม่แสวงหาความจริง ทั้งยังแก้ตัวอีกด้วย  ในที่นี้ปัญหาคืออะไร?  ปัญหาก็คือเจ้าไม่มีแม้แต่สำนึกขั้นพื้นฐานที่สุดซึ่งจำเป็นต่อการประพฤติปฏิบัติตนอย่างถูกควร  ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดอยู่ก็ตาม อย่างน้อยที่สุดผู้คนส่วนใหญ่ต้องมองว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นเหมาะควร  เจ้าต้องฟังข้อเสนอแนะของทุกคน—หากสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นถูกต้อง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องยอมรับ จากนั้นก็แก้ไขข้อผิดพลาดของเจ้า  หากทุกคนคิดว่าผลลัพธ์ที่เจ้าทำได้นั้นพอใช้ได้ และทุกคนก็ให้ความเห็นชอบ เช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถมองได้ว่าการกระทำของเจ้าได้มาตรฐาน  เมื่อเป็นเช่นนี้ ในแง่หนึ่งพวกเจ้าย่อมจะสามารถกระทำการให้ตรงตามหลักธรรมเวลาทำหน้าที่ของพวกเจ้าได้ และพวกเจ้าก็จะมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและมีประสบการณ์ในการรับมือปัญหามากขึ้น  ในอีกแง่หนึ่งพวกเจ้าย่อมจะสามารถเรียนรู้ได้มากขึ้น และในเวลาเดียวกันย่อมจะเริ่มเข้าใจความจริงและมีการเข้าสู่ชีวิต  ดังนั้นเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องไม่คิดว่าตนเองถูก  เจ้าต้องสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเรียนรู้บทเรียน  เจ้าต้องสามารถปล่อยมือจากตัวเองเพื่อที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม  หากเจ้าคิดว่า “ฉันเชี่ยวชาญเรื่องนี้มากกว่าพวกคุณ ดังนั้นฉันควรจะมีสิทธิ์ตัดสิน และพวกคุณทุกคนควรจะฟังฉัน!”—นั่นเป็นอุปนิสัยประเภทใด?  เป็นความโอหังและความคิดว่าตนเองถูก  นั่นเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน และไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในขอบข่ายของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  แล้วการไม่คิดว่าตนเองถูกย่อมหมายถึงอะไร?  (หมายถึงการรับฟังข้อเสนอแนะของทุกคน และการหารือเรื่องต่างๆ กับทุกคน)  ไม่ว่าความคิดและความเห็นส่วนตนของเจ้าจะเป็นเช่นไร หากเจ้าตัดสินอย่างมืดบอดว่าความคิดและความเห็นเหล่านั้นถูกต้องและเป็นหนทางที่ควรใช้ทำสิ่งทั้งหลาย นั่นก็คือความโอหังและความคิดว่าตนถูก  หากเจ้ามีแนวคิดหรือความเห็นบางประการที่เจ้ารู้สึกว่าถูกต้อง แต่เจ้าไม่ได้มีความเชื่อในตัวเจ้าเองอย่างสมบูรณ์ และเจ้าสามารถยืนยันแนวคิดหรือความเห็นเหล่านั้นผ่านทางการแสวงหาและการสามัคคีธรรมได้ นั่นคือความหมายของการไม่คิดว่าตนถูก  การรอคอยให้ได้รับการเกื้อหนุนและความเห็นชอบจากทุกคนก่อนที่จะกระทำการนั้นเป็นหนทางที่สมเหตุสมผลในการทำสิ่งทั้งหลาย  หากใครบางคนไม่เห็นด้วยกับเจ้า เจ้าก็ควรตอบกลับอย่างมีสติ และมีความละเอียดถี่ถ้วนในแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับสายงานของเจ้า  เจ้าไม่สามารถเมินเฉยโดยกล่าวว่า “คุณเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าหรือว่าฉันเข้าใจดีกว่า?  ฉันมีส่วนร่วมในงานด้านนี้มานานมากแล้ว—ฉันควรจะมีความเข้าใจในเรื่องนี้ดีกว่าคุณไม่ใช่หรือ?  คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง?  คุณไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย!”  นั่นไม่ใช่อุปนิสัยที่ดี เป็นอุปนิสัยที่คิดว่าตนถูกและโอหังเกินไป  เป็นไปได้ว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับเจ้านั้นเป็นมือสมัครเล่น และพวกเขาก็ไม่ได้เข้าใจงานด้านนั้นดีนัก เจ้าอาจเป็นฝ่ายถูกและอาจทำสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้อง แต่อุปนิสัยของเจ้านั่นเองที่เป็นปัญหา  เมื่อเป็นเช่นนั้น วิธีประพฤติตนและกระทำการที่ถูกต้องย่อมเป็นเช่นไร?  เจ้าจะสามารถประพฤติและกระทำการให้สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงได้อย่างไร?  เจ้าต้องนำเสนอแนวคิดของเจ้าให้ทุกคนพิจารณาดูว่าแนวคิดเหล่านั้นมีปัญหาหรือไม่  หากใครบางคนให้ข้อเสนอแนะ เจ้าต้องยอมรับข้อเสนอแนะนั้นก่อน จากนั้นจึงให้ทุกคนยืนยันเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง  หากไม่มีใครมีปัญหากับเส้นทางนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถกำหนดหนทางที่เหมาะควรที่สุดในการทำสิ่งทั้งหลายและลงมือตามนั้นได้  หากพบเจอปัญหา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องขอความเห็นจากทุกคน และพวกเจ้าทุกคนก็ควรแสวงหาความจริงและสามัคคีธรรมความจริงด้วยกัน และด้วยการทำเช่นนั้น พวกเจ้าย่อมจะได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  เมื่อหัวใจของเจ้าได้รับความกระจ่าง และเจ้ามีเส้นทางที่ดีขึ้น ผลลัพธ์ที่เจ้าสัมฤทธิ์ย่อมจะดีกว่าเดิม  นี่คือการทรงนำของพระเจ้ามิใช่หรือ?  นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์!  หากเจ้าสามารถหลีกเลี่ยงการคิดว่าตนถูก หากเจ้าสามารถปล่อยมือจากความคิดฝันและแนวคิดของตนเอง และหากเจ้าสามารถรับฟังความเห็นที่ถูกต้องของผู้อื่นได้ เจ้าย่อมจะสามารถได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  หัวใจของเจ้าจะได้รับความกระจ่างและเจ้าจะสามารถค้นพบเส้นทางที่ถูกต้อง  เจ้าจะมีหนทางไปต่อข้างหน้า และเมื่อเจ้านำหนทางดังกล่าวไปปฏิบัติ แน่นอนว่าหนทางนั้นย่อมจะสอดคล้องกับความจริง  ด้วยการปฏิบัติและด้วยประสบการณ์เช่นนั้นเจ้าย่อมจะได้เรียนรู้ว่าควรปฏิบัติความจริงอย่างไร และในเวลาเดียวกันเจ้าก็จะเรียนรู้สิ่งใหม่บางประการที่เกี่ยวข้องกับงานด้านนั้นด้วย  นี่คือเรื่องดีมิใช่หรือ?  จากเรื่องนี้เจ้าย่อมจะตระหนักว่าในยามที่เกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องไม่คิดว่าตนเองถูกและเจ้าต้องแสวงหาความจริง และหากเจ้าคิดว่าตนเองถูกและไม่ยอมรับความจริง ทุกคนย่อมจะไม่ชอบเจ้าและแน่นอนว่าพระเจ้าก็จะทรงเกลียดเจ้า  นี่คือบทเรียนที่เจ้าย่อมเรียนรู้มิใช่หรือ?  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงในหนทางนี้และปฏิบัติความจริงอยู่เสมอ เจ้าย่อมจะฝึกฝนทักษะตามสายงานที่เจ้าใช้ในหน้าที่ของเจ้าต่อไป เจ้าย่อมจะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในหน้าที่ของเจ้า และพระเจ้าก็จะประทานความรู้แจ้งและอำนวยพรแก่เจ้า และจะทรงเปิดโอกาสให้เจ้าได้รับมากขึ้นอีกด้วย  นอกจากนั้นเจ้าย่อมจะมีเส้นทางในการปฏิบัติความจริง และเมื่อเจ้ารู้วิธีปฏิบัติความจริงแล้ว เจ้าก็จะเชี่ยวชาญในหลักธรรมไปทีละเล็กทีละน้อย  เมื่อเจ้ารู้ว่าการกระทำแบบใดจะนำไปสู่ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า การกระทำแบบใดจะพาให้พระองค์เกลียดชังและเมินเจ้า และการกระทำแบบใดจะนำไปสู่ความเห็นชอบและพรจากพระองค์ เจ้าก็ย่อมจะมีหนทางต่อไปข้างหน้า  เมื่อผู้คนได้รับพรและความรู้แจ้งจากพระเจ้า ชีวิตของพวกเขาย่อมจะก้าวหน้าเร็วขึ้น  พวกเขาจะได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้าทุกวัน และจะมีสันติและความสุขในหัวใจของพวกเขา  นี่ย่อมจะนำความยินดีมาให้แก่พวกเขามิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าสามารถนำเสนอการกระทำของตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และได้รับการยอมรับจากพระเจ้า เจ้าย่อมจะรู้สึกยินดีในหัวใจของตน และเจ้าจะมีสันติและความสุขอยู่ภายใน  สันติและความสุขนี้เป็นความรู้สึกที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า เป็นความรู้สึกที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานแก่เจ้า

การทำตัวโอหังและคิดว่าตนเองถูกเป็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่เด่นชัดที่สุดของมนุษย์ และหากผู้คนไม่ยอมรับความจริง พวกเขาจะไม่มีทางชำระอุปนิสัยนี้ให้บริสุทธิ์ได้  ผู้คนล้วนมีอุปนิสัยที่โอหังและคิดว่าตนเองถูก และพวกเขาก็ทะนงตนอยู่เสมอ  ไม่ว่าพวกเขาคิดอะไรหรือพูดสิ่งใด หรือพวกเขามองเห็นสิ่งทั้งหลายอย่างไร พวกเขาก็คิดอยู่เสมอว่ามุมมองและท่าทีของพวกเขาเองถูกต้อง และคิดอยู่เสมอว่าสิ่งที่ผู้อื่นพูดนั้นไม่ดีเท่าหรือไม่ถูกต้องเท่าสิ่งที่พวกเขาพูด  พวกเขายึดติดกับความคิดเห็นของตนเองอยู่ตลอดเวลา และไม่ว่าใครพูด พวกเขาก็จะไม่ฟังคนเหล่านั้น  ต่อให้สิ่งที่คนอื่นพูดนั้นถูกต้อง หรือเป็นไปแนวเดียวกับความจริง พวกเขาก็จะไม่ยอมรับสิ่งนั้น พวกเขาเพียงดูเหมือนจะรับฟัง แต่พวกเขาจะไม่นำแนวคิดนั้นมาใช้จริง และเมื่อถึงเวลากระทำ  พวกเขาจะยังคงทำสิ่งทั้งหลาย ตามหนทางของตนเอง พลางคิดอยู่เสมอว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นถูกต้องและสมเหตุสมผล  อันที่จริงเป็นไปได้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นถูกต้องและสมเหตุสมผล หรือสิ่งที่เจ้าทำนั้นถูกต้องและไร้ที่ติ ทว่าเจ้าเปิดเผยอุปนิสัยประเภทใดออกมา?  นี่ไม่ใช่อุปนิสัยแห่งความโอหังและความคิดว่าตนถูกเสมอหรอกหรือ?  หากเจ้าไม่ทิ้งอุปนิสัยอันโอหังและคิดว่าตนเองถูกเสมอนี้ไป สิ่งนี้จะไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรอกหรือ?  สิ่งนี้จะไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติความจริงของเจ้าหรอกหรือ?  หากเจ้าไม่แก้ไขอุปนิสัยอันโอหังและคิดว่าตนเองถูกของเจ้า สิ่งนี้จะไม่ทำให้เกิดความล้มเหลวอันร้ายแรงในอนาคตหรอกหรือ?  แน่นอนว่าเจ้าจะประสบกับความพลาดพลั้ง นี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้  จงบอกเราเถิดว่า พระเจ้าสามารถทอดพระเนตรเห็นพฤติกรรมเช่นนั้นของมนุษย์ได้หรือไม่?  พระเจ้ายิ่งกว่าสามารถทอดพระเนตรเห็นพฤติกรรมเช่นนั้นได้!  ไม่เพียงแต่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คนเท่านั้น พระองค์ยังทรงสังเกตทุกคำพูดและการกระทำของพวกเขาตลอดทุกสถานที่และทุกเวลาอีกด้วย  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นพฤติกรรมนี้ของเจ้า พระองค์จะตรัสเช่นไร?  พระเจ้าจะตรัสว่า “เจ้าช่างดื้อแพ่ง!  การที่เจ้าอาจยึดติดกับแนวคิดของตนเองในยามที่เจ้าไม่รู้ว่าตนเองทำผิดพลาดเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่เมื่อเจ้ารู้แน่ชัดว่าเจ้าทำผิดพลาด แต่ยังคงยึดติดกับแนวคิดของตนและจะตายไปโดยไม่ทันกลับใจ เจ้าก็เป็นเพียงคนโง่จอมดื้อรั้น และเจ้าย่อมตกที่นั่งลำบาก  ไม่ว่าผู้ใดเสนอแนะ หากเจ้ามีท่าทีที่ต้านทานและคิดลบต่อข้อเสนอแนะนั้นอยู่เสมอและไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย และหากหัวใจของเจ้าต้านทาน ปิดตาย และไม่ไยดีอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นเจ้าก็ช่างน่าขัน เจ้าคือคนไร้สาระ!  เจ้าเป็นพวกที่จัดการได้ยากเกินไป!”  เจ้าจัดการได้ยากเกินไปในหนทางใด?  เจ้าเป็นคนที่จัดการได้ยากเพราะสิ่งที่เจ้าแสดงออกไม่ใช่การเข้าหาที่ผิด หรือพฤติกรรมที่ผิด ทว่าเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยของเจ้า  นี่เป็นการเผยอุปนิสัยอะไรออกมา?  อุปนิสัยที่รังเกียจและเกลียดชังความจริงนั่นเอง  เมื่อเจ้าถูกระบุลักษณะว่าเป็นคนที่เกลียดชังความจริง ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าย่อมตกที่นั่งลำบาก และพระองค์จะทรงรังเกียจเดียดฉันท์และเมินเจ้า  จากมุมมองของผู้คน อย่างมากที่สุดที่พวกเขาจะกล่าวก็คือ “อุปนิสัยของบุคคลนี้แย่ พวกเขาดันทุรัง ไม่ยอมอ่อนข้อ และโอหังอย่างเหลือเชื่อ!  บุคคลนี้เข้ากับคนอื่นได้ยากลำบากและไม่รักความจริง  พวกเขาไม่เคยยอมรับความจริงและไม่นำความจริงมาปฏิบัติ”  อย่างมากที่สุดทุกคนก็จะให้การประเมินนี้แก่เจ้า แต่การประเมินนี้สามารถตัดสินชะตากรรมของเจ้าได้หรือไม่?  การประเมินที่ผู้คนมอบให้เจ้าไม่สามารถตัดสินชะตากรรมของเจ้าได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องไม่ลืม นั่นคือพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของผู้คน และขณะเดียวกันพระเจ้าก็ทรงเฝ้าสังเกตทุกคำพูดและการกระทำของพวกเขา  หากพระเจ้าทรงนิยามเจ้าในหนทางนี้และตรัสว่าเจ้าเกลียดชังความจริง หากพระองค์ไม่ได้เพียงตรัสว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเล็กน้อย หรือตรัสว่าเจ้าไม่เชื่อฟังเล็กน้อย นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรงหรอกหรือ?  (นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรง)  เรื่องนี้หมายถึงความเดือดร้อน และความเดือดร้อนนี้ก็ไม่อยู่ในหนทางที่ผู้คนมองเห็นเจ้า หรือในหนทางที่พวกเขาประเมินเจ้าอย่างไร ความเดือดร้อนนี้อยู่ที่พระเจ้าทรงมีทัศนะอย่างไรต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าที่เกลียดชังความจริง  แล้วพระเจ้าทรงมีทัศนะต่ออุปนิสัยนี้อย่างไร?  พระเจ้าทรงกำหนดแล้วหรือว่าเจ้าเกลียดชังและไม่รักความจริง และนั่นคือทั้งหมดหรือ?  ง่ายดายเช่นนั้นหรือ?  ความจริงมาจากที่ใด?  ความจริงเป็นตัวแทนของใคร?  (ความจริงเป็นตัวแทนของพระเจ้า)  จงไตร่ตรองในเรื่องนี้ว่า หากบุคคลหนึ่งเกลียดชังความจริง เช่นนั้นแล้วจากมุมมองของพระเจ้า พระองค์จะทรงมีทัศนะต่อพวกเขาอย่างไร?  (ในฐานะศัตรูของพระองค์)  นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรงหรอกหรือ?  เมื่อบุคคลหนึ่งเกลียดชังความจริง พวกเขาย่อมเกลียดชังพระเจ้า!  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาเกลียดชังพระเจ้า?  พวกเขาสาปแช่งพระเจ้าหรือ?  พวกเขาต่อต้านพระเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์หรือ?  พวกเขาตัดสินหรือกล่าวโทษพระองค์ลับหลังพระองค์หรือ?  ไม่จำเป็นเลย  แล้วเหตุใดเราจึงกล่าวว่าการเผยอุปนิสัยที่เกลียดชังความจริงคือการเกลียดชังพระเจ้า?  นี่ไม่ใช่การทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทว่าคือความเป็นจริงของสถานการณ์นี้  เรื่องนี้เหมือนกับฟาริสีหน้าซื่อใจคดที่ตรึงองค์พระเยซูเจ้าบนกางเขนเพราะพวกเขาเกลียดชังความจริง—ผลที่ตามมานั้นเลวร้ายนัก  เรื่องนี้หมายความว่าหากบุคคลหนึ่งมีอุปนิสัยที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง พวกเขาอาจเผยอุปนิสัยนั้นออกมาได้ทุกที่และทุกเวลา และหากพวกเขาใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยนี้ พวกเขาจะไม่ต่อต้านพระเจ้าหรือ?  เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความจริงหรือการตัดสินใจเลือก หากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้ อีกทั้งพวกเขาใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน พวกเขาก็ย่อมจะต่อต้านและทรยศพระเจ้าตามธรรมชาติ เพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเป็นอุปนิสัยที่เกลียดชังพระเจ้าและเกลียดชังความจริง  หากเจ้ามีอุปนิสัยดังกล่าว เช่นนั้นแล้วแม้เป็นเรื่องของพระวจนะที่พระเจ้าตรัส เจ้าก็จะตั้งคำถามกับพระวจนะ อยากวิเคราะห์และชำแหละพระวจนะ  และแล้วเจ้าก็จะระแวงพระวจนะของพระเจ้า และกล่าวว่า “นี่เป็นพระวจนะของพระเจ้าจริงหรือ?  สำหรับฉันแล้ว นี่ดูไม่เหมือนความจริง แล้วก็ไม่จำเป็นที่ทั้งหมดนี้จะต้องดูเหมือนถูกต้องในสายตาฉัน!”  เมื่อเป็นเช่นนี้ อุปนิสัยที่เกลียดชังความจริงของเจ้าย่อมเผยตัวเองออกมาแล้วมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าคิดแบบนี้ เจ้าจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้กระนั้นหรือ?  แน่นอนว่าเจ้าย่อมทำไม่ได้  หากเจ้าไม่สามารถนบนอบพระเจ้า พระองค์จะยังคงเป็นพระเจ้าของเจ้าอยู่อีกหรือ?  พระองค์ย่อมไม่ใช่  เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงเป็นอะไรสำหรับเจ้า?  เจ้าจะปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนเป็นหัวข้องานวิจัย เป็นใครบางคนที่น่าสงสัย ใครบางคนที่ควรกล่าวโทษ เจ้าจะปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนคนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง และย่อมจะกล่าวโทษพระองค์เช่นนั้น  เมื่อทำดังนี้ เจ้าก็จะกลายเป็นคนที่ต้านทานและหมิ่นประมาทพระเจ้า  การกระทำเช่นนี้เกิดจากอุปนิสัยประเภทใด?  เกิดจากอุปนิสัยอันโอหังที่พองโตถึงขั้น ไม่เพียงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานจะถูกเผยออกมาจากตัวเจ้าเท่านั้น แต่โฉมหน้าเยี่ยงซาตานของเจ้าก็จะถูกตีแผ่ออกมาอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน  จะเกิดอะไรขึ้นกับสัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับคนที่ถึงขั้นต้านทานพระเจ้า ซึ่งความเป็นกบฏที่พวกเขามีต่อพระเจ้าได้ดำเนินไปถึงระดับหนึ่งแล้ว?  ย่อมกลายเป็นสัมพันธภาพที่เป็นปฏิปักษ์โดยที่คนคนหนึ่งถือว่าพระเจ้าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับตน  ในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า หากเจ้าไม่สามารถยอมรับและนบนอบความจริงได้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า  หากเจ้าไม่ยอมรับความจริงและปฏิเสธความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะกลายเป็นคนที่ต้านทานพระเจ้าไปแล้ว  เมื่อเป็นดังนั้น พระเจ้าจะยังคงสามารถช่วยให้เจ้ารอดได้อีกหรือ?  แน่นอนว่าพระองค์ไม่อาจทำได้  พระเจ้าประทานโอกาสให้เจ้าได้รับความรอดจากพระองค์และไม่ทรงมองว่าเจ้าเป็นศัตรู แต่เจ้ากลับไม่สามารถยอมรับความจริงได้และถือว่าพระเจ้าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเจ้า การที่เจ้าไม่สามารถยอมรับว่าพระเจ้าคือความจริงของเจ้าและเป็นเส้นทางของเจ้า ย่อมทำให้เจ้าเป็นคนที่ต้านทานพระเจ้า  ปัญหานี้ควรแก้ไขอย่างไร?  เจ้าต้องกลับใจและเปลี่ยนเส้นทางโดยเร็ว  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าเผชิญปัญหาหรือความยากลำบากขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนและเจ้าไม่รู้วิธีแก้ปัญหานั้น เจ้าต้องไม่ไตร่ตรองปัญหานั้นอย่างมืดบอด เจ้าต้องสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าก่อน อธิษฐานและแสวงหาจากพระองค์ และดูว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว หากเจ้ายังคงไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าปัญหานี้เกี่ยวข้องกับความจริงเรื่องใด เจ้าก็ต้องยึดมั่นในหลักธรรมข้อหนึ่ง—นั่นคือ จงนบนอบก่อน อย่ามีแนวคิดหรือความคิดอ่านส่วนตน รอคอยด้วยหัวใจที่มีสันติสุข แล้วดูว่าพระเจ้าตั้งพระทัยและมีพระประสงค์ที่จะทำอย่างไร  เมื่อเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็ควรแสวงหาความจริง และเจ้าควรรอคอยพระเจ้า แทนที่จะลงมือทำไปอย่างมืดบอดและไม่รอบคอบ  หากมีใครบางคนให้ข้อเสนอแนะแก่เจ้าในยามที่เจ้าไม่เข้าใจความจริง และบอกเจ้าว่าควรกระทำการให้สอดคล้องกับความจริงอย่างไร เจ้าก็ควรยอมรับวิธีนั้นและเปิดโอกาสให้ทุกคนสามัคคีธรรมถึงวิธีนั้นก่อน ดูว่าเส้นทางนั้นถูกต้องหรือไม่ สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่  หากเจ้ายืนยันว่าเส้นทางนั้นสอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วก็จงปฏิบัติตามนั้น หากเจ้าตัดสินว่าเส้นทางนั้นไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วก็จงอย่าปฏิบัติตามนั้น  เรื่องราวก็ง่ายเช่นนั้นเอง  เมื่อเจ้าแสวงหาความจริง เจ้าควรแสวงหาจากผู้คนจำนวนมาก  หากใครมีบางสิ่งที่จะกล่าว เจ้าก็ควรรับฟังไว้ และจริงจังกับคำพูดทุกคำของพวกเขา  จงอย่าเมินหรือปฏิเสธพวกเขา เพราะนี่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหลายที่อยู่ในขอบข่ายหน้าที่ของเจ้าและเจ้าต้องปฏิบัติต่อการนี้อย่างจริงจัง  นี่คือท่าทีและสภาวะที่ถูกต้อง  เมื่อเจ้าอยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง และไม่เผยอุปนิสัยที่รังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริงออกมา เมื่อนั้นการปฏิบัติแบบนี้ก็จะเข้ามาแทนที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  นี่คือการปฏิบัติความจริง  หากเจ้าปฏิบัติความจริงในหนทางนี้ ย่อมจะเกิดผลเช่นไร?  (พวกเราจะได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์)  การได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นแง่มุมหนึ่ง  บางครั้งเรื่องราวก็ง่ายมากและสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยใช้ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าเอง หลังจากที่ผู้อื่นให้ข้อเสนอแนะแก่เจ้าจบแล้วและเจ้าเองก็เข้าใจ เจ้าย่อมจะสามารถแก้ไขสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้องและกระทำการให้สอดคล้องกับหลักธรรมได้  ผู้คนอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับพระเจ้า นี่เป็นเรื่องใหญ่  เพราะเหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  เพราะเมื่อเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้ สำหรับพระเจ้าแล้ว เจ้าก็คือคนที่สามารถปฏิบัติความจริงได้ เป็นคนที่รักความจริง และไม่รังเกียจความจริง—เมื่อพระเจ้าทรงมองเข้าไปในหัวใจของเจ้า พระองค์ย่อมทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยของเจ้าด้วย และนี่คือเรื่องใหญ่  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อเจ้าทำหน้าที่ของตนและกระทำการอยู่ในการสถิตของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าสำแดงในการดำเนินชีวิตและเผยออกมาก็คือความเป็นจริงความจริงที่ผู้คนควรมีทั้งสิ้น  ท่าที ความคิด และสภาวะที่เจ้ามีในทุกสิ่งที่เจ้าทำนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพระเจ้า และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์

การที่บางคนชอบทำอะไรจุกจิกและเดินเข้าหาทางตันทุกครั้งที่เกิดอะไรขึ้นกับตนนั้นแย่มากมิใช่หรือ?  นี่เป็นปัญหาใหญ่  ผู้คนที่มีความคิดแจ่มชัดจะไม่ทำผิดพลาดเช่นนี้ แต่ผู้คนที่ไร้สาระย่อมเป็นอย่างนี้กัน  พวกเขาจินตนาการอยู่เสมอว่าคนอื่นกำลังทำให้ตนยากลำบาก คนอื่นกำลังจงใจกลั่นแกล้งพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้อื่นอยู่เป็นนิตย์  นี่คือการเบี่ยงเบนมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่ทุ่มเทพยายามในเรื่องของความจริง ชอบที่จะต่อล้อต่อเถียงในสิ่งทั้งหลายที่ไม่สำคัญเมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นกับตน พลางเรียกร้องคำอธิบาย พยายามรักษาหน้า และใช้วิธีแก้ปัญหาของมนุษย์มาจัดการเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ  นี่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของการเข้าสู่ชีวิต  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าเช่นนี้ หรือปฏิบัติตามหนทางนี้ เจ้าจะไม่มีวันบรรลุความจริงเพราะเจ้าไม่เคยมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เจ้าไม่เคยมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อรับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้า และเจ้าก็ไม่ใช้ความจริงรับมือทั้งหมดนี้ กลับใช้วิธีแก้ปัญหาของมนุษย์มาจัดการเรื่องทั้งหลายแทน  ดังนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าออกห่างจากพระองค์มากไปแล้ว  ไม่เพียงหัวใจของเจ้าออกห่างจากพระองค์เท่านั้น ตัวตนทั้งหมดของเจ้าก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์ด้วย  นี่คือทัศนะที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้ที่วิเคราะห์สิ่งทั้งหลายมากเกินไปและจุกจิกอยู่เสมอ  มีผู้คนที่พูดจาเล่นลิ้นและลื่นไหล พร้อมความคิดที่ว่องไวและเฉียบแหลม พวกเขาคิดไปว่า “ฉันพูดเก่ง  คนอื่นล้วนชื่นชมและนับถือฉันจริงๆ และยกย่องฉันอย่างสูง  ผู้คนมักจะรับฟังฉัน”  การคิดเช่นนี้มีประโยชน์หรือไม่?  เจ้าสร้างสมเกียรติยศในหมู่ผู้คน แต่พระเจ้าไม่ทรงเห็นว่าวิธีที่เจ้าประพฤติตนเฉพาะพระพักตร์พระองค์เป็นที่ยอมรับได้  พระเจ้าตรัสว่าเจ้าคือผู้ไม่เชื่อ และเจ้าเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริง  ในหมู่ผู้คน เจ้าอาจรู้จักโลกและลื่นไหล เจ้าอาจรับมือสิ่งทั้งหลายได้ดีมาก และเข้ากับใครก็ได้ เจ้าอาจจะสามารถหาทางรับมือและดูแลสิ่งทั้งหลายได้เสมอไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร แต่เจ้าไม่ได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาความจริงเพื่อที่จะแก้ปัญหา  ผู้คนเช่นนี้เป็นปัญหามาก  พระเจ้าทรงมีเพียงสิ่งเดียวที่จะตรัสในการประเมินพวกเขาคือ “เจ้าเป็นผู้ไม่เชื่อ เจ้ากำลังพยายามใช้โอกาสนี้รับพรโดยแสร้งทำเป็นเชื่อในพระเจ้า  เจ้าไม่ใช่คนที่ยอมรับความจริง”  เจ้าคิดอย่างไรกับการประเมินเช่นนี้?  นี่ใช่การประเมินอย่างที่พวกเจ้าต้องการหรือไม่?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  เป็นไปได้ว่าบางคนอาจไม่ใส่ใจ และกล่าวว่า “พระเจ้าจะทรงมองพวกเราเช่นไรนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ พวกเราไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าอยู่ดี  ปัญหาเร่งด่วนที่สุดของพวกเราคือการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้คนรอบตัวเสียก่อน  เมื่อพวกเราลงหลักปักฐานที่มั่นคงให้ตัวเองแล้ว เมื่อนั้นพวกเราก็สามารถชนะใจเหล่าผู้นำและคนทำงานได้ เพื่อให้ทุกคนเลื่อมใสพวกเรา”  นี่คือคนประเภทใด?  พวกเขาใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่ พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ  ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้าเป็นนิตย์ ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญปัญหาใด พวกเขาก็ต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริง เพื่อที่ท้ายที่สุดพระเจ้าจะตรัสว่า “เจ้าเป็นคนที่รักความจริง เป็นคนที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย และเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า  พระเจ้าทรงเห็นหัวใจของเจ้าแล้ว และพระองค์ก็ทรงเห็นการนบนอบของเจ้าด้วย”  เจ้าคิดอย่างไรกับการประเมินแบบนี้?  ผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  พวกเจ้าสามารถเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้หรือไม่?  เราขอบอกพวกเจ้าว่าไม่ว่าผู้เชื่อในพระเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ใด—ไม่ว่าพวกเขาจะจัดการเรื่องภายนอก หรือหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับงานหรือสาขาความเชี่ยวชาญที่หลากหลายในพระนิเวศของพระเจ้า—หากพวกเขาไม่ค่อยมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่ค่อยใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์ ไม่กล้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระองค์ และพวกเขาไม่แสวงหาความจริงจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมเป็นผู้ไม่เชื่อ และพวกเขาก็ไม่ต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อ  พวกเจ้าสามารถเข้าใจประเด็นนี้หรือไม่?  เป็นไปได้ว่าในปัจจุบันมีบางคนที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เพราะสภาพแวดล้อมของพวกเขาไม่เหมาะสม พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมของผู้ไม่มีความเชื่อ แต่พวกเขายังคงได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง  เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร?  สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขาสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แสวงหาและปฏิบัติความจริง และรักษาสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าไว้ได้  สิ่งเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินว่าคนคนหนึ่งสามารถใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้าได้ตลอดเวลาหรือไม่  หากเจ้าไม่ค่อยสามารถรู้สึกถึงพระเจ้า อ่อนแอและคิดลบอยู่บ่อยครั้ง หรือหากเจ้ามักจะเหลวไหล หรือไม่รับผิดชอบภาระใดๆ ในหน้าที่ของตน และเจ้าก็เลอะเลือนอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นสภาวะที่ดีหรือไม่ดี?  นี่คือสภาวะของการใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หรือเป็นสภาวะของการไม่ใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเลย?  (เป็นสภาวะของการไม่ใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า)  ดังนั้นพวกเจ้าต้องประเมินเรื่องนี้ว่า—พวกเจ้ามักจะใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าไม่ค่อยทำเช่นนี้ และเจ้าไม่แม้แต่จะอธิษฐานหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า นี่ย่อมสร้างปัญหา นี่หมายความว่าเจ้าคือผู้ไม่มีความเชื่อ  บางคนไม่ค่อยจดจ่ออยู่กับกิจธุระที่ถูกควร พวกเขาเหลวไหลและขาดความยับยั้งชั่งใจ และเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็สับสนอยู่เสมอและไม่รู้ว่าจะแสวงหาความจริงอย่างไร  พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ผลหรือไม่  พวกเขาไม่รู้ว่าการกระทำของตนในแต่ละวันมีเรื่องใดบ้างที่ล่วงเกินพระเจ้า การกระทำใดบ้างที่พระเจ้าทรงยอมรับได้ และการกระทำใดบ้างที่พระเจ้าทรงเกลียด  พวกเขาทำแต่พอให้พ้นตัววันแล้ววันเล่า  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับสภาวะนี้?  ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนี้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  เป็นไปได้หรือที่สิ่งที่พวกเขาทำนั้นจะมีหลักธรรม?  พวกเขาจะสามารถทำสิ่งที่สมเหตุสมผลได้หรือ?  เมื่อพวกเขากำลังทำหน้าที่ของตน พวกเขาสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า “ฉันต้องยับยั้งชั่งใจ ฉันต้องทำหน้าที่ของฉันให้ดี ฉันต้องทำอย่างสุดหัวใจและสุดกำลังของตนเอง”?  พวกเขาสามารถอุทิศตนได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เมื่อเป็นดังนั้น ผู้คนเช่นนี้กำลังทำอะไรอยู่?  พวกเขาแค่ทำงานตรากตรำเท่านั้น!  ผู้คนเช่นนี้ได้รับความจริงหรือยัง?  (ยังไม่ได้รับ)  นั่นเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่  เป็นไปได้อย่างไรที่คนเขลากลุ่มนี้ไม่รู้ว่าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร?  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาสิบหรือยี่สิบปีแล้วและฟังคำเทศนาไปมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรได้รับสิ่งใดผ่านทางการเชื่อในพระเจ้า ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร ควรปฏิบัติความจริงอย่างไร หรือควรปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไร  หากแม้กระทั่งเรื่องสำคัญเหล่านี้พวกเขาก็ไม่รู้แน่ชัด พวกเขาก็เขลาไปหน่อยมิใช่หรือ?  พวกเขาช่างปัญญาทึบและด้านชาอย่างยิ่ง  พวกเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองความจริงแต่อย่างใด และนี่ย่อมอันตราย  สิ่งสำคัญที่สุดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าคืออะไร?  คือการได้รับความจริง  ปัญหาใดบ้างที่ย่อมจะได้รับการแก้ไขเมื่อคนคนหนึ่งได้รับความจริง?  โดยมากแล้วย่อมจะเป็นปัญหาเรื่องบาปของพวกเขา ปัญหาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา ความยากลำบากทั้งปวงที่พวกเขามีในการเชื่อในพระเจ้า และมุมมองที่ผิดพลาดของพวกเขา  ปัญหาทั้งหมดนี้ย่อมจะสามารถแก้ไขได้  เมื่อคนคนหนึ่งได้รับความจริง พวกเขาควรนำความจริงไปใช้ในเรื่องใดบ้าง?  พวกเขาควรใช้ความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และในการเป็นคำพยานให้พระเจ้า—นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด  ตอนนี้พวกเจ้าอาจไม่มีความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนี้ พวกเจ้าอาจจะยังไม่ตระหนักถึงคุณค่าหรือความสำคัญของความจริง แต่ย่อมมีสักวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะตระหนัก

พวกเจ้าอ่านหนังสือโยบกันหรือยัง?  ตอนที่พวกเจ้ากำลังอ่านหนังสือเล่มนั้น พวกเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจกันหรือไม่?  พวกเจ้าเคยมีความปรารถนาที่จะเป็นคนประเภทเดียวกับโยบหรือไม่?  (มี)  สภาวะและอารมณ์แบบนี้จะคงอยู่ได้นานเพียงใด?  หนึ่งหรือสองวัน หรือว่าหนึ่งหรือสองเดือน หรืออาจจะเป็นหนึ่งหรือสองปี?  (สองหรือสามวัน)  ดังนั้น สภาวะและอารมณ์ประเภทนี้จะหายไปหลังผ่านไปสองหรือสามวันใช่หรือไม่?  เจ้าต้องอธิษฐานเมื่อเจ้ารู้สึกว่าได้รับการดลใจ และบอกพระเจ้าว่าเจ้าปรารถนาที่จะเป็นคนที่เหมือนโยบ เจ้าปรารถนาที่จะเข้าใจความจริง ได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และกลายเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  เจ้าต้องอ้อนวอนให้พระเจ้าบันดาลให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นในตัวเจ้า พร้อมทั้งอ้อนวอนให้พระองค์ทรงนำเจ้า จัดเตรียมสภาพแวดล้อมให้แก่เจ้า ประทานพละกำลังแก่เจ้า และคุ้มครองเจ้าเพื่อให้เจ้าตั้งมั่นได้ในทุกสถานการณ์ที่เจ้าพบเจอ ไม่ขัดขืนพระเจ้า แต่กระทำการที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และสนองเจตนารมณ์ของพระองค์  เจ้าต้องอธิษฐานและวิงวอนพระเจ้าอยู่เสมอเพื่อเป้าหมายนี้และเพื่อสิ่งทั้งหลายที่เจ้าหวังจะสัมฤทธิ์ และเมื่อพระเจ้าทรงมองเห็นหัวใจที่แท้จริงของเจ้า พระองค์ย่อมจะทรงลงมือ  จงอย่ากลัวเมื่อพระเจ้าทรงลงมือ  เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงทำให้ร่างกายของเจ้ามีฝีร้ายขึ้นเต็มและริบทุกสิ่งที่เจ้ามี ดังที่พระองค์ทรงทำเมื่อทรงทดสอบโยบ  พระเจ้าจะไม่ทรงทำเช่นนั้น พระองค์จะประทานบททดสอบแก่เจ้ามากขึ้นตามวุฒิภาวะของเจ้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป  เจ้าต้องเรียกหาพระเจ้าอย่างจริงจัง—อย่าเรียกหาพระองค์เพียงสองวันหลังจากที่เจ้าอ่านเรื่องราวของโยบจบและยังคงรู้สึกว่าได้รับการดลใจจากการอ่านหนังสือนั้นอยู่ จากนั้นก็ลืมเรื่องนี้ไปในวันที่สามเมื่อเจ้าไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นอีกแล้ว และเลิกใส่ใจ  หากเจ้าทำเช่นนั้น นั่นย่อมสร้างปัญหาให้เจ้า!  หากเจ้าชื่นชมผู้คนแบบโยบ และเจ้าต้องการเป็นคนแบบนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องมีเส้นทางว่าจะกลายเป็นคนแบบนั้นได้อย่างไร เจ้าต้องตีแผ่หัวใจของตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แล้วจากนั้นก็อธิษฐานเรื่องนี้ให้บ่อย และไตร่ตรองเรื่องนี้ให้บ่อย จากนั้นก็กินและดื่มพระวจนะที่พระเจ้าตรัสถึงโยบ ใคร่ครวญพระวจนะเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากนั้นเจ้าก็ต้องสามัคคีธรรมกับผู้คนที่มีความรู้เชิงประสบการณ์ในเรื่องประเภทนี้  เจ้าต้องพยายามอย่างหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้  การพยายามอย่างหนักนั้นเจ้าควรทำอย่างไร?  หากเจ้าเพียงนั่งดูและรอคอย นั่นไม่ใช่การพยายามอย่างหนัก  เจ้าต้องนำความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติ ต้องทุ่มเทความพยายามในการปฏิบัติ ในเวลาเดียวกันก็มีความแน่วแน่ที่จะสู้ทนความทุกข์ มีหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนา และจากนั้นก็กล่าวคำอธิษฐานของเจ้าเพื่อสิ่งนี้ โดยขอให้พระเจ้าทรงลงมือ  หากพระเจ้าไม่ทรงลงมือ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าผู้คนจะมีแรงผลักดันมากเพียงใด ก็จะไม่เกิดประโยชน์  พระเจ้าจะทรงลงมืออย่างไร?  พระเจ้าจะทรงเริ่มจัดเตรียมและจัดแจงสภาพแวดล้อมให้เจ้าตามที่เหมาะควรกับวุฒิภาวะของเจ้า  เจ้าต้องบอกพระเจ้าว่าเจ้าต้องการสัมฤทธิ์เป้าหมายใดในความเชื่อของเจ้า และเจ้ามีปณิธานแบบใด  เจ้าเคยอธิษฐานและวิงวอนพระเจ้าในเรื่องนี้หรือไม่?  เจ้าอธิษฐานและวิงวอนพระเจ้ามานานเพียงใดแล้ว?  หากนานๆ ครั้งเจ้าค่อยกล่าวคำอธิษฐานสักสองครั้งเท่านั้น และเมื่อเจ้าเห็นว่าพระเจ้าไม่ทรงลงมือ เจ้าก็คิดว่า “ช่างเถอะ ฉันจะปล่อยให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปก็แล้วกัน อะไรจะเกิดก็ย่อมเกิด ฉันจะไหลไปตามกระแสก็แล้วกัน  ฉันไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน” นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และเจ้าก็ไม่จริงใจ  หากทั้งหมดที่เจ้ามีคือสองนาทีแห่งความมีใจกระตือรือร้น พระเจ้าจะสามารถลงมือเพื่อเจ้าและช่วยจัดแจงเตรียมสภาพแวดล้อมให้เจ้าได้หรือไม่?  พระเจ้าจะไม่ทรงทำเช่นนั้น!  พระเจ้าทรงต้องการเห็นความจริงใจของเจ้า ต้องการเห็นว่าเจ้าจะยังคงจริงใจและบากบั่นได้นานเพียงใด และหัวใจของเจ้านั้นแท้จริงหรือเทียมเท็จ  พระเจ้าจะทรงรอ  พระองค์ทรงได้ยินคำอธิษฐานและคำวิงวอนของเจ้า พระองค์ทรงได้ยินปณิธานและความปรารถนาที่เจ้าบอกพระองค์ แต่พระองค์จะไม่ทรงลงมือทำอะไรจนกว่าพระองค์จะทรงเห็นความแน่วแน่ของเจ้าที่จะสู้ทนความทุกข์  หลังจากที่พวกเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าเสร็จแล้ว หากพวกเจ้าเอาแต่หายตัวไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้าจะทรงลงมือภายใต้สถานการณ์เหล่านี้หรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าไม่  เจ้าต้องอธิษฐานและวิงวอนพระเจ้าให้มากขึ้น ทุ่มเทความพยายามในเรื่องนี้และไตร่ตรองเรื่องนี้ จากนั้นจึงดื่มด่ำกับรายละเอียดของสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้า ซึ่งจะมาถึงตัวเจ้าทีละน้อย และพระเจ้าจึงจะเริ่มลงมือ  หากเจ้าไม่มีหัวใจที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วเรื่องนี้ย่อมจะไม่ได้ผล  เจ้าอาจกล่าวว่า “ฉันชื่นชมโยบเหลือเกิน และฉันก็ชื่นชมเปโตรมาก!” แต่การชื่นชมของเจ้ามีประโยชน์อะไร?  เจ้าสามารถชื่นชมพวกเขาได้เท่าที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าก็ไม่ใช่พวกเขา และความชื่นชมทั้งหมดที่เจ้ามีก็จะไม่ทำให้พระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวเจ้าเหมือนที่พระองค์ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา เพราะเจ้าไม่ใช่คนประเภทเดียวกันกับพวกเขา  เจ้าไม่มีความแน่วแน่ของพวกเขา หรือความเป็นมนุษย์ของพวกเขา หรือหัวใจที่โหยหาและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างพวกเขา  เมื่อเจ้าเริ่มมีสิ่งเหล่านี้เท่านั้น พระเจ้าจึงจะประทานแก่เจ้ามากขึ้น

ตอนนี้พวกเจ้ามีความแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ได้รับความจริง สัมฤทธิ์ความรอด และได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าหรือไม่?  (มี)  ความแน่วแน่ของพวกเจ้ามีมากเพียงใด?  พวกเจ้าสามารถรักษาความแน่วแน่ไว้ได้นานเพียงใด?  (เมื่ออยู่ในสภาวะที่ดี ข้าพระองค์ก็มีความแน่วแน่ แต่เมื่อเผชิญสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดหรือผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของข้าพระองค์ หรือได้รับการถลุงบ้าง หรือมีความยากลำบากบางประการ ข้าพระองค์ก็ติดอยู่ในกับดักของสภาวะที่คิดลบ ความเชื่อและความแน่วแน่ที่มีในเบื้องต้นก็หายไปทีละน้อย)  ไม่ควรเป็นเช่นนี้  เจ้าอ่อนแอเกินไป  เจ้าต้องไปถึงจุดที่ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญสถานการณ์ใด ความแน่วแน่ของเจ้าก็ไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะเป็นคนที่รักและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง  เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับเจ้าและเจ้าเผชิญความยากลำบากเล็กน้อย หากเจ้าถอยกลับ กลายเป็นคนคิดลบและหดหู่ และล้มเลิกความแน่วแน่ของเจ้า นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ  เจ้าต้องมีความแน่วแน่ที่จะเสี่ยงชีวิต และกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น—ต่อให้หมายถึงว่าฉันจะตาย ฉันก็จะไม่ละทิ้งความจริงหรือเป้าหมายของตนที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง”  เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมจะไม่มีความลำบากยากเย็นใดหยุดเจ้าได้  หากเจ้าเผชิญความยากลำบากจริงๆ และถูกต้อนให้จนมุม พระเจ้าย่อมจะทรงลงมือ  นอกจากนั้นเจ้าต้องมีความเข้าใจดังนี้ว่า “ไม่ว่าจะเผชิญอะไรก็ล้วนเป็นบทเรียนที่ฉันต้องเรียนรู้ในการไล่ตามเสาะหาความจริงของฉัน—พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมสิ่งเหล่านั้นไว้  ฉันอาจจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่คิดลบ และรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ประทานโอกาสให้ฉันเรียนรู้บทเรียนเหล่านี้  ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมสถานการณ์นี้ให้ฉัน  ฉันไม่อาจล้มเลิกความแน่วแน่ของตนที่จะติดตามพระเจ้าและได้รับความจริง  หากฉันล้มเลิกความแน่วแน่นี้ นั่นก็จะเหมือนการยอมจำนนต่อซาตาน ทำลายตัวฉันเอง และทรยศพระเจ้า”  นี่คือความแน่วแน่ชนิดที่เจ้าต้องมี  ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญเรื่องเล็กน้อยอันใดก็ตาม ทั้งหมดล้วนเป็นห้วงเวลาสั้นๆ ในพัฒนาการแห่งชีวิตของเจ้า  เจ้าต้องไม่ปล่อยให้เรื่องเหล่านั้นกีดขวางทิศทางความก้าวหน้าของเจ้า  เมื่อเจ้าพบกับความยากลำบาก เจ้าสามารถแสวงหาและรอคอยได้ แต่ทิศทางความก้าวหน้าของเจ้าต้องไม่เปลี่ยนแปลง ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไร หรือจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร และไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร ความแน่วแน่ของเจ้าต้องไม่เปลี่ยนแปลง  หากพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าไม่ยอมรับความจริงเลย เราเกลียดเจ้า” และเจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าทรงเกลียดฉัน แล้วชีวิตของฉันจะมีความหมายอะไร?  ฉันน่าจะตายให้สิ้นเรื่องไป!” เจ้าก็กำลังเข้าใจพระเจ้าผิด  จริงอยู่ที่พระเจ้าทรงเกลียดเจ้า แต่เจ้าก็ควรสู้ต่อไป เจ้าควรยอมรับความจริง และควรลุล่วงหน้าที่ของเจ้า  เมื่อทำเช่นนั้น เจ้าย่อมจะไม่เป็นคนไร้ค่าและพระเจ้าก็จะไม่ทรงรังเกียจเดียดฉันท์เจ้า  ขณะนี้พวกเจ้ายังคงมีวุฒิภาวะน้อยเกินไปและมาตรฐานของแต่ละคนก็ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่พระเจ้าจะทรงทดสอบพวกเจ้า  สิ่งเดียวที่พวกเจ้าสามารถทำได้คืออะไร?  เจ้าต้องอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงนำข้าพระองค์และประทานความรู้แจ้ง เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ มีความเชื่อและความมานะบากบั่นที่จะเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง และเพื่อให้ข้าพระองค์สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  แม้ว่าข้าพระองค์จะอ่อนแอและยังไม่บรรลุวุฒิภาวะ แต่ก็ขอวิงวอนให้พระองค์ประทานความเข้มแข็งและทรงคุ้มครองข้าพระองค์เพื่อที่ข้าพระองค์จะสามารถติดตามพระองค์ได้จนถึงปลายทาง”  เจ้าต้องมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยๆ  คนอื่นอาจโหยหาสิ่งของทางโลก  ตามใจเนื้อหนังของตน และทำตามกระแสนิยมทางโลก แต่เจ้าต้องไม่ร่วมทางกับพวกเขา—จงมุ่งความสนใจไปที่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเองเท่านั้น  เมื่อคนอื่นรู้สึกในทางลบและไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าต้องไม่รู้สึกว่าถูกตีกรอบ และควรแสวงหาความจริงเพื่อช่วยเหลือพวกเขา  เมื่อคนอื่นลุ่มหลงในความสุขสบาย เจ้าต้องไม่อิจฉาพวกเขา เจ้าต้องสนใจที่จะใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้น  เมื่อคนอื่นไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เจ้าก็ควรอธิษฐานเพื่อพวกเขาและช่วยเหลือพวกเขา สงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อเจ้า  ไม่ว่าจะเกิดอะไรรอบตัวเจ้า เจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าในทุกเรื่อง  เจ้าควรแสวงหาความจริง ยับยั้งชั่งใจตนเอง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า และมีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ผู้คนตลอดเวลา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงพระราชกิจภายในตัวผู้คนทั้งหลายนี้  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของคนคนหนึ่งอย่างไร?  พระองค์ไม่เพียงมองด้วยพระเนตรของพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับเจ้า และทรงสัมผัสหัวใจของเจ้าด้วยพระหัตถ์ของพระองค์  เพราะเหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  เพราะเมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมอย่างหนึ่งให้แก่เจ้า พระเจ้าย่อมทอดพระเนตรเห็นว่าเจ้าไม่พอใจและรังเกียจสภาพแวดล้อมนั้น หรือว่าชอบและนบนอบสภาพแวดล้อมนั้น เจ้ารอคอยอย่างนิ่งเฉยหรือแสวงหาความจริงอย่างแข็งขัน  พระเจ้าทรงเฝ้าดูว่าหัวใจและความคิดของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และพัฒนาไปในทิศทางใด  บางครั้งสภาวะในหัวใจของเจ้าเป็นบวก และบางครั้งก็เป็นลบ  หากเจ้าสามารถยอมรับความจริงได้ เจ้าย่อมจะสามารถยอมรับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายจากพระเจ้าได้ รวมทั้งสภาพแวดล้อมอันหลากหลายที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้า และเจ้าย่อมจะสามารถปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง  และด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งการใคร่ครวญ ความคิดและแนวคิดทั้งหมดของเจ้า ความเห็นทั้งปวงและอารมณ์ทั้งมวลของเจ้า ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปตามพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าจะรู้ชัดในเรื่องนี้ และพระเจ้าก็จะทรงพินิจพิเคราะห์ทั้งหมดนั้นด้วย  แม้ว่าเจ้าจะไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ให้ใครฟัง หรืออธิษฐานเรื่องนี้ แม้เจ้าจะคิดเรื่องนี้อยู่ในหัวใจของเจ้าและในโลกของเจ้าเองเท่านั้น แต่จากมุมมองของพระเจ้า เรื่องนี้ย่อมจะชัดเจนมากอยู่แล้ว—กล่าวคือ ย่อมจะเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดสำหรับพระองค์  ผู้คนมองเจ้าด้วยดวงตาของพวกเขา แต่พระเจ้าทรงสัมผัสหัวใจของเจ้าด้วยพระหทัยของพระองค์  พระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดเจ้าถึงเพียงนั้น  หากเจ้าสามารถรู้สึกได้ถึงการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า เจ้าก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  หากเจ้าไม่สามารถรู้สึกถึงการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์เลย เจ้าก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกของตัวเจ้าเอง และเจ้าก็กำลังใช้ชีวิตตามความรู้สึกและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังตกที่นั่งลำบาก  หากเจ้าไม่ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า หากมีระยะห่างอันกว้างใหญ่ระหว่างเจ้ากับพระเจ้า และเจ้าก็อยู่ไกลจากพระองค์ หากเจ้าไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย และไม่ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า พระเจ้าย่อมจะทรงรู้ทั้งหมดนี้  การที่พระองค์จะทรงล่วงรู้เรื่องนี้ย่อมจะง่ายเหลือเกิน  ดังนั้นเมื่อเจ้ามีความแน่วแน่และมีเป้าหมาย เต็มใจที่จะให้พระเจ้าทำให้เจ้าเพียบพร้อม และกลายเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เมื่อเจ้ามีความแน่วแน่เช่นนี้ สามารถอธิษฐานและวิงวอนขอสิ่งเหล่านี้ได้บ่อยๆ และใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า ไม่เคยออกห่างจากพระเจ้าหรือละทิ้งพระองค์ เจ้าย่อมรู้สิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน และพระเจ้าก็ทรงรู้สิ่งเหล่านี้เช่นกัน  บางคนกล่าวว่า “ตัวฉันเองรู้เรื่องนี้ชัดเจน แต่พระเจ้าทรงรู้หรือไม่?”  คำถามนี้ไม่ถูกต้อง  หากเจ้ากล่าวเช่นนี้ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าไม่เคยสามัคคีธรรมกับพระเจ้า และไม่มีสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  เพราะเหตุใดเราจึงกล่าวว่าไม่มีสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้า?  เจ้าไม่เคยใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถรู้สึกได้ว่าพระองค์สถิตอยู่กับเจ้าหรือไม่ พระองค์กำลังนำเจ้าอยู่หรือไม่ พระองค์กำลังคุ้มครองเจ้าอยู่หรือไม่ และพระองค์ทรงตำหนิเจ้าบ้างหรือไม่เมื่อเจ้าทำสิ่งที่ผิด  หากเจ้าไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้ใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าเพียงแค่จินตนาการเรื่องนี้และตามใจตัวเอง—เจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกของเจ้าเอง ไม่ใช่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และระหว่างเจ้ากับพระเจ้าก็ไม่มีสัมพันธภาพอันใดเลย

ผู้คนจะดำรงรักษาสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าไว้ได้อย่างไร?  การรักษาสัมพันธภาพนี้เอาไว้ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?  ย่อมขึ้นอยู่กับการวิงวอน อธิษฐาน และมีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าอยู่ในหัวใจของพวกเขา  สัมพันธภาพแบบนี้เปิดโอกาสให้ผู้คนใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ตลอดเวลา  ดังนั้น เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า ผู้คนต้องสงบใจเสียก่อน  บางคนทำสิ่งภายนอกเป็นนิตย์ และยุ่งอยู่กับกิจธุระภายนอกเท่านั้น  หากพวกเขาไม่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณเลยสักหนึ่งหรือสองวัน พวกเขาย่อมจะไม่รู้ตัว  ผ่านไปสามถึงห้าวัน หรือแม้กระทั่งหนึ่งหรือสองเดือน พวกเขาก็จะไม่รู้ตัวอยู่ดี  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่อธิษฐาน หรือวิงวอน หรือสามัคคีธรรมกับพระเจ้า  การวิงวอนก็คือเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าและเจ้าต้องการให้พระเจ้าช่วยเจ้า นำเจ้า จัดหาให้เจ้า ประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า ทำให้เจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ รู้ว่าความจริงคืออะไร เข้าใจว่าหลักธรรมความจริงคืออะไร และรู้ว่าควรปฏิบัติความจริงอย่างไร—นี่คือการวิงวอนประเภทที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  การอธิษฐานครอบคลุมขอบเขตที่ค่อนข้างกว้าง  บางครั้งเจ้าอาจเล่าสิ่งทั้งหลายที่อยู่ในหัวใจของตน—เมื่อเจ้าเผชิญความยากลำบากหรือกำลังรู้สึกในทางที่เป็นลบและอ่อนแอ เจ้าสามารถพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับพระเจ้าจากหัวใจ บางครั้งเมื่อเจ้ากำลังเป็นกบฏ เจ้าก็สามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าได้เช่นกัน หรือพูดคุยกับพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าอยู่ทุกวัน ทั้งสิ่งที่เจ้าสามารถเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และสิ่งที่เจ้าไม่สามารถเข้าใจได้—นี่เรียกว่าการอธิษฐาน  การอธิษฐานคือการพูดคุยกับพระเจ้าถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้าหรือการแสวงหาความจริงจากพระเจ้า  บางครั้งก็มีการอธิษฐานตามเวลาที่กำหนดไว้ บางครั้งก็ไม่ได้มีการกำหนดเวลาอธิษฐานให้แน่นอนลงไป เจ้าสามารถอธิษฐานได้ทุกเวลาและทุกสถานที่  การสามัคคีธรรมอยู่ในวิญญาณไม่มีรูปแบบเฉพาะ อาจมีบางสิ่งทำให้เจ้าไม่สบายใจ หรืออาจไม่มีอะไรก็ได้ เจ้าอาจมีบางสิ่งที่ต้องการจะกล่าว หรืออาจไม่มีก็ได้  เมื่อมีบางสิ่งที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ เจ้าควรพูดคุยกับพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนั้น และกล่าวคำอธิษฐาน  ตามปกติแล้วเจ้าควรพยายามใคร่ครวญคำถามทั้งหลายอย่างเช่น พระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างไร พระองค์ทรงเป็นห่วงมนุษย์อย่างไร เพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงตัดแต่งมนุษย์ ความหมายที่แท้จริงของการนบนอบพระเจ้าคืออะไร และอื่นๆ พลางมีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าตลอดเวลาและในทุกสถานที่ อธิษฐานถึงพระเจ้า และแสวงหาจากพระองค์  นี่คือการสามัคคีธรรมในวิญญาณ หรือเรียกสั้นๆ ว่า “สามัคคีธรรมทางวิญญาณ”  บางครั้งขณะที่อยู่บนท้องถนน เจ้าอาจนึกถึงสิ่งที่ทำให้เจ้าอารมณ์เสียมากๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องคุกเข่าหรือหลับตา  เจ้าสามารถพูดกับพระเจ้าในหัวใจของเจ้าได้เลยว่า “ข้าแต่พระเจ้า สิ่งนี้เกิดขึ้นกับข้าพระองค์แล้วและข้าพระองค์ก็ไม่รู้วิธีจัดการเรื่องนี้อย่างถูกควร ดังนั้นขอพระองค์ทรงนำในเรื่องนี้ด้วยเถิด”  เมื่อเจ้ารู้สึกถึงการดลใจในหัวใจของตน และเจ้าเล่าเรื่องนี้ให้พระเจ้าฟังด้วยถ้อยคำบางคำที่มาจากหัวใจ เมื่อนั้นพระองค์จะทรงรู้  บางครั้งเจ้าอาจรู้สึกคิดถึงบ้านและเจ้าก็กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์คิดถึงบ้านเหลือเกิน”  เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้ากำลังคิดถึงใครเป็นพิเศษ เพียงแต่เจ้ารู้สึกเศร้าและกำลังบอกเรื่องนี้กับพระเจ้า  เจ้าจะสามารถแก้ปัญหาของเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าและเล่าสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้าให้พระองค์ฟังเท่านั้น  เจ้าสามารถแก้ปัญหาของตนด้วยการพูดคุยกับใครอีกคนได้หรือไม่?  การทำเช่นนั้นจะไม่เลวร้ายนักหากเจ้าพบใครบางคนที่เข้าใจความจริง—ไม่เพียงเจ้าจะสามารถแก้ปัญหาของตนเองได้เท่านั้น แต่เจ้าจะได้ประโยชน์จากการทำเช่นนั้นอีกด้วย  แต่หากเจ้าพบเจอคนที่ไม่เข้าใจความจริง เจ้าย่อมจะไม่สามารถแก้ปัญหาของเจ้าได้ และนี่ก็อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาเหล่านั้นด้วย  หากเจ้าพูดกับพระเจ้า พระเจ้าจะทรงชูใจและดลใจเจ้า  หากเจ้าสามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และอ่านพระวจนะของพระองค์ จากนั้นก็ใคร่ครวญและอธิษฐาน เจ้าย่อมจะสามารถเข้าใจความจริงและแก้ปัญหาของเจ้าได้  พระวจนะของพระเจ้าสามารถช่วยให้เจ้าค้นพบเส้นทางที่จะเอาชนะความยากลำบากของเจ้าได้ และเวลาที่เจ้าข้ามอุปสรรคเล็กๆ นี้ไป เจ้าจะไม่สะดุด และอุปสรรคนี้ก็จะไม่ตีกรอบเจ้าเอาไว้ และจะไม่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  ย่อมจะมีบ้างที่จู่ๆ เจ้าก็รู้สึกท้อแท้และมืดมนเล็กน้อย  เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าทันที และมาใกล้ชิดพระองค์ ซึ่งหมายถึงการพูดกับพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้าและเล่าความในใจกับพระองค์ตลอดเวลาไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใดก็ตาม  เมื่อทำเช่นนี้ เจ้าจะสามารถพลิกสภาวะของตนกลับมาได้  เจ้าต้องมีความเชื่อว่า “พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างฉันทุกขณะ พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งฉัน ฉันสามารถรู้สึกได้  ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ใดหรือกำลังทำอะไร—ไม่ว่าฉันจะอยู่ในการชุมนุมหรือกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน—ฉันก็รู้อยู่ในหัวใจของฉันว่าพระเจ้ากำลังนำฉันโดยทรงจูงมือฉันอยู่ และพระองค์ไม่เคยทรงทอดทิ้งฉันเลย”  บางครั้งเมื่อเจ้านึกถึงว่าเจ้าผ่านแต่ละวันมาแบบนี้ได้อย่างไรตั้งหลายปี เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าเจ้ามีวุฒิภาวะมากขึ้น พระเจ้าทรงนำเจ้า และความรักของพระเจ้าก็คอยคุ้มครองเจ้าอยู่เสมอ  เมื่อเจ้านึกถึงสิ่งเหล่านี้ เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะอธิษฐานในหัวใจของเจ้า พลางขอบคุณพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอขอบคุณพระองค์!  ข้าพระองค์อ่อนแอเกินไป ขลาดกลัว และเสื่อมทรามมากเหลือเกิน  หากไม่มีพระองค์คอยนำเช่นนี้ ข้าพระองค์ย่อมไม่มีหนทางที่จะมาถึงวันนี้ได้ด้วยตนเอง”  นี่คือการสามัคคีธรรมฝ่ายจิตวิญญาณมิใช่หรือ?  หากผู้คนสามารถสามัคคีธรรมกับพระเจ้าในหนทางนี้ได้บ่อยๆ พวกเขาย่อมจะมีเรื่องคุยกับพระเจ้ามากมายมิใช่หรือ?  พวกเขาจะไม่ปล่อยเวลาให้เวลาผ่านไปหลายวันโดยไม่พูดอะไรสักอย่างกับพระเจ้า  เมื่อเจ้าไม่มีสิ่งใดจะพูดกับพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่สถิตอยู่ในหัวใจของเจ้า  หากพระเจ้าสถิตอยู่ในหัวใจของเจ้า และเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถกล่าวความในใจทุกคำกับพระองค์ รวมถึงเรื่องที่เจ้าจะพูดกับคนที่รู้ใจ  อันที่จริงพระเจ้าก็คือคนรู้ใจที่สนิทกับเจ้ามากที่สุด  หากเจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะคนรู้ใจที่สนิทกับเจ้าที่สุด ในฐานะครอบครัวที่เจ้าพึ่งพามากที่สุด ที่เจ้าพบว่าเป็นที่พึ่งได้มากที่สุด ไว้วางใจได้มากที่สุด และใกล้ชิดกับเจ้าที่สุด เช่นนั้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่มีอะไรพูดกับพระเจ้า  หากเจ้ามีบางสิ่งที่จะพูดกับพระเจ้าอยู่เสมอ เจ้าย่อมจะใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์เป็นนิตย์มิใช่หรือ?  หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้าเป็นนิตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะรู้สึกได้ทุกขณะว่าพระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและนำเจ้าอย่างไร พระองค์ทรงดูแลและคุ้มครองเจ้าอย่างไร นำสันติและความยินดีมาให้เจ้าอย่างไร พระองค์ทรงอวยพรเจ้าอย่างไร และพระองค์ทรงติเตียนเจ้า บ่มวินัยเจ้า สั่งสอนเจ้า พิพากษาและตีสอนเจ้าอย่างไร  ทั้งหมดนี้จะชัดเจนและเป็นที่ประจักษ์สำหรับเจ้า  หากเจ้าทำอะไรแต่พอให้พ้นตัวทุกวัน เชื่อในพระเจ้าเพียงคำพูดเท่านั้น ไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้า และหากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนและเข้าร่วมการชุมนุมเพียงภายนอกเท่านั้น อ่านพระวจนะของพระเจ้าและอธิษฐานทุกวัน ทำสิ่งเหล่านี้ไปตามขั้นตอนเท่านั้น เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมไม่ใช่การเชื่อในพระเจ้า—สิ่งที่เจ้าสังเกตเห็นในพิธีกรรมทางศาสนาเหล่านี้ไม่มีอะไรสัมพันธ์กับความจริง  ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างถี่ถ้วนสักหนึ่งบทตอนทุกวัน อธิษฐานและสามัคคีธรรมภายในพระวจนะเหล่านี้  พวกเขาควรได้รับความกระจ่างเล็กน้อยจากพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน และเข้าใจความจริงบ้าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาควรที่จะสามารถแสวงหาความจริงและรับมือเรื่องทั้งหลายได้ตามหลักธรรมขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน สามารถได้รับประสบการณ์ชีวิตทุกวัน และมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  นั่นคือผู้เชื่อที่แท้จริงและเป็นคนที่ติดตามพระเจ้า

ปัญหาที่สำคัญที่สุดและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขมากที่สุดในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าคือเรื่องใด?  คือเรื่องสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างเจ้ากับพระเจ้า  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่หัวใจของเจ้าไม่มีพระองค์ เจ้าตัดความสัมพันธ์กับพระองค์ไปแล้ว และไม่ได้ปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนเป็นสมาชิกครอบครัวและคนรู้ใจที่เจ้าใกล้ชิดด้วยที่สุด ไว้วางใจที่สุด และสนิทที่สุด เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า  จงปฏิบัติตามวจนะของเราสักระยะหนึ่งและดูว่าสภาวะภายในของพวกเจ้าเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่  ด้วยการปฏิบัติตามวจนะของเรา เจ้าสามารถมั่นใจได้ว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า มีภาวะที่ปกติ และมีสภาวะที่ปกติ  เมื่อสภาวะของคนคนหนึ่งเป็นปกติ และพวกเขาไม่ได้รับอิทธิพลจากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย หรือสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในทุกช่วงของประสบการณ์ชีวิตที่พวกเขามี และพวกเขาสามารถยืนหยัดในการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามปกติ พวกเขาย่อมมีวุฒิภาวะที่แท้จริงและเป็นคนที่เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว

13 กรกฎาคม ค.ศ. 2017

ก่อนหน้า: การยอมลำบากเพื่อให้ได้รับความจริงมีนัยสำคัญอันใหญ่หลวง

ถัดไป: สิ่งใดคือการปฏิบัติความจริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger