พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล - บทที่ 29
ในวันที่สรรพสิ่งได้รับการคืนชีพ เราก็ได้มาท่ามกลางมนุษย์ และเราได้ผ่านวันคืนอันน่าอัศจรรย์ไปกับเขา ณ จุดนี้เท่านั้นที่มนุษย์พอจะรู้สึกบ้างว่าเรานั้นคุยด้วยง่าย และเมื่อเขามีปฏิสัมพันธ์กับเราบ่อยขึ้น เขาก็มองเห็นบางสิ่งที่เรามีและเป็น—ผลก็คือ เขาได้รับความรู้บางอย่างเกี่ยวกับเรา ท่ามกลางผู้คนทั้งหมด เราเงยศีรษะของเราขึ้นมองดู และพวกเขาทั้งหมดก็มองเห็นเรา แม้กระนั้นเมื่อความวิบัติบังเกิดขึ้นกับโลก พวกเขาก็วิตกกังวลในทันที แล้วฉายาของเราก็อันตรธานไปจากหัวใจของพวกเขา ด้วยความตื่นตระหนกเนื่องจากการมาถึงของความวิบัติ พวกเขาไม่คำนึงถึงการเตือนสติของเราเลย หลายปีที่เราได้อยู่ท่ามกลางมนุษย์ แต่เขาก็ไม่ได้ตระหนักเสมอมา และไม่เคยรู้จักเรา วันนี้เราบอกเรื่องนี้กับเขาด้วยปากของเราเอง ผู้คนทั้งปวงจะได้มาเบื้องหน้าเราเพื่อรับบางสิ่งจากเรา แต่พวกเขาก็ยังคงรักษาระยะห่างของพวกเขากับเรา ดังนั้น พวกเขาจึงไม่รู้จักเรา เมื่อก้าวย่างของเราย่ำไปทั่วจักรวาลและไปจนถึงสุดแผ่นดินโลก มนุษย์จะเริ่มทบทวนตนเอง และผู้คนทั้งหมดจะมาหาเราและกราบนมัสการอยู่เบื้องหน้าเรา นี่จะเป็นวันที่เราได้รับสง่าราศี วันแห่งการกลับมาของเรา และวันแห่งการออกเดินทางของเราอีกด้วย บัดนี้เราได้เริ่มงานของเราท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวงแล้ว ได้เริ่มต้นดำเนินการบทสุดท้ายของแผนการบริหารจัดการของเราทั่วทั้งจักรวาลอย่างเป็นทางการแล้ว จากชั่วขณะนี้เป็นต้นไป ผู้ใดที่ไม่ระมัดระวังมีแนวโน้มที่จะถูกผลักลงท่ามกลางการตีสอนที่ไร้ปรานี และเรื่องนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ นี่ไม่ใช่เพราะเราไร้หัวใจ แต่กลับเป็นขั้นตอนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการของเราเสียมากกว่า ทั้งหมดต้องดำเนินไปโดยสอดคล้องกับขั้นตอนต่างๆ ในแผนการของเรา และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ เมื่อเราเริ่มงานของเราอย่างเป็นทางการ ผู้คนทั้งหมดย่อมขยับเมื่อเราขยับ จนผู้คนทั่วทั้งจักรวาลต่างสาละวนไปพร้อมกับเรา จักรวาลทั้งมวลอยู่ในสภาวะที่ “สาละวนกันอย่างเบิกบาน” และมนุษย์ก็ถูกเรากระตุ้นไปข้างหน้า ด้วยเหตุนี้ พญานาคใหญ่สีแดงเองถูกเราหวดเข้าสู่สภาวะแห่งความบ้าคลั่งและความงุนงงที่สุด และมันรับใช้งานของเรา และแม้จะไม่เต็มใจ มันไม่สามารถทำตามความอยากได้อยากของมันเองได้ แต่ถูกทิ้งให้ไม่มีทางเลือกนอกจาก “นบนอบการจัดวางเรียบเรียงของเรา” ในแผนการของเราทั้งหมด พญานาคใหญ่สีแดงคือตัวประกอบเสริมความเด่นของเรา เป็นศัตรูของเราและผู้รับใช้ของเราอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงไม่เคยผ่อนคลาย “ข้อกำหนด” ที่เรามีต่อมัน เพราะฉะนั้น ช่วงระยะสุดท้ายของงานแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ของเราจึงเสร็จสิ้นลงในบ้านของมัน—นี่เอื้ออำนวยให้พญานาคใหญ่สีแดงรับใช้เราได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งเราจะพิชิตมันและทำให้แผนการของเราเสร็จสมบูรณ์ด้วยวิธีนี้ ในขณะที่เราทำงาน ทูตสวรรค์ทั้งหมดก็เริ่มสู้รบชี้ขาดพร้อมกับเราและตัดสินใจแน่วแน่ที่จะสนองเจตนารมณ์ของเราในช่วงระยะสุดท้าย เพื่อที่ผู้คนบนแผ่นดินโลกจะยอมสยบเบื้องหน้าเราเหมือนเหล่าทูตสวรรค์ และไม่มีความอยากต่อต้านเรา และไม่ทำสิ่งใดที่ทรยศเรา เหล่านี้คือพลวัตของงานของเราทั่วทั้งจักรวาล
จุดประสงค์และนัยสำคัญของการมาถึงของเราท่ามกลางมนุษย์คือการช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอด การนำมวลมนุษย์ทั้งปวงกลับสู่ครอบครัวของเรา การทำให้สวรรค์กับแผ่นดินโลกอยู่ร่วมกันอีกครั้ง และการทำให้มนุษย์ถ่ายทอด “สัญญาณ” ระหว่างสวรรค์กับแผ่นดินโลก เพราะเช่นนี้คือหน้าที่ที่มีมาแต่กำเนิดของมนุษย์ ณ เวลาที่เราได้สร้างมวลมนุษย์ เราได้ทำทุกสรรพสิ่งให้พร้อมสำหรับมวลมนุษย์ และต่อมา เราได้อนุญาตให้มวลมนุษย์รับความมั่งคั่งที่เราได้ให้แก่เขาโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของเรา ด้วยเหตุนั้น เราจึงพูดว่าที่มวลมนุษย์ทั้งปวงได้มาถึงวันนี้นั้นอยู่ภายใต้การนำของเรา และนี่คือแผนการของเราทั้งหมด ท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวง ผู้คนจำนวนมากเหลือคณานับดำรงอยู่ภายใต้การคุ้มครองปกป้องของความรักของเรา และผู้คนจำนวนมากเหลือคณานับมีชีวิตภายใต้การตีสอนของความเกลียดชังของเรา แม้ว่าผู้คนทั้งหมดจะอธิษฐานต่อเรา แต่พวกเขาก็ยังคงไร้ความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรูปการณ์แวดล้อมปัจจุบันของพวกเขาได้ ทันทีที่พวกเขาได้สูญเสียความหวังไป พวกเขาก็จะสามารถเพียงแค่ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามครรลองของมันและเลิกกบฏต่อเรา เพราะนี่คือทั้งหมดที่มนุษย์สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้ เมื่อพูดถึงสภาวะของชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ยังไม่ได้พบเจอชีวิตที่เป็นจริง เขายังคงไม่ได้มองเห็นทะลุไปถึงความไม่เป็นธรรม ความโดดเดี่ยวอ้างว้างและสภาพเงื่อนไขอันทุกข์ระทมของโลก—และดังนั้น หากไม่ได้เป็นเพราะการปรากฏของความวิบัติ ผู้คนส่วนใหญ่ก็คงจะยังคงโอบกอดพระแม่ธรรมชาติ และคงจะยังคงจดจ่อตัวพวกเขาเองอยู่ในรสชาติทั้งหลายของ “ชีวิต” นี่ไม่ใช่ความเป็นจริงของโลกหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่เสียงแห่งความรอดที่เราพูดออกไปแก่มนุษย์หรอกหรือ? เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดท่ามกลางมวลมนุษย์ได้เคยรักเราอย่างแท้จริงเลย? เหตุใดมนุษย์จึงรักเราเฉพาะเวลาที่อยู่ท่ามกลางการตีสอนและการทดสอบเท่านั้น แต่กลับไม่มีผู้ใดรักเราในขณะที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองปกป้องของเรา? เราได้มอบการตีสอนของเราแก่มวลมนุษย์หลายครั้ง พวกเขามองดูที่มันหนึ่งครั้ง แต่จากนั้น พวกเขาก็ละเลยมัน และพวกเขาไม่ศึกษาและใคร่ครวญมัน ณ เวลานี้ และดังนั้น ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับมนุษย์จึงเป็นการพิพากษาที่ไร้ปรานี นี่เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการทำงานของเรา แต่มันก็ยังคงเป็นไปเพื่อเปลี่ยนแปลงมนุษย์และทำให้เขารักเรา
เราเป็นผู้ปกครองราชอาณาจักร และยิ่งไปกว่านั้น เราปกครองทั่วทั้งจักรวาล เราเป็นทั้งกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรและเป็นองค์ประมุขแห่งจักรวาล นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะรวบรวมพวกที่ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับการเลือกสรรทั้งหมดและจะเริ่มงานของเราท่ามกลางชาวต่างชาติ และเราจะประกาศกฎการปกครองของเราไปทั่วทั้งจักรวาล เพื่อให้เราสามารถเริ่มงานของเราในขั้นตอนต่อไปได้สำเร็จ เราจะใช้การตีสอนเพื่อเผยแผ่งานของเราท่ามกลางชาวต่างชาติ กล่าวคือ เราจะใช้ “กำลัง” กับพวกที่เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด โดยธรรมชาติแล้ว งานนี้จะดำเนินการไปพร้อมกับงานของเราท่ามกลางบรรดาผู้ที่ได้รับการเลือกสรร เมื่อคนของเราปกครองและมีอำนาจบนแผ่นดินโลก นั่นจะเป็นวันที่ผู้คนทั้งหมดบนแผ่นดินโลกถูกพิชิตด้วยเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้น นั่นจะเป็นเวลาที่เราหยุดพัก—และเมื่อนั้นเท่านั้น เราจึงจะปรากฏแก่บรรดาผู้ที่ถูกพิชิตแล้วทั้งหมด เราปรากฏต่อราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ และซ่อนเร้นตัวเราจากแผ่นดินแห่งความโสมม บรรดาผู้ที่ถูกพิชิตแล้วและมานบนอบอยู่เบื้องหน้าเราล้วนสามารถมองเห็นใบหน้าของเราด้วยตาตนเอง และสามารถได้ยินเสียงของเราด้วยหูตนเอง นี่คือพรของบรรดาผู้ที่เกิดในระหว่างยุคสุดท้าย นี่คือพรที่เราได้กำหนดไว้ล่วงหน้า และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้เราทำงานในหนทางนี้เพื่อประโยชน์ของงานในอนาคต งานของเราทั้งหมดมีความสัมพันธ์กัน ในงานทั้งหมดนั้นมีการเรียกและการตอบรับ กล่าวคือ ไม่เคยมีขั้นตอนใดได้หยุดชะงักโดยฉับพลัน และไม่เคยมีขั้นตอนใดดำเนินการอย่างเป็นอิสระจากขั้นตอนอื่น เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? งานในอดีตคือรากฐานของงานในวันนี้ไม่ใช่หรือ? วจนะในอดีตคือจุดเริ่มต้นของวจนะในปัจจุบันไม่ใช่หรือ? ขั้นตอนในอดีตคือต้นกำเนิดของขั้นตอนในปัจจุบันไม่ใช่หรือ? เมื่อเราเปิดหนังสือม้วนอย่างเป็นทางการ นั่นคือเวลาที่ผู้คนทั่วทั้งจักรวาลถูกตีสอน เวลาที่ผู้คนทั่วโลกอยู่ภายใต้บททดสอบ และเป็นจุดสูงสุดในงานของเรา ผู้คนทั้งหมดใช้ชีวิตในแผ่นดินที่ปราศจากความสว่าง และผู้คนทั้งหมดมีชีวิตท่ามกลางการคุกคามที่เกิดจากสภาพแวดล้อมของพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง นั่นเป็นชีวิตที่มนุษย์ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนนับตั้งแต่มีการสร้างโลกจนถึงปัจจุบัน และไม่มีผู้ใดตลอดทุกยุคที่เคย “ชื่นชม” ชีวิตแบบนี้เลย ดังนั้นเราจึงพูดว่าเราได้ทำงานที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นี่คือสภาพการณ์ที่แท้จริง และนี่คือความหมายแฝง เพราะวันของเราใกล้จะมาถึงมวลมนุษย์ทั้งปวง เพราะไม่ได้ปรากฏอยู่ห่างไกล แต่อยู่ตรงหน้ามนุษย์ แล้วผู้ใดเล่าจะไม่หวาดกลัวได้? และผู้ใดเล่าจะไม่ปีติยินดีกับการนี้ได้? ในที่สุดแล้ว เมืองบาบิโลนที่โสมมได้มาถึงจุดจบ มนุษย์ได้พบกับโลกใหม่อีกครั้ง สวรรค์และแผ่นดินโลกได้รับการเปลี่ยนแปลงและสร้างขึ้นใหม่แล้ว
เมื่อเราปรากฏแก่ประชาชาติและกลุ่มคนทั้งปวง เมฆสีขาวหมุนวนในท้องฟ้าและห่อหุ้มเรา ดังนั้น นกบนแผ่นดินโลกก็ร้องเพลงและเต้นรำด้วยความชื่นบานยินดีเพื่อเราด้วยเช่นกัน โดยสร้างความโดดเด่นให้กับบรรยากาศบนแผ่นดินโลก และด้วยเหตุนั้น ทำให้ทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลกมีชีวิตขึ้น ไม่ “ล่องลอยลงต่ำอย่างช้าๆ” อีกต่อไป แต่กลับมีชีวิตท่ามกลางบรรยากาศแห่งกำลังวังชาแทน เมื่อเราอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ มนุษย์ล่วงรู้ใบหน้าและดวงตาของเราโดยรางๆ และ ณ เวลานี้ เขารู้สึกกลัวเล็กน้อย ในอดีต เขาได้ยินบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเราในตำนาน และผลก็คือ เขาเพียงแค่เชื่อครึ่งหนึ่งและคลางแคลงใจอีกครึ่งหนึ่งต่อเราเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ใด หรือใบหน้าของเราใหญ่เพียงใดกันแน่—ใบหน้าของเรากว้างพอกับทะเล หรือไร้เขตคั่นพอกับทุ่งหญ้าเขียวสดไหม? ไม่มีผู้ใดรู้สิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงเมื่อมนุษย์มองเห็นใบหน้าของเราในหมู่เมฆในวันนี้เท่านั้น มนุษย์จึงรู้สึกว่าตัวของเราแห่งตำนานนั้นเป็นจริง และดังนั้น เขาจึงกลายเป็นมีแนวโน้มที่จะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยต่อเรา และมันก็เป็นเพียงเพราะกิจการของเรานั่นเอง การเลื่อมใสของเขาต่อเราจึงกลายเป็นยิ่งใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่มนุษย์ยังคงไม่รู้จักเรา และเขาเพียงแค่มองเห็นส่วนหนึ่งของเราในหมู่เมฆ หลังจากนั้น เรายืดแขนของเราออกไปและแสดงแขนของเราให้มนุษย์เห็น มนุษย์ประหลาดใจ และปิดปากของเขาด้วยมือของเขา กลัวอยู่ลึกๆ ว่าจะถูกมือของเราบดขยี้ลงไป และดังนั้น เขาจึงเติมความยำเกรงเล็กน้อยลงไปในการเลื่อมใสของเขา มนุษย์ตรึงดวงตาของเขาไว้กับทุกการเคลื่อนไหวของเรา กลัวอยู่ลึกๆ ว่าเขาจะถูกเราบดขยี้จนคว่ำลงไปเมื่อเขากำลังไม่ให้ความสนใจ—ถึงกระนั้น เราก็ไม่ถูกจำกัดเพราะถูกมนุษย์เฝ้าดู และเราก็ทำงานในมือของเราต่อไป มันเป็นเพียงว่าในกิจการทั้งหมดที่เราทำนั้น มนุษย์มีความโปรดปรานต่อเราอยู่บ้าง และด้วยเหตุนั้น จึงค่อยๆ มาเบื้องหน้าเราเพื่อคบหาสมาคมกับเรา เมื่อเราได้รับการเปิดเผยแก่มนุษย์ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของเรา มนุษย์จะมองเห็นใบหน้าของเรา และหลังจากนั้นเป็นต้นไป เราจะไม่ซ่อนเร้นหรือบดบังตัวเราเองจากมนุษย์อีกต่อไป ทั่วทั้งจักรวาล เราจะปรากฏอย่างเปิดเผยต่อผู้คนทั้งหมด และบรรดาผู้ที่มีเนื้อหนังและโลหิตทั้งหมดจะมองดูกิจการของเราทั้งหมด บรรดาผู้ที่มีจิตวิญญาณทั้งหมดจะอาศัยอยู่ในสันติสุขในนิเวศของเราอย่างแน่นอน และแน่ใจได้เลยว่าจะชื่นชมพรอันน่าอัศจรรย์ร่วมกันกับเรา บรรดาผู้ที่เราดูแลทั้งหมดจะหลีกหนีการตีสอนอย่างแน่นอนและจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดของจิตวิญญาณและความเจ็บปวดรวดร้าวของเนื้อหนังอย่างแน่นอน เราจะปรากฏอย่างเปิดเผยต่อกลุ่มชนทั้งหมดและปกครองและใช้อำนาจ เพื่อที่กลิ่นของซากศพจะไม่แผ่ไปทั่วจักรวาลอีกต่อไป แต่สุคนธรสอันสดชื่นของเราจะกระจายไปทั่วโลก เพราะวันของเรากำลังใกล้เข้ามา มนุษย์กำลังตื่นขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดินโลกอยู่ในระเบียบ และวันเวลาแห่งการอยู่รอดของแผ่นดินโลกจะไม่มีอีกแล้ว เพราะเราได้มาถึงแล้ว!
6 เมษายน ค.ศ. 1992