การปล่อยซึ่งวิธีการใช้อำนาจครอบงำ

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย เฉิง น่อ, ฝรั่งเศส

ที่จริงแล้วเรื่องนี้ ตอนที่ผู้นำมอบหมายให้พี่หลิน มาให้น้ำผู้มาใหม่ในคริสตจักรกับฉันทีแรก ฉันก็ไม่พอใจนัก ฉันรู้สึกว่า ฉันบริหารจัดการคริสตจักรสองแห่งด้วยตัวเองมาแล้ว แล้วทำไมฉันถึงต้องมีคู่ทำงานเพื่อบริหารจัดการ แค่แห่งเดียวด้วยล่ะ? ถ้ามีความสำเร็จใดๆ ก็ตาม ก็จะถูกมองว่าเป็นผลสัมฤทธิ์โดยคนสองคนแน่นอน อย่างนั้นฉันก็จะไม่เป็นที่สนใจ ไม่มีใครมานับถือ ถ้าฉันจัดการเอง พี่น้องชายหญิงก็จะมองว่าฉันมีความสามารถ ที่ทำงานเยอะขนาดนั้นตัวคนเดียว ฉันจะเป็นแกนหลักของหน้าที่นั้น ขาดฉันไปไม่ได้ ฉันจะโดดเด่นมาก อีกอย่าง ถ้าหากมีคู่ทำงาน ฉันก็ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ นั่นแปลว่าฉันมีอำนาจน้อยลงครึ่งหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ถ้าฉันต้องได้รับความเห็นจากคู่ทำงานไปซะทุกเรื่อง ก็จะดูขาดความสามารถ พอคิดแบบนั้น ฉันก็ต่อต้านการจัดแจงนั้นจริงๆ ค่ะ ฉันสงสัยว่า ผู้นำทำพลาดหรือเปล่า? หรือเธอดูถูกฉันกันนะ? ฉันรู้ว่าคริสตจักรอื่นๆ ทั้งหมด จะมีสองคนทำหน้าที่ดูแลค่ะ แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถที่พิเศษ ไม่เหมือนคนอื่นๆ ในตอนนั้นฉันก็กันพี่หลินออกไปเลยค่ะ หลายอย่างที่ฉันทำไป ฉันก็ไม่ได้บอกเธอด้วย มีครั้งหนึ่ง สองกลุ่มต้องมารวมกัน เนื่องจากมีสมาชิกบางคนออกไป ฉันก็คิดว่า เรื่องง่ายๆ แบบนั้นฉันคนเดียวก็ทำได้ ฉันเคยจัดการเรื่องพวกนั้นมาก่อน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องหารืออะไร ฉันจึงลงมือรวมพวกเขาเข้าด้วยกัน พอพี่หลินมาสอบถาม ฉันก็บอกไปอย่างมั่นใจว่าฉันจัดการแล้ว อีกครั้งหนึ่ง ผู้นำอยากให้เราหาผู้มาใหม่ที่สามารถฝึกฝนให้แบ่งปันข่าวประเสริฐได้ ฉันจึงจัดตั้งกลุ่มของผู้สมัครที่เหมาะสมขึ้นมาโดยตรง ตอนที่พวกเราเรียนรู้หลักธรรมสำหรับงานนั้นอยู่ ฉันสังเกตว่ามีอยู่คนหนึ่งที่มักจะยุ่งอยู่กับงานของเขา ฉันก็ใช้อำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียวย้ายเขาออกไปจากกลุ่ม และยกเลิกสิทธิ์เขาในการทำหน้าที่ เมื่อพี่จางที่ดูแลงานข่าวประเสริฐรู้เข้า เขาก็จัดการกับฉัน บอกว่า ฉันใช้อำนาจเผด็จการตามอำเภอใจ ตัดสินใจโดยคู่ทำงานไม่มีส่วนร่วม ในตอนนั้นฉันก็แค่พูดไปว่าเขาพูดถูกแล้ว แต่ในใจฉันก็ไม่เชื่อว่าความเสื่อมทรามฉันแย่ขนาดนั้น

หลังจากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหลายๆ ครั้งเข้า วันหนึ่งพี่หลินก็มาหาฉัน แล้วพูดว่า “เราเป็นคู่ทำงานกัน ต่อให้คุณทำเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองได้ ก็ควรจะให้ฉันรู้เรื่องด้วย ฉันจะได้รู้ว่างานของเราคืบหน้าไปแค่ไหน อย่างพี่จางก็พยายามเสวนาเรื่องต่างๆ กับคู่ทำงานอยู่เสมอ ทั้งสองคนคุยกันในทุกๆ เรื่อง” ฉันคิดว่า “ถ้าฉันบอก คุณก็จะทำตามคำแนะนำฉัน นั่นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไม่ใช่หรือ? ที่คนเราถาม เพราะพวกเขาไม่รู้วิธีจัดการ ทำไมต้องยุ่งยากถ้าฉันบริหารจัดการได้ดี? การมีคู่ทำงานนี่ยุ่งยากจริงๆ ต้องคุยกับคุณทุกๆ เรื่อง คงจะดูเหมือนฉันเป็นลูกน้องรายงานหัวหน้า ดูไร้ความสามารถ” ต่อมา มีอีกหลายครั้งที่เธอพูดถึงเรื่องนั้นกับฉัน แต่ฉันก็ยังคงทำทุกอย่างเช่นเดิมอยู่ค่ะ บางครั้งเธอจะถามฉันเกี่ยวกับงานบางอย่าง แต่ฉันก็เมินเฉยใส่เธอ ฉันคิดว่า เธอถามเรื่องที่เราเคยเสวนากันไปแล้ว ฉันก็เลยไม่สนใจเธอ ในการเสวนาเรื่องงานของเรา บางครั้งฉันก็ได้ยินเธอถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า เลยสงสัยว่า เธอรู้สึกว่าถูกฉันบีบบังคับหรือเปล่า? ฉันก็รู้สึกแย่นิดหน่อย แต่แล้วฉันก็คิดว่า ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอนี่ ฉันก็เลยไม่ได้จริงจังกับมัน มีวันหนึ่งเธอถามฉันว่า “คุณบริหารจัดการคริสตจักรนี้ได้ด้วยตัวเองใช่ไหมคะ?” ตอนนั้นฉันไม่ทันตระหนักว่า ทำไมเธอถึงถามแบบนั้น และสงสัยว่าเธอจะถูกย้ายไปหรือเปล่า? ฉันคิดว่าแบบนั้นจะดีมาก ฉันจะได้ไม่ต้องรายงานอะไรกับเธอ แต่จะได้เป็นคนดูแล ฉันก็เลยพูดไปว่า “ฉันทำได้” เธอไม่ได้พูดอะไรเลย ต่อมาฉันได้เรียนรู้ว่า เธอรู้สึกว่าถูกฉันรั้งเอาไว้จริงๆ เหมือนกับเธอทำอะไรไม่ได้ และเธออยากจะลาออก ฉันยอมรับว่าฉันไม่ได้มีท่าทีที่ดีต่อเธอ แต่ก็ไม่ได้ทบทวนตัวเองมากนัก

ผู้นำให้พี่หลินไปมุ่งมุมานะในโครงการอื่น ฉันก็เลยได้รับผิดชอบงานของคริสตจักรมากขึ้น ฉันแอบพอใจอยู่เงียบๆ คิดว่าในที่สุดฉันก็สามารถแสดงทักษะของตัวเองได้ และได้เป็นคนตัดสินใจ แต่ว่าเรื่องต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เห็นได้ชัดว่าหน้าที่ของฉันยากขึ้นมาก เวลาพี่น้องชายหญิงมีปัญหาในหน้าที่ของพวกเขา ฉันมองไม่เห็นแก่นแท้ของมัน ฉันจึงแก้ปัญหาจากต้นตอไม่ได้ พอผ่านไปสักพัก ผู้มาใหม่จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่ได้มาชุมนุมกันตามปกติ ผู้นำบอกฉันว่า ผลการปฏิบัติงานของฉันแย่ที่สุด พี่หลินก็ชี้ให้เห็นปัญหาของฉันอยู่หลายครั้ง โดยบอกว่าฉันเป็นพวกชอบทำอะไรคนเดียว ไม่ปรึกษาคนอื่น และไม่ได้แสวงหาความจริงในสิ่งต่างๆ ตอนนั้นฉันดื้อดึงมาก ไม่ยอมรับฟัง หรือทบทวนตัวเอง จากนั้นสภาวะฉันก็แย่ลงเรื่อยๆ กลายเป็นคนหัวทึบ มีวันหนึ่ง ผู้นำบอกว่าอยากคุยเรื่องสภาวะของฉัน แล้วจัดการประชุมกับพี่น้องหญิงอีกคน ได้ยินว่าการปฏิบัติงานของพี่น้องหญิงคนนั้นไม่ดี แบบนั้นแปลว่า ผู้นำคิดว่าฉันเป็นเหมือนกับเธอหรือเปล่า? ฉันก็เลยรู้สึกกลัวนิดหน่อยค่ะ ปัญหาของฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ? ฉันจะสูญเสียหน้าที่ไปหรือเปล่า? ฉันเคยบริหารจัดการคริสตจักรสองที่มาก่อน ตอนนั้นทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี ตอนนี้แค่คริสตจักรเดียว ทำงานที่ฉันคุ้นเคย ซึ่งเป็นงานที่ฉันเคยทำ ทำไมฉันถึงทำได้ไม่ดีล่ะ? ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ ฉันจึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์และอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้ทรงนำฉันให้ทบทวนและเข้าใจปัญหาของตัวเอง มีวันหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะบทตอนนี้ที่ว่า “เมื่อผู้คนสองคนรับผิดชอบต่อบางสิ่ง และหนึ่งในสองคนนี้มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ สิ่งที่แสดงออกมาให้เห็นในบุคคลนี้คืออะไรหรือ? ไม่สำคัญว่าสิ่งนั้นคืออะไร พวกเขาและพวกเขาเพียงลำพังเท่านั้นที่เป็นคนเขี่ยบอล เป็นคนถามคำถาม เป็นคนคัดแยกสิ่งทั้งหลาย เป็นคนที่ฉุกคิดได้ขึ้นมาถึงทางออกของปัญหา และในเวลาส่วนใหญ่แล้ว พวกเขากันหุ้นส่วนของพวกเขาไว้ในมุมมืดขาดการรับรู้ข้อมูลโดยสิ้นเชิง หุ้นส่วนของพวกเขาเป็นอะไรในสายตาของพวกเขานะหรือ? ไม่ใช่ผู้ช่วยของพวกเขา แต่เป็นแค่ตัวผักชีโรยหน้า ในสายตาของศัตรูของพระคริสต์ คนเหล่านั้นไม่ใช่หุ้นส่วนของพวกเขา เมื่อใดก็ตามที่มีปัญหา ศัตรูของพระคริสต์คิดทบทวนอยู่ในจิตใจ พวกเขาครุ่นคิดปัญหานั้น และทันทีที่พวกเขาได้ตัดสินใจในเรื่องแนวทางปฏิบัติแล้ว พวกเขาก็แจ้งข้อมูลกับคนอื่นที่เหลือว่า นี่คือวิธีทำของแนวทางปฏิบัตินั้น และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ถามคำถามในเรื่องแนวทางปฏิบัตินั้น อะไรหรือคือแก่นแท้ของการให้ความร่วมมือของพวกเขากับผู้อื่น? ข้อเท็จจริงก็คือ พวกเขาก็คือผู้ที่เป็นคนฟันธง พวกเขากระทำการตามลำพัง โดยการพูด แก้ปัญหา และรับผิดชอบต่องานด้วยตัวเอง โดยที่หุ้นส่วนของพวกเขานั้นไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากผักชีโรยหน้า และด้วยความที่ไม่สามารถทำงานกับผู้ใดได้ พวกเขาสามัคคีธรรมงานของพวกเขากับผู้อื่นหรือไม่? ไม่ ในหลายกรณี ผู้คนอื่นๆ มารู้เข้าก็ต่อเมื่อพวกเขาได้เสร็จสิ้นหรือแก้ไขปัญหางานนั้นเรียบร้อยแล้วเท่านั้น ผู้คนอื่นๆ บอกพวกเขาว่า ‘จำเป็นที่จะต้องเสวนาปัญหาทั้งหมดกับพวกเรา คุณจัดการกับบุคคลนั้นเมื่อไหร่หรือ? คุณจัดการรับมือกับเขาอย่างไรหรือ? พวกเราไม่รู้เกี่ยวกับการนั้นได้อย่างไรกัน?’ พวกเขาทั้งไม่จัดเตรียมคำอธิบายและไม่ให้ความสนใจ ทั้งนี้ สำหรับพวกเขา หุ้นส่วนของพวกเขาไม่มีประโยชน์ใดเลย เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้น พวกเขาคิดทบทวนและตัดสินใจ โดยกระทำตามแต่พวกเขาจะมองว่าเหมาะ ไม่สำคัญว่ามีผู้คนรอบตัวพวกเขามากมายสักกี่คน ผู้คนเหล่านี้ราวกับไม่อยู่ตรงนั้น ทั้งนี้ สำหรับศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาอาจเป็นอากาศธาตุไปเลยด้วยซ้ำ ในหนทางนี้ มีสิ่งอันใดที่เป็นจริงมาจากการให้ความร่วมมือของพวกเขากับผู้อื่นหรือไม่? ไม่ พวกเขาก็แค่กำลังแสร้งทำท่าพอเป็นพิธี โดยเล่นไปตามสมควรแก่บทบาท ผู้คนอื่นๆ พูดกับพวกเขาว่า ‘เหตุใดหรือคุณจึงไม่สามัคคีธรรมกับคนอื่นทุกคนเวลาที่คุณบังเอิญพบเจอปัญหา?’ ซึ่งพวกเขาตอบกลับไปว่า ‘พวกเขาจะไปรู้อะไร? ฉันเป็นหัวหน้าทีม มันขึ้นอยู่กับฉันที่จะตัดสินใจ’ ผู้อื่นพูดว่า ‘แล้วเหตุใดหรือคุณจึงไม่ได้สามัคคีธรรมกับหุ้นส่วนของคุณ?’ พวกเขาตอบกลับว่า ‘ฉันบอกเขาแล้ว เขาไม่มีความเห็นใดเลย’ พวกเขาใช้การที่หุ้นส่วนของพวกเขาไม่มีความเห็นหรือการที่ไม่มีความสามารถที่จะคิดด้วยตัวเองได้ เป็นข้อแก้ตัวที่จะกลบเกลื่อนปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขากำลังปฏิบัติตนประหนึ่งอยู่เหนือกฎเกณฑ์ และการนี้ไม่ได้ตามมาด้วยการสำรวจพินิจภายในเลยแม้แต่น้อย นับประสาอะไรที่จะตามมาด้วยการยอมรับความจริง—นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นปัญหาอย่างหนึ่งกับธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์(“พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) บทตอนนี้สะเทือนอารมณ์ฉันจริงๆ ค่ะ ทุกพระวจนะรู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงเปิดโปงฉันโดยตรง ในที่สุดฉันก็เห็นว่า ฉันอยากเป็นคนตัดสินใจในทุกเรื่องเสมอ ปฏิบัติกับพี่หลินเหมือนไม่มีตัวตน และไม่ปรึกษากับเธอด้วยข้ออ้างว่าฉันทำได้ เป็นเผด็จการและเดินตามเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ ที่ผ่านมาฉันทำหน้าที่ของฉันแบบนั้นมาตลอด ตอนที่รวมสองกลุ่มเข้าด้วยกัน ฉันก็ทำไปเลยโดยไม่ได้คุยกับพี่หลิน ไม่ได้บอกเธอด้วยซ้ำว่าทำไปแล้ว ตอนฉันเห็นผู้มาใหม่มัวยุ่งกับงานของตัวเอง ฉันก็ไม่ได้หารือถึงแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด แต่ฉันกลับไล่เขาออกจากกลุ่มไปเลย และระงับหน้าที่ของเขา ตอนที่พี่หลินถามฉันเรื่องโครงการต่างๆ และเหล่าผู้เชื่อใหม่ ฉันก็ไม่ได้ตอบกลับอย่างใจเย็น แต่กลับรำคาญ คิดว่ามันเหมือนการรายงานต่อหัวหน้า เหมือนกับว่าฉันตำแหน่งต่ำกว่าเธอ และฉันก็ไม่สนใจเธอ ฉันอยากจะเป็นคนตัดสินใจอยู่เสมอ อยากมีสิทธิอำนาจ ฉันใช้อำนาจเผด็จการตามอำเภอใจในหน้าที่ ไม่อยากทำงานกับใคร และคอยรั้งเธอไว้ นั่นไม่ใช่การทำหน้าที่ มันทำให้พระราชกิจแห่งพระนิเวศหยุดชะงัก ทำหน้าที่เป็นสมุนรับใช้ของซาตาน

ต่อมาฉันก็อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งค่ะ “ศัตรูของพระคริสต์บางคนพูดว่า ‘เวลาที่ฉันบังเอิญพบเจอปัญหา ฉันชอบที่จะเป็นคนฟันธง ฉันไม่ชอบเสวนาปัญหานั้นกับใครคนอื่น—นั่นคงจะทำให้ฉันดูโง่เง่าและไร้สมรรถภาพ!’ นี่คือทัศนคติประเภทใดหรือ? นี่คืออุปนิสัยอันโอหังใช่หรือไม่? พวกเขาคิดว่าการให้ความร่วมมือและเสวนาสิ่งทั้งหลายกับผู้อื่น การแสวงหาคำตอบจากพวกเขาและถามคำถามพวกเขานั้นไม่มีศักดิ์ศรีและเสียเกียรติ เป็นการปรามาสความนับถือตนเองของพวกเขา ดังนั้นแล้ว เพื่อที่จะอารักขาความนับถือตนเองของพวกเขา พวกเขาจึงไม่เปิดโอกาสให้มีความโปร่งใสในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำ อีกทั้งพวกเขาก็ยังไม่บอกผู้อื่นเกี่ยวกับสิ่งนั้น นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเสวนาสิ่งนั้นกับผู้อื่น พวกเขาคิดว่าการเสวนากับผู้อื่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวพวกเขาเองไร้สมรรถภาพ ว่าการเที่ยวร้องขอความเห็นของผู้คนอื่นๆ อยู่เสมอหมายความว่าพวกเขานั้นโง่เง่าและไม่สามารถคิดด้วยตัวเองได้ ว่าการทำงานกับผู้อื่นในการทำกิจหนึ่งจนครบบริบูรณ์หรือการแก้ไขปัญหาบางอย่างทำให้พวกเขาปรากฏให้เห็นว่าไร้ประโยชน์ นี่ไม่ใช่มุมมองอันไร้สาระน่าขันในหัวใจของพวกเขาหรอกหรือ? แล้วนี่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาหรือไม่? เมื่อจิตใจของพวกเขาถูกอุปนิสัยเช่นนั้นปกครองดูแลอยู่ พวกเขาย่อมไม่สามารถทำงานกับผู้อื่นได้ดี ความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอเข้ามาเกี่ยวข้องตรงนี้ด้วยหรือไม่เล่า? แน่นอน การที่คิดอยู่เสมอว่าพวกเขาถูกต้อง ว่าพวกเขาคือผู้ที่ควรเป็นคนควบคุมดูแลและเป็นคนฟังธง—นี่ใช่ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาหรือไม่? ในด้านหนึ่งนั้น นั่นคือความรู้สึกนึกคิดและแรงจูงใจอันเสื่อมทรามของพวกเขา เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด นั่นคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา สิ่งหนึ่งซึ่งประกอบอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็คือ พวกเขาเชื่อว่าการทำงานกับผู้อื่นคือการทำให้อำนาจของพวกเขาเจือจางลงและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ว่าเมื่อมีการแบ่งงานกับผู้อื่น อำนาจของพวกเขาเองลดน้อยลง การหยุดพูดนั้นก็เท่ากับการขาดพร่องอำนาจจริง ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้วเป็นการสูญเสียมหาศาล ดังนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าพวกเขาบังเอิญพบเจอปัญหาใด หากพวกเขาได้โอกาส และมีความสามารถที่จะทำการนั้นได้ด้วยตัวเอง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะไม่เสวนาการนั้นกับผู้อื่นใด โดยเลือกที่จะทำความผิดพลาดแทนการปล่อยให้ผู้คนอื่นๆ รู้ เลือกที่จะทำความผิดพลาดแทนการแบ่งปันอำนาจร่วมกับใครคนอื่น เลือกการไม่ให้ค่าความสำคัญแทนการปล่อยให้ผู้คนอื่นๆ ได้ลงมือทำงานของพวกเขา นี่คือศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาสู้ทำอันตรายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า สู้เดิมพันด้วยผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เสียดีกว่าที่จะแบ่งปันอำนาจของพวกเขากับผู้อื่นใด พวกเขาคิดว่าเวลาที่พวกเขากำลังทำงานชิ้นหนึ่งหรือจัดการรับมือกับบางเรื่อง ตราบที่พวกเขาเข้าใจความจริงและสามารถทำการนั้นได้ด้วยตัวเอง พวกเขาไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับผู้อื่นใด อีกทั้งพวกเขาก็ยังไม่จำเป็นต้องสำรวจค้นหาหลักธรรม ทั้งนี้ พวกเขาคิดว่าการนั้นควรถูกดำเนินการและทำจนครบบริบูรณ์แต่เพียงลำพัง และว่ามีเพียงการนี้เท่านั้นที่ทำให้พวกเขามีสมรรถภาพ ภายใต้การปิดบังด้วยข้ออ้างนี้ พวกเขาสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขา กล่าวคือ การทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อโฆษณาตัวเอง เพื่อทำให้ตัวเองโดดเด่นแตกต่าง เพื่อกวัดแกว่งอำนาจ ด้วยเหตุนี้พวกศัตรูของพระคริสต์จึงติดตรึงอยู่กับอำนาจที่พวกเขาถือครอง และจะไม่มีวันปล่อยวางอำนาจนั้นตลอดกาล(“พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) ตอนที่ฉันได้อ่านบทตอนนี้ ฉันก็ได้ทบทวนเหตุผลที่ฉันใช้อำนาจครอบงำมากขนาดนั้น ไม่ยอมทำงานร่วมกับผู้อื่น ก็เพราะฉันกังวลว่า ถ้ามีคนมาเกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักรมากขึ้น อำนาจฉันก็จะถูกแบ่งออกไป ฉันก็จะไม่ได้เป็นคนเดียวที่ดูแล เป็นคนฟันธง หรือได้รับการชื่นชมจากคนอื่น ในตอนที่ฉันทำงานร่วมกับพี่หลินอยู่ เพราะฉันเคยรับผิดชอบคริสตจักรของผู้มาใหม่มาก่อน ฉันคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ หัวดี และมีความสามารถ ฉันใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ และกลายเป็นคนโอหัง คิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ ควรอยู่ในระดับที่สูงกว่า เธออยากให้ฉันคอยแจ้งให้ทราบก่อนที่จะทำอะไร แต่ฉันกลับรู้สึกว่าการคุยกับเธอจะทำให้ฉันดูไร้ความสามารถ ดังนั้นฉันจะทำเรื่องต่างๆ เอง มีบางครั้ง ฉันก็คิดว่าควรจะปรึกษาเธอดีไหม แต่เพื่ออวดตัวและได้รับการชื่นชมจากคนอื่น ฉันจึงใช้ข้ออ้าง ว่าเธอไม่มีความเห็นอะไร ยังไงเธอก็เห็นด้วยกับฉันอยู่ดี คริสตจักรจัดการให้เราสองคน มาทำงานของคริสตจักรด้วยกัน เธอมีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมงานทุกประเภท รู้รายละเอียดและความคืบหน้า แต่ฉันกลับผลักไสเธอออกไปเพื่อทำเรื่องต่างๆ เอง ไม่ให้สิทธิ์เธอที่จะพูดหรือรู้ในเรื่องต่างๆ ให้เธอเป็นหัวหน้าแต่ในนาม ฉันเก็บเอางานทั้งหมดไว้ในมือตัวเองคนเดียว ไม่ยอมให้เธอมีส่วนร่วม นี่ฉันเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่สร้างจักรวรรดิของตัวเองไม่ใช่หรือ? ฉันนึกถึงความเผด็จการของพญานาคใหญ่สีแดง และการควบคุมเบ็ดเสร็จของมัน ที่ผู้คนต้องฟังมันโดยไม่ต้องถาม ส่วนฉัน ก็อยากจะดูแลทุกอย่างที่ตัวเองทำ ใช้อำนาจครอบงำ และไม่เต็มใจจะหารือเรื่องต่างๆ กับคนอื่น ฉันเป็นเผด็จการในคริสตจักร มีอำนาจควบคุมเด็ดขาด แล้วฉันจะแตกต่างจากพญานาคใหญ่สีแดงอย่างไรกัน? ยิ่งฉันคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเห็นปัญหาของการไม่ยอมร่วมมือกับคนอื่นมากขึ้น ฉันก็เลยรู้สึกกลัวนิดหน่อย พระคริสต์และความจริงถืออำนาจในคริสตจักร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราควรแสวงหาความจริงและทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรม แต่ฉันมักจะอยากเป็นคนตัดสินใจในคริสตจักรที่ฉันดูแล ฉันแค่อยากเป็นราชาแห่งขุนเขาไม่ใช่หรือ? ไม่ได้คำนึงว่าจะปฏิบัติความจริง และคุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระนิเวศอย่างไร แต่คิดว่าได้สนองความต้องการส่วนตัวแล้วหรือยัง สุดท้ายงานคริสตจักรที่ฉันเป็นผู้นำก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ แต่กลับเป็นฉันที่ยืนขวางทางอยู่เต็มๆ พระเจ้าทรงยกระดับฉันขึ้นเพื่อทำหน้าที่นั้น หวังว่าฉันจะไล่ตามเสาะหาความจริง ทำงานได้ดีกับพี่น้องชายหญิง และให้น้ำเหล่าผู้เชื่อใหม่ เพื่อให้พวกเขาเจอฐานที่มั่นคงบนหนทางที่แท้จริงได้อย่างรวดเร็ว แต่ฉันกลับใช้มันเป็นโอกาสเพื่ออวดตัว ใช้อำนาจของตัวเอง ทำให้คนอื่นนับถือฉัน ฉันมักจะทำตัวหยิ่งยโส โอ้อวดทักษะของตัวเอง นี่ไม่เพียงแต่ขวางทางพระราชกิจแห่งพระนิเวศ แต่ยังทำร้ายพี่น้องชายหญิงด้วย แถมยังสร้างความเสียหายให้กับชีวิตตัวเอง

ฉันเห็นวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ที่เปลี่ยนมุมมองผิดๆ ของฉัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การให้ความร่วมมือแบบปรองดองพึงต้องมีการปล่อยให้ผู้อื่นมีสิทธิมีเสียงและการเปิดโอกาสให้พวกเขาสร้างข้อเสนอแนะที่เป็นทางเลือกอื่นซึ่งนอกเหนือออกไป และนั่นหมายถึงการเรียนรู้วิธียอมรับความช่วยเหลือและข้อแนะนำจากผู้อื่น บางครั้งผู้คนก็ไม่พูดอะไรเลย และเจ้าก็ควรกระตุ้นเตือนให้พวกเขาแสดงความเห็น ไม่ว่าเจ้าเผชิญปัญหาใด เจ้าควรสำรวจค้นหาหลักธรรมเกี่ยวกับความจริงและลองพยายามที่จะไปให้ถึงฉันทามติ การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้จะส่งผลลัพธ์เป็นการให้ความร่วมมือแบบปรองดอง ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น และระเริงในหน้าที่ของเจ้าเสมือนข้าราชการบางคน โดยละโมบอยู่เสมอต่อเครื่องประดับยศสำหรับฐานะทางสังคมของเจ้า สร้างแผนการของตัวเองอยู่เสมอ ดำเนินปฏิบัติการของตัวเองอยู่เสมอ เพียรพยายามอยู่เสมอเพื่อให้ได้ความสำเร็จและการเลื่อนขั้น เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นความเดือดร้อน กล่าวคือ การปฏิบัติตนเสมือนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลบางคนในหนทางนี้มีความเสี่ยงอย่างสุดขีด หากนี่คือวิธีที่เจ้าปฏิบัติตนอยู่เสมอ และเจ้าไม่ต้องการที่จะให้ความร่วมมือกับใครคนอื่น ที่จะทำให้สิทธิอำนาจของเจ้ากระจัดกระจายไปยังผู้อื่น ที่จะทำให้เจ้าถูกแย่งชิงความเป็นจุดสนใจไป ถูกกระชากรัศมีไปจากศีรษะเจ้า—หากเจ้าต้องการเพียงให้สิ่งทั้งหลายล้วนตกอยู่กับตัวเจ้าเองเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมเป็นศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่ง กระนั้นหากเจ้าแสวงหาความจริง หากเจ้าหันหลังให้กับเนื้อหนัง ให้กับแรงจูงใจและการออกแบบทั้งหลายของเจ้าเอง และหากเจ้าสามารถริเริ่มการให้ความร่วมมือกับผู้อื่นได้ เปิดหัวใจของเจ้าให้บ่อยครั้งเพื่อปรึกษาหารือกับผู้อื่นและแสวงหาคำปรึกษาจากพวกเขา และหากเจ้าสามารถรับเอาข้อเสนอแนะจากผู้อื่นมาใช้และรับฟังความคิดและคำพูดของพวกเขาอย่างรอบคอบได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมกำลังไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ในทิศทางที่ถูกต้อง จงเลิกมองไม่เห็นหัวผู้อื่นและพักวางยศถาบรรดาศักดิ์ของเจ้าไว้ก่อน จงอย่าใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ จงปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้เหมือนไม่ใช่สิ่งใดที่สำคัญเลย และจงอย่ามีทรรศนะต่อสิ่งเหล่านี้ดุจดังเครื่องหมายแห่งสถานะ ดุจดังมาลัยเกียรติยศ จงเชื่ออยู่ในหัวใจของเจ้าว่าเจ้าและผู้อื่นนั้นเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ จงเรียนรู้ที่จะวางตัวเองในระดับที่มีภาษีไม่ต่างกับผู้อื่น และจงมีความสามารถถึงขั้นที่จะค้อมตัวลงเพื่อขอให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็นของพวกเขา จงมีความสามารถที่จะรับฟังอย่างจริงจังตั้งใจ อย่างใส่ใจ และอย่างสนใจในสิ่งที่ผู้อื่นจำเป็นต้องพูด ในหนทางนี้ เจ้าจะทำให้เกิดการให้ความร่วมมืออันสันติสุขระหว่างตัวเจ้าเองและผู้อื่น เช่นนั้นแล้ว การให้ความร่วมมืออันสันติสุขเป็นการทำหน้าที่ใดเล่า? นี่เป็นการทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่โดยแท้ เจ้าจะได้รับสิ่งทั้งหลายซึ่งเจ้าไม่เคยมีมาก่อน สิ่งใหม่ๆ สิ่งทั้งหลายที่อยู่ในอาณาจักรซึ่งสูงกว่า เจ้าจะค้นพบคุณธรรมของผู้อื่น และมีสิ่งอื่นอีกเช่นกัน นั่นคือ แง่มุมทั้งหลายท่ามกลางมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของเจ้าที่เจ้าคำนึงถึงผู้อื่นว่าบ้า โง่เง่า โง่เขลา ด้อยกว่าเจ้า—เมื่อเจ้ารับฟังข้อเสนอแนะของผู้อื่น หรือเมื่อผู้อื่นเปิดหัวใจของพวกเขาเพื่อพูดกับเจ้า เจ้ามาตระหนักโดยไม่รู้ตัวว่า ไม่มีผู้ใดเลยสักคนที่เรียบง่าย ว่าไม่สำคัญว่าพวกเขาเป็นใคร ทุกคนต่างมีความคิดที่น่าสนใจจดจำสองสามอย่าง และในหนทางนี้ เจ้าจะหยุดเป็นคนที่รู้ไปเสียทุกเรื่อง เจ้าจะไม่พิจารณาว่าตัวเองฉลาดหลักแหลมกว่าและดีกว่าคนอื่นทุกคน นี่กันเจ้าไม่ให้ดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะที่หลงตัวเองและเลื่อมใสตัวเองเสมอ การนี้ทำหน้าที่ในการอารักขาเจ้ามิใช่หรือ? เช่นนี้เองคือบทอวสานและผลประโยชน์ของการทำงานกับผู้อื่น(“พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พอได้ดูแล้ว ฉันก็ตระหนักว่าเหตุผล ที่ฉันไม่อยากร่วมมือกับพี่หลิน และฉันกลัวที่จะแบ่งอำนาจตัวเอง คือฉันไม่เห็นหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบให้ ว่าเป็นพระบัญชาของพระองค์และเป็นภารกิจของฉัน ฉันถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่เป็นทางการ เหมือนมันเป็นมงกุฎประจำตำแหน่ง ฉันไม่ยอมที่จะร่วมมือกับผู้อื่น แต่ทำตัวสูงส่งวางอำนาจเสมอ อยากจะโดดเด่นด้วยตัวฉันเอง นั่นเป็นเส้นทางที่ผิด สิ่งที่ช่วงเวลานั้นได้เปิดเผยคือ ฉันยังตื้นเขินในการเข้าใจความจริงและจัดการปัญหา ฉันไม่ได้คำนึงถึงงานของเราในแบบองค์รวม แทบไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง การช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงที่มีปัญหาในการเข้าสู่ชีวิต คือการต่อสู้ และมีงานอีกมากมาย ที่ฉันไม่สามารถทำคนเดียวได้ ฉันต้องการใครสักคนเพื่อทำงานด้วย เสวนาเรื่องต่างๆ รับฟังความคิดเห็น เพื่อเรียนรู้จากจุดแข็งของพวกเขา ลดจุดอ่อนตัวเอง ฉันคิดว่าพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ทรงแสดงความจริงมากมายเพื่อความรอดของมนุษย์ แต่ก็ไม่ทรงวางพระองค์เองในตำแหน่งของพระเจ้า พระองค์ทรงฟังข้อเสนอแนะของผู้คนในหลายๆ เรื่อง พระองค์ไม่ทรงมีความโอหังแม้แต่น้อย ทรงไม่เคยอวดตัวเลย พระองค์ทรงแสดงความจริงเงียบๆ เสมอ เพื่อให้น้ำและค้ำจุนมนุษย์ ฉันเห็นแก่นแท้ของพระเจ้าว่าช่างเมตตาและน่ารักเหลือเกิน แต่ฉันกลับถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ไม่เข้าใจความจริง มีหลายอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ แต่ฉันก็ยังคงทำตัวสูงส่งวางอำนาจ คิดว่าตัวเองพิเศษ ว่าสามารถทำงานมากมายได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่ต้องมีคู่ทำงาน ไม่ต้องคำนึงถึงใคร ฉันได้เห็นว่าฉันนั้นโอหังเหลือเกิน ที่จริงแล้วการเสวนาเรื่องต่างๆ และสามัคคีธรรมในหน้าที่ของตัวเองให้มากขึ้น มีเหตุผลแล้วก็ชาญฉลาด ไม่ใช่การไร้ความสามารถ มันเป็นการได้รับบางสิ่งจากผู้อื่น ที่เราไม่อาจมองเห็นหรือเข้าใจได้ และหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ผิดเพราะความทะนงตัว เป็นทางเดียวที่จะหน้าที่ได้ดี และได้รับการทรงคุ้มครองของพระเจ้า ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ทั้งการเสวนาเรื่องต่างๆ การให้ความร่วมมือ และลดจุดอ่อนของกันและกัน เป็นทางเดียวที่จะทำหน้าที่ได้ดีและทำให้พระเจ้าพอพระทัย

มีอีกบทตอนที่ฉันอ่านค่ะ “เมื่อเจ้าประสานงานกับผู้อื่นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าสามารถที่จะเปิดใจให้กับความคิดเห็นที่แตกต่างได้หรือไม่? เจ้าสามารถยอมรับสิ่งที่ผู้อื่นกล่าวได้หรือไม่? เจ้าคิดว่ามีใครสักคนที่เพียบพร้อมกระนั้นหรือ? ไม่สำคัญว่าผู้คนจะแข็งแรงเพียงใด หรือมีศักยภาพและมีความสามารถเพียงใด พวกเขายังคงไม่เพียบพร้อม ผู้คนต้องระลึกถึงการนี้ นี่คือข้อเท็จจริง นี่ยังเป็นท่าทีที่ถูกต้องเหมาะสมมากที่สุดของผู้ใดก็ตามที่กำลังมองดูจุดแข็งและความได้เปรียบหรือความผิดอย่างพวกเขาอย่างถูกต้องอีกด้วย นี่คือความมีเหตุผลที่ผู้คนควรจะครองไว้ ด้วยความมีเหตุผลเช่นนี้ เจ้าจะสามารถจัดการกับจุดแข็งและจุดอ่อนของเจ้าเอง ตลอดจนจุดแข็งและจุดอ่อนเหล่านั้นของผู้อื่นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และนี่จะทำให้เจ้าสามารถทำงานเคียงข้างกับพวกเขาได้อย่างปรองดอง หากเจ้าเตรียมพร้อมไว้ด้วยแง่มุมนี้ของความจริงและสามารถเข้าสู่แง่มุมนี้ของความเป็นจริงแห่งความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถเข้ากันได้อย่างปรองดองกับบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า โดยดึงจุดแข็งของกันและกันมาเพื่อชดเชยจุดอ่อนใดๆ ที่เจ้ามี ในหนทางนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใด หรือเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าจะทำสิ่งนั้นได้ดีขึ้นและมีพระพรของพระเจ้าเสมอ(“คนเราสามารถครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) จริงค่ะ มีความยิ่งใหญ่และความสามารถ ไม่อาจทำให้คนคนนั้นครบบริบูรณ์ได้ ทุกคนล้วนมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง ต้องจัดการอย่างถูกต้อง เราต้องเรียนรู้ที่จะฟังข้อเสนอแนะของผู้อื่น สนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อให้เรามีจิตสำนึกที่จะร่วมมือกับผู้อื่นได้ดี แต่ก่อน ฉันแค่ให้ความสนใจในการให้น้ำผู้เชื่อใหม่ และพี่หลินก็ดูแลเรื่องงานข่าวประเสริฐ ถ้าหากฉันเป็นคนดูแลงานทั้งหมดนั่น ไม่มีทางที่ฉันจะบริหารจัดการได้หรือทำได้ดี และมุมมองของฉันก็ถูกจำกัดในหลายๆ สิ่งในหน้าที่ฉัน ฉันไม่รอบคอบ เมื่อไรที่ผู้นำถามถึงเรื่องงานของฉัน ก็มีเรื่องผิดพลาดมากมาย เรื่องที่ทำได้ไม่ถูกต้องนัก ฉันตระหนักว่าตัวเองต้องการคู่ทำงาน เพื่อทำหน้าที่นั้นจริงๆ เมื่อก่อนฉันไม่เคยเข้าใจ และไม่รู้จักตัวเองด้วย ฉันโอหังและอยากเป็นคนดูแล ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ สิ่งนี้ฉุดรั้งงานของคริสตจักร ฉันรู้สึกผิดมากเหลือเกิน ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ว่าไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในความเสื่อมทรามอีกแล้ว ว่าพร้อมจะทำงานด้วยดีกับพี่หลินในหน้าที่ของฉัน

จากนั้น ในการทำงานด้วยกันของเรา ฉันได้เห็นจุดแข็งของเธอมากมาย เธอมีความเอาใจใส่มากกว่าฉัน พอมีเรื่องอะไรก็แสวงหาหลักธรรมแห่งความจริง เธอละเอียดในการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ฉันไม่ได้เป็นผู้นำมานานมาก ฉันเลยมีความคิดคลุมเครือ ถึงวิธีบริหารจัดการงานของคริสตจักร ฉันขาดความชัดเจน เมื่อเป็นเรื่องรายละเอียดของงาน และเรื่องสามัคคีธรรม เรื่องพวกนั้นฉันเทียบเธอไม่ได้ และเธอก็ให้น้ำผู้เชื่อใหม่ด้วยความรักมากกว่าฉัน ตอนที่เธอช่วยเหลือพวกเขา เธอจะสามัคคีธรรมซ้ำๆ คอยตามไปเรื่อยๆ พอฉันคิดว่าเธอทำงานได้ดีมากแล้ว เธอก็บอกว่าตัวเธอยังต้องติดตามมากกว่านี้ ฉันนึกถึงการที่ตัวเองไม่ให้ความร่วมมือกับเธอ แต่ปฏิบัติกับเธอว่าเป็นส่วนเกิน ถึงบางครั้งเธอจะคิดในด้านลบ แต่เธอก็รีบเปลี่ยนความคิดกลับมาทำหน้าที่ของเธอต่อ แม้ฉันจะไม่สนใจเธอ แต่เธอก็คอยถามคำถามครั้งแล้วครั้งเล่า เธอทั้งน่ารักและอดทน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเธออย่างจริงใจ ซึ่งฉันขาดคุณสมบัติพวกนั้น พอตระหนักแบบนั้น ฉันก็รู้สึกแย่มาก ฉันได้เห็นว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน ได้ทำร้ายพี่หลิน และพระราชกิจแห่งพระนิเวศมากแค่ไหน ถ้าตั้งแต่เริ่มแรก ฉันกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมือกับเธอ เสวนาทุกๆ เรื่องกับเธอ เรื่องต่างๆ ก็จะไม่กลายเป็นแบบนั้น ด้วยความเสียใจ ฉันจึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์และอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าฯ เห็นความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตัวเอง และข้าฯ เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว จากนี้ข้าฯ จะร่วมมือกับพี่หลิน และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์”

จากนั้น ในการทำงานของฉันกับพี่หลิน ฉันก็จะคอยถามเธอ อย่างเช่น “คุณว่าแบบนี้ดีไหมคะ? คุณมีข้อเสนอแนะอื่นอีกหรือเปล่า?” มีครั้งหนึ่งตอนเราเสวนาเรื่องงานกัน เธอถามฉันเรื่องการให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันคิดว่า “เราเพิ่งคุยกันเมื่อสองวันก่อน ทำไมต้องมาคุยเรื่องนี้อีก? ถ้าหากมีปัญหาอะไร ฉันจัดการเองได้” ฉันอยากจะผลักไสเธอไปอีกครั้ง แล้วฉันก็ตระหนักว่าปัญหาเก่าฉันกลับมาอีกครั้ง ซึ่งฉันอยากเป็นคนจัดการ ฉันจึงรีบอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงนำให้ฉันไม่แสดงความเสื่อมทรามออกมา หลังอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงความล้มเหลวทั้งหมดของฉันที่ผ่านมา ที่ฉันเป็นเผด็จการและใช้อำนาจครอบงำ อยากจะทำอะไรตามใจตัวเองและอวดตัวอยู่เสมอ นี่เป็นการแสดงออกของซาตานอย่างแท้จริง ฉันต้องละทิ้งตัวเอง และปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และให้ความร่วมมือกับเธอ ดังนั้น ฉันจึงแบ่งปันทุกอย่างที่ฉันรู้เรื่องงานกับเธออย่างจริงจัง พอส่วนของฉันเสร็จแล้ว เธอก็แบ่งปันความคิดของเธอ ฉันได้เรียนรู้หลายๆ สิ่งจากสามัคคีธรรมของธอ รู้สึกว่านั่นคือวิธีทำหน้าที่ที่ยอดเยี่ยม หลังจากนั้น ฉันก็จะไปหาเธอเพื่อเสวนาเรื่องหน้าที่ของเรา และเราก็จะแสวงหาความจริง และสามัคคีธรรมเรื่องปัญหาของผู้มาใหม่ด้วยกัน หลังทำแบบนี้ไปสักพัก สภาวะของฉันและการปฏิบัติงานในหน้าที่ฉันก็ดีขึ้น ฉันขอบคุณพระเจ้าเหลือเกิน ฉันได้เห็นว่าการปฏิบัติความจริงในหน้าที่ของฉัน การทำงานกับผู้อื่นและสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ดี คือพระพรจากพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การรักษาโรคริษยา

โดย สวุนฉิว ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เนื้อหนังของมนุษย์เป็นของซาตาน มันเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเป็นกบฏ...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger