บทที่ 32

เมื่อผู้คนรวมตัวกันกับเรา หัวใจของเราก็เต็มไปด้วยความชื่นบาน  เรามอบพรในมือของเราท่ามกลางมนุษย์โดยทันที เพื่อที่ผู้คนอาจชุมนุมกับเรา และไม่เป็นศัตรูผู้ซึ่งไม่เชื่อฟังเราแต่เป็นเพื่อนผู้ซึ่งเข้ากันได้กับเรา  ด้วยเหตุนั้น เราก็ปฏิบัติต่อมนุษย์ในหนทางที่กินใจด้วยเช่นกัน  ในงานของเรานั้น มนุษย์ถูกมองเห็นในฐานะสมาชิกขององค์การระดับสูง ดังนั้นเราจึงให้ความสนใจกับเขามากขึ้น เนื่องจากเขาได้เป็นวัตถุประสงค์ของงานของเราเสมอ  เราได้สถาปนาที่สถิตของเราในหัวใจของผู้คน เพื่อที่หัวใจของพวกเขาอาจเคารพนับถือเรา—ถึงกระนั้นพวกเขายังคงไม่รู้เท่าทันอย่างสิ้นเชิงว่าทำไมเราจึงทำการนี้ และพวกเขาไม่ทำสิ่งใดนอกจากรอ  ถึงแม้ว่ามีที่สถิตที่เราได้สถาปนาในหัวใจของผู้คนแล้ว แต่พวกเขาไม่พึงประสงค์ให้เราพักอาศัยที่นั่น  พวกเขากลับรอคอยให้ “องค์บริสุทธิ์หนึ่งเดียว” ในหัวใจพวกเขามาถึงโดยฉับพลันแทน  เพราะอัตลักษณ์ของเรา “ต่ำต้อย” เกินไป เราจึงไม่เทียบเท่ากับข้อเรียกร้องของผู้คนและด้วยเหตุนั้นจึงถูกพวกเขาขับออกไป  สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ “เรา” ที่สูงส่งและทรงฤทธิ์ แต่เมื่อเราได้มา เราไม่ได้ปรากฏในหนทางนี้ต่อมนุษย์ และดังนั้นพวกเขาจึงได้กำลังมองออกไปไกลโพ้นต่อไป รอคอยผู้หนึ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเขา  เมื่อเราได้มาเบื้องหน้าผู้คน พวกเขาปฏิเสธเราต่อหน้ามวลชน  เราสามารถเพียงแค่ยืนหลบไปด้านหนึ่ง รอคอยที่จะถูกมนุษย์ “จัดการ” เฝ้าดูเพื่อให้เห็นว่าผู้คนจะลงเอยด้วยการทำสิ่งใดกับเรา “ผลิตภัณฑ์” ที่ขาดตกบกพร่องชิ้นนี้  เราไม่มองดูที่แผลเป็นของผู้คน แต่มองดูที่ส่วนของพวกเขาที่ปราศจากแผลเป็น และจากการนี้เราก็ได้รับความสมดังใจหมาย  ในสายตาของผู้คน เราเป็นแค่ “ดาวดวงเล็ก” ที่ได้เคลื่อนลงมาจากท้องฟ้า เราเป็นเพียงผู้น้อยที่สุดในฟ้าสวรรค์ และการมาถึงของเราบนแผ่นดินโลกในวันนี้ได้รับพระบัญชาจากพระเจ้า  ผลก็คือผู้คนได้คิดหาการตีความของคำว่า “เรา” และ “พระเจ้า” เพิ่มมากขึ้น โดยเกรงกลัวอยู่ลึกๆ ต่อการพิจารณาว่าพระเจ้ากับเราคือหนึ่งเดียวกัน  เพราะภาพลักษณ์ของเราไม่เป็นสิ่งใดที่มีพระรูปลักษณะของพระเจ้า ผู้คนทั้งหมดจึงเชื่อว่าเราเป็นผู้รับใช้ที่ไม่ได้มาจากตระกูลของพระเจ้า และพวกเขาพูดว่านี่ไม่ใช่พระฉายาของพระเจ้า  บางทีอาจมีผู้คนที่ได้มองเห็นพระเจ้า—แต่เพราะการขาดพร่องความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของเราบนแผ่นดินโลก พระเจ้าจึงไม่เคยได้ “ทรงปรากฏ” ต่อเรา  บางทีเราอาจมี “ความเชื่อ” น้อยเกินไป และดังนั้นผู้คนจึงมองเห็นว่าเราต่ำต้อย  ผู้คนจินตนาการว่าหากใครบางคนเป็นพระเจ้าจริงๆ เช่นนั้นแล้วเขาก็จะช่ำชองด้านภาษาของมนุษย์อย่างแน่นอน เนื่องจากว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง  แต่ข้อเท็จจริงทั้งหลายตรงกันข้ามกันอย่างแน่นอน กล่าวคือ เราไม่เพียงไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาของมนุษย์เท่านั้น แต่มีหลายครั้งที่เราไม่สามารถแม้แต่จะ “จัดเตรียม” ให้กับ “ความขาดตกบกพร่อง” ของมนุษย์  ผลก็คือเรารู้สึก “ผิด” เล็กน้อย เนื่องจากว่าเราไม่กระทำการเช่นที่ผู้คน “เรียกร้อง” แต่เพียงแค่ตระเตรียมวัสดุและทำงานโดยสอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขา “ขาดพร่อง”  ข้อเรียกร้องที่เราทำกับมนุษย์นั้นไม่ยิ่งใหญ่แต่อย่างใด ถึงกระนั้นผู้คนก็เชื่อเป็นอย่างอื่น  ด้วยเหตุนั้น “ความถ่อมใจ” ของพวกเขาจึงถูกเปิดเผยในทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา  พวกเขามีแนวโน้มที่จะเดินข้างหน้าเรา นำเราไปบนหนทางเสมอ โดยกลัวอย่างล้ำลึกว่าเราจะหลงทาง หวาดกลัวว่าเราจะออกนอกเส้นทางเข้าไปในป่าไม้โบราณลึกเข้าไปในภูเขา  ผลก็คือผู้คนได้นำทางเราไปข้างหน้าเสมอ โดยเกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะเดินเข้าไปในคุกใต้ดิน  เรามี “ความประทับใจที่ค่อนข้างน่าโปรดปราน” ต่อความเชื่อของผู้คน เนื่องจากว่าพวกเขาได้ “ทำงานตรากตรำ” เพื่อเราโดยปราศจากการคิดถึงอาหารหรือการนอน จนถึงขนาดที่การทำงานของพวกเขาเพื่อเราได้ทิ้งให้พวกเขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งกลางวันและกลางคืนและถึงกับผมหงอก—นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าความเชื่อของพวกเขาได้ “อยู่เหนือล้ำ” จักรวาลทั้งหลาย และ “ล้ำเลิศกว่า” บรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะตลอดยุคทั้งหลาย

เราไม่ปรบมือด้วยความเริงร่าเพราะทักษะอันยิ่งใหญ่ของผู้คน และอีกทั้งเราก็ไม่พิจารณาพวกเขาอย่างเย็นชาเพราะข้อบกพร่องของพวกเขา  เราเพียงแค่ทำสิ่งซึ่งอยู่ในมือของเรา  เราไม่ให้การปฏิบัติเป็นพิเศษแก่ผู้ใด แต่เพียงแค่ทำงานโดยสอดคล้องกับแผนการของเรา  ถึงกระนั้นผู้คนก็ไม่รู้ถึงเจตจำนงของเราและอธิษฐานขอสิ่งต่างๆ จากเราต่อไปเรื่อย ราวกับว่าความมั่งคั่งที่เราได้มอบแก่พวกเขาไม่สามารถประจวบพ้องกับข้อพึงประสงค์ของพวกเขา ราวกับว่ามีอุปสงค์มากกว่าอุปทาน  แต่ในยุคของวันนี้ ผู้คนทั้งหมดสำนึกรู้สึกว่ามี “การพองตัว”—ผลก็คือมือของพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งที่เราได้ให้พวกเขาเพื่อที่จะชื่นชม  เป็นเพราะการนี้นี่เองที่พวกเขายิ่งเบื่อหน่ายเรา และดังนั้นชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงและพวกเขาไม่รู้เท่าทันถึงสิ่งที่พวกเขาควรและไม่ควรกิน  บางคนถึงกับกอดสิ่งต่างๆ ที่เราได้ให้แก่พวกเขาเพื่อชื่นชมไว้แน่น โดยเฝ้าดูสิ่งเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด  เพราะผู้คนเคยทนทุกข์จากการกันดารอาหาร และมันไม่ใช่สิ่งง่ายดายเลยที่พวกเขาจะได้รับความชื่นชมยินดีของวันนี้ พวกเขาทั้งหมด “สำนึกในบุญคุณไม่รู้จบ” และได้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในท่าทีของพวกเขาต่อเรา  พวกเขาร้องไห้เบื้องหน้าเราต่อไป เพราะเราได้ให้พวกเขามากมายเหลือเกิน พวกเขาจึงจับมือเราไว้และทำ “เสียงแห่งความรู้สึกขอบคุณ” ต่อไป  เราเคลื่อนไหวเหนือจักรวาลทั้งหลาย และขณะที่เราเดิน เราก็สังเกตการณ์ผู้คนของทั้งจักรวาล  ท่ามกลางผู้คนที่รวมกลุ่มกันอยู่บนแผ่นดินโลก ไม่เคยได้มีผู้ใดซึ่งเหมาะสมสำหรับงานของเรา หรือซึ่งรักเราอย่างแท้จริง  ด้วยเหตุนั้น ณ ชั่วขณะนี้ เราถอนหายใจในความท้อใจ และผู้คนก็แยกย้ายกันไปโดยทันที เพื่อที่จะไม่ชุมนุมกันอีก เกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะ “จับพวกเขาทั้งหมดในแหเดียว”  เราใช้โอกาสนี้เพื่อมาท่ามกลางมนุษย์ เพื่อทำงานของเรา—งานซึ่งเหมาะสม—ท่ามกลางผู้คนที่แยกย้ายกันไปเหล่านี้ โดยคัดสรรบรรดาผู้ที่เหมาะสมให้เราทำงานภายในพวกเขา  เราไม่ปรารถนาที่จะ “กักขัง” ผู้คนไว้กลางการตีสอนของเราเพื่อที่พวกเขาอาจไม่มีวันรอดพ้น  เราเพียงแค่ทำงานที่เราต้องทำ  เราได้มาเพื่อขอ “ความช่วยเหลือ” ของมนุษย์ เพราะการบริหารจัดการของเราขาดพร่องความประพฤติของมนุษย์ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานของเราให้สำเร็จเสร็จสิ้น ซึ่งขัดขวางงานของเราจากการดำเนินไปอย่างมีประสิทธิผล  เราหวังเพียงแค่ว่าผู้คนมีความแน่วแน่ที่จะร่วมมือกับเรา  เราไม่ได้ขอให้พวกเขาทำอาหารดีๆ ให้เรา หรือให้พวกเขาจัดเตรียมที่บางแห่งที่เหมาะสมให้เราวางศีรษะของเรา หรือให้พวกเขาทำเสื้อผ้าสวยๆ เพื่อเรา—เราไม่มีการคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย  เมื่อผู้คนสามารถเข้าใจเจตจำนงของเราและไปข้างหน้ากับเรา เคียงข้างกัน เราก็จะพึงพอใจในหัวใจของเรา

ผู้ใดบนแผ่นดินโลกได้เคยรับเราด้วยหัวใจของพวกเขา?  ผู้ใดได้เคยรักเราด้วยหัวใจของพวกเขา?  ความรักของผู้คนเจือจางลงเสมอ แม้แต่เราก็ “ไม่รู้” ว่าเหตุใดความรักของพวกเขาจึงไม่สามารถแห้งและไม่เจือจาง  ด้วยเหตุนั้นจึงมี “ความล้ำลึก” มากมายถูกบรรจุอยู่ภายในมนุษย์ด้วยเช่นกัน  ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างทั้งหลาย มนุษย์ถูกมองว่าเป็นผู้หนึ่งซึ่งเป็น “เหมือนปาฏิหาริย์” และ “มิอาจหยั่งลึกได้” และดังนั้นเขาจึงมี “คุณสมบัติ” เบื้องหน้าเรา ราวกับว่าเขามีสถานะที่เท่าเทียมกับเรา—แต่เขามองไม่เห็นสิ่งใดแปลกเกี่ยวกับ “สถานะ” นี้ของเขา  ในการนี้มันไม่ใช่ว่าเราไม่เปิดโอกาสให้ผู้คนยืนในตำแหน่งนี้และชื่นชมมัน แต่ว่าเราปรารถนาให้พวกเขามีสำนึกรู้สึกแห่งความพอเหมาะพอควร ให้พวกเขาไม่คิดถือตัวพวกเขาเองเกินที่ตนควรจะคิด มีระยะห่างระหว่างฟ้าสวรรค์กับแผ่นดินโลกอยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระยะห่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์  ระยะห่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ไม่ถึงกับยิ่งใหญ่กว่าหรือ?  บนแผ่นดินโลก มนุษย์กับเราอยู่ “ในเรือลำเดียวกัน” และพวกเรา “ฝ่าพายุไปด้วยกัน”  อัตลักษณ์ของเราไม่ได้ยกเว้นเราจากการผ่านประสบการณ์กับความยากลำบากของโลกมนุษย์ และเป็นเพราะเหตุนี้นี่เองที่เราได้ตกลงสู่รูปการณ์แวดล้อมที่เราอยู่ในวันนี้  เราไม่เคยได้มีสถานที่ที่จะพักอาศัยอย่างสันติสุขบนแผ่นดินโลก ซึ่งคือสาเหตุที่ผู้คนพูดว่า “บุตรมนุษย์ไม่เคยได้ทรงมีที่ที่จะวางพระเศียรของพระองค์”  ผลก็คือผู้คนได้ร้องไห้เป็นน้ำตาแห่งความเมตตาสงสารต่อเรา และเก็บเงินไม่กี่สิบหยวนไว้เพื่อเป็น “กองทุนบรรเทาทุกข์” ให้แก่เรา  เพราะการนี้เท่านั้นนั่นเองที่เราจึงมีที่ให้หยุดพัก หากไม่ได้มี “ความช่วยเหลือ” ของผู้คนแล้วไซร้ ผู้ใดจะรู้ว่าเราจะไปลงเอยที่ใด!

เมื่องานของเราสิ้นสุดลง เราก็จะไม่แสวงหา “การบรรเทาทุกข์ทางการเงิน” จากมนุษย์อีกต่อไป แต่เราจะปฏิบัติหน้าที่ที่มีมาแต่กำเนิดของเรา และจะนำ “สิ่งต่างๆ แห่งนิเวศของเรา” ทั้งหมดลงมาให้แก่ผู้คนเพื่อความชื่นชมยินดีของพวกเขาแทน  วันนี้ทุกคนถูกทดสอบท่ามกลางการทดสอบของเรา  เมื่อมือของเรามาที่มนุษย์โดยไม่คาดฝันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ผู้คนก็จะไม่พิจารณาเราด้วยสายตาที่เลื่อมใสอีกต่อไป แต่จะปฏิบัติต่อเราด้วยความเกลียดชัง และ ณ ชั่วขณะนี้หัวใจของพวกเขาจะถูกเราควักออกมาโดยทันทีเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวอย่าง  เราพินิจพิเคราะห์หัวใจของมนุษย์ภายใต้ “กล้องจุลทรรศน์”—ไม่มีความรักที่แท้จริงสำหรับเราที่นั่น  เป็นเวลาหลายปี ผู้คนได้กำลังหลอกลวงเราและเล่นตลกกับเรา—มันกลับกลายเป็นว่าทั้งหัวใจห้องบนซ้ายและหัวใจห้องล่างขวาของพวกเขาบรรจุพิษแห่งความเกลียดชังต่อเรา  เช่นนั้นแล้วจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เรามีท่าทีเช่นนี้ต่อพวกเขา  และถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่รู้เท่าทันในเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด และไม่แม้แต่จะยอมรับมัน  เมื่อเราแสดงให้พวกเขาเห็นผลของการสืบสาวของเรา พวกเขาก็ยังคงไม่ตื่นขึ้น มันเป็นราวกับว่าในจิตใจของพวกเขา เหล่านี้เป็นเรื่องของอดีตทั้งหมด และไม่ควรจะถูกนำขึ้นมาพูดถึงอีกครั้งในวันนี้  ด้วยเหตุนั้น ผู้คนจึงแค่พิจารณา “ผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ” ด้วยความไม่แยแส  พวกเขาส่งสเปรดชีตกลับคืนและก้าวจากไป  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาพูดสิ่งต่างๆ เช่น “สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ พวกมันไม่มีผลต่อสุขภาพของฉัน”  พวกเขายิ้มน้อยๆ ด้วยความเหยียดหยาม และแล้วก็มีแววข่มขู่เล็กน้อยในดวงตาของพวกเขา ราวกับจะแสดงนัยว่าเราไม่ควรมีความบริสุทธิ์ใจมากเช่นนี้ ว่าเราต้องสุกเอาเผากิน  มันเป็นราวกับว่าการเปิดเผยความลับภายในของพวกเขาโดยเราได้ทำผิด “กฎหมาย” ของมนุษย์ และดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นเกลียดชังเรามากขึ้น  เมื่อนั้นเท่านั้นเราจึงมองเห็นแหล่งที่มาของความเกลียดชังของผู้คน  นี่เป็นเพราะเมื่อเรากำลังเฝ้าดู เลือดของพวกเขาก็กำลังไหล และหลังจากผ่านไปตามหลอดเลือดแดงในร่างกายของพวกเขา มันก็เข้าสู่หัวใจ และ ณ เวลานี้เท่านั้นที่เรามี “การค้นพบ” ใหม่  ถึงกระนั้นผู้คนก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญ  พวกเขาสะเพร่าอย่างสิ้นเชิงและพวกเขาไม่นึกถึงเลยในสิ่งที่พวกเขาได้รับหรือสูญเสีย ซึ่งก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นจิตวิญญาณแห่งการอุทิศ “โดยไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน” ของพวกเขา  พวกเขาไม่ให้การพิจารณาแก่สภาวะของสุขภาพของพวกเขาเอง และ “แล่นไปมา” เพื่อเรา  นี่คือ “ความสัตย์ซื่อ” ของพวกเขา และเป็นสิ่งที่ “น่าชมเชย” เกี่ยวกับพวกเขาอีกด้วย ดังนั้นเราจึงส่งจดหมายแห่ง “คำสรรเสริญ” ให้พวกเขาอีกครั้ง เพื่อที่พวกเขาอาจได้รับความสุขจากการนี้  แต่เมื่อพวกเขาอ่าน “จดหมาย” ฉบับนี้ พวกเขารู้สึกเคืองเล็กน้อยในทันที เนื่องจากว่าทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ถูกปฏิเสธโดยจดหมายเงียบของเรา  เราได้ชี้นำผู้คนในขณะที่พวกเขากระทำการเสมอ ถึงกระนั้นดูเหมือนว่าพวกเขาชิงชังคำพูดของเรา ด้วยเหตุนั้น ทันทีที่เราเปิดปากของเรา พวกเขาก็ปิดตาของพวกเขาแน่นและยกมือปิดหูของพวกเขา  พวกเขาไม่พิจารณาเราด้วยความเคารพเพราะความรักของเรา แต่กลับเอาแต่เกลียดชังเรา เนื่องจากว่าเราได้ชี้ให้เห็นความขาดตกบกพร่องของพวกเขา เปิดโปงสินค้าทั้งหมดในความครอบครองของพวกเขา และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงได้ทนทุกข์ต่อความสูญเสียในธุรกิจของพวกเขา และทางดำรงชีพของพวกเขาก็ได้หายไป  เมื่อเป็นเช่นนั้น ความเกลียดชังเราของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้น

14 เมษายน ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า: บทที่ 31

ถัดไป: บทที่ 33

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger