ฉันเรียนรู้แล้วว่าจะปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไรให้เหมาะสม

วันที่ 28 เดือน 01 ปี 2021

โดย ซือหยวน ประเทศฝรั่งเศส

เมื่อสองปีก่อน ฉันกำลังทำหน้าที่ผู้นำคริสตจักร ในคริสตจักรมีพี่ชายนามสกุลเฉินคนหนึ่งมีความสามารถมาก แต่เขามีอุปนิสัยหยิ่งยโสมาก และมักทำให้คนอื่นอึดอัด เขาชอบโอ้อวด ดังนั้นฉันจึงเริ่มเกิดอคติกับเขาและคิดกับเขาไปต่างๆ นานา วันหนึ่ง พี่เฉินมาพูดกับฉันว่าเขาต้องการรดน้ำบรรดาผู้เชื่อใหม่ๆ เขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้ามานานนัก และเข้าใจความจริงเพียงผิวเผิน ฉันจึงไม่อนุญาต เมื่อเห็นว่าฉันไม่ยินยอม เขาพูดว่า “ผมมีความสามารถมากขนาดนี้ ทำไมผมถึงไม่ควรได้ทำหน้าที่รดน้ำล่ะ ถ้าผมไม่ไปทำ พรสวรรค์ของผมจะเสียเปล่านะครับ” ฉันไม่สบอารมณ์กับคำถามนั้น และคิดว่า “คุณคิดว่าหน้าที่รดน้ำมันง่ายนักหรือ คุณทำหน้าที่นี้ให้ดีโดยใช้แค่พรสวรรค์และความสามารถของคุณ โดยไม่เข้าใจความจริงได้ไหม อย่ายกยอตัวเองหน่อยเลย!” ฉันปฏิเสธคำขอของพี่เฉิน และบอกพี่น้องชายหญิงคนอื่นว่าเขาโอหังแค่ไหน ยกตัวอย่างวิธีที่เขาแสดงความเสื่อมทรามมากมาย พี่น้องบางคนก็เห็นด้วยกับที่ฉันพูดนะคะ

สองสัปดาห์ต่อมา คริสตจักรจัดการเตรียมการเพื่อที่ในการชุมนุมในอนาคต เราจะสามารถ ชมภาพยนตร์ของคริสตจักรรวมถึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ ภาพยนตร์เหล่านี้ทั้งหมดสามัคคีธรรมถึงความจริงและเป็นคำพยานต่อพระเจ้า ดังนั้นเมื่อดูแล้วจะสามารถช่วยให้พวกเราเข้าใจความจริงได้ ที่การชุมนุมครั้งถัดมา พี่เฉินพูดว่า “นี่เป็นแผนที่ยอดเยี่ยมมากครับ ผู้นำกับเพื่อนร่วมงานบางคนได้แต่แบ่งปันคำพูดซ้ำซากในการชุมนุม ดังนั้นชมภาพยนตร์จะดีกว่า ผมพบว่าหน้าที่ของผมหนักมากในตอนแรกเพราะผมไม่เข้าใจความจริง แต่แล้วผมก็อธิษฐาน พึ่งพาพระเจ้า และอ่านพระวจะของพระเจ้ามากขึ้น และภาพยนตร์ของคริสตจักรพวกนี้ก็ช่วยผมมากเหมือนกัน พอได้ดูแล้วผมก็เข้าใจความจริงบางประการ ตอนนี้ผมมีทักษะในหน้าที่ของผมดีพอสมควร และมีความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องหลักปฏิบัติ ผมประสบผลสำเร็จมากมายในหน้าที่ของผม” ฉันพบว่าการสามัคคีธรรมของเขาน่ารังเกียจและเกินงามไปมาก และฉันคิดว่า “คุณนี่โอ้อวดทุกครั้งที่มีโอกาสจริงๆ ใช่ไหม คุณช่างโอหังอะไรอย่างนี้!” หลังจากนั้นเราได้เลือกปัญหาส่วนหนึ่งเพื่อที่จะจัดการในการชุมนุมครั้งถัดมา และพี่เฉินก็กระโดดเข้ามาฮุบไปสามปัญหา เขามอบหมายปัญหาที่เหลือให้คนอื่นให้การสามัคคีธรรมอีกด้วย ตอนที่ฉันกำลังมอบหมายให้หัวหน้ากลุ่มเป็นเจ้าภาพการชุมนุม พี่เฉินถามเขาด้วยน้ำเสียงคลางแคลงใจ “แน่ใจหรือ” ได้ยินเขาพูดแบบนี้ราวกับมีเขาคนเดียวที่เป็นเจ้าภาพการชุมนุมได้ ฉันก็โกรธจัดและคิดว่า “คุณนี่ไม่มีเหตุผลเลย คุณแค่โอ้อวดเพื่อให้คนอื่นยกย่องคุณ ถ้าคุณหวังแบบนั้น ก็ลืมไปได้เลย” ดังนั้นฉันจึงจัดวางทุกอย่างใหม่ และไม่อนุญาตให้เขาเป็นเจ้าภาพการชุมนุม ตลอดช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกไม่พอใจพี่เฉินมากๆ ทุกครั้งที่ฉันคิดเรื่องพฤติกรรมของเขา โดยเฉพาะที่ฉันพูดกับเขาหลายครั้งเรื่องพฤติกรรมที่หยิ่งยโสของเขา แต่เขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ฉันรู้สึกว่าเขาหยิ่งยโสเกินไป แบบไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นฉันจึงจำแนกว่าเขาเป็นคนที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และลงความเห็นว่าคนที่หยิ่งยโสแบบเขาไม่เหมาะจะทำหน้าที่ของเขา ฉันคิดว่าฉันแค่ต้องเปลี่ยนตัวเขา แล้วปัญหาก็จะหมดไป

เมื่อการชุมนุมจบลง ฉันคิดถึงทัศนคติกับพฤติกรรมของฉัน แล้วก็รู้สึกแย่อยู่บ้าง ฉันรู้สึกว่าฉันหนักข้อกับพี่เฉินเกินไป ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าทัศนคติของข้าพระองค์นั้นผิด แต่ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าปัญหาของข้าพระองค์คืออะไร หรือต้องเข้าสู่หลักปฏิบัติแห่งความจริงข้อไหน โปรดประทานความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” วันต่อมาระหว่างการสักการะ ฉันอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “ตามหลักการใดที่เจ้าควรจะปฏิบัติต่อสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า? (ปฏิบัติกับพี่น้องชายหญิงทุกๆ คนอย่างเป็นธรรม) เจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเป็นธรรมอย่างไร? ทุกคนมีจุดอ่อนและข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ตลอดจนนิสัยประจำตัวเฉพาะบางอย่าง ผู้คนทั้งหมดล้วนครองความเห็นว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ ความอ่อนแอ และด้านที่พวกเขาขาดพร่อง เจ้าควรช่วยพวกเขาด้วยหัวใจที่รักใคร่ ยอมผ่อนปรนและอดกลั้น และไม่หยาบกระด้างเกินไปหรือเอะอะโวยวายกับทุกรายละเอียดเล็กๆ กับผู้คนที่อ่อนเยาว์หรือไม่ได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานานมากแล้ว หรือเพิ่งได้เริ่มต้นปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น ผู้คนเหล่านี้ที่มีข้อเรียกร้องพิเศษบางอย่างนั้น หากเจ้าแค่ฉวยเอาสิ่งเหล่านี้และใช้สิ่งเหล่านี้กับพวกเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็หยาบกระด้าง เจ้าเพิกเฉยต่อความชั่วที่ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นทำ แต่กระนั้นเมื่อจับตามองข้อบกพร่องและจุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ ในบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า เจ้าปฏิเสธที่จะช่วยเหลือพวกเขา แต่กลับเลือกที่จะทำเอะอะโวยวายกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นและตัดสินพวกเขาลับหลังแทน ด้วยเหตุนั้นจึงเป็นเหตุให้ผู้คนมากยิ่งขึ้นไปอีกมาต่อต้าน กีดกัน และผลักไสพวกเขา นี่เป็นพฤติกรรมแบบใดกัน? นี่เป็นแค่การทำสิ่งทั้งหลายไปบนพื้นฐานของการเลือกชอบส่วนตัวของเจ้า และการไม่สามารถปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างเป็นธรรม การนี้แสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่เสื่อมทรามและนั่นคือการล่วงละเมิด! เมื่อผู้คนทำสิ่งทั้งหลาย พระเจ้ากำลังทรงเฝ้ามอง ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดก็ตามและไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงมองเห็น!(“การที่จะได้รับความจริง เจ้าต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลายรอบตัวเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าแสดงสภาพจิตใจของฉันให้ฉันเห็น และฉันรู้สึกละอายใจ ฉันเห็นว่าฉันจัดการพี่เฉินผ่านอุปนิสัยเสื่อมทรามของฉัน เมื่อคิดย้อนไปถึงช่วงเวลาตั้งแต่ฉันพบเขา ฉันเห็นว่าเขาเผยความหยิ่งยโสในคำพูดและการกระทำบ่อยครั้ง ฉันจึงรู้สึกว่าเขาอ่อนวัยและหุนหันพลันแล่น และไม่รู้จักตัวเอง พอเอ่ยถึงเขาแม้แต่เพียงนิดเดียว ฉันก็คิดถึงแต่ข้อบกพร่องของเขา ฉันยึดติดกับการแสดงออกถึงความเสื่อมทรามของเขา ลงความเห็นว่าเขาหยิ่งยโสเกินกว่าเหตุ และคนแบบนั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ฉันไม่เคยปฏิบัติต่อเขาอย่างเป็นธรรมได้เลย ฉันรู้สึกต่อต้านและคัดค้านมุมมองอะไรก็ตามที่เขาแสดง ฉันตัดสินและดูถูกเขาต่อหน้าคนอื่น กระจายอคติของฉันออกไป และทำให้คนอื่นกีดกันและไม่ยอมรับเขาไปด้วย ฉันถึงกับอยากปลดเขาออกจากหน้าที่ นี่ฉันใช้ตำแหน่งของฉันในฐานะผู้นำเพื่อกำราบและลดบทบาทเขาไม่ใช่หรือ ฉันถือว่ามุมมองและความเชื่อของฉันเป็นความจริง เป็นเกณฑ์การตัดสินผู้คน ราวกับแค่ปรายตามองฉันก็สามารถรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับใครบางคนและเห็นแก่นแท้ของเขาได้ ฉันหยิ่งยโสและถือดีมาก ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก โดยปราศจากหลักปฏิบัติแห่งความจริง แต่ฉันยังตัดสินและกล่าวโทษคนอื่นตามอำเภอใจ ฉันไม่มีสำนึกอะไรทั้งสิ้น! ฉันไม่มีความเคารพนับถือใดๆ ต่อพระเจ้าเลย ฉันปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงตามใจชอบและใช้ชีวิตด้วยธรรมชาติแบบปีศาจ มันน่าสะอิดสะเอียนมากสำหรับพระเจ้า น่าขยะแขยงมาก พอคิดแบบนั้นฉันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

หลังจากนั้นฉันก็ไปหาหลักปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้าว่าจะปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรมได้อย่างไร ฉันพบพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน “เจ้าเป็นอย่างไรในการปฏิบัติต่อผู้อื่นนั้นถูกแสดงให้เห็นหรือให้เบาะแสอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า ท่าทีที่พระเจ้าทรงใช้ปฏิบัติต่อมนุษยชาติคือท่าทีที่ผู้คนควรจะรับมาใช้ในการปฏิบัติตัวต่อกันและกันของพวกเขา พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกๆ บุคคลอย่างไร? ผู้คนบางคนมีวุฒิภาวะที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ หรือยังอ่อนเยาว์ หรือได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น พระเจ้าอาจทรงมองผู้คนเหล่านี้ว่าทั้งไม่ใช่คนไม่ดีและไม่ใช่คนร้ายกาจโดยธรรมชาติและในแก่นแท้ เป็นแค่ว่าพวกเขาค่อนข้างไม่รู้เท่าทันหรือขาดพร่องในขีดความสามารถ หรือว่าพวกเขาถูกปนเปื้อนโดยสังคมมากเกินไป พวกเขายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง มันจึงยากสำหรับพวกเขาที่จะยับยั้งจากการทำสิ่งที่โง่เขลาบางอย่างหรือกระทำการบางอย่างที่ไม่รู้เท่าทัน อย่างไรก็ตาม จากมุมองของพระเจ้าแล้วนั้น เรื่องเช่นนี้ไม่สำคัญ พระองค์ทรงมองที่หัวใจของผู้คนเท่านั้น หากพวกเขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง พวกเขาก็มุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง และนี่คือวัตถุประสงค์ของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็กำลังทรงเฝ้ามองพวกเขา ทรงรอคอยพวกเขา และทรงให้เวลาและโอกาสที่อนุญาตให้พวกเขาเข้าสู่ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าทรงทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ด้วยหมัดเดียว อีกทั้งไม่ใช่ว่าพระองค์ทรงฉวยเอาการล่วงละเมิดที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยทำไว้และปฏิเสธที่จะปล่อยไป พระองค์ไม่เคยทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนี้ นั่นกล่าวได้ว่า หากผู้คนปฏิบัติต่อกันในลักษณะเช่นนั้นแล้วไซร้ นี่จะไม่แสดงให้เห็นอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาหรอกหรือ? นี่คืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาอย่างแน่นอน เจ้าต้องมองไปที่วิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันและโง่เขลา วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเหล่านั้นที่มีวุฒิภาวะยังไม่เป็นผู้ใหญ่ วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อการสำแดงแบบปกติถึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษยชาติ และวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกที่ร้ายกาจ พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนที่แตกต่างกันในหนทางที่แตกต่างกัน และพระองค์ยังทรงมีสารพัดวิธีในการบริหารจัดการสภาวะเงื่อนไขที่มากมายเหลือคณาของผู้คนที่แตกต่างกัน เจ้าต้องเข้าใจความจริงเหล่านี้ ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงเหล่านี้ เมื่อนั้นเจ้าก็จะรู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์กับความจริงเหล่านั้น(“การที่จะได้รับความจริง เจ้าต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลายรอบตัวเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)เจ้าอาจจะเข้ากันไม่ได้กับบุคลิกภาพของใครบางคน และเจ้าอาจจะไม่ชอบเขา แต่เมื่อเจ้าทำงานด้วยกันกับเขา เจ้าก็ยังคงเป็นกลางและจะไม่ระบายความขัดข้องใจของเจ้าออกมาในการทำหน้าที่ของเจ้า พลีอุทิศหน้าที่ของเจ้า หรือถอดความขัดข้องใจของเจ้าออกไปเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวพระเจ้า เจ้าสามารถทำสิ่งทั้งหลายให้สอดคล้องกับหลักการ เช่นนั้น เจ้ามีความเคารพเบื้องต้นต่อพระเจ้า หากเจ้ามีมากกว่านั้นสักนิด เช่นนั้นแล้ว เมื่อเจ้ามองเห็นว่าใครบางคนมีความผิดหรือจุดอ่อนบางอย่าง—ต่อให้เขาได้ทำให้เจ้าขุ่นเคืองหรือทำอันตรายต่อผลประโยชน์ของเจ้าเอง—เจ้าก็ยังคงมีหลักการนั้นอยู่ในตัวเจ้าที่จะช่วยเขา การทำดังนั้นคงจะดีกว่าด้วยซ้ำ นั่นคงจะหมายความว่าเจ้าเป็นบุคคลผู้ครองความมีมนุษยธรรม ความเป็นจริงของความจริง และความเคารพต่อพระเจ้า(“ห้าสภาวะที่จำเป็นต่อการอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)

พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนมากในเรื่องหลักปฏิบัติและวิถีการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรม รวมถึงทัศนคติของพระองค์ต่อผู้คนด้วย ทัศนคติของพระองค์ต่อศัตรูของพระคริสต์และคนชั่ว คือทัศนคติแห่งความเกลียดชัง การสาปแช่ง และการลงโทษ ส่วนพวกที่มีวุฒิภาวะน้อยนิด ด้อยความสามารถ และผู้ที่มีอุปนิสัยเสื่อมทรามและข้อบกพร่องหลากหลาย ตราบใดที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ปรารถนาที่จะไล่ตามความจริง และสามารถยอมรับความจริงได้ ทัศนคติของพระเจ้าคือทัศนคติแห่งความรัก ความเมตตา และความรอด เราเห็นว่าพระเจ้าทรงมีหลักปฏิบัติในการปฏิบัติต่อทุกผู้ทุกคนของพระองค์ และพระองค์ทรงขอให้เราปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักปฏิบัติแห่งความจริง ตัวอย่างเช่น เราต้องอดทนและให้อภัยบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เราต้องช่วยพวกเขาด้วยความรักและให้โอกาสพวกเขาได้กลับใจและเปลี่ยนแปลง เราไม่สามารถดูถูกผู้คนเพราะพวกเขาแสดงความเสื่อมทรามบางประการ นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า ดูอย่างพี่เฉินสิคะ เขามีความสามารถมากและรับผิดชอบในหน้าที่ เขาเต็มใจอุตสาหะในการไล่ตามความจริงอีกด้วย เขาเป็นผู้เชื่อใหม่ ประสบการณ์ของเขายังผิวเผิน และเขามีความหยิ่งยโส แต่ฉันควรปฏิบัติต่อเขาอย่างยุติธรรมตามหลักปฏิบัติแห่งความจริง และสามัคคีธรรมความจริงด้วยความรักเพื่อช่วยเขา ฉันไม่เพียงไม่ช่วยเขา ไม่ยอมมองจุดแข็งและข้อดีของเขาเท่านั้น แต่ฉันถึงขั้นตัดสิน และกีดกันเขา และอยากให้เขาออกไปเมื่อเห็นข้อด้อยของเขา ฉันมีธรรมชาติที่มุ่งร้ายมากค่ะ! ฉันมาคิดดูว่าฉันทำตัวอย่างไรในฐานะผู้นำ ฉันคิดเสมอว่าฉันดีกว่าคนอื่น ฉันต้องการเป็นคนชี้ขาด ทำตามใจตัวเอง และไม่ฟังความคิดเห็นของคนอื่น ผลก็คือ ฉันเองก็ทำอะไรที่ขัดขวางงานของคริสตจักรด้วย แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงกำจัดฉัน พระองค์กลับใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อตัดสิน บ่มวินัย และจัดการฉัน เพื่อให้ฉันทบทวนตัวเอง ให้โอกาสฉันได้กลับใจและเปลี่ยนแปลง ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงไม่เคยละทิ้งหรือกำจัดเราแค่เพราะเราแสดงความเสื่อมทรามออกมา แต่ทรงทำทุกอย่างเพื่อช่วยเราให้รอด พระเจ้ามีพระทัยที่ดียิ่งค่ะ! และเมื่อพิจารณาพฤติกรรม กับวิธีการปฏิบัติต่อพี่เฉินของฉัน ฉันก็ละอายใจมากจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

แล้วฉันก็อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “สำหรับการที่ใครบางคนเป็นคนดีหรือไม่ดี และเขาหรือเธอควรได้รับการปฏิบัติอย่างไรนั้น ผู้คนควรจะมีหลักการของพวกเขาเองเกี่ยวกับพฤติกรรม อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องที่ว่าบุคคลนั้นจะมีบทอวสานอย่างไร—เขาหรือเธอจะจบลงด้วยการถูกพระเจ้าทรงลงโทษหรือไม่ หรือว่าเขาหรือเธอจะจบลงด้วยการได้รับการพิพากษาและการตีสอนหรือไม่นั้น—นั่นคือกิจธุระของพระเจ้า ผู้คนไม่ควรแทรกแซง พระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาตให้เจ้าทำการริเริ่มแทนพระองค์ จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นอย่างไรนั้นเป็นกิจธุระของพระเจ้า ตราบเท่าที่พระเจ้ายังมิได้ทรงตัดสินว่าผู้คนเช่นนั้นจะมีบทอวสานแบบใด ยังมิได้ทรงขับไล่พวกเขา และยังมิได้ทรงลงโทษพวกเขา และพวกเขากำลังได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรจะช่วยเหลือพวกเขาอย่างอดทน ด้วยความรัก เจ้าไม่ควรหวังที่จะกำหนดพิจารณาบทอวสานของผู้คนเช่นนั้น อีกทั้งเจ้าไม่ควรใช้วิธีการแบบมนุษย์เพื่อปราบปรามพวกเขาหรือลงโทษพวกเขา เจ้าอาจตัดแต่งและจัดการกับผู้คนเช่นนั้น หรือเจ้าอาจเปิดหัวใจของเจ้าและมีส่วนร่วมในการสามัคคีธรรมด้วยน้ำใสใจจริงเพื่อช่วยเหลือพวกเขา อย่างไรก็ตาม หากเจ้าครุ่นคิดถึงการลงโทษ การกีดกัน หรือการตีกรอบผู้คนเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีปัญหา การทำเช่นนั้นจะอยู่ในแนวเดียวกันกับความจริงกระนั้นหรือ? การมีความคิดเช่นนั้นคงจะเป็นผลมาจากการเป็นคนเลือดร้อน ความคิดเหล่านั้นมาจากซาตาน และมีต้นกำเนิดมาจากความไม่พอใจแบบมนุษย์ ตลอดจนจากความอิจฉาริษยาและความเกลียดแบบมนุษย์ ความประพฤติเช่นนั้นไม่คล้อยตามกับความจริง นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะนำมาซึ่งการลงทัณฑ์อันสาสมต่อเจ้า และไม่อยู่ในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า(“ห้าสภาวะที่จำเป็นต่อการอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่าฉันควรมีหลักปฏิบัติในการปฏิบัติตนต่อคนอื่น ฉันไม่สามารถจัดกลุ่มคนอื่นมั่วๆ โดยใช้มโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของฉัน หรือมุ่งมองไปที่การล่วงละเมิดของพวกเขา แล้วกล่าวโทษพวกเขาได้ กลับกัน ฉันควรปฏิบัติต่อพวกเขาตามธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขา และช่วยพวกเขาในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงตามสถานภาพและข้อบกพร่องที่แตกต่างกันของพวกเขา มันแล้วแต่สถานภาพของคนนะคะ บางคนมีความเป็นจริงของความจริง รู้ว่าเมื่อไหร่ต้องอดทนและช่วยเหลือ เมื่อไหร่ต้องตัดแต่งและจัดการพวกเขาอย่างหนัก และเมื่อไหร่ที่ต้องตำหนิ พวกเขาทำตัวเหมาะสมและมีหลักปฏิบัติเสมอ พวกเขาไม่เคยจำกัดใครมั่วๆ หรือปฏิบัติต่อพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงที่แสดงความเสื่อมทรามในฐานะศัตรู แต่ฉันสิคะ ปฏิบัติต่อพี่เฉินมาอย่างไร ตอนที่ฉันเห็นเขาเผยอุปนิสัยหยิ่งยโส ฉันก็แค่พูดถึงคร่าวๆ แล้วพอไม่ได้ผลฉันกีดกัน ตัดสิน และกล่าวโทษเขา และนินทาเขาลับหลัง ฉันไม่มีความความอดทนหรืออดกลั้นเลย แบบนั้นไม่มีทางเป็นการช่วยเหลือเขาด้วยหัวใจที่เปี่ยมรักได้ จากนั้นฉันก็อธิษฐานและกลับใจต่อพระเจ้า เพราะอยากปฏิบัติหลักปฏิบัติแห่งความจริงและช่วยพี่เฉินด้วยหัวใจเปี่ยมรักค่ะ

ดังนั้นฉันจึงไปสามัคคีธรรมกับพี่เฉินเรื่องพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอน และชี้ข้อบกพร่องของเขา เขาเริ่มเข้าใจอุปนิสัยหยิ่งยโสของตัวเอง และเข้าใจว่ามันอันตรายอย่างไรถ้าไม่แก้ไข เขาบอกว่าการสามัคคีธรรมและการตักเตือนของฉันเป็นประโยชน์จริงๆ และเขาอยากทบทวนตัวเองและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขา ฉันตื้นตันใจมากเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ แต่ฉันก็รู้สึกแย่ด้วย เขาไม่ได้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างที่ฉันคิด ฉันเองต่างหากที่ไม่ได้ทำหน้าที่ให้ดี ฉันไม่เคยพยายามช่วยเหลือเขาด้วยหัวใจเปี่ยมรักจริงๆ ฉันหยิ่งยโสและขาดความเป็นมนุษย์อย่างมาก!

ต่อมา ที่งานชุมนุม ฉันได้ยินคนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ให้คำเทศนาว่า “มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนครอบครองอุปนิสัยหยิ่งยโส แม้แต่บรรดาผู้ที่รักความจริงและผู้ที่ไล่ตามการได้รับการทำให้เพียบพร้อมทั้งหมดก็มีอุปนิสัยหยิ่งยโสและถือดี แต่นี่ไม่ได้ส่งผลต่อความสามารถของพวกเขาที่จะได้รับความรอดและได้รับการทำให้เพียบพร้อม ตราบใดที่ผู้คนสามารถยอมรับความจริงและยอมรับการตัดแต่งและการจัดการ และสามารถนบนอบต่อความจริงได้อย่างสิ้นเชิงไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร พวกเขาก็สามารถบรรลุความรอดและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้อย่างแท้จริง ที่จริง ท่ามกลางบรรดาผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริง และมีความตั้งใจแน่วแน่จริงๆ ไม่มีใครที่ไม่หยิ่งยโส นี่คือข้อเท็จจริงค่ะ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยวิธีการที่เหมาะสม พวกเขาต้องไม่จำกัดใครบางคนว่าไม่ใช่คนดี และเป็นคนที่ไม่สามารถถูกช่วยให้รอดและทำให้มีความเพียบพร้อมได้ เพียงเพราะคนคนนั้นหยิ่งยโสและถือดีอย่างยิ่งยวด…ในจุดนี้ บุคคลจำเป็นต้องเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่มีใครที่มีความสามารถและมีความตั้งใจแน่วแน่ แล้วไม่หยิ่งยโสหรือถือดีเลย ถ้าหากมี งั้นก็แน่นอนที่สุดว่าคนคนนั้นสวมหน้ากากหรือภาพลักษณ์ภายนอกที่เป็นเท็จ บุคคลต้องรู้ว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งหมดมีธรรมชาติหยิ่งยโสและถือดี นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้” (การสามัคคีธรรมจากเบื้องบน) นี่ช่วยให้ฉันเข้าใจมากขึ้นว่าจะปฏิบัติต่อผู้คนที่มีอุปนิสัยหยิ่งยโสได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ที่สำคัญคือต้องดูว่าพวกเขาไล่ตามและยอมรับความจริงได้หรือไม่ ถ้าพวกเขาสามารถยอมรับความจริง และยอมรับการพิพากษา การตีสอน การตัดแต่ง และการจัดการของพระเจ้าได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนแปลงและทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อมไม่ได้ พี่เฉินเพิ่งเป็นผู้เชื่อได้ไม่นาน ดังนั้นเขายังไม่ได้รับประสบการณ์การพิพากษาและการตีสอนมากนัก เป็นเรื่องปกติที่เขาจะมีความหยิ่งยโสมากหน่อย แต่พอฉันเห็นเขาเผยอุปนิสัยนี้ออกมา ฉันก็ตัดสินและกีดกันเขา และถึงกับอยากปลดเขาจากหน้าที่ ฉันหยิ่งยโสมากกว่าเขาเสียอีก! ฉันคิดว่าตราบใดที่ฉันไล่ตามความจริง อุปนิสัยหยิ่งยโสของฉันก็จะเปลี่ยนแปลง แล้วทำไมฉันถึงตัดสินว่าพี่เฉินไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ล่ะ ฉันไม่ได้เข้มงวดกับตัวเองมากนัก แล้วทำไมฉันถึงคาดหวังจากพี่เฉินมากนักล่ะ มันไม่ยุติธรรมที่จะปฏิบัติกับใครแบบนั้น ในความเป็นจริง ผู้คนที่มีพรสวรรค์ พละกำลัง และความสามารถ ก็ค่อนข้างหยิ่งยโสทั้งนั้น แต่เพราะพวกเขามีความสามารถมาก จึงเข้าใจความจริงอย่างรวดเร็วและทำผลงานในหน้าที่ของตัวเองได้ เมื่อผู้คนแบบนี้เข้าใจความจริงและทำตามหลักปฏิบัติ มันก็เป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้าจริงๆ พี่เฉินมีความสามารถมาก ดังนั้นฉันควรช่วยเขาด้วยความรักมากขึ้น และสามัคคีธรรมมากขึ้นเพื่อสนับสนุนเขา แบบนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นการคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า ประสบการณ์นี้ทำให้ฉันซาบซึ้ง ว่าการปฏิบัติต่อผู้คนด้วยอุปนิสัยเสื่อมทรามแบบซาตานของเราโดยปราศจากความจริง ก็ได้แต่ทำร้ายพี่น้องชายหญิง และทำให้ทั้งการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาและงานของคริสตจักรล่าช้าเท่านั้น นี่คือการล่วงละเมิด มันเป็นการทำชั่ว ฉันเห็นว่ามันสำคัญแค่ไหนที่ต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักปฏิบัติแห่งความจริง ที่ฉันได้รับความเข้าใจเล็กๆ นี้ ต้องขอบคุณการนำของพระวจนะของพระเจ้าค่ะ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

กลับสู่หนทางที่ถูกต้อง

โดย เฉินกวาง ประเทศสหรัฐอเมริกา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ...

มองหาอิสรภาพจากสถานะ

โดย ต่งเอิน ประเทศฝรั่งเศส ฉันมาเป็นผู้นำคริสตจักรในปี 2019 ฉันทำตามใจ และไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ และไม่ได้จัดวางคนให้เหมาะสมกันงาน...

ภาระคือพระพรของพระเจ้า

โดย หย่ง สุย, เกาหลีใต้ ในการเลือกตั้งของคริสตจักรเมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้รับเลือกเป็นผู้นำค่ะ ตอนที่ทราบฉันตกใจมาก...

การรักษาโรคริษยา

โดย สวุนฉิว ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เนื้อหนังของมนุษย์เป็นของซาตาน มันเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเป็นกบฏ...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger