ฉันเปลี่ยนแปลงวิถีที่แสนภาคภูมิอย่างไร?
เมื่อก่อน ผมมักคิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาดมาก คิดว่าผมทำทุกอย่างได้ โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วย ทั้งเวลาอยู่ที่โรงเรียน และที่บ้าน เวลาใครถามอะไร ถึงแม้เหล่าพี่ชายผมตอบไม่ได้ ผมก็ตอบได้ และผมก็ดูถูกพวกเขา พวกพี่ๆ บอกว่าผมเป็นคนโอหัง ผมต้องเปลี่ยนนิสัยนี้ และคิดถึงความรู้สึกคนอื่น แต่ผมคิดว่า พวกเขาพูดเพราะอิจฉาผม ผมเลยไม่สนใจคำกล่าวหาของพวกเขา
ปี 2019 ผมยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ไม่นานนัก ผมก็เริ่มให้น้ำผู้มาใหม่ที่เพิ่งยอมรับงานของพระเจ้า สองในสามของพี่น้องหญิงที่ทำงานกับผมตอนนั้น พึ่งยอมรับงานของพระเจ้าได้ไม่กี่เดือน ส่วนอีกคนคือพี่จอนน่า ที่คอยช่วยผมเรื่องงาน ตอนนั้น ผมถูกเลือกเป็นหัวหน้ากลุ่ม ซึ่งสำหรับผมแล้ว มันหมายความว่าผมเก่งที่สุดในกลุ่ม ตอนทำงานด้วยกัน เวลาพวกเธอเสนอให้ทำบางอย่างด้วยวิธีอื่น ผมมักจะไม่เห็นด้วย และบอกว่าควรทำตามที่ผมสอน อย่างเช่น ทุกครั้งหลังชุมนุมกับผู้มาใหม่ พี่จอนน่าถามว่า “เราควรถามพวกเขาไหม ว่าเข้าใจทั้งหมดหรือเปล่า?” ผมบอกว่า “ไม่ต้อง ผมถามไปแล้วตอนชุมนุม พวกเขาเข้าใจ ไม่ต้องถามซ้ำหรอก” เวลาพี่จอนน่าพูดว่า “คุณควรสามัคคีธรรมความจริงเรื่องงานของพระเจ้าให้ละเอียดกว่านี้ มันจะช่วยให้เป้าหมายข่าวประเสริฐที่พอมีแวว แน่ใจว่างานของพระเจ้าเป็นเรื่องจริงได้โดยเร็ว” ผมพูดไปโดยไม่คิดว่า “ผมพูดไปหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ” บางที พี่จอนน่าจะให้ผมไปศึกษาสถานการณ์ของผู้มาใหม่ แต่ผมไม่อยากไป ผมคิดว่าในฐานะผู้นำกลุ่ม ผมควรจัดเตรียมสิ่งที่เธอทำ เธอไม่ควรมาบอก ว่าผมควรทำอะไร บางครั้งพี่จอนน่าถามว่า ผู้มาใหม่เข้าใจสามัคคีธรรมจากการชุมนุมไหม ผมโกรธมาก เวลาเห็นเธอคอยตามงานผมอยู่เสมอ เธอไม่ใช่ผู้นำกลุ่ม ไม่มีสิทธิ์มาบอกผมว่าต้องทำอะไร ตอนนั้น ผมโอหังมาก ผมไม่ให้ความร่วมมือกับพี่จอนน่า หรือพี่น้องหญิงอีกสองคนเลย ปกติผมจะหนุนใจผู้มาใหม่คนเดียว ไม่มอบหมายงานให้พวกเธอเลย ผมคิดว่าพวกเธอเพิ่งยอมรับงานของพระเจ้า และไม่เข้าใจความจริงแห่งนิมิตมากนัก เลยอาจทำได้ไม่ดี เวลาจัดการชุมนุมด้วยกัน ผมก็เป็นฝ่ายพูดเยอะเสมอ ไม่ให้เวลาพวกเธอได้สามัคคีธรรม ผมกังวลว่าพวกเธอจะทำได้ไม่ดี และผู้มาใหม่จะไม่เข้าใจ ที่จริง ผู้มาใหม่ก็เข้าใจสามัคคีธรรมของพี่น้องหญิงทั้งสองได้ ผมแค่ดูถูกพวกเธอ เลยไม่อยากให้พวกเธอสามัคคีธรรม ครั้งหนึ่ง เพื่อให้ผู้มาใหม่มีรากฐานบนหนทางที่แท้จริงโดยเร็วที่สุด ผมเลยอยากสามัคคีธรรมความจริงเพิ่มอีกหลายแง่มุม แต่พี่น้องหญิงพูดว่า “ทำแบบนั้นไม่ได้ เรามีเวลาชุมนุมกันแค่ชั่วโมงครึ่ง ถ้าพูดเยอะเกินไป เวลาจะไม่พอ และเหล่าผู้มาใหม่ก็จะไม่เข้าใจ เราแบ่งสามัคคีธรรมหลายครั้งได้” แต่ตอนนั้น ผมไม่เต็มใจจะยอมรับความเห็นของพวกเธอ และทำทุกทางเพื่อโน้มน้าวให้พวกเธอยอมฟังผม สุดท้าย พวกเธอก็ต้องตกลง ต่อมา เราให้น้ำผู้มาใหม่กว่ายี่สิบคน ผู้มาใหม่เกือบทุกคนมาเข้าชุมนุมครั้งแรก แต่พอครั้งต่อๆ ไป ผมก็พบว่าพวกเขาขาดชุมนุมมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย จากยี่สิบกว่าคน ก็เหลือคนมาชุมนุมตามปกติเพียงสามคน ตั้งแต่ผมเริ่มให้น้ำผู้มาใหม่ ก็ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน ตอนนั้นผมสับสน และคิดลบมาก แล้ววันหนึ่ง ผู้นำก็ถามเกี่ยวกับสภาวะของผม ผมตอบว่า “ไม่ค่อยดี ระหว่างช่วงนี้ ผมทำหน้าที่ได้แย่มาก ทุกครั้งที่สามัคคีธรรมกับผู้มาใหม่ดีๆ ผมก็ถามว่าพวกเขาเข้าใจไหม พวกเขามักบอกว่าเข้าใจ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกเขาไม่มาชุมนุม” ผู้นำบอกผมว่า “คุณควรทบทวนตัวเองดู คุณทำอะไรไม่เหมาะสม จนทำให้ผู้มาใหม่ไม่อยากมาหรือเปล่า?” เขาพูดต่อว่า “คุณได้ถามคู่ทำงานทั้งสามคนบ้างไหม ว่าพวกเธอเห็นสิ่งผิดปกติในเนื้อหา หรือวิธีให้น้ำของคุณหรือเปล่า?” ผมบอกว่า “เปล่าครับ ผมไม่คิดว่า พวกเธอจะให้คำแนะนำที่ดีได้” ผู้นำบอกว่า “นั่นแหละคือปัญหา คุณควรถามความคิดเห็นของพวกเธอ แทนที่จะไว้ใจตัวเองเสมอ” สิ่งที่ผู้นำพูด ผมฟังแล้วก็รู้สึกว่าถูกต้อง ผมไม่เคยฉุกคิดถึงการถามพี่น้องหญิงคู่ทำงานเลย ผมมักคิดว่าผมเก่งกว่าเรื่องงาน แนวคิดของพวกเธอจึงดูไร้ประโยชน์สำหรับผม
จากนั้น ผู้นำก็ส่งพระวจนะมาหนึ่งบทตอน “เมื่อพวกเจ้าร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าสามารถที่จะเปิดใจให้กับความคิดเห็นที่แตกต่างได้หรือไม่? เจ้าสามารถปล่อยให้ผู้อื่นพูดได้หรือไม่? (ฉันสามารถนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ฉันจะไม่ฟังคำชี้แนะของพี่น้องชายหญิงและยืนกรานที่จะทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของฉันเอง มีเพียงในเวลาต่อมาเมื่อข้อเท็จจริงพิสูจน์ว่าฉันผิด ฉันจึงมองเห็นว่าคำชี้แนะของพวกเขาส่วนใหญ่ถูกต้อง ว่าเป็นผลลัพธ์ที่ทุกคนหารือกันซึ่งเหมาะสมจริงๆ ว่าทรรศนะของฉันเองผิดและขาดตกบกพร่อง หลังจากผ่านประสบการณ์เช่นนี้ ฉันจึงตระหนักว่าการร่วมมืออย่างปรองดองนั้นสำคัญเพียงใด) และพวกเราสามารถมองเห็นสิ่งใดจากการนี้? หลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ เจ้าได้รับประโยชน์อยู่บ้างและเข้าใจความจริงใช่หรือไม่? เจ้าคิดว่ามีคนที่เพียบพร้อมกระนั้นหรือ? ไม่สำคัญว่าผู้คนจะแข็งแรงเพียงใด หรือมีศักยภาพและมีความสามารถเพียงใด พวกเขายังคงไม่เพียบพร้อม ผู้คนต้องระลึกถึงการนี้ นี่คือข้อเท็จจริง เช่นนี้ยังเป็นท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อข้อดีและจุดแข็ง หรือความผิดของตนเองอีกด้วย นี่คือความมีเหตุผลที่ผู้คนควรจะครองไว้ ด้วยความมีเหตุผลเช่นนี้ เจ้าจะสามารถจัดการกับจุดแข็งและจุดอ่อนของเจ้าเอง ตลอดจนจุดแข็งและจุดอ่อนเหล่านั้นของผู้อื่นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และนี่จะทำให้เจ้าสามารถทำงานเคียงข้างกับพวกเขาได้อย่างปรองดอง หากเจ้าเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริงและสามารถเข้าสู่แง่มุมนี้ของความเป็นจริงแห่งความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถเข้ากันได้อย่างปรองดองกับบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า โดยดึงจุดแข็งของกันและกันมาเพื่อชดเชยจุดอ่อนใดๆ ที่เจ้ามี ในหนทางนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใด หรือเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าจะทำสิ่งนั้นได้ดีขึ้นและมีพระพรของพระเจ้าเสมอ หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่าเจ้านั้นดีเหลือเกินและคิดว่าคนอื่นนั้นแย่กว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน และหากเจ้าต้องการที่จะมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็จะเป็นที่น่าลำบากใจ นี่คือปัญหาทางด้านอุปนิสัย ผู้คนเช่นนี้โอหังและหยิ่งทะนงมิใช่หรือ?” (พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ เล่ม 2, บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะชี้ถึงปัญหาของผม พระเจ้าตรัสว่า “เมื่อพวกเจ้าร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าสามารถที่จะเปิดใจให้กับความคิดเห็นที่แตกต่างได้หรือไม่? เจ้าสามารถปล่อยให้ผู้อื่นพูดได้หรือไม่?” พอดูคำถามของพระเจ้า ผมก็ทบทวนการให้ความร่วมมือกับพี่น้องหญิงทั้งสามในช่วงนั้น ผมไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของพวกเธอเลย ต่อให้ความเห็นของพวกเธอดี หรือถูกต้อง ผมก็ยังไม่เห็นด้วยเสมอ เพราะผมไม่อยากให้พวกเธอคิดว่า ผมไม่เก่งเท่าพวกเธอ ผมคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด จึงเป็นคนเดียวที่แนะนำอะไรดีๆ ได้ ผมเป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้ พวกเธอจึงควรเชื่อฟังและรับฟังผม ไม่ใช่ผมรับฟังพวกเธอ พระวจนะกล่าวว่า ทุกคนมีข้อเสีย และต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่ผมกลับคิดเสมอว่าตัวเองเก่งที่สุด และเหนือกว่าคนอื่น นี่ไม่ใช่ความยโสหรือ? ผมได้เห็นจากพระวจนะว่า พระเจ้าทรงเกลียดคนเช่นนั้น
ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง “เมื่อต้องแก้งานอยู่เสมอในระหว่างที่ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตน ปัญหาใหญ่ที่สุดไม่ใช่การไม่มีความรู้เฉพาะทางหรือขาดพร่องประสบการณ์ แต่เป็นเพราะพวกเขาคิดว่าตนชอบธรรมเสมอและโอหังเกินไป เพราะพวกเขาไม่ทำงานอย่างปรองดอง แต่ตัดสินใจและกระทำการโดยลำพัง—ส่งผลให้พวกเขาทำให้งานยุ่งเหยิง และไม่สัมฤทธิ์ผลใดๆ และทำให้เวลากับความพยายามทั้งหมดต้องเสียเปล่า และปัญหาที่หนักหนาสาหัสที่สุดในการนี้ก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนร้ายแรงเกินไป พวกเขาก็ไม่ใช่คนดีอีกต่อไป พวกเขาคือคนเลว อุปนิสัยของคนเลวร้ายแรงกว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั่วไปเป็นอันมาก คนเลวหมิ่นเหม่ที่จะกระทำความเลว พวกเขาหมิ่นเหม่ที่จะก้าวก่ายและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ทั้งหมดที่คนเลวสามารถทำได้เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ก็คือการทำสิ่งทั้งหลายอย่างเลวและทำให้สิ่งต่างๆ ยุ่งเหยิง การปรนนิบัติของพวกเขามีปัญหามากกว่ามีค่า ผู้คนบางคนไม่ได้เลว แต่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเอง—และในทำนองเดียวกันพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยรวมแล้ว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องเหมาะสมของผู้คน พวกเจ้าคิดว่าแง่มุมใดของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนมีผลกระทบใหญ่หลวงที่สุดต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา? (ความโอหังและความคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ) แล้วอะไรคือการสำแดงหลักถึงความโอหังและความคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ? การตัดสินใจเพียงลำพัง ทำตามวิธีของเจ้าเอง ไม่ฟังข้อเสนอแนะของผู้อื่น การไม่ปรึกษากับผู้อื่น การไม่ร่วมมืออย่างกลมกลืน และพยายามที่จะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดเสมอ แม้ว่าพี่น้องชายหญิงมากพอประมาณอาจกำลังร่วมมือกันเพื่อปฏิบัติหน้าที่เฉพาะหน้าที่หนึ่ง โดยที่พวกเขาแต่ละคนดูแลกิจของพวกเขาเอง แต่ผู้นำกลุ่มหรือผู้ดูแลบางคนก็ต้องการเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดเสมอ ไม่ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใดก็ตาม พวกเขาก็ไม่เคยร่วมมืออย่างกลมกลืนกับผู้อื่น และพวกเขาไม่มีส่วนร่วมในการสามัคคีธรรม และพวกเขาทำสิ่งต่างๆ อย่างหุนหันโดยไม่มีการลงมติเป็นเอกฉันท์กับผู้อื่น พวกเขาบังคับให้ทุกคนฟังแต่พวกเขาเท่านั้น และปัญหาก็อยู่ที่ตรงนี้” (“การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ผมประทับใจพระวจนะเหล่านี้มาก ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมเมื่อก่อนผมทำหน้าที่ได้ไม่เกิดผล พอมาอ่านถึงได้เข้าใจว่า มันเป็นเพราะอุปนิสัยของผมโอหังเกินไป และผมร่วมมือกับผู้อื่นไม่ได้ ช่วงนั้นเวลาทำงานกับพี่น้องหญิงทั้งสาม ผมมักเป็นคนมีสิทธิ์ขาดเสมอ ทุกครั้งที่หารือเรื่องเนื้อหาที่จะสามัคคีธรรมในการชุมนุม ทุกคนควรได้เสนอทรรศนะและความเห็นของตน แล้วมาตัดสินใจว่า ภาพรวมของหัวข้อที่จะพูดควรเป็นเรื่องอะไร เพื่อให้แน่ใจว่า การชุมนุมจะได้ผล แต่ผมกลับตัดสินใจเอาเองโดยไม่ถามความเห็นของพวกเธอ เพราะคิดว่าความเห็นของผมดีแล้ว และผมไม่จำเป็นต้องฟังใคร เวลามีคนค้านขึ้นมา ผมก็หาเหตุผลทั้งหลายมาปฏิเสธ เพราะผมโอหังเกินจะยอมรับคำแนะนำของผู้อื่น ทำให้ผมไม่มีการทรงนำหรือพระพร และไม่เกิดผลในหน้าที่เลย ความล้มเหลวครั้งนี้ เปิดเผยในสิ่งที่ผมเป็น
ต่อมา ผู้นำส่งพระวจนะมาให้สองบทตอน พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะรู้วิธีปฏิบัติความจริงและเชื่อฟังพระเจ้า และก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และอยู่ในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ผละจากเจ้าไป—ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ที่เจ้าจะทรยศพระเจ้า หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน เช่นนั้นแล้วการถูกบอกให้ไม่ต่อต้านพระเจ้าก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร เจ้าไม่อาจห้ามตัวเองได้มันอยู่เหนือการควบคุมของตัวเจ้า เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง นำเสนอตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าสบประมาทผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นจะไม่ปล่อยให้หัวใจของเจ้ามีผู้ใดนอกจากตัวเจ้าเอง ความโอหังและความทะนงตนจะปล้นที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าไป และในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหตุให้เจ้านั่งแทนที่พระเจ้าและเรียกร้องให้ผู้คนนบนอบเจ้า และทำให้เจ้าเทิดทูนความคิด แนวคิด และมโนคติอันหลงผิดของตนเองว่าเป็นความจริง ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและหยิ่งทะนงของตนนั้นทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน! เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาการทำชั่วของพวกเขา พวกเขาจะต้องแก้ไขธรรมชาติของตนเสียก่อน หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำพาการแก้ไขขั้นพื้นฐานมาสู่ปัญหานี้” (“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “เจ้าต้องจำไว้ว่า การลุล่วงหน้าที่ของเจ้าไม่ใช่เรื่องของการเข้ารับภาระหน้าที่ตามความมานะพยายามของเจ้าเองหรือการบริหารจัดการของเจ้าเอง นี่ไม่ใช่งานส่วนตัวของเจ้า แต่เป็นงานของคริสตจักร และเจ้าก็เพียงแค่มีส่วนร่วมแบ่งปันจุดแข็งที่เจ้ามีเท่านั้น สิ่งที่เจ้าทำในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในความร่วมมือของมนุษย์ บทบาทของเจ้าเป็นเพียงบทบาทเล็กๆ อยู่ในบางหลืบมุมเท่านั้น เจ้าแบกรับความรับผิดชอบที่ไม่สำคัญ เจ้าควรมีสำนึกนี้อยู่ในหัวใจของตน และดังนั้น ไม่ว่าจะมีผู้คนกี่คนทำกิจหนึ่งอยู่ก็ตาม เมื่อเผชิญความลำบากยากเย็น สิ่งแรกที่ทุกคนควรทำคืออธิษฐานถึงพระเจ้าและสามัคคีธรรมร่วมกัน แสวงหาความจริง แล้วจึงกำหนดว่าหลักธรรมที่ควรปฏิบัติคือสิ่งใด เมื่อพวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาก็จะมีเส้นทางปฏิบัติ ผู้คนบางคนพยายามโอ้อวดอยู่เสมอ และเมื่อได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานสักชิ้น พวกเขาก็ต้องการเป็นผู้ชี้ขาดตลอดเวลา นี่คือพฤติกรรมประเภทใด? นี่คือการทำตัวเป็นกฎหมายเสียเอง พวกเขาวางแผนว่าตนจะทำอะไรบ้างด้วยตัวเอง ไม่แจ้งผู้อื่น และไม่นำความคิดเห็นของตนไปหารือกับใคร พวกเขาทั้งไม่แบ่งปันความคิดเห็นกับใครและไม่เผยความเห็นออกมา แต่กลับซ่อนเร้นเอาไว้ในหัวใจของตน เมื่อถึงเวลากระทำการ พวกเขาก็ต้องการทำให้ผู้อื่นอัศจรรย์ใจไปกับความสำเร็จอันปราดเปรื่องของตนอยู่เสมอ ต้องการที่จะสร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ให้แก่ทุกคน เพื่อให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาสูงส่ง นั่นคือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือไม่? พวกเขากำลังพยายามโอ้อวด และเมื่อพวกเขามีสถานะและมีชื่อเสียง พวกเขาก็จะเริ่มดำเนินการของตนเอง ผู้คนเช่นนี้มีความมักใหญ่ใฝ่สูงที่คะนองมิใช่หรือ? เหตุใดเจ้าจึงจะไม่บอกใครเลยว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เนื่องจากงานนี้ไม่ใช่ของเจ้าเพียงลำพัง เหตุใดหรือเจ้าจึงจะกระทำการโดยไม่มีการเสวนาการนั้นกับใครเลยและทำการตัดสินใจด้วยตัวเจ้าเอง? เหตุใดหรือเจ้าจึงจะกระทำการอย่างลับๆ โดยปฏิบัติการในกล่องดำ เพื่อให้ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับการนั้น? เหตุใดหรือเจ้าจึงจะลองพยายามอยู่เสมอที่จะทำให้ผู้คนใส่ใจเจ้าเพียงลำพัง? เห็นได้ชัดเจนว่าเจ้ามีทรรศนะถึงงานนี้ว่าเป็นงานส่วนบุคคลของเจ้าเอง เจ้าคือนาย และคนอื่นทุกคนคือคนทำงาน—พวกเขาทั้งหมดทำงานให้เจ้า เมื่อเจ้ามีความคิดเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา นี่ไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ? สิ่งที่บุคคลประเภทนี้เปิดเผยไม่ใช่อุปนิสัยที่แท้จริงของซาตานกระนั้นหรือ? เมื่อผู้คนเช่นนี้ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาย่อมจะถูกขับออกไป” (“การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ผมเพิ่งตระหนักได้หลังอ่านพระวจนะ ว่าความโอหังกลายเป็นธรรมชาติ และเป็นสิ่งที่ผมเปิดโปงไปเอง เมื่อผมมีสถานะในพระนิเวศ ผมก็แค่ต้องการใช้โอกาสนี้เพื่ออวดตน เป็นวิธีแสดงว่าผมเก่งกว่าคนอื่น และเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับหัวหน้ากลุ่ม ผมต้องการพิสูจน์กับคู่ทำงานด้วยว่า ผมเก่งกว่า และไม่ต้องการคำแนะนำหรือความช่วยเหลือของพวกเธอ ความโอหังของผม ทำให้ผมคิดเสมอว่า ผมรู้ทุกอย่างและเปล่าประโยชน์ที่จะฟังคนอื่น ผมทำราวกับความคิดของตัวเองเป็นความจริง ให้คนอื่นทำตามที่ผมต้องการ และไม่แสวงหาความจริง หรือพึ่งพาพระเจ้าในหน้าที่ ผมกลับพึ่งประสบการณ์ และขีดความสามารถทางใจของตัวเองเพื่อให้น้ำผู้มาใหม่ บีบให้ผู้อื่นรับฟังและเชื่อฟังผม นี่ไม่เหมือนหัวหน้าทูตสวรรค์หรอกหรือ? หัวหน้าทูตสวรรค์โอหัง และไม่นมัสการพระเจ้า มันอยากตีเสมอพระเจ้า สุดท้ายก็พาทูตสวรรค์อีกหลายตนทรยศพระเจ้าไปด้วย ผมติดกับดักของอุปนิสัยโอหัง ไม่ยอมรับความจริง และให้คนอื่นมาฟังผม ผมต่อต้านและทรยศพระเจ้าเหมือนหัวหน้าทูตสวรรค์ ผมยังนึกขึ้นได้ว่า ก่อนมาเชื่อในพระเจ้าผมเป็นคนโอหังมาก ผมดูถูกคนที่ด้อยกว่า รวมถึงเหล่าพี่ชายตัวเอง สมัยเด็ก เวลาผมไม่ได้คะแนนสอบสูงที่สุด พ่อก็ด่าผมดังลั่นว่า “แกต้องสอบได้ที่หนึ่ง ต้องนำหน้าทุกคน!” ย่ายังเคยบอกผมด้วยว่า “หลานต้องมุ่งมั่นเพื่อเป็นคนเก่งที่สุด คนอื่นจะได้นับถือ” ได้ยินพวกท่านพูดแบบนี้ ผมเลยพยายามโดดเด่นจากทุกคน และวางตัวเองไว้ที่หนึ่งเสมอ จะได้ดูแข็งแกร่งกว่าใครๆ ผมคิดว่า การฟังคนอื่นจะทำให้ผมดูแย่ ผมเลยไม่อยากรับคำแนะนำจากคนอื่น ผมเพิ่งได้เข้าใจจากพระวจนะ ว่าทรรศนะเหล่านี้ผิดโดยสิ้นเชิง ผมมักวางตัวเองอยู่เหนือผู้อื่น และไม่ยอมใคร นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ถ้าไม่เปลี่ยนสิ่งนี้ ไม่ใช่แค่ผมไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ แต่ผมจะทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า สุดท้าย ผมคงถูกพระเจ้าขับออกและลงโทษ การอ่านพระวจนะยังทำให้ผมเข้าใจว่า หน้าที่ไม่ใช่อาชีพส่วนตัว และไม่ใช่โอกาสให้ผมอวดความสามารถ มันคือพระบัญชาจากพระเจ้า เมื่อเรื่องยากลำบาก ผมต้องร่วมแก้ไขกับผู้อื่น และก่อนตัดสินใจ ผมต้องขอคำแนะนำจากบรรดาคู่ทำงานก่อน ถ้าผมตัดสินใจโดยไม่คำนึงถึงความเห็นของผู้อื่น และทำให้งานของพระนิเวศล่าช้า การทำหน้าที่แบบนี้คือการทำชั่ว เมื่อตระหนักได้ ผมก็อยากเปลี่ยนแปลงท่าทีต่อหน้าที่ และร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียว
ต่อมาระหว่างเฝ้าเดี่ยว ผมได้เห็นพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร การร่วมมือกับผู้อื่นยากหรือไม่? อันที่จริงแล้วไม่ยาก พวกเจ้าสามารถพูดว่าง่ายด้วยซ้ำ แต่เหตุใดผู้คนจึงยังคงรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องยาก? เพราะพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม สำหรับผู้ที่ครองสภาวะความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และสำนึก การร่วมมือกับผู้อื่นนั้นค่อนข้างง่าย และพวกเขามีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่านี่เป็นบางสิ่งที่ชวนให้ชื่นบาน เนื่องจากการที่ใครสักคนจะทำสิ่งทั้งหลายให้สำเร็จลุล่วงด้วยตนเองไม่ใช่การง่าย ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสายงานใดหรือพวกเขากำลังทำสิ่งใดอยู่ก็ตาม การมีใครบางคนอยู่ในที่นั้นด้วย ชี้แจงสิ่งต่างๆ และให้ความช่วยเหลือย่อมดีเสมอ—ง่ายกว่าการทำสิ่งนั้นด้วยตนเองเป็นอันมาก นอกจากนี้ยังมีขีดจำกัดในสิ่งที่ขีดความสามารถของผู้คนสามารถทำได้หรือสิ่งที่พวกเขาสามารถมีประสบการณ์ด้วยตนเองได้อีกด้วย ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญทุกศาสตร์ เป็นไปไม่ได้ที่บุคคลหนึ่งๆ จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เรียนทุกสิ่งทุกอย่าง สำเร็จลุล่วงทุกสิ่งทุกอย่าง—นั่นเป็นไปไม่ได้ และทุกคนควรมีสำนึกเช่นนี้ และดังนั้น ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่ามันจะสำคัญหรือไม่ ก็ควรมีผู้คนอยู่ตรงนั้นเสมอเพื่อช่วยเหลือเจ้า ให้คำชี้แนะ คำแนะนำแก่เจ้า และช่วยเจ้าในสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ เจ้าจะทำสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องมากขึ้น และย่อมจะเป็นการยากขึ้นที่จะทำความผิดพลาด เจ้าจะมีแนวโน้มที่จะหลงทางน้อยลง—ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลดีทั้งสิ้น” (“พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) หลังใคร่ครวญพระวจนะผมก็เข้าใจว่า มีเพียงการร่วมมือกับผู้อื่น ที่เราจะทำหน้าที่ และใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ปกติได้อย่างแท้จริง ผมเคยคิดว่า คู่ทำงานบางคนของผม ยอมรับงานของพระเจ้าได้แค่ไม่กี่เดือน และเพิ่งเริ่มงานให้น้ำ จึงมีอีกหลายอย่างที่พวกเธอไม่เข้าใจ ขณะที่ผมเชื่อมาสามปีแล้ว แถมมีประสบการณ์มากกว่า ผมเลย ไม่เคยยอมรับข้อเสนอแนะหรือความเห็นของพวกเธอเลย ตอนนี้เองผมถึงได้เห็นว่านี่คือทรรศนะที่ผิด ถึงผมจะเชื่อในพระเจ้ามานานกว่า และมีประสบการณ์มากกว่า ก็ไม่ได้แปลว่าผมเก่งกว่าพวกเธอไปเสียทุกเรื่อง ถ้าไม่ร่วมมือกับพี่น้องชายหญิง ผมก็ไม่มีทางทำหน้าที่ให้ดีได้ บางครั้งเวลาชุมนุม ผมเข้าใจความจริงบางอย่างเพียงผิวเผิน และสามัคคีธรรมได้ไม่ดี จึงต้องมีคู่ทำงานมาสามัคคีธรรมให้ชัดเจนมากขึ้น บางครั้งผู้มาใหม่มาชุมนุมไม่ได้เพราะป่วย หรือเข้าชุมนุมตามปกติไม่ได้เพราะงาน และผมก็หาพระวจนะมาใช้กับสถานการณ์ของพวกเขาไม่ได้ จึงต้องมีเหล่าคู่ทำงาน ที่จริง ทุกคนต่างมีโอกาสได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ให้ความรู้แจ้ง และประทานขีดความสามารถให้ผมคนเดียว ผมยกย่องตัวเองมากเกินไป และคิดว่าคนอื่นโง่เง่า นี่คือเรื่องผิดพลาด และโง่เขลา การให้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีประสบการณ์ทำงานมากแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราแสวงหาและยอมรับความจริงได้หรือไม่ และทุกคนต่างก็มีข้อดีของตัวเอง เช่นเดียวกับพี่จอนน่า ที่แบกรับภาระในหน้าที่ และมักจะมีข้อเสนอที่ดี ผมควรร่วมมือกับพี่สาวคนนี้ และเรียนรู้ข้อดีของเธอ เพื่อชดเชยข้อเสียของตนเอง
หลังจากนั้น ผมก็พยายามฟังความเห็นของเหล่าพี่น้องในหน้าที่ ทุกครั้งที่ชุมนุมเสร็จ เวลาพี่สาวของผม ขอให้ผมไปถามผู้มาใหม่รายคนว่าเข้าใจที่พูดไหม ผมก็ทำตามที่เธอเสนอ และไม่ต่อต้านเหมือนเมื่อก่อน อีกทั้ง เวลาเธอขอให้ผมสามัคคีธรรมกับผู้มาใหม่ให้ละเอียดมากขึ้น ขอให้พยายามแก้ไข้ปัญหาอย่างเต็มที่ ผมก็ทำเช่นกัน บางครั้ง เธอเสนอแนวคิดที่ดีในการให้น้ำผู้มาใหม่ และผมก็ทำตาม ต่อมา ผมได้เห็นผู้มาใหม่มาเข้าชุมนุมเยอะขึ้น ผมมีความสุขมาก ผมนึกถึงพระวจนะที่ว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เพียงทรงกระทำพระราชกิจเฉพาะในตัวผู้คนบางคนที่พระเจ้าทรงใช้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทรงกระทำในผู้คนในคริสตจักรด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงกระทำพระราชกิจในใครก็ได้ทั้งสิ้น พระองค์อาจทรงกระทำพระราชกิจในตัวเจ้าในระหว่างช่วงเวลาปัจจุบัน และเจ้าก็จะได้ประสบการณ์กับพระราชกิจนี้ ในช่วงเวลาถัดไป พระองค์อาจทรงกระทำพระราชกิจในตัวคนอื่น ซึ่งเจ้าต้องรีบกระวีกระวาดติดตามทันที ยิ่งเจ้าติดตามความสว่างปัจจุบันได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้นเท่าไร ชีวิตเจ้าก็ยิ่งเติบโตได้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าบางคนนั้นจะเป็นบุคคลที่มีกิริยามารยาทอย่างไรก็ตาม หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา เจ้าก็ต้องติดตามพวกเขา จงเปิดรับประสบการณ์ของพวกเขาโดยผ่านทางประสบการณ์ของเจ้าเอง แล้วเจ้าจะยิ่งได้รับสิ่งที่สูงกว่านั้น เมื่อทำดังนั้น เจ้าก็จะยิ่งก้าวหน้าเร็วขึ้น นี่คือเส้นทางแห่งการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมและเป็นวิถีทางที่ทำให้ชีวิตเติบโต” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหล่าผู้เชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจจริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน) พระวจนะยิ่งทำให้ผมเข้าใจชัดเจนว่า ในหน้าที่ ผมจะโอหังและยืนกรานในวิธีของตัวเองไม่ได้ และผมต้องร่วมมือกับผู้อื่น นี่ก็เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่ทุกคน ไม่ว่าบุคคลหนึ่งเชื่อในพระเจ้ามานานแค่ไหน มีสถานะหรือไม่ ถ้าเขาพูดสอดคล้องกับความจริง เราก็ควรยอมรับและเชื่อฟัง ถ้าไม่ยอมฟัง พระเจ้าจะไม่อวยพระพรเราในหน้าที่ ประสบการณ์นี้ทำให้ผมเห็นความสำคัญของการร่วมมืออย่างกลมเกลียวในหน้าที่
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ