การทำตามอำเภอใจเป็นภัยแก่ฉัน

วันที่ 07 เดือน 10 ปี 2024

ปลายปี 2012 ฉันเริ่มเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันสังเกตว่าทุกโครงการในคริสตจักรไม่ค่อยคืบหน้า และมีแค่ไม่กี่คนที่ทำหน้าที่ได้ดี ฉันรู้ว่าตัวเองเพิ่งเชื่อได้ไม่นาน และไม่เข้าใจวิธีเลือกคนทำงานดีนัก จึงทูลพระเจ้าในเรื่องต่างๆ และแสวงหาหลักธรรม ถ้าไม่เข้าใจอะไร ก็จะแสวงหาและสามัคคีธรรมกับเพื่อนร่วมงาน แล้วฉันก็ ค่อยๆ ตัดสินผู้คน และสถานการณ์ได้ดีขึ้น ฉันมอบหมายหน้าที่ให้ผู้คนได้ ตามจุดแข็งของพวกเขา และเราก็เริ่มเห็นความคืบหน้าในงานมากขึ้น

จำได้ว่า ครั้งหนึ่งตอนหารือเรื่องงาน ฉันเสนอให้บ่มเพาะพี่หลี่เป็นผู้นำกลุ่ม แต่เพื่อนร่วมงานหลายคนไม่เห็นด้วยกับมุมมองของฉัน แย้งว่าพี่หลี่ ถูกครอบครัวบีบคั้น และไม่รับผิดชอบหน้าที่ เธอไม่ได้ให้น้ำผู้มาใหม่ ได้อย่างทันท่วงที แม้จะสามัคคีธรรมไปหลายครั้ง เธอก็ยังไม่ปรับปรุงตัว เมื่อคิดถึงท่าทีที่เธอมีต่อหน้าที่ เธอไม่เหมาะที่จะเป็นหัวหน้ากลุ่ม ฉันเลยคิดว่า “พี่หลี่เพิ่งมาเชื่อ และการที่เธอถูกครอบครัวบีบคั้นก็เป็นจุดอ่อนแค่ชั่วคราว เราไม่ควรเอาสถานการณ์ชั่วคราว มาตีกรอบว่าเธอไม่เหมาะที่จะถูกบ่มเพาะ เราควรเกื้อหนุนด้วยความรัก และช่วยเธอ” จากนั้น ฉันก็มักจะคอยเกื้อหนุนพี่หลี่ สามัคคีธรรมถึงเจตนารมณ์พระเจ้า และความหมายของหน้าที่ หลังจากนั้น สภาวะของพี่หลี่ก็ค่อยๆ เริ่มดีขึ้น เธอไม่ถูกครอบครัวบีบคั้น และเริ่มทำหน้าที่ได้ตามปกติ ยังมีพี่น้องชายอีกคน ที่มีขีดความสามารถดี สามัคคีธรรมความจริงได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง แถมยังรับผิดชอบในหน้าที่ ฉันเลยเสนอให้ฝึกฝนเขามากำกับดูแลงานให้น้ำ แต่คู่ทำงานของฉันเกิดข้องใจ เธอคิดว่าอุปนิสัยโอหังของเขาจะบีบคั้นคนอื่น เลยยังไม่เหมาะจะฝึกฝนเขา ฉันนึกถึงหลักธรรมข้อหนึ่งที่ว่า “พวกที่มีอุปนิสัยโอหังแต่สามารถยอมรับความจริง และที่มากไปกว่านั้น เป็นผู้ที่มีขีดความสามารถดีและมีพรสวรรค์ ควรได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ  แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาต้องไม่ถูกกีดกันออกจากกลุ่ม” (170 หลักธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติความจริง, 135. หลักธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้คนที่มีอุปนิสัยอันโอหังสารพัด)  พี่น้องชายคนนี้มีอุปนิสัยโอหัง แต่เขายอมรับความจริง และเมื่อคนอื่นชี้ให้เห็นถึงปัญหา เขาก็ยอมรับการติเตียน แล้วก็ เปลี่ยนแปลงได้ โดยรวมแล้ว เขาก็ตรงตามหลักธรรมของการส่งเสริมและบ่มเพาะ ฉันอธิบายเหตุผลของตัวเอง โดยอ้างอิงจากหลักธรรมข้อนี้ หลังจากที่ฟังฉันจบแล้ว เพื่อนร่วมงานหลายคนเห็นด้วย หลังจากให้เขาดูแลงานให้น้ำ เขาก็ทำผลงานได้ดี และพิสูจน์ว่ามีความสามารถ จากนั้นไม่นาน เขาก็ได้เลื่อนขั้น มันทำให้ฉันค่อนข้างพอใจในตัวเองว่า “ฉันอาจมาเชื่อได้ไม่นาน แต่ฉันมีขีดความสามารถดี และตัดสินสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าคนอื่น ถ้าคริสตจักรไม่มีผู้เชี่ยวชาญอย่างฉัน ใครจะเป็นคนชี้ตัวคนใหม่ๆที่มีพรสวรรค์ และบ่มเพาะพวกเขากันล่ะ?” ฉันเลือกสมาชิกให้แต่ละโครงการของคริสตจักรอย่างชาญฉลาด เปลี่ยนตัวคนที่ไม่เหมาะกับงาน และไม่ช้า งานของคริสตจักรก็เริ่มรุดหน้า เวลาที่มีปัญหาเกิดขึ้นมา พี่น้องต่างมาหาฉันเพื่อสามัคคีธรรมและขอความเห็น บางคนถึงกับชมฉันต่อหน้า บอกว่า “ผู้นำคริสตจักรคนก่อนๆ นี้นะเป็นผู้เชื่อมานานนักหนา แต่ก็ทำงานของคริสตจักรได้ไม่ดี คุณเชื่อมาไม่นาน แต่พอคุณเข้ามางานก็เริ่มรุดหน้า คุณต้องเป็นผู้นำที่มีพรสวรรค์ และมีขีดความสามารถดีแน่” ตอนที่ได้ยิน ฉันยิ่งพอใจในตัวเอง คิดว่าฉันมีพรสวรรค์ชนิดหาตัวจับยากในคริสตจักร

ต่อมา ฉันได้เป็นหัวหน้างานของคริสตจักรอีกสองสามแห่ง บางครั้งเวลาผู้นำระดับสูงทำการคัดเลือก ก็จะมาขอคำแนะนำจากฉัน ฉันแน่ใจขึ้นเรื่อยๆ ว่าฉันเหมาะที่จะเป็นผู้นำ ฉันมีขีดความสามารถดี เลือกคนได้เก่ง และแก้ไขปัญหาตามหลักธรรมได้ ฉันมั่นใจในตัวเองขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น เวลาที่คิดว่าประเมินสถานการณ์ถูกต้องแล้ว ฉันจะตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ปรึกษาเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ฉันรู้สึกว่าฉันเข้าใจหลักธรรมดีกว่า เข้าใจลึกกว่า ถึงจะหารือไปก็ต้อง ทำตาม แผนของฉันอยู่ดี ไม่มีประโยชน์อะไร เวลาที่เพื่อนร่วมงานเสนอแนะอะไรขึ้นมา ฉันก็จะคิดว่านั่นไม่ดีเท่าแนวคิดของฉัน ฉันปฏิเสธไปดื้อๆ และทำตามแผนของตัวเอง

มีครั้งหนึ่ง คริสตจักรหาคนเก็บรักษาหนังสือของเรา ฉันเสนอว่าให้ผู้มาใหม่ชื่อพี่เจิ้งเป็นคนเก็บ เพราะรู้ว่าเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดี เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเตือนฉันว่า “พี่เจิ้งเพิ่งมาเชื่อ และมีภรรยาเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ ถ้าเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ฉันไม่แน่ใจว่าเขาจะปกป้องหนังสือไว้ได้” ตอนนั้น ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่เสนอไปถูกปัดตก แล้วก็ไม่สบายใจเล็กน้อย คิดว่า “ฉันเป็นถึงผู้นำ ฉันจะหาคนมาดูแลหนังสือไม่ได้เหรอ? ถึงยังไง เราไม่ได้เลือกผู้นำกันอยู่ ทำไมต้องตั้งมาตรฐานสูงนัก?” ฉันไม่ฟังคำแนะนำของเพื่อนร่วมงาน และมอบหมายให้พี่เจิ้งเป็นคนเก็บหนังสือ พอพี่น้องหญิงคนหนึ่งรู้เข้า เธอก็จัดการฉันว่า “คุณมอบหมายงานให้พี่เจิ้งตามหลักธรรมอะไร? เราต้องหาบ้านที่ปลอดภัยเพื่อเก็บหนังสือ พี่เจิ้งเพิ่งมาเชื่อและยังไม่มีรากฐานมากนัก แถมมีภรรยาที่ต่อต้านความเชื่อ ถ้าเกิดอะไรขึ้น แล้วจะไม่เป็นภัยกับงานของคริสตจักรหรือ?” ฉันไม่เห็นด้วย และคิดว่า “ตามหลักธรรมแล้ว พี่เจิ้งอาจไม่เหมาะสม แต่เขามีความเป็นมนุษย์ที่ดี และเต็มใจจะทำหน้าที่นี้ พวกคุณคิดมากเกินไปรึเปล่า? เรื่องนี้ร้ายแรงขนาดนั้นเลยรึไง?” ฉันเลยบอกว่า “ฉันสามัคคีธรรมกับเขาแล้ว ถ้าคุณหาคนที่เหมาะสมกว่านี้ได้ เราค่อยเอาตามที่คุณเลือก” พอเห็นฉันไม่ยอมรับแนวคิดของเธอสักนิด เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วไม่นาน พี่เจิ้งก็มีเรื่องทะเลาะกับภรรยา และเธอโยนหนังสือทั้งหมดทิ้ง หนังสือบางเล่มได้รับความเสียหาย เราเลยต้องอยู่กันจนดึก เพื่อย้ายหนังสือไปไว้อีกที่ จากนั้น เพื่อนร่วมงานก็จัดการฉันที่ไม่ทำตามหลักธรรม ทำตามที่ตัวเองมั่นใจ จนหนังสือเสียหาย พวกเขาบอกว่า ฉันควรทบทวนตัวเองให้มากกับเรื่องนี้ ฉันรับปากไปส่งๆ แต่ในใจก็คิดว่า “นี่เป็นแค่ความผิดพลาด ฉันมอบหมายงานให้เขาตามสถานการณ์จริงของคริสตจักรในตอนนั้น ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” ต่อมา ฉันยังคงทำหน้าที่ตามใจตัวเอง เวลาหารือเรื่องงาน ฉันจะปฏิเสธคำแนะนำ ของเพื่อนร่วมงานไปดื้อๆ และจัดการสิ่งต่างๆ ตามที่เห็นว่าเหมาะสม แล้วเพื่อนร่วมงาน ก็ค่อยๆ อึดอัดเพราะฉัน และไม่กล้าเสนอความเห็น ในเรื่องที่ฉันตัดสินใจไปแล้ว

ครั้งหนึ่ง ฉันไปที่อีกคริสตจักรเพื่อปลดผู้นำชื่อว่าจางฝาน ก่อนจะปลดเธอ ฉันควรสามัคคีธรรม และชำแหละการทำหน้าที่โดยรวมของเธอ จากนั้นค่อยปลดเธอ แต่แล้วฉันก็นึกถึงที่ฉันสามัคคีธรรมเรื่องงานกับเธอก่อนหน้านั้น เธอไม่ยอมรับสิ่งที่ฉันพูดและ ถึงกับแย้งในรายละเอียดต่างๆ ฉันเลยรู้สึกว่าสามัคคีธรรมไปก็ไม่มีประโยชน์ และฉันควรปลดเธอโดยตรง จากนั้น ฉันก็เรียกประชุม จางฝานและมัคนายกอีกสองสามคน และอธิบายสั้นๆ ว่าทำไมเธอถึงควรถูกปลด แต่จางฝานไม่ลงให้ เอาแต่เถียงฉัน และถึงกับถามฉันว่า “อธิบายหน่อย คุณปลดฉันตามหลักธรรมข้อไหน?” ฉันคิดว่า “ฉันอธิบายปัญหาการทำงานของคุณไปแล้ว แต่คุณก็ยังจู้จี้จะเถียง และพยายามจับผิดฉัน คุณไม่รู้จักตัวเองเลยด้วย ฉันไม่สามัคคีธรรมกับคุณแล้ว” ฉันเลย ทำเป็นเฉยใส่เธอ พี่หวังย้ำเตือนฉันโดยพูดว่า “จางฝานอาจจู้จี้มาก แต่คุณก็ควรสามัคคีธรรมกับเธอตามหลักธรรม และบอกเธอให้ชัดเจนว่าทำไมถึงถูกปลด” ถึงฉันจะรู้ว่าสิ่งที่พี่หวังพูดนั้นถูกต้อง แต่ก็คิดว่า ในเมื่อจางฝานเป็นผู้นำคริสตจักร เธอย่อมรู้หลักธรรมเหล่านี้ดี จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอธิบาย ดังนั้น ฉันเลยอ่านแต่พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับวิธีปฏิบัติต่องานของผู้นำ แต่อ่านไปแล้ว ฉันก็รู้สึกผิดนิดหน่อย ฉันใช้พระวจนะมากดข่มเธอ ไม่ได้แก้ไขปัญหาของเธอ แบบนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่แล้วก็คิดว่า ถ้าไม่อ่านฉันคงคุมเธอไม่อยู่ พออ่านบทตอนนั้นจบ ทั้งห้องก็เงียบเป็นป่าช้า จางฝานก็นั่งเงียบ ข่มความโกรธไว้ ฉันนึกว่าเรื่องราวนั้นจบไปแล้ว แต่ก็ต้องแปลกใจที่ระหว่างชุมนุม จางฝานพูดว่าผู้นำและคนทำงานบางคนไม่ทำตามหลักธรรม จนทำให้ผู้นำและคนทำงานคนอื่นรู้สึกอึดอัด แถมงานของคริสตจักรก็หยุดชะงัก ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการที่ฉันทำตามใจ และไม่ยอมทำตามหลักธรรม แต่ฉันก็แค่ยอมรับรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง และไม่ได้ทบทวนปัญหานี้อย่างจริงจังอะไร

ต่อมา ตอนที่ปลดผู้นำอีกคนหนึ่ง ฉันก็ไม่ได้เจาะจงบอกเหตุผลของการปลดแก่พี่น้องเหมือนเดิม พี่น้องบางคนไม่มีวิจารณญาณเรื่องผู้นำคนนี้ และมักจะแย้งตอนชุมนุม ว่าฉันไม่ทำตามหลักธรรมในการปลดผู้นำ นี่ทำให้สถานการณ์ในคริสตจักรวุ่นวายพอดู หลังจากเรียนรู้สถานการณ์แล้ว พี่น้องหญิงคนหนึ่งก็เตือนฉันว่า “คุณควรรีบไปสามัคคีธรรมกับพวกเขา ไม่งั้นสถานการณ์จะยิ่งวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ” ฉันไม่เห็นด้วย และคิดว่า “ผู้นำเทียมเท็จควรถูกปลดแล้ว ฉันไม่ได้พยายามลงโทษใคร ทำไมพวกเขาถึงทำให้เป็นเรื่องใหญ่?” เพราะว่าฉันไม่ทำตัวตามหลักธรรม ไม่ทบทวนและรู้จักตัวเอง ฉันเลยพบว่า หน้าที่ของฉันหนักขึ้นเรื่อยๆ ฉันไม่ได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำอีก และตอนที่จัดการงานของคริสตจักร ฉันก็มักจะสับสน ฉันไม่รู้ว่าเวลาอธิษฐานประจำวัน ฉันจะพูดอะไร แล้วคริสตจักรต่างๆ ที่ฉันดูแลก็ไม่เกิดผลงานที่ดี ฉันเริ่มตระหนักว่า บางทีฉันอาจจะรับมือหน้าที่นี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว

จากนั้นไม่นาน พี่น้องบางคนเขียนจดหมายรายงานเรื่องฉัน กล่าวหาว่าฉันทำตัวบุ่มบ่าม และไม่ยอมรับความจริงเลย พอผู้นำระดับสูงรู้สถานการณ์ เธอก็เปิดโปงและจัดการฉันว่า “ในฐานะผู้นำคริสตจักร เวลาจัดการสิ่งที่สำคัญอย่างการเลือกและปลดผู้คน คุณไม่ปรึกษาเพื่อนร่วมงาน ไม่แสวงหาหลักธรรม แต่กลับทำตามอำเภอใจ ทำตามแผนของคุณ พอเหล่าพี่น้องไปเตือนคุณก็ไม่พอใจ คุณน่ะโอหังและเข้าข้างตัวเองเกินไป เวลาล้มเหลวและถูกเปิดโปง คุณก็ไม่ทบทวนตัวเอง และยังทำตามที่พอใจต่อไป พฤติกรรมที่เอาแต่ใจของคุณ ทำให้ชีวิตคริสตจักรอยู่ในความวุ่นวาย และชีวิตของเหล่าพี่น้องก็เกิดความเสียหาย พอมองดูการทำงานแล้ว คุณไม่เหมาะจะเป็นผู้นำอีกต่อไป ที่ให้คุณทำก็ได้ไม่คุ้มเสีย” พอฉันได้ฟังที่ผู้นำเปิดโปงและจัดการฉัน ฉันก็รู้สึกผิดหวังและรู้สึกแย่จนถึงกับร้องไห้ออกมา ฉันถามตัวเองว่า “ฉันทำให้งานของคริสตจักรเละเทะแบบนี้ได้ยังไง? นอกจากทำหน้าที่ผู้นำไม่ได้แล้ว ฉันยังก่อกวนงานของคริสตจักรอีกด้วย ฉันอยากแต่จะหาที่หลบซ่อนตัว” ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันได้แต่มึนงง คิดว่าในเมื่อฉันทำตามอำเภอใจ บุ่มบ่าม ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก พระเจ้าจะต้องดูหมิ่นฉันแน่ พระองค์จะทรงช่วยคนแบบฉันให้รอดเหรอ? ยิ่งคิดฉันยิ่งรู้สึกแย่ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากลับถึงบ้านได้ยังไง ฉันคุกเข่าอธิษฐานบนเตียงว่า “พระเจ้า ลูกไม่รู้ว่าตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ยังไง ลูกไม่ได้รู้จักตัวลูกเองเลยจริงๆ พระเจ้า! ลูกรู้ว่าการถูกปลดนี้มีบทเรียนให้เรียนรู้ แต่ลูกด้านชาเกินไป โปรดทรงนำให้ลูกรู้จักตัวเอง และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ด้วย”

ระหว่างเฝ้าเดี่ยว ฉันก็นึกถึงเพลงสรรเสริญจากพระวจนะที่ฉันร้องบ่อยๆ “ทั้งหมดที่พวกเจ้าได้รับคือการตีสอน การพิพากษา และการเฆี่ยนตีอย่างไร้กรุณา แต่จงรู้สิ่งนี้ไว้ว่า ในการเฆี่ยนตีอันไร้หัวใจนี้ไม่มีการลงโทษเลยแม้แต่น้อย  โดยไม่ต้องคำนึงว่าคำพูดของเราอาจจะกร้าวกระด้างเพียงใด สิ่งที่ตกมาถึงพวกเจ้าเป็นเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำที่อาจจะดูเหมือนไร้หัวใจอย่างถึงที่สุดสำหรับพวกเจ้า และไม่สำคัญว่าเราอาจจะมีความโมโหมากเพียงใด สิ่งที่พรั่งพรูลงมาบนพวกเจ้าก็ยังคงเป็นคำตำหนิ และเราไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำร้ายพวกเจ้าหรือทำให้พวกเจ้าถึงแก่ความตาย  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?

การพิพากษาอันชอบธรรมถูกนำมาใช้ชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ และการถลุงอันไร้หัวใจกระทำขึ้นเพื่อชำระพวกเขาให้สะอาด ทั้งพระวจนะหรือการสั่งสอนอันกร้าวกระด้างต่างกระทำเพื่อการชำระให้บริสุทธิ์และเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความรอด  พวกเจ้ามีสิ่งใดจะพูดในขณะเผชิญหน้ากับการตีสอนและการพิพากษาดังกล่าวเล่า?  พวกเจ้าไม่ได้ชื่นชมความรอดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบมาโดยตลอดหรอกหรือ?  พวกเจ้าได้มองเห็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ และตระหนักถึงฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดและพระปัญญาของพระองค์ นอกจากนี้ พวกเจ้ายังได้รับประสบการณ์กับการเฆี่ยนตีและการบ่มวินัยซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาแล้ว  อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าไม่ได้รับพระคุณอันสูงสุดด้วยหรอกหรือ?(ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ, การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าคือการที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด)  พระวจนะช่างดลใจฉันจริงๆ ใช่แล้ว งานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า คือเพื่อพิพากษาและตีสอน ต่อให้เป็นการตีสอน บ่มวินัย จัดการ หรือเปิดโปง พระองค์ก็ทำเพื่อชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์ และช่วยให้รอด ฉันอาจรู้สึกแย่หลังจากถูกปลด แต่นี่คือโอกาสที่ดีมากๆ ที่จะทบทวนและรู้จักตัวเอง นี่คือความรัก และความรอดของพระเจ้า ฉันจะเข้าใจพระเจตนารมณ์ผิดไม่ได้ พอรู้ทั้งหมดนี้ ฉันก็รู้สึกสงบลงนิดหน่อย ฉันแค่อยากแสวงหาความจริง ทบทวนและมารู้จักตัวเอง และกลับใจอย่างแท้จริงให้เร็วที่สุด

พอนึกถึงการที่ผู้นำเปิดโปงและจัดการฉัน ว่าบุ่มบ่ามทำตัวตามอำเภอใจ ฉันก็หาบทตอนที่เกี่ยวข้อง เพื่อกินดื่มและเพื่อคิดทบทวน ฉันได้เห็นส่วนที่กล่าวว่า “ผู้คนบางคนชอบทำสิ่งทั้งหลายโดยลำพัง ไม่หารือสิ่งทั้งหลายกับผู้ใดหรือบอกผู้ใด  พวกเขาเพียงทำสิ่งทั้งหลายตามที่ตนต้องการโดยไม่คำนึงว่าผู้อื่นจะมองพวกเขาเช่นไร  พวกเขาคิดว่า ‘ฉันเป็นผู้นำ และพวกคุณคือผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ดังนั้นพวกคุณจำเป็นต้องทำตามสิ่งที่ฉันทำ  ทำตามที่ฉันพูดอย่างแม่นยำ—นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น’  พวกเขาไม่แจ้งให้ผู้อื่นรู้เวลาที่พวกเขาลงมือทำ และการกระทำของพวกเขาไม่มีความโปร่งใส  โดยส่วนตัวแล้วพวกเขามุมานะอยู่เสมอและกระทำการอย่างลับๆ  เช่นเดียวกับพญานาคใหญ่สีแดงที่ยังคงผูกขาดอำนาจไว้ที่ตนฝ่ายเดียว พวกเขาปรารถนาอยู่เสมอที่จะตบตาและควบคุมผู้อื่นซึ่งพวกเขาเห็นว่าไม่มีนัยสำคัญและไร้ค่า  พวกเขาต้องการเป็นผู้ชี้ขาดในเรื่องต่างๆ เสมอ ไม่หารือหรือสื่อสารกับผู้อื่น และพวกเขาไม่เคยขอความคิดเห็นจากผู้อื่น  เจ้าคิดอย่างไรกับแนวทางนี้?  นี่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  (ไม่มี)  นี่คือธรรมชาติของพญานาคใหญ่สีแดงมิใช่หรือ?  พญานาคใหญ่สีแดงนั้นเผด็จการและชอบกระทำการตามอำเภอใจ  ผู้ที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนี้ไม่ใช่เชื้อสายของพญานาคใหญ่สีแดงหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ว่าด้วยการร่วมมือกันอย่างปรองดอง)  “การที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างเพียงพอนั้น ไม่สำคัญว่าเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี เจ้าได้ทำหน้าที่ของเจ้าเสร็จไปมากเพียงใดแล้ว อีกทั้งเจ้าได้ทำคุณูปการต่อพระนิเวศของพระเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว นับประสาอะไรที่จะสำคัญหรือไม่ว่าเจ้าได้รับประสบการณ์ในหน้าที่ของเจ้าอย่างไร  สิ่งหลักที่พระเจ้าทอดพระเนตรก็คือเส้นทางที่บุคคลหนึ่งใช้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ทอดพระเนตรท่าทีของคนเราที่มีต่อความจริงและหลักการ ทิศทาง ต้นกำเนิด และแรงผลักดันเบื้องหลังการกระทำของคนเรา  พระเจ้าทรงมุ่งเน้นที่สิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่กำหนดพิจารณาเส้นทางที่เจ้าเดิน  หากในกระบวนการที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงนั้น ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ในตัวเจ้าเลย และหลักธรรม  เส้นทาง และหลักพื้นฐานแห่งการกระทำของเจ้าคือความคิด จุดมุ่งหมาย และกลอุบายของเจ้าเอง แรงผลักดันของเจ้าคือเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าเองและพิทักษ์ชื่อเสียงและตำแหน่งของเจ้า วิธีการทำงานของเจ้าคือการตัดสินใจและกระทำการตามลำพังและมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย ไม่เคยหารือสิ่งทั้งหลายกับผู้อื่นหรือให้ความร่วมมืออย่างปรองดอง และไม่เคยรับฟังคำแนะนำเมื่อเจ้าทำผิดพลาด นับประสาอะไรกับการแสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะทรงมองดูเจ้าอย่างไร?  เจ้ายังไม่ได้มาตรฐานหากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเช่นนั้น เจ้าไม่ได้ก้าวเท้าไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง เพราะในขณะที่เจ้าทำงานของเจ้านั้น เจ้าไม่แสวงหาหลักธรรมของความจริงและกระทำการตามที่เจ้าปรารถนาอยู่เสมอ ทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าชอบ  นี่คือเหตุผลที่ผู้คนส่วนใหญ่มิได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างเป็นที่น่าพอใจ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?)  ตอนที่คิดตาม พระวจนะกระทบใจฉันอย่างจัง ในนั้นเปิดโปงว่า ธรรมชาติของพญานาคใหญ่สีแดงนั้นโอหัง นับถือตนเอง และทำตามอำเภอใจยังไง มุมมองของพวกเขาในการไล่ตามและในเส้นทางที่เดิน ผิดแผกจากพระเจ้าหมด ทางคริสตจักรให้โอกาสฉันได้เป็นผู้นำ ไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ พวกเขาให้ฉันรับผิดชอบ และอยากให้ฉันทำตามน้ำพระทัย ทำงานร่วมกับคนอื่นอย่างปรองดองเพื่อให้งานของคริสตจักรเป็นไปด้วยดี ทำหน้าที่ตัวเองให้ลุล่วง แต่ฉันกลับถือเอางานของคริสตจักรเป็นเหมือนธุรกิจส่วนตัว พอฉันเริ่มมีผลงาน และมีประสบการณ์มากหน่อยในการเลือกคนที่มีพรสวรรค์ ฉันก็นึกว่าตัวเองตัดสินคนและสถานการณ์เก่ง มีทักษะการทำงานยอดเยี่ยม โดยเฉพาะหลังจากพี่น้องเริ่มมาถามเรื่องต่างๆ กับฉัน ฉันก็วางตัวเองไว้บนแท่น และเชื่อว่าฉันเข้าใจความจริงดีกว่าพวกเขา ฉันเลิกทำตัวจองหองไม่ได้เลย และเชื่อว่าที่งานของคริสตจักรคืบหน้าก็เพราะฉันทั้งนั้น พี่น้องทุกคนด้อยกว่าฉันหมด และไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากแสดงความคิดเห็น ความเห็นของฉันควรสำคัญที่สุด ในแต่ละงานที่จำเป็นต้องหารือกัน ดังนั้น พอเหล่าพี่น้องชี้ให้เห็นว่าฉันหลงผิดในงานยังไง ฉันก็ไม่ใส่ใจ และยังทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีของตัวเอง บางครั้งเวลาพวกเขาแสดงความเห็นที่ต่างออกไป ฉันก็ปฏิเสธโดยไม่คิดดูก่อนด้วยซ้ำ ฉันยืนยันให้พวกเขาทำตามแผนของฉัน และบางครั้งฉันก็ลุยตามแผนโดยไม่ปรึกษาเพื่อนร่วมงานก่อน เพราะฉันยืนกรานจะเลือกคนที่ไม่ตรงตามหลักธรรมมาดูแลหนังสือ และไม่ฟังคำเตือนของเพื่อนร่วมงาน ว่าอย่าทำแบบนั้น หนังสือเลยได้รับความเสียหายมากมาย ขนาดนั้นแล้ว ฉันก็ยังไม่ทบทวนตัวเอง ฉันปลดจางฝานโดยไม่บอกปัญหา ไม่สามัคคีธรรม จนทำให้เธอไม่พอใจ และจ้องจับผิด เรื่องนี้รบกวนชีวิตคริสตจักรอย่างหนัก ในหน้าที่ ฉันไม่ให้ความสำคัญกับการแสวงหาความจริง ไม่ชี้นำให้คนอื่นเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง ฉันกลับนำหน้าในการละเมิดหลักธรรม บังคับให้ทุกคนต้องทำตามคำสั่งของฉัน ไม่ยอมให้พวกเขาแสดงความเห็นต่าง และอยากเป็นคนชี้ขาดในทุกเรื่อง ฉันทำตัวเผด็จการอยู่ไม่ใช่เหรอ? วิธีของฉันนั้นต่างจากของพญานาคใหญ่สีแดงยังไง? ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันเข้าใจชัดเจนว่าเราต้องทำงานตามหลักธรรม แต่ฉันกลับไม่สนใจ ทำตามวิธีของตัวเอง และอยากเป็นคนชี้ขาดเสมอ นี่ฉันสู้กับพระเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ? ทุกการกระทำของฉัน เผยถึงอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ พอได้ทบทวนการกระทำ ฉันก็เห็นว่าทุกพฤติกรรมของฉัน น่ารังเกียจสำหรับพระเจ้า ถ้าไม่กลับใจและเปลี่ยนพฤติกรรม ฉันจะไม่เจอจุดจบแบบศัตรูของพระคริสต์หรือ?

ต่อมา ฉันได้เห็นพระวจนะที่ว่า “หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ  ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน เช่นนั้นแล้วการถูกบอกให้ไม่ต่อต้านพระเจ้าก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร เจ้าไม่อาจห้ามตัวเองได้มันอยู่เหนือการควบคุมของตัวเจ้า  เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ  สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง นำเสนอตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าสบประมาทผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นจะไม่ปล่อยให้หัวใจของเจ้ามีผู้ใดนอกจากตัวเจ้าเอง ความโอหังและความทะนงตนจะปล้นที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าไป และในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหตุให้เจ้านั่งแทนที่พระเจ้าและเรียกร้องให้ผู้คนนบนอบเจ้า และทำให้เจ้าเทิดทูนความคิด แนวคิด และมโนคติอันหลงผิดของตนเองว่าเป็นความจริง  ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและหยิ่งทะนงของตนนั้นทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน!(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้)  ฉันตระหนักผ่านทางพระวจนะว่า สาเหตุของการที่ฉันทำตามอำเภอใจ คือธรรมชาติของฉันโอหังเกินไป ฉันยกย่องตัวเองมากเกินไป คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ตัดสินผู้คนและสถานการณ์เก่งกว่า ฉันไม่มีความเคารพให้ใครเลย เวลาหารือเรื่องงานกับเพื่อนร่วมงาน ฉันคิดว่าตัวเองถูกต้องอยู่เสมอ และไม่ว่าใครจะไม่เห็นด้วย ฉันก็ไม่เคยฟัง ถึงฉันจะก่อกวนและทำให้คริสตจักรวุ่นวายเพราะความโอหังและคิดว่าตัวเองชอบธรรม ฉันก็ยังไม่ยอมถ่อมใจ ฉันเชื่อว่านี่ก็แค่ผิดพลาดครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อพี่น้องหญิงมาเตือน ฉันก็ยังทบทวนและรู้จักตัวเองไม่ได้ คิดว่าคนอื่นทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ฉันตระหนักได้ว่า ฉันโอหังจริงๆ ความมีเหตุผลของฉันอยู่ที่ไหน? ผลงานที่ฉันได้ทำเอาไว้ และการที่ฉันคัดเลือกคนได้ดี เป็นผลจากการทรงนำ และผลที่พระวจนะทำให้เกิดในตัวฉัน ถ้าไม่มีความรู้แจ้งและการทรงนำ ไม่มีหลักธรรมของพระนิเวศ ฉันคงทำอะไรไม่ได้ แต่ฉันเอาความดีความชอบมาไว้ที่ตัวเองหมด และใช้ผลลัพธ์เหล่านี้ เป็นต้นทุนทำตัวโอหังและชอบธรรม ช่างหน้าไม่อายจริงๆ เลย ถ้าผู้นำไม่เปิดโปงฉันอย่างรุนแรง และปลดฉันออก ฉันคงไม่มีวันทบทวนตัวเอง ตอนนั้นฉันถึงรู้ว่า การถูกเปิดโปงและถูกปลด เป็นวิธีที่พระเจ้าทรงใช้คุ้มครองฉัน ไม่อย่างนั้น ใครจะไปรู้ว่า อุปนิสัยโอหังของฉัน จะทำให้ฉันทำชั่วอะไรอีก? พอเข้าใจทั้งหมดนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกกลัวและละอายใจจริงๆ ฉันอธิษฐานว่า “พระเจ้า! ลูกไม่อยากใช้ชีวิตตามอุปนิสัยโอหังแล้ว และลูกไม่อยากทำตัวบุ่มบาม เอาแต่ใจตัวเอง ได้โปรดทรงนำให้ลูกพบเส้นทางที่จะปฏิบัติด้วยเถิด”

จากนั้น ฉันก็แสวงหาเกี่ยวกับปัญหาของตัวเอง และพบพระวจนะบทตอนนี้ “เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะแก้ไขการทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่นของเจ้าอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า และเจ้ามีแนวคิดและแผนการของเจ้าเอง  ก่อนที่จะกำหนดพิจารณาว่าจะทำสิ่งใด เจ้าก็ต้องแสวงหาความจริงและอย่างน้อยเจ้าควรสามัคคีธรรมกับทุกคนถึงสิ่งที่เจ้าคิดและเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนั้น โดยขอให้ทุกคนบอกเจ้าว่าความคิดทั้งหลายของเจ้าถูกต้องและเป็นไปในแนวเดียวกับความจริงหรือไม่ และขอให้ดำเนินการตรวจสอบขั้นสุดท้ายให้กับเจ้า  นี่คือวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อแก้ไขการทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่น  ประการแรก เจ้าสามารถฉายส่องความสว่างไปยังทรรศนะทั้งหลายของเจ้าและแสวงหาความจริง—นี่คือขั้นตอนแรกของการปฏิบัติเพื่อแก้ไขการทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่น  ขั้นตอนที่สองเกิดขึ้นเมื่อผู้คนอื่นออกเสียงแสดงข้อคิดเห็นที่เห็นต่าง—เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อกันไม่ให้เกิดการทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น?  ก่อนอื่นเจ้าต้องมีท่าทีของความถ่อมใจ พักวางสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้องลงไว้ก่อน และปล่อยให้ทุกคนสามัคคีธรรมกัน  ต่อให้เจ้าเชื่อว่าหนทางของเจ้านั้นถูกต้อง เจ้าก็ไม่ควรเอาแต่ยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น  นั่นย่อมเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง แสดงให้เห็นท่าทีของการแสวงหาความจริง ปฏิเสธตัวเจ้าเอง และสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ทันทีที่เจ้ามีท่าทีนี้ ในเวลาเดียวกันก็ไม่ยึดติดกับข้อคิดเห็นทั้งหลายของตนเอง เจ้าก็ควรอธิษฐาน  แสวงหาความจริงจากพระเจ้า แล้วจากนั้นจงมองหาหลักพื้นฐานในพระวจนะของพระเจ้า—กำหนดพิจารณาวิธีปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า  นี่คือการฝึกฝนปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุดและถูกต้องแม่นยำที่สุด  เวลาที่เจ้าแสวงหาความจริงและชูปัญหาให้ทุกคนสามัคคีธรรมร่วมกันและแสวงหาร่วมกัน นั่นคือเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งไว้ให้  พระเจ้าประทานความรู้แจ้งแก่ผู้คนตามหลักธรรมทั้งหลาย พระองค์ทรงพิจารณาท่าทีของพวกเขา  หากเจ้ายังคงดื้อดึงทำตามความเห็นของตนโดยไม่คำนึงว่าทัศนะของเจ้าว่าถูกหรือผิด พระเจ้าจะซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากเจ้าและเพิกเฉยต่อเจ้า พระองค์จะทรงทำให้เจ้าอับจนหนทาง เผยตัวเจ้าออกมา และเปิดโปงสภาวะที่อัปลักษณ์ของเจ้า  หากในทางกลับกัน ท่าทีของเจ้าถูกต้อง ทั้งไม่ยืนกรานในหนทางของเจ้าเอง หรือไม่คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายชอบธรรมเสมอ หรือไม่ทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น แต่เป็นท่าทีของการแสวงหาและของการยอมรับความจริง หากเจ้าสามัคคีธรรมกับทุกคน เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเริ่มทรงพระราชกิจในหมู่พวกเจ้า และบางทีพระองค์อาจจะทรงนำทางเจ้าให้เข้าใจด้วยคำพูดของใครบางคน  บางครั้ง เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า พระองค์ทรงนำทางเจ้าให้เข้าใจเงื่อนปมของเรื่องด้วยคำพูดหรือวลีเพียงไม่กี่คำ หรือด้วยการประทานแนวคิดหนึ่งให้กับเจ้า  เจ้าตระหนักในทันทีนั้นว่า สิ่งใดก็ตามที่เจ้ากำลังยึดติดนั้นผิดพลาด และในทันทีเดียวกันนั้น เจ้าก็เข้าใจหนทางในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเหมาะสมมากที่สุด  เมื่อได้มาถึงระดับเช่นนี้แล้ว เจ้าได้หลีกเลี่ยงการทำความชั่วและในเวลาเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการแบกรับผลสืบเนื่องจากความผิดพลาดสำเร็จแล้วมิใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่การคุ้มครองของพระเจ้าหรือ?  (ใช่)  จะสัมฤทธิ์สิ่งเช่นนั้นอย่างไร?  การนี้จะบรรลุได้เมื่อเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเมื่อเจ้าแสวงหาความจริงด้วยหัวใจแห่งการนบนอบ  ทันทีที่เจ้าได้รับความรู้แจ้งแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และกำหนดหลักธรรมของการปฏิบัติแล้ว การฝึกฝนปฏิบัติของเจ้าย่อมจะตรงตามความจริง และเจ้าจะสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  พระวจนะเปิดเผยให้เห็นเส้นทางปฏิบัติ ในการแก้ไขความโอหัง และความหุนหันพลันแล่น สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ท่าทีที่แสวงหาความจริง และความตั้งใจที่จะร่วมมือกับคนอื่น เมื่อพบเจอปัญหาเราควรหารือกับคนอื่น และตกลงร่วมกันก่อนดำเนินการ ถ้ามีคนแสดงความเห็นต่าง เราควรเรียนรู้ที่จะถ่อมตัว แสวงหาความจริงและหลักธรรมร่วมกับคนอื่น ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก ไม่มีโครงการไหนของคริสตจักร เสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยคนเพียงคนเดียว ทุกโครงการต้องใช้ความร่วมมือและการหารือ เพื่อให้แล้วเสร็จอย่างถูกต้องเหมาะสม ความล้มเหลวนี้ ทำให้ฉันตระหนักจริงๆ ว่า การแสวงหาความจริงและทำหน้าที่ตามหลักธรรมในหน้าที่ของคนเรานั้นสำคัญยังไง การทำงานแบบนี้ จะทำให้ฉันไม่ก่อกวนและไม่ขัดจังหวะได้ ถ้าใครโอหัง ทำตามใจตัวเอง และหุนหันพลันแล่น ไม่ว่าคนนั้นจะฉลาดยังไง ก็จะไม่บรรลุผลที่ดีอยู่ดี และจะได้แต่ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ผ่านไประยะนึง พอพี่น้องเห็นว่าเวลาทำหน้าที่ ฉันกลับใจ และเปลี่ยนไปบ้างแล้ว พวกเขาก็เลือกให้ฉันเป็นผู้นำคริสตจักรอีกครั้ง พอคิดถึงการที่ฉันอยากเป็นคนชี้ขาดในหน้าที่ แถมสิ่งนี้ก็ค่อนข้างเป็นภัยกับคนอื่น และทำฉันเสียใจมามาก ฉันก็ให้คำมั่นกับพระเจ้าว่า ฉันจะไม่ทำตามใจ ไม่บังคับให้คนอื่นยอมทำตามฉัน และฉันจะร่วมมือกับคนอื่นด้วยความปรองดอง

ครั้งหนึ่ง ตอนที่หารือเรื่องงานให้น้ำในคริสตจักรแห่งหนึ่งกับเพื่อนร่วมงาน ฉันรู้สึกว่า พี่หวังมีความรับผิดชอบ และมีพรสวรรค์ในงาน สมควรบ่มเพาะให้เป็นมัคนายกให้น้ำ แต่คู่ทำงานสองคนไม่เห็นด้วย พวกเขารู้สึกว่า ถึงพี่หวังจะค่อนข้างมีความรับผิดชอบ และมีพรสวรรค์ แต่เธอมีประสบการณ์ชีวิตไม่มาก เวลาเจอปัญหาก็ไม่แสวงหาหลักธรรมก่อน เธอจึงไม่เหมาะที่จะกำกับดูแลงานให้น้ำ พอฟังแล้ว ฉันรู้สึกโมโหขึ้นมาว่า “ฉันเป็นผู้นำที่นี่ พวกคุณคิดว่าตัวเองดูคนได้เก่งกว่าฉันรึ?” ตอนที่ฉันกำลังจะย้ำมุมมองของตัวเอง จู่ๆ ฉันก็เกิดรู้ตัวว่า ฉันเผยอุปนิสัยโอหังและอยากทำตามใจอีกแล้ว พอนึกถึงความล้มเหลวของตัวเองที่ผ่านๆ มา ฉันก็อธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงช่วยฉันถ่อมตัว และทำตามหลักธรรม พอนึกเสร็จ ฉันก็ตระหนักว่าถ้าเราเลือกคนผิดในงานให้น้ำ ก็จะนำความเสียหายมากมาย มาสู่การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้อง ฉันจึงต้องทำด้วยความรอบคอบ จากนั้น ฉันก็แสวงหาหลักธรรมในการเลื่อนขั้นและฝึกฝนผู้คนร่วมกับคนอื่น แล้วหลังจากชุมนุมและสามัคคีธรรมกับพี่หวัง ฉันก็พบว่า เธอขาดประสบการณ์ชีวิตจริงๆ พอเจอปัญหาเธอก็ไม่ทบทวนตัวเอง ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหา และไม่เหมาะกับงานให้น้ำ สุดท้าย ฉันก็เห็นด้วยกับความเห็นของคนอื่น ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก หลังจากที่ปฏิบัติด้วยวิธีนี้ พอย้อนดูประสบการณ์ของฉันแล้ว ความทุกข์เพราะผลจากการทำตัวตามอำเภอใจ ทำให้ฉันเจ็บปวดมาก สำนึกเสียใจ และเกลียดตัวเองมาก ทำให้ฉันรู้จักอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง และตระหนักว่า ฉันไม่ควรทำหน้าที่ตามแนวคิดตัวเองคนเดียว ฉันควรแสวงหาพระเจตนารมณ์ให้มากขึ้น ทำงานตามหลักธรรม และยกชูพระเจ้าเหนือทุกสิ่ง มีแค่การทำแบบนี้ ฉันถึงจะได้รับการทรงนำและไม่หลงผิด ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เป็นอิสระจากความริษยา

ช่วงต้นปี 2021 ผมได้รับใช้เป็นคนประกาศและได้ทำงานคู่กับพี่มัทธิวเพื่อเฝ้าดูงานคริสตจักร ผมเพิ่งจะเริ่มทำหน้าที่นั้น...

ความรอดพึงต้องมีสถานะด้วยหรือ?

โดย อี้ฉวิน, ประเทศจีนหลายปีแล้วที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ไกลจากบ้านและได้รับผิดชอบงานของคริสตจักร  แม้ฉันเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด...

ติดต่อเราผ่าน Messenger