วิธีรับมือกับการถูกตัดแต่ง
โดย โรซาลี, ประเทศเกาหลีใต้วันพุธที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2022 ฟ้าโปร่งวันนี้ฉันได้เริ่มต้นหน้าที่ใหม่ นั่นคืองานที่เกี่ยวกับต้นฉบับ...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ผมยอมรับราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายมาสามปี ผมกลายเป็นผู้นำคริสตจักรเมื่อตุลาคมปี 2020 ผมตระหนักว่านี่เป็นความรับผิดชอบครั้งใหญ่ และรู้สึกเครียดนิดหน่อย แต่ก็ภาคภูมิใจจริงๆ ผมรู้สึกว่าที่ได้รับเลือกตั้งให้ทำ หน้าที่นั้น ก็เพราะมีขีดความสามารถดีกว่าคนอื่นๆ ผมรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างจริงจังจริงๆ สามัคคีธรรมกับคนอื่นๆ อย่างดีที่สุดเพื่อช่วยแก้ปัญหาในหน้าที่ของพวกเขา เมื่อเวลาผ่านไป ก็เริ่มรู้สึกว่าสามารถแก้ประเด็นปัญหาได้มากมาย ไม่ว่าที่ใดต้องการให้ผมทำการสามัคคีธรรม ผมจะรีบไปโดยไม่ลังเลใจแม้แต่อึดใจ ผมต้องการที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม และเป็นผู้แก้ปัญหาที่ดี
ตอนนั้นศัตรูของพระคริสต์บางคนเริ่มกระจายข่าวลือในคริสตจักร แพร่คำโกหกของทางพรรคเพื่อหมิ่นประมาทพระเจ้าไปในกลุ่มชุมนุมต่างๆ บิดเบือนกลับด้านข้อเท็จจริง ตัดสินงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ต้องการนำให้ผู้คนหลงห่างไปจากพระเจ้า ผมจัดให้มีการชุมนุมและการสามัคคีธรรมมากที่สุดที่ทำได้ และรู้สึกเหมือนเป็นผู้บัญชาการทหาร นำกองทหารเข้าสู้กับฝ่ายศัตรู! ผมต้องการที่จะพิสูจน์ว่าสามารถคุ้มครองทุกคนได้ เพื่อให้เห็นกันว่าผมมีความรับผิดชอบ สามารถรับภาระอันหนึกอึ้งได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผมรู้สึกอ่อนแอจริงๆ ตัวผมเองไม่รู้ว่าจะหักล้างเหตุผลวิบัติของพวกศัตรูของพระคริสต์อย่างไร และเหตุผลวิบัติเหล่านี้ก็ส่งผลต่อผมเช่นกัน แต่ผมไม่ต้องการที่จะเปิดเผยความอ่อนแอต่อคนอื่นๆ ผมต้องการที่จะดูยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง คิดว่านั่นคือการเป็นผู้นำที่แท้จริง ผมไม่เปิดกว้างเกี่ยวกับสภาวะของผมเองอย่างแท้จริงเลย เพราะคิดว่าหากแสดงเครื่องหมายของความอ่อนแอในฐานะผู้นำ ผมคงจะเสียรูปลักษณ์ของความแข็งแกร่งนั้นไป พวกเขาจะคิดกับผมอย่างไร? จะคิดหรือไม่ว่า ผมสามารถทำได้เพียงพรั่งพรูคำสอน และขาดพร่องความเป็นจริงของความจริง? ผมคิดว่าในฐานะผู้นำคริสตจักร ผมจำเป็นที่จะต้องแกร่ง เหมือนประธานาธิบดีหรือผู้บัญชาการทหาร ผมปล่อยให้ใครอื่นใดเห็นความอ่อนแอของผมไม่ได้! ดังนั้น ในการชุมนุมหลายๆ ครั้ง ผมจึงพูดคุยเสมอเรื่องความเข้าใจ “อันลุ่มลึก” เกี่ยวกับพระวจนะและประสบการณ์ของผมเอง อย่างเช่นวิธีที่เหล่าพี่น้องชายหญิง สามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้อย่างเป็นผลด้วยความช่วยเหลือจากผม แต่ผมก็แค่แตะผ่านความล้มเหลวเสื่อมทรามของตัวเอง โดยเปลี่ยนอย่างฉับไวไปพูดสิ่งทั้งหลายที่ผมทำถูกต้อง หากเกิดง่วงนอนขึ้นมาในการชุมนุม ผมจะไม่ยอมรับแต่โดยดี และหากมีปัญหาจริงๆ ผมก็จะพูดว่า ผมจะหาเส้นทางที่จะแก้ไขความอ่อนแอในอีกไม่ช้า ผมพูดคุยเกี่ยวกับวิธีให้น้ำผู้เชื่อใหม่ และวิธีที่ผมให้โอกาสพวกเขาที่จะเรียนรู้ เพื่อแสดงถึงความประพฤติดีของผม ตอนเล่าประสบการณ์ ผมชอบคุยเรื่องที่ผมพลีอุทิศแด่พระเจ้า เรื่องที่อดนอนทำหน้าที่ทั้งคืน โดยหวังว่าการพูดเรื่องนั้นจะทำให้ทุกคนชื่นชมยกย่องผม พี่น้องหญิงมาริเน็ตต์ คู่ทำงานของผม เลื่อมใสผมจริงๆ เพราะผมช่วยเธอเสมอในเรื่องพระวจนะของพระเจ้าซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาวะของเธอ ผมยินดีจริงๆ พอใจจริงๆ ตอนที่เธอแสดงความเลื่อมใส เหล่าพี่น้องชายหญิงที่ฝึกฝนเพื่อหน้าที่ในการให้น้ำก็เลื่อมใสผมมากเช่นกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่น้องหญิงคนหนึ่งโทรมาเพื่อ กล่าวว่า เธอมีความสามารถในหน้าที่ได้ก็เพราะสิ่งที่ได้เรียนรู้จากผม ซึ่งเป็นการกระตุ้นความถือดีของผมจริงๆ ผมไม่เคยบอกเธอ ว่าการสามัคคีธรรมอันเป็นประโยชน์ของผมล้วนแต่เป็นการทรงนำ และความรู้แจ้งจากพระเจ้า ดังนั้นพระสิริจึงควรไปสู่พระองค์ พี่น้องชายหญิงบางคนพูดว่า “อาเมน” หลังการสามัคคีธรรมของผม หรือไม่ก็ “มัทธิเออพูดถูกจริงๆ” หรือไม่ก็ “ฉันสำนึกในบุญคุณของการสามัคคีธรรมของมัทธิเออจริงๆ” บางครั้งพวกเขาก็พูดกับผมด้วยน้ำเสียงของความเลื่อมใส พวกเขาจะถามความเห็นจากผมเสมอในเรื่องของการติดสินใจในหน้าที่ของพวกเขา ถามว่า “มัทธิเออ เรื่องนี้พอได้อยู่ไหม?” ผมบอกได้เลยว่าผมมีที่ทางสำคัญทีเดียวในหัวใจของพวกเขา เวลาที่เห็นว่าพวกเขาเลื่อมใสผมมากเพียงใด ผมรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยจริงๆ แต่ก็ชอบความรู้สึกที่ได้รับการชื่นชมยกย่องนั้น มันทำให้ผมมีความสุข แล้วอยู่มาวันหนึ่งผมก็ได้เห็นคำพยานในรูปแบบวิดีโอที่ชื่อว่า “ความเสียหายที่ทำลงไปด้วยการโอ้อวด” คำพยานนี้ดลใจจริงๆ พี่น้องหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้นำเช่นกัน ยกระดับตนเองในหน้าที่เสมอ เธอล่วงเกินพระอุปนิสัยและถูกบ่มวินัยด้วยความเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง ปมปัญหาอยู่ตรงที่ พระเจ้าทรงขยะแขยงพฤติกรรมของเธอ น้ำตาไหลรินลงมาตามใบหน้าเมื่อผมได้เห็นวิดีโอนั้น ผมตระหนักว่าโดยการอวดโอ้เพื่อให้ได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่นนั้น ผมกำลังต่อต้านพระเจ้า ผมอยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ ผมไม่เคยได้ตระหนักว่าการอวดโอ้จะสามารถเป็นปัญหาอันร้ายแรงเช่นนั้นได้ ผมคอยบอกตัวเองเรื่อยไปว่า “ฉันได้ปลุกปั่นพระพิโรธของพระเจ้าเสียแล้ว” ผมรู้สึกตกใจกลัวจริงๆ และไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
ต่อมาผมก็ได้อ่านบทตอนนี้ของพระวจนะ ซึ่งช่วยให้ผมเข้าใจความเสื่อมทรามของผม พระวจนะกล่าวว่า “การยกย่องและการให้การเป็นพยานกับตัวพวกเขาเอง การโอ้อวดตัวพวกเขาเอง การลองพยายามที่จะทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขา—มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ นี่คือวิธีที่ผู้คนแสดงปฏิกิริยาไปตามสัญชาตญาณเมื่อพวกเขาถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาครอบงำ และนี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งปวง ผู้คนมักจะยกย่องและให้การเป็นพยานต่อตัวพวกเขาเองอย่างไรหรือ? พวกเขาสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้อย่างไรเล่า? หนทางหนึ่งคือการให้การเป็นพยานว่าพวกเขาได้ทนทุกข์มามากเพียงใด พวกเขาได้ทำงานมามากเพียงใด และพวกเขาได้สละตัวพวกเขาเองมามากเพียงใด พวกเขาพูดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในรูปแบบของเงินทุนส่วนตัว กล่าวคือ พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเงินทุนซึ่งพวกเขาใช้ในการยกย่องตัวพวกเขาเอง ซึ่งให้พวกเขามีที่ทางซึ่งสูงกว่า มั่นคงกว่า ปลอดภัยกว่าในจิตใจของผู้คน เพื่อที่จะได้มีผู้คนมากขึ้นนับถือ เลื่อมใส เคารพ และแม้กระทั่งเทิดทูน ชื่นชู และติดตามพวกเขา นั่นคือผลพวงสูงสุด สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำเพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้—การยกย่องและการเป็นพยานยืนยันต่อตัวพวกเขาเองทั้งหมด—มีเหตุผลหรือไม่? สิ่งเหล่านั้นไม่มีเหตุผล สิ่งเหล่านั้นอยู่เลยพ้นข่ายรับผิดชอบของความมีเหตุผล ผู้คนเหล่านี้ไม่มีความอับอายเลย กล่าวคือ พวกเขาเป็นพยานยืนยันอย่างหน้าไม่อายถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปเพื่อพระเจ้าและว่าพวกเขาได้ทนทุกข์ไปมากมายเพียงใดเพื่อพระองค์ พวกเขาถึงขั้นโอ้อวดพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ ประสบการณ์ และทักษะพิเศษของพวกเขา หรือเทคนิคอันฉลาดแยบยลของพวกเขาสำหรับการประพฤติปฏิบัติตน และวิธีการที่พวกเขาใช้ในการเล่นกับผู้คน วิธีการของพวกเขาในการยกย่องและการเป็นพยานยืนยันต่อตัวพวกเขาเองคือ การโอ้อวดตัวพวกเขาเองและดูแคลนผู้อื่น พวกเขายังกลบเกลื่อนและอำพรางตัวพวกเขาเองด้วยเช่นกัน โดยซ่อนเร้นความอ่อนแอ ข้อบกพร่อง และความล้มเหลวของพวกเขาจากผู้คน เพื่อที่ผู้คนเหล่านั้นจะเพียงแค่มองเห็นความปราดเปรื่องของพวกเขาไปตลอดเท่านั้น พวกเขาไม่แม้กระทั่งกล้าที่จะบอกผู้คนอื่นๆ เมื่อพวกเขารู้สึกคิดลบ พวกเขาขาดพร่องความกล้าที่จะเปิดกว้างและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น และเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด พวกเขาก็ทำอย่างสุดความสามารถในการที่จะปกปิดสิ่งที่ผิดนั้นและปิดบังสิ่งที่ผิดนั้น พวกเขาไม่เคยพูดพาดพิงถึงอันตรายซึ่งพวกเขาได้เป็นเหตุให้เกิดขึ้นต่อพระนิเวศของพระเจ้าในครรลองของการทำหน้าที่ของพวกเขาเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมแบ่งปันเล็กน้อยอยู่บ้างหรือได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จเล็กน้อยอยู่บ้าง พวกเขาก็รีบร้อนที่จะโอ้อวดการนั้น พวกเขาไม่สามารถรอเพื่อให้ทั้งโลกรู้ว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใด ขีดความสามารถของพวกเขาสูงเพียงใด พวกเขายอดเยี่ยมเพียงใด และพวกเขาดีกว่าผู้คนปกติมากเพียงใด นี่ไม่ใช่หนทางของการยกย่องและการเป็นพยานยืนยันต่อตัวพวกเขาเองหรอกหรือ? การยกย่องและการให้การเป็นพยานต่อตัวเจ้าเองนั้น อยู่ภายในเขตแดนอันมีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติหรือไม่? ไม่เลย ดังนั้นแล้ว อุปนิสัยใดเล่าที่มักจะถูกเปิดเผยออกมาในยามที่ผู้คนทำการนี้? อุปนิสัยแห่งความโอหังคือหนึ่งในการสำแดงหลัก ตามมาด้วยความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นไปได้เพื่อทำให้ผู้คนอื่นๆ นับถือพวกเขาว่าสูงส่ง เรื่องราวของพวกเขารัดกุมอย่างสมบูรณ์ คำพูดของพวกเขาบรรจุแรงจูงใจและกลอุบายอย่างชัดเจน และพวกเขาได้พบหนทางที่จะซ่อนข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขากำลังอวดตัวอยู่ แต่จุดจบของสิ่งที่พวกเขาพูดก็คือ พวกเขายังคงทำให้ผู้คนรู้สึก ว่าพวกเขาดีกว่าผู้อื่น ว่าไม่มีผู้ใดเลยที่เทียบเท่าพวกเขา ว่าคนอื่นทุกคนด้อยกว่าพวกเขา และจุดจบนี้ไม่ได้สัมฤทธิ์ผ่านวิธีการอันซ่อนเร้นทุจริตหรอกหรือ? อุปนิสัยใดหรือที่อยู่เบื้องหลังวิธีการเช่นนั้น? และมีองค์ประกอบของความเลวอันใดหรือไม่? นี่คืออุปนิสัยที่เลวประเภทหนึ่ง” (“พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) การอ่านพระวจนะของพระเจ้ากระทบเข้าที่ใจผมตรงๆ ผมสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจริงๆ ถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวผม ผมต้องการที่จะสร้างภาพลักษณ์ของตัวเอง ในฐานะชายผู้แข็งแกร่ง บุคคลที่เพียบพร้อม เวลาที่สามัคคีธรรมว่าด้วยประสบการณ์ ผมทำการอวดโอ้ความประพฤติ “ที่เป็นวีรบุรุษ” พูดคุยเกี่ยวกับความสำเร็จ แต่แทบจะไม่เคยพูดคุยเกี่ยวกับความล้มเหลว หากผมอ่อนแอหรือคิดลบ หรือเผชิญหน้ากับปัญหาบางอย่าง หรือแม้กระทั่งตอนที่อยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ที่สุด ผมก็จะพูดแค่ว่า “ผมสบายดี ผมกำลังก้าวผ่านบททดสอบนิดหน่อย แต่พระเจ้าจะทรงช่วยให้ผมผ่านพ้นไป” แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ผมเจ็บปวดจริงๆ ผมพูดคุยเสมอเกี่ยวกับวิธีที่ผมทนทุกข์เพื่อหน้าที่ ทำเป็นแสดงให้เห็นว่าผมมีความรับผิดชอบเพียงใด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่จริงๆ ส่วนใหญ่การพลีอุทิศในหน้าที่ ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชื่อและสถานะของผม การเห็นผู้อื่นมีความเลื่อมใสต่อผม ปลุกเร้าบางสิ่งในหัวใจผม ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่ผมก็ยังคงไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดยั้งสิ่งนั้นอยู่ดี ผมไม่ได้บอกผู้คนไม่ให้มาเลื่อมใสผม เพราะผมต้องการความเลื่อมใสและการสรรเสริญ และถึงขั้นที่อยากอยู่ เหนือที่ของพระเจ้าในใจพวกเขาด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าผมก็แค่โอหังดังเช่นหัวหน้าทูตสวรรค์หรอกหรือ? ผมไม่ได้กำลังนำพาผู้อื่นมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แต่ผมกำลังนำพาพวกเขามาอยู่ต่อหน้าตัวผมเอง เมื่อตระหนักว่าผมสามารถเข้าแทนที่ของพระเจ้าในใจของเหล่าพี่น้องได้ ผมก็กลัวจนตัวสั่น และรู้แก่ใจว่าพระเจ้าทรงรังเกียจพฤติกรรมของผม เมื่อเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงทั้งหลาย ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ได้อวดโอ้มาตลอด ต้องการถูกคนมองว่าเป็นใครบางคนที่ระดับสูงกว่า เป็นใครบางคนที่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดของพวกเขาได้ ข้าพระองค์กำลังแย่งชิงพระสิริของพระองค์ พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการที่จะกลับใจต่อพระองค์” ผมเต็มไปด้วยความเสียใจ แล้วผมก็เขียนจดหมายขอโทษฉบับหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงและการโอ้อวดตัวเอง แล้วก็ส่งจดหมายฉบับนั้นไปยังกลุ่มชุมนุมทุกกลุ่ม ผมยังบอกทุกคนอย่างแจ่มแจ้งด้วยว่าพวกเขาไม่ควรเลื่อมใสผม ผมรู้จักผู้คนสองสามคนที่ชื่นชมยกย่องผมโดยเฉพาะ ผมจึงส่งข้อความชำแหละตัวเองไปให้พวกเขาเป็นรายบุคคล สองสามวันต่อมา พี่น้องหญิงมาริเน็ตต์ก็บอกผมอย่างเปิดเผย ว่าเธอได้เลื่อมใสผมมาก่อน และบอกว่าผมได้ครองที่อันสำคัญในหัวใจของเธอ ผมละอายใจจริงๆ ที่ได้ยินเช่นนี้ รู้สึกเหมือนว่านั่นเป็นหลักฐานของความชั่วของผม ผมเห็นความน่าเกลียดของตัวเองในชั่วขณะนั้น ผมได้อวดโอ้มาตลอดเพื่อให้ได้รับความเลื่อมใสของผู้อื่น ผมได้สูญเสียเหตุผลทั้งหมดไปแล้ว นั่นเป็นการทำหน้าที่อย่างไรหรือ? นั่นคือวิธีที่ผมชดใช้คืนที่พระเจ้าทรงยกผมขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำหรือไร? ผมรู้สึกถึงความละอายอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน แต่จริงๆ แล้วก็ยังไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามอยู่ดี ดังนั้นไม่ช้าไม่นานผมก็กลับไปอยู่จุดเดิม
มีการชุมนุมออนไลน์ครั้งหนึ่งซึ่งผู้นำคริสตจักรคนอื่นๆ ก็เข้าร่วมด้วย ผมรู้สึกว้าวุ่นว่าการสามัคคีธรรมของพวกเขามองปัญหาเรียบง่ายเกินจริง ผมคิดว่าการสามัคคีธรรมของพวกเขานั้นตื้นเขิน และผู้นำคนอื่นๆ ก็ไม่ได้พูดอะไรที่สูงส่งเลิศเลอ ผมต้องการที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าการสามัคคีธรรมที่ดีนั้นเป็นอย่างไร แบ่งปันความเข้าใจของตัวเองกับทุกคน เพื่อให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้มากจากสิ่งที่ผมจะพูด ผมต้องการที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นหนทาง ดังนั้นผมจึงตระเตรียมทางด้านจิตใจในสิ่งที่ผมต้องการที่จะพูด ผมคิดเกี่ยวกับการพูดบางสิ่งที่ให้ความรู้แจ้งมากขึ้น เพื่อให้ผมเด่นออกจากฝูงชนและแบ่งปันสามัคคีธรรมที่มีน้ำหนักได้ ผมคิดถึงการใช้คำเพื่อเน้นให้สามัคคีธรรมของผมเด่นที่สุด ผมต้องการที่จะพิสูจน์ให้ผู้อื่นได้ซาบซึ้งความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของผม ผมใช้ตัวอย่างและคำเปรียบเปรยมากมาย เพื่อให้รู้กันว่าผมจัดเตรียมการสามัคคีธรรมที่มีรายละเอียดมั่งคั่งได้ เมื่อเสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมแล้ว ผมมีความสุขจริงๆ ที่ได้ยินทุกคนพูดว่า “อาเมน” จากนั้นผมก็ตรวจดูหน้าต่างแชท เพื่อดูว่ามีการพูดถึงสิ่งที่ดีเกี่ยวกับการสามัคคีธรรมของผมหรือไม่ เมื่อพวกเราใกล้จะเสร็จสิ้นการสามัคคีธรรม พี่น้องชายเซเอนได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมบางส่วน โดยไม่ยกพระวจนะมาอ้างอิงเป็นพื้นฐานสำหรับทุกสิ่ง อย่างที่เราทำกันเสมอ แต่เขาอ้างอิงการสามัคคีธรรมของผม พูดว่าพวกเราควรทำสิ่งต่างๆ บนพื้นฐานของสามัคคีธรรมของผม โดยใช้การนั้นเป็นรากฐานอันบริบูรณ์สำหรับความเข้าใจของเขา ผมเห็นว่าผมกำลังยกย่องตัวเองอีก เป็นเหตุทำให้คนอื่นๆ ชื่นชูผม ผมรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ ในชั่วขณะนั้น ผมจำได้ในบางพระวจนะที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันเมื่อเร็วๆ นี้ พระวจนะกล่าวว่า “หากเหล่าพี่น้องชายหญิงจะสามารถไว้เนื้อเชื่อใจกันได้ โดยช่วยเหลือแบ่งเบากัน และจัดเตรียมให้กันและกัน เช่นนั้นแล้วแต่ละบุคคลต้องกล่าวถึงประสบการณ์แท้จริงของเขาหรือเธอเอง หากเจ้าไม่พูดอะไรเลยเกี่ยวกับประสบการณ์แท้จริงของเจ้าเอง—หากเจ้าเพียงทวนซ้ำคำพูดอันชัดแจ้งที่เป็นคำสอนเท่านั้น และพูดตามวลีเด็ดและคำพูดซ้ำซากเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าโดยไม่เข้าใจความหมาย และไม่เปิดกว้างเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้าเลยแม้แต่น้อย—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์ และเจ้าไม่สามารถที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ได้” (“การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักนั้น เจ้าควรพูดคุยให้มากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนผู้คน บททดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าได้สู้ทนไปมากเท่าใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุดนั้น นั่นคือ เจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ นี่คือวิธีที่เจ้าควรได้รับประสบการณ์ จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าปรากฎเป็นค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล เจ้าควรพูดให้มากขึ้นถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นจริงจากประสบการณ์จริงของเจ้าซึ่งเป็นจริงแท้และมาจากหัวใจ การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น” (“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพยายามเอาชนะใจผู้คนอยู่เสมอ ปรารถนาที่จะทำให้สมดังความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของเจ้าเองอยู่เสมอ และสนองความโหยหาในสถานะของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ มีสิ่งใดเกี่ยวกับเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ที่สอดคล้องกับความจริงหรือไม่? (ไม่มี) แล้วหากเส้นทางนั้นไม่ลงรอยกับความจริงเล่า? ผู้คนเหล่านี้กระทำการไปเพื่อสิ่งใด? (เพื่อสถานะ) สิ่งใดที่แสดงให้เห็นอยู่ในตัวผู้คนที่ทำสิ่งทั้งหลายเพื่อสถานะ? บางคนพูดว่า ‘พวกเขากล่าวคำสอนอยู่เสมอ พวกเขาไม่เคยสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความเป็นจริงของความจริงเลย พวกเขาพูดเพื่อตัวพวกเขาเองเสมอ พวกเขาไม่เคยยกย่องหรือให้การเป็นพยานต่อพระเจ้า ผู้คนที่มีสิ่งดังกล่าวแสดงให้เห็นอยู่ภายในย่อมกระทำการเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของสถานะ’ เหตุใดพวกเขาจึงกล่าวคำพูดที่เป็นคำสอน? เหตุใดพวกเขาจึงไม่ยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า? เพราะในหัวใจของพวกเขานั้นมีเพียงสถานะและชื่อเสียงในสังคมเท่านั้น—ไม่มีพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ผู้คนดังกล่าวชื่นชูสถานะและสิทธิอำนาจ ชื่อเสียงในสังคมมีความสำคัญต่อพวกเขาอย่างมหาศาล ชื่อเสียงในสังคมและสถานะได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขาไปแล้ว พระเจ้าขาดหายไปจากหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเชื่อฟังพระองค์ ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือยกย่องตัวเอง เป็นพยานยืนยันให้ตัวเอง และโอ้อวดเพื่อให้ได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ บ่อยครั้งที่พวกเขาคุยโวเกี่ยวกับตัวเอง เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป ว่าพวกเขาได้ทนทุกข์มามากเท่าใด ว่าพวกเขาได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างไร ว่าพวกเขาอดกลั้นเพียงใดเมื่อพวกเขาถูกจัดการ ทั้งหมดก็เพื่อที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจและความเลื่อมใสจากผู้คน ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้คนชนิดเดียวกันกับพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาเดินบนเส้นทางของเปาโล แล้วปลายทางสุดท้ายของพวกเขาคืออะไร? (พวกเขากลายเป็นศัตรูของพระคริสต์และถูกกำจัดทิ้ง)” (“เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา คนเราต้องมีเส้นทางการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) จากพระวจนะของพระเจ้าผมเห็น ว่าผมจำเป็นที่จะต้องเปิดหัวใจและแบ่งปันประสบการณ์จริง พูดอย่างเปิดเผย หลีกเลี่ยงคำพูดที่ว่างเปล่าและคำพูดซ้ำซากที่ไร้ประโยชน์เพื่ออวดโอ้ ผู้นำที่แท้จริงแบ่งปันประสบการณ์ความเข้าใจของตนเกี่ยวกับพระวจนะ ชี้นำผู้อื่นให้เข้าใจความจริงและนำพาพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์ ศัตรูของพระคริสต์สามัคคีธรรมคำพูดที่ว่างเปล่าเพื่ออวดโอ้ เพื่อการสรรเสริญและความเลื่อมใส และเพื่อนำพาผู้อื่นมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาเอง สำหรับตัวผมเองแล้ว ผมก็แค่กำลังพรั่งพรูทฤษฎีที่ว่างเปล่า โดยไม่ได้ให้เส้นทางของการปฏิบัติแก่ผู้คน ผมยังไม่ได้แก้ไขปัญหาจริงอันใดเลย ผมไม่ได้มุ่งหมายให้พวกเขาเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะ แต่เพื่อให้พวกเขาเลื่อมใสผม ผลสืบเนื่องที่ตามมาของการอวดโอ้นั้นชัดเจนมาก คนอื่นๆ ชื่นชมยกย่องผม และไม่ได้เป็นพยานให้พระวจนะ แต่กลับใช้สามัคคีธรรมของผมอ้างอิงแทน ผู้คนมักจะพูดสิ่งทั้งหลายอย่างเช่น “ต้องขอบคุณการสามัคคีธรรมของมัทธิเออ” หรือไม่ก็ “เหมือนกันไม่มีผิดกับที่มัทธิเออพูด” ผมคิดถึงการที่เปาโลเอาหน้าอยู่เสมอและไม่เป็นพยานให้พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า นั่นทำให้ผู้เชื่อยกยอและเป็นพยานให้คำพูดของเปาโลเป็นเวลา 2,000 ปี ผมไม่ได้กำลังทำสิ่งเดียวกันกับเปาโล และอยู่บนเส้นทางศัตรูพระคริสต์ที่ต่อต้านพระเจ้าหรอกหรือ? ผมรู้สึกกลัวจริงๆ และเกลียดชังตัวเองจริงๆ ผมกล่าวคำอธิษฐานว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ทำความผิดเดียวกัน พระวจนะของพระองค์แสดงหนทางแก่ข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ยังคงติดตามซาตานอยู่ดี สนองความเหลิงในลาภยศ ข้าพระองค์เล่นบทของซาตานอีกแล้ว ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วยเถิด!”
เย็นวันหนึ่งขณะที่กำลังตระเตรียมสำหรับการชุมนุม ผมเห็นบทตอนนี้ ความว่า “สิ่งใดหรือคือสิ่งต้องห้ามอันใหญ่หลวงที่สุดในการปรนนิบัติพระเจ้าของมนุษย์? พวกเจ้ารู้หรือไม่? ผู้คนบางคนซึ่งทำหน้าที่ผู้นำนั้นมักต้องการลองพยายามที่จะแตกต่าง ที่จะอยู่เหนือคนอื่นที่เหลืออย่างเห็นได้ชัด และที่จะขบคิดเล่ห์กลใหม่บางอย่างที่จะทำให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่า จริงๆ แล้วพวกเขามีความสามารถเพียงใด อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่มุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเขากำลังลองพยายามอยู่เสมอที่จะอวดตัว นี่มิใช่การเปิดเผยธรรมชาติอันโอหังอย่างแน่ชัดหรอกหรือ?…ในการรับใช้พระเจ้านั้น ผู้คนปรารถนาที่จะก้าวยาวไปข้างหน้า ทำสิ่งทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่ กล่าวคำพูดที่ยิ่งใหญ่ ปฏิบัติงานที่ยิ่งใหญ่ จัดการพบปะที่ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ หากเจ้ามีความทะเยอทะยานอันโอฬารเช่นนั้นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า ผู้คนที่ทำการนี้จะตายอย่างรวดเร็ว หากเจ้าไม่ประพฤติดี ไม่เปี่ยมศรัทธา และไม่สุขุมรอบคอบในการปรนนิบัติพระเจ้าของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าย่อมจะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์” (“หากปราศจากความจริง คนเราย่อมหมิ่นเหม่ที่จะล่วงเกินพระเจ้า” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะเหล่านี้ทิ้งให้ผมเป็นอัมพาต โดยผ่านทางการเปิดเผยนี้ ผมเห็นความอยากความมักใหญ่ใฝ่สูงที่จะสัมฤทธิ์สิ่งยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ผมต้องการเป็นประธานคุมการชุมนุมเพื่ออวดแสดงคารมคมคาย ผมชอบที่จะอวดตัวและไม่เคยเสียโอกาสเหมาะที่จะทำเช่นนั้นเลย ผมต้องการให้คนอื่นเลื่อมใสและพูดว่า “พี่น้องชายมัทธิเออจัดการชุมนุมที่วิเศษจริงๆ! ไม่มีผู้นำคนไหนที่ดีกว่าเขา!” ด้วยความที่ถูกความอยากเหล่านี้ขับเคลื่อน ผมจึงวิ่งวุ่นจากการชุมนุมที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ทำงาน ชุมนุม แก้ไขปัญหา ผมชอบภาวะการเป็นผู้นำประเภทนั้น แต่เมื่อผมได้อ่านว่า “หากเจ้ามีความทะเยอทะยานอันโอฬารเช่นนั้นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า ผู้คนที่ทำการนี้จะตายอย่างรวดเร็ว” ผมตัวสั่นเทา และรู้สึกถึงสำนึกของความกลัวลึกลงไปในหัวใจ คิดว่าตนเป็นที่พึงพอพระทัยตลอดมา แต่ตระหนักแล้วว่าผมกำลังทำให้ทรงขยะแขยง ผมแค่ต้องการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ประกาศสิ่งที่สูงส่งเลิศเลอ ผมก็แค่ต้องการที่จะทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ประกาศบางสิ่งที่สูงส่งเลิศเลอ ผมไม่ได้รับแรงจูงใจโดยการเป็นพยานต่อพระเจ้าหรือการปฏิบัติตามความจริง และผมก็ไม่ได้กำลังรับภาระสำหรับชีวิตของเหล่าพี่น้องชายหญิง นั่นล้วนเป็นไปเพื่อยกย่องตัวเองและมีที่ที่พิเศษในหัวใจของคนอื่นๆ นั่นเป็นการล่วงเกินประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า ซึ่งระบุว่า “มนุษย์ไม่ควรเชิดชูตัวเองและไม่ควรยกย่องตัวเอง เขาควรนมัสการและยกย่องพระเจ้า” “ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรเชื่อฟังพระเจ้าและนมัสการพระองค์ จงอย่ายกย่องหรือนิยมบูชาบุคคลใด จงอย่าวางพระเจ้าเป็นลำดับแรก ผู้คนที่เจ้าเคารพนับถือเป็นลำดับที่สอง และตัวเจ้าเองเป็นลำดับที่สาม ไม่มีบุคคลใดที่ควรมีความสำคัญในหัวใจของเจ้า และเจ้าไม่ควรพิจารณาผู้คน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่เจ้าเคารพเทิดทูน—ว่าเสมอกับพระเจ้าหรือเทียบเท่าพระองค์ นี่เป็นเรื่องที่มิอาจทนยอมรับได้สำหรับพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง) นั่นไม่ใช่แค่การยกย่องตนเองซึ่งล่วงเกินประกาศกฤษฎีกาบริหาร แต่แย่กว่านั้นอีก ผมทำให้ผู้อื่นไปอยู่บนเส้นทางที่ผิดและต้านทานพระเจ้าเพราะการเลื่อมใสบุคคลคนหนึ่ง ผลสืบเนื่องนั้นร้ายแรง และจะทำให้พระเจ้ากริ้วอย่างแน่นอนที่สุด ผมหวาดกลัว ว่าพระเจ้าอาจไม่ทรงยกโทษผมที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยพระองค์ ผมระทมทุกข์ อธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์เจ็บปวดจริงๆ ข้าพระองค์ไม่รู้ตัวว่ากำลังปลุกปั่นพระพิโรธ ข้าพระองค์ต้องการกลับใจ ได้โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้เข้าใจน้ำพระทัยด้วยเถิด”
ในขณะที่หลงทางอยู่ในความกลัว ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ความว่า “วันนี้ พระเจ้าทรงพิพากษาพวกเจ้า ตีสอนพวกเจ้า และกล่าวโทษพวกเจ้า แต่เจ้าต้องรู้ว่าประเด็นของการกล่าวโทษพวกเจ้าคือ เพื่อให้เจ้ารู้จักตัวเอง พระองค์ทรงกล่าวโทษ สาปแช่ง พิพากษา และตีสอน ก็เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้จักตัวเจ้าเอง เพื่อที่อุปนิสัยของเจ้าอาจจะเปลี่ยนแปลง และที่ยิ่งไปมากกว่านั้นก็คือ เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้คุณค่าของเจ้าเอง และมองเห็นว่าการกระทำทั้งหมดของพระเจ้านั้นชอบธรรมและเป็นไปโดยสอดคล้องกับพระอุปนิสัยของพระองค์และข้อพึงประสงค์ทั้งหลายแห่งพระราชกิจของพระองค์ มองเห็นว่าพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจโดยสอดคล้องกับแผนการของพระองค์เพื่อความรอดของมนุษย์ และมองเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรม ผู้ซึ่งทรงรัก ทรงช่วยให้รอด ทรงพิพากษา และทรงตีสอนมนุษย์ หากเจ้ารู้เพียงว่าเจ้ามีสถานะอันต่ำต้อย รู้เพียงว่าเจ้าเสื่อมทรามและไม่เชื่อฟัง แต่ไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเผยชัดถึงความรอดของพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนที่พระองค์ทรงกระทำในตัวเจ้าในวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่มีหนทางใดเลยที่จะได้รับประสบการณ์ นับประสาอะไรที่เจ้าจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อประหัตประหารหรือทำลายล้าง แต่เพื่อพิพากษา สาปแช่ง ตีสอน และช่วยให้รอด จนกว่าแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์จะมาถึงจุดปิดตัว—ก่อนที่พระองค์จะทรงเปิดเผยบทอวสานของมนุษย์แต่ละหมวดหมู่—พระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของความรอด จุดประสงค์ทั้งมวลของพระราชกิจก็คือการทำให้ผู้ที่รักพระองค์มีความครบบริบูรณ์—อย่างถ้วนทั่วเช่นนั้น—และเพื่อนำพาพวกเขาเข้ามาอยู่ในความนบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละวางพรเกี่ยวกับสถานะลงและทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษย์) การอ่านบทตอนนี้ทำให้ผมมีสำนึกแห่งสันติสุข ผมคิดว่าได้ล่วงเกินพระเจ้าแล้วในหนทางที่ไม่สามารถให้อภัยได้ แต่ไม่ใช่กรณีเช่นนั้น พระเจ้ากำลังทรงบ่มวินัยผม มิได้ทรงเกลียดชังผม แต่ทรงหวังให้ผมเปลี่ยนแปลง ผมสามารถมองเห็นความชอบธรรม ความยอมผ่อนปรนและการให้อภัยของพระองค์ ผมรู้ว่าครั้งนี้จำเป็นที่จะต้องแสวงหาความจริงและแก้ไขความเสื่อมทรามของผม
ผมได้อ่านพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง ความว่า “ในฐานะบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง อันดับแรก เจ้าต้องตีแผ่หัวใจของเจ้าเพื่อให้ทุกคนสามารถมองเข้าไปในหัวใจของเจ้า เห็นทั้งหมดที่เจ้ากำลังคิด และเหลือบมองใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า เจ้าต้องไม่พยายามที่จะอำพรางตนเองหรือหุ้มห่อตัวเจ้าให้ดูดี ถึงตอนนั้นเท่านั้น ผู้คนจึงจะไว้วางใจเจ้า และพิจารณาว่าเจ้าซื่อสัตย์ นี่เป็นการฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด และเป็นสิ่งพื้นฐานที่ต้องมีก่อนการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง เจ้ากำลังเสแสร้งอยู่ตลอดเวลา แสร้งแสดงความบริสุทธิ์ ความมีคุณธรรม ความยิ่งใหญ่อยู่เสมอ และแสร้งแสดงคุณสมบัติทางศีลธรรมอันสูงส่ง เจ้าไม่ปล่อยให้ผู้คนมองเห็นความเสื่อมทรามของเจ้าและการล้มเหลวทั้งหลายของเจ้า เจ้านำเสนอภาพลักษณ์ที่เป็นเท็จต่อผู้คนเพื่อให้พวกเขาเชื่อว่าเจ้านั้นน่ายกย่องนับถือ ยิ่งใหญ่ เสียสละ ไม่แบ่งฝ่ายและไม่เห็นแก่ตัว นี่คือความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง จงอย่าสวมหน้ากากปลอมแปลงตน และจงอย่าหุ้มห่อตัวเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้นจงตีแผ่ตัวเจ้าและหัวใจของเจ้าเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็น หากเจ้าสามารถตีแผ่หัวใจของเจ้าเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็น และตีแผ่ความคิดและแผนการทั้งหมดของเจ้า—ทั้งด้านบวกและด้านลบ—เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่ใช่กำลังมีความซื่อสัตย์อยู่หรอกหรือ? หากเจ้าสามารถตีแผ่ตัวเจ้าเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็น เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทรงมองเห็นเจ้าด้วยเช่นกัน และตรัสว่า ‘เจ้าได้ตีแผ่ตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็น และดังนั้น แน่นอนว่า เจ้าย่อมซื่อสัตย์ต่อหน้าเราด้วยเช่นกัน’ หากเจ้าเพียงตีแผ่ตัวเองต่อพระเจ้าในตอนที่อยู่นอกสายตาของผู้คนอื่น และเสแสร้งทำเป็นยิ่งใหญ่และมีคุณธรรม หรือเป็นธรรม และไม่เห็นแก่ตัวเมื่ออยู่ในกลุ่มพวกพ้องของพวกเขา เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงดำริและตรัสสิ่งใดเล่า? พระองค์จะตรัสว่า ‘เจ้าช่างเปี่ยมด้วยเล่ห์ลวงอย่างจริงแท้ เจ้าเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอกและกระจอกอย่างถ้วนทั่ว และเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง’ พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษเจ้าด้วยเหตุนั้น หากเจ้าปรารถนาที่จะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งมีความซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรืออยู่ต่อหน้าผู้คนอื่นใดในเวลาใดก็ตาม เจ้าก็ควรมีความสามารถที่จะจัดเตรียมคำอธิบายอันถ่องแท้และเปิดกว้างถึงสิ่งที่สำแดงในตัวเจ้า และเกี่ยวกับคำพูดในหัวใจของเจ้า การนี้ง่ายที่จะสัมฤทธิ์หรือไม่? พึงต้องใช้เวลา พึงต้องใช้การต่อสู้ดิ้นรนภายใน และพวกเราต้องปฏิบัติอยู่เนืองนิตย์ หัวใจของพวกเราจะเปิดออกและพวกเราจะมีความสามารถที่จะตีแผ่ตัวพวกเราเองทีละน้อยๆ” (“การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) บทตอนนี้ช่วยผมให้เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ต่อผม พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้ผมเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ ผมต้องเรียนรู้ที่จะเปิดโปงความเสื่อมทรามและความคิดที่ซื่อสัตย์ของผมเพื่อให้ คนอื่นสามารถมองเห็นผมลำบากอ่อนแอ หากผมยกย่องตัวเองเรื่อยไปโดยไม่เปิดเผยความล้มเหลวและจุดอ่อน แต่แค่สร้างสมภาพลักษณ์จอมปลอมผ่านทางสามัคคีธรรมของผม นั่นคงจะเป็นคำโกหก นั่นคงไม่เป็นการซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นหรือพระเจ้า ผมได้เห็นในวันนั้นว่าความซื่อสัตย์นั้นจำเป็นอย่างที่สุด ผมยังได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับแนวคิดที่ผิดพลาดของผมเองอีกด้วย ผมคิดว่าผู้นำควรเป็นบุคคลที่เป็นวีรบุรุษโดยปราศจากความอ่อนแอ เหมือนผู้อำนวยการบางคนไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม อยู่บนขั้นบันไดที่สูงกว่าคนอื่นๆ ดีกว่าคนอื่นๆ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ พระเจ้าทรงต้องประสงค์ผู้คนที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์ ผู้คนดังกล่าวสามารถเปิดกว้างเกี่ยวกับข้อผิดพลาดของพวกเขาได้ พวกเขารักและปฏิบัติตามความจริง พวกเขามุ่งเน้นไปที่การเข้าสู่ชีวิตของเหล่าพี่น้องชายหญิง และแสวงหาหลักธรรมเกี่ยวกับความจริง ไม่เสาะแสวงที่จะลุล่วงความมักใหญ่ใฝ่สูง ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกว่าท่านอาจารย์ เพราะพวกท่านมีพระอาจารย์เพียงผู้เดียว และพวกท่านทุกคนเป็นพี่น้องกัน…อย่าให้ใครเรียกท่านทั้งหลายว่าบรมครู เพราะว่าบรมครูของพวกท่านมีเพียงผู้เดียวคือพระคริสต์ คนที่เป็นใหญ่ในพวกท่านย่อมต้องปรนนิบัติท่าน ใครยกตัวขึ้น จะต้องถูกทำให้ต่ำลง ใครถ่อมตัวลง จะได้รับการยกขึ้น” (มัทธิว 23:8-12) ผมได้แสร้งสวมบทบาทตลอดเวลาในฐานะผู้นำ หวังว่าผู้คนจะชื่นชูผม ผมอยู่ห่างไกลจริงๆ จากสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ ผู้นำเล่นบทของผู้รับใช้ ผู้รับใช้ที่มีความรับผิดชอบมหาศาล และจำเป็นต้องจำให้ขึ้นใจเสมอว่าความรับผิดชอบ ก็คือการให้น้ำเกื้อหนุนเหล่าพี่น้อง และแสวงหาความจริงเพื่อช่วยพวกเขาแก้ปัญหา ผู้นำไม่ใช่เจ้าหน้าที่และไม่อยู่เหนือผู้อื่นใด พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง และพวกมนุษย์ทั้งหมดก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่สำคัญว่าจะมีตำแหน่งอะไร พวกเราทุกคนควรนมัสการพระผู้สร้าง ในชั่วขณะนั้นผมก็เข้าใจบทบาทและความรับผิดชอบของผม ว่าผมควรอยู่ในที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและทำหน้าที่อย่างถูกต้องเหมาะสม นับจากจุดนั้นมา กรอบความคิดของผมเปลี่ยนไป ผมเริ่มพยายามที่จะซื่อสัตย์ เมื่อสังเกตเห็นว่าผมกำลังยกย่องตัวเอง ผมก็จะเปิดกว้าง และเปิดโปงความเสื่อมทรามและข้อผิดพลาดของผม บางครั้งนั่นก็เจ็บปวด แต่นั่นก็แสดงให้ผมเห็นว่าจริงๆ แล้วผมไม่ซื่อสัตย์เพียงใด ผมเล่นเกมมากมายเหลือเกินและหลอกลวงคนอื่นๆ มากเหลือเกิน ยิ่งเปิดกว้างมากขึ้นเท่าใด ผมก็ยิ่งเห็นตัวตนที่แท้จริงและวุฒิภาวะที่แท้จริงของผมมากขึ้นเท่านั้น ผมตระหนักว่าตัวเองไม่ใช่สิ่งใดเลย ในการสามัคคีธรรมทั้งหมดของผม ผมได้วางตัวเองไว้สูงมาตลอด หนุนใจและช่วยเหลือผู้คนด้วยคำสอน แต่มาตอนนี้ผมเริ่มแบ่งปันสภาวะที่แท้จริงกับเหล่าพี่น้องชายหญิง ด้วยการจริงใจเปิดเผย ผมได้มีความลำบากยากเย็นเดียวกันกับที่พวกเขาเคยมี ความเสื่อมทรามประเภทเดียวกันกับที่พวกเขาเคยมี และผมเป็นผู้นำ แต่พวกเราก็เป็นเหมือนๆ กัน พวกเราก็แค่มีหน้าที่ที่แตกต่างกัน เวลาที่ทำเช่นนี้ ผมไม่ได้รู้สึกหลักแหลมกว่าคนอื่นๆ แต่อย่างใดเลย แต่ผมกลับสามารถได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกเขาแทน และได้รับความรู้แจ้งจากการสามัคคีธรรมของคนอื่นๆ ผมแทบจะไม่ได้ให้ความสนใจกับการสามัคคีธรรมของคนอื่นๆ มาก่อน ทึกทักเอาอย่างโอหังว่าผมเป็นผู้ที่จัดเตรียมความรู้แจ้งสำหรับคนอื่นๆ ผมได้พัฒนาสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดขึ้นกับคนอื่นก็เพราะพระวจนะ ผมจึงได้เข้าใจและสามารถมองเห็นสภาวะที่จริงแท้ของพวกเขา การจัดการเตรียมการของพระเจ้าเปิดโอกาสให้ผมได้รับจากพวกเขามากมาย ในขณะที่ผมกำลังช่วยพวกเขาอยู่ ผมเรียนรู้หลายสิ่งเหลือเกินผ่านการสามัคคีธรรมร่วมกันของพวกเรา ผมหยุดที่จะหยิ่งผยองและคิดว่าตนสำคัญ ผมปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างเป็นปกติมีเหตุผลขึ้น เสมือนเท่าเทียมกัน บางครั้งตอนแบ่งปันสามัคคีธรรมกัน ผมก็จะลืมสถานะผู้นำของตัวเองไปเลย ผมสำนึกบุญคุณพระเจ้ายิ่งนักที่ผมเปลี่ยนไปแบบนี้
บางครั้งผมยังคงจับได้ว่าตัวเองนั้นอวดโอ้ ซึ่งทำให้ผมเห็นว่าซาตานทำผมเสื่อมทรามดิ่งลึกเพียงใด นั่นไม่ใช่แค่สิ่งที่่ผ่านไป แต่รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณ โดยกำเนิด หากปราศจากเสบียงแห่งความจริง หากปราศจากการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ผมก็คงจะได้คอยควบคุมและแย่งชิงเหล่าพี่น้องชายหญิงกับพระเจ้าเรื่อยไป นั่นคือข้อเท็จจริง การล้มเหลวที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นภัยอันตรายจริงๆ ความจริงเท่านั้นเองที่ช่วยทำให้ผมเป็นอิสระจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน หากปราศจากความจริง ผมคงกลายเป็นศัตรูพระคริสต์ไปแล้ว เพราะการทรงนำของพระเจ้า ผมจึงได้แปรเปลี่ยนมุมมอง จนผมมีทัศนะถ่องแท้มากขึ้นเกี่ยวกับหน้าที่ผู้นำ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นอีกก็คือ พระเจ้ากำลังทรงช่วยผมให้รอดจากการถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานควบคุม ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย โรซาลี, ประเทศเกาหลีใต้วันพุธที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2022 ฟ้าโปร่งวันนี้ฉันได้เริ่มต้นหน้าที่ใหม่ นั่นคืองานที่เกี่ยวกับต้นฉบับ...
โดย อันจิ้ง ประเทศจีน ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2017 ฉันได้รับหน้าที่ให้น้ำในคริสตจักร...
โดย ซินรุ่ย ประเทศเกาหลีใต้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ...
โดย ซินเฉิง ประเทศจีน ฉันเคยอ่านนิยายของนักเขียนญี่ปุ่น ที่เป็นเรื่องราว ของพนักงานขายที่สามารถขาย เซรั่มปลูกผม ยาย้อมผม แว็กซ์จัดทรงผม...