การคิดทบทวนของฉันก่อนจะถูกขับออก
ปี 2014 ฉันทำวิดีโอของคริสตจักร ไม่นานนัก ก็ได้เลื่อนเป็นหัวหน้ากลุ่ม เพื่อทำวิดีโอให้ดี ฉันจึงคิดเรื่องหลักธรรม อธิษฐานและแสวงหา แถมยังจริงจังกับทุกช็อต ผ่านไปสักพัก วิดีโอส่วนใหญ่ที่ฉันทำ ถูกเลือกไปใช้ พี่น้องชายหญิง ต่างมองฉันด้วยความนับถือ ฉันอดคิดไม่ได้ ว่าฉันคือหนึ่งในคนที่เก่งที่สุด ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เลื่อนขั้น สองสัปดาห์ต่อมา หัวหน้างานให้ฉันเป็นคนนำ ในการทำวิดีโอของอีกกลุ่ม ถึงกับบอกฉันว่า “นำเหล่าพี่น้องให้ประสบพระวจนะ และทำตามหลักธรรมทีนะ” ฉันอดพอใจในตัวเองไม่ได้ การที่หัวหน้างาน ให้ฉันชี้นำพี่น้องคนอื่น แปลว่าฉันพอมีทักษะ และมีความสามารถ พอเข้าไปกลุ่มนั้น ฉันได้รู้ว่า พี่น้องชายสองคนมีทักษะการทำวิดีโอไม่ดีนัก พี่น้องหญิงคนหนึ่งก็ไม่แย่ แต่เธออายุน้อย เลยขาดประสบการณ์ในทุกด้าน มีแค่หัวหน้ากลุ่ม ที่ค่อนข้างเก่งในแต่ละด้าน เวลาสามัคคีธรรมพระวจนะ หัวหน้ากลุ่มไม่ได้พูดกระชับ หรือเรียบเรียงได้ดีเท่าฉัน แถมไม่ได้มีมุมมองกว้างขวาง เวลาคุยกันเรื่องแนวคิดการทำวิดีโอ ส่วนใหญ่แล้ว ทุกคนก็จะเห็นชอบกับสิ่งที่ฉันเสนอ ฉันเลยยิ่งยกยอตัวเอง มีอยู่สองสามครั้งที่คุยกัน แล้วหัวหน้ากลุ่ม เสนอแนวคิดต่างจากฉัน ฉันดูถูกเขาเต็มที่ และคิดว่า “ทำหน้าที่นี้มาขนาดนี้ ฉันจะไม่รู้เหรอว่าอะไรเป็นอะไร?” ฉันยึดแนวคิดของตัวเอง และรำคาญหัวหน้ากลุ่มจริงๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เรากำลังหารือเรื่องการทำวิดีโอ ฉันเสนอแนวคิดไปสองสามแบบ แต่หัวหน้ากลุ่มไม่ชอบเลยสักอัน ตอนนั้นฉันเริ่มรู้สึกโกรธมากๆ เหมือนเขาปัดตกแนวคิดของฉันทั้งหมด แค่เพื่อทำให้ฉันดูแย่ ฉันไปบ่นลับหลังเขาว่า “ไม่รู้ว่าเขากำลังหมายถึงอะไร เขาเองไม่มีแนวคิดดีๆ แต่ก็ปัดของฉันทิ้งทั้งหมด เช้านี้เราเลยทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง เขาถ่วงงานเราไม่ใช่เหรอ?” ได้ยินฉันพูดแบบนั้น พี่น้องชายหญิงต่างก็คิดว่า หัวหน้ากลุ่มมีปัญหา พี่น้องชายคนหนึ่งสามัคคีธรรมกับเขา ตำหนิที่เขาโอหัง จนส่งผลกับงาน หัวหน้ากลุ่มรู้สึกผิด และอยากลาออก เห็นแบบนี้ ฉันก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง เหมือนกับฉันทำตัวล้ำเส้น ฉันเลยรีบไปขอโทษเขา แต่จากนั้น ฉันก็ไม่ได้ทบทวนตัวเองเลย
วันหนึ่ง ผู้นำคริสตจักรมาชุมนุม และถามเรื่องการทำวิดีโอของเรา ฉันพูดถึงความคิดบางอย่าง ซึ่งผู้นำเห็นชอบ และเสนอให้ทุกคนทำตามที่ฉันแนะนำ ทำไปก็ขัดเกลาไป ฉันคิดว่า “ผู้นำเห็นชอบกับแนวคิดฉัน แสดงว่าฉันเก่งกว่าคนอื่น ทุกคนจึงควรฟังฉัน” หลังจากนั้น ฉันก็จัดเตรียมงานทุกอย่างของกลุ่ม เวลาคนอื่นเจอปัญหา ก็จะมาคุยกับฉันทุกเรื่อง ฉันแต่งตั้งตัวเอง เป็นเสาหลักของกลุ่ม ฉันรู้สึกเหมือนเป็นแรงขับของกลุ่ม ส่วนหัวหน้าเป็นแค่หุ่นเชิด ฉันมีสิทธิ์ขาดในทุกๆ เรื่อง เวลาพวกเขาทำวิดีโอได้ไม่ตรงตามที่ฉันต้องการ ฉันก็จะเปลี่ยนตามที่ต้องการทันที ครั้งหนึ่ง พี่น้องชายหยางอี้เห็นว่าฉันเปลี่ยนวิดีโอตัวหนึ่งของเขาค่อนข้างเยอะ เลยถามว่า “ทำไมคุณเปลี่ยนเยอะล่ะ? ถ้าคุณรู้สึกว่างานเป็นปัญหาจริงๆ เราน่าจะคุยกันได้ ทำไมก่อนแก้ คุณไม่ถามความเห็นผมเลย?” เจอเขาถามแบบนี้ ฉันก็ค่อนข้างอาย แต่คิดว่า “ฉันขีดความสามารถดีกว่า เข้าใจหลักธรรมดีกว่าคุณ ทุกอย่างที่ฉันเปลี่ยน ย่อมเป็นการปรับปรุง” ฉันตอบไปแบบไม่ยอมว่า “ทั้งหมดที่ฉันเปลี่ยน ก็เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นไม่ใช่เหรอ? ถ้าคุณรู้สึกไม่เห็นชอบกับสิ่งที่ฉันเปลี่ยน คราวหลัง ฉันจะหารือกับคุณก่อนแล้วกัน” เขาค่อนข้างถูกมัดมือชก หลังจากนั้น ฉันก็โอหังในหน้าที่ขึ้นเรื่อยๆ เวลาคุยงานกัน ฉันไม่ยอมฟังข้อเสนอแนะของเหล่าพี่น้อง คิดว่าพวกเขาคงไม่มีแนวคิดดีๆ และเราคงลงเอยด้วยการทำตามที่ฉันต้องการอยู่ดี บางครั้ง เวลาพวกเขาดูสงสัยในแผนของฉัน ฉันก็จะตอบโต้อย่างมั่นใจว่า “ถ้าคุณไม่ชอบแนวคิดของฉัน แล้วมีแผนที่ดีกว่าไหม?” พวกเขาถูกมัดมือชก และต้องทำตามที่ฉันพูด นานเข้า ในกลุ่มก็ไม่มีใครค้านแนวคิดฉันอีกต่อไป ได้แต่พยักหน้า เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันพูด
มีช่วงหนึ่งที่ วิดีโอหลายตัวของเราไม่ผ่านการตรวจสอบ แถมมีส่วนที่ล่วงละเมิดหลักธรรมอยู่ชัดเจน พี่น้องชายหญิงต่างโทษตัวเอง รู้สึกว่าไม่ได้ทำหน้าที่ให้ดี แต่ฉันกลับไม่ทบทวนตัวเอง เหมือนฉันทำเต็มที่แล้ว แต่เพราะเรามีขีดความสามารถจำกัด การไม่ได้มาตรฐานจึงเป็นเรื่องปกติ หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มเหนื่อยกับหน้าที่ขึ้นเรื่อยๆ และง่วงนอนบ่อย พี่น้องหญิงคนหนึ่งเตือนว่า “คุณควรทบทวนตัวเองบ้าง ช่วงนี้ คุณเอาแต่ยืนกรานให้คนอื่นทำตามใจคุณ นั่นเป็นการโอหังไม่ใช่เหรอ?” พอรู้ว่าฉันโอหัง เผด็จการ และไม่ฟังสามัคคีธรรมของคนอื่น ผู้นำจึงเปิดโปง และจัดการฉันอย่างรุนแรง จากนั้นก็ปลดฉัน เมื่อเห็นว่าฉันไม่รู้ตัวเลย ฉันด้านชา และไม่รู้จักหันหาพระเจ้า ฉันรู้สึกว่าฉันมีจุดแข็ง คิดยืดหยุ่น เดี๋ยวคริสตจักรคงมอบหมายอีกหน้าที่ให้ ฉันเอาแต่ศึกษาเรื่องการทำวิดีโอ เวลาผ่านไปฉันจะได้ไม่ขาดการฝึกฝน แต่พอพร้อมทำงานวิดีโอ ความคิดฉันกลับว่างเปล่า ฉันเค้นสมองอย่างหนักแต่ก็คิดไม่ออก หัวตื้อไปหมด ฉันคิดว่าฉันมีความคิดกว้าง และหัวไว ทำไมตอนนี้ ฉันผลิตอะไรไม่ได้เลย? แล้วฉัน ก็นึกถึงที่พระเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าประทานของขวัญแก่มนุษย์ ประทานทักษะพิเศษ ตลอดจนเชาวน์กับปัญญาแก่พวกเขา มนุษย์ควรใช้สิ่งเหล่านี้อย่างไร? เจ้าต้องมอบอุทิศทักษะพิเศษของเจ้า ของประทานของเจ้า เชาวน์และปัญญาของเจ้าให้แก่หน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องใช้หัวใจของเจ้าและใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ารู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเข้าใจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้ เจ้าต้องใช้ทั้งหมดนี้ในหน้าที่ของเจ้า โดยการทำดังนี้ เจ้าย่อมจะได้รับพร การได้รับพรจากพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร? การนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกอย่างไร? ว่าพวกเขาได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้า และเวลาปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาก็รู้สึกว่ามีเส้นทาง…เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรใครบางคน พวกเขาย่อมฉลาดและมีปัญญา มีสายตาที่ชัดเจนในทุกเรื่อง ทั้งยังเฉียบคม ตื่นตัวและมีฝีมือดีเป็นพิเศษ พวกเขาจะมีความสามารถพิเศษและได้รับแรงบันดาลใจจากทุกสิ่งที่พวกเขาทำ และพวกเขาจะคิดว่าทุกสิ่งที่พวกเขาทำช่างง่ายเหลือเกินและไม่มีความลำบากยากเย็นอันใดจะขัดขวางพวกเขาได้—พวกเขาได้รับพรจากพระเจ้า หากใครบางคนพบว่าทุกสิ่งยากมาก และพวกเขาก็งุ่มง่าม น่าขัน และไม่รู้เรื่อง ไม่ว่าตนจะทำอะไรก็ตาม หากไม่ว่าจะพูดอะไรกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่เข้าใจ เช่นนั้นแล้วนี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าพวกเขาไม่มีการทรงนำของพระเจ้าและพวกเขาไม่มีพรของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ด้วยการซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ที่แท้จริง) พระวจนะ ปลุกฉันให้ตื่นทันที เมื่ออยู่บนทางที่ถูก พระเจ้าก็ทรงอวยพร ทรงให้เราใช้พรสวรรค์และจุดแข็ง เมื่อเราไม่อยู่บนทางที่ถูก พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ทรงงานในตัวเรา ดังนั้นไม่ว่ามีพรสวรรค์หรือทักษะแค่ไหน เราก็ใช้ไม่ได้ หากพระเจ้าไม่ทรงนำ พรสวรรค์ และจุดแข็งก็ไร้ค่า ตอนแรกที่ฉันเริ่มทำวิดีโอ ฉันมีท่าทีถูกต้อง และมุ่งแสวงหาหลักธรรม พระเจ้าจึงทรงให้ความรู้แจ้ง พระองค์ทรงเปิดตาฉัน ไม่ว่าจะเป็นทักษะที่สร้างขึ้น หรือหลักธรรมที่เรียนรู้ ฉันเพิ่งรู้ตอนนี้ ว่าทั้งหมดคือพรจากพระเจ้า แต่ฉันไม่รับรู้ถึงงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันมีผลงานอยู่บ้าง และคิดว่าตัวเองพิเศษ ฉันใช้ขีดความสามารถและความหัวไวมาเป็นทุน ดูถูกคนอื่น และไม่ยอมฟังข้อเสนอแนะของพวกเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงทรงทิ้งฉัน จนฉันร่วงหล่นสู่ความมืด และทำหน้าที่ไม่สำเร็จเลย เมื่อก่อน ฉันรู้สึกเหมือนมีพรสวรรค์ แต่แล้วก็เห็นว่า ฉันไม่เคยเก่งกว่าใครเลย ฉันผลิตวิดีโอได้บ้าง เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ และให้ความรู้แจ้ง แต่พอไม่มีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันก็ผลิตอะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ในที่สุด ฉันก็เห็นว่าตัวเองน่าสมเพช และเวทนาแค่ไหน
จากนั้นในการทบทวน ฉันได้อ่านบทตอนนี้ “ความโอหังคือรากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ยิ่งผู้คนโอหังมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ไร้เหตุผลมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งพวกเขาไร้เหตุผลมากขึ้นเท่าใด พวกเขาย่อมโน้มเอียงที่จะต้านทานพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ปัญหานี้รุนแรงเพียงใดหรือ? ผู้คนที่มีอุปนิสัยโอหังไม่เพียงพิจารณาว่าคนอื่นทุกคนอยู่ใต้พวกเขาเท่านั้น แต่ที่แย่ที่สุดในบรรดาทั้งหมดก็คือ พวกเขาถึงขั้นกำลังวางท่ายโสใส่พระเจ้า และพวกเขาไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในหัวใจของตน แม้ผู้คนบางคนอาจจะดูเหมือนเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระองค์เฉกเช่นพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่า พวกเขาครองความจริงและหลงรักตัวเองเหลือเกิน นี่คือแก่นแท้และรากเหง้าของอุปนิสัยโอหัง และมันมาจากซาตาน เพราะฉะนั้น ปัญหาเรื่องความโอหังจึงต้องได้รับการแก้ไข ความรู้สึกว่าคนเราดีกว่าผู้อื่น—นั่นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว ประเด็นปัญหาที่วิกฤติก็คืออุปนิสัยโอหังของคนเรากีดกันคนเราจากการนบนอบต่อพระเจ้า กฎเกณฑ์ของพระองค์ และการจัดการเตรียมการของพระองค์ บุคคลเช่นนั้นรู้สึกเอนเอียงอยู่เสมอที่จะแข่งขันกับพระเจ้าเพื่ออำนาจเหนือผู้อื่น บุคคลจำพวกนี้ไม่เคารพพระเจ้าแม้เพียงน้อยนิด ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับการรักพระเจ้าหรือการนบนอบต่อพระองค์ ผู้คนซึ่งโอหังและทะนงตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งโอหังมากจนถึงขนาดที่ได้สูญเสียสำนึกของพวกเขาไป ไม่สามารถนบนอบต่อพระเจ้าในการเชื่อในพระองค์ของเขา และถึงขั้นยกย่องและให้คำพยานแก่ตัวพวกเขาเอง ผู้คนดังนี้ต้านทานพระเจ้าที่สุด และไม่มีความยำเกรงพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) ฉันเปรียบเทียบพฤติกรรมของตัวเอง กับพระวจนะ พอได้เลื่อนขั้นต่อเนื่อง ฉันก็โดนความภูมิใจกวาดล้าง ฉันเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเก่ง ที่คริสตจักรขาดไม่ได้ เมื่อหัวหน้างานให้ฉันรับผิดชอบงานทำวิดีโอของเหล่าพี่น้อง ฉันก็ยิ่งโอหัง และรู้สึกตัวเองเก่งกว่าใคร เวลาหัวหน้ากลุ่ม ให้ความเห็นต่อแนวคิดของฉัน ฉันก็ไม่ยอมรับเด็ดขาด ถึงกับคิดว่าเวลาที่เขาไม่เห็นด้วย คือเขาจงใจดูถูก และทำให้ฉันดูแย่ ฉันจึงแอบตัดสินเขาลับหลัง ทำให้คนอื่นตำหนิเขา และจัดการเขา จนเขารู้สึกอึดอัด และไม่กล้าชี้ปัญหาของฉันอีก ฉันใช้กฎของตัวเอง และไม่มีใครกล้าไม่เห็นด้วย ฉันโอหังมาก จนดูถูกทุกคน ฉันเผด็จการและชอบคุยโว ไม่ฟังข้อเสนอแนะของใครเลย นั่นทำให้ฉันพลัดหลงจากหลักธรรมในวิดีโอ และไม่ได้งานอยู่นับเดือน นี่เป็นการขัดขวางงานวิดีโอของคริสตจักรอย่างร้ายแรง นี่ไม่ใช่การพลาดเล็กน้อย แต่เป็นการทำชั่ว และต่อต้านพระเจ้า จุดนั้นฉันจึงตระหนักว่า อุปนิสัยโอหัง คือรากเหง้าแห่งการต่อต้านพระเจ้าของฉัน ศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกขับออกจากคริสตจักร ล้วนโอหัง จนถึงจุดที่ไร้เหตุผล และไม่ฟังใครเลย พวกเขาก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง และไม่ยอมกลับใจเด็ดขาด สุดท้าย ก็ถูกขับออก ฉันไม่เคยคิดว่า ฉันจะใช้ชีวิตในอุปนิสัยโอหัง เป็นจอมบงการ และทำให้งานสำคัญของคริสตจักรหยุดชะงัก ฉันอยู่บนเส้นทางศัตรูของพระคริสต์โดยไม่รู้ตัว ฉันอยู่ใน สภาวะหวาดกลัวอยู่สองสามวัน แน่ใจว่าต้องถูกขับออก เพราะรู้สึกตลอดว่าฉันทำชั่วใหญ่หลวง ฉันรู้สึกแย่จริงๆ พ่อของฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งให้ฟัง ซึ่งดลใจฉันมากๆ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เราไม่ต้องการเห็นใครก็ตามรู้สึกราวกับว่าพระเจ้าได้ทรงทิ้งพวกเขาไว้ในความหนาวเย็น ว่าพระเจ้าได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาหรือได้หันหลังให้กับพวกเขา ทั้งหมดที่เราต้องการเห็นก็คือ ทุกคนอยู่บนถนนที่ไปสู่การไล่ตามเสาะหาความจริงและการพยายามเข้าใจพระเจ้า โดยตบเท้าเดินหน้าอย่างหาญกล้าด้วยความมุ่งมั่นไม่เรรวน โดยปราศจากข้อเคลือบแคลงหรือภาระอันใด ไม่สำคัญว่าเจ้าได้กระทำความผิดใดไป ไม่สำคัญว่าเจ้าได้ไถลห่างไปไกลเพียงใด หรือเจ้าได้ฝ่าฝืนไปอย่างรุนแรงเพียงใด จงอย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาระหรือสัมภาระส่วนเกินที่เจ้าต้องแบกไปด้วยในการไล่ตามเสาะหาการเข้าใจพระเจ้าของเจ้า จงตบเท้าเดินหน้าต่อไป พระเจ้าทรงยึดถือความรอดของมนุษย์ไว้ในพระทัยของพระองค์ตลอดเวลา การนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นี่คือส่วนที่ล้ำค่าที่สุดของแก่นแท้ของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) พอฟังพระวจนะปลอบโยนอันจริงใจ ที่เปี่ยมด้วยความสงสาร ฉันก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ฉันใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยโอหัง และทำให้งานวิดีโอหยุดชะงัก แต่คนรอบตัว ก็อ่านพระวจนะในฉันฟัง ช่วยฉันให้เข้าใจน้ำพระทัย และพบเส้นทางปฏิบัติ นี่เป็นเพราะความรักของพระเจ้า แต่ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ไม่หันเข้าหา แถมยังเข้าใจผิดและตำหนิพระองค์ ฉันไม่มีมโนธรรมเลย พอนึกถึงความชั่วที่ทำไป ฉันก็รู้สึกผิด และตำหนิตัวเอง แต่ฉันไม่อยากถูกการฝ่าฝืนบีบคั้น ไม่อยากคิดลบและเข้าใจผิดแล้ว ฉันเลยอธิษฐานถึงพระเจ้า พร้อมไล่ตามความจริง กลับใจ และเปลี่ยนแปลง หกเดือนต่อมา ฉันก็ต้องแปลกใจที่ผู้นำบอกว่า ฉันผลิตวิดีโอต่อไปได้ ฉันรู้สึกขอบคุณมาก และสาบานกับตัวเองว่า ฉันต้องทำหน้าที่ให้ดี เพื่อชดเชยการฝ่าฝืนในอดีต การทำหน้าที่รอบนี้ ฉันก็ไม่ได้โอหัง หรือดื้อรั้นเหมือนเดิมแล้ว ฉันมักจะหารือกับคนอื่น แสวงหาหลักธรรมของความจริง และเวลามีคนเห็นต่าง ฉันก็เรียนรู้ที่จะปฏิเสธตัวเอง และฟังข้อเสนอแนะของพวกเขา ทำให้ฉันผลิตวิดีโอได้สำเร็จขึ้นเรื่อยๆ
แต่สิ่งดีๆ ไม่ได้อยู่ตลอดไป พอฉันเห็นว่าทำงานวิดีโอได้ดีขึ้น ฉันก็กลับมาโอหังโดยไม่รู้ตัว ตอนที่ ฉันทำวิดีโอคู่กับพี่น้องหญิงคนหนึ่ง ฉันพบว่า ความคิดของเธอเชยมาก ฉันเลยไม่สนใจสิ่งที่เธอเสนอ และเมินเธอไปเลย ต่อมา เธอพูดเรื่องที่ รู้สึกเหมือนฉันไม่ให้ความร่วมมือ ฉันเลยยอมให้เธอมีส่วนร่วม แต่พอเห็นว่าเธอทำได้ไม่ดี ฉันก็ดูหมิ่นเธอจริงๆ ฉันบอกเธอว่าควรทำอะไรด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดจริงๆ มีอีกครั้งหนึ่ง หัวหน้ากลุ่มมีข้อเสนอในวิดีโอที่ฉันทำ ฉันคิดว่า “คุณไม่ได้เข้าใจหลักธรรมดีกว่าฉัน ขีดความสามารถคุณ ก็ไม่ได้ดีกว่าฉัน ฉันต้องให้คุณมาแนะนำฉันจริงเหรอ?” ฉันเลยปฏิเสธเธอ โดยไม่คิดดูจริงๆ เลย พอเห็นว่าฉันไม่ยอมรับสักนิด หัวหน้ากลุ่มก็ใช้ประสบการณ์ของเธอ นำฉันให้เข้าใจอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง แต่ฉันต่อต้าน และไม่ยอมรับจริงๆ หัวหน้ากลุ่มอีกคนจึงสามัคคีธรรม และทำให้ฉันเห็น พฤติกรรมของฉันช่วงนั้น ที่เผด็จการและไม่ยอมรับข้อเสนอแนะจากคนอื่น ฉันรับไม่ได้ และคิดว่า “คุณแค่อยากบีบให้ฉันยอมรับแนวคิดของคุณ ของฉันก็ใช้ได้อยู่แล้ว ทำไมฉันต้องปฏิเสธตัวเอง และยอมรับข้อเสนอแนะของคุณด้วย?” ฉันหน้าบึ้งไม่พูดอะไร ทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนมาก การชุมนุมก็เลยรีบตัดจบ ฉันโอหังและหัวแข็งมาก ไม่เต็มใจยอมรับข้อเสนอแนะของใครเลย ฉันเลยไม่เกิดผลในหน้าที่ และถูกปลดอีกครั้ง พอกลับมาบ้าน ฉันก็หดหู่จริงๆ สงสัยว่า “ทำไมฉันกลับมาเป็นแบบเดิม? ฉันไม่อยากเป็นคนโอหัง แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ดูเหมือนนี่เป็นธรรมชาติ เป็นแก่นแท้ ที่ฉันเปลี่ยนไม่ได้” ฉันเลยยอมแพ้ในตัวเอง
แล้ววันหนึ่ง แม่ของฉันที่ไปทำหน้าที่ต่างเมืองกลับมา ท่านสามัคคีธรรม และขอให้ฉันทบทวนตัวเอง ท่านฟังฉันจนจบ ก่อนจะส่ายหน้าและพูดว่า “ลูกแค่รู้ถึงธรรมชาติโอหังของตัวเอง รู้ว่าลูกทำชั่ว และต่อต้านพระเจ้า แต่นั่นแปลว่า ลูกรู้จักตัวเอง และกลับใจจริงเหรอ? ลูกจะเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมาตลอดหลายปี โดยที่ความโอหังไม่เปลี่ยนได้ยังไง? นั่นเพราะลูกรู้จักตัวเองแบบตื้นเขินเกินไป อุปนิสัยถึงไม่เปลี่ยนเลย! ลูกต้องรวบรวมพระวจนะ และทบทวนตัวเองจากรากของสิ่งนั้น ลูกได้ทบทวนบ้างไหม ว่าอยู่บนเส้นทางไหนในความเชื่อ? ตลอดสิบกว่าปี ลูกนบนอบต่อใครในความเชื่อ? ลูกเคารพใคร? ลูกเอาแต่ต่อสู้ไปทั่ว ลูกอยากปะทะกับทุกคน เอาแต่อวดตน นอกจากที่โดนปลดสองครั้ง และตอนเป็นผู้นำคริสตจักร ลูกยกชูตัวเอง และทำให้คนอื่นมานับถือลูกเสมอ และเมื่อสองปีก่อน ตอนทำงานวิดีโอ ลูกก็ดูถูกหัวหน้ากลุ่ม และสู้กับเขาอย่างเปิดเผย ผลคือ กลุ่มไม่ได้ผลงานอะไรเลยอยู่สองเดือน ลูกได้ทบทวนตัวเองบ้างหรือเปล่า? คนอื่นให้ความเห็นกับลูกหลายครั้ง ลูกเคยยอมรับไหม?” คำถามแล้วคำถามเล่าจากแม่พุ่งสู่ใจฉัน มันบาดใจจริงๆ ฉันรู้ว่าแม่พูดจริงทุกอย่าง แต่ตอนนั้น ฉันไม่รู้จะตอบยังไง แล้วแม่ก็พูดด้วยความผิดหวังว่า “ลูกถูกปลดมาตั้งนานแล้ว ทำไมถึงไม่ทบทวนตัวเองจริงๆ สักที? ลูกไม่ได้ยอมรับความจริง ไม่ว่าลูกจะไปทำหน้าที่ที่ไหน ก็ไม่สงบสุข นี่เป็นปัญหาร้ายแรง! จากพฤติกรรมของลูกตลอดหลายปีที่เป็นผู้เชื่อมา ธรรมชาติอันโอหัง ความชั่วที่ลูกทำลงไป รวมถึงการยอมรับความจริง และทบทวนตัวเองไม่ได้ ลูกน่าจะถูกขับออกแน่” พอแม่พูดเรื่องโดนขับออก ฉันก็ร้องไห้โฮ ฉันรู้สึกเจ็บปวดจนพูดไม่ออก “ฉันจะโดนขับออกจริงเหรอ? เส้นทางความเชื่อของฉัน กำลังจะมาถึงจุดจบจริงเหรอ? ฉันจะถูกตัดออกจากคริสตจักรตลอดไปเหรอ? ฉันติดตามพระเจ้ามาหลายปี และทนทุกข์มาพอสมควร ฉันจะโดนขับออกแบบนั้นได้ยังไง?” ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิด และผิดหวังขึ้นเรื่อยๆ แม่สามัคคีธรรมกับฉันต่อไป แต่ฉันไม่ได้ยินท่านเลย สองสามวันนั้น ฉันได้แต่ร้องไห้ ความคิดที่ว่าคริสตจักรจะขับฉันออก เจ็บปวดมาก หลายวันนั้นฉันใช้ชีวิตเหมือนศพเดินได้ ไม่มีแรงทำอะไรเลย
ครั้งหนึ่ง พ่อกลับมาจากชุมนุม ฉันถามท่านว่า “หนูกำลังจะโดนขับออกเหรอ?” ท่านพูดอย่างเขร่งขรึมว่า “สิ่งสำคัญตอนนี้คือ ลูกเข้าหาเรื่องนี้ยังไง ถ้าลูกโดนขับออกจริงๆ ลูกจะยังติดตามพระเจ้าไหม? ถ้าลูกเสียใจจริงๆ เริ่มต้นกลับใจ และไล่ตามความจริง การโดนขับออก ก็จะเป็นความรอดสำหรับลูก ถ้าลูกมองว่าตัวเองไม่สำคัญ เพราะโดนขับออก ลูกจะถูกเปิดโปง และถูกขับออกโดยสมบูรณ์ ลูกคิดจะยอมแพ้แล้วงั้นเหรอ? ลูกไม่อยากไล่ตามความจริง กลับใจจริงๆ และกอบกู้จุดจบของตัวเองเหรอ?” คำพูดของพ่อ ปลุกฉันตื่นจริงๆ ถูกต้อง ต่อให้โดนขับออก ฉันก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่ใช่เหรอ? ไม่มีใครยึดสิทธิ์ในการอ่านพระวจนะ และไล่ตามความจริงไปจากฉัน ฉันต้องกลับใจต่อพระเจ้า ฉันโค้งคำนับเฉพาะพระพักตร์ และอธิษฐานว่า “พระเจ้า! ข้าพระองค์มาถึงจุดนี้ เพราะความผิดและพลาดในการไล่ตามความจริงของตัวเองทั้งนั้น” จากนั้น ฉันพิจารณาดูว่า “ทำไมเชื่อมาหลายปีแล้ว ฉันไม่เคยไล่ตามความจริง แต่กลับไม่รู้ประสา จนจะถูกขับออกอยู่ทนโท่? ถ้าฉันพยายามไล่ตามความจริงสักนิด อะไรๆ คงไม่มาถึงจุดนี้!” ฉันเปี่ยมด้วยความเสียใจ และเจ็บปวด แล้วฉัน ก็นึกถึงชาวนีนะเวห์ ที่กลับใจจริงๆ และได้รับความกรุณาจากพระเจ้า ฉันรีบเปิดหนังสือพระวจนะ และอ่านสิ่งนี้ “‘การประพฤติชั่ว’ นี้ไม่ได้อ้างอิงถึงการกระทำชั่วหยิบมือหนึ่ง แต่อ้างอิงถึงแหล่งกำเนิดความชั่วที่ทำให้เกิดพฤติกรรมของผู้คน ‘หันกลับจากการประพฤติชั่วของคนเรา’ หมายความว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะไม่มีวันกระทำการเหล่านี้อีก กล่าวคือ พวกเขาจะไม่มีวันประพฤติในหนทางชั่วนี้อีกครั้ง วิธีการ แหล่งกำเนิด จุดประสงค์ เจตนา และหลักการของการกระทำของพวกเขาทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเขาจะไม่มีวันใช้วิธีการและหลักการเหล่านั้นเพื่อนำความสำราญและความสุขมายังหัวใจของพวกเขาอีก คำว่า ‘เลิก’ ใน ‘และเลิกการทารุณซึ่งมือคนเราทำ’ หมายถึงการวางลงหรือละทิ้ง เพื่อตัดขาดกับอดีตอย่างสมบูรณ์และไม่มีวันหันกลับ เมื่อผู้คนเมืองนีนะเวห์เลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ สิ่งนี้พิสูจน์และแสดงถึงการกลับใจที่แท้จริงของพวกเขา พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตรูปลักษณ์ภายนอกของผู้คนรวมถึงหัวใจของพวกเขา เมื่อพระเจ้าทรงสังเกตดูการกลับใจที่แท้จริงอย่างปราศจากคำถามในหัวใจของชาวนีนะเวห์ และยังได้ทรงเฝ้าสังเกตว่าพวกเขาได้ทิ้งการประพฤติชั่วของพวกเขาและเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำแล้ว พระองค์ก็ได้เปลี่ยนพระทัยของพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2) ฉันก็ประทับใจมากเหมือนกันค่ะ ชาวนีนะเวห์กลับใจจริงๆ และได้รับความกรุณาจากพระเจ้า การกลับใจของพวกเขา ไม่ใช่แค่สารภาพบาปด้วยปาก หรือมุ่งเน้นพฤติกรรมภายนอก แถมไม่ใช่แค่ความเสียใจชั่วคราว แต่เป็นการแปลงรูปการทำสิ่งต่างๆ จุดเริ่มต้น และแรงจูงใจของพวกเขา พวกเขาล้มเลิกในการไล่ตามในอดีตจริงๆ ชาวนีนะเวห์ไม่ใช่แค่เปลี่ยนพฤติกรรม สิ่งสำคัญที่สุด คือพวกเขากลับใจจริงๆ การกลับใจแบบนั้น เป็นทางเดียวที่จะได้รับความเมตตาและการทรงอภัย พอนึกดูแล้ว ฉันมักพูดว่าฉันโอหัง แต่ฉันไม่เคยคุมอุปนิสัยโอหังของตัวเองเลย ฉันรู้ว่าฉันทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า แต่ก็ไม่เคยหยุดพฤติกรรมชั่ว ฉันไปถึงจุดที่จะโดนขับออก ไม่ใช่เพราะเรื่องแย่ๆ หนึ่งหรือสองอย่าง แต่เพราะฉันวิ่งพล่านบนถนนแห่งความชั่วโดยไม่กลับใจ ฉันไม่เคยปฏิบัติความจริง หรือกลับใจต่อพระเจ้า ฉันรู้ว่าอุปนิสัยโอหังของฉันร้ายแรง และฉันทำการฝ่าฝืนมากมาย แต่ฉันไม่เคยพยายามแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข ถ้าไม่เคยแก้ไขอุปนิสัยโอหัง ฉันจะกลับใจจริงๆ ได้ยังไง? ถ้าฉันไม่แสดงการกลับใจที่แท้จริง การรู้จักตัวเอง ก็เป็นแค่ฉากหน้าอันหลอกลวงไม่ใช่เหรอ? ฉันต้องเป็นอย่างชาวนีนะเวห์ ต้องทบทวนตัวเองจากรากเหง้า แรงจูงใจ หนทาง เจตนาเบื้องหลังการกระทำ แล้วกลับใจต่อพระเจ้า
ฉันนึกถึงเรื่องที่ โดนแม่เปิดโปงเมื่อสองสามวันก่อน และเรื่องที่ฉันโดนปลดถึงสองครั้ง ฉันหลงอยู่ในความคิดว่า “ทำไมฉันเห็นว่าตัวเองมีอุปนิสัยโอหัง แต่พอมีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็อดไม่ได้ที่จะพึ่งพาอุปนิสัยโอหัง และต่อต้านพระเจ้า?” ในการเฝ้าเดี่ยวหลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะที่ว่า “นี่เป็นเพราะว่าจนกว่าผู้คนจะยอมรับความจริงและความรอดจากพระเจ้า ทุกแนวคิดที่พวกเขายอมรับล้วนมาจากซาตาน ความคิด มุมมอง และวัฒนธรรมดั้งเดิมทั้งหมดที่กำเนิดจากซาตาน—สิ่งเหล่านี้นำสิ่งใดมาให้ผู้คน? สิ่งเหล่านี้นำการล่อลวง ความเสื่อมทราม พันธนาการ และโซ่ตรวนมาให้ ทำให้ความคิดของมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามคับแคบและสุดโต่ง และทำให้ทรรศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ ลำเอียงและมีอคติ จนถึงขั้นไร้สาระและวิปลาส นี่คือผลสืบเนื่องจากการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามโดยแท้” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า: พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่หนึ่ง)) “หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะรู้วิธีปฏิบัติความจริงและเชื่อฟังพระเจ้า และก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และอยู่ในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ผละจากเจ้าไป—ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ที่เจ้าจะทรยศพระเจ้า หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน เช่นนั้นแล้วการถูกบอกให้ไม่ต่อต้านพระเจ้าก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร เจ้าไม่อาจห้ามตัวเองได้มันอยู่เหนือการควบคุมของตัวเจ้า เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง นำเสนอตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าสบประมาทผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นจะไม่ปล่อยให้หัวใจของเจ้ามีผู้ใดนอกจากตัวเจ้าเอง ความโอหังและความทะนงตนจะปล้นที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าไป และในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหตุให้เจ้านั่งแทนที่พระเจ้าและเรียกร้องให้ผู้คนนบนอบเจ้า และทำให้เจ้าเทิดทูนความคิด แนวคิด และมโนคติอันหลงผิดของตนเองว่าเป็นความจริง ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและหยิ่งทะนงของตนนั้นทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน! เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาการทำชั่วของพวกเขา พวกเขาจะต้องแก้ไขธรรมชาติของตนเสียก่อน หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำพาการแก้ไขขั้นพื้นฐานมาสู่ปัญหานี้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้) พอใคร่ครวญดู ฉันก็ตระหนักว่า ก่อนได้รับความจริง ทุกความเชื่อและมุมมองที่ฉันมี ล้วนมาจากซาตาน ตั้งแต่เด็ก สิ่งที่ฉันเรียน สิ่งที่ผู้ใหญ่สอน และสิ่งที่เป็นอิทธิพลจากสังคม ทำให้ฉันรู้สึกเหมือน เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง “มีเพียงฉันที่เป็นผู้คุมสูงสุด” และ “มีเพียงฉันที่ครอง” กลายเป็นการไล่ตาม และเป็นคำพูดที่ฉันนำมาใช้ชีวิต ฉันทำเหมือน หลักปรัชญาซาตานเหล่านี้เป็นสิ่งทางบวก ไม่ว่าอยู่กลุ่มไหน ฉันก็อยากเป็นคนรับผิดชอบ เป็นคนมีสิทธิ์ขาด ฉันอดไม่ได้ที่จะอยากเป็นฝ่ายชี้นำคนอื่น ให้ทุกคนฟังฉัน พอเห็นผู้นำกลุ่มไม่ฟังฉัน และคอยแต่จะเสนอแนะ ฉันก็รำคาญ และตัดสินเขาต่อหน้าพี่น้องชายหญิงคนอื่น เพื่อให้ทุกคนฟังฉัน ฉันใช้ขีดความสามารถสูง และคุณสมบัติของตัวเอง กดขี่พวกเขา เหล่าพี่น้องต่างอึดอัด จนไม่กล้าแสดงความเห็น เอาแต่เชื่อฟังฉันราวกับหุ่นเชิด หน้าที่ของฉันเลยเละเทะ ฉันบังคับให้ทุกคนทำตามที่ฉันต้องการ และเชื่อฟังฉัน ไม่ใช่แค่เผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเล็กน้อย แต่ฉันโอหังเหนือทุกเหตุผล พระเจ้าทรงไม่อาจเก็บคนเยี่ยงซาตานแบบฉันไว้ในพระนิเวศได้ ถ้าคริสตจักรขับฉันออก นั่นก็เพราะความชอบธรรมของพระเจ้าทั้งสิ้น! ฉันขอบคุณพระเจ้า และไม่บ่นเลย ฉันรู้ว่าฉันทำการฝ่าฝืนมากมาย จนไม่อาจชดเชยได้ และฉันก็เปี่ยมด้วยความเสียใจ
ต่อมา ฉันนึกถึงตอนที่แม่เตือนว่า อย่าทบทวนแค่การโดนปลดสองครั้ง แต่ให้คิดถึงเส้นทางที่ฉันอยู่ ตลอดหลายปีที่เชื่อมาด้วย ฉันพบพระวจนะบางส่วนที่เกี่ยวข้อง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ศัตรูของพระคริสต์นั้นเกิดมาไม่ชอบการดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์หรือการใช้ชีวิตธรรมดา ไม่ชอบการอยู่ในที่ทางของตนอย่างเงียบๆ หรือใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์ในฐานะคนธรรมดา พวกเขาไม่พอใจที่จะเป็นคนเช่นนี้ ดังนั้นไม่ว่าภายนอกพวกเขาจะแสดงออกอย่างไร ลึกๆ แล้วพวกเขาไม่เคยพอใจ พวกเขาต้องทำอะไรสักอย่าง ทำอะไรหรือ? ทำสิ่งต่างๆ ที่คนทั่วไปไม่เคยสามารถจินตนาการถึง พวกเขาชอบที่จะโดดเด่นเช่นนี้ และพวกเขาเต็มใจที่จะก้าวผ่านความยากลำบากเล็กน้อยและยอมจ่ายราคาเพื่อจะได้โดดเด่น มีคำกล่าวว่า ‘เจ้าหน้าที่ใหม่ย่อมกระตือรือร้นที่จะสร้างความประทับใจ’ หมายความว่าพวกเขาต้องแสดงสิ่งมหัศจรรย์เล็กๆ สักสิ่งหรือสร้างอะไรบางอย่างทิ้งเอาไว้เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นเพียงใครบางคนที่ไร้ตัวตน ปัญหาร้ายแรงที่สุดของเรื่องนี้คืออะไร? แม้ว่าพวกเขาจะทำงานอยู่ในคริสตจักร และแม้ว่าพวกเขาจะทำงานด้วยการเสแสร้งว่าตนกำลังทำหน้าที่ แต่พวกเขาก็ไม่เคยแสวงหาจากพระเจ้าว่าควรทำสิ่งต่างๆ อย่างไร และไม่เคยสืบค้นอย่างจริงจังว่าพระนิเวศของพระเจ้าประกาศกฤษฎีกาไว้อย่างไร หลักธรรมของความจริงคืออะไร ควรทำสิ่งใดเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า สามารถทำสิ่งใดเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชายหญิงและไม่ปรามาสพระเจ้า ทว่าเป็นพยานยืนยันให้พระองค์และทำให้งานของคริสตจักรคืบหน้าไปอย่างราบรื่น จนถึงขั้นที่เดินหน้าไปอย่างไร้ซึ่งปัญหาและปราศจากความพลั้งเผลอใดๆ พวกเขาไม่เคยถามถึงสิ่งเหล่านี้ หรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวใจของตน หัวใจของพวกเขาไม่ได้ยึดถือสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาสอบถามเรื่องใด? หัวใจของพวกเขายึดถือสิ่งใด? สิ่งที่พวกเขายึดถือคือวิธีแสดงความสามารถพิเศษของตนในคริสตจักร วิธีแสดงให้เห็นว่าพวกเขาต่างจากทุกคน วิธีโอ้อวดทักษะความเป็นผู้นำของพวกเขา วิธีทำให้ผู้คนเห็นว่าพวกเขาคือเสาหลักของคริสตจักร ว่าคริสตจักรขาดพวกเขาไม่ได้ ว่าทุกโครงการในงานของคริสตจักรคืบหน้าไปได้อย่างราบรื่นก็เพราะมีคนอย่างพวกเขาอยู่ตรงนั้นเท่านั้น เมื่อดูการแสดงออกของศัตรูของพระคริสต์ รวมทั้งแรงผลักดันและแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ ของพวกเขาแล้ว พวกเขาวางตนเองไว้ในตำแหน่งใด? ในตำแหน่งที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง…เป้าหมายของพวกเขาคืออะไร? เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่ใช่การคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้า แต่เป้าหมายของพวกเขากลับเป็นการควบคุมทุกสิ่งขณะที่รับใช้อยู่ในคริสตจักรและรับใช้พี่น้องชายหญิง เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าพวกเขาต้องการควบคุมทุกสิ่ง? เพราะเวลาที่พวกเขากระทำการ ก่อนอื่นพวกเขาจะพยายามสร้างที่ทางให้ตนเอง พยายามสร้างชื่อให้ตน ทำให้พวกเขามีชื่อเสียงสูงส่ง พร้อมอำนาจชี้ขาดและอำนาจในการตัดสินใจ หากพวกเขาทำเช่นนั้นได้ พวกเขาก็แทนที่พระเจ้าและเปลี่ยนพระองค์ให้กลายเป็นหุ่นเชิดได้ ภายในขอบข่ายอิทธิพลของพวกเขานั้น พวกเขาพยายามเปลี่ยนพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ให้กลายเป็นหุ่นกระบอก นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการวางตนไว้เหนือทุกสิ่ง นี่คือสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ทำมิใช่หรือ? นี่คือพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า: พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สิบ)) พระวจนะเผยสภาวะของฉันได้พอดี ฉันเป็นผู้เชื่อมาสิบกว่าปี แต่ไม่เคยพอใจที่จะเป็นแค่คนธรรมดา ทุกที่ที่ฉันไป และทุกหน้าที่ที่ฉันทำ ฉันอยากเป็นที่สุดของที่สุดเสมอ สองสามปีแรกที่เชื่อ ฉันให้น้ำผู้มาใหม่ในคริสตจักร เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ฉันตั้งใจเตรียมพร้อมความจริงของนิมิต ไว้แก้ไขปัญหาของผู้มาใหม่ ไม่ว่าฝนตกแดดออก หรือทางไกลแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยบ่นเรื่องความยากลำบาก พอมาเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันก็หาทางโดดเด่นจากคนอื่น แล้วพอมาทำวิดีโอ ฉันก็อยากโดดเด่น เลยทำงานจนดึก พยายามเรื่องหลักธรรมและทักษะ จนสุดท้ายก็ได้เลื่อนขั้น เป็นที่ยกย่องจากผู้นำและคนอื่น ฉันเลยยิ่งลืมตัว รู้สึกเหมือนฉันเป็นคนเก่ง ที่คริสตจักรขาดไม่ได้ ถึงกับหน้าไม่อาย มองว่าตัวเองเป็นเสาหลักของกลุ่ม ฉันยกตนข่มท่าน และเป็นเผด็จการในกลุ่ม หลังจากโดนปลด ฉันก็แค่รับรู้ว่าฉันโอหัง และทำชั่ว แต่ฉันไม่ได้ทบทวนพฤติกรรม หรือเส้นทางที่เดิน พอกลับมาทำวิดีโอ ก็เกิดปัญหาแบบเดิม ทำไมฉันถึงโอหังมาก และไม่นบนอบต่อใครเลย? ทำไมฉันไม่ฟังแนวคิดของใครเลย? ทำไมฉันอยากมีสิทธิ์ขาด และทำให้ทุกคนฟังฉันเสมอ? นั่นเพราะฉันโอหังเกินไป และไม่อยากเป็นคนปกติ ฉันอยากอยู่เหนือคนอื่น อยากให้คนฟังฉัน อุปนิสัยของฉัน ต่างจากศัตรูของพระคริสต์ ที่ “ยกตัวเองเหนือทุกคน” ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยได้ยังไง? จุดนี้เองฉันถึงเห็นว่า ต่อให้เป็นผู้เชื่อมาหลายปี อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉันก็ไม่เคยเปลี่ยน แถมฉันมีอุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์ที่แข็งแกร่ง พอได้ยินว่าคริสตจักรจะขับฉันออก ฉันก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ราวกับพระเจ้าไม่ควรปฏิเสธฉัน เพราะฉันเป็นผู้เชื่อมาหลายปี แต่ที่จริง ฉันไม่ใช่คนที่แสวงหาความจริง ฉันแสวงหาชื่อและผลประโยชน์ ฉันเลือกเดินทางผิด ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ฉันเลยยังไม่ได้รับความจริง ใครผิดล่ะ? ฉันผิดเองที่ไม่ไล่ตามความจริง! พอคิดถึงการฝ่าฝืนและความประพฤติชั่วตลอดหลายปีนั้น การที่ฉันโดนขับออก ก็คือความชอบธรรมของพระเจ้า! ฉันใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยโอหัง! ไม่ใช่แค่งานของเราหยุดชะงักอย่างร้ายแรง แต่ฉันยังบีบคั้น และทำให้คนอื่นเจ็บปวด ฉันไม่มีความเป็นมนุษย์เลย! จากแก่นแท้ อุปนิสัย และทุกความชั่วที่ทำแล้ว ฉันก็ควรถูกขับออก จุดนั้น ฉันไม่ได้คิดว่า คริสตจักรควรขับฉันออกหรือไม่ ฉันต้องเลือก ไล่ตามความจริง และแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทราม
ต่อมา คริสตจักรให้ฉันชุมนุมกับสองคนแยกไปทบทวนตัวเอง ฉันเจอพระวจนะที่เปิดโปง และชำแหละความเสื่อมทราม กับพฤติกรรมชั่วของฉัน เพื่อให้พวกเขาเห็นว่า ฉันอยู่บนเส้นทางศัตรูของพระคริสต์ ฉันเป็นเหมือนซาตาน และการขับฉันออก ก็คงจะเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า ฉันบอกพวกเขาด้วยว่า “เราต้องกลับใจอย่างแท้จริง ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง เราก็ต้องติดตามพระเจ้า และทำหน้าที่” หลังจากนั้น ฉันก็ไม่โอหังเท่าแต่ก่อน เวลาพูดคุยกับคนอื่น ฉันก็ไม่อยากมีสิทธิ์ขาดแล้ว เวลามีปัญหา ฉันก็ไปขอข้อเสนอแนะจากคนอื่น ฉันมักจะเตือนตัวเองว่า ควรปฏิเสธตัวเอง และมองจุดแข็งของคนอื่นให้มากขึ้น ฉันถ่อมใจขึ้นมากโดยไม่รู้ตัว ผ่านไปสองสามเดือน คริสตจักรพิจารณาพฤติกรรมของฉัน และตัดสินว่า ฉันมีอุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์ที่ร้ายแรง แต่แก่นแท้ไม่ใช่ ฉันเลยไม่ถูกขับออก แล้วพอ เห็นว่าฉันรู้จักตัวเองและกลับใจบ้างแล้ว คริสตจักรก็จัดหน้าที่ให้ฉันอีก ตอนรู้ข่าว ฉันเปี่ยมอารมณ์ท่วมท้น และน้ำตาก็รื้นขึ้นมา ฉันนึกถึงพระวจนะที่ว่า “พระอุปนิสัยของพระเจ้ามีชีวิตชีวาและชัดเจนแจ่มแจ้ง และพระองค์เปลี่ยนพระดำริและท่าทีของพระองค์ตามวิธีที่สิ่งทั้งหลายพัฒนาไป การแปลงรูปของท่าทีของพระองค์ต่อชาวนีนะเวห์บอกมนุษยชาติว่าพระองค์มีพระดำริและแนวคิดของพระองค์เอง พระองค์ไม่ทรงเป็นหุ่นยนต์หรือรูปปั้นดิน แต่ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ดำรงพระชนม์ พระองค์สามารถกริ้วผู้คนเมืองนีนะเวห์ เช่นเดียวกับที่พระองค์สามารถประทานอภัยให้กับอดีตของพวกเขาเพราะท่าทีของพวกเขา พระองค์สามารถตัดสินพระทัยที่จะนำโชคร้ายมาสู่ชาวนีนะเวห์ และพระองค์ยังสามารถเปลี่ยนการตัดสินพระทัยของพระองค์เพราะการกลับใจของพวกเขาได้เช่นกัน ผู้คนชอบนำกฎเกณฑ์มาใช้อย่างเคร่งครัด และใช้กฎเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อกำหนดขอบเขตและนิยามพระเจ้า เช่นเดียวกับที่พวกเขาชอบใช้สูตรเพื่อพยายามเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า ดังนั้น ในขอบเขตความคิดของมนุษย์ พระเจ้าไม่มีพระดำริ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงมีแนวคิดที่เป็นสาระสำคัญใดๆ แต่ในความเป็นจริง พระดำริของพระเจ้าอยู่ในสภาวะที่มีการแปลงรูปอยู่เสมอ ตามการเปลี่ยนแปลงในสิ่งทั้งหลายและในสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ขณะที่พระดำริเหล่านี้กำลังแปลงรูป แง่มุมที่แตกต่างกันในเนื้อแท้ของพระเจ้าก็ได้รับการเปิดเผย ในช่วงระหว่างกระบวนการแปลงรูปนี้ ในชั่วขณะนั้นๆ ที่พระเจ้าเปลี่ยนพระทัย สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงต่อมวลมนุษย์คือการมีอยู่ที่เป็นจริงของพระชนม์ชีพของพระองค์ และการที่พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์นั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง ในขณะเดียวกัน พระเจ้าทรงใช้การเผยที่แท้จริงของพระองค์เองเพื่อพิสูจน์ต่อมวลมนุษย์ถึงความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพิโรธของพระองค์ ความปรานีของพระองค์ ความเมตตาของพระองค์ และการทนยอมรับของพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2) พระอุปนิสัยชอบธรรมนั้นเปี่ยมด้วยความมีชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าพระพิโรธ พระบารมี ความเมตตา และความรัก ก็ล้วนแท้จริงทั้งสิ้น พระเจ้าทรงแสดงพระอุปนิสัยทีละนิด ตามท่าทีของมนุษย์ ที่มีต่อพระเจ้า และความจริง ตอนที่ฉันอยู่บนทางของตัวเอง พระเจ้าทรงสร้างสถานการณ์เพื่อเปิดโปง โจมตี และบ่มวินัยฉันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ฉันไม่เคยกลับใจ ไม่เคยทบทวนตัวเอง และยังดื้อดึง แต่ตอนที่กำลังจะโดนขับออกนั้นเอง ฉันถึงได้ตื่นขึ้น และเริ่มทบทวนตัวเอง พอฉันเข้าใจและรังเกียจตัวเองบ้างแล้ว ฉันก็เต็มใจล้มเลิกการไล่ตามที่ผิด และหันกลับสู่พระเจ้า พระเจ้าทรงเมตตา และให้โอกาสฉันกลับใจอีกครั้ง ไม่ว่าพระพิโรธ การสาปแช่ง ความเมตตา หรือการทนยอมรับ ก็ล้วนเป็นการสำแดงพระอุปนิสัยชอบธรรมจริงๆ พระเจ้าทรงแสดงพระอุปนิสัย ตามท่าทีที่ฉันมีต่อพระองค์ และความจริง ฉันยังประสบอย่างแท้จริงว่า พระอุปนิสัย เปี่ยมด้วยชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง พระเจ้าทรงอยู่ข้างฉันเสมอ ทรงสังเกตทุกคำพูดและการกระทำ ไม่ว่าฉันจะมีความคิดใด หรือไม่ว่าฉันทำยังไง พระเจ้าก็ทรงมีความเห็น ถ้าฉันไม่เจอกับการถูกขับออกตอนนั้น หัวใจที่ด้านชาและแข็งขืนของฉัน คงไม่หันกลับมา และฉันคงจะไม่ทบทวนตัวเองจริงๆ ถ้าพระเจ้าไม่ตีสอน และบ่มวินัยฉันอย่างรุนแรง ฉันคงได้แต่โอหัง และต่อต้านพระองค์ขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายคงโดนลงโทษ ประสบการณ์นี้ เปลี่ยนชีวิตฉันในฐานะผู้เชื่อ ฉันได้เห็นเจตนารมณ์อันมุ่งมั่น รู้สึกถึงความรักและความรอดของพระเจ้า
หน้าร้อนปีก่อน คริสตจักรจัดเตรียมงานวิดีโอให้ฉันอีก มีครั้งหนึ่ง ฉันยึดอยู่กับแนวคิดเรื่องวิดีโอ และตอนนั้น พี่น้องหญิงคนหนึ่งก็มาหา พอเธอรู้ถึงความยากลำบากของฉัน เธอก็แบ่งปันความเห็น ฉันฟังเธอ และรู้สึกว่าสิ่งที่เธอพูดไม่ใช่อย่างที่ฉันต้องการเลย ฉันรู้สึกดูถูกเธอเล็กน้อย พลางคิดว่า “ฉันคิดมาตั้งนาน แต่ก็ยังคิดไม่ออกเลย คุณไม่ได้ทำหน้าที่นี้ด้วยซ้ำ จะมีข้อเสนอดีๆ ได้ยังไง?” ฉันไม่อยากฟังเธอพูดต่อไปแล้ว จุดนั้น ฉันรู้ตัวว่าอุปนิสัยโอหังผุดขึ้นมาอีก ฉันเลยรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจ และนึกถึงพระวจนะที่อ่านไปในช่วงนั้น “เส้นทางสู่การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมนั้น จะไปถึงได้ก็ด้วยการเชื่อฟังของเจ้าที่มีต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าไม่รู้หรอกว่าพระเจ้าจะทรงปรับปรุงเจ้าให้สมบูรณ์แบบโดยผ่านทางคนประเภทไหน หรือพระองค์จะทรงอนุญาตให้เจ้าได้รับหรือเห็นสิ่งทั้งหลายผ่านทางบุคคลประเภทไหน เหตุการณ์แบบไหน หรือสิ่งใด หากเจ้าสามารถเหยียบย่างลงบนร่องครรลองที่ถูกต้องนี้ได้ ก็แสดงว่ามีหวังอย่างมากที่เจ้าจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า แต่หากเจ้าทำไม่ได้ นั่นแสดงว่าอนาคตของเจ้านั้นช่างสิ้นหวัง ไร้ซึ่งความสว่าง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหล่าผู้เชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจจริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน) ฉันเห็นว่า ฉันไร้เหตุผลจริงๆ ฉันคิดว่า เธอไม่มีประสบการณ์ในหน้าที่นี้ เลยให้ข้อเสนอแนะดีๆ ไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ฉันตัดสินไปเอง แลัไม่สอดคล้องกับพระวจนะเลย ฉันคิดว่าฉันมีสมอง มีพรสวรรค์ แต่ถ้าพระเจ้าไม่ทรงนำ พยายามแค่ไหน ก็คิดไม่ออกอยู่ดี ฉันนึกถึงความล้มเหลวที่ผ่านมา และไม่กล้าเชื่อในตัวเองอีก พระวิญญาณบริสุทธิ์ อาจจะนำและให้ความรู้แจ้งกับเธอ ฉันเลยไม่อาจโอหัง หรือตีกรอบเธอได้ ฉันเริ่มปฏิเสธตัวเอง ตั้งใจฟังข้อเสนอแนะ แล้วฉันก็ ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งที่เราคุยกันโดยไม่รู้ตัว และการคิดของฉัน ก็ชัดเจนขึ้น ฉันขอบคุณพระเจ้าจริงๆ! ยิ่งประสบเรื่องนั้น ฉันยิ่งรู้สึกว่าฉันโอหังเกินไป ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก และธรรมชาติอันโอหังของฉันก็หยั่งรากลึกเกินไป ฉันเลยยิ่งเกลียดตัวเอง แต่ฉันรู้ว่า ฉันไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้ในชั่วข้ามคืน เราต้องแก้ด้วยการถูกพระเจ้าพิพากษา และตัดแต่งซ้ำๆ ฉันมักจะอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงตีสอน และบ่มวินัย สัญญาว่า ถึงจะทนทุกข์แค่ไหน ฉันก็จะไล่ตามความจริง ทำหน้าที่ และชุบชูพระทัยต่อไป
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ