ผลสืบเนื่องของอุปนิสัยอันโอหัง

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

ในปี 2006 ผมยังเป็นนักเรียนมัธยม ตอนที่เราศึกษาพระคัมภีร์ ครูจะให้ผมกล่าวเปิดงานและแนะนำตัวศิษยาภิบาลที่จะเทศให้เราฟัง พวกท่านพูดว่าผมมีเสียง ดีและแหลมสูง เพื่อนร่วมชั้นหลายคนมองผมด้วยความชื่นชม และผมคิดว่าตัวเองโดดเด่น ในมหาลัย ผมเรียนรู้เทคนิคการสื่อสารสองสามอย่าง ที่ทำให้ผมเก่งในการพูดคุยกับคนอื่น ผมมักจะรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า รวมถึงภาคภูมิใจในทักษะของตัวเอง หลังจากมาเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมเริ่มประกาศข่าวประเสริฐกับเพื่อนๆ คนแรกที่ผมประกาศข่าวประเสริฐให้ฟังคือน้องชายจากฮอนดูรัส เขารับเชื่อครับ ผมพอใจมาก ต่อมา ผมประกาศข่าวประเสริฐกับเพื่อนร่วมงานจากอินเดีย เขารับเชื่ออย่างเร็วเหมือนกัน ผมยิ่งพอใจขึ้นอีก และรู้สึกว่าตัวเองเก่งในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ต่อมา ผมก็ออกจากงานเพื่อนประกาศข่าวประเสริฐเต็มเวลา เพราะผมเก่งในการสื่อสารกับผู้มีโอกาสรับเชื่อ และสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ ไม่นาน ผมก็ได้รับเลือกเป็นผู้นำกลุ่ม หัวหน้างานยังจัดเตรียมให้ผม ไปช่วยพี่น้องหญิงไอลีนกับอากาธา ที่เพิ่งเริ่มฝึกหัดประกาศข่าวประเสริฐ ผมรู้สึกว่าผมเก่งกว่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ครั้งหนึ่ง น้องไอลีนกับผมไปร่วมชุมนุมกับผู้มีโอกาสรับเชื่อ และผมพบว่าไอลีนสามัคคีธรรมไม่ชัดเจน และมักจะพูดนอกเรื่อง หลังการชุมนุมนั้น ผมก็ชี้ให้เธอเห็นถึงปัญหาของเธออย่างโกรธๆ จากนั้นไอลีนกับกลายเป็นคิดลบ และพูดกับผมว่า “พี่คะ คุณโอหังเกินไป และพี่น้องชายหญิงเยอะเลยที่ไม่อยากทำงานกับคุณ” ผมรู้สึกว่าเธอเพียงแค่วิจารณ์ผมเนื่องจากสิ่งที่ผมเพิ่งพูดกับเธอ ผมจึงไม่คิดว่าตัวเองมีปัญหาใดๆ จากนั้น ผมก็ดูแลเธอกับอากาธาในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเธอ และผมพบว่าพวกเธอทั้งคู่มีปัญหาอยู่บ้าง ผมไม่ได้สามัคคีธรรมความจริงเพื่อช่วยพวกเธอ และแค่สันนิษฐานว่าพวกเธอไม่มีความคืบหน้าในหน้าที่ และผมบอกหัวหน้างานว่าพวกเธอไม่เหมาะกับงานข่าวประเสริฐ เธอชี้อุปนิสัยโอหังของผมให้เห็น และพูดว่าผมไม่สามารถรับมือข้อบกพร่องของคนอื่นอย่างถูกต้องได้ เธอยังส่งพระวจนะที่พระเจ้าทรงเปิดเผยอุปนิสัยโอหังของผู้คนมาให้ผมหลายบทตอน ผมไม่สนใจครับ และรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านี้ใช้กับผมไม่ได้ จากนั้น ผมเชิญชวนผู้คนมาฟังคำเทศนา และเป็นพยานให้งานของพระเจ้าในยุคสุดท้าย โดยไม่หารือกับคนอื่นๆ ก่อน บางคนที่ผมประกาศชอบพูดคุยกับผมและฟังการสามัคคีธรรมของผม ทำให้ผมรู้สึกว่ามีความสามารถยิ่งขึ้นไปอีก และผมไม่จำเป็นต้องฟังหัวหน้างาน ไม่ต้องร่วมมือกับคนอื่น สามารถประกาศข่าวประเสริฐเองได้ และทำหน้าที่ได้ดี ภายหลังเท่านั้นที่ผม พบบางคนที่ไม่เข้าเกณฑ์แบ่งปันข่าวประเสริฐ และผลคืองานบางส่วนที่ผมทำไปเปล่าประโยชน์ หัวหน้างานพูดว่าผมโอหังเกินไป ว่าผมทำตัวไม่ยั้งคิด และไม่ร่วมมือกับผู้คน ซึ่งส่งผลให้งานออกมาแย่ เนื่องจากพฤติกรรมของผม ผมจึงถูกปลดจากตำแหน่งผู้นำกลุ่ม แล้วไอลีนก็เข้ามาทำหน้าที่แทน ผมรับไม่ได้เลย และคิดว่าเพราะจุดแข็งของผม ผมไม่ควรถูกปลด ตอนนั้น ผมไม่อาจยอมรับการจัดเตรียมนี้ได้จริงๆ และเสนอว่าผมหยุดทำหน้าที่นี้ แต่ตอนนั้นผมหัวแข็งเกินไป และไม่รู้จักทบทวนตัวเอง

ต่อมา ผมเปลี่ยนไปให้น้ำผู้มาใหม่ ไม่นาน ผมก็ได้รับเลือกเป็นผู้นำกลุ่มอีกครั้ง และได้จับคู่กับพี่น้องหญิงเธรีส ผมเห็นว่าในการชุมนุม บางครั้งสามัคคีธรรมของเธรีสก็ไม่ครบถ้วน และบางครั้งเธอก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาของผู้มาใหม่อย่างสมบูรณ์ และดังนั้นผมจึงดูแคลนเธอ ผมจะคิดว่า “เธอเหมาะสมกับหน้าที่นี้จริงๆ เหรอ? เมื่อเป็นผู้นำกลุ่ม เธอก็ควรสามารถแก้ไขปัญหาของผู้มาใหม่ได้ แต่ดูเธอตอนนี้สิ ให้เธอฝึกหัดในฐานะสมาชิกทีมไปก่อนสักพักจะดีที่สุด” ที่ผมรำคาญใจยิ่งกว่านั้น คือเธอมักไปขอให้คนอื่นช่วยเวลาเจอปัญหา แทบไม่ใช่ผม ผมคิดว่า “ฉันรู้ว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ยังไง นี่เธอไปถามคนอื่นแทนที่จะเป็นฉันเพราะเธอไม่เคารพฉันหรือเปล่า?” ต่อมา ในการประชุมงาน หัวหน้างานชี้ให้เห็นปัญหาบางอย่างในงานของเรา ผมนึกย้อนถึงพฤติกรรมของน้องเธรีส และไม่อาจสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ได้ จึงพูดไปอย่างเถรตรงต่อหน้าทุกคนว่า “น้องเธรีสสามารถแบกรับงานของผู้นำกลุ่มได้ไหม?” เธรีสตอบด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำน้ำใจว่า “ฉันมันไร้ประโยชน์สิ้นดี ไม่อาจช่วยพี่น้องชายหญิงแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้” เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ ผมรู้สึกผิดจริงๆ เวลาเราคุยกันหลังจากนั้น ผมรู้สึกว่าผมทำให้เธออึดอัด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ยังไม่ทบทวนตัวเอง มีอีกครั้งหนึ่ง ผมพบว่าพี่น้องชายคนหนึ่งทำงานของเขาไม่เกิดผลใดๆ เลย และผมรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะกับงานนั้น แต่แทนที่จะปรึกษากับหัวหน้างาน หรือนำเรื่องนี้ไปหารือกับคนอื่นๆ ผมกลับปลดเขาออกไปเลย ตอนนั้น ผมโอหังจริงๆ ต่อมาผมจึงพบว่า เขากำลังเผชิญความยากลำบากในหน้าที่มาสักพักแล้ว ผมปลดเขาตามใจทั้งที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ของเขาชัดเจน หลังจากถูกปลดน้องเขาก็คิดลบมาก พอหัวหน้างานรู้เข้า ก็ถามผมว่า “ทำไมถึงปลดเขาโดยไม่หารือกับคนอื่นก่อน? คุณโอหัง และมั่นใจเกินไปมาก ดูถูกดูแคลนคนอื่น และจำกัดพวกเขาอยู่เสมอ เนื่องจากคุณพฤติกรรมไม่เปลี่ยน จึงไม่เหมาะจะเป็นผู้นำกลุ่มอีก” พอถูกปลดอีกครั้ง ผมก็เสียศูนย์อย่างสิ้นเชิง ผมถามตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงไม่ถามใครเลยนะ? ทำไมฉันถึงยังคงทำตามที่ต้องการเท่านั้น ถ้าฉันแค่แสวงหาขึ้นอีกเล็กน้อย และหารือเรื่องนี้กับคนอื่นๆ ฉันก็จะไม่ปัญหานี้” วันต่อๆ มา ผมเจ็บคอ อาเจียน และอ่อนเพลียไปหมด ผมรู้ว่าผมได้ล่วงเกินพระเจ้า และรู้สึกเป็นทุกข์มาก

ต่อมา ผมคุยกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งถึงสภาวะของผม และเธอก็ส่งพระวจนะมาให้ผมสองบทตอน “จงอย่าคิดว่าเจ้าเป็นฝ่ายถูกเสมอ จงใช้ความแข็งแกร่งของผู้อื่นมาชดเชยความขาดตกบกพร่องของตัวเจ้าเอง จงเฝ้าดูว่าผู้อื่นใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร และจงมองเห็นว่าชีวิต การกระทำ และวาทะของพวกเขาควรค่าแก่การเอาอย่างหรือไม่ หากเจ้าถือว่าผู้อื่นด้อยกว่าเจ้า เจ้าก็คิดว่าเจ้าเป็นฝ่ายถูกเสมอ ทะนงตน และไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 22)จงอย่าคิดว่าเจ้าเป็นอัจฉริยบุคคลที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิด ซึ่งต่ำกว่าฟ้าสวรรค์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไม่สิ้นสุด เจ้าห่างไกลจากการเป็นคนฉลาดกว่าผู้ใดอื่น—และอาจกล่าวได้ด้วยซ้ำ ว่าการที่เจ้าโง่กว่าผู้คนใดๆ ที่มีเหตุผลบนแผ่นดินโลกอย่างมากก็ดูน่ารักดี เพราะเจ้าคิดถึงตัวเองอย่างอวดดีเกินไปและไม่เคยได้มีสำนึกรับรู้ของความด้อยกว่าเลย ราวกับว่าเจ้าสามารถมองทะลุการกระทำของเราลงไปถึงรายละเอียดที่เล็กกระจิริดที่สุด ในประเด็นที่เป็นข้อเท็จจริงนั้น เจ้าคือใครสักคนที่โดยพื้นฐานแล้วขาดพร่องเหตุผล เพราะเจ้าไม่รู้เลยสักนิดว่าเราตั้งใจที่จะทำอะไร และเจ้ายิ่งตระหนักรู้น้อยลงไปใหญ่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้ และดังนั้นเราจึงพูด ว่าเจ้าไม่แม้แต่จะทัดเทียมกับชาวนาเฒ่าที่กำลังตรากตรำทำงานบนผืนดิน ชาวนาที่ไม่ได้มีการล่วงรู้ถึงชีวิตมนุษย์แม้แต่น้อย แต่ก็ยังมอบความไว้วางใจทั้งหมดของเขาไว้กับพรแห่งฟ้าสวรรค์เมื่อเขาทำการเพาะปลูกบนแผ่นดิน เจ้าไม่เจียดความคิดแม้เพียงวินาทีเดียวให้กับชีวิตของเจ้า เจ้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชื่อเสียง และเจ้ายิ่งมีความรู้จักตัวเองน้อยกว่านั้นอีก เจ้าช่าง ‘อยู่เหนือเรื่องทั้งหมด’ เหลือเกิน!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่ไม่เรียนรู้และยังคงไม่รู้เท่าทัน: พวกเขาไม่ใช่สัตว์เดียรัจฉานหรอกหรือ?) หลังจากอ่านพระวจนะ ผมเสียใจมาก ผมรู้สึกว่าตัวเองถูกพระวจนะเปิดโปง ผมคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์มาตลอด รวมถึงฉลาดกว่า เก่งกว่าคนอื่น ผมรู้สึกเหนือกว่าคนอื่นอยู่เสมอ คิดว่าตัวเองสูงส่ง และมองว่าคนอื่นไม่สำคัญเท่า ผมเห็นว่าการสามัคคคีธรรมของไอลีนกับอากาธามีข้อบกพร่อง ผมจึงดูแคลนพวกเธอ หลีกเลี่ยงพวกเขา มองว่าพวกเธอไม่เหมาะกับงานข่าวประเสริฐ และไม่อยากจับคู่กับพวกเธอ โดยเฉพาะเมื่อผมสามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยตัวเองได้ ผมก็ยิ่งรู้สึกเปี่ยมความสามารถขึ้นไปอีก และคิดว่าผมทำงานให้เสร็จได้โดยไม่พึ่งใคร เพราะผมไม่ต้องร่วมมือกับคนอื่น ตอนที่ผมจับคู่กับน้องเธรีส ผมรู้สึกว่าผมมีความสามารถมากกว่า และดูแคลนเธอ คิดว่าเธอแบกรับงานผู้นำกลุ่มไม่ได้ ผมยังยึดเอาตามใจ ตอนที่ปลดน้องชายคนนั้นด้วย ผมปลดเขาตามอำเภอใจโดยไม่หารือกับใครเลย ทำให้เขาจมลงสู่ความคิดลบ ผมช่างทะนงตนมาตลอด ทำสิ่งต่างๆ ตามใจต้องการเสมอ และไม่เคยพยายามฟังความคิดเห็นของคนอื่นเลย เพราะผมรู้สึกว่าพี่น้องชายหญิงไม่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผม และผมอยากบอกพวกเขาว่า “ผมดีกว่าและเก่งกว่าพวกคุณ” แต่ผลก็คือ ผมทำหน้าที่โดยไม่แสวงหาหลักธรรม ผมตั้งกฎขึ้นเอง และได้ทำสิ่งที่ทำร้ายพี่น้องชายหญิง พระวจนะทำให้ผมรู้สึกละอายใจมาก โดยเฉพาะเมื่อผมอ่าน “เจ้าไม่เจียดความคิดแม้เพียงวินาทีเดียวให้กับชีวิตของเจ้า เจ้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชื่อเสียง และเจ้ายิ่งมีความรู้จักตัวเองน้อยกว่านั้นอีก เจ้าช่าง ‘อยู่เหนือเรื่องทั้งหมด’ เหลือเกิน!” พระวจนะทำให้ผมตื้นตันใจมาก ผมยกย่องตัวเองมาตลอด ไม่เคยคำนึงว่าสิ่งที่ตัวเองทำถูกต้องหรือไม่ด้วยซ้ำ ผมช่างทะนงตนเหลือเกิน ชาวนาที่ทำงานบนผืนดินรู้จักพึ่งพาพระเจ้า แต่พอสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับผม ผมกลับไม่เคยรู้จักแสวงหาน้ำพระทัย พระเจ้าทรงไม่มีที่ในหัวใจของผมเลย ผมไม่มีความเข้าใจหรือรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง

ต่อมา พี่สาวคนนั้นก็ส่งพระวจนะมาให้ผมเพิ่ม เปิดโอกาสให้ผมรู้จักตัวเองดีขึ้นอีกนิด พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหลายประเภทอยู่ในอุปนิสัยของซาตาน แต่ประเภทที่เห็นได้ชัดที่สุดและโดดเด่นที่สุดคืออุปนิสัยที่โอหัง ความโอหังคือรากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ยิ่งผู้คนโอหังมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ไร้เหตุผลมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งพวกเขาไร้เหตุผลมากขึ้นเท่าใด พวกเขาย่อมโน้มเอียงที่จะต้านทานพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ปัญหานี้รุนแรงเพียงใดหรือ? ผู้คนที่มีอุปนิสัยโอหังไม่เพียงพิจารณาว่าคนอื่นทุกคนอยู่ใต้พวกเขาเท่านั้น แต่ที่แย่ที่สุดในบรรดาทั้งหมดก็คือ พวกเขาถึงขั้นกำลังวางท่ายโสใส่พระเจ้า และพวกเขาไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในหัวใจของตน แม้ผู้คนบางคนอาจจะดูเหมือนเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระองค์เฉกเช่นพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่า พวกเขาครองความจริงและหลงรักตัวเองเหลือเกิน นี่คือแก่นแท้และรากเหง้าของอุปนิสัยโอหัง และมันมาจากซาตาน เพราะฉะนั้น ปัญหาเรื่องความโอหังจึงต้องได้รับการแก้ไข ความรู้สึกว่าคนเราดีกว่าผู้อื่น—นั่นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว ประเด็นปัญหาที่วิกฤติก็คืออุปนิสัยโอหังของคนเรากีดกันคนเราจากการนบนอบต่อพระเจ้า กฎเกณฑ์ของพระองค์ และการจัดการเตรียมการของพระองค์ บุคคลเช่นนั้นรู้สึกเอนเอียงอยู่เสมอที่จะแข่งขันกับพระเจ้าเพื่ออำนาจเหนือผู้อื่น บุคคลจำพวกนี้ไม่เคารพพระเจ้าแม้เพียงน้อยนิด ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับการรักพระเจ้าหรือการนบนอบต่อพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)ในการสร้างมนุษย์ พระเจ้าประทานจุดแข็งที่แตกต่างกันแก่ผู้คนต่างจำพวก ผู้คนบางคนเก่งวรรณกรรม บางคนเก่งด้านการแพทย์ บางคนเก่งด้านการศึกษาทักษะในเชิงลึก บางคนเก่งงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และอื่นๆ พระเจ้าประทานจุดแข็งเหล่านี้ของมนุษย์แก่พวกเขา สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรให้คุยอวด จุดแข็งอันใดก็ตามที่บุคคลหนึ่งมีไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริง และยิ่งมิได้หมายความว่าพวกเขาครองความเป็นจริงของความจริง หากบุคคลที่พอมีจุดแข็งอยู่บ้างเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ควรนำจุดแข็งไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน นี่ย่อมเป็นที่น่ายินดีสำหรับพระเจ้า หากใครบางคนคุยอวดจุดแข็งของตนหรือหวังที่จะใช้จุดแข็งนั้นต่อรองกับพระเจ้า พวกเขาก็ไร้เหตุผลอย่างมาก และพระเจ้าย่อมไม่พอพระทัยในบุคคลเช่นนี้ ผู้คนที่มีความสามารถในบางสาขาวิชาบางคนมาที่พระนิเวศของพระเจ้าและรู้สึกว่าพวกเขาเหนือกว่าทุกคน พวกเขาปรารถนาที่จะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษและรู้สึกว่าด้วยทักษะที่ตนมี พวกเขาย่อมจะมีทุกอย่างพร้อมสรรพไปตลอดชีวิต พวกเขาปฏิบัติต่อสาขาวิชาของตนราวกับเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง พวกเขาช่างโอหังนัก เช่นนั้นแล้วควรจะคำนึงถึงพรสวรรค์และจุดแข็งดังกล่าวอย่างไร? หากสิ่งเหล่านั้นมีประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้าแล้วไซร้ ก็ย่อมเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ปฏิบัติหน้าที่ให้ดี ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น สิ่งเหล่านั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง พรสวรรค์และความสามารถพิเศษ ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็เป็นเพียงจุดแข็งของมนุษย์ และไม่สัมพันธ์กับความจริงแม้แต่น้อย พรสวรรค์และจุดแข็งของเจ้าไม่ได้หมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริง และยิ่งไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีความเป็นจริงของความจริง หากเจ้านำพรสวรรค์และจุดแข็งของเจ้าไปใช้ในหน้าที่ของเจ้าและปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังใช้สิ่งเหล่านั้นในที่ที่ถูกที่ควร พระเจ้าทรงเห็นชอบกับการนี้ หากเจ้านำพรสวรรค์และจุดแข็งของเจ้าไปใช้คุยอวดตนเอง เป็นพยานให้ตนเอง จัดตั้งอาณาจักรอิสระ เช่นนั้นแล้วบาปของเจ้าก็ใหญ่หลวงจริงๆ—เจ้าย่อมจะกลายเป็นผู้กระทำผิดตัวฉกาจในการต้านทานพระเจ้า พระเจ้าคือผู้ประทานพรสวรรค์ หากเจ้าไม่สามารถนำพรสวรรค์ของเจ้าไปใช้ในหน้าที่หรือในการเป็นพยานให้แก่พระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ขาดมโนธรรมและเหตุผลอย่างมาก และติดค้างพระเจ้าอย่างใหญ่หลวง เจ้ากำลังกระด้างกระเดื่องอย่างน่าชิงชัง! ถึงกระนั้นก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะนำพรสวรรค์และจุดแข็งของเจ้าไปใช้ได้ดีเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีความเป็นจริงของความจริง เฉพาะในการปฏิบัติความจริงและกระทำการตามหลักธรรมเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถครองความเป็นจริงของความจริงได้ พรสวรรค์และความสามารถพิเศษจะยังคงเป็นพรสวรรค์และความสามารถพิเศษตลอดไป สิ่งเหล่านี้ไม่สัมพันธ์กับความจริง ไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษมากเพียงใด หรือชื่อเสียงและสถานะของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด สิ่งเหล่านี้ไม่เคยบ่งชี้ว่าเจ้าครองความเป็นจริงของความจริง พรสวรรค์และความสามารถพิเศษจะไม่มีวันกลายเป็นความจริง สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวพันกับความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่สาม)) พระวจนะชัดเจนมาก เราแต่ละคนมีจุดแข็ง ทักษะ และความสามารถของตัวเอง แต่ไม่ว่าคนเรามมีทักษะอะไร ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาเข้าใจความจริง และพวกเขายิ่งไม่ได้ดีกว่าใครอื่น ความสามารถที่พระเจ้าทรงมอบให้ เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อทำหน้าที่เราให้สำเร็จ ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง ผมไม่ควรภาคภูมิใจในสิ่งเหล่านี้ แต่มองพวกมันให้ถูกต้อง แต่พอผมชำนาญทักษะการพูดบางอย่าง และสื่อสารกับผู้คนได้ง่ายๆ ผมก็รู้สึกเหนือกว่า และหาประโยชน์ จากสิ่งเหล่านี้ได้ ผมคิดว่าผมดีกว่าคนอื่นๆ ผมจึงเริ่มเกิดความโอหังและก้าวร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาผมทำหน้าที่และได้ผลลัพธ์บ้าง ผมก็รู้สึกยิ่งภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น ไม่เห็นใครอื่นสำคัญเท่า และเชื่อในตัวเองเท่านั้น จนถึงจุดที่ผมไม่แสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงในหน้าที่ และไม่ร่วมมือกับใครเลย เวลาหัวหน้างานชี้อุปนิสัยโอหังของผม ผมก็ไม่สนใจ และยังคิดว่าตัวเองถูกต้อง และดี แม้แต่ตอนที่ผมถูกปลด ผมก็ไม่ทบทวนตัวเองอะไรเลย และยังคิดอย่างหน้าไม่อายว่า ผมมีพรสวรรค์ มีความสามารถ และทำหน้าที่ได้ถูกต้อง ผมต่อต้านและโกรธเคืองที่ถูกปลด และถึงกับอยากเลิกทำหน้าที่ของผม อุปนิสัยโอหังนี้ทำให้ผมไม่อาจรู้จักตัวเองได้ ไม่อาจฟังคำแนะนำของคนอื่นได้ และขาดการรู้จักตัวเอง ในสายตาผมไม่มีใครเท่าเทียม และในหัวใจผมไม่มีพระเจ้า! ความโอหังของผมเป็นเหตุผลหลักที่ผมต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า ในทุกสถานการณ์ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้ผม ผมไม่มีที่ให้พระเจ้าในหัวใจ อีกทั้งไม่เชื่อฟังหรือกลัวพระองค์ โดยผิวเผิน ผมกำลังทำหน้าที่ แต่เมื่อไรก็ตามที่บางสิ่งเกิดขึ้นกับผม ผมก็ไม่อธิษฐาน และผมก็ไม่แสวงหาความจริงหรือหลักธรรมในหน้าที่ ผมแค่พึ่งพาอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง บุ่มบ่ามไม่ยั้งคิด จนส่งผลให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก นี่เป็นการทำชั่วจริงๆ! ถ้าอุปนิสัยโอหังของผมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ช้าก็เร็ว ผมจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ต่อต้านพระเจ้า และสุดท้ายจะถูกขับออก และถูกลงโทษ ผ่านทาง การให้ความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวจนะ ผมก็เห็นข้อเท็จจริงนี้ชัดเจน แม้ว่าผมจะมีจุดแข็งบ้าง แต่ผมทำไปตามอุปนิสัยโอหังเสมอ ผมไม่ได้แสวงหาความจริงหรือหลักธรรม จนงานไม่มีประสิทธิผล เห็นชัดว่าผมไม่ได้ดีกว่าใครอื่น ผมคิดเรื่องน้องเธรีส ที่ยอมรับข้อเสนอแนะของคนอื่นเพื่อชดเชยข้อบกพร่องของเธอเองได้ หน้าที่ของเธอเกิดผลมากขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกละอายใจมาก ผมไม่มีจุดแข็งอย่างน้องเธรีส ที่จริง ผมไม่มีความหมาย แต่ก็ยังโอหังมาก ถ้าผมยังคงหาประโยชน์จากจุดแข็งและความสามารถของผมต่อไป ไม่ฟังพระวจนะ และไม่แสวงหาความจริงหรือหลักธรรมในหน้าที่ ผมก็จะไม่ได้รับพระพร แม้จะมีจุดแข็งก็ตาม ไม่เพียงผมไม่อาจทำหน้าที่ใดๆ อย่างถูกได้แล้ว สุดท้ายผมยังจะเสียโอกาสได้รับความรอดด้วย

ต่อมา ผมอ่านพระวจนะอีกอีกบทตอน “เจ้าคิดว่ามีคนที่เพียบพร้อมกระนั้นหรือ? ไม่สำคัญว่าผู้คนจะแข็งแรงเพียงใด หรือมีศักยภาพและมีความสามารถเพียงใด พวกเขายังคงไม่เพียบพร้อม ผู้คนต้องระลึกถึงการนี้ นี่คือข้อเท็จจริง เช่นนี้ยังเป็นท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อข้อดี และจุดแข็ง หรือความผิดของตนเองอีกด้วย นี่คือความมีเหตุผลที่ผู้คนควรจะครองไว้ ด้วยความมีเหตุผลเช่นนี้ เจ้าจะสามารถจัดการกับจุดแข็งและจุดอ่อนของเจ้าเอง ตลอดจนจุดแข็งและจุดอ่อนเหล่านั้นของผู้อื่นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และนี่จะทำให้เจ้าสามารถทำงานเคียงข้างกับพวกเขาได้อย่างปรองดอง หากเจ้าเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริงและสามารถเข้าสู่แง่มุมนี้ของความเป็นจริงแห่งความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถเข้ากันได้อย่างปรองดองกับบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า โดยดึงจุดแข็งของกันและกันมาเพื่อชดเชยจุดอ่อนใดๆ ที่เจ้ามี ในหนทางนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใด หรือเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าจะทำสิ่งนั้นได้ดีขึ้นและมีพระพรของพระเจ้าเสมอ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) จากพระวจนะ ผมพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ ผมควรรู้จักตัวเองภายในพระวจนะ และรับมือจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองอย่างถูกต้อง อีกอย่าง ไม่มีใครเพียบพร้อม และเมื่อเป็นเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ ผมต้องเรียนรู้จะขอให้คนอื่นช่วย และนำวิธีการของพวกเขามาใช้ เมื่อก่อนผมรู้สึกเหมือนอยู่เหนือคนอื่นเสมอ และผมดูแคลนทุกคน แต่ความจริงทุกคนมีจุดแข็งของตัวเอง ผมยกย่องตัวเองต่อไปไม่ได้ ผมต้องถ่อมใจลง พูดและทำสิ่งต่างๆ บนฐานที่เท่าเทียมกับพี่น้องชายหญิง เรียนรู้จุดแข็งและข้อดีของคนอื่นมากขึ้น และร่วมมืออย่างปรองดอง ถ้าใครก็ตามเอ่ยข้อเสนอแนะขึ้นมา ผมก็ควรแสวงหาความจริงและหลักธรรม และไม่คิดคำนึงว่าตัวเองถูกต้องเสมอ เพราะผมมีข้อบกพร่อง ความไม่เพียงพอ แนวคิดและมุมมองผิดๆ มากมาย จึงมองสิ่งต่างๆ ไม่ถูกต้อง อีกทั้งเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงงานภายในแค่คนคนเดียวเสมอไป พระองค์อาจจะทรงงานภายในพี่น้องชายหญิงคนอื่น

ต่อมา เมื่อพี่น้องชายหญิงมีข้อเสนอแนะที่ต่างไปในหน้าที่ของเรา ผมก็พยายามยอมรับ ผมจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ระหว่างเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ที่ผมแค่เชิญให้ผู้คนมาฟังเทศนา แต่ไม่สอบถามความยากลำบากของพวกเขาเป็นการส่วนตัวหลังจากนั้น หัวหน้างานรู้ถึงปัญหาของผม และชี้ให้เห็นว่าผมไม่ขยันในหน้าที่มากพอ ในตอนแรก ผมไม่อาจยอมรับคำวิจารณ์ของเธอได้ และรู้สึกว่าผมมุ่งมั่นทำอย่างดีที่สุดแล้ว ว่าผมเข้าใจปัญหาและความยากลำบากของพวกเขาตอนที่เราชุมนุม และไม่ต้องสอบถามพวกเขาทีละคน อีกอย่าง ผมก็ทำแบบนี้มาเรื่อย และผลก็ดีทีเดียว ดังนั้นผมไม่ต้องทำตามที่หัวหน้างานบอก แต่พอผมคิดแบบนี้ ก็ตระหนักว่าอุปนิสัยโอหังของผมเผยออกมาอีกแล้ว ผมจึงสงัดใจลง อธิษฐานต่อพระเจ้า และสามารถสงบใจได้เล็กน้อย หัวหน้างานกำลังชี้ปัญหาในงานของผม และผมควรยอมรับคำแนะนำและความช่วยเหลือของเธอ ผมจะได้มีผลลัพธ์ในหน้าที่ของผมที่ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากทบทวน ผมเริ่มสื่อสารกับผู้มีโอกาสรับเชื่อ แสดงความห่วงใย ถามว่าพวกเขามีความยากลำบากอะไรไหม จากนั้นผมก็จะทำเต็มที่เพื่อหาพระวจนะเพื่อสามัคคีธรรมกับพวกเขา พอผมทำแบบนี้ ผลงานข่าวประเสริฐของผมก็ดีขึ้นมาก และผมยังได้รับความสุขในการวางตัวเองลงและปฏิบัติความจริง จากนั้น ต่อให้พี่น้องชายหญิงมีข้อเสนอแนะเล็กๆ ผมก็จะพยายามยอมรับเสมอ ทุกครั้งที่ผมปฏิบัติแบบนี้ ผมเกิดความสงบภายในเสมอ และช่วยให้ผมทำหน้าที่ได้ดีขึ้น ผมขอบคุณพระเจ้ามากครับ!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เป็นอิสระจากพันธะของความอิจฉา

โดย จอยลิน, ฟิลิปปิน มกราคม ปี 2018 ฉันเพิ่งได้ยอมรับงานยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ไม่ช้าฉันก็ได้รับหน้าที่เป็นนักร้องนำ...

ติดต่อเราผ่าน Messenger