เฉพาะการนำความเป็นจริงมาปฏิบัติเท่านั้นที่เป็นการครองความเป็นจริง

การยกชูพระวจนะของพระเจ้าและสามารถอธิบายพระวจนะได้อย่างมั่นใจนั้น มิได้หมายความว่าเจ้าครองความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายมิได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าจินตนาการ  เจ้าครองความเป็นจริงหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจ้ากล่าว ทว่าขึ้นอยู่กับการที่เจ้าใช้ชีวิตต่างหาก  เฉพาะเมื่อพระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นชีวิตของเจ้าและเป็นสิ่งที่เจ้าแสดงออกตามธรรมชาติแล้วเท่านั้น จึงสามารถกล่าวว่าเจ้ามีความเป็นจริง และเมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะนับได้ว่าเจ้าได้รับความเข้าใจที่แท้จริงและวุฒิภาวะจริงแล้ว  เจ้าต้องมีความสามารถที่จะทานทนต่อการตรวจสอบเป็นช่วงเวลาอันยาวนาน และเจ้าต้องมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  นี่ต้องไม่ใช่เพียงการแสดงท่าทางเท่านั้น แต่ต้องไหลออกมาจากตัวเจ้าอย่างเป็นธรรมชาติ  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะครองความเป็นจริงอย่างแท้จริง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าย่อมจะได้รับชีวิตแล้ว  เราขอใช้ตัวอย่างจากบททดสอบพวกคนปรนนิบัติซึ่งทุกคนคุ้นเคยกันดีว่า ผู้ใดก็สามารถเสนอทฤษฎีอันเลิศเลอสูงสุดในเรื่องเกี่ยวกับพวกคนปรนนิบัติได้ และทุกคนมีความเข้าใจหัวเรื่องนั้นพอสมควรเลยทีเดียว พวกเขากล่าวถึงเรื่องนั้น และแต่ละวาทะต่างก็เหนือกว่าครั้งที่แล้ว ราวกับเป็นการแข่งขัน  อย่างไรก็ตาม หากมนุษย์ไม่ได้ก้าวผ่านการทดสอบครั้งใหญ่ เช่นนั้นก็เป็นการลำบากยากเย็นมากที่จะกล่าวว่าเขามีคำพยานที่ดีมาให้  กล่าวสั้นๆ ก็คือ การใช้ชีวิตของมนุษย์ยังขาดพร่องอย่างมาก ตรงข้ามกับความเข้าใจของเขาอย่างสิ้นเชิง  ดังนั้น นี่จึงยังไม่กลายเป็นวุฒิภาวะจริงของมนุษย์ และนี่ยังไม่ใช่ชีวิตของมนุษย์  เนื่องจากความเข้าใจของมนุษย์ยังไม่ได้รับการนำพาไปสู่ความเป็นจริง วุฒิภาวะของเขายังคงเป็นดั่งปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นทราย ซึ่งคลอนแคลนและจวนเจียนจะพังทลายลงมา  มนุษย์ครองความเป็นจริงน้อยนิดเกินไป แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะพบความเป็นจริงอันใดในมนุษย์  มีความเป็นจริงน้อยนิดเกินไปที่กำลังหลั่งไหลออกมาจากมนุษย์อย่างเป็นธรรมชาติ และความเป็นจริงทั้งหมดที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตล้วนถูกบังคับมา  นี่เป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่ามนุษย์ไม่ได้ครองความเป็นจริงอันใดเลย  ถึงแม้ผู้คนจะกล่าวอ้างว่าหัวใจที่รักพระเจ้าของพวกเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่นี่เป็นเพียงสิ่งที่พวกเขากล่าวก่อนที่พวกเขาจะได้เผชิญกับการทดสอบอันใด  ในวันหนึ่ง เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับการทดสอบอย่างฉับพลันทันใด สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาพูดถึงก็จะไม่อยู่ในขั้นตอนเดียวกันกับความเป็นจริงอีกเช่นเคย และนี่จะพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่ามนุษย์ไม่ได้ครองความเป็นจริงอันใดเลย  กล่าวได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับสิ่งซึ่งไม่ตรงกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า และสิ่งที่พึงประสงค์ให้เจ้าวางตัวเองลงเสียก่อน สิ่งเหล่านั้นคือการทดสอบของเจ้า  ก่อนที่น้ำพระทัยของพระเจ้าได้รับการเปิดเผยออกมา ทุกคนก้าวผ่านบททดสอบอันเข้มงวดกวดขัน และการทดสอบอันมหาศาล  เจ้าสามารถหยั่งลึกถึงการนี้หรือไม่?  เมื่อพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทดสอบผู้คน พระองค์ทรงเปิดโอกาสเสมอที่จะให้พวกเขาเลือกตัวเลือกของตัวเองก่อนที่ความเป็นจริงจะได้รับการเปิดเผย  นี่หมายความว่าเมื่อพระเจ้าทรงให้มนุษย์ตกอยู่ภายใต้การทดสอบ พระองค์จะไม่มีวันบอกความจริงกับเจ้า นี่คือลักษณะที่ใช้ตีแผ่ผู้คน  นี่คือหนึ่งหนทางที่พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์จนเสร็จสิ้น เพื่อทรงมองเห็นว่าเจ้ารู้จักพระเจ้าของวันนี้หรือไม่ รวมถึงว่าเจ้าครองความเป็นจริงอันใดหรือไม่  เจ้าเป็นอิสระ จากความกังขาทั้งหลายเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  เจ้าจะสามารถตั้งมั่นอย่างแท้จริงหรือไม่ เมื่อการทดสอบครั้งใหญ่มาถึงเจ้า?  ผู้ใดกล้าพูดว่า “ข้าพเจ้ารับประกันว่าจะไม่มีปัญหาอันใด”?  ผู้ใดกล้ายืนยันว่า “คนอื่นอาจจะมีข้อกังขา แต่ข้าพเจ้าจะไม่มีวัน”?  เช่นเดียวกับตอนที่เปโตรตกอยู่ภายใต้การทดสอบ เขามักจะอวดตัวไปก่อนที่ความจริงจะได้ถูกเปิดเผยออกมาเสมอ  นี่ไม่ใช่ข้อตำหนิส่วนบุคคลที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเปโตร นี่เป็นความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวงที่สุดที่มนุษย์ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ ณ ปัจจุบัน  หากเราจะไปเยี่ยมเยียนสถานที่บางแห่ง หรือไปเยี่ยมเยียนพี่น้องชายหญิงบางคนเพื่อดูว่าพวกเจ้ามีความเข้าใจอย่างไรเกี่ยวกับพระราชกิจในปัจจุบันของพระเจ้า แน่นอนว่า พวกเจ้าคงจะสามารถพูดได้มากมายเกี่ยวกับความรู้ของเจ้า และคงจะดูเหมือนว่าเจ้าไม่มีข้อกังขาอันใดทั้งสิ้น  หากเราจะถามเจ้าว่า “เจ้าสามารถปักใจเชื่อได้จริงไหมว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจในปัจจุบันด้วยพระองค์เอง?  โดยปราศจากข้อกังขาอันใดเลยหรือ?”  แน่นอนที่เจ้าคงตอบว่า “พระราชกิจได้รับการทรงปฏิบัติโดยพระวิญญาณของพระเจ้าอย่างปราศจากข้อกังขาอันใดทั้งสิ้น”  ทันทีที่เจ้าให้คำตอบเช่นนั้น แน่นอนว่าเจ้าคงไม่รู้สึกกังขาเลยแม้แต่น้อย และเจ้าคงจะถึงขั้นรู้สึกพอใจมากทีเดียวเสียด้วยซ้ำ ด้วยคิดว่าเจ้าได้รับความเป็นจริงเพิ่มขึ้นอีกหน่อยแล้ว  พวกที่มีแนวโน้มที่จะเข้าใจสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ คือผู้คนที่ครองความเป็นจริงน้อยกว่า ยิ่งคนเราคิดว่าเราได้รับมามากขึ้นเท่าไร คนเราก็จะยิ่งสามารถตั้งมั่นได้น้อยลงเท่านั้นเมื่อเผชิญหน้ากับการทดสอบทั้งหลาย วิบัติจงมีแก่ผู้ที่โอหังและหยิ่งผยอง วิบัติจงมีแก่ผู้ที่ไม่มีความรู้ใดเลยเกี่ยวกับตนเอง ผู้คนเช่นนี้เชี่ยวชาญการจำนรรจา แต่ทว่าถึงเวลาปฏิบัติตามวาจากลับไม่เอาไหน กับสัญญาณเล็กน้อยที่สุดที่ส่อว่าจะเกิดปัญหา ผู้คนเหล่านี้ก็เริ่มที่จะมีความคลางแคลงใจ และความคิดที่จะล้มเลิกก็แอบย่องเข้ามาในจิตใจของพวกเขา  พวกเขาไม่ได้ครองความเป็นจริงอันใด พวกเขาแค่มีทฤษฎีที่อยู่เหนือศาสนา โดยปราศจากความเป็นจริงอันใดที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ในตอนนี้  เรารู้สึกขยะแขยงที่สุดกับพวกที่เพียงแต่พูดถึงทฤษฎีโดยปราศจากการครองความเป็นจริงอันใด  พวกเขาโห่ร้องสุดเสียงขณะกำลังดำเนินงานของพวกเขาให้เสร็จสิ้น แต่ทันทีที่พวกเขาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง พวกเขาก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า  นี่ไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าผู้คนเหล่านี้ไม่มีความเป็นจริงอันใด?  ไม่ว่าคลื่นลมจะกระหน่ำแรงเพียงใด หากเจ้ายังคงยืนหยัดต่อไปได้โดยไม่ปล่อยให้สักเศษเสี้ยวของความคลางแคลงใจเข้ามาสู่จิตใจของเจ้า และสามารถตั้งมั่นและยังคงปราศจากการปฏิเสธ แม้แต่ในยามที่ไม่มีใครอื่นเหลืออยู่เลย เช่นนั้นแล้วก็จะนับได้ว่าเจ้ามีความเข้าใจอย่างแท้จริง และครองความเป็นจริงอย่างจริงแท้  หากเจ้าหันเหไปตามหนทางใดก็ตามที่กระแสลมพัดพาไป—หากเจ้าคล้อยตามคนหมู่มาก และเรียนรู้ที่จะพูดตามวาทะของผู้อื่นเหมือนนกแก้วนกขุนทอง—เมื่อนั้น ไม่ว่าเจ้าอาจจะมีวาทศิลป์เพียงใด แต่จะไม่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเจ้าครองความเป็นจริง  ฉะนั้นเอง เราจึงขอแนะนำว่าเจ้าอย่าด่วนโห่ร้องวาจาอันว่างเปล่าออกมา  เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้ากำลังจะทรงทำอะไร?  จงอย่าประพฤติเช่นเปโตร หาไม่เจ้าจะนำความอับอายมาสู่ตนเอง และสูญเสียความสามารถที่จะเชิดหน้าชูตาตนเองได้อีกต่อไป นั่นจะไม่ส่งผลดีอันใดต่อใคร  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีวุฒิภาวะที่แท้จริง  ถึงแม้ว่าพระเจ้าได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจไปแล้วอย่างใหญ่หลวง ทว่าพระองค์มิได้ทรงนำพาความเป็นจริงลงมาสู่ผู้คน กล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ พระองค์ไม่เคยทรงตีสอนผู้ใดเป็นส่วนตัว  ผู้คนบางคนถูกตีแผ่ไปแล้วโดยการทดสอบเช่นนั้น โดยที่มือบาปของพวกเขายื่นไกลออกไปทุกที ด้วยคิดว่าเป็นการง่ายที่จะชนะพระเจ้า พวกเขาคิดว่าพวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ  เนื่องจากพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะทนทานได้แม้กระทั่งการทดสอบจำพวกนี้ การทดสอบที่ท้าทายกว่านี้อย่างเช่นการครองความเป็นจริงย่อมไม่ต้องไปถามพวกเขาเลย  ใช่ว่าพวกเขาแค่กำลังพยายามหลอกพระเจ้าหรือไม่?  การครองความเป็นจริงไม่ใช่สิ่งที่แสร้งทำได้ อีกทั้งความเป็นจริงก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถบรรลุได้จากการรู้จักมัน ทว่าขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้า รวมถึงการที่เจ้าสามารถต้านทานการทดสอบทั้งสิ้นได้หรือไม่  เจ้าเข้าใจหรือไม่?

พระเจ้าไม่ได้ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนเพียงแต่มีความสามารถในการพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริง นั่นคงจะง่ายเกินไปไม่ใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสถึงการเข้าสู่ชีวิต?  เหตุใดพระองค์จึงทรงพูดคุยเกี่ยวกับการแปลงสภาพ?  หากผู้คนมีความสามารถเพียงแค่การพูดคุยอันว่างเปล่าเกี่ยวกับความเป็นจริง เมื่อนั้นพวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์การแปลงสภาพในอุปนิสัยของพวกเขาได้อย่างไร?  ทหารที่ดีแห่งราชอาณาจักรไม่ได้รับการฝึกอบรมให้เป็นกลุ่มผู้คนที่เพียงแค่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริงหรืออวดตัวได้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาได้รับการฝึกอบรมให้ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าตลอดเวลา เพื่อที่จะยังคงมีใจเด็ดเดี่ยวต่อไป ไม่ว่าจะเผชิญกับความพลั้งพลาดอันใด และดำเนินชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ และไม่กลับคืนสู่ทางโลก  นี่คือความเป็นจริงที่พระเจ้าตรัส นี่คือข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  ฉะนั้น อย่ามองว่าความเป็นจริงที่พระเจ้าตรัสนั้นเรียบง่ายเกินไป  แค่ความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นไม่เทียบเท่ากับการครองความเป็นจริง  เช่นนั้นไม่ใช่วุฒิภาวะของมนุษย์—นั่นเป็นพระคุณของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ไม่มีส่วนร่วมสนับสนุนอันใดเลย  แต่ละบุคคลต้องสู้ทนความทุกข์ของเปโตร และยิ่งกว่านั้นคือ ครองสง่าราศีของเปโตรที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตหลังจากที่พวกเขาได้รับพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว  การนี้เท่านั้นจึงสามารถเรียกได้ว่าความเป็นจริง  จงอย่าคิดว่าเจ้าครองความเป็นจริงเพียงเพราะว่าเจ้าสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริงได้  เพราะนั่นคือเหตุผลวิบัติ ความคิดเช่นนั้นไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่มีนัยสำคัญแท้จริงอันใดเลย  จงอย่ากล่าวสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นในอนาคต—จงดับคำกล่าวทั้งหลายเช่นนั้นเสียให้สิ้น!  ผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดที่มีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าคือพวกผู้ไม่เชื่อ พวกเขาไม่มีความรู้ที่เป็นจริงอันใด  นับประสาอะไรที่จะมีวุฒิภาวะที่เป็นจริงอันใด  พวกเขาเป็นผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันซึ่งขาดความเป็นจริง  อีกนัยหนึ่งคือ คนเหล่านั้นทั้งหมดที่ดำเนินชีวิตอยู่ภายนอกแก่นแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้าคือผู้ไม่เชื่อ  พวกที่ผู้คนถือว่าเป็นผู้ไม่เชื่อคือสัตว์ร้ายในสายพระเนตรของพระเจ้า และพวกที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นผู้ไม่เชื่อคือผู้คนที่ไม่มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา  ดังนั้นเอง จึงกล่าวได้ว่าพวกที่ไม่ได้ครองความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และผู้ที่ล้มเหลวต่อการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าก็คือผู้ไม่เชื่อ  เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือการทำให้ทุกคนใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์—ไม่ใช่แค่ให้ทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริง แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือทำให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตตามความเป็นจริงจากพระวจนะของพระองค์  ความเป็นจริงที่มนุษย์ล่วงรู้นั้นผิวเผินเกินไป มันไม่มีคุณค่าอันใดเลย และไม่สามารถทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงได้  นั่นต่ำต้อยเกินไป และไม่ควรค่าที่จะพาดพิงถึงด้วยซ้ำ  นั่นขาดพร่องเกินไป และต่ำกว่ามาตรฐานแห่งข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามากเกินไป  พวกเจ้าแต่ละคนจะต้องตกอยู่ภายใต้การตรวจสอบครั้งใหญ่ เพื่อดูว่าผู้ใดท่ามกลางพวกเจ้าที่เพียงแต่รู้วิธีพูดคุยเกี่ยวกับความเข้าใจของเจ้า โดยที่ไม่มีความสามารถที่จะชี้ชัดถึงเส้นทางได้ รวมถึงเพื่อค้นพบว่าผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่เป็นชิ้นขยะที่ไร้ประโยชน์  จงจดจำการนี้ไว้นับจากนี้เป็นต้นไป!  จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับความรู้อันว่างเปล่า จงพูดคุยเกี่ยวกับเส้นทางแห่งการปฏิบัติเท่านั้นและพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริงเท่านั้น  การเปลี่ยนผ่านจากความรู้ที่เป็นจริงไปสู่การปฏิบัติที่แท้จริง และจากนั้นก็เป็นการเปลี่ยนผ่านจากการปฏิบัติไปสู่การใช้ชีวิตที่เป็นจริง  จงอย่าสั่งสอนผู้อื่นและอย่าพูดคุยเกี่ยวกับความรู้ที่เป็นจริง  หากความเข้าใจของเจ้าคือเส้นทางหนึ่ง เช่นนั้นแล้วก็จงปล่อยคำพูดของเจ้าออกมาอย่างอิสระ แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น ก็โปรดปิดปากของเจ้าและหยุดพูดคุยเสีย!  สิ่งที่เจ้าพูดนั้นไร้ประโยชน์  เจ้าพูดถึงความเข้าใจเพื่อที่จะหลอกลวงพระเจ้า และทำให้ผู้อื่นอิจฉาเจ้า  นั่นไม่ใช่ความทะเยอทะยานของเจ้าหรอกหรือ?  เจ้าไม่ได้จงใจหลอกผู้อื่นเล่นหรอกหรือ?  มีคุณค่าอันใดในการนี้บ้างหรือไม่?  หากเจ้าพูดคุยเกี่ยวกับความเข้าใจหลังจากที่เจ้าได้รับประสบการณ์แล้ว เจ้าก็จะไม่ถูกมองว่ากำลังอวดตัว  มิฉะนั้นแล้ว เจ้าก็คือใครบางคนที่พ่นคำพูดอันโอหังออกมา  มีหลายสิ่งหลายอย่างในประสบการณ์จริงของเจ้า ที่เจ้าไม่สามารถเอาชนะได้ และเจ้าไม่สามารถกบฏต่อเนื้อหนังของเจ้าเองได้  เจ้ากำลังทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการเสมอ โดยไม่เคยทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า—ทว่าเจ้ายังมีหน้ามาพูดคุยเกี่ยวกับความเข้าใจในเชิงทฤษฎี  เจ้าช่างไร้ความละอาย!  เจ้ายังหาญกล้าพอที่จะมาพูดถึงความเข้าใจของเจ้าต่อพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าช่างไร้ความละอายอะไรเช่นนี้!  การกล่าวสำนวนโวหารและการอวดตัวได้กลายเป็นธรรมชาติวิสัยของเจ้า และเจ้าได้กลายเป็นเคยชินแล้วกับการทำเช่นนั้น  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าปรารถนาที่จะพูด เจ้าก็ทำเช่นนั้นอย่างง่ายดาย ราบรื่น แต่เมื่อมาถึงการปฏิบัติ เจ้าหลงระเริงอยู่กับความหรูหราอลังการ นี่ไม่ใช่หนทางหนึ่งที่จะหลอกผู้อื่นหรอกหรือ?  เจ้าอาจมีความสามารถที่จะใช้เพทุบายกับพวกมนุษย์ แต่พระเจ้านั้นไม่อาจทรงถูกหลอกลวงได้  พวกมนุษย์ไม่ตระหนักรู้และไม่มีวิจารณญาณ แต่พระเจ้าทรงจริงจังเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ และพระองค์จะไม่ทรงละเว้นเจ้า  บรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าอาจจะให้การสนับสนุนเจ้า ด้วยการสรรเสริญความเข้าใจของเจ้า และเลื่อมใสเจ้า แต่หากเจ้าไม่ได้ครองความเป็นจริงเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ทรงละเว้นเจ้า  บางทีพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงจะไม่แสวงหาความผิดของเจ้า แต่พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงเพิกเฉยต่อเจ้า และนั่นจะลำบากยากเย็นพอแล้วที่เจ้าจะทนรับ เจ้าเชื่อเรื่องนี้หรือไม่?  จงพูดคุยให้มากขึ้นเกี่ยวกับความเป็นจริงแห่งการปฏิบัติ เจ้าได้ลืมไปเรียบร้อยแล้วหรือยัง?  จงพูดคุยให้มากขึ้นเกี่ยวกับเส้นทางแห่งการปฏิบัติ เจ้าได้ลืมไปเรียบร้อยแล้วหรือยัง?  “จงเสนอทฤษฎีอันสูงส่งเลิศเลอทั้งหลายและการพูดคุยฟุ้งเฟ้อไร้คุณค่าให้น้อยลง  เป็นการดีที่สุดที่จะเริ่มการปฏิบัติโดยเริ่มเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย”  เจ้าได้ลืมวจนะเหล่านี้ไปแล้วหรือไร?  เจ้าไม่เข้าใจเลยหรือ?  เจ้าไม่มีการจับใจความน้ำพระทัยของพระเจ้าเลยหรือ?

ก่อนหน้า: เจ้าควรรู้ว่า พระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงคือพระเจ้าพระองค์เอง

ถัดไป: การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger