บทที่ 33

ในนิเวศของเรา ครั้งหนึ่งเคยมีบรรดาผู้ที่ยกย่องนามอันบริสุทธิ์ของเรา ผู้ซึ่งได้ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อที่สง่าราศีของเราบนแผ่นดินโลกจะเติมพื้นฟ้าให้เต็ม  ด้วยเหตุนี้ เราจึงชื่นบานเป็นล้นพ้น และหัวใจของเราก็เต็มไปด้วยความปีติยินดี—ถึงกระนั้นผู้ใดเล่าจะสามารถทำงานแทนเราได้ โดยยอมละทิ้งการนอนทั้งวันทั้งคืน?  ความแน่วแน่ของมนุษย์เบื้องหน้าเราให้ความพอใจแก่เรา แต่ความเป็นกบฏของเขายั่วยุความโกรธของเรา และด้วยเหตุนั้น เพราะมนุษย์ไม่มีวันสามารถปฏิบัติตามหน้าที่ของเขา ความเศร้าโศกของเราสำหรับเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น  เหตุใดผู้คนจึงไม่สามารถอุทิศตัวพวกเขาให้กับเราได้เสมอ?  เหตุใดพวกเขาจึงพยายามต่อรองราคากับเราเสมอ?  เราเป็นผู้จัดการทั่วไปของศูนย์การค้าหรือ?  เป็นเพราะเหตุใดเราจึงทำให้สิ่งที่ผู้คนเรียกร้องต่อเราลุล่วงอย่างสุดหัวใจ แต่ทว่าสิ่งที่เราขอต่อมนุษย์กลับไม่ได้ผลอันใด?  มันจะสามารถเป็นไปได้ไหมว่าเราไม่ช่ำชองในหนทางแห่งธุรกิจ แต่มนุษย์ช่ำชอง?  เหตุใดผู้คนจึงหลอกลวงเราเสมอด้วยการพูดที่ลื่นไหลและการประจบสอพลอ?  เหตุใดผู้คนจึงมาพร้อมกับ “ของขวัญ” เสมอ เพื่อขอเข้าทางด้านหลัง?  นี่คือสิ่งที่เราได้สอนให้มนุษย์ทำหรือ?  เหตุใดผู้คนจึงทำสิ่งเช่นนี้อย่างรวดเร็วและหมดจด?  เหตุใดผู้คนจึงถูกจูงใจให้หลอกลวงเราเสมอ?  เมื่อเราอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ผู้คนก็พิจารณาเราว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เมื่อเราอยู่ในสวรรค์ชั้นที่สาม พวกเขาคำนึงถึงเราว่าเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ทรงถือครองอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง เมื่อเราอยู่ในพื้นฟ้า พวกเขามองเห็นเราว่าเป็นพระวิญญาณที่ทรงเติมทุกสรรพสิ่งจนเต็ม  โดยสรุปแล้ว ไม่มีที่ที่เหมาะสมสำหรับเราในหัวใจของผู้คน  มันเป็นราวกับว่าเราเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ผู้คนเกลียดเรา และด้วยเหตุนั้น เมื่อเราไปรับตั๋วมาและเข้านั่งที่ของเรา พวกเขาก็ขับรถพาเราออกไป และพูดว่าไม่มีที่ใดให้เรานั่งที่นี่และว่าเราได้มาผิดที่แล้ว และดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจากไปอย่างหัวเสีย  เราตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไม่เข้าร่วมกับมนุษย์อีกต่อไป เนื่องจากผู้คนจิตใจคับแคบเกินไป ความใจกว้างของพวกเขาก็ขาดแคลนเกินไป  เราจะไม่กินที่โต๊ะเดียวกันกับพวกเขาอีกต่อไป เราจะไม่ใช้เวลากับพวกเขาบนแผ่นดินโลกอีกต่อไป  แต่เมื่อเราพูด ผู้คนก็ประหลาดใจ พวกเขากลัวว่าเราจะจากไป และดังนั้นพวกเขาจึงเหนี่ยวรั้งเราไว้ต่อไป  เมื่อมองเห็นการเสแสร้งของพวกเขา เราก็รู้สึกค่อนข้างหดหู่และว้าเหว่ในหัวใจของเราโดยทันที  ผู้คนกลัวว่าเราจะทิ้งพวกเขา และด้วยเหตุนั้น เมื่อเราแยกทางกับพวกเขา เสียงร้องไห้ก็ดังเต็มแผ่นดินโดยทันที และใบหน้าของผู้คนก็เต็มไปด้วยน้ำตา  เราเช็ดน้ำตาของพวกเขาออกไป เรายกพวกเขาขึ้นอีกครั้ง และพวกเขาจับจ้องสายตาที่เรา ดวงตาที่วิงวอนของพวกเขาดูเหมือนกำลังขอร้องให้เราอย่าไป และเพราะ “ความจริงใจ” ของพวกเขา เราจึงอยู่กับพวกเขา  ถึงกระนั้น ผู้ใดสามารถเข้าใจความเจ็บปวดภายในหัวใจของเรา?  ผู้ใดใส่ใจต่อสรรพสิ่งของเราซึ่งไม่สามารถพูดถึงได้?  ในสายตาของผู้คน มันเป็นราวกับว่าเราไม่มีภาวะอารมณ์ และดังนั้นเราจึงได้มาจากสองครอบครัวที่แตกต่างกันเสมอ  พวกเขาจะสามารถมองเห็นความรู้สึกเศร้าโศกภายในหัวใจของเราได้อย่างไร?  ผู้คนเพียงแค่อยากได้ความพอใจของพวกเขาเองเท่านั้น และพวกเขาไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของเรา เพราะจวบจนกระทั่งปัจจุบัน ผู้คนยังคงไม่รู้เท่าทันจุดประสงค์ของแผนการบริหารจัดการของเรา และดังนั้นวันนี้พวกเขาก็ยังคงทำคำร้องขอที่เงียบเชียบ—และการนี้มีประโยชน์อันใดกันเล่า?

เมื่อเราดำรงชีวิตท่ามกลางมนุษย์ เราถือครองที่เฉพาะที่หนึ่งในหัวใจของผู้คน เพราะเราได้ปรากฏในเนื้อหนังและผู้คนดำรงชีวิตในเนื้อหนังเก่า พวกเขาจึงปฏิบัติต่อเราด้วยเนื้อหนังเสมอ  เพราะผู้คนครองเนื้อหนังเท่านั้นและไม่มีส่วนเสริมเพิ่มเติม พวกเขาจึงได้ให้ “ทั้งหมดที่พวกเขามี” แก่เรา  ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่รู้สิ่งใดเลย พวกเขาเพียงแค่ “ถวายการอุทิศของพวกเขา” เบื้องหน้าเรา  สิ่งที่เราเก็บเกี่ยวคือขยะที่ไร้ค่า—ถึงกระนั้น ผู้คนก็ไม่คิดเช่นนั้น  เมื่อเราเปรียบเทียบ “ของขวัญ” ที่พวกเขาได้มอบให้กับสรรพสิ่งของเรา ผู้คนก็ระลึกรู้ความล้ำค่าของเราโดยทันที และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขามองเห็นความไม่สามารถประเมินวัดได้ของเรา  เราไม่รู้สึกภูมิใจเพราะการสรรเสริญของพวกเขา แต่ปรากฏต่อมนุษย์ต่อไป เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดอาจจะรู้จักเราอย่างเต็มเปี่ยม  เมื่อเราแสดงให้พวกเขาเห็นความครบถ้วนบริบูรณ์ของเรา พวกเขาก็พิจารณาเราด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ยืนไม่ขยับเขยื้อนเบื้องหน้าเรา เหมือนเสาเกลือ  และเมื่อเรามองดูความแปลกประหลาดของพวกเขา เราก็แทบจะหยุดตัวเราเองไม่ให้หัวเราะไม่ได้  เพราะพวกเขากำลังยื่นมือออกมาเพื่อขอสิ่งต่างๆ จากเรา เราจึงให้สิ่งต่างๆ ในมือของเราแก่พวกเขา และพวกเขาก็เกาะกุมสิ่งเหล่านั้นไว้แนบอกของพวกเขา ทะนุถนอมสิ่งเหล่านั้นเหมือนทารกแรกเกิด อันเป็นกิริยาท่าทางที่พวกเขาทำเพียงชั่วครู่  เมื่อเราเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่พวกเขาอาศัยอยู่ พวกเขาก็โยน “ทารก” ไปไว้ด้านข้างโดยทันทีและวิ่งออกไปพร้อมกับกุมศีรษะของพวกเขาด้วยมือของพวกเขา  ในสายตาของผู้คน เราคือความช่วยเหลือที่มีอยู่โดยไม่คำนึงถึงเวลาหรือสถานที่ มันเป็นราวกับว่าเราเป็นบริกรที่มาทันทีที่เขาถูกเรียก  ด้วยเหตุนั้น ผู้คนจึงได้ “นิยมบูชา” เราเสมอ ราวกับว่าเราครองพลังอำนาจที่ไร้ขีดจำกัดเพื่อต่อสู้กับมหันตภัย และดังนั้นพวกเขาจึงได้เกาะกุมมือของเราไว้เสมอ นำพาเราไปในการเดินทางทั่วแผ่นดิน เพื่อที่ทุกสรรพสิ่งอาจมองเห็นว่าพวกเขามีองค์อธิปัตย์ เพื่อที่ไม่มีผู้ใดกล้าหลอกลวงพวกเขา  เราได้มองเห็นทะลุเล่ห์กลของผู้คนเกี่ยวกับ “สุนัขจิ้งจอกสวมบารมีของพยัคฆ์” มานานแล้ว เนื่องจากพวกเขาทุกคนกำลัง “แขวนแผ่นมุงหลังคาของพวกเขาไว้ข้างนอก” โดยปรารถนาที่จะทำกำไรจากเล่ห์เพทุบาย  เราได้มองเห็นทะลุอุบายมุ่งร้าย ซ่อนเงื่อนของพวกเขามานานแล้ว และเป็นเพียงแค่ว่าเราไม่ปรารถนาทำร้ายสัมพันธภาพของพวกเรา  เราไม่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่—ไม่มีคุณค่าหรือความสำคัญในการทำเช่นนั้น  เราเพียงแค่ทำงานที่เราต้องทำเนื่องด้วยความอ่อนแอของผู้คน หากไม่อย่างนั้น เราก็คงจะเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นขี้เถ้าและไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาดำรงอยู่อีกต่อไป  แต่งานที่เราทำมีความหมาย และดังนั้น เราจึงไม่ตีสอนมนุษย์อย่างไม่ใส่ใจ  เป็นด้วยเหตุนี้นี่เองที่ผู้คนได้ปล่อยให้เนื้อหนังของพวกเขาทำตามอำเภอใจเสมอ  พวกเขาไม่ยินยอมทำตามเจตนารมณ์ของเรา แต่ได้ป้อยอเราเบื้องหน้าบัลลังก์พิพากษาของเราตลอดมา  ผู้คนกล้าหาญเหลือเกิน กล่าวคือ เมื่อ “เครื่องมือทรมาน” ทั้งหมดคุกคามพวกเขา พวกเขาก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย  ต่อหน้าข้อเท็จจริง พวกเขายังคงไม่สามารถขึ้นมาให้ข้อเท็จจริงใดๆ และไม่ทำสิ่งใดนอกจากต้านทานเราอย่างดื้อรั้น  เมื่อเราขอให้พวกเขานำทั้งหมดที่โสมมออกมา พวกเขาก็ยังคงแสดงให้เราเห็นสองมือที่ว่างเปล่า—ผู้อื่นจะไม่สามารถใช้การนี้เป็น “แบบอย่างที่ดี” ได้อย่างไร?  มันเป็นเพราะ “ความเชื่อ” ของผู้คนยิ่งใหญ่มากเสียจนพวกเขา “น่าเลื่อมใส”

เราได้เริ่มดำเนินงานของเราทั่วจักรวาล ผู้คนของจักรวาลก็พลันตื่นขึ้นและเคลื่อนไหวรอบๆ แกนหนึ่งซึ่งก็คืองานของเรา และเมื่อเรา “เดินทาง” ภายในพวกเขา ทั้งหมดก็รอดพ้นจากความเป็นทาสของซาตาน และไม่ถูกทรมานท่ามกลางความทุกข์ร้อนของซาตาน  เพราะการมาถึงของวันของเรา ผู้คนจึงเต็มไปด้วยความสุข ความโศกเศร้าภายในหัวใจของพวกเขาจึงอันตรธานไป หมู่เมฆแห่งความเศร้าสลดในท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นออกซิเจนในอากาศและลอยอยู่ที่นั่น และ ณ ชั่วขณะนั้น เราชื่นชมความสุขของการอยู่ร่วมกับมนุษย์  การกระทำของมนุษย์ให้เราได้เพลิดเพลินในบางสิ่ง และด้วยเหตุนั้น เราจึงไม่โศกเศร้าอีกต่อไป  และที่มาพร้อมกับการมาถึงของวันของเรา สิ่งทั้งหลายของแผ่นดินโลกซึ่งครองกำลังวังชาก็ได้รับรากแห่งการดำรงอยู่ของพวกมันกลับคืน ทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลกกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และพวกเขาก็เอาเราเป็นรากฐานของการดำรงอยู่ของพวกเขา เนื่องจากเราทำให้ทุกสรรพสิ่งสาดแสงออกมาด้วยชีวิตชีวา และดังนั้นเช่นกัน เราก็ทำให้พวกเขาปลาสนาการไปอย่างเงียบเชียบ  ด้วยเหตุนั้น ทุกสรรพสิ่งจึงรอคอยคำบัญชาจากปากของเรา และยินดีกับสิ่งที่เราทำและพูด  ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง เราคือองค์สูงสุด—ถึงกระนั้น เราก็ดำรงชีวิตท่ามกลางผู้คนเช่นกัน และเราก็ใช้ความประพฤติของมนุษย์เป็นการสำแดงถึงการสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกของเรา  เมื่อผู้คนให้การสรรเสริญอย่างยิ่งใหญ่เบื้องหน้าเรา เราก็ได้รับการยกย่องท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และด้วยเหตุนั้น มวลดอกไม้บนแผ่นดินโลกจึงเติบโตสวยงามมากขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง ต้นหญ้าก็กลายเป็นเขียวชอุ่มยิ่งขึ้น และหมู่เมฆบนท้องฟ้าก็ระบายไปด้วยสีฟ้ามากขึ้น  เพราะเสียงของเรา ผู้คนก็วิ่งไปที่นี่ที่นั่น วันนี้ใบหน้าของผู้คนในราชอาณาจักรของเราเต็มไปด้วยความชื่นบาน และชีวิตของพวกเขาก็เติบโต  เราทำงานท่ามกลางประชากรที่เราเลือกสรรทั้งหมด และไม่เปิดโอกาสให้งานของเราถูกปนเปื้อนด้วยแนวคิดของมนุษย์ เนื่องจากเราดำเนินงานของเราเองจนเสร็จสิ้นด้วยตัวของเราเอง  เมื่อเราทำงาน ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสิ่งทุกอย่างในพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงและได้รับการสร้างขึ้นใหม่ และเมื่อเราทำงานของเราครบบริบูรณ์ มนุษย์ก็ได้รับการสร้างขึ้นใหม่อย่างครบบริบูรณ์ เขาไม่ดำรงชีวิตในความเศร้าหมองอีกต่อไปเพราะสิ่งที่เราขอ เนื่องจากเสียงทั้งหลายแห่งความสุขสามารถได้ยินไปทั่วแผ่นดินโลก และเราถือโอกาสเหมาะนี้มอบพรที่เราให้แก่มนุษย์ท่ามกลางพวกเขา  เมื่อเราเป็นองค์กษัตริย์แห่งราชอาณาจักร ผู้คนล้วนกลัวเรา ถึงกระนั้นเมื่อเราเป็นองค์กษัตริย์ท่ามกลางมนุษย์ และดำรงชีวิตท่ามกลางมนุษย์ ผู้คนก็ไม่พบความชื่นบานในตัวเรา เนื่องจากมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเกี่ยวกับเราน่าสลดใจเกินไป จนถึงขั้นที่พวกมันถูกฝังลึกเสียจนลำบากยากเย็นที่จะขจัด  เพราะการสำแดงของมนุษย์ เราจึงทำงานของเราซึ่งก็สมควร และเมื่อเราขึ้นสูงไปบนท้องฟ้าและปล่อยความโกรธขึ้งของเรากับมนุษย์ ข้อคิดเห็นอันหลากหลายของผู้คนที่มีต่อเราก็เปลี่ยนเป็นขี้เถ้าโดยทันที  เราขอให้พวกเขาพูดมากขึ้นถึงมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาที่มีต่อเรา แต่พวกเขาก็อึ้งไป ราวกับว่าพวกเขาไม่มีสิ่งใด และราวกับว่าพวกเขามีความถ่อมใจ  ยิ่งเราดำรงชีวิตในมโนคติที่หลงผิดของผู้คนมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็มารักเรามากขึ้นเท่านั้น และยิ่งเราดำรงชีวิตนอกมโนคติที่หลงผิดของผู้คนมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็เคลื่อนห่างจากเรามากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็มีข้อคิดเห็นมากขึ้นเกี่ยวกับเรา เนื่องจากเราได้ดำรงชีวิตในมโนคติที่หลงผิดของผู้คนเสมอ นับจากเวลาที่เราได้สร้างแผ่นดินโลกจนกระทั่งวันนี้  เมื่อเรามาท่ามกลางมนุษย์ในวันนี้ เราก็ทำให้มโนคติที่หลงผิดของผู้คนทั้งปวงหมดไป และดังนั้นผู้คนจึงเพียงแค่ปฏิเสธ—ถึงกระนั้นเราก็มีวิธีการที่เหมาะสมเพื่อใช้ตัดแต่งมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา  ผู้คนไม่ควรกังวลหรือกระวนกระวายใจ เราจะช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอดด้วยวิธีการของเราเอง ซึ่งทำให้ผู้คนทั้งหมดรักเรา และเปิดโอกาสให้พวกเขาชื่นชมพรของเราในฟ้าสวรรค์

17 เมษายน ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า: บทที่ 32

ถัดไป: บทที่ 34

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger