เหตุใดฉันจึงไม่ยอมร่วมมือกับผู้อื่น?

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

วันหนึ่ง ที่คริสตจักรมีการเลือกตั้งคนทำงานข่าวประเสริฐ พอประกาศผลมา ฉันก็ประหลาดใจที่เห็นพี่น้องชายหญิงเลือกฉัน ฉันตื่นเต้นทีเดียว คิดว่าการถูกเลือก แปลว่าฉันมีขีดความสามารถ และมีความสามารถมากกว่าคนอื่น ฉันยังกังวลนิดหน่อยด้วย กลัวว่าถ้าทำได้ไม่ดี ทุกคนจะผิดหวังที่มั่นใจในตัวฉัน แล้วพวกเขาก็จะคิดว่า ฉันไม่เหมาะกับการกำกับดูแล ฉันไม่อยาก ทำให้พี่น้องชายหญิงผิดหวัง ในเมื่อพวกเขาเลือกฉัน ฉันก็อยากพิสูจน์ว่า ฉันมีขีดความสามารถดีและมีความสามารถ ฉันหนุนนำงานข่าวประเสริฐของเราได้ หลังจากนั้นมา ฉันก็ทุ่มตัวเองให้กับงาน ตอนนั้น พี่หวังเป็นผู้ตรวจทานงานของฉัน แต่ฉันแทบไม่หารือเรื่องงานกับเธอเลย ฉันไม่ได้บอกเธอว่ามีแผนจะทำอะไร แถมยังทำมันด้วยตัวเองเสมอ บางทีเธอมีเรื่องอยากคุยกับฉัน แต่ก็ติดต่อฉันไม่ได้ แล้วพอเธอถามว่าไปไหนมา ฉันก็หาสารพัดวิธีมาหลอกเธอ ไม่บอกเธอแบบเจาะจงว่าทำงานอะไรไป ฉันคิดว่า ค่อยบอกเธอตอนที่ทำหน้าที่สำเร็จไปบ้างแล้ว แบบนั้นเธอจะยกย่องขีดความสามารถ และความสามารถของฉัน บอกว่าฉันทำงานดีได้โดยไม่ต้องให้ใครช่วย เหล่าพี่น้องก็จะคิดว่า พวกเขาตัดสินใจถูกที่เลือกฉัน คิดว่าฉันแบกรับงานนั้นได้ ตอนนั้น พี่หยุนเซียงที่เป็นสมาชิกในทีมของเรา แข็งขันในหน้าที่มาก และทำงานข่าวประเสริฐได้ผลกว่าฉัน ฉันรู้สึกอยู่ไม่สุข เวลาได้ยินพี่หวังชื่นชมเขาที่ทำหน้าที่ได้ดี ฉันเป็นหัวหน้างาน ส่วนเขาเป็นแค่สมาชิกเจ้าหน้าที่ข่าวประเสริฐ เขากำลังจะทำให้ฉันอับอาย ด้วยการกระตือรือร้นในหน้าที่หรือ? คนอื่นจะเลือกเขาเป็นหัวหน้างานไหม? สำหรับฉันนั่นคงเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ฉันรับไม่ได้จริงๆ

ครั้งหนึ่ง พี่หวังมอบหมายให้ฉันกับพี่หยุนเซียงไปทำงานด้วยกัน ฉันไม่อยากไปกับเขา แต่อยากทำมันด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้คนอื่นยกย่องเขาว่ามีแรงจูงใจในหน้าที่ ถ้าเขาไปกับฉัน ความสำเร็จครึ่งหนึ่งคงเป็นของเขา แล้วพี่น้องชายหญิง ก็อาจเคารพเขามากกว่า พอคิดแบบนี้ ฉันเลยไปทำงานนั้นด้วยตัวเอง ฉันอยากเพิ่มความสำเร็จให้ตัวเองทันที คิดว่าตราบใดที่ฉันทำงานได้ดี ทุกคนก็ต้องยกย่องนับถือฉันแน่ จากนั้น ฉันก็ทุ่มตัวเองให้กับการทำหน้าที่ แต่ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน ใช้แรงมากเท่าไหร่ มันก็ไม่เห็นผลเลย ฉันมีการร้องทุกข์ต่อพระเจ้าว่า ทำไมไม่ว่าทำงานหนักแค่ไหน พระองค์ก็ไม่ทรงอวยพรฉัน? ฉันอยู่ในสภาวะที่แย่จริงๆ และไม่อยากทำหน้าที่นั้นแล้ว พอพี่หวังรู้เรื่องที่เกิดขึ้น เธอก็สามัคคีธรรมกับฉันว่า “คุณไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ รูปแบบการทำงานของคุณมีปัญหาหรือเปล่า? คุณต้องสรุปสิ่งที่เกิดขึ้น และปรับปรุง คุณอยากทำงานด้วยตัวเองเสมอ แต่คุณไม่ควรทำแบบนั้น คุณต้องร่วมมือกับคนอื่นนะ” ฉันรู้สึกต่อต้านกับการที่เธอชี้ให้เห็นปัญหาของฉัน รูปแบบการทำงานของฉันมีปัญหาหรือ? เมื่อก่อนฉันทำงานแบบนี้ ก็ทำได้ดี นั่นแปลว่าวิธีของฉันถูกต้อง ไม่ได้มีปัญหาอะไร! จากนั้น ฉันก็ยังใช้การทำงานรูปแบบเดิม ระหว่างช่วงนั้น ไม่ว่าคนอื่นจะสามัคคีธรรมถึงเส้นทางปฏิบัติที่ดียังไง ฉันก็ไม่อยากฟัง และไม่เต็มใจยอมรับ ฉันคิดว่า ถ้าทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีที่พวกเขาพูด พอฉันเกิดผลลัพธ์ขึ้นมาบ้าง พวกเขาก็อาจพูดว่า ความสำเร็จของฉัน เป็นเพราะฉันทำตามคำแนะนำของพวกเขา แล้วพวกเขาก็จะได้ความดีความชอบไปหมด ใครจะมายกย่องฉันล่ะ? ฉันรู้สึกหัวรั้นจริงๆ และอยากทำตามลำพัง สองสัปดาห์ผ่านไปในชั่วพริบตา และฉันก็ยังทำอะไรไม่สำเร็จเลย ฉันรู้สึกทุกข์ใจมากจริงๆ ฉันทำงานทุกๆ วันโดยไม่หยุดพัก ทำไมฉันถึงไม่ได้รับผลลัพธ์อะไรเลย? ฉันไม่รู้ว่ารากเหง้าของปัญหาคืออะไร แต่ก็ยังไม่ทบทวนตัวเอง สองสัปดาห์ให้หลัง พี่น้องชายคนหนึ่งถามฉันเชิงตำหนิว่า “คุณเป็นหัวหน้างาน แต่กลับไม่ทำงานกับคนอื่น เอาแต่ทำคนเดียว แบบนั้นคุณจะทำอะไรให้สำเร็จได้ยังไง? มันทำให้สิ่งต่างๆ ล่าช้าไม่ใช่หรือ?” ฉันรู้สึกหัวเสียมาก ที่ได้ยินเขาพูดอย่างนั้น แต่หลังจากนั้นฉันก็รู้ว่าเขาพูดถูก เป็นแบบนั้นจริงๆ เหล่าพี่น้องเตือนฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าฉันต้องทำงานร่วมกับคนอื่น แต่ฉันก็ยังทำอะไรด้วยตัวเอง ซึ่งแปลว่างานไม่เกิดผล และถูกทำให้ล่าช้าออกไป พอตระหนักได้ ฉันก็รู้สึกผิด และอยากจะเปลี่ยนแปลง

ต่อมา ฉันเปิดใจกับผู้นำถึงปัญหาของตัวเอง เธอส่งพระวจนะบทตอนหนึ่งมาให้ “ในพระนิเวศของพระเจ้า หากผู้คนใช้ชีวิตตามปรัชญาทางโลกของตน และหากพวกเขาพึ่งพามโนคติอันหลงผิด แนวโน้ม ความอยากได้อยากมี เหตุจูงใจที่เห็นแก่ตัว พรสวรรค์ และความฉลาดของตนเองเพื่อให้ไปกันได้กับทุกคน เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมไม่ใช่หนทางที่จะมีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพวกเขาก็ไม่สามารถสัมฤทธิ์ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? นี่เป็นเพราะเมื่อผู้คนใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน พวกเขาย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เช่นนั้นแล้วสิ่งใดคือผลสืบเนื่องท้ายสุดของการนี้? พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจกับพวกเขา เมื่อไม่มีพระราชกิจของพระเจ้า หากผู้คนพึ่งพาความสามารถและความฉลาดอันน้อยนิดของตนเอง ความเชี่ยวชาญเพียงเล็กน้อยของตน พึ่งพาความรู้และทักษะนิดหน่อยที่พวกเขาได้มา เช่นนั้นแล้วการใช้พวกเขาอย่างเต็มที่ในพระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะมีช่วงเวลาที่ลำบากยากเย็นยิ่ง และเป็นการยากมากที่พวกเขาจะกระทำการตามน้ำพระทัยของพระองค์ เมื่อไม่มีพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าก็ไม่มีวันสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า หรือหลักธรรมของการปฏิบัติได้ เจ้าจะไม่รู้จักเส้นทางและหลักธรรมของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเจ้าจะไม่มีวันรู้ว่าจะกระทำการตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างไรหรือรู้ว่าการกระทำใดละเมิดหลักธรรมของความจริงและต้านทานพระเจ้า หากสิ่งทั้งหมดนี้ไม่ชัดเจนสำหรับเจ้า เจ้าก็จะเอาแต่เฝ้าสังเกตและทำตามกฎเกณฑ์อย่างมืดบอด เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างสับสนเช่นนี้ เจ้าย่อมล้มเหลวอย่างแน่นอน เจ้าจะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า และเจ้าจะทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธเจ้าอย่างแน่นอน แล้วเจ้าก็จะถูกขับออกไป(“ว่าด้วยการประสานอย่างปรองดอง” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันตระหนักได้จากพระวจนะว่า ฉันไม่อาจทำหน้าที่อย่างเห็นแก่ตัวและทำตามใจอยาก พึ่งพาทักษะและอุบายเล็กๆ ที่ชาญฉลาดได้ ฉันต้องทำงานอย่างปรองดองกับเหล่าพี่น้อง หารือเรื่องต่างๆ และหาข้อตกลงร่วมกับทุกคน ไม่อย่างนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงงาน และหน้าที่ของฉันก็จะไม่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า แต่สำหรับฉัน ตั้งแต่ถูกเลือกเป็นหัวหน้างาน ฉันรู้สึกเหมือนมันทำให้ฉันกลายเป็นคนพิเศษ และแปลว่าฉันมีจุดแข็งอยู่บ้าง ฉันทำตัวเป็นหมาป่าเดียวดาย และไม่ร่วมมือกับเหล่าพี่น้อง เพื่อที่ฉันจะได้โดดเด่น และเป็นที่นับถือของคนอื่น แถมฉันก็ไม่ได้หารือเรื่องงานกับหัวหน้างานมากนัก ถึงกับออกไปทำโครงการต่างๆ โดยไม่บอกเธอ ฉันอยากบอกเธอแค่ตอนที่ทำอะไรสำเร็จแล้ว เธอจะได้ยกย่องขีดความสามารถ และความสามารถของฉัน คิดว่าฉันได้มาตรฐานของหัวหน้างาน แต่หน้าที่ของฉันไม่เกิดผล เพราะฉันไม่แสวงหาความจริง ถึงกับทำตัวไร้เหตุผล โต้แย้งพระเจ้า และตำหนิที่ไม่ทรงอวยพรฉัน ฉันอยากเลิกทำหน้าที่ด้วยซ้ำ ช่างเป็นคนที่ไร้สำนึกจริงๆ! ในที่สุดฉันก็ตระหนักได้ว่า การทำหน้าที่คนเดียว เพื่อสนองความปรารถนาที่เห็นแก่ตัว การไม่แสวงหาหลักธรรม หรือทำงานกับผู้อื่น แปลว่าหน้าที่จะไม่มีวันเสร็จด้วยดี แถมพฤติกรรมของฉัน เป็นสิ่งพระเจ้ารังเกียจ และจะทรงทอดทิ้งฉัน ถ้าฉันไม่เปลี่ยนแปลงให้ทันการณ์ พอตระหนักทั้งหมดนี้ได้ ฉันก็อธิษฐานทันทีว่า “พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์เห็นแล้วว่า การทำงานลำพังโดยไม่ร่วมมือกับคนอื่น เป็นสิ่งที่พระองค์ไม่ชอบ โปรดทรงนำและช่วยข้าฯ ให้หันกลับได้ทันการณ์ ให้ทำงานกับผู้อื่นอย่างปรองด้วยเถิด”

ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนนี้ “คำว่า ‘การร่วมมืออย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน’ ตามตัวอักษรแล้วเข้าใจง่าย แต่ยากที่จะนำมาปฏิบัติ การใช้ชีวิตตามด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของคำเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดจึงไม่ง่าย? (ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม) นั่นถูกต้อง มนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่โอหัง ชั่ว ดื้อแพ่ง และอื่นๆ และสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติความจริงของพวกเขา เมื่อเจ้าร่วมมือกับผู้อื่น เจ้าย่อมเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกรูปแบบ ตัวอย่างเช่น เจ้าคิดว่า ‘คุณจะให้ฉันร่วมมือกับคนนั้น แต่พวกเขาสามารถทำได้หรือ? ผู้คนจะไม่ดูแคลนฉันหรือถ้าฉันร่วมมือกับใครบางคนที่ไร้ขีดความสามารถ?’ และในบางครั้งเจ้าอาจถึงกับคิดว่า ‘บุคคลนั้นช่างไม่รู้จักคิด และพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูด!’ หรือ ‘สิ่งที่ฉันจะพูดนี้ผ่านการตรึกตรองและเต็มไปด้วยความรู้ความเข้าใจเชิงลึก หากฉันบอกพวกเขาและปล่อยให้พวกเขานำไปอ้างว่าเป็นของตน ฉันจะยังโดดเด่นอยู่หรือ? ข้อเสนอของฉันนั้นดีที่สุด หากว่าฉันแค่พูดออกไปและปล่อยให้พวกเขาเอาไปใช้ ใครจะรู้บ้างว่านี่เป็นผลงานของฉัน?’ ความคิดและความเห็นเช่นนี้—ถ้อยคำเยี่ยงมารเช่นนี้—มีให้เห็นและได้ยินอย่างดาษดื่น หากเจ้ามีความคิดและความเห็นเช่นนี้ เจ้าจะเต็มใจร่วมมือกับผู้อื่นหรือ? เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การให้ความร่วมมือที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้หรือ? ไม่ง่ายเลย การนี้มีความท้าทายอยู่บ้าง! คำว่า ‘การร่วมมืออย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน’ นี้พูดง่าย—เพียงเปิดปากของเจ้า ถ้อยคำเหล่านี้ก็ออกมาทันที แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติตามถ้อยคำเหล่านี้ สิ่งกีดขวางในตัวเจ้าก็พากันดาหน้าออกมา ความคิดของเจ้าวิ่งไปในทางนี้และทางนั้น บางครั้งเมื่อเจ้าอารมณ์ดีก็อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าสามารถสามัคคีธรรมกับผู้อื่นสักเล็กน้อย แต่หากอารมณ์ของเจ้าไม่ดีและเจ้าถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามกีดขวาง เจ้าย่อมจะปฏิบัติเช่นนั้นไม่ได้แต่อย่างใด ในฐานะผู้นำแล้วบางคนร่วมมือกับใครไม่ได้เลย พวกเขาดูแคลนผู้อื่นเสมอ มีความช่างเลือกช่างติกับผู้อื่นอยู่เสมอ และเมื่อพวกเขามองเห็นข้อบกพร่องของผู้อื่น พวกเขาก็ตัดสินและโจมตีคนเหล่านั้น นี่ทำให้ผู้นำเช่นนี้เป็นแอปเปิลเน่า และพวกเขาย่อมถูกแทนที่ พวกเขาไม่เข้าใจว่า ‘การร่วมมืออย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน’ หมายความกระไรกระนั้นหรือ? ที่จริงแล้วพวกเขาเข้าใจดีทีเดียว เพียงแต่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถนำไปปฏิบัติ? เพราะว่าพวกเขาทะนุถนอมสถานะมากเกินไป และอุปนิสัยของพวกเขาก็โอหังเกินไป พวกเขาต้องการอวดตัว และเมื่อพวกเขาได้สถานะมาครอง พวกเขาก็จะไม่ยอมปล่อยมือ ด้วยกลัวว่าจะตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นและไม่เหลืออำนาจจริงไว้ที่พวกเขาเลย พวกเขากลัวจะถูกผู้อื่นมองข้ามและไม่ได้รับการยกย่อง กลัวว่าคำพูดของพวกเขาจะไม่มีอำนาจหรือไม่มีสิทธิ์สั่งการ นั่นคือสิ่งที่พวกเขากลัว ความโอหังของพวกเขาไปไกลเพียงใด? พวกเขาสูญเสียสำนึก กระทำการตามอำเภอใจและอย่างหุนหันพลันแล่น แล้วนั่นทำให้เกิดผลเช่นใด? ไม่เพียงพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ได้แย่เท่านั้น แต่การกระทำของพวกเขายังกอปรไปด้วยการทำให้หยุดชะงักและการทำให้ไม่สงบอีกด้วย แล้วพวกเขาก็ถูกปรับย้ายตำแหน่งและถูกแทนที่ จงบอกเราสิว่ามีที่ใดบ้างที่บุคคลเช่นนี้ พร้อมด้วยอุปนิสัยเช่นนี้ เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่? เราเกรงว่าไม่ว่าจะให้พวกเขาอยู่ที่ใด พวกเขาก็จะไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม พวกเขาไม่สามารถร่วมมือกับผู้อื่น—เช่นนั้นแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีเมื่ออยู่ตามลำพังกระนั้นหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน หากพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ตามลำพัง พวกเขาจะยิ่งไม่ยับยั้งชั่งใจ สามารถกระทำการตามอำเภอใจและอย่างหุนหันพลันแล่นยิ่งขึ้นไปอีก เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดีหรือไม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความถนัดของเจ้า ความยิ่งใหญ่แห่งขีดความสามารถของเจ้า สภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้า ความสามารถทั้งหลายของเจ้า หรือทักษะของเจ้า แต่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าคือใครคนหนึ่งที่ยอมรับความจริงหรือไม่ และเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่(“การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะกล่าวว่า การไม่ร่วมมือกับคนอื่นในหน้าที่ มาจากอุปนิสัยโอหัง พระเจ้าทรงอยากให้เราทำงานอย่างปรองดอง จะได้ช่วยเหลือกัน ชดเชยจุดอ่อนของกันและกันได้ แบบนั้นก็จะช่วยให้เราคุมความเสื่อมทรามได้ด้วย มันเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวเรา และงาน แต่ฉันจองหองมากเกินไป คิดว่าไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับใคร ฉันทำงานด้วยตัวเองได้ดี มุมมองของฉันก็คือ ฉันต้องทำงานคนเดียว คนอื่นจะได้เห็นความสามารถ ฉันเลยไม่อยากทำงานร่วมกับคนอื่น หรือยอมรับข้อเสนอแนะจากใคร ฉันอยากเฉิดฉายคนเดียว ฉันขาดแนวทางในหน้าที่ แต่ก็ยังไม่แสวงหาหนทางแก้ไข พอพี่หวังบอกว่าทำไมงานของฉันไม่เกิดผล และฉันควรเข้าหาด้วยวิธีไหน ฉันรู้ว่าเธอพูดถูก แต่ก็ไม่อยากฟังสิ่งที่เธอพูด ฉันกลัวว่าถ้าฟัง และเริ่มทำได้ดีขึ้น จะมีคนได้ความดีความชอบไป และไม่มีใครยกย่องฉัน พอพี่หวังมอบหมายให้พี่หยุนเซียงมาทำงานกับฉัน ฉันก็กลัวเขาจะแย่งความสนใจไป แล้วพอเราทำอะไรสำเร็จ คนอื่นก็จะพากันนับถือเขา และรู้สึกเหมือนฉันเป็นหัวหน้างานที่ไร้ความสามารถ ที่ไม่เก่งเท่าสมาชิกธรรมดาในทีม เพื่อรักษาชื่อและสถานะเอาไว้ ฉันเลยอยากทำงานคนเดียว ไม่อยากทำกับใคร ฉันแสดงว่าทำหน้าที่ แต่ที่จริงฉันกำลังไล่ตามสถานะ แค่อยากอวดตน นั่นเป็นการแสดงอุปนิสัยโอหัง

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะอีกบทตอนที่ว่า “ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น และระเริงในหน้าที่ของเจ้าเสมือนข้าราชการบางคน ปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงไปกับเครื่องหมายที่แสดงถึงฐานะทางสังคมของเจ้าอยู่เสมอ สร้างแผนการของตัวเองอยู่เสมอ คิดคำนึงและสุขสำราญกับชื่อเสียงและสถานะของตัวเองอยู่เสมอ ดำเนินการของตัวเองอยู่เสมอ และพยายามให้ได้รับสถานะที่สูงขึ้นอยู่เสมอ พยายามบริหารจัดการและควบคุมผู้คนให้มากขึ้น และพยายามขยายขอบเขตอำนาจของเจ้า นี่ย่อมสร้างความเดือดร้อน การปฏิบัติต่อหน้าที่อันสำคัญเสมือนโอกาสที่จะสุขสำราญกับตำแหน่งของเจ้าราวกับว่าเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นสิ่งที่อันตราย หากเจ้าปฏิบัติตัวเช่นนี้ตลอดเวลา ไม่ปรารถนาที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่ต้องการลดทอนและแบ่งปันอำนาจของตนกับผู้อื่น ไม่ต้องการให้ผู้ใดได้เปรียบ ขโมยความเป็นจุดสนใจ หากเจ้าต้องการสุขสำราญกับอำนาจเพียงลำพังตัวเจ้าเท่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือศัตรูของพระคริสต์(“พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พระวจนะเปิดเผยสภาวะของฉันได้ตรงเผง ฉันทำราวกับหน้าที่เป็นตำแหน่งงานราชการ พอได้เป็นหัวหน้างาน ฉันก็แค่อยากวงแหวนแห่งสถานะ ฉันไม่อยากร่วมมือกับใคร ฉันจะได้เพลิดเพลินกับ การเป็นที่นับถือและเห็นชอบ คนอื่นจะได้บอกว่าฉันมีขีดความสามารถ และมีความสามารถในงาน ด้วยความกลัวว่าพวกเขาจะแย่งรัศมี และชิงวงแหวนของฉันไป ฉันเลยอยากทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ถ้าทำอะไรสำเร็จ ฉันก็จะได้ความดีความชอบทั้งหมด และสายตาของทุกคนก็จะมองมาที่ฉัน ด้วยความหวังที่จะปกป้องชื่อและสถานะ ฉันจึงไม่คิดถึงผลโดยรวมของงาน หรือยอมรับการช่วยเหลือจากคนอื่น ฉันมันโอหังมากเหลือเกิน! ฉันเป็นคนที่เสื่อมทราม จึงต้องมีการเบี่ยงเบน และปัญหามากมายในงาน รวมถึงมีแง่มุมที่ฉันไม่ได้คำนึงถึง แต่ฉันเป็นคนโอหัง ทำตัวราวกับเป็นระดับสูง คิดว่าฉันไม่ได้มีปัญหา และฉันก็ไม่อยากร่วมมือกับใคร ถ้าเป็นแบบนั้นต่อไป มันอาจขัดขวางงานของคริสตจักร และถ้าฉันยังไม่ยอมกลับใจ ฉันคงกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ การตระหนักเรื่องนี้ได้ มันน่ากลัวมาก ฉันอยากเปลี่ยน ปล่อยวางความอยากได้สถานะ และทำหน้าที่ให้ดีจริงๆ

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าคำนึงถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ และอย่าได้คำนึงถึงความภาคภูมิใจ ความมีหน้ามีตา หรือสถานะของตัวเจ้าเอง อันดับแรกเจ้าต้องพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง เจ้าควรมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่าเจ้าได้มีราคีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือไม่ เจ้าจงรักภักดี ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้ทั้งหมดของเจ้าไปแล้วหรือยัง รวมไปถึงการที่ว่าเจ้าได้ให้ความคิดโดยหมดทั้งหัวใจต่อหน้าที่ของเจ้าและงานของคริสตจักรหรือไม่ เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ จงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่เนืองนิจและขบคิดให้ออก และจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้ดี หากเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ หากประสบการณ์ของเจ้าตื้นเขิน หรือหากเจ้าไม่ชำนาญในงานสายอาชีพของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ก็อาจมีข้อผิดพลาดหรือความขาดตกบกพร่องบางอย่างในงานของเจ้า และผลลัพธ์อาจไม่ดีมาก—แต่เจ้าจะได้ทุ่มความพยายามของเจ้าอย่างดีที่สุดแล้ว ในทุกสิ่งที่เจ้าทำ เจ้าต้องไม่สนองความอยากได้อยากมีหรือความเลือกชอบอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเอง แทนที่จะทำเช่นนั้น เจ้าจงคำนึงถึงงานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ แม้เจ้าไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดี แต่หัวใจของเจ้าก็ย่อมได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง หากว่านอกจากนี้เจ้ายังสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาในหน้าที่ของเจ้า เช่นนั้นแล้ว การทำหน้าที่ของเจ้าก็ย่อมจะถึงมาตรฐาน และเจ้าก็จะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง นี่คือการเป็นคำพยาน(พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ เล่ม 2, บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะทำให้เข้าใจชัดเจนว่า หน้าที่ไม่ใช่กิจการส่วนตัว และไม่ควรทำเพื่อสนองผลประโยชน์ส่วนตัว หรือความต้องการชื่อและสถานะ แต่เราควรใส่หัวใจลงไปด้วย ควรคิดถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศในทุกสิ่ง และไม่แปดเปื้อนแรงจูงใจส่วนตัว แต่ฉันคิดถึงแค่ชื่อและตำแหน่งของตัวเอง และทำงานเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ ฉันเลยมีประสิทธิภาพน้อยลงเรื่อยๆ และทำให้งานข่าวประเสริฐล่าช้า ฉันรู้ว่าฉันต้องเลิกทำเพื่อประโยชน์แห่งหน้าตาและสถานะ แต่ต้องคิดถึงผลประโยชน์ของคริสตจักรในทุกสิ่ง จากนั้น ฉันก็พยายามละวางความมีหน้ามีตาและสถานะ พยายามทำงานกับผู้อื่นให้ดี คิดถึงการทำหน้าที่ให้ดีและทำความรับผิดชอบให้ลุล่วงอย่างจริงใจ พอปฏิบัติแบบนั้น ฉันก็รู้สึกสงบขึ้นมาก

ครั้งหนึ่ง ฉันออกไปแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพี่น้องหญิงสองคน ส่วนผู้ที่น่าจะรับข่าวประเสริฐ ก็กระตือรือร้นแสวงหาจริงๆ ฉันคิดว่า ถ้าฉันไปคนเดียว เหล่าพี่น้องก็จะชื่นชมความสามารถในการสามัคคีธรรมของฉัน ฉันเสียดายจริงๆ ที่มากับสองคนนี้ พอเกิดความคิดนี้ขึ้น ฉันก็รู้ว่ามันไม่ใช่วิธีคิดที่ถูก ฉันคำนึงถึงชื่อและสถานะส่วนตัว อยากทำอะไรด้วยตัวเองอีกแล้ว ฉันเลย อธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ พร้อมที่จะเลิกคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัว แล้วความรู้สึกของฉัน ก็ค่อยๆ สงบลง ฉันเอาใจไปมุ่งเน้นวิธีสามัคคีธรรมและเป็นพยานแก่พระเจ้า ภายใต้การทรงนำ ทำให้มีคนยอมรับงานของพระเจ้าถึงเจ็ดแปดคน ฉันรู้สึก ตื้นตันมากจริงๆ และคิดถึงที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกพวกท่านอีกว่า ถ้าพวกท่านสองคนจะร่วมใจกัน ทูลขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลก พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ก็จะทรงทำสิ่งนั้นให้ เพราะว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขาที่นั่น(มัทธิว 18:19-20) ถึงจุดนี้ ฉันก็ตระหนัก ว่าไม่มีใครเพียบพร้อม ทุกคนต่างมีข้อดีและข้อเสีย เราต้องร่วมมือกันอย่างปรองดอง หารือสิ่งต่างๆ กับเหล่าพี่น้อง และชดเชยจุดอ่อนของกันและกัน เพื่อค่อยๆ ให้งานเราผิดพลาดน้อยลง และสัมฤทธิ์ผลในหน้าที่มากขึ้น ตอนนี้เวลาทำหน้าที่ร่วมกับคนอื่น ฉันเห็นได้ว่า พวกเขาใส่ใจรายละเอียดงานมาก แถมยังเอาใจใส่ผู้มีโอกาสรับข่าวประเสริฐจริงๆ สิ่งเหล่านี้คือจุดแข็งที่ฉันขาดไป ฉันได้เรียนรู้จากพวกเขามากทีเดียว เมื่อฉันขาดแนวทางในหน้าที่ ฉันก็ไปหาพวกเขา และหารือถึงสิ่งที่ควรทำ แล้วงานของฉันก็มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ขอบคุณพระเจ้า! ฉันได้ประสบกับตัวเองว่า การร่วมมือกับผู้อื่นในหน้าที่สำคัญอย่างยิ่ง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทบทวนของ “ผู้นำที่ดี”

ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ก็สอนให้ฉันเป็นมิตรกับผู้คน เป็นคนที่เข้าหาได้ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าบรรดาคนรอบตัวมีปัญหาหรือข้อเสีย...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger