เหตุใดการรับฟังคำแนะนำจึงยากนัก?

วันที่ 09 เดือน 03 ปี 2023

โดย จูดี้ ฟิลิปปินส์

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2021 ฉันให้น้ำผู้มาใหม่ในคริสตจักร พี่น้องชายเจเรมีกำกับดูแลงานของพวกเรา โดยทั่วไปเขาจะถามฉันถึงปัญหาหรืออุปสรรคโดยทั่วไปที่ฉันมีในหน้าที่ คอยชี้แนะฉันว่าจะสื่อสารกับผู้เชื่อใหม่และช่วยพวกเขาแก้ปัญหายังไง บางครั้งงานของฉันก็มีข้อผิดพลาดหรือปัญหา เมื่อเขาสังเกตพบก็จะชี้ให้ฉันเห็นและบอกวิธีแก้ไข ทีแรก ฉันดีใจที่ได้รับการชี้แนะจากพี่น้องเจเรมี แต่พอเขาเอ่ยถึงปัญหามากเข้า ฉันก็ไม่อยากจะรับฟังแล้วจริงๆ ฉันคิดว่า “ฉันยุ่งมากกับการให้น้ำผู้มาใหม่ทุกวัน จนบางครั้งก็ไม่ได้กินข้าวตรงเวลาด้วยซ้ำ ฉันทุ่มเทเต็มที่ ดังนั้นทำไมคุณถึงเอาแต่พูดถึงปัญหาของฉันล่ะ? ฉันว่าตัวเองมีขีดความสามารถดีทีเดียว ฉันทำงานเป็น ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาคอยบอก”

วันหนึ่ง ผู้เชื่อใหม่ในกลุ่มคนหนึ่งส่งข้อความมา กล่าวขอโทษขอโพยว่าเขางานยุ่งมากจนพลาดการชุมนุมครั้งล่าสุด ตอนนั้นฉันกำลังทำอย่างอื่นอยู่ จึงไม่ได้ตอบกลับทันที พอฉันเห็นข้อความของเขา พี่น้องเจเรมีก็ตอบข้อความของผู้มาใหม่คนนั้นไปแล้ว เขายังส่งข้อความส่วนตัวมาเตือนฉันให้ตอบกลับข้อความให้ทันท่วงที และให้ข้อเสนอะแนะเรื่องการสื่อสารกับพวกเขา ฉันรำคาญข้อความของเขา รู้สึกเหมือนโดนรังควาน ฉันคิดว่า “ฉันรู้หรอกน่าว่าจะสื่อสารกับพวกเขายังไง ทำไมยังคอยย้ำให้คำแนะนำฉันอยู่ได้? ถ้าคิดว่าตัวเองสามัคคีธรรมได้ก็ทำเองเลยสิ” ฉันรู้สึกขุ่นเคืองใจด้วยซ้ำว่า “ฉันทำทุกอย่างมาตลอด จนบางครั้งถึงกับลืมกินข้าว แต่คุณก็ยังพูดว่าฉันทำอันนี้แย่ อันนั้นแย่” เวลาพี่น้องเจเรมีโทรมาตรวจตรางานของฉัน ฉันไม่ตอบ หรือแม้แต่ส่งข้อความหาเขา—ฉันไม่อยากรับทราบ แต่เขาก็ยังคอยถามเกี่ยวกับงานของฉันและให้ข้อเสนอแนะต่างๆ ครั้งหนึ่ง ตอนที่ผู้เชื่อใหม่ไม่ตอบข้อความที่ฉันส่งไป ฉันก็ไม่ได้ติดตามเขา พี่น้องเจเรมี่บอกฉันว่าฉันควรติดต่อเขาต่อไป และบอกว่าฉันต้องใจเย็นกับผู้มาใหม่ และช่วยพวกเขาเยอะๆ ฉันไม่อยากรับฟังคำแนะนำของเขา ฉันคิดว่า “ผู้มาใหม่คนนั้นไม่ตอบ ดังนั้นฉันไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ทำแบบนั้นไม่ผิดอะไรสักหน่อย ทำไมฉันต้องฟังคุณด้วย?” ดังนั้น ฉันจึงไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของเขา ส่วนคนที่ไม่เคยตอบกลับฉัน ฉันก็เลิกยุ่งกับพวกเขา อย่างช้าๆ ผู้มาใหม่มากมายในกลุ่มที่ฉันรับผิดชอบก็เลิกสนใจเข้าร่วมชุมนุม เมื่อฉันสังเกตเห็นเรื่องนี้ฉันจึงตระหนักว่า ท่าทีของฉันที่ไม่รับยอมรับคำแนะนำนั้นผิดไป ฉันคิดถึงการที่ฉันเมินพี่น้องเจเรมีและไม่ฟังคำแนะนำของเขาด้วย แต่เขาก็ตอบข้อความของฉันเสมอ ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันติดค้างคำขอโทษเขา และดังนั้น ฉันจึงกล่าวอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงนำฉันและมอบพละกำลังให้ฉัน ฉันอยากหันหลังให้แนวคิดของตัวเองและรับฟังคำแนะนำของเขา

ภายหลัง ฉันอ่านพระวจนะนี้ที่ว่า “ผู้คนบางคนไม่เคยแสวงหาความจริงในขณะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเลย พวกเขาแค่ทำไปตามที่พวกเขาพอใจ กระทำการตามความคิดฝันของพวกเขาเอง และทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่นตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เดินบนเส้นทางของการปฏิบัติความจริง การ ‘ทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น’ หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเมื่อเผชิญปัญหา เจ้ากระทำการตามที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสม ไร้กระบวนการคิดหรือการค้นหาใดๆ คำพูดของผู้อื่นไม่สามารถสัมผัสหัวใจของเจ้าหรือเปลี่ยนความคิดของเจ้าได้ เจ้าไม่อาจยอมรับได้ด้วยซ้ำเมื่อมีการสามัคคีธรรมถึงความจริงกับเจ้า เจ้ายึดติดอยู่กับความคิดเห็นของตัวเอง ไม่รับฟังเมื่อผู้อื่นพูดในสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าเชื่อว่าตัวเองถูกและยึดถือแนวคิดของตัวเจ้าเอง ต่อให้การคิดอ่านของเจ้าถูกต้อง เจ้าก็ควรพิจารณาความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย ใช่หรือไม่? และหากเจ้าไม่พิจารณาเลย นี่ก็คือการคิดว่าตนชอบธรรมเสมอเป็นอย่างยิ่งมิใช่หรือ? สำหรับผู้คนที่คิดว่าตนชอบธรรมเสมอและดื้อดึงอย่างที่สุดนั้น การยอมรับความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย หากเจ้าทำผิดและผู้อื่นวิจารณ์เจ้าว่า ‘คุณไม่ได้ทำสิ่งนั้นตามความจริง!’ เจ้าย่อมตอบว่า ‘ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังจะทำเช่นนี้อยู่ดี’ แล้วจากนั้นเจ้าก็หาเหตุผลบางประการมาทำให้พวกเขาคิดว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง หากพวกเขาตำหนิเจ้าว่า ‘การที่คุณทำตัวเช่นนี้เป็นการจุ้นจ้าน และจะสร้างความเสียหายให้แก่งานของคริสตจักร’ นอกจากไม่รับฟังแล้ว เจ้ายังจะเอาแต่คิดหาข้อแก้ตัวว่า ‘ฉันคิดว่านี่คือวิธีที่ถูกต้อง ดังนั้นฉันจะทำเช่นนี้’ นี่คืออุปนิสัยอะไร? (ความโอหัง) นี่คือความโอหัง ธรรมชาติที่โอหังทำให้เจ้าเอาแต่ใจ หากเจ้ามีธรรมชาติที่โอหัง เจ้าจะประพฤติตนตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น ไม่ใส่ใจคำพูดของผู้ใดเลย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระวจนะส่งผลกระทบต่อฉันอย่างลึกซึ้ง ฉันกำลังทำหน้าที่ แต่กลับไม่แสวงหาหลักธรรมของความจริง ฉันแค่ทำสิ่งต่างๆ ตามใจ ทำตามความคิดของตัวเอง และจะไม่ยอมรับสิ่งที่คนอื่นพูดเลย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองมีขีดความสามารถดีและทำถูกต้องแล้ว ฉันจึงไม่ต้องรับฟังการบอกทางและแนะนำจากคนอื่น ฉันถือทิฐิและเห็นว่าตัวเองชอบธรรมเสมอจริงๆ เมื่อฉันเพิกเฉยข้อความของผู้มาใหม่ พี่น้องเจเรมีก็เตือนฉันให้ดูแลพวกเขา และแนะนำฉันเรื่องการสื่อสารกับผู้เชื่อใหม่ แต่ฉันไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของเขา เพราะฉันรู้สึกว่าฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไง เขาไม่จำเป็นต้องบอกฉัน ฉันจึงขุ่นเคืองเขาเพราะเรื่องนั้น ดังนั้นเมื่อเขาต้องการพูดกับฉันเรื่องปัญหาของผู้มาใหม่ ฉันก็จะไม่รับโทรศัพท์หรืออ่านข้อความของเขา เขาบอกให้ฉันแสดงความรักต่อผู้เชื่อใหม่ และแม้ฉันจะรู้ว่านี่เป็นการปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีความรับผิดชอบ ฉันก็ยังรู้สึกว่าฉันทำดีกับพวกเขามากแล้ว และการส่งข้อความไปอีกเป็นการเสียเวลา การมั่นใจในตัวเองมากเกินไปและไม่ทำตามคำแนะนำของพี่น้องเจเรมี ทำให้ผู้มาใหม่มากมายหมดความสนใจมาชุมนุม ผลลัพธ์นั้นทำให้ฉันเห็นว่า ฉันเป็นเหมือนที่พระเจ้าทรงบรรยาย—ดื้อรั้น โอหัง และคิดว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ ฉันไม่มีหลักธรรม ทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่นในหน้าที่ ฉันไม่แสวงหาความจริง ฉันไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเอง ถ้าฉันสามารถละวางอัตตาและรับฟังคำแนะนำของคนอื่นได้ ฉันก็คงไม่ได้ทำงานของตัวเองอย่างเลวนัก พอใคร่ครวญเรื่องนี้ ฉันก็ขยะแขยงอุปนิสัยโอหังของตัวเองอย่างแท้จริง ฉันสาบาน ว่าจากนั้นไป ฉันจะละทิ้งเนื้อหนัง ปฏิบัติความจริง และเรียนรู้ที่จะรับฟังข้อเสนอแนะ ฉันจะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี หลังจากนั้น ฉันพยายามทำสิ่งที่พี่น้องเจเรมี่เสนอแนะ และดูให้แน่ใจว่าฉันยังคอยติดต่อผู้มาใหม่ที่ไม่ตอบกลับฉัน ฉันต้องแปลกใจเมื่อไม่นานบางคนก็อยากเริ่มเข้าร่วมชุมนุมอีกครั้ง และในที่สุดฉันก็เห็นว่าข้อเสนอแนะของพี่น้องเจเรมี่มีประโยชน์แค่ไหน และนี่เป็นการทำหน้าที่ของฉันอย่างมีความรับผิดชอบ หลังจากนั้น เมื่อไรก็ตามที่พี่น้องชายหรือหญิงเสนอแนะอะไร ฉันก็จะพยายามยอมรับ

ต่อมา ฉันเริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พี่น้องหญิงโมนาเป็นผู้ตรวจตรางานของพวกเรา ฉันประหม่าจริงๆ ตอนที่เริ่มประกาศข่าวประเสริฐทีแรก แต่ฉันก็สามัคคีธรรมกับผู้ที่อาจรับข่าวประเสริฐเต็มที่ ฉันคิดว่าฉันทำหน้าที่ได้ดีแล้วพอแล้ว แต่สัปดาห์แรกผ่านไป และฉันก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเลย พี่น้องโมนาถามฉันว่ามีความลำบากยากเย็นอะไรไหม และเตือนให้ฉันสื่อสารกับผู้ที่อาจรับข่าวประเสริฐเยอะๆ เพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและปัญหาของพวกเขา พอได้ยินเธอพูดแบบนั้น ฉันก็ขุ่นเคืองใจเล็กน้อยและพูดว่า “ฉันสามัคคีธรรมไปแล้ว แต่พวกเขาไม่ตอบกลับฉันเลย” ฉันถึงกับส่งภาพหน้าจอให้เธอเพื่อพิสูจน์ว่าฉันส่งข้อความให้พวกเขาไม่ขาด จากนั้นพี่น้องโมนาก็ส่งบันทึกที่พี่น้องชายโจเซฟเป็นพยานให้งานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าให้ฉัน ให้ฉันเรียนรู้ เธอพูดว่าเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐเก่งมาก และทำได้อย่างประสบความสำเร็จ ตอนนั้น ฉันอับอายมาก ฉันรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังเปรียบเทียบฉันกับพี่น้องโจเซฟ ซึ่งยากที่ฉันจะรับได้ “เธอส่งบันทึกนั้นมาให้ฉันทำไม? หรือสามัคคีธรรมของเขาจะดีกว่าของฉัน? การที่เธอบอกว่าเขามีผลสำเร็จ แปลว่าฉันไม่มีดีแน่ๆ” ฉันบอกตัวเองว่า “สามัคคีธรรมของฉันก็ดีแล้ว ฉันแค่ยังใหม่กับหน้าที่นี้และไม่คุ้นเคยกับหลักธรรม” ฉันรู้สึกเหมือนว่าทุกคนมีวิธีการในแบบของตัวเอง ฉันจึงไม่ฟังบันทึกนั้นด้วยซ้ำ ฉันตอบพี่น้องโมนาว่า “คนอื่นก็มีวิธีการของพวกเขา และฉันก็มีของฉัน ถ้าคุณเห็นว่าวิธีการของคนอื่นดีกว่า ฉันกลับไปให้น้ำผู้มาใหม่ก็ได้นะคะ” ฉันรู้สึกเหมือนว่าพี่น้องโมนากำลังดูถูกดูแคลนฉัน ว่าเธอรู้สึกเหมือนว่าฉันไม่ใช่คนทำงานข่าวประเสริฐที่ดี ฉันรู้สึกแย่และผิดหวังมาก และไม่อยากรับฟังคำแนะนำของเธอ ฉันถามเธออย่างเจ็บปวดว่า “เรามีวิธีการประกาศต่างกัน ทำไมถึงส่งบันทึกนั้นมาให้ฉันล่ะคะ?” หลังจากนั้นฉันก็เลิกตอบข้อความเธอ

พอรู้สึกได้ว่าฉันไม่อยู่ในสภาวะที่ดี พี่น้องโมนาส่งพระวจนะมาให้ฉัน ซึ่งปลุกเร้าใจฉันจริงๆ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ประเภทใดหรือเจ้ากำลังศึกษาทักษะทางวิชาชีพใด เจ้าควรจะเก่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป หากเจ้าสามารถพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เรื่อยๆ เจ้าก็จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป…ไม่ว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่ เจ้าจำเป็นต้องทุ่มเทหัวใจให้กับการศึกษาสิ่งต่างๆ หากเจ้าไม่มีความรู้ทางวิชาชีพ เช่นนั้นแล้วก็จงศึกษาหาความรู้ทางวิชาชีพ หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วก็จงแสวงหาความจริง หากเจ้าเข้าใจความจริงและมีความรู้ทางวิชาชีพ เจ้าก็จะสามารถใช้สิ่งเหล่านั้นในขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนและได้ผลลัพธ์ นี่คือคนที่มีพรสวรรค์อันแท้จริงและมีความรู้จริง หากขณะปฏิบัติหน้าที่ เจ้าไม่ศึกษาความรู้ทางวิชาชีพเลย ไม่แสวงหาความจริง และการปรนนิบัติของเจ้าก็ต่ำกว่ามาตรฐาน เช่นนั้นแล้วเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างไร? การที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีนั้น เจ้าต้องศึกษาหาความรู้มากมายอันเป็นประโยชน์ และเตรียมตัวเจ้าเองให้พร้อมด้วยความจริงทั้งหลาย เจ้าต้องไม่หยุดเรียนรู้ ไม่หยุดแสวงหา และไม่หยุดพัฒนาจุดอ่อนของตนเองด้วยการเรียนรู้จากผู้อื่นเป็นอันขาด ไม่ว่าจุดแข็งของผู้อื่นคืออะไร หรือพวกเขาแข็งแกร่งกว่าเจ้าในทางใด เจ้าก็ต้องเรียนรู้จากพวกเขา และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ้าควรเรียนรู้จากผู้ที่เข้าใจความจริงดีกว่าเจ้า เมื่อปฏิบัติหน้าที่ในหนทางนี้เป็นเวลาหลายปี เจ้าก็จะเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะได้มาตรฐานเช่นกัน เจ้าจะกลายเป็นผู้ที่มีความจริงและมีสภาวะความเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่ครองความเป็นจริงของความจริง การนี้สัมฤทธิ์ได้ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) การอ่านพระวจนะแสดงให้ฉันเห็น ว่าเพื่อให้ก้าวหน้าในหน้าที่และสำเร็จในงานข่าวประเสริฐ ฉันต้องเรียนรู้ที่จะรับฟังข้อเสนอแนะของคนอื่น และเรียนรู้จากจุดแข็งและวิธีการที่เกิดผลสำเร็จของพวกเขา นี่สำคัญอย่างมาก ฉันเข้าใจความจริงอย่างตื้นเขิน อีกทั้งมีข้อผิดพลาดและความขาดพร่องมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่อะไร ฉันก็ต้องเรียนรู้หลักธรรมและทักษะที่เกี่ยวข้อง ตราบใดที่ฉันเต็มใจเรียนรู้และยอมรับคำแนะนำของคนอื่น ฉันก็สามารถชดเชยและปรับปรุงข้อบกพร่องของตัวเองได้ แต่ฉันโอหังและมั่นใจในตัวเอง ฉันเพิ่งจะเริ่มแบ่งปันข่าวประเสริฐ—ฉันไม่เข้าใจหลักธรรมและไม่ประสบความสำเร็จเลย แต่ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันทำงานได้ดี และฉันไม่เต็มใจจะรับคำแนะนำ แม้แต่ตอนที่พี่น้องโมนาชี้ให้เห็นปัญหาของฉัน ฉันก็เพียงแค่ส่งภาพหน้าจอให้เธอเพื่อพิสูจน์ว่าฉันรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ และไม่ต้องการคำแนะนำใดๆ ตอนเธอส่งบันทึกที่พี่น้องโจเซฟประกาศข่าวประเสริฐมาให้ฉัน เพราะฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีความคิดดีๆ และไม่ต้องเรียนรู้จากคนอื่น เนื่องจากความโอหังของฉัน ฉันจึงไม่เต็มใจยอมรับคำแนะนำเชิงรุกในทางบวก ฉันมีท่าทีเดียวกันต่อทั้งข้อเสนอแนะของพี่น้องโมนาและพี่น้องเจเรมี เอาแต่ต่อต้าน ปฏิเสธ และยืนกระต่ายขาเดียว ด้วยท่าทีแบบนั้น ฉันคงไม่สามารถได้ผลลัพธ์ที่ดีจากหน้าที่ใด หรือสร้างความคืบหน้าใดๆ ได้ พระเจ้าก็คงไม่ทรงเห็นชอบต่อหน้าที่ของฉันเช่นกัน

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะบางบทตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานของผู้คนที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด และหากพวกเขาไม่ยอมรับความจริง ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะได้รับการชำระให้สะอาด ผู้คนมีอุปนิสัยที่โอหังและอุปนิสัยที่คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ พวกเขาเชื่อเสมอว่าตนเองถูก และในทุกสิ่งที่พวกเขาคิด พูด และมีความเห็น พวกเขาก็เชื่อเสมอว่าทรรศนะและชุดความคิดของพวกเขาถูกต้อง สิ่งที่คนอื่นพูดไม่ได้ดีหรือถูกต้องเท่ากับสิ่งที่พวกเขาพูด คนเหล่านี้ยึดติดกับความคิดเห็นของตนตลอดเวลาและไม่รับฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูดแต่อย่างใด แม้ในยามที่คำพูดของผู้อื่นถูกต้องและตรงกับความจริง พวกเขาก็ไม่ยอมรับ พวกเขาเพียงทำเป็นรับฟัง แต่ไม่รับสิ่งใดมาใส่ใจ เมื่อถึงคราวที่ต้องลงมือทำ พวกเขาก็ยังคงทำตามวิธีของตัวเอง พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าตนนั้นถูกต้องและมีเหตุผลอันสมควร เจ้าอาจจะถูกต้องและมีเหตุผลอันสมควร หรืออาจจะกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยไร้ซึ่งปัญหา แต่เจ้าเปิดเผยอุปนิสัยใดออกมา? ไม่ใช่ความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอหรอกหรือ? หากเจ้าไม่อาจสลัดอุปนิสัยที่โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอนี้ทิ้งไปได้ นี่จะส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่? จะส่งผลต่อความสามารถของเจ้าในการนำความจริงไปปฏิบัติหรือไม่? หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยประเภทที่โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอนี้ได้ ก็มีแนวโน้มที่เจ้าจะเผชิญภาวะชะงักงันครั้งใหญ่ในอนาคตมิใช่หรือ? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นเช่นนั้น นั่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พระเจ้าจะทรงมองเห็นได้หรือไม่ว่าในตัวผู้คนมีสิ่งเหล่านี้สำแดงอยู่? พระองค์ย่อมทรงมองเห็นได้อย่างดียิ่ง พระเจ้าไม่เพียงสำรวจตัวตนส่วนลึกสุดของมนุษย์เท่านั้น ทว่ายังทรงเฝ้าดูทุกถ้อยคำและการกระทำของพวกเขาอยู่เสมออีกด้วย และเมื่อทรงเห็นว่ามีสิ่งเหล่านี้สำแดงอยู่ในตัวเจ้า พระเจ้าจะตรัสว่าอย่างไร? พระองค์จะตรัสว่า ‘เจ้าช่างว่ายากสอนยาก! การยึดมั่นในความคิดโดยที่เจ้าไม่รู้ว่าตัวเองผิดเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่หากเจ้ายังยืนกรานที่จะทำตามความคิดเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองผิด ทั้งยังไม่ยอมกลับใจ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือคนเฒ่าที่เขลาและดื้อรั้น และเจ้าย่อมตกที่นั่งลำบาก ไม่ว่าจะเป็นคำเสนอแนะของใคร หากเจ้าตอบโต้ด้วยท่าทีเชิงลบและเป็นปรปักษ์ และไม่ยอมรับความจริงเลย—หากในหัวใจของเจ้ามีแต่การเป็นปรปักษ์ การปิดกั้น และการปฏิเสธ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ช่างน่าขัน เป็นคนเขลาที่ไร้สาระ! เจ้านั้นว่ายากเกินที่จะจัดการได้’ สิ่งใดเกี่ยวกับตัวเจ้าที่ยากจะจัดการ? สิ่งที่ยากเกี่ยวกับตัวเจ้าก็คือว่าพฤติกรรมของเจ้าไม่ใช่วิธีที่ผิดในการทำสิ่งต่างๆ หรือเป็นการประพฤติปฏิบัติตนที่ผิด แต่พฤติกรรมของเจ้ากลับเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยบางอย่าง เปิดเผยอุปนิสัยชนิดใด? อุปนิสัยที่เจ้าหน่ายและเกลียดชังความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงมีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยครั้งเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระองค์) จากพระวจนะ ฉันตระหนักว่า อุปนิสัยของฉันโอหังและดื้อรั้นอย่างแท้จริงขนาดไหน ฉันรู้สึกเหมือนมีความเข้าใจและทำได้ถูกต้องเสมอ พี่น้องโมนาและพี่น้องเจเรมีให้คำแนะนำฉันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ฉันไม่เคยยอมรับ อีกทั้งต่อสู้กับพวกเขาและทำตัวบึ้งตึงใส่พวกเขา หน้าที่ของฉันคือการแบ่งปันข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้แก่พระเจ้า ดังนั้นถ้าข้อเสนอแนะของพวกเขาเป็นประโยชน์ต่อหน้าที่ของฉัน ต่อการยอมรับหนทางที่แท้จริงของผู้มีโอกาสรับข่าวประเสริฐ ฉันควรจะยอมรับและนำไปปฏิบัติ แต่ก็ไม่ได้ทำ ฉันคิดว่าฉันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และสามารถสามัคคีธรรมความจริง แต่จริงๆ แล้วฉันไม่มีความเข้าใจหลักธรรมและไม่เก่งการประกาศข่าวประเสริฐ ฉันไม่เกิดผลสำเร็จในหน้าที่เลย เมื่อพี่น้องชายหญิงชี้ให้เห็นปัญหาของฉันหรือให้ข้อเสนอแนะกับฉัน ฉันก็ทำตัวโอหังและคิดว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ และไม่อาจยอมรับได้ง่ายๆ บางครั้งฉันก็ถึงกับต่อต้านและขุ่นเคืองใจ นั่นไม่ใช่เพียงข้อผิดพลาดในพฤติกรรมผิวเผินของฉัน แต่เป็นการแสดงถึงความขยะแขยงความจริง การที่ฉันต่อต้านและไม่เชื่อฟัง แท้จริงแล้วเป็นการปฏิเสธและต่อสู้กับความจริง—เป็นการเกลียดความจริง จากนั้นฉันก็เข้าใจว่าพระเจ้าไม่เพียงมองที่พฤติกรรมภายนอกของผู้คน พระองค์ทอดพระเนตรเข้าไปในหัวใจ ท่าทีต่อความจริงและต่อพระองค์ของพวกเขา ฉันเป็นผู้เชื่อ ทำหน้าที่ และไปร่วมชุมนุม แต่ไม่ยอมรับข้อเสนอแนะที่เป็นไปตามความจริงหรือยอมรับสิ่งเชิงบวก ฉันปฏิเสธ ต่อสู้ และถึงกับเกลียดความจริง ฉันไม่มีความเคารพต่อพระเจ้าเลย ถ้าฉันเป็นแบบนั้นต่อไป ฉันไม่เพียงจะทำหน้าที่ได้แย่เท่านั้น แต่ฉันจะลงเอยด้วยการทำให้พระเจ้าขยะแขยง ถูกพระองค์กล่าวโทษและลงโทษ และฉันจะไม่มีจุดจบที่ดี การเห็นโฉมหน้าเยี่ยงซาตานอันอัปลักษณ์ของตัวเองทำให้ฉันกลัวและกังวล ฉันไม่เคยนึกว่าตัวเองเสื่อมทรามมาก และอุปนิสัยโอหังของฉันจะทำให้ฉันต่อต้านพระเจ้า ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ เมื่อตระหนักเรื่องนี้

วันต่อมา ฉันอ่านพระวจนะในกลุ่มหนึ่งที่พี่น้องโมน่าส่งมา และพบเส้นทางปฏิบัติ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนเรามีหลายลักษณะ ลักษณะประการแรกคือสามารถนบนอบต่อเรื่องที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริงได้ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้เสนอความคิดเห็น ไม่ว่าพวกเขาจะมีอายุหรือเยาว์วัย ไม่ว่าเจ้าจะเข้ากับพวกเขาได้หรือไม่ ไม่ว่าพวกเจ้าจะรู้จักพวกเขาหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับพวกเขาหรือไม่ หรือความสัมพันธ์ของเจ้ากับพวกเขาจะดีหรือร้าย ตราบใดที่สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นถูกต้อง สอดคล้องกับความจริง และเป็นประโยชน์ต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าย่อมรับฟัง นำมาใช้ และยอมรับได้โดยไม่ถูกอิทธิพลจากปัจจัยใดๆ ครอบงำ การสามารถยอมรับและนบนอบต่อเรื่องที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริงได้คือลักษณะประการแรก ลักษณะประการที่สองคือสามารถแสวงหาความจริงเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น ไม่เพียงยอมรับความจริงได้เท่านั้น แต่ยังปฏิบัติความจริงและไม่จัดการสิ่งต่างๆ ตามใจตนเองอีกด้วย ไม่ว่าเจ้าจะกำลังเผชิญปัญหาใด เมื่อเจ้าไม่เข้าใจ เจ้าก็สามารถแสวงหา ดูวิธีจัดการปัญหาและวิธีปฏิบัติได้ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักธรรมทั้งหลายของความจริงและสนองข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า ลักษณะประการที่สามก็คือไม่ว่าจะเผชิญปัญหาใด เจ้าย่อมคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและกบฏต่อเนื้อหนังของตนเพื่อที่จะสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า ไม่ว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใด เจ้าก็คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงมีข้อพึงประสงค์อันใดก็ตามต่อหน้าที่นี้ เจ้าก็ดำเนินการตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์ได้เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย เจ้าต้องเข้าใจหลักธรรมนี้ ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างมีความรับผิดชอบและสัตย์ซื่อ นี่คือความหมายของการคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า หากเจ้าไม่รู้วิธีคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือวิธีสนองพระเจ้าในบางเรื่อง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องแสวงหา พวกเจ้าควรเปรียบเทียบลักษณะสามประการของอุปนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วนี้กับตัวเจ้าเอง และดูว่าเจ้ามีลักษณะเหล่านี้หรือไม่ หากเจ้ามีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในสามแง่มุมนี้และมีเส้นทางที่จะปฏิบัติตามลักษณะเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมหมายถึงการรับมือเรื่องต่างๆ อย่างมีหลักธรรม ไม่ว่าจะเผชิญเรื่องใดหรือกำลังจัดการปัญหาอันใด เจ้าต้องแสวงหาหลักธรรมทั้งหลายของการปฏิบัติอยู่เสมอ แสวงหารายละเอียดที่อยู่ในหลักธรรมของความจริงแต่ละประการ รวมทั้งวิธีปฏิบัติที่ไม่ละเมิดหลักธรรม เมื่อเกิดความชัดเจนในปัญหาเหล่านี้ เจ้าย่อมจะรู้วิธีปฏิบัติความจริงอย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถสลัดโซ่ตรวนแห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทิ้งได้)เมื่อเจ้าไม่เข้าใจความจริง หากมีใครบางคนให้ข้อเสนอแนะและบอกวิธีกระทำการตามความจริงแก่เจ้า สิ่งแรกที่เจ้าควรทำคือยอมรับ และขอให้ทุกคนสามัคคีธรรมร่วมกันเพื่อดูว่านี่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่ สอดคล้องกับหลักธรรมทั้งหลายของความจริงหรือไม่ หากเจ้าตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่านี่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วก็จงปฏิบัติในหนทางนี้ หากตรวจสอบแล้ว เจ้าแน่ใจว่าไม่สอดคล้องกับความจริง ก็ไม่ต้องทำตาม เรื่องนี้ง่ายเช่นนั้นเอง เจ้าควรค้นหาความจริงจากหลายๆ คน รับฟังสิ่งที่ทุกคนจะพูดและจริงจังกับทั้งหมดนั้น อย่าปิดหูตัวเองหรือเมินใส่ผู้คน นี่คือหน้าที่ของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงควรจริงจังกับการนี้ นี่คือท่าทีและสภาวะที่ถูกต้อง เมื่อมีสภาวะที่ถูกต้อง เจ้าจะไม่เผยอุปนิสัยที่หน่ายและเป็นปรปักษ์กับความจริงอีกต่อไป การปฏิบัติในหนทางนี้จะเข้าแทนที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า และเป็นการปฏิบัติความจริง แล้วการปฏิบัติความจริงในหนทางนี้จะให้ผลเช่นไร? (มีการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์) การมีการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นแง่มุมหนึ่ง บางครั้งเรื่องราวก็เรียบง่ายมากและสัมฤทธิ์ได้ด้วยการใช้สติปัญญาของเจ้าเอง กล่าวคือ เมื่อผู้คนให้ข้อเสนอแนะแก่เจ้าและเจ้าเข้าใจแล้ว เจ้าก็จัดการแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้องและเพียงดำเนินการไปตามหลักธรรมเท่านั้น สำหรับมนุษย์แล้ว นี่อาจดูเหมือนไม่สลักสำคัญ แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า นี่เป็นเรื่องใหญ่ เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? เมื่อเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้ พระเจ้าย่อมทอดพระเนตรเห็นว่าเจ้าสามารถปฏิบัติความจริง ว่าเจ้าคือผู้ที่รักความจริง ไม่ใช่ผู้ที่หน่ายความจริง และขณะที่ทรงมองเห็นหัวใจของเจ้านั้น พระเจ้าก็ทรงมองเห็นอุปนิสัยของเจ้าด้วย นี่เป็นเรื่องใหญ่ และเมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่และทำสิ่งต่างๆ เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แบบอย่างในการใช้ชีวิตของเจ้าและสิ่งที่เจ้าเผยออกมาก็คือความเป็นจริงของความจริงซึ่งควรจะพบเห็นในตัวผู้คน เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว ท่าที ความคิด และสภาวะของเจ้าในทุกสิ่งที่เจ้าทำนั้นสำคัญอย่างที่สุด สามอย่างนี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงมีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยครั้งเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระองค์) พระวจนะทำฉันตาสว่างจริงๆ เช่นกัน ถ้ามีใครให้คำแนะนำกับฉัน ไมว่าจะเป็นใคร ตราบใดที่พวกเขาพูดถูกและตรงกับความจริง ฉันก็ควรยอมรับและทำตาม และทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นั่นเป็นพฤติกรรมแห่งการยอมรับและปฏิบัติความจริง นั่นเป็นทางเดียวที่ฉันจะสามารถได้รับการทรงนำของพระเจ้าได้ง่ายขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ของตัวเอง จากนั้นอุปนิสัยเสื่อมทรามของฉันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปได้ เนื่องจากความทะนงตนและโอหังของฉันก่อนหน้านั้น ฉันไม่แสวงหาหลักธรรมของความจริงในหน้าที่ หรือรับฟังคำแนะนำของคนอื่น ซึ่งทำให้ฉันทำหน้าที่ได้แย่มาก ตอนนี้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยและขอพึงประสงค์ ฉันต้องเอาใจใส่น้ำพระทัยในหน้าที่ แสวงหาความจริง ปฏิบัติตามหลักธรรม และลุล่วงความรับผิดชอบของฉัน ฉันไม่อาจเกียจคร้านในอะไรที่เกี่ยวข้องกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ ฉันต้องจริงจังกับเรื่องนี้ ไขข้อสงสัยเรื่องการยอมรับหนทางที่แท้จริงของผู้ที่อาจรับข่าวประเสริฐ ฉันไม่มีความเป็นจริงของความจริงหรือเข้าใจหลักธรรมของความจริง ฉันนึกต้องให้คนอื่นชี้นำและช่วยเหลือ เมื่อพวกเขาให้คำแนะนำแก่ฉัน ทั้งหมดก็เพื่อช่วยให้ฉันคืบหน้าในหน้าที่ และให้ฉันสำเร็จความรับผิดชอบของตัวเองได้ พวกเขาไม่ได้กำลังดูแคลนฉัน ดังนั้นฉันไม่ควรบิดเบือนเจตนาของพวกเขา บ่ายวันนั้น ฉันส่งข้อความหาพี่น้องโมนา ขอโทษสำหรับพฤติกรรมของฉัน เธอไม่โกรธฉันเลยสักนิด แต่ฉันก็ยังรู้สึกผิดอยู่บ้าง เพราะฉันคิดว่าเป็นความผิดของฉัน ทั้งหมดเป็นเพราะฉันไม่ยอมรับความจริง ฉันโอหังและหัวแข็งเกินไป ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าพี่น้องโมนาจะให้คำแนะนำอะไรฉัน หรือปัญหาอะไรของฉันที่พวกเขาชี้ให้เห็น ตราบใดที่พวกเขาพูดถูกและเป็นการช่วยในหน้าที่ของฉัน ฉันก็พยายามรับฟัง บางครั้งเวลาฉันเจอความท้าทายในการประกาศข่าวประเสริฐ ฉันก็จะไปขอข้อเสนอแนะจากคนอื่นอย่างแข็งขัน พอฉันทำแบบนั้น ฉันก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในการประกาศข่าวประเสริฐและนำผู้คนเข้าสู่ความเชื่อมากขึ้น ครั้งหนึ่ง หลังจากฉันเป็นพยานต่อผู้อาจรับข่าวประเสริฐบางคนถึงงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า บางคนก็อยากตรวจสอบต่อ แต่บางคนไม่ตอบกลับหลังจากอ่านข้อความของฉัน ฉันจึงไม่ใส่ใจพวกเขาอีก พี่น้องโมนาสังเกตเห็นว่าฉันทำตัวเลินเล่อ และเสนอแนะไม่ให้ฉันล้มเลิกกับพวกเขาง่ายนัก ตราบใดที่พวกเขาอ่านข้อความของฉัน ฉันก็ควรยังคงติดต่อพวกเขาและพยายามคิดถึงหนทางดึงพวกเขาเข้ามา ครั้งนี้ ฉันไม่บอกปัดคำแนะนำของเธอ ฉันนึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่า “ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนเรามีหลายลักษณะ ลักษณะประการแรกคือสามารถนบนอบต่อเรื่องที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริงได้ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้เสนอความคิดเห็น ไม่ว่าพวกเขาจะมีอายุหรือเยาว์วัย ไม่ว่าเจ้าจะเข้ากับพวกเขาได้หรือไม่ ไม่ว่าพวกเจ้าจะรู้จักพวกเขาหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับพวกเขาหรือไม่ หรือความสัมพันธ์ของเจ้ากับพวกเขาจะดีหรือร้าย ตราบใดที่สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นถูกต้อง สอดคล้องกับความจริง และเป็นประโยชน์ต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าย่อมรับฟัง นำมาใช้ และยอมรับได้โดยไม่ถูกอิทธิพลจากปัจจัยใดๆ ครอบงำ” ฉันรู้ว่าถ้าฉันอยากเปลี่ยนอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองและทำหน้าที่ให้ดี ฉันต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับข้อเสนอแนะของคนอื่น ฉันพยายามทำตามคำแนะนำของพี่น้องโมนา และคอยส่งข้อความให้ผู้ที่อาจรับข่าวประเสริฐเหล่านั้น ถามถึงความยากลำบากของพวกเขา ฉันประหลาดใจเมื่อคนที่ไม่เคยตอบมาก่อนเริ่มสื่อสารกับฉัน ว่าพวกเขาได้อะไรบ้างจากการประกาศ พวกเขาเริ่มตรวจสอบหนทางที่แท้จริงอย่างแข็งขัน ฉันมีความสุขมากค่ะ และส่วนตัวฉันเห็นว่าการฟังคำแนะนำของคนอื่นมีประโยชน์แค่ไหน ฉันได้เรียนรู้เยอะเลยด้วยวิธีการนั้น ฉันไม่เพียงได้เรียนรู้ความจริงบางอย่างเกี่ยวกับการแบ่งปันข่าวประเสริฐ แต่รู้ด้วยว่าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไรเพื่อแก้ไข ความติดขัดและตอบคำถามของผู้สมัครข่าวประเสริฐ การสื่อสารกับพวกเขาไม่รู้สึกยากลำบากนักอีกต่อไป และฉันก็ทำหน้าที่ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ฉันเรียนรู้จากประสบการณ์นี้ ว่าพระวจนะมีคุณค่ามากแค่ไหน ว่าพระวจนะช่วยพวกเราให้รู้จักตัวเองได้ เมื่อเราปฏิบัติตามพระวจนะ อุปนิสัยเสื่อมทรามของเราก็เปลี่ยนแปลงได้ แม้ว่าฉันจะยังเปิดเผยความโอหังบ้างบางครั้ง ฉันก็เต็มใจวางอัตตาลง เรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง ฟังคำแนะนำของคนอื่น และเรียนรู้ความจริงเพิ่มขึ้น ฉันหวังให้พระเจ้าทรงนำฉันและพินิจพิเคราะห์ฉันต่อไป

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ความเจ็บปวดซึ่งนำมาโดยความมีหน้ามีตาและสถานะ

โดย ฟาง เซี่ยง, ประเทศจีน ในเดือนมีนาคมของปีที่แล้ว ฉันได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้นำกลุ่ม และรับผิดชอบงานให้น้ำให้กับหลายๆ กลุ่ม...

การเข้าใจว่าการเป็นคนดีหมายถึงอะไร

ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่สอนให้ฉันเป็นธรรม มีเหตุผล ใจดีต่อผู้อื่น เข้าใจความยากลำบากของคนอื่น และไม่คิดเล็กคิดน้อย พวกท่านว่านั่นคือการเป็นคนดี...

การไม่พากเพียรในหน้าที่ทำร้ายผม

โดย เซี่ยวเหวิน สเปน ในปี 2018 ผมอยู่ฝ่ายตัดต่อวิดีโอในคริสตจักร ตอนแรก เพราะผมไม่เคยตัดต่อวิดีโอ และไม่คุ้นเคยกับหลักธรรมที่เกี่ยวข้อง...

ติดต่อเราผ่าน Messenger