การดุด่าผู้คนอย่างจองหองเปิดโปงความอัปลักษณ์ของฉัน

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

เมื่อตุลาคมปีก่อน ผมดูแลงานข่าวประเสริฐของคริสตจักร มีคนใหม่ๆ ในคริสตจักรสองสามคนที่เพิ่งเริ่มทำหน้าที่ ผมก็เลยสามัคคีธรรมกับพวกเขาถึงหลักธรรมในการแบ่งปันข่าวประเสริฐบ่อยๆ และพาออกไปแบ่งปันข่าวประเสริฐด้วยกัน หลังผ่านไปสักพัก พวกเขาต่างก็มีความคืบหน้า จนผมรู้สึกดีมาก เพื่อให้พวกเขาทำงานได้เองโดยเร็วที่สุด ผมให้พวกเขาฝึกแบ่งปันข่าวประเสริฐกันเอง ในตอนแรก เวลาพวกเขาเจอเข้ากับปัญหา ผมจะช่วยเหลือพวกเขาด้วยความรัก แต่ผ่านไปสักพัก ผมก็เริ่มเกิดความเหนื่อยหน่าย ผมรู้สึกดูหมิ่นพวกเขาว่า “ใครสอนผมครั้งแรกผมก็เข้าใจแล้ว แต่นี่เสียเวลาสอนพวกคุณมาเยอะ ทำไมพวกคุณยังมีคำถามเยอะแยะมากมายอีก? ทำไมไม่ตั้งใจฟังเวลาผมสอนพวกคุณล่ะ? ถ้าผ่านไปนานแล้วพวกคุณยังทำงานกันเองไม่ได้ ผู้นำระดับสูงจะว่าผมไม่เหมาะกับงานนี้ และฝึกฝนผู้คนให้ดีไม่ได้แน่ ไม่ได้แล้ว ผมต้องตำหนิพวกคุณและสอนบทเรียนเสียบ้าง” พอตระหนักทั้งหมดนี้ ผมก็ดุด่าพวกเขาอย่างโกรธเกรี้ยว ครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงอ้ายโทรมาบอกผมว่า “พี่ซุน ฉันอยากจะถามพี่ว่า เราจะสามัคคีธรรมพระวจนะแง่มุมไหนในการชุมนุมคืนนี้เหรอคะ?” ฉันคิดว่า “ผมเคยบอกเรื่องนี้กับคุณไปแล้วนะ ทำไมคุณยังไม่รู้อีก? นี่คุณไม่ได้ฟังผมเลยหรือไง?” ผมจึงเกรี้ยวกราดใส่เธอเสียงดังว่า “นี่คุณได้อ่านไฟล์ล่าสุดที่ผมส่งให้หรือเปล่า? ทำไมต้องมาถามผมทุกครั้ง?” พี่น้องหญิงคนนั้นไม่ตอบ และผมวางสายใส่เธอด้วยความโกรธ ต่อมา ผมก็รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป และรู้สึกผิดนิดหน่อย แต่แล้วผมก็คิดว่า “ฉันพูดไปเพราะหวังดีกับเธอ ไม่งั้นเธอจะก้าวหน้าได้ยังไงถ้าเธอยังคอยพึ่งพาฉัน? บางทีนี่อาจจะเป็นประโยชน์กับเธอจริงๆ ก็ได้” หลังจากผมคิดขึ้นมาแบบนี้ ผมก็เลิกกังวล

วันต่อมา พี่น้องชายคู่ทำงานของผมบอกผมว่า “พี่น้องอ้ายบอกผมว่าคุณโกรธตอนที่เธอถามคำถามคุณเมื่อวาน เธอพูดด้วยว่าเธอรู้สึกค่อนข้างอึดอัด และกลัวคุณ” พอได้ยินผมก็รับไม่ค่อยได้และแก้ตัวในอยู่ในใจว่า “ผมอาจจะเกรี้ยวกราดไปหน่อย แต่ก็เพื่อกระตุ้นให้เธอทำงานได้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่พูดแบบนั้น พอเธอมีคำถามก็จะมาหาผมทุกครั้ง แล้วแบบนั้นเธอจะพึ่งตัวเองได้ยังไง?” แต่แล้วผมก็คิดว่า “ผมอาจจะพูดจาไม่ค่อยเหมาะสมไปนิด ยังไงซะพี่น้องอ้ายก็เพิ่งเริ่มฝึกฝน ผมควรช่วยเธอด้วยความรัก แทนที่จะโกรธแและดุด่าเธอ” ผมจึงส่งข้อความไปขอโทษเธอว่า “เมื่อวานผมผิดเอง ผมไม่ควรระเบิดใส่คุณแบบนั้น หวังว่าคุณจะเข้าใจ และไม่เห็นเป็นเรื่องส่วนตัว ผมสติหลุดไปชั่วครู่และทำให้คุณเสียใจ” พี่น้องอ้ายตอบว่าไม่เป็นไร จากนั้น ผมไม่ได้ทบทวนให้รู้จักตัวเองไปมากกว่านั้น

ผ่านไปสักพัก ผมได้รับเลือกเป็นผู้ประกาศและรับหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น เหล่าผู้นำและคนทำงานบางคนเพิ่งจะเริ่มฝึกฝนและไม่คุ้นเคยกับงานของคริสตจักร ผมจึงสามัคคีธรรมกับพวกเขาถึงหลักธรรมของงานบ่อยๆ ผมยังค่อยไถ่ถามงานของพวกเขา และให้คำชี้แนะและช่วยเหลืออย่าละเอียด ในตอนแรก เวลาพวกเขามีคำถาม ผมจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างอดทน แต่ถ้าพวกเขาถามหลายครั้งเกินไป ผมก็จะเริ่มใจร้อน ผมดุด่าพวกเขาว่า “ทำไมสอนไม่เข้าหัวสักที? ตอนแรกที่ผมเริ่มทำงานในคริสตจักร ผู้นำมอบหมายงานอะไรมาผมก็จำได้ชัดเจน และจะทำเสร็จอย่างรวดเร็วและสมบูรณ์ ผมบอกพวกคุณไปหมดแล้ว พร้อมวิธีอย่างละเอียด แล้วทำไมพวกคุณถึงทำให้ดีไม่ได้?” พวกเขาไม่ปริปากตอบอะไรทั้งนั้น

วันต่อมา ผู้นำคนหนึ่งส่งข้อความมาบอกผมว่า “ฉันโง่เกินกว่าจะเหมาะสมกับงานนี้ ช่วยหาคนมาทำงานแทนฉันทีนะคะ” ผมตกใจทีเดียว เธอเป็นผู้ฝึกงานใหม่ที่เก่งอันดับต้นๆ ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้น? จากนั้น ผู้นำอีกคนก็ส่งข้อความมาหาผมว่า “มีหลายคนบอกว่าคุณทำให้พวกกเขารู้สึกอึดอัดมาก” นั่นแหละผมถึงเริ่มทบทวนตัวเอง ผมตระหนักว่าผมไม่ได้รับมือกับข้อบกพร่องของคนอื่นอย่างถูกต้อง ผมเอาแต่ระเบิดใส่พวกเขาและดุด่าพวกเขาแทนที่จะชี้แนะและช่วยเหลืออย่างใจเย็น ก็เลยส่งผลให้พวกเขารู้สึกอึดอัด ต่อมา ผมได้ยินว่าพี่น้องหญิงคนหนึ่งเกิดคิดลบมากเพราะถูกจำกัด ว่าเธอไม่ทำหน้าที่มามากกว่าสิบวันแล้ว พอผมได้ยินเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกแย่มาก ผมไม่อยากเชื่อว่าผมทำร้ายจิตใจพวกเขาหนักมาก ผมรู้สึกกังวลมาก และนึกสงสัยว่าทำไมยังคอยโกรธและส่งผลเสียต่อทุกคน ผมจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากโกรธเหล่าพี่น้อง แต่พอมีอะไรขึ้นมา ข้าฯ ก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ข้าฯ ควรจะแก้ไขปัญหานี้ยังไงดี? โปรดทรงชี้นำข้าด้วยเถิด”

จากนั้น ผมบังเอิญเจอพระวจนะบทตอนหนึ่ง พระเจ้าตรัสว่า “ทันทีที่มนุษย์มีสถานะ เขามักจะพบว่าการควบคุมอารมณ์ของเขาเป็นเรื่องยาก และดังนั้นเขาจะสุขสำราญกับการฉวยโอกาสที่จะแสดงความไม่พอใจและระบายอารมณ์ของเขา เขามักจะเกิดความเดือดดาลโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเพื่อเผยความสามารถของเขา และให้คนอื่นรู้ว่าสถานะและอัตลักษณ์ของเขาแตกต่างจากสถานะและอัตลักษณ์ของผู้คนธรรมดา แน่นอนว่าผู้คนที่เสื่อมทรามที่ปราศจากสถานะใดๆ ก็มักจะสูญเสียการควบคุมด้วยเช่นกัน บ่อยครั้งที่ความโกรธของพวกเขาเกิดจากความเสียหายต่อผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา พวกเขาจะระบายอารมณ์ของตนและเผยธรรมชาติที่โอหังของพวกเขาบ่อยครั้งเพื่อปกป้องสถานะ และศักดิ์ศรีของพวกเขาเอง มนุษย์จะบันดาลโทสะและระบายอารมณ์ของตนเพื่อปกป้องและสนับสนุนการมีอยู่ของบาป และการกระทำเหล่านี้คือวิธีที่มนุษย์ใช้แสดงความไม่พอใจของเขา พวกเขาเต็มไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยกลอุบายและเล่ห์กล เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามและความชั่วของมนุษย์ และเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาเต็มไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากที่บ้าคลั่งของมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2) พระวจนะเปิดโปงสภาวะตอนนั้นของผม ผมทบทวนว่าผมเกิดความโกรธเพื่อรักษาสถานะของตัวเองยังไง ปกติผมทำงานเกิดผลเสมอ และผู้คนคิดว่าผมเป็นผู้นำที่สามารถ แต่การได้มอบหมายให้พี่น้องเหล่านี้ฝึกฝน ถ้าผ่านไปนานแล้วผมยังทำให้พวกเขาทำงานเองไม่ได้ ผู้นำระดับสูงจะว่าผมไม่มีความสามารถแน่นอน ดังนั้นพอพี่น้องยังไม่เข้าใจหลังจากผมสอนพวกเขาหลายครั้ง ผมก็ต่อต้านและร้อนรนมาก เมื่อพวกเขามีคำถามต่างๆ มาถามผม ผมก็ใช้โอกาสนั้นดุด่าและติเตียนพวกเขาเพื่อระบายอารมณ์ ผมถึงกับเปรียบเทียบพวกเขากับตัวเอง อีกทั้งไม่พอใจและดูหมิ่นพวกเขาอย่างมาก ส่งผลให้พวกเขารู้สึกอึดอัดและถึงกับคิดลบมากจนไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเอง พอคนอื่นชี้ปัญหาของผม ผมก็ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข ถึงแม้ว่าผมจะขอโทษพี่น้องอ้ายจริง จุดประสงค์โดยนัยและโดยแจ่มแจ้งในคำพูดของผมคือเพื่อรักษาสถานะและภาพลักษณ์ของตัวเอง แสดงให้พี่น้องอ้ายเห็นว่าผมแทบไม่เคยหัวเสียเลยและมันเกิดขึ้นไม่บ่อย และทำให้เธอคิดว่าที่จริงแล้วผมค่อนข้างมีเหตุผลผ่านการขอโทษที่ไม่จริงใจ ผมคิดถึงพระวจนะที่กล่าวว่า “บางคนมีอุปนิสัยไม่ดีอย่างชัดเจนและพูดอยู่เสมอว่าตนอารมณ์ร้าย นี่เป็นเพียงการให้เหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเองอย่างหนึ่งมิใช่หรือ? อุปนิสัยที่ไม่ดีก็เป็นเพียงแค่นั้น คืออุปนิสัยที่ไม่ดี เมื่อคนเราทำบางสิ่งที่ไร้เหตุผลหรือบางสิ่งที่ทำร้ายทุกคน ปัญหาอยู่ที่อุปนิสัยและสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา แต่พวกเขาก็พูดอยู่เสมอว่าควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้ชั่วขณะหรือเผลอโกรธเล็กน้อย พวกเขาไม่เคยเข้าใจแก่นแท้ของปัญหา นี่คือการชำแหละและตีแผ่ตนเองอย่างแท้จริงหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ว่าด้วยการร่วมมือกันอย่างปรองดอง) ผมเป็นแบบนี้เลย คิดย้อนไปตอนที่ผมขอโทษ มันฟังดูสง่างามมาก แต่ผมไม่เข้าใจเนื้อแท้จริงๆ ของปัญหาและถึงกับพยายามปกป้องตัวเอง ผมหน้าซื่อใจคดมาก! พอตระหนัก ผมก็รู้สึกผิดมาก ผมมักจะพูดกับพี่น้องชายหญิงเรื่องการปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความรักและอดทน แต่มันก็เป็นแค่คำขวัญที่ไม่ตรงกับพฤติกรรมจริงๆ ของผม

จากนั้น ผมก็เงียบความคิดและทบทวนตัวเองว่า “ทำไมเมื่อไรก็ตามที่สิ่งต่างๆ ไม่ได้ดั่งใจผม ผมก็โมโหและทรยศอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง? ทำไมผมจึงทำงานร่วมกับพี่น้องชายหญิงดีๆ ไม่ได้?” จากนั้น ผมก็บังเอิญเจอพระวจนะบทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความโอหังคือรากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ยิ่งผู้คนโอหังมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ไร้เหตุผลมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งพวกเขาไร้เหตุผลมากขึ้นเท่าใด พวกเขาย่อมโน้มเอียงที่จะต้านทานพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ปัญหานี้รุนแรงเพียงใดหรือ? ผู้คนที่มีอุปนิสัยโอหังไม่เพียงพิจารณาว่าคนอื่นทุกคนอยู่ใต้พวกเขาเท่านั้น แต่ที่แย่ที่สุดในบรรดาทั้งหมดก็คือ พวกเขาถึงขั้นกำลังวางท่ายโสใส่พระเจ้า และพวกเขาไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในหัวใจของตน แม้ผู้คนบางคนอาจจะดูเหมือนเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระองค์เฉกเช่นพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่า พวกเขาครองความจริงและหลงรักตัวเองเหลือเกิน นี่คือแก่นแท้และรากเหง้าของอุปนิสัยโอหัง และมันมาจากซาตาน เพราะฉะนั้น ปัญหาเรื่องความโอหังจึงต้องได้รับการแก้ไข ความรู้สึกว่าคนเราดีกว่าผู้อื่น—นั่นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว ประเด็นปัญหาที่วิกฤติก็คืออุปนิสัยโอหังของคนเรากีดกันคนเราจากการนบนอบต่อพระเจ้า กฎเกณฑ์ของพระองค์ และการจัดการเตรียมการของพระองค์ บุคคลเช่นนั้นรู้สึกเอนเอียงอยู่เสมอที่จะแข่งขันกับพระเจ้าเพื่ออำนาจเหนือผู้อื่น บุคคลจำพวกนี้ไม่เคารพพระเจ้าแม้เพียงน้อยนิด ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับการรักพระเจ้าหรือการนบนอบต่อพระองค์ ผู้คนซึ่งโอหังและทะนงตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งโอหังมากจนถึงขนาดที่ได้สูญเสียสำนึกของพวกเขาไป ไม่สามารถนบนอบต่อพระเจ้าในการเชื่อในพระองค์ของเขา และถึงขั้นยกย่องและให้คำพยานแก่ตัวพวกเขาเอง ผู้คนดังนี้ต้านทานพระเจ้าที่สุด และไม่มีความยำเกรงพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง หากผู้คนปรารถนาที่จะไปถึงที่ซึ่งพวกเขาเคารพพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาต้องแก้ไขอุปนิสัยโอหังของพวกเขาเสียก่อน ยิ่งเจ้าแก้ไขอุปนิสัยโอหังของเจ้าได้อย่างถ้วนทั่วมากขึ้นเท่าใด ความเคารพที่เจ้ามีเพื่อพระเจ้าก็จะมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนบนอบต่อพระองค์ และได้มาซึ่งความจริงและรู้จักพระองค์ เฉพาะผู้ที่ได้รับความจริงเท่านั้นที่เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระเจ้าทรงเปิดเผยว่ารากของอุปนิสัยเสื่อมทรามของผู้คนคือความโอหังยังไง ยิ่งใครโอหังมาก ก็ยิ่งมีโอกาสต่อต้านพระเจ้ามาก ผมตระหนักว่าผมเป็นอย่างนั้นเลย ผมไม่มองคนอื่นอย่างจริงจัง คิดว่าพวกเขาล้วนด้อยกว่าผม ผมเชื่อว่าตัวเองเป็นคนเก่ง มีพรสวรรค์ในงาน และดีกว่าคนอื่นๆ ผมยังวัดความขาดพร่องของคนอื่นกับจุดแข็งของตัวเองเสมอด้วย ถูกสอนแค่ครั้งเดียวผมก็ชำนาญงานแล้ว แต่หลังจากผ่านไปนาน พวกเขาก็ยังไม่เรียนรู้สักที ผมจึงระเบิดใส่พวกเขา ติเตียนและดุด่า โดยไม่เคารพพวกเขาเลย ผมไม่รับรู้จุดแข็งและข้อดีของพวกเขา ยิ่งเกื้อหนุนพวกเขาด้วยความรักคือไม่เลย เวลาพี่น้องชายหญิงเจอเข้ากับปัญหา ผมไม่ทบทวนว่าผมได้สามัคคีธรรมพระวจนะกับพวกเขาเพื่อแก้ปัญหา หรือมีทางไหนที่ผมทำไม่มากพอหรือไม่ แต่ผมกลับคิดว่าพวกเขาไม่ตั้งใจฟัง และระเบิดใส่พวกเขาและจัดการพวกเขาโดยไม่เลือกหน้า ผมโอหังอย่างไร้เหตุผลมาก! คริสตจักรของเรากำลังขยายข่าวประเสริฐของพระเจ้า แต่ผมเอาแต่กราดเกรี้ยว ดุด่าและจำกัดผู้คน ทำให้พวกเขากลัวผม จำกัดตัวพวกเขาเอง และถึงกับคิดลบมากจนพวกเขาไม่อยากทำหน้าที่ ผมกีดขวางและทำให้งานข่าวประเสริฐหยุดชะงักไม่ใช่เหรอ? ทบทวนทั้งหมดนี้ ผมค่อนข้างละอายใจ ผมไม่ได้ให้อะไรเป็นประโยชน์สำหรับการเข้าสู่ชีวิตของคนอื่นเลย แต่ผมกลับทำร้ายพวกเขาและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ผมใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเสื่อมทราม และอาจจะทำชั่วและต่อต้านพระเจ้าได้ทุกเมื่อ พอคิดถึงทั้งหมดที่ผมทำลงไป ผมก็ดูหมิ่นตัวเองอย่างแท้จริง ผมอยากตบหน้าตัวเองหลายๆ หน ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจเงียบๆ ว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์จัดการผู้คนอย่างมืดบอดเพราะอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง ทำร้ายพวกเขาและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักโดยไม่ตั้งใจ พระเจ้า ข้าฯ พร้อมกลับใจและเปลี่ยนแปลง ข้าฯ อธิษฐานให้พระองค์ทรงนำและช่วยให้ข้าฯ แก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง”

วันหนึ่ง ฉันได้ยินเพลงสรรเสริญจากพระวจนะที่ว่า “จงใช้ชีวิตโดยพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้า” “เจ้าต้องแก้ไขความลำบากยากเย็นทั้งปวงในตัวเจ้าเองเสียก่อนโดยการพึ่งพาพระเจ้า จงทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมของเจ้าสิ้นไป และจงกลายเป็นสามารถที่จะเข้าใจสภาพเงื่อนไขของตัวเจ้าเองได้อย่างแท้จริง และจงรู้วิธีที่เจ้าควรกระทำการ จงสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งใดก็ตามที่เจ้าไม่เข้าใจต่อไป การที่บุคคลผู้หนึ่งไม่รู้จักตัวพวกเขาเองเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ จงรักษาอาการป่วยของเจ้าเองเสียก่อน และจงใช้ชีวิตของเจ้าและทำความประพฤติของเจ้าให้อยู่บนพื้นฐานของวจนะของพระองค์ โดยกินและดื่มพระวจนะบ่อยขึ้น และใคร่ครวญพระวจนะ ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่บ้านหรือที่อื่นใด เจ้าควรยอมให้พระเจ้าทรงใช้พลังอำนาจภายในตัวเจ้า จงทิ้งเนื้อหนังและความเป็นธรรมชาติเสีย จงให้พระวจนะของพระเจ้ามีอำนาจครอบครองภายในตัวเจ้าเสมอ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลว่าชีวิตของเจ้าไม่ได้กำลังเปลี่ยนแปลง เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะเริ่มรู้สึกว่าอุปนิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะเริ่มรู้สึกว่าอุปนิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนไปอย่างมาก(ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) เพลงสรรเสริญจากพระวจนะนี้ให้แรงบันดาลใจผมมาก ผ่านพระวจนะ ผมพบเส้นทางปฏิบัติ ไม่ว่าผมเจอสถานการณ์อะไร ผมก็ควรแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าก่อน แสวงหาความจริง แก้ไขปัญหาของตัวผมเอง เกิดความเข้าใจอุปนิสัยโอหังของผมผ่านพระวจนะ มุ่งละทิ้งตัวเองในชีวิตประจำวัน และปฏิบัติความจริง จากนั้นอุปนิสัยโอหังของผมก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ข้อเท็จจริงที่ว่าเนื่องจากอุปนิสัยโอหังของผม ผมดุด่าและจำกัดผู้คนและคิดว่าผมเหนือกว่าเสมอ แสดงว่าผมไม่เข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง ความจริง ผมไม่มีอะไรควรค่าแก่การอวดตัวเลย ผมเป็นคนเรียนรู้ค่อนข้างเร็วในหน้าที่ และได้รับการอวยพรด้วยพรสวรรค์บางอย่าง แต่พระเจ้าทรงให้พรสวรรค์และขีดความสามารถแก่ผม โดยส่วนตัวผมไม่มีอะไรโดดเด่นเลย ผมควรขอบคุณพระเจ้า แต่ละคนมีขีดความสามารถและความสามารถต่างกัน พี่น้องชายหญิงทุกคนมีจุดแข็งของตัวเอง พี่น้องอ้ายเก่งเรื่องปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เธอแสดงความรักและใจเย็น ผมไม่แสดงคุณสมบัติเหล่านั้นเลย พอตระหนักเรื่องนี้ ผมรู้สึกละอายใจ ผมพร้อมปฏิบัติพระวจนะแล้ว เมื่อผมเจอปัญหา ผมจะละทิ้งตัวเองอย่างมีสติและปฏิบัติความจริง

ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ผมถามพี่น้องหญิงคู่ทำงานเรื่องความคืบหน้าของโครงการเธอ และเธอพูดว่า “ฉันยังไม่ได้เริ่มเลย ตอนเรากำลังหารือแนวคิดสำหรับโครงการนั้นกัน ฉันก็รู้สึกค่อนข้างชัดเจน แต่เมื่อฉันเริ่มลงมือทำจริงๆ ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะทำยังไง” พอผมได้ยินแบบนั้น ผมรู้สึกได้ถึงใจที่เดือดปุดๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ผมคิดว่า “ทำไมมันยากสำหรับคุณนัก? ตอนเราหารือเรื่องโครงการนี้กัน ผมอธิบายทุกอย่างชัดเจนมาก คุณลืมไปหมดแล้วได้ยังไง? คุณไม่ได้ตั้งใจทำงานเหรอ? เราคงต้องจับเข่าคุยกันแล้วละ” ตอนที่ผมกำลังจะระเบิดใส่เธอ ผมก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า “หากผู้คนสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย นำความจริงมาปฏิบัติ ตัดขาดจากตัวพวกเขาเอง ละทิ้งแนวคิดของพวกเขาเอง และเชื่อฟังกับคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าได้โดยมีจิตสำนึก—หากพวกเขาสามารถที่จะทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้โดยมีจิตสำนึก—เช่นนั้นแล้ว นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของการนำความจริงมาปฏิบัติอย่างถูกต้องแม่นยำ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้) พระวจนะเตือนผมได้ทันเวลาว่า ผมต้องละทิ้งตัวเองและปฏิบัติตามพระวจนะ ผมไม่อาจทำตัวตามอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองต่อไปได้ เธออาจจะยังไม่เริ่มทำเพราะเธอมีปัญหาบางอย่างหรือเห็นทางข้างหน้าไม่ชัดเจน ผมควรจะทำความเข้าใจสถานการณ์ของเธอตามจริง และปฏิบัติต่อความไม่เพียงพอของเธอให้ถูกต้อง ผมจึงสงบใจพูดซ้ำอย่างเจาะจงว่าเธอควรทำต่อไปยังไง ตามข้อเท็จจริงของสถานการณ์จริง เมื่อผมพูดจบ เธอก็ตอบอย่างยินดีว่า “อ๋อ ฉันควรทำแบบนั้นนี่เอง! ในที่สุดฉันก็ทำต่อไปได้แล้ว” พอพี่น้องหญิงพูดแบบนั้น ผมก็รู้สึกละอายใจมาก ผมตะโกนคำขวัญในงานของเราเสมอ แต่ผมไม่ใช้เวลาทำความเข้าใจปัญหาของทุกคน การสอนพวกเขาตัวต่อตัวยิ่งไม่เลย ถ้าผมใจเย็นลงอีกหน่อย และใส่ใจรายละเอียดในงาน พี่น้องชายหญิงก็คงทำงานกันเองได้นานแล้ว

จากนั้น ผมบังเอิญเจอพระวจนะอีกบทตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เจ้าสามารถทำให้ผู้คนเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้หรือไม่ หากเจ้าเพียงทวนซ้ำคำสอน อบรมสั่งสอนผู้คน และจัดการพวกเขาเท่านั้น? หากความจริงที่เจ้าสามัคคีธรรมนี้ไม่จริง หากความจริงนี้เป็นเพียงคำสอน เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะจัดการและอบรมสั่งสอนพวกเขามากเพียงใด ก็ย่อมจะเปล่าประโยชน์ เจ้าคิดหรือว่าการที่ผู้คนกลัวเจ้า และทำสิ่งที่เจ้าบอกให้พวกเขาทำ และไม่กล้าคัดค้านนั้น เป็นอย่างเดียวกันกับการที่พวกเขาเข้าใจความจริงและเชื่อฟัง? นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ การเข้าสู่ชีวิตไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้น ผู้นำบางคนเป็นเหมือนผู้จัดการคนใหม่ที่พยายามสร้างความประทับใจที่แข็งแกร่ง พวกเขาพยายามบังคับใช้สิทธิอำนาจที่เพิ่งได้มากับผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เพื่อให้ทุกคนนบนอบพวกเขา โดยคิดว่านี่จะทำให้งานของพวกเขาง่ายขึ้น หากเจ้าขาดพร่องความเป็นจริงของความจริง เช่นนั้นแล้ว ในไม่ช้าวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้าก็จะถูกเปิดโปง ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าจะถูกเปิดเผย และเจ้าอาจถูกขับออกไปก็เป็นได้ ในงานบริหารบางอย่าง การจัดการ การตัดแต่ง และการบ่มวินัยเล็กน้อยเป็นที่ยอมรับได้ แต่หากเจ้าไม่สามารถสามัคคีธรรมถึงความจริง สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้อยู่ดี และจะกระทบกระเทือนผลของงาน ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในคริสตจักร หากเจ้ายังคงสั่งสอนผู้คนและโยนความผิดต่อไป—หากทั้งหมดที่เจ้าทำอยู่เสมอคือเสียอารมณ์—เช่นนั้นแล้วนี่ก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ากำลังเผยตัวออกมา และเจ้าก็แสดงโฉมหน้าอันอัปลักษณ์แห่งความเสื่อมทรามของเจ้าออกมาแล้ว หากเจ้าขึ้นไปยืนบนแท่นสูงและสั่งสอนผู้คนอยู่เสมอดังนี้ เช่นนั้นแล้วเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนจะไม่สามารถได้รับการจัดเตรียมชีวิตจากเจ้า พวกเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดที่เป็นจริง และเจ้ากลับจะผลักไสและขยะแขยงพวกเขาแทน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) ผ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมตระหนักว่า กุญแจสู่การทำงานกับพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร คือการสามัคคีธรรมความจริงอย่างชัดเจนเพื่อให้ทุกคนเข้าใจหลักธรรมเป็นอย่างดี เมื่อนั้นเราจึงจะทำหน้าที่ให้ดีได้ ถ้าผมเอาแต่กราดเกรี้ยวใส่ผู้คนและดุด่าพวกเขา ไม่เพียงผมจะไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ ผมยังจะดับไฟผู้คนและผลักไสพวกเขาด้วย ต่อมาเวลาผมทำงานกับคนอื่นหรือไถ่ถามงานของพวกเขา ก่อนอื่นผมจะเข้าปัญหาแท้จริงของพวกเขา ถ้ามีสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจหรือยังไม่รู้ ผมจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างอดทนถึงหลับธรรมและความจริง และช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหา โดยทางนั้น หลังจากช่วงเวลาหนึ่ง พี่น้องชายหญิงก็ทำงานบางส่วนให้เสร็จด้วยตัวเองได้ และพวกเราก็ทำงานร่วมกันอย่างปรองดองได้ ผ่านการอ่านพระวจนะ ผมได้รับความเข้าใจอุปนิสัยโอหังของผมขึ้นบ้าง ได้เรียนรู้วิธีปฏิบัติต่อความขาดพร่องของผู้คนอย่างถูกต้อง และสามารถทำงานกับผู้อื่นอย่างปรองดองได้ ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สงครามจิตวิญญาณ

โดย หยางจื้อ ประเทศสหรัฐอเมริกา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่ที่ผู้คนเริ่มเชื่อในพระเจ้า...

การตัดสินใจที่มิอาจลบเลือน

โดย ไป๋หยาง, ประเทศจีนตอนฉันอายุได้สิบห้าปี พ่อก็เสียชีวิตด้วยอาการป่วยกระทันหัน  แม่ฉันทนรับความสะเทือนใจนี้ไม่ไหวจนเริ่มป่วยหนัก...

ทางแยก

โดย หวางซิน, เกาหลี ฉันเคยมีครอบครัวที่มีความสุข และสามีก็ดีกับฉันมากค่ะ เราเปิดร้านอาหารของครอบครัวที่ไปได้ดีทีเดียว...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger