นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (2)

ในยุคพระคุณ มีการประกาศข่าวประเสริฐแห่งการกลับใจ และหากว่ามนุษย์เชื่อ เช่นนั้นแล้ว เขาก็จะได้รับการช่วยให้รอด  ส่วนวันนี้ แทนที่ความรอด มีแต่การพูดถึงการพิชิตชัยและความเพียบพร้อมเท่านั้น  ไม่เคยมีการกล่าวว่าหากบุคคลหนึ่งเชื่อ ครอบครัวทั้งหมดของพวกเขาจะได้รับพร หรือว่าเมื่อได้รับการช่วยให้รอดครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะได้รับการช่วยให้รอดเสมอไป  วันนี้ไม่มีผู้ใดกล่าวคำเหล่านี้ และสิ่งต่างๆ เช่นนี้ก็ล้าสมัยไปแล้ว  ณ เวลานั้นพระราชกิจของพระเยซูคือพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง  บาปต่างๆ ของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ได้รับการอภัย ตราบเท่าที่เจ้าเชื่อในพระองค์ พระองค์จะทรงไถ่เจ้า หากเจ้าเชื่อในพระองค์ เจ้าก็ไม่มีบาปอีกต่อไป เจ้าได้รับการปลดเปลื้องจากบาปของเจ้า  นี่คือความหมายของการได้รับการช่วยให้รอดและการมีความชอบธรรมจากความเชื่อ  แต่ถึงกระนั้นในตัวผู้ที่เชื่อก็ยังคงมีสิ่งที่เป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้า และสิ่งที่ยังคงต้องค่อยๆ ขจัดออกไป  ความรอดมิได้หมายความว่ามนุษย์ต้องได้รับการรับไว้โดยพระเยซูอย่างสมบูรณ์ แต่หมายความว่ามนุษย์จะไม่มีบาปอีกต่อไป หมายความว่าเขาได้รับการอภัยบาปของเขาแล้ว  หากว่าเจ้าเชื่อ เจ้าจะไม่มีวันมีบาปอีก  ณ เวลานั้นพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายที่บรรดาสาวกของพระองค์ไม่อาจจับใจความได้ และได้ตรัสหลายสิ่งที่ผู้คนไม่เข้าใจ  นี่เป็นเพราะว่า ณ เวลานั้นพระองค์มิได้ประทานคำอธิบายใดๆ  ด้วยเหตุนี้ หลายปีหลังจากที่พระองค์ได้เสด็จจากไป มัทธิวจึงทำลำดับพงศ์ของพระเยซูขึ้นมา และคนอื่นๆ ก็ได้ทำงานมากมายที่เกิดจากเจตจำนงของมนุษย์  พระเยซูมิได้เสด็จมาเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมและเพื่อรับมนุษย์เอาไว้ แต่เพื่อทรงพระราชกิจช่วงระยะหนึ่ง นั่นคือ การนำมาซึ่งข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรสวรรค์ และการทำให้พระราชกิจแห่งการตรึงกางเขนเสร็จสมบูรณ์  และดังนั้นทันทีที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน พระราชกิจของพระองค์ก็ได้มาถึงบทอวสานอันสมบูรณ์  แต่ในช่วงระยะปัจจุบัน—ที่เป็นพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย—มีพระวจนะที่ต้องตรัสมากขึ้น มีพระราชกิจที่ต้องทำมากขึ้น และต้องมีกระบวนการต่างๆ มากมาย  ดังนั้นความล้ำลึก ในพระราชกิจของพระเยซูและพระยาห์เวห์ก็ต้องได้รับการเปิดเผยด้วย เพื่อที่ผู้คนทั้งปวงอาจเกิดความเข้าใจและความกระจ่างแจ้งในความเชื่อของพวกเขา เพราะนี่คือพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย และยุคสุดท้ายก็คือกาลอวสานของพระราชกิจของพระเจ้า เป็นเวลาแห่งการสรุปปิดตัวพระราชกิจ  พระราชกิจช่วงระยะนี้จะชี้แจงธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์และการไถ่ของพระเยซูแก่เจ้า และโดยหลักแล้วก็เป็นไปเพื่อที่เจ้าอาจเข้าใจพระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า และซึ้งคุณค่าในความสำคัญและแก่นแท้ทั้งปวงของแผนการบริหารจัดการหกพันปีนี้ และเข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจทั้งหมดที่พระเยซูได้ทำและพระวจนะทั้งหลายที่พระองค์ได้ตรัส และปรับการเชื่อและการรักใคร่บูชาพระคัมภีร์อย่างมืดบอดของเจ้าให้มีสมดุล  ทั้งหมดนี้จะเปิดโอกาสให้เจ้าเข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน  เจ้าจะมาเข้าใจทั้งพระราชกิจที่พระเยซูทำและพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้ เจ้าจะเข้าใจและมองเห็นความจริง ชีวิต และหนทางทั้งปวง  ในพระราชกิจช่วงระยะที่พระเยซูทำนั้น เหตุใดพระเยซูจึงเสด็จจากไปโดยที่มิได้ทำพระราชกิจแห่งการสรุปปิดตัว?  เพราะพระราชกิจในช่วงระยะของพระเยซูนั้นมิใช่พระราชกิจแห่งการสรุปปิดตัว  เมื่อพระองค์ทรงถูกตรึงกับกางเขน พระวจนะของพระองค์ก็ถึงกาลอวสานไปด้วย หลังจากการตรึงกางเขนของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์  ช่วงระยะปัจจุบันแตกต่างออกไป กล่าวคือ มีเพียงหลังจากที่พระวจนะได้รับการตรัสจนจบและพระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าได้รับการสรุปปิดตัวแล้วเท่านั้น พระราชกิจของพระองค์จึงจะเสร็จสิ้น  ในช่วงระยะของพระราชกิจของพระเยซูนั้น มีพระวจนะอีกมากมายที่ยังไม่ได้ตรัส หรือยังไม่ได้รับการสื่อสารอย่างครบถ้วน  แต่ถึงกระนั้นพระเยซูก็มิได้ใส่พระทัยว่าพระองค์ได้ตรัสหรือมิได้ตรัสสิ่งใด เพราะพันธกิจของพระองค์มิใช่พันธกิจเกี่ยวกับพระวจนะ และดังนั้นหลังจากที่พระองค์ทรงถูกตอกตรึงกับกางเขน พระองค์จึงเสด็จจากไป  พระราชกิจในช่วงระยะนั้นเป็นไปเพื่อการตรึงกางเขนเป็นสำคัญ และไม่เหมือนกับช่วงระยะปัจจุบัน  พระราชกิจช่วงระยะปัจจุบันนี้โดยหลักแล้วเป็นไปเพื่อความครบบริบูรณ์ การอธิบายให้ชัดเจน และการนำพระราชกิจทั้งหมดไปสู่การสรุปปิดตัว  หากพระวจนะทั้งหลายไม่ได้รับการตรัสจนจบ ก็จะไม่มีทางสรุปปิดตัวพระราชกิจนี้ เพราะในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจนั้น พระราชกิจทั้งหมดจะถึงกาลสิ้นสุดและสำเร็จลุล่วงโดยใช้พระวจนะ  ณ เวลานั้นพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายที่มนุษย์ไม่สามารถจับความเข้าใจได้  พระองค์ได้เสด็จจากไปอย่างเงียบๆ และวันนี้ยังคงมีผู้ที่ไม่เข้าใจพระวจนะของพระองค์อีกมากมายหลายคน พวกเขายังมีความเข้าใจที่ผิดพลาด แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงเชื่อว่าถูกต้อง และไม่รู้ว่าพวกเขาผิด  ช่วงระยะสุดท้ายจะพาพระราชกิจของพระเจ้าไปถึงปลายทางที่สมบูรณ์ และจะสรุปปิดตัวพระราชกิจ  ทุกคนจะมาเข้าใจและรู้จักแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  มโนคติอันหลงผิดทั้งหลายภายในตัวมนุษย์ เจตนาต่างๆ ของเขา ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของเขา มโนคติอันหลงผิดของเขาเกี่ยวกับพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซู ทรรศนะที่เขามีต่อผู้ไม่มีความเชื่อ และความบิดเบี้ยวอื่นๆ ทั้งปวงของเขาจะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง  และมนุษย์จะเข้าใจเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องทั้งหมด พระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำทั้งหมด และความจริงทั้งหมดทั้งมวล  เมื่อการนั้นเกิดขึ้น พระราชกิจช่วงระยะนี้ย่อมจะถึงกาลอวสาน  พระราชกิจของพระยาห์เวห์คือการสร้างโลก นั่นคือการเริ่มต้น พระราชกิจช่วงระยะนี้คือปลายทางของพระราชกิจ และเป็นการสรุปปิดตัว  เริ่มแรกนั้นพระราชกิจของพระเจ้าดำเนินไปท่ามกลางผู้ที่ได้รับการเลือกสรรชาวอิสราเอล และเป็นรุ่งอรุณของยุคใหม่ในสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งหมด  พระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายดำเนินไปในประเทศที่ไม่บริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาประเทศทั้งปวง เพื่อพิพากษาโลกและนำพายุคไปสู่กาลอวสาน  ในช่วงระยะแรกนั้น พระราชกิจของพระเจ้าดำเนินไปในสถานที่ที่สดใสที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวง และช่วงระยะสุดท้ายก็ดำเนินไปในสถานที่ที่มืดมนที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวง และความมืดมนนี้จะถูกขับออกไป และความสว่างจะถูกนำมา และผู้คนทั้งหมดจะได้รับการพิชิต  เมื่อผู้คนจากสถานที่ที่ไม่บริสุทธิ์ที่สุดและมืดมิดที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวงนี้ได้รับการพิชิต และประชากรทั้งหมดทั้งมวลยอมรับรู้ว่ามีพระเจ้า ซึ่งเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ และเมื่อทุกบุคคลเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ เช่นนั้นแล้ว ข้อเท็จจริงนี้จะถูกใช้ดำเนินพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยไปทั่วทั้งจักรวาล  พระราชกิจช่วงระยะนี้มีความเป็นสัญลักษณ์ กล่าวคือ  ทันทีที่พระราชกิจของยุคนี้เสร็จสิ้นลง พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการหกพันปีก็จะมาถึงบทอวสานอันสมบูรณ์  ทันทีที่พวกที่อยู่ในสถานที่ที่มืดมนที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวงได้รับการพิชิตแล้ว ก็ย่อมเป็นที่ชัดเจนว่าทั่วทุกหนแห่งจะเป็นเช่นนั้นด้วย  เมื่อเป็นดังนี้จึงมีเพียงพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยในประเทศจีนเท่านั้นที่มีการใช้สัญลักษณ์อย่างมีความหมาย  ประเทศจีนคือรูปจำแลงแห่งกำลังบังคับทั้งมวลของความมืด และผู้คนของประเทศจีนเป็นตัวแทนของทุกคนที่เป็นมนุษย์ เป็นของซาตาน และมีเลือดมีเนื้อหนัง  ผู้คนชาวจีนนี่เองที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงทำให้เสื่อมทรามที่สุด ต่อต้านพระเจ้าอย่างหนักหน่วงที่สุด มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ต่ำช้าและไม่บริสุทธิ์ที่สุด และดังนั้นพวกเขาจึงเป็นแม่แบบของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามทั้งหมด  นี่มิได้หมายความว่าประเทศอื่นไม่มีปัญหา มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ล้วนเหมือนกันทั้งหมด และถึงแม้ว่าผู้คนของประเทศเหล่านี้อาจมีขีดความสามารถดี แต่หากพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ต้องเป็นว่าพวกเขาต่อต้านพระองค์  เหตุใดชาวยิวจึงต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า?  เหตุใดพวกฟาริสีก็ต่อต้านพระองค์เช่นกัน?  เหตุใดยูดาสจึงทรยศพระเยซู?  ณ เวลานั้นสาวกจำนวนมากไม่รู้จักพระเยซู  หลังจากที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนและได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เหตุใดผู้คนจึงยังคงไม่เชื่อในพระองค์?  ความเป็นกบฏของมนุษย์ไม่เหมือนกันหมดหรอกหรือ?  ผู้คนของประเทศจีนเพียงถูกยกมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น และเมื่อพวกเขาได้รับการพิชิต พวกเขาจะกลายเป็นแบบอย่างและตัวอย่าง และจะทำหน้าที่เป็นแหล่งอ้างอิงสำหรับผู้อื่น  เหตุใดเราจึงกล่าวอยู่เสมอว่าพวกเจ้าเป็นผู้ช่วยให้กับแผนการบริหารจัดการของเรา?  ความเสื่อมทราม ความไม่บริสุทธิ์ ความไม่ชอบธรรม การต่อต้าน และการเป็นกบฏได้ถูกสำแดงอย่างสมบูรณ์ที่สุด และถูกเปิดเผยอยู่ในรูปแบบสารพันภายในตัวผู้คนของประเทศจีนนั่นเอง  ในด้านหนึ่ง พวกเขามีขีดความสามารถอ่อนด้อย และในอีกด้านหนึ่ง ชีวิตและชุดความคิดของพวกเขาล้าหลัง และนิสัยใจคอ สภาพแวดล้อมทางสังคม ครอบครัวที่ให้กำเนิดของพวกเขา—ทั้งหมดล้วนอ่อนด้อยและล้าหลังที่สุด  สถานะของพวกเขาก็ต่ำต้อยเช่นกัน พระราชกิจในที่แห่งนี้จึงมีความเป็นสัญลักษณ์ และหลังจากที่พระราชกิจแห่งการทดสอบนี้ดำเนินไปอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว พระราชกิจที่ตามมาของพระเจ้าจะง่ายกว่านี้มาก  หากพระราชกิจขั้นตอนนี้สามารถเสร็จสมบูรณ์ เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจที่ตามมาก็ย่อมเป็นที่ชัดเจน  ทันทีที่พระราชกิจขั้นตอนนี้สำเร็จลุล่วงไป ก็ย่อมจะสัมฤทธิ์ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างเต็มที่ และพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยทั่วทั้งจักรวาลก็ย่อมจะถึงกาลอวสานอย่างสมบูรณ์  แท้จริงแล้ว ทันทีที่พระราชกิจท่ามกลางพวกเจ้าประสบความสำเร็จ นี่ก็ย่อมจะเทียบเท่ากับความสำเร็จไปทั่วจักรวาล  นี่คือความสำคัญของการที่ว่าเหตุใดเราจึงให้พวกเจ้าทำหน้าที่เป็นแบบอย่างและตัวอย่าง  ความเป็นกบฏ การต่อต้าน ความไม่บริสุทธิ์ ความไม่ชอบธรรม—ทั้งหมดล้วนพบเจออยู่ในตัวผู้คนเหล่านี้ และในตัวพวกเขายังมีความเป็นกบฏทั้งปวงของมวลมนุษย์  พวกเขาไม่ธรรมดาจริงๆ  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้รับการยกชูให้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการพิชิตชัย และทันทีที่พวกเขาถูกพิชิต พวกเขาจะกลายเป็นตัวอย่างและแบบอย่างสำหรับผู้อื่นไปเอง  ไม่มีสิ่งใดที่มีความเป็นสัญลักษณ์มากไปกว่าช่วงระยะแรกที่ดำเนินการในประเทศอิสราเอล กล่าวคือ ชาวอิสราเอลเป็นผู้คนที่บริสุทธิ์ที่สุดและเสื่อมทรามน้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมด และดังนั้นรุ่งอรุณของยุคใหม่ในดินแดนแห่งนี้จึงมีความสำคัญสูงสุด  อาจกล่าวได้ว่าบรรพบุรุษของมวลมนุษย์มาจากอิสราเอล และว่าอิสราเอลคือสถานที่ให้กำเนิดพระราชกิจของพระเจ้า  ในปฐมกาล ผู้คนเหล่านี้บริสุทธิ์ที่สุด และพวกเขาล้วนนมัสการพระยาห์เวห์ และพระราชกิจของพระเจ้าในตัวพวกเขาก็สามารถให้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่  พระคัมภีร์ทั้งเล่มบันทึกพระราชกิจของสองยุค หนึ่งนั้นคือพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ และอีกหนึ่งคือพระราชกิจแห่งยุคพระคุณ  ภาคพันธสัญญาเดิมบันทึกพระวจนะของพระยาห์เวห์ถึงชาวอิสราเอลและพระราชกิจของพระองค์ในอิสราเอล ภาคพันธสัญญาใหม่บันทึกพระราชกิจของพระเยซูในยูเดีย  แต่เหตุใดพระคัมภีร์จึงไม่มีชื่อภาษาจีนเลย?  เพราะพระราชกิจสองส่วนแรกของพระเจ้าดำเนินการในอิสราเอล เพราะผู้คนของอิสราเอลคือผู้ที่ได้รับการเลือกสรร—กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่ยอมรับพระราชกิจของพระยาห์เวห์  พวกเขาคือผู้ที่เสื่อมทรามน้อยที่สุดในหมู่มวลมนุษย์ทั้งปวง และในปฐมกาล พวกเขามีหัวใจที่จะเคารพยกย่องพระเจ้าและยำเกรงพระองค์  พวกเขาเชื่อฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ และรับใช้ในพระวิหารอยู่เสมอ และสวมเสื้อคลุมหรือมงกุฎอย่างปุโรหิต  พวกเขาคือผู้คนรุ่นแรกสุดที่นมัสการพระเจ้า และเป็นเป้าหมายรุ่นแรกสุดแห่งพระราชกิจของพระองค์  ผู้คนเหล่านี้เป็นตัวอย่างและแบบอย่างสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง  พวกเขาเป็นตัวอย่างและแบบอย่างของความบริสุทธิ์ ของมนุษย์ที่ชอบธรรม  ผู้คนเช่นโยบ อับราฮัม โลท หรือเปโตรและทิโมธี—พวกเขาล้วนเป็นชาวอิสราเอล และเป็นตัวอย่างและแบบอย่างที่บริสุทธิ์ที่สุด  อิสราเอลเป็นประเทศแรกสุดที่นมัสการพระเจ้าท่ามกลางมวลมนุษย์ และผู้คนที่ชอบธรรมก็มาจากที่นี่มากกว่าที่อื่นใด  พระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาเพื่อที่พระองค์จะได้สามารถบริหารจัดการมวลมนุษย์ทั่วทั้งแผ่นดินได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต  ผลสำเร็จของพวกเขาและความประพฤติอันชอบธรรมในการนมัสการพระยาห์เวห์ของพวกเขานั้นได้รับการบันทึก เพื่อให้พวกเขาสามารถทำหน้าที่เป็นตัวอย่างและแบบอย่างแก่ผู้คนนอกอิสราเอลในระหว่างยุคพระคุณได้ และการกระทำของพวกเขาได้ค้ำชูพระราชกิจมาหลายพันปี เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

หลังจากการสร้างโลก พระราชกิจช่วงระยะแรกของพระเจ้าได้ดำเนินไปในอิสราเอล และด้วยเหตุนี้ อิสราเอลจึงเป็นสถานที่ก่อกำเนิดพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก และเป็นฐานแห่งพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก  ส่วนวงเขตแห่งพระราชกิจของพระเยซูนั้นครอบคลุมยูเดียทั้งหมด  ในระหว่างพระราชกิจของพระองค์ มีพวกที่อยู่นอกยูเดียน้อยคนมากที่จะได้รู้จักพระราชกิจ เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจใดๆ นอกแคว้นยูเดีย  วันนี้พระราชกิจของพระเจ้าได้ถูกนำมายังประเทศจีน และดำเนินการอยู่ภายในวงเขตนี้เท่านั้น  ในระยะนี้ไม่มีการเปิดตัวพระราชกิจนอกประเทศจีน การเผยแพร่พระราชกิจออกไปนอกประเทศจีนคือพระราชกิจที่จะมาในภายหลัง  พระราชกิจช่วงระยะนี้เป็นส่วนต่อเนื่องมาจากพระราชกิจในช่วงระยะของพระเยซู  พระเยซูทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ และช่วงระยะนี้คือพระราชกิจที่ต่อเนื่องมาจากพระราชกิจนั้น พระราชกิจแห่งการไถ่เสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว และในช่วงระยะนี้ไม่มีความจำเป็นต้องมีการปฏิสนธิของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพระราชกิจช่วงระยะนี้ไม่เหมือนกับช่วงระยะที่ผ่านมา และยิ่งไปกว่านั้น เพราะประเทศจีนไม่เหมือนกับประเทศอิสราเอล  พระเยซูทรงทำช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจแห่งการไถ่  มนุษย์ได้เห็นพระเยซู และไม่นานหลังจากนั้นพระราชกิจของพระองค์ก็เริ่มเผยแพร่ไปยังชนต่างชาติ  วันนี้มีผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเป็นจำนวนมากในประเทศอเมริกา สหราชอาณาจักร และรัสเซีย ดังนั้นเหตุใดจึงมีผู้คนที่เชื่อน้อยกว่าในประเทศจีน?  เพราะประเทศจีนเป็นชาติที่ปิดตัวมากที่สุด  เมื่อเป็นเช่นนี้ จีนจึงเป็นประเทศสุดท้ายที่ยอมรับหนทางของพระเจ้า และแม้กระทั่งบัดนี้ก็เป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งร้อยปีนับแต่ที่จีนเริ่มยอมรับ—ซึ่งช้ากว่าอเมริกาและสหราชอาณาจักรมาก  พระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายของพระเจ้าดำเนินไปในแผ่นดินจีนเพื่อที่จะนำพระราชกิจของพระองค์ไปให้ถึงปลายทาง และเพื่อที่พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์อาจสำเร็จลุล่วง  ผู้คนในอิสราเอลต่างเรียกพระยาห์เวห์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา  ณ เวลานั้นพวกเขาถือว่าพระองค์ทรงเป็นประมุขแห่งตระกูลของพวกเขา และอิสราเอลทั้งหมดได้กลายมาเป็นตระกูลใหญ่ที่ทุกคนในตระกูลนมัสการองค์พระยาห์เวห์ผู้เป็นเจ้าของพวกเขา  พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่พวกเขาบ่อยครั้ง และพระองค์ได้ตรัสและเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์แก่พวกเขา และทรงใช้เสาเมฆและเสียงเพื่อนำชีวิตของพวกเขา  ณ เวลานั้นพระวิญญาณได้จัดเตรียมการทรงนำของพระองค์ในอิสราเอลโดยตรง ตรัสและเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์ถึงผู้คน และพวกเขาก็มองเห็นมวลเมฆและได้ยินเสียงกัมปนาทของฟ้าร้อง และในหนทางนี้ พระองค์ก็ทรงนำชีวิตของพวกเขาอยู่นานหลายพันปี  ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงผู้คนของอิสราเอลเท่านั้นที่นมัสการพระยาห์เวห์เสมอมา  พวกเขาเชื่อว่าพระยาห์เวห์คือพระเจ้าของพวกเขา และเชื่อว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของชนต่างชาติ  นี่ไม่น่าประหลาดใจเลย กล่าวคือ จะว่าไปแล้ว พระยาห์เวห์ได้ทรงพระราชกิจท่ามกลางพวกเขาอยู่เกือบสี่พันปี  ในแผ่นดินจีนนั้น หลังจากหลายพันปีแห่งการหลับใหลไม่ยินดียินร้าย ก็มีเพียงบัดนี้เท่านั้นที่พวกคนเสื่อมเหล่านี้ได้มารู้ว่าฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งไม่ได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเองตามธรรมชาติ แต่ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระผู้สร้าง  เนื่องจากข่าวประเสริฐนี้มาจากต่างประเทศ พวกที่มีความรู้สึกนึกคิดนิยมศักดินาและหัวเก่าจึงเชื่อว่าทุกคนที่ยอมรับข่าวประเสริฐนี้ขายชาติ พวกเขาเป็นพวกเลี้ยงไม่เชื่องที่ทรยศพระพุทธเจ้า ที่เป็นบรรพบุรุษของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น พวกที่มีจิตใจนิยมศักดินาเหล่านี้หลายคนยังถามว่า “คนจีนจะเชื่อในพระเจ้าของชาวต่างชาติได้อย่างไร?  พวกเขาไม่ได้กำลังทรยศบรรพบุรุษของพวกเขาหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ได้กำลังทำชั่วหรอกหรือ?”  วันนี้ผู้คนได้ลืมไปนานแล้วว่าพระยาห์เวห์คือพระเจ้าของพวกเขา  พวกเขาผลักไสพระผู้สร้างไปไว้ยังเบื้องลึกในจิตใจของพวกเขามานานแล้ว และพวกเขากลับเชื่อในวิวัฒนาการแทน ซึ่งหมายความว่ามนุษย์นั้นวิวัฒน์มาจากลิง และว่าโลกธรรมชาติก็เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ  อาหารดีๆ ทั้งหมดที่มวลมนุษย์สุขสำราญกันนั้นจัดเตรียมขึ้นโดยธรรมชาติ มีระเบียบแบบแผนในความเป็นและความตายของมนุษย์ และพระเจ้าผู้ทรงปกครองเหนือทุกสิ่งหาได้ดำรงอยู่ไม่  ยิ่งไปกว่านั้น มีพวกที่เชื่อว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริงอีกเป็นจำนวนมากที่เชื่อว่าการที่พระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติและไม่เป็นวิทยาศาสตร์  แต่วิทยาศาสตร์สามารถแทนที่พระราชกิจของพระเจ้าได้หรือ?  วิทยาศาสตร์สามารถปกครองเหนือมวลมนุษย์ได้หรือ?  การประกาศข่าวประเสริฐในประเทศที่ปกครองโดยความเชื่อที่ว่าพระเจ้าไม่มีจริง เป็นกิจที่ไม่ง่ายเลยและมีอุปสรรคใหญ่หลวงต่างๆ  วันนี้ไม่ใช่ว่ามีผู้ต่อต้านพระเจ้าในลักษณะนี้อยู่เป็นจำนวนมากหรอกหรือ?

เมื่อพระเยซูเสด็จมาทำพระราชกิจของพระองค์ ผู้คนมากมายได้เปรียบเทียบพระราชกิจของพระเยซูกับพระราชกิจของพระยาห์เวห์ และเมื่อพบความไม่สอดคล้องกัน พวกเขาก็ตอกตรึงพระเยซูกับกางเขน  แต่เหตุใดพวกเขาจึงไม่พบความสอดคล้องกันระหว่างพระราชกิจของทั้งสองพระองค์?  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพระเยซูทรงพระราชกิจใหม่ อีกทั้งยังเป็นเพราะก่อนที่พระเยซูจะเริ่มพระราชกิจของพระองค์นั้น ไม่เคยมีผู้ใดเขียนลำดับพงศ์ของพระองค์เลย  คงจะเป็นการดีหากว่ามีใครสักคนเขียนเอาไว้—หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้ใดจะตอกตรึงพระเยซูกับกางเขนหรือ?  หากว่ามัทธิวได้เขียนลำดับพงศ์ของพระเยซูไว้หลายสิบปีก่อนหน้านั้น เช่นนั้นแล้ว พระเยซูก็ย่อมจะไม่ทรงทนทุกข์กับการข่มเหงที่ร้ายแรงเช่นนั้น  นี่ไม่ใช่ดังนั้นหรอกหรือ?  ทันทีที่ผู้คนได้อ่านลำดับพงศ์ของพระเยซู—ว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรของอับราฮัม และทรงเป็นลูกหลานของดาวิด—เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ย่อมจะยุติการข่มเหงพระองค์  ไม่น่าเสียดายหรอกหรือที่ลำดับพงศ์ของพระองค์ถูกเขียนขึ้นเมื่อสายเกินไป?  และช่างน่าเสียดายที่พระคัมภีร์บันทึกพระราชกิจของพระเจ้าไว้เพียงสองช่วงระยะเท่านั้น ได้แก่ ช่วงระยะหนึ่งที่เป็นพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ และช่วงระยะหนึ่งที่เป็นพระราชกิจแห่งยุคพระคุณ ช่วงระยะหนึ่งที่เป็นพระราชกิจของพระยาห์เวห์ และช่วงระยะหนึ่งที่เป็นพระราชกิจของพระเยซู  จะดีขึ้นอีกมากเพียงใดหากผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งได้พยากรณ์ถึงพระราชกิจของวันนี้เอาไว้  คงจะมีภาคพิเศษในพระคัมภีร์ที่ชื่อว่า “พระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย”—นั่นจะไม่ดีกว่านี้มากหรอกหรือ?  เหตุใดมนุษย์จึงควรอยู่ภายใต้ความยากลำบากมากมายยิ่งนักในวันนี้?  พวกเจ้าลำบากยิ่งนักแล้ว!  หากใครบางคนสมควรที่จะถูกเกลียดชัง ก็ย่อมเป็นอิสยาห์และดาเนียลนั่นเองด้วยความที่ไม่ได้บอกล่วงหน้าถึงพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายเอาไว้ และหากใครบางคนจะถูกติเตียน ก็ย่อมเป็นบรรดาอัครทูตแห่งพันธสัญญาใหม่ที่ไม่ได้บันทึกลำดับพงศ์ของการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าให้เร็วกว่านี้  ช่างน่าเสียดาย!  พวกเจ้าจำต้องค้นหาหลักฐานไปทั่ว และถึงแม้จะพบถ้อยคำเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง พวกเจ้าก็ยังคงไม่สามารถบอกได้ว่าถ้อยคำเหล่านั้นคือข้อพิสูจน์จริงๆ  ช่างน่าขายหน้านัก!  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงลี้ลับยิ่งนักในพระราชกิจของพระองค์?  วันนี้ผู้คนมากมายยังไม่พบหลักฐานที่เป็นบทสรุป ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายได้เช่นกัน  ดังนั้นพวกเขาควรทำอย่างไร?  พวกเขาไม่สามารถติดตามพระเจ้าได้อย่างแน่วแน่ ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเคลือบแคลงแบบนั้นได้เช่นกัน  และดังนั้น “นักวิชาการที่ฉลาดและมีพรสวรรค์” จำนวนมากจึงยินดีนำท่าทีแบบ “ลองดู” มาใช้เมื่อพวกเขาติดตามพระเจ้า  นี่ก็ยุ่งยากเกินไป!  สิ่งต่างๆ จะไม่ง่ายดายมากขึ้นเหลือแสนหรอกหรือหากว่ามัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น สามารถบอกอนาคตล่วงหน้าได้?  คงจะดีกว่าหากยอห์นมองเห็นความเป็นจริงของชีวิตในราชอาณาจักร—น่าเสียดายที่เขาเห็นเพียงนิมิต แต่ไม่ได้เห็นพระราชกิจที่เป็นจริงและจับต้องได้บนแผ่นดินโลก  ช่างน่าเสียดายจริงๆ!  เกิดอะไรขึ้นกับพระเจ้า?  หลังจากที่พระราชกิจของพระองค์ดำเนินไปด้วยดีในอิสราเอล เหตุใดพระองค์จึงเสด็จมายังประเทศจีนในเวลานี้ และเหตุใดพระองค์จึงต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และทรงพระราชกิจและดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางผู้คนด้วยพระองค์เอง?  พระเจ้าช่างไม่คิดถึงความรู้สึกของมนุษย์เกินไปแล้ว!  พระองค์ไม่เพียงไม่ทรงบอกผู้คนไว้ล่วงหน้าเท่านั้น แต่อยู่ดีๆ พระองค์ก็ทรงนำการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์มา  ช่างไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ!  ครั้งแรกที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ได้ทรงทนทุกข์กับความยากลำบากมากมายอันเป็นผลจากการที่ไม่ทรงบอกมนุษย์ล่วงหน้าถึงความเป็นจริงทั้งหมด  พระองค์ย่อมจะไม่สามารถหลงลืมเรื่องนั้นไปได้เป็นแน่มิใช่หรือ?  และดังนั้นเหตุใดคราวนี้พระองค์จึงยังคงไม่บอกมนุษย์?  วันนี้ช่างน่าเสียดายนักที่มีหนังสือเพียงหกสิบหกเล่มอยู่ในพระคัมภีร์ จำเป็นต้องมีเพิ่มอีกเพียงหนึ่งเล่มเพื่อบอกล่วงหน้าถึงพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย!  เจ้าไม่คิดเช่นนี้หรอกหรือ?  แม้แต่พระยาห์เวห์ อิสยาห์ และดาวิด ก็ไม่ได้กล่าวถึงพระราชกิจของวันนี้  พระองค์และท่านเหล่านั้นยิ่งอยู่ไกลจากปัจจุบันออกไปอีก ถูกกาลเวลากว่าสี่พันปีแยกห่างออกไป  และพระเยซูก็ไม่ได้ตรัสบอกล่วงหน้าถึงพระราชกิจของวันนี้อย่างครบถ้วน แค่ตรัสถึงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และมนุษย์จึงยังคงไม่พบหลักฐานมากพอ  หากเจ้าเปรียบเทียบพระราชกิจของวันนี้กับเมื่อก่อน ทั้งสองจะสามารถสอดคล้องกันได้อย่างไร?  พระราชกิจช่วงระยะของพระยาห์เวห์มุ่งไปที่อิสราเอล ดังนั้นหากเจ้าเปรียบเทียบพระราชกิจของวันนี้กับพระราชกิจของช่วงระยะนั้นก็ย่อมจะมีความไม่สอดคล้องกันมากยิ่งขึ้นอีก พระราชกิจทั้งสองไม่สามารถเปรียบเทียบกันโดยตรงได้  เจ้าเองก็ไม่ได้มาจากอิสราเอล และไม่ใช่คนยิว  ขีดความสามารถของเจ้าและทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้านั้นขาดพร่อง—แล้วเจ้าจะเปรียบเทียบตัวเจ้าเองกับพวกเขาได้อย่างไร?  การนี้เป็นไปได้หรือ?  จงรู้ไว้ว่าวันนี้คือยุคราชอาณาจักร ซึ่งแตกต่างจากยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ  ไม่ว่าในกรณีใด จงอย่าทดลองใช้สูตรใด ไม่อาจพบพระเจ้าในสูตรใดๆ เช่นนั้นได้

พระเยซูดำรงพระชนม์ชีพอย่างไรในระหว่าง 29 ปีนับแต่การประสูติของพระองค์?  พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกสิ่งใดเกี่ยวกับวัยเด็กและวัยหนุ่มของพระองค์เลย เจ้ารู้หรือไม่ว่าสองวัยนั้นเป็นเช่นไร?  เป็นไปได้หรือที่พระองค์ไม่ทรงมีวัยเด็กหรือวัยหนุ่ม และเมื่อพระองค์ประสูติ พระองค์ก็มีพระชันษา 30 ปีแล้ว?  เจ้ารู้น้อยเกินไป ดังนั้น จงระมัดระวังเวลาแสดงทรรศนะของเจ้า  นั่นย่อมไม่เป็นผลดีกับเจ้า!  พระคัมภีร์เพียงบันทึกไว้ว่าก่อนวันประสูติปีที่ 30 ของพระเยซู พระองค์ทรงได้รับบัพติศมาและได้รับการนำทางโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าสู่ถิ่นทุรกันดารเพื่อก้าวผ่านการทดลองของมาร  และพระกิตติคุณสี่เล่มก็บันทึกพระราชกิจสามปีครึ่งของพระองค์เอาไว้  ไม่มีบันทึกถึงวัยเด็กและวัยหนุ่มของพระองค์เลย แต่นี่มิได้พิสูจน์ว่าพระองค์ไม่เคยทรงมีวัยเด็กและวัยหนุ่ม เป็นแต่เพียงว่าในเบื้องต้นนั้น พระองค์มิได้ทรงพระราชกิจใดๆ และทรงเป็นบุคคลปกติ  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถกล่าวได้หรือว่าพระเยซูดำรงพระชนม์ชีพมา 33 ปีโดยไม่มีวัยเด็กหรือวัยหนุ่ม?  เป็นไปได้หรือที่อยู่ดีๆ พระองค์ก็มีพระชันษา 33 ปีครึ่งทันที?  ทั้งหมดที่มนุษย์นึกคิดเกี่ยวกับพระองค์นี้ล้วนเหนือธรรมชาติและไม่อยู่กับความเป็นจริง  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติและธรรมดา แต่เมื่อพระองค์ดำเนินพระราชกิจของพระองค์ ก็ทรงทำเช่นนั้นด้วยเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ของพระองค์และด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์ที่หาได้บริบูรณ์ไม่  เป็นเพราะการนี้นี่เองที่ผู้คนมีความสงสัยเกี่ยวกับพระราชกิจของวันนี้ และถึงกับสงสัยในพระราชกิจของพระเยซู  ถึงแม้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างสองครั้งที่พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์จะแตกต่างกัน แต่แก่นแท้ของพระองค์ไม่ได้แตกต่างออกไป  แน่นอนว่าหากเจ้าอ่านบันทึกในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม ความแตกต่างย่อมมีมากยิ่งนัก  เจ้าจะสามารถกลับไปหาชีวิตของพระเยซูในวัยเด็กและวัยหนุ่มของพระองค์ได้อย่างไร?  เจ้าจะสามารถทำความเข้าใจสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระเยซูได้อย่างไร?  บางทีเจ้าอาจจะมีความเข้าใจอันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระเจ้าในวันนี้ ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังไม่มีการจับความเข้าใจในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระเยซู นับประสาอะไรที่เจ้าจะเข้าใจสภาวะนั้นได้  หากมัทธิวมิได้บันทึกเอาไว้ เจ้าก็คงไม่รู้ระแคะระคายถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระเยซูเลย  บางทีเมื่อเราเล่าเรื่องราวในชีวิตของพระเยซูให้เจ้าฟัง และบอกเจ้าถึงความจริงเบื้องลึกเกี่ยวกับวัยเด็กและวัยหนุ่มของพระเยซู เจ้าก็จะส่ายศีรษะและพูดว่า “ไม่!  พระองค์จะทรงเป็นเช่นนั้นไม่ได้ พระองค์ไม่อาจมีความอ่อนแอใดๆ และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์!”  เจ้าจะถึงขั้นตะโกนและกรีดร้อง  เป็นเพราะเจ้าไม่เข้าใจพระเยซูนั่นเอง เจ้าจึงมีมโนคติอันหลงผิดต่างๆ เกี่ยวกับเรา  เจ้าเชื่อว่าพระเยซูทรงศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน จนไม่มีสิ่งใดที่เป็นฝ่ายเนื้อหนังในตัวพระองค์เลย  แต่ข้อเท็จจริงก็ยังคงเป็นข้อเท็จจริง  ไม่มีใครปรารถนาที่จะพูดจาท้าทายความจริงของข้อเท็จจริงทั้งหลาย เพราะเมื่อเราพูด นั่นย่อมสัมพันธ์กับความเป็นจริง ไม่ใช่การคาดคะเน และไม่ใช่คำเผยพระวจนะ  จงรู้ไว้ว่าพระเจ้าสามารถขึ้นไปถึงที่สูงสุดได้ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์สามารถซ่อนเร้นในที่ลึกสุดได้  พระองค์ไม่ใช่บางสิ่งที่เจ้าปรุงขึ้นในจิตใจของเจ้า—พระองค์คือพระเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง หาใช่พระเจ้าส่วนบุคคลที่บุคคลหนึ่งๆ คิดฝันขึ้นมาไม่

ก่อนหน้า: นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (1)

ถัดไป: นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger