พระวจนะว่าด้วยการรับใช้พระเจ้า

บทตัดตอน 70

หากว่าในฐานะผู้นำคริสตจักรหรือคนทำงาน เจ้าต้องนำทางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และเป็นคำพยานที่ดีให้พระเจ้า ที่สำคัญที่สุดคือนำผู้คนให้ใช้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมถึงความจริงในทางนี้มากขึ้น เพื่อให้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถมีความรู้อันลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอดและจุดประสงค์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า และสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ อันเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เมื่อเจ้าชุมนุมเพื่อสามัคคีธรรมและเทศนา เจ้าต้องพูดถึงคำพยานเชิงประสบการณ์ของเจ้าในแบบที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และไม่พอใจอยู่กับการประกาศคำพูดและคำสอน  เมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าต้องมุ่งเน้นไปที่การเข้าใจความจริง และทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริง เจ้าต้องพยายามนำความจริงไปปฏิบัติ และเฉพาะเมื่อเจ้าปฏิบัติความจริงเท่านั้น เจ้าจึงจะเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง  เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า จงพูดสิ่งที่เจ้ารู้  จงอย่าโอ้อวด จงอย่าพูดจาไร้ความรับผิดชอบ จงอย่าเพียงแต่กล่าวคำพูดและคำสอน และจงอย่าพูดเกินจริง  หากเจ้าพูดเกินจริง ผู้คนจะรังเกียจเจ้า และเจ้าจะรู้สึกถูกตำหนิในภายหลัง และเจ้าจะรู้สึกสำนึกผิดและรำคาญใจ—และเจ้าจะหาเรื่องทั้งหมดนี้ใส่ตัวเจ้าเอง  หากเจ้าเพียงเทศนาคำพูดและคำสอนเพื่อสั่งสอนและตัดแต่งพวกเขา เจ้าจะสามารถทำให้ผู้คนเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้หรือไม่?  หากสิ่งที่เจ้าสามัคคีธรรมนั้นไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หากสิ่งนั้นไม่มีอะไรนอกจากคำพูดและคำสอน เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะตัดแต่งและสั่งสอนพวกเขามากเพียงใด การนั้นย่อมจะไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด  เจ้าคิดหรือว่าการที่ผู้คนกลัวเจ้า และทำสิ่งที่เจ้าบอกให้พวกเขาทำ และไม่กล้าคัดค้านนั้น เป็นอย่างเดียวกันกับการที่พวกเขาเข้าใจความจริงและนบนอบหรือไม่?  นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ การเข้าสู่ชีวิตไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้น  ผู้นำบางคนเป็นเหมือนผู้จัดการคนใหม่ที่พยายามสร้างความประทับใจที่แข็งแกร่ง พวกเขาพยายามบังคับใช้สิทธิอำนาจที่เพิ่งได้มากับผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เพื่อให้ทุกคนนบนอบพวกเขา โดยคิดว่านี่จะทำให้งานของพวกเขาง่ายขึ้น  หากเจ้าขาดพร่องความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นแล้ว ในไม่ช้าวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้าก็จะถูกเปิดเผย ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าจะถูกเปิดโปง และเจ้าอาจถูกกำจัดออกไปก็เป็นได้  ในงานบริหารบางอย่าง การตัดแต่ง และการบ่มวินัยเล็กน้อยเป็นที่ยอมรับได้  แต่หากเจ้าไม่สามารถสามัคคีธรรมถึงความจริง สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้อยู่ดี และนั่นจะกระทบกระเทือนผลของงาน  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในคริสตจักร หากเจ้ายังคงสั่งสอนผู้คนและโยนความผิดต่อไป—หากทั้งหมดที่เจ้าทำอยู่เสมอคือการกระทำด้วยลักษณะท่าทางที่อารมณ์ร้าย—เช่นนั้นแล้วนี่ก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ากำลังเผยตัวออกมา และเจ้าก็แสดงโฉมหน้าอันอัปลักษณ์แห่งความเสื่อมทรามของเจ้าออกมาแล้ว  หากเจ้าขึ้นไปยืนบนแท่นสูงและสั่งสอนผู้คนอยู่เสมอดังนี้ เช่นนั้นแล้วเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนจะไม่สามารถได้รับการจัดหาชีวิตจากเจ้า พวกเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง กลับจะรังเกียจเดียดฉันท์เจ้า และขยะแขยง  นอกจากนั้นจะมีผู้คนบางคนที่ได้รับอิทธิพลจากเจ้าเนื่องจากขาดพร่องวิจารณญาณ ผู้คนเหล่านี้จะสั่งสอนผู้อื่นและตัดแต่งพวกเขาเช่นเดียวกัน  พวกเขาจะโกรธและอารมณ์เสียเช่นเดียวกัน  เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของผู้คนได้เท่านั้น—แต่เจ้ายังส่งเสริมอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาอีกด้วย  และนั่นไม่ใช่การนำทางพวกเขาไปยังเส้นทางสู่ความพินาศหรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่การกระทำความชั่วหรอกหรือ?  ผู้นำควรนำทางโดยการสามัคคีธรรมความจริงและการจัดเตรียมชีวิตเป็นหลัก  หากเจ้าขึ้นไปยืนบนแท่นสูงและสั่งสอนผู้อื่นอยู่เสมอ พวกเขาจะสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  หากเจ้าทำงานในหนทางนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อผู้คนเริ่มเห็นเจ้าอย่างชัดเจนในสิ่งที่เจ้าเป็น พวกเขาก็จะละทิ้งเจ้าไป  เจ้าสามารถนำผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยการทำงานในลักษณะนี้ได้หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน ทั้งหมดที่เจ้าทำได้ก็คือการทำให้งานของคริสตจักรเสื่อมเสีย และทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งหมดเกลียดเจ้าและละทิ้งเจ้า ในอดีตมีผู้นำและคนทำงานบางคนที่ถูกกำจัดออกไปเพราะเหตุนี้  พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นจริงได้ ไม่สามารถชักนำให้ผู้คนกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าได้ หรือไม่สามารถชักนำให้ผู้คนเข้าใจตนเองได้  พวกเขาไม่ได้ทำงานที่สำคัญนี้เลย พวกเขาเพียงมุ่งความสนใจไปที่การวางตัวพวกเขาเองไว้บนแท่นสูง พร้อมทั้งสั่งสอนผู้คน และออกคำสั่ง พลางคิดว่าโดยการทำเช่นนี้ พวกเขากำลังทำงานของผู้นำคริสตจักร  ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาไม่ได้ดำเนินการตามการจัดแจงเตรียมงานที่ออกโดยเบื้องบน ต่อให้พวกเขารู้ถึงการจัดแจงเตรียมงานเหล่านั้นก็ตาม และพวกเขาก็ไม่ได้ทำงานที่เฉพาะเจาะจงให้ดีด้วย  ทั้งหมดที่พวกเขาทำนอกเหนือจากการพ่นคำพูดและคำสอนทั้งหลายและการตะโกนคำขวัญทั้งหลายก็คือการวางตัวพวกเขาเองไว้บนแท่นสูง และสั่งสอนและตัดแต่งผู้คนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า  การกระทำเช่นนี้ทำให้ทุกคนหวาดกลัว และหลีกเลี่ยงผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ และผู้คนก็ไม่กล้ารายงานปัญหาทั้งหลายให้พวกเขารับรู้  โดยการปฏิบัติตนในหนทางนี้ ผู้นำและคนทำงานก็ทำให้งานของพวกเขาเสียหายและนำงานไปสู่การหยุดนิ่ง  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าปลดพวกเขาออกเท่านั้น พวกเขาจึงตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้ทำงานที่แท้จริงเลย  บางทีพวกเขาอาจรู้สึกสำนึกผิดมาก แต่ความเสียใจนั้นไม่มีประโยชน์อะไร  พวกเขายังคงถูกปลดและถูกกำจัดออกไปอยู่ดี

บทตัดตอน 71

พวกเจ้าทุกคนต่างต้องการที่จะเพียรพยายามเพื่อความจริง  ในอดีตเจ้าทุ่มเทความพยายามบางส่วนยามกลั่นกรองแง่มุมต่างๆ ของความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  บางคนได้รับประโยชน์เล็กน้อยจากการนี้ ขณะที่คนอื่นเพียงชอบทำตามกฎเกณฑ์และหลงเจิ่นไป  ผลก็คือพวกเขานำแต่ละแง่มุมของความจริงมาเปลี่ยนเป็นกฎเกณฑ์เพื่อปฏิบัติตาม  เมื่อพวกเจ้าถอดความความจริงเช่นนี้ เจ้าไม่ได้กำลังช่วยให้ผู้อื่นได้รับชีวิตหรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาจากภายในความจริง แต่เจ้ากำลังทำให้พวกเขาเชี่ยวชาญความรู้หรือคำสอนบางอย่างภายในความจริงนั้น  ราวกับว่าพวกเขาเข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า แต่ที่จริงแล้วพวกเขาแค่เชี่ยวชาญคำสอนและคำพูดไม่กี่คำเท่านั้น พวกเขาไม่เข้าใจความหมายที่มีอยู่ในความจริง  นี่ก็เหมือนกับการศึกษาเทววิทยาหรือพระคัมภีร์ หลังจากสรุปความรู้ทางพระคัมภีร์และทฤษฎีทางเทววิทยาไปบางส่วน ผู้คนก็ได้รับเพียงความเข้าใจในความรู้และทฤษฎีทางพระคัมภีร์เท่านั้น  พวกเขาเชี่ยวชาญเรื่องการเอ่ยคำพูดและคำสอนเหล่านั้นที่สุด แต่กลับไม่มีประสบการณ์จริงเลย  พวกเขาไม่มีความเข้าใจในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองและแทบไม่มีความเข้าใจในพระราชกิจของพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ  สุดท้ายแล้วสิ่งที่คนเหล่านี้ได้รับก็เป็นแค่คำสอนและความรู้เพียงไม่กี่เรื่อง นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่มากมายเท่านั้น  พวกเขาไม่ได้รับสิ่งใดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย  หากพระเจ้าทรงพระราชกิจใหม่ ผู้คนเหล่านี้จะสามารถยอมรับและนบนอบพระราชกิจนั้นได้หรือไม่?  เจ้าสามารถนำพระราชกิจมาจับคู่กับความจริงที่ถอดความออกมาได้หรือไม่?  หากเจ้าทำได้ อีกทั้งยังมีความเข้าใจอยู่บ้าง เช่นนั้นแล้วสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้ถอดความออกมาก็ย่อมสัมพันธ์กับชีวิตจริงในระดับหนึ่ง  หากเจ้าไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นสิ่งทั้งหลายที่เจ้าถอดความออกมาได้ก็เป็นเพียงกฎเกณฑ์และไร้ซึ่งคุณค่า  เมื่อเป็นเช่นนั้น การถอดความความจริงในหนทางนี้เหมาะสมหรือไม่?  การนี้สามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  หากการนี้ไม่เกิดผลอันใดเลย เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีความหมายโดยสิ้นเชิง  การนี้เพียงแต่ทำให้ผู้คนศึกษาเทววิทยา  ไม่ได้ทำให้พวกเขามีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  นั่นเป็นเหตุผลที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องมีหลักธรรมเวลาเรียบเรียงหนังสือ  หนังสือเหล่านั้นต้องสามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงได้โดยง่าย มีเส้นทางในการเข้าสู่ และมีความสว่างภายในหัวใจของพวกเขา  สิ่งนี้ทำให้การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเป็นเรื่องง่าย  เจ้าไม่อาจเป็นเหมือนพวกคนในศาสนาผู้ศึกษาความรู้ทางพระคัมภีร์และเทววิทยาอย่างเป็นระบบ  การทำเช่นนั้นจะได้แต่นำผู้คนเข้าหาความรู้ทางพระคัมภีร์ พิธีกรรมทางศาสนา และกฎเกณฑ์ รวมทั้งจำกัดความคิดของพวกเขาเท่านั้น  ไม่สามารถนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อเข้าใจความจริงและน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  เจ้าคิดว่าโดยการถามคำถามไปทีละบรรทัดแล้วตอบคำถามเหล่านั้น หรือโดยการสรุปประเด็นหลักแล้วย่อและถอดความความจริงออกมาในไม่กี่บรรทัดจะทำให้ประเด็นเหล่านี้ชัดเจนในตัวเอง และทำให้เข้าใจง่ายสำหรับพี่น้องชายหญิงทั้งหลายของเจ้า  เจ้าคิดว่านี่คือวิธีการที่ดี  อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผู้คนอ่านจบ พวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายที่อยู่ภายในความจริง พวกเขาจะไม่มีวันจับคู่ความหมายกับความเป็นจริงได้  สิ่งเดียวที่พวกเขาเชี่ยวชาญก็คือคำพูดและคำสอนเพียงไม่กี่คำ  ด้วยเหตุนี้การไม่ทำสิ่งเหล่านี้ย่อมดีเสียกว่า!  การทำสิ่งเหล่านี้เป็นหนทางในการนำผู้คนให้เข้าใจและเชี่ยวชาญในความรู้  เจ้ากำลังนำผู้คนไปสู่คำสอนและศาสนา และทำให้พวกเขาเชื่อและติดตามพระเจ้าในบริบทของคำสอนทางศาสนา  นี่คือไม่ใช่เส้นทางที่เปาโลนำพาผู้คนให้เข้าใจกับการเชื่อในพระเจ้าของตนอย่างแจ่มแจ้งหรือ?  พวกเจ้าคิดว่าการเข้าใจคำสอนทางฝ่ายวิญญาณมีความสำคัญเป็นพิเศษ แต่การมารู้จักพระวจนะของพระเจ้านั้นไม่สำคัญ  นี่คือความผิดพลาดอย่างร้ายแรง  มีผู้คนมากมายที่มุ่งเน้นว่าพวกเขาสามารถจดจำพระวจนะของพระเจ้าได้มากแค่ไหน พูดถึงคำสอนได้มากเพียงใด และค้นพบหลักเกณฑ์ฝ่ายวิญญาณได้มากขนาดไหน  นี่คือเหตุผลที่พวกเจ้าต้องการกลั่นกรองทุกแง่มุมของความจริงอย่างเป็นระบบอยู่เสมอเพื่อให้ทุกคนพูดสิ่งเดียวกันโดยพร้อมเพรียง ท่องคำสอนเดียวกัน มีความรู้อย่างเดียวกัน และยึดถือกฎเกณฑ์เดียวกัน  นี่คือเป้าหมายของพวกเจ้า  จึงดูเหมือนพวกเจ้าทำสิ่งนี้เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงได้ดีขึ้น แต่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังนำผู้คนไปสู่กฎเกณฑ์ทางคำสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า และไม่รู้ว่าพวกเขาจะเพียงพลัดหลงออกจากความเป็นจริงความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น  การช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงโดยแท้นั้น เจ้าต้องผสมผสานการอ่านพระวจนะของพระเจ้าเข้ากับความเป็นจริงและสภาวะอันเสื่อมทรามของผู้คน  เจ้าต้องคิดทบทวนและทำความเข้าใจปัญหาทั้งหลายภายในตัวเจ้า และคิดทบทวนถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าแสดงออกไป  จากนั้นเจ้าต้องแก้ไขสิ่งเหล่านี้ด้วยการแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นหนทางเดียวในการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงของผู้คนและทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง  เพียงการได้รับผลจากการนี้เท่านั้น พวกเจ้าจึงนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริง  หากทั้งหมดที่เจ้าพูดถึงคือทฤษฎีทางฝ่ายวิญญาณ คำสอน และกฎเกณฑ์ หากสิ่งเดียวที่เจ้ามุ่งเน้นคือการทำให้แน่ใจว่าผู้คนมีพฤติกรรมที่ดี หากทั้งหมดที่เจ้าสัมฤทธิ์ได้คือการทำให้ผู้คนพูดสิ่งเดียวกันและทำตามกฎเกณฑ์เดียวกัน แต่ไม่สามารถนำพวกเขาให้เข้าใจความจริง ก็ไม่ต้องพูดถึงการทำให้พวกเขาเข้าใจตัวเองดีขึ้นเพื่อให้พวกเขาสามารถกลับใจและเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นแล้ว ทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจก็คือคำพูดและคำสอน และเจ้าก็ไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย  ท้ายที่สุดแล้ว การเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เจ้าไม่สามารถได้รับความจริงเท่านั้น แต่เจ้าจะยังคงขัดขวางและสูญเสียตนเองไปอีกด้วย—เจ้าจะไม่สามารถได้รับสิ่งใดทั้งสิ้น

พวกเจ้าเคยสังเกตรูปแบบบางอย่างในวิธีที่พระเจ้าตรัสหรือไม่?  บางคนแสดงออกเช่นนี้ บทเสวนาของพระเจ้าทุกบทนั้นมีเนื้อหาหลากหลายแง่มุม  ความหมายของแต่ละบทตอนและแต่ละประโยคต่างกันออกไป  นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่มนุษย์จะจดจำได้ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้คนจะเข้าใจ  หากผู้คนปรารถนาที่จะสรุปแนวคิดหลักของทุกบทตอน พวกเขาจะไม่สามารถทำได้  ผู้ที่มีขีดความสามารถต่ำย่อมไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้  ไม่ว่าพวกเขาได้รับการสามัคคีธรรมด้วยวิธีใดก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าใจความจริงได้  พระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่นวนิยาย บทประพันธ์ หรืองานวรรณกรรม พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และเป็นถ้อยคำที่ให้ชีวิตแก่มนุษย์  พระวจนะเหล่านี้ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยเพียงการตรึกตรองของมนุษย์ และผู้คนไม่สามารถสรุปรูปแบบภายในพระวจนะเหล่านี้ได้ด้วยการทุ่มความพยายามเพิ่มขึ้นเล็กน้อย  นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าไม่สามารถโอ้อวด ไม่ว่าเจ้าพอมีความรู้เกี่ยวกับความจริงในแง่มุมใด และสามารถอธิบายบางอย่างได้ก็ตาม เพราะสิ่งที่เจ้าเข้าใจเป็นเพียงความรู้บางส่วนเท่านั้น  เป็นความเข้าใจเพียงแค่ผิวเผิน เป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร และแน่นอนว่ายังห่างไกลจากการเข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระเจ้า  บทเสวนาทุกบทจากพระเจ้ามีความจริงหลากหลายแง่มุม  ตัวอย่างเช่น บทเสวนาอันว่าด้วยความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า บทนี้หมายรวมถึงนัยสำคัญแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระราชกิจที่สัมฤทธิ์โดยการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และวิธีที่ผู้คนควรเชื่อในพระเจ้า  บทเสวนานี้อาจครอบคลุมไปถึงวิธีที่ผู้คนควรรู้จักและรักพระเจ้าด้วย  สิ่งนี้ครอบคลุมแง่มุมมากมายของความจริง  หากการทรงปรากฏในรูปมนุษย์มีความหมายไม่กี่ประการอย่างที่เจ้าจินตนาการ ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้หลายประโยค เช่นนั้นเหตุใดมนุษย์จึงมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้าเสมอ?  พระราชกิจของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์มีจุดมุ่งหมายที่จะสัมฤทธิ์ผลใดต่อผู้คน?  เพื่อให้ผู้คนได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและหวนคืนสู่พระองค์  สิ่งนี้เป็นไปเพื่อปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ ช่วยมนุษย์ให้รอดโดยตรง และทำให้มนุษย์ได้รู้จักพระเจ้า  หลังจากได้มารู้จักพระเจ้า ผู้คนย่อมจะเกิดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าขึ้นมาตามธรรมชาติ และกลายเป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะนบนอบพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้พระวจนะของพระเจ้าหรือความจริงในแง่มุมใดก็ตามจึงไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าจินตนาการ  หากเจ้ามองว่าพระวจนะของพระเจ้าและถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์นั้นแสนเรียบง่าย เชื่อว่าปัญหาใดก็ตามสามารถแก้ไขได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้าหนึ่งบทตอน เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้อย่างครบถ้วน  ต่อให้ความเข้าใจของเจ้าเป็นไปในแนวเดียวกับความจริง นี่ก็ยังเป็นเพียงด้านเดียว  บทเสวนาจากพระเจ้าทุกบทนั้นตรัสมาจากหลากหลายมุมมอง  มนุษย์ไม่สามารถสรุปหรือถอดความพระวจนะของพระเจ้าได้  หลังจากถอดความพระวจนะเหล่านี้ พวกเจ้าก็คิดว่าพระวจนะของพระเจ้าหนึ่งบทตอนกล่าวถึงเพียงประเด็นเดียว แต่ในความเป็นจริง บทตอนดังกล่าวสามารถแก้ไขปัญหาได้มากมาย  เจ้าไม่อาจสรุปหรือตีกรอบพระวจนะเหล่านั้นได้ เพราะทุกแง่มุมของความจริงประกอบด้วยความเป็นจริงมากมาย  เหตุใดจึงกล่าวว่าความจริงคือชีวิต คือสิ่งที่ผู้คนสามารถชื่นชมได้ และคือบางสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถมีประสบการณ์ได้อย่างครบถ้วนแม้ผ่านไปหลายช่วงชีวิตหรือหลายร้อยปีก็ตาม?  หากเจ้าถอดความบางแง่มุมของความจริงหรือพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วบทตอนที่เจ้าถอดความมาก็ย่อมกลายเป็นสูตรสำเร็จ เป็นกฎเกณฑ์ เป็นคำสอน—สิ่งนี้ย่อมไม่ใช่ความจริงอีกต่อไป  แม้ว่านี่คือพระวจนะดั้งเดิมของพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่คำเดียว แต่หากเจ้าถอดความและเรียบเรียงพระวจนะในหนทางนี้ พระวจนะเหล่านี้ย่อมกลายเป็นคำพูดเชิงทฤษฎี ไม่ใช่ความจริง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ก็เพราะเจ้าจะนำผู้คนให้หลงผิดและนำไปสู่คำสอน ทำให้พวกเขาคิด จินตนาการ พิจารณาประเด็นทั้งหลาย และอ่านพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าตามคำสอนของเจ้า  หลังจากอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้คนจะเข้าใจเพียงคำสอนหนึ่งและมองเห็นเพียงกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งในบทตอนนั้น และไม่อาจมองเห็นแง่มุมที่เป็นความเป็นจริงความจริงได้  สุดท้ายเจ้าจะนำผู้คนไปบนเส้นทางของการเข้าใจคำสอนและทำตามกฎเกณฑ์  พวกเขาจะไม่รู้จักวิธีประสบกับพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาจะเข้าใจแค่คำสอนและหารือกันเรื่องคำสอนเท่านั้น แต่พวกเขาจะไม่เข้าใจความจริงหรือรู้จักพระเจ้า  สิ่งที่ออกจากปากของพวกเขาย่อมจะเป็นคำสอนที่รื่นหูและถูกต้องทั้งสิ้น แต่พวกเขาจะไม่มีความเป็นจริงแม้แต่น้อย และไม่มีเส้นทางปฏิบัติของตนเอง  การเป็นผู้นำเช่นนั้นสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษย์โดยแท้จริง!

พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดคือข้อห้ามร้ายแรงที่สุดในการปรนนิบัติพระเจ้าของมนุษย์?  ผู้นำและคนทำงานบางคนต้องการความแตกต่าง ต้องการเหนือกว่าคนที่เหลือ ต้องการอวดตน และต้องการคิดหาเล่ห์กลใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อทำให้พระเจ้าทรงเห็นเพียงว่าแท้จริงแล้วพวกเขามีความสามารถเพียงใด  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้มุ่งเน้นการเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นการกระทำในหนทางที่โง่เขลาที่สุด  นี่มิใช่การเปิดเผยอุปนิสัยอันโอหังโดยแท้หรอกหรือ?  บางคนถึงกับกล่าวว่า “หากฉันทำแบบนี้ ฉันมั่นใจว่านี่จะทำให้พระเจ้าทรงมีความสุข  พระองค์จะโปรดปรานสิ่งนี้  คราวนี้ฉันจะไปแสดงให้พระเจ้าเห็น ฉันจะทำให้พระองค์ทึ่งไปเลย”  การ “ทึ่ง” นั้นไม่สำคัญ  ผลลัพธ์เป็นเช่นไร?  ผู้คนมองว่าสิ่งทั้งหลายที่คนเหล่านี้ทำไร้สาระเกินไป  ไม่เพียงแต่ไม่เป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองเงินทอง—นำมาซึ่งการสูญเสียของถวายของพระเจ้า  ของถวายของพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะใช้ได้ตามต้องการ การสิ้นเปลืองของถวายแด่พระเจ้านั้นเป็นบาป  ผู้คนเหล่านี้ย่อมลงเอยด้วยการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์หยุดทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา และพวกเขาถูกขับออกไป  ดังนั้นจงอย่าทำตามความต้องการของเจ้าโดยวู่วาม  เจ้าไม่คำนึงถึงจุดจบได้อย่างไรกัน?  เมื่อเจ้าล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระองค์ และถูกขับออกไปในภายหลัง ก็จะไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ให้เจ้ากล่าวเลย  ไม่ว่าความตั้งใจของเจ้าจะเป็นอย่างไร และไม่ว่าเจ้าทำไปอย่างจงใจหรือไม่ หากเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือน้ำพระทัยของพระองค์ เจ้าย่อมจะล่วงเกินพระองค์ได้อย่างง่ายดาย และหมิ่นเหม่ที่จะล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระองค์ นี่คือบางสิ่งที่ทุกคนควรคอยตั้งป้อมระวัง  ครั้นเจ้าได้ล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าหรือล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ หากเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง เช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงพิจารณาเลยว่าเจ้าได้ทำไปโดยเจตนาหรือไม่เจตนา  นี่คือเรื่องหนึ่งที่เจ้าจำเป็นต้องมองเห็นอย่างชัดเจน  หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจประเด็นปัญหานี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่แคล้วที่จะทำให้เกิดปัญหา  ในการรับใช้พระเจ้านั้น ผู้คนปรารถนาที่จะก้าวยาวไปข้างหน้า ทำสิ่งทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่ กล่าวคำพูดที่ยิ่งใหญ่ ปฏิบัติงานที่ยิ่งใหญ่ จัดการพบปะที่ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่  หากเจ้ามีความทะเยอทะยานอันโอฬารเช่นนั้นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า ผู้คนที่ทำการนี้จะตายอย่างรวดเร็ว  หากเจ้าไม่ประพฤติดี ไม่เปี่ยมศรัทธา และไม่สุขุมรอบคอบในการปรนนิบัติพระเจ้าของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าย่อมจะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์  หากเจ้าล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ละเมิดกฤษฎีกาบริหารของพระองค์ จนทำบาปต่อพระเจ้า เช่นนั้นพระองค์ก็จะไม่ทรงดูว่าเจ้าทำสิ่งนี้ไปด้วยเหตุผลใด และไม่ทรงดูว่าเจตนาของเจ้าคืออะไร  แล้วพวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงไร้เหตุผลหรือไม่?  พระองค์ทรงไม่เอาใจใส่มนุษย์ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ทำไมเล่า?  เพราะเจ้าไม่ได้หูหนวกหรือตาบอด  และเจ้าไม่ได้โง่เขลา  กฤษฎีกาบริหารของพระเจ้านั้นชัดเจนและแจ่มแจ้ง  เจ้าสามารถมองเห็นและได้ยินสิ่งนี้ได้  หากเจ้ายังคงละเมิดกฤษฎีกาบริหารเหล่านี้ เจ้าจะมีเหตุผลใดได้อีก?  ต่อให้เจ้าไม่ได้ซุกซ่อนเจตนาใดไว้ ตราบเท่าที่เจ้าล่วงเกินพระเจ้า เมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้าย่อมจะเผชิญกับการถูกทำลายและถูกลงโทษ  จะสำคัญด้วยหรือว่าสถานการณ์ของเจ้าเป็นเช่นไร?  ผู้คนที่มีธรรมชาติของซาตานย่อมล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้โดยธรรมชาติ  ไม่มีผู้ใดถูกมีดจี้ให้ละเมิดกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าหรือล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ เรื่องนี้ย่อมไม่เกิดขึ้น  ในทางกลับกัน นี่คือบางสิ่งซึ่งกำหนดไว้แล้วโดยธรรมชาติของมนุษย์  “พระอุปนิสัยของพระเจ้าต้องไม่ถูกล่วงเกิน”  คำกล่าวนี้มีความหมายอยู่ภายใน  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงลงโทษผู้คนตามสภาวะและภูมิหลังของพวกเขา  การล่วงเกินพระเจ้าโดยไม่รู้ว่านั่นคือพระองค์เป็นสภาวะประเภทหนึ่ง ขณะที่การล่วงเกินพระเจ้าทั้งที่รู้ชัดเจนว่านั่นคือพระองค์ก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง  บางคนสามารถล่วงเกินพระเจ้าได้ทั้งที่รู้ชัดเจนว่านั่นคือพระองค์ พวกเขาก็ย่อมจะถูกลงโทษ  พระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยบางอย่างในพระราชกิจแต่ละขั้นของพระองค์  มนุษย์ได้มาเข้าใจเรื่องนี้บ้างแล้วมิใช่หรือ?  ผู้คนไม่รู้เลยสักนิดเลยหรือว่าพระอุปนิสัยใดที่พระเจ้าทรงเปิดเผยผ่านความจริงมากมายที่พระองค์ทรงแสดง รวมถึงการกระทำและคำพูดใดของผู้คนที่มีแนวโน้มจะล่วงเกินพระองค์?  และสำหรับเรื่องราวทั้งหลายที่ถูกจัดวางโดยกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า—มนุษย์ควรและไม่ควรทำสิ่งใด—ผู้คนก็ไม่รู้เรื่องเหล่านี้เช่นกันหรือ?  มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจริงและหลักธรรมได้โดยครบถ้วนเพราะพวกเขายังไม่ได้ก้าวผ่านสิ่งเหล่านั้น พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้  อย่างไรก็ตาม เรื่องของกฤษฎีกาบริหารนั้นอยู่ในขอบเขตที่กำหนดไว้แล้ว  สิ่งเหล่านี้คือกฎเกณฑ์  เป็นสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์สามารถเข้าใจและมีได้โดยง่าย  ไม่จำเป็นจะต้องศึกษาหรืออธิบายสิ่งเหล่านี้  การที่ผู้คนกระทำตามความหมายของกฤษฎีกาบริหารอย่างที่พวกเขาเข้าใจนั้นเพียงพอแล้ว  หากเจ้าเลินเล่อ ไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และละเมิดกฤษฎีกาบริหารโดยรู้อยู่แก่ใจ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สมควรถูกลงโทษ!

บทตัดตอน 72

บรรดาคนที่ปฏิบัติตนเป็นผู้นำไม่ควรให้ความสนใจกับงานมากเกินไปหรือมุ่งเน้นที่สถานะของตนเองอยู่เสมอ อีกทั้งไม่ควรตั้งมาตรฐานสำหรับตนเองไว้สูง แล้วคอยคิดหาทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อแก้ไขปัญหาของทุกคนเพื่อให้ทุกคนรู้ว่า “ฉันเป็นผู้นำ ฉันมีตำแหน่งนี้ มีสถานะนี้ และฉันก็มีคุณสมบัตินี้ มีความสามารถนี้ด้วย  ในเมื่อฉันนำคุณได้ ฉันก็สามารถจัดเตรียมให้คุณได้เช่นกัน”  การที่พวกเขาพูดเช่นนั้นได้ถือเป็นปัญหา  การนี้เป็นปัญหาในหนทางใดหรือ?  หากการกำหนดแนวทางของเจ้าไม่ถูกต้องและเจ้าไม่มีหลักธรรมในการจัดการกิจธุระของตน เช่นนั้นทุกสิ่งที่เจ้าทำก็จะผิดพลาดและก่อให้เกิดการเบี่ยงเบน  หากแรงจูงใจของเจ้าไม่ถูกต้อง ทุกสิ่งที่เจ้าทำก็จะผิดพลาดไปด้วย  จงมุ่งเน้นการแสวงหาความจริง การเข้าใจความจริง และการเข้าใจแก่นแท้ของความจริงแห่งนิมิตทั้งหลาย และจงเชี่ยวชาญในแง่มุมนี้ของหลักธรรมทั้งหลาย—นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง  ในยามที่มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเจ้าหรือในยามที่เจ้ากำลังจัดการกับปัญหา ตราบเท่าที่เจ้าไม่ล้ำเส้นนี้ไป เจ้าก็จะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นและแก้ไขความยากลำบากของพวกเขาได้ และเจ้าก็จะเป็นผู้นำที่มีคุณสมบัติดีพอ  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าเพียงเข้าใจคำสอนบางส่วน และหากเจ้าเพียงเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยคำสอนเหล่านั้น ฟังการเทศนามากขึ้น และเชี่ยวชาญในคำพูดและตัวอักษรมากขึ้นอีกเพียงไม่กี่คำเพื่อที่จะเป็นผู้นำ และหากเจ้าได้แต่มอบคำสอน คำพูด กับตัวอักษรไม่กี่คำในยามที่เจ้าพยายามแก้ไขปัญหาให้ใครบางคน และผลคือแก้ปัญหาใดให้พวกเขาไม่ได้เลย เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไร้ซึ่งความเป็นจริงของการเป็นผู้นำ และเจ้าก็เป็นเพียงกรอบที่ว่างเปล่า  นี่คือผู้นำประเภทใด?  (ผู้นำเทียมเท็จ)  นี่คือผู้นำเทียมเท็จ  เจ้าไม่สามารถปฏิบัติงานจริงได้  ต่อให้ไม่มีผู้ใดเปิดโปงและรายงานผู้นำเทียมเท็จ ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรก็จะไม่ก้าวหน้า ปัญหาต่างๆ จะสั่งสม และผู้นำเทียมเท็จจะต้องรับผิดชอบและถูกบีบบังคับให้ก้าวลงจากตำแหน่ง  หากเจ้าเป็นผู้นำเทียมเท็จ เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าเจ้ามีตำแหน่งสูงแค่ไหน เจ้าก็ยังคงเป็นผู้นำเทียมเท็จ  ตอนนี้ไม่ว่าเจ้าสามารถปฏิบัติงานจริงได้หรือไม่ และไม่ว่าเจ้าเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือไม่—สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด  แล้วอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด?  เวลานี้เจ้าต้องรีบไล่ตามเสาะหาความจริงและมุ่งเน้นการเข้าไปสู่ชีวิต  ครั้นเจ้าได้เข้าไปสู่ชีวิต ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้า เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และสามารถแก้ไขสภาวะที่ไม่ถูกต้องของตนเองได้แล้ว ก็ย่อมง่ายสำหรับเจ้าที่จะแก้ไขปัญหาของผู้อื่น  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว เจ้าจะยังกลัวว่าเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ผู้อื่นอีกหรือไม่?  เจ้าจะไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเจ้าสามารถเป็นผู้นำที่ดีหรือไม่  หากเจ้ามีความเป็นจริงความจริง เจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้ดีและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้โดยธรรมชาติ  เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้โดยถี่ถ้วน  หากเจ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้โดยถี่ถ้วนและอยากจะปกป้องสถานะผู้นำของตน รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในหัวใจของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอยู่เสมอ เช่นนั้นเจตนาของเจ้าก็ไม่ถูกต้อง และเจ้าย่อมต้องอับอายและล้มเหลวเป็นธรรมดา  หากเจ้าคือบุคคลที่รักความจริงและมุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิตตนเองของพวกเขา รวมถึงเจ้าละทิ้งความมักใหญ่ใฝ่สูง ความอยากได้อยากมีของมนุษย์ และการไล่ตามเสาะหาที่ผิดพลาดของตนเองไป และไม่ถูกสิ่งเหล่านี้บีบคั้น เช่นนั้นแล้วเมื่อเวลาผ่านไปเจ้าจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง และจะมาเข้าใจแต่ละแง่มุมของความจริงได้โดยธรรมชาติ  ในหนทางนี้เจ้าจะรู้สึกสบายใจเมื่อถึงคราวช่วยเหลือผู้อื่น และเจ้าจะไม่มีความยากลำบากในการทำเช่นนั้น  เพราะฉะนั้นเจ้าจึงไม่ควรคอยปกป้องสถานะของตน  นี่คือกรอบที่ว่างเปล่า  เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์  สิ่งนี้จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับเจ้า และจะไม่ช่วยให้เจ้าเข้าใจความจริงด้วย  นอกจากนั้น สิ่งนี้ยังสามารถทำให้เจ้าหลงผิดไปสู่การทำผิดพลาดมากมาย ทั้งยังสามารถทำให้เจ้าหลงทางได้อีกด้วย  สำหรับมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามแล้ว สถานะคือกับดัก  แต่ไม่มีผู้ใดสามารถหลบเลี่ยงอุปสรรคนี้ได้ ทุกคนต้องก้าวผ่านไป เพียงขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะจัดการอุปสรรคนี้อย่างไร  หากเจ้าจัดการโดยใช้วิธีการของมนุษย์ เจ้าจะไม่สามารถยับยั้งหรือละทิ้งตนเองได้  เรื่องนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ความจริงเท่านั้น  ความจริงสามารถแก้ไขความยากลำบากนี้ได้  หากเจ้าแสวงหาความจริง เจ้าก็จะสามารถจัดการแก้ไขปัญหานี้ได้ที่ต้นตอ  หากเจ้าไม่สามารถใช้ความจริงแก้ไขความยากลำบากนี้ได้ หากเจ้าเอาแต่ยับยั้งชั่งใจตนเองและกบฏต่อสิ่งทั้งหลาย—กบฏต่อความคิดของเจ้า ต่อแนวทางของเจ้า ต่อแนวคิดของเจ้า และกบฏในหนทางนี้อยู่เสมอ—นี่คือวิธีการใด?  นี่คือแนวทางที่เป็นลบและนิ่งเฉย  เจ้าต้องใช้วิธีการที่เป็นบวกในการแก้ไขเรื่องนี้ นั่นก็คือ เจ้าต้องแก้ไขด้วยความจริงและเข้าใจเรื่องนี้โดยละเอียดถี่ถ้วน  ก่อนอื่นจงมองดูวิธีการหลายๆ แบบที่พวกศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จใช้เพื่อแสวงหาเกียรติยศ ผลประโยชน์ และสถานะ และใช้เพื่อปกป้องความไร้แก่นสารและความหยิ่งยโสของพวกเขา  เมื่อมองห็นสิ่งเหล่านี้โดยชัดเจนแล้ว เจ้าจะรู้สึกว่า “ตายแล้ว ช่างน่าละอาย ช่างน่าละอายจริงๆ!  ​ฉันใช้วิธีการแบบนั้นด้วยหรือ?”  จากนั้นเจ้าจะเริ่มทบทวนตนเองและในไม่ช้าเจ้าจะตระหนักว่า  “ตายแล้ว ฉันก็ใช้วิธีการแบบนั้นมากมายเหมือนกัน ฉันไม่ต่างอะไรจากศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นเลย”  เจ้าจะมีความสำนึกผิดในหัวใจขึ้นมาบ้าง และกล่าวว่า “ฉันไม่อาจปกป้องสถานะของตัวเองและเปิดเผยความน่าละอายใจนี้ได้อีกต่อไป” มุ่งมั่นที่จะเรียนรู้บทเรียน  จงหยุดสนใจว่าผู้อื่นจะนับถือเจ้าหรือไม่ เจ้าสามารถแก้ไขปัญหาให้ผู้อื่นได้มากแค่ไหน มีคนฟังเจ้าหรือไม่ หรือเจ้ามีที่อยู่ในหัวใจของคนกี่คน  หากเจ้ามีเรื่องเหล่านี้อยู่ในหัวใจเสมอ เจ้าจะฟุ้งซ่านและได้รับผลกระทบ และเจ้าก็จะเหลือเวลาในการไล่ตามเสาะหาความจริงน้อยลง  เจ้าได้ใช้เรี่ยวแรงที่มีจำกัดและเวลาอันล้ำค่าของเจ้าในการไล่ตามไขว่คว้าความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีต่อเกียรติยศ ผลประโยชน์ และสถานะ ผลก็คือเจ้าไม่ได้รับความจริงและชีวิต  ถึงแม้เจ้าได้รับสถานะและได้สนองความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของตน เจ้าก็ยังไม่ได้เข้าไปสู่ชีวิต และเจ้าได้สูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป  จุดจบสุดท้ายของเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร?  เจ้าจะถูกขับออกและถูกลงโทษ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะเจ้าเลือกเส้นทางที่ผิด  หากเจ้าไปถึงระดับเดียวกับเปาโล เช่นนั้นแล้วเจ้าจะถูกลงโทษในท้ายที่สุด  แต่หากเจ้ายังไม่ไปถึงระดับเดียวกับเปาโล และหันเหเส้นทางของเจ้ากลับมาได้ทันการ เช่นนั้นก็ย่อมมีโอกาสสำหรับการไถ่ และยังมีหวังสำหรับความรอด

ไม่ว่าผู้เชื่อในพระเจ้ามีปัญหาใด ไม่ว่าพวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และความมั่งคั่ง หรือสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีส่วนตนหรือไม่ ไม่ว่าในกรณีใด ปัญหาทั้งหมดก็ต้องถูกแก้ไขด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่มีปัญหาใดสามารถเลี่ยงผ่านความจริงไปได้  ไม่มีเรื่องใดที่แยกออกจากความจริง  ทันทีที่คนเราละทิ้งความจริงในการเชื่อในพระเจ้าของตน ความเชื่อของพวกเขาย่อมว่างเปล่า  ไม่มีประโยชน์ที่จะไล่ตามไขว่คว้าสิ่งอื่น  บางคนพอใจแค่ได้ทำหน้าที่อันน่าประทับใจและรุ่งโรจน์ ทำให้ผู้อื่นนับถือและอิจฉาพวกเขา  สิ่งนี้เป็นประโยชน์หรือ?  นี่ไม่ใช่จุดจบสุดท้ายของเจ้า และไม่ใช่บำเหน็จสุดท้ายของเจ้า อีกทั้งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่บั้นปลายของเจ้า  ดังนั้นไม่ว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ใด หน้าที่นั้นก็อยู่เพียงชั่วคราว ไม่ได้อยู่ชั่วนิรันดร์  นี่ไม่ใช่ความเห็นชอบที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้า และไม่ใช่บำเหน็จที่พระองค์ทรงมอบแด่เจ้า  ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าผู้คนจะสามารถบรรลุความรอดหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาทำหน้าที่ใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถเข้าใจและได้รับความจริงได้หรือไม่ และขึ้นอยู่กับว่าในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าต่อโดยสมบูรณ์ มอบตนเองให้ความกรุณาแห่งการจัดการเตรียมการของพระองค์ ไม่คำนึงถึงอนาคตและบั้นปลายของตน และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติดีพอได้หรือไม่  พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ และสิ่งเหล่านี้คือมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้เพื่อประเมินวัดมวลมนุษย์ทั้งปวง  มาตรฐานเหล่านี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ และเจ้าต้องจดจำการนี้ไว้  จงจารึกมาตรฐานเหล่านี้ไว้ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า และไม่ว่าเมื่อไรก็ตามจงอย่านึกถึงการค้นหาเส้นทางอื่นบางเส้นทางในการไล่ตามไขว่คว้าบางสิ่งที่ไม่เป็นจริง  ข้อพึงประสงค์และมาตรฐานทั้งหลายที่พระเจ้าทรงมีสำหรับทุกคนที่ต้องการบรรลุความรอดก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล สิ่งเหล่านั้นยังคงเป็นอย่างเดิมไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร  เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้ด้วยการเชื่อในพระเจ้าตามข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของพระองค์เท่านั้น  หากเจ้าพบว่าอีกหนึ่งเส้นทางในการไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ นั้นคลุมเครือ และคิดฝันว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จได้ด้วยโชค เจ้าก็เป็นใครบางคนที่แข็งขืนและทรยศพระเจ้า และเจ้าจะถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษอย่างแน่นอน

บทตัดตอน 74

มีผู้นำและคนทำงานที่ไม่สามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าในงานของตน  พวกเขาไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเองได้อย่างถ่องแท้ และมักกล่าวว่า “ฉันอยากให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น  เอาล่ะทุกคน พูดตามที่คิดเลย”  นี่อาจฟังดูถูกต้องและค่อนข้างเป็นประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงจุดยืนและลงมติในท้ายที่สุด  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมเป็นที่ยอมรับในฐานะทางเลือกสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้รับรองว่าบทสรุปที่ได้นั้นจะสอดคล้องกับความจริง  ในเมื่อไม่มีใครเข้าใจความจริง และความคิดเห็นของทุกคนก็มีข้อบกพร่อง ต่อให้พวกเขาชุมนุมกัน พวกเขาก็ไม่สามารถได้ข้อสรุปที่สอดคล้องกับความจริงอยู่ดี  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  ถ้ามีคนที่เข้าใจความจริงเข้าร่วมด้วยก็จะยิ่งดีมาก เรื่องราวย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น  อย่างไรก็ตาม การมีคนที่เข้าใจความจริงคอยคุมการชุมนุมเป็นเรื่องสำคัญมาก  คนคนนี้ควรนำทุกคนแสวงหาความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อทำเช่นนี้ บทสรุปที่พวกเขาได้ก็จะสอดคล้องกับความจริง  นี่คือแนวทางที่ดีที่สุด  จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องมีคนที่เข้าใจความจริงคอยคุม คอยกำกับดูแล และนำทุกคนสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้มีเอกภาพและเห็นพ้องต้องกันในเรื่องของความจริงในท้ายที่สุด  นี่เท่านั้นคือเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง  แล้วควรมองหลักประชาธิปไตยกันอย่างไร?  ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามในปัจจุบัน ประชาธิปไตยคือระบบสังคมที่ค่อนข้างเจริญก้าวหน้า  นอกจากนี้ยังนำสมัย เป็นที่นิยม และเป็นที่ชื่นชอบของคนส่วนใหญ่  แม้ระบบนี้จะค่อนข้างเจริญและก้าวหน้า แต่จะมีระบบใดหรือไม่ที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องบาปของมนุษย์ได้ ไม่ว่าตัวระบบจะยอดเยี่ยมเพียงใดก็ตาม?  จะมีระบบใดสามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของความชั่วและความมืดมนในสังคมได้หรือไม่?  นี่เป็นสิ่งที่มิอาจสัมฤทธิ์ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในระบอบเผด็จการ  ในหมู่เจ้าหน้าที่ของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยก็มีการรับสินบนและประพฤติมิชอบอยู่มากมายเช่นกันมิใช่หรือ?  สิ่งที่เกิดขึ้นในระบอบนี้จึงไม่มีอะไรสอดคล้องกับความจริงเพราะมวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างยิ่งยวด ไร้ซึ่งความจริงใดๆ  มนุษย์ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน กบฏต่อพระเจ้าและต้านทานพระองค์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปฏิบัติความจริง  แม้กระทั่งผู้นำชาติต่างๆ ที่ครองอำนาจอยู่ รวมทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย แม้จะมีความรู้ แต่ทุกคนก็ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยของซาตานเช่นกัน  พวกเขาไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความจริง และสามารถกระทำการมากมายที่ต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า  พวกเขาถึงขนาดสามารถทำความชั่วและการกระทำที่ไร้สาระบางอย่างได้  ไม่ว่าพวกเขาจะมีความเชื่อหรือไม่ ก็ไม่มีพวกเขาสักคนที่สามารถยอมรับความจริงหรือติดตามพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  ไม่มีพวกเขาสักคนที่นบนอบหรือนมัสการพระเจ้า  พวกเขาไม่เคยกล่าวอะไรที่ยกชูหรือเป็นพยานให้พระเจ้าเลย  วาจาที่พวกเขากล่าวออกมาล้วนไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ปฏิเสธและต้านทานพระเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น ทุกคำพูดเป็นเหตุผลวิบัตินอกรีต เป็นคำพูดที่ท้าทายฟ้าสวรรค์ทั้งสิ้น และมีแต่วาจาฝ่ายมาร  เพราะฉะนั้น ไม่ว่ามนุษย์จะใช้ระบอบใดมาปกครองชนชาติของตน พวกเขาก็จะไม่นบนอบพระเจ้า ไม่นมัสการพระองค์ ไม่ยอมรับความจริงที่พระองค์ทรงแสดง หรือปกครองชนชาติของตนตามพระวจนะของพระองค์และความจริง  พวกเขาสนับสนุนการปกครองที่ยึดหลักกฎหมายและวิทยาศาสตร์  นี่แสดงให้เห็นว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินอยู่คือเส้นทางของการต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า  ชนชาติเยี่ยงนี้ย่อมไม่ได้รับพรจากพระเจ้า  ชนชาติใดที่มีกษัตริย์ปีศาจปกครองย่อมต้านทานพระเจ้ามากที่สุดและย่อมถูกพระองค์สาปแช่ง  เหล่านี้คือชนชาติที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วว่าต้องถูกทำลายล้าง  ดังนั้น การที่ประเทศหนึ่งๆ จะถูกพระเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์และทำลายล้างหรือไม่จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าประเทศนั้นเป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็นสำคัญ  ปัจจัยสำคัญคือการดูว่ากลุ่มอำนาจในชนชาตินั้นประกอบด้วยผู้คนแบบใด  ถ้าทุกคนที่ครองอำนาจเป็นคนจำพวกมาร จำพวกซาตาน ถ้าพวกเขาคือกลุ่มปีศาจที่ต้านทานพระเจ้ากันทุกคน เช่นนั้นแล้วประเทศนั้นก็คือประเทศที่พระองค์ทรงเกลียดชังและสาปแช่ง และย่อมจะถูกพระองค์ทำลายล้าง

ถ้าผู้นำและคนทำงานของคริสตจักรไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ดำเนินงานของตนตามหลักธรรม ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร?  แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ผู้นำและคนทำงานบางคนคิดไปว่า “ไม่ว่าฉันจะมีความจริงหรือไม่ ถ้าฉันปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยในทุกเรื่องและไม่ทำตัวเผด็จการ ก็จะแน่ใจได้ว่าตัวเองไม่ทำความชั่ว  แบบนี้ฉันก็จะไม่ถูกพระเจ้าขับออกไป  ถ้าฉันทำงานของตนเองให้ดี พระเจ้าก็จะทรงเห็นชอบในตัวฉัน”  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  พวกเจ้าใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งที่พวกเขาพูดอยู่นี้ได้หรือไม่?  การละเว้นจากการทำตัวเผด็จการพิสูจน์ให้เห็นหรือว่าผู้คนเหล่านี้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า?  การปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยพิสูจน์ให้เห็นหรือว่าพวกเขากระทำการตามหลักธรรม?  แม้วิธีคิดเช่นนี้จะดูมีเหตุผล แต่ที่จริงแล้วผิด  สำหรับผู้นำและคนทำงานที่ไม่แสวงหาความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติตัวเช่นไรก็ย่อมจะก้าวออกนอกทางและผิดพลาดเสมอ  มีแต่การเดินไปตามเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่ถูกต้อง  แนวทางที่เหมาะสมมีเพียงการที่ผู้นำและคนทำงานสามารถตั้งหน้าตั้งตาเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญสถานการณ์เช่นไรก็สามารถนำทุกคนสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าและค้นพบเส้นทางที่จะปฏิบัติความจริง  การที่ผู้นำและคนทำงานใช้แนวทางที่ให้ทุกคนแสดงความเห็นของตนและพูดความรู้สึกนึกคิดของตนออกมานั้นถูกหรือผิด?  (ผิด)  ผิดตรงไหน?  (ไม่มีใครมีความจริง)  ถูกต้อง  ไม่มีใครมีความจริง  เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะสามัคคีธรรมกันอย่างไร ข้อสรุปที่ได้จากการสามัคคีธรรมของพวกเขาจะสอดคล้องกับความจริงได้กระนั้นหรือ?  นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้  ดังนั้นคนเราควรทำเช่นไรจึงจะสอดคล้องกับความจริง?  (ดูสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้แล้ว  คนเราควรมองหาเส้นทางในพระวจนะของพระองค์)  คำกล่าวนี้ฟังดูเป็นเช่นไร?  นี่ถูกต้องที่สุดแล้ว  ผู้นำและคนทำงานควรสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าในทุกเรื่อง และควรแสวงหาเส้นทางในพระวจนะของพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะสามารถได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง  ส่วนเรื่องที่ว่าทุกคนควรสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริงกันอย่างไรและพวกเขาจะพบหลักธรรมที่ถูกต้องหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  ถ้าเจ้าสามารถนำทุกคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริงและแสวงหาหลักธรรมได้ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้าคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าเจ้าเอาแต่ให้ทุกคนสามัคคีธรรมและแสดงความคิดเห็นโดยไม่เอ่ยถึงการค้นหารากฐานในพระวจนะของพระเจ้าหรือการแสวงหาหลักธรรมในพระวจนะของพระองค์เลย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้ากำลังพยายามเกลี่ยเรื่องราวให้เบาลงโดยไม่สนใจหลักธรรมต่างหาก  ถ้าถึงที่สุดแล้ว เจ้าให้ทุกคนยกมือออกเสียงและถือเอาเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ นี่เป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่?  เป็นไปได้ว่าบางครั้งอาจจะบังเอิญเป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่ออกนอกขอบเขตของหลักธรรม  แต่โดยส่วนใหญ่จะไม่เป็นไปตามหลักธรรมเพราะเจ้าไม่แสวงหาหลักธรรม เจ้าเพียงแต่รับฟังความเห็นที่ไม่มีมูลของแต่ละคน ซึ่งคนที่ส่งเสียงโหวกเหวกและดังที่สุดคือผู้ตัดสินชี้ขาด  แล้วในที่สุดผู้นำแบบนี้จะเป็นเช่นไร?  พวกเขากลายเป็นคนที่ตัดสินใจไม่ได้ กระแสข้างไหนพัดแรงสุดก็ฟังข้างนั้น  เหมือนกับตอนที่ผู้นำบางคนบอกให้ยกมือออกเสียงเวลาจะไล่พวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ออกไปนั่นเอง  ถ้ามีแม้สักคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย พวกเขาก็จะไม่ไล่หรือเอาบุคคลดังกล่าวออกไป  แม้แต่สิ่งที่เราพูดก็จะไม่มีความสำคัญ  นี่คือการกีดกันพระเจ้าออกไปมิใช่หรือ?  การที่พวกเขากีดกันพระเจ้า แต่กลับบอกว่าพวกเขากำลังแสวงหาความจริงนั้น ช่างไร้สาระสิ้นดี!  เมื่อทุกคนสามัคคีธรรมความจริงและแสวงหาหลักธรรม ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นใด?  ผลลัพธ์ของการสามัคคีธรรมแบบนี้ย่อมสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และหลักธรรม เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์  หลังจากที่สามัคคีธรรมกันมายืดยาว หากมีมติเอกฉันท์ซึ่งเมื่อนำไปดำเนินการแล้ว จะสร้างความเสียหายให้กับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ก่อประโยชน์แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เช่นนั้นแล้วผลลัพธ์ที่เกิดจากมติในครั้งนี้ก็ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  แน่นอนว่านั่นย่อมสวนทางกับพระวจนะของพระเจ้า  ข้อนี้ไม่ต้องสงสัยเลย  เช่นนั้นแล้ว ผลลัพธ์ที่เกิดจากมตินี้มีแก่นแท้เช่นไร?  เป็นคำสอนที่ว่างเปล่าซึ่งฟังดูดี สอดคล้องกับวิถีสังคมทางโลก เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน และดีต่อผลประโยชน์ของทุกฝ่าย แต่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้นำบางคนก็เลอะเลือน พวกเขาทั้งไม่ไล่ตามเสาะหาและไม่เข้าใจความจริง  พอทุกคนสามัคคีธรรมจบ ผู้นำเหล่านี้ก็เลือกผลลัพธ์ที่ตรงกับความชอบส่วนตน แต่แท้จริงแล้วขัดแย้งกับหลักธรรมความจริง  พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่ตนทำอยู่นั้นเป็นธรรมและสมเหตุสมผล สอดคล้องกับความจริงทุกประการ  ที่จริงแล้วพวกเขาไม่เข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  พวกเขายิ่งไม่เข้าใจว่าอะไรคือหลักธรรมความจริง  พวกเขาหาผลลัพธ์จากสามัคคีธรรมของทุกคนที่ตรงกับความชอบของตน โดยคิดว่า “ดูสิว่าฉันเป็นประชาธิปไตยขนาดไหน  ฉันไม่ใช่เผด็จการ  ฉันหารือทุกอย่างกับทุกคน และท้ายที่สุดนั่นก็เป็นการตัดสินใจของทุกคน  พวกเรายกมือออกเสียงในเรื่องนี้  เป็นมติที่เกิดจากการตัดสินใจของกลุ่ม ไม่ใช่การตัดสินใจของฉันคนเดียว”  พวกเขารู้สึกพอใจในตนเองมาก แต่แล้วพวกเขาก็ลงเอยด้วยการหักหลังผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและความจริงในพระวจนะของพระองค์ เหยียบย่ำข้อกำหนดของพระองค์  ทุกคนพอใจและได้ประโยชน์  แต่พระเจ้าจะพอพระทัยในเรื่องนี้หรือไม่?  พระองค์จะทรงเห็นชอบหรือไม่?  พระเจ้าจะทรงรู้สึกในพระทัยของพระองค์ว่าอย่างไร?  เหล่าผู้นำไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ พวกเขาเอาแต่ดำเนินงานของคริสตจักรไปในลักษณะนี้  ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์หรือไม่นั้น ทุกคนควรมีวิจารณญาณแยกแยะในเรื่องนั้น  มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมากมายในคริสตจักรทั่วทุกแห่งใช่หรือไม่?  มีไม่น้อยแน่นอน

เพื่อชนะใจผู้คนและเพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะได้รับเลือกเป็นผู้นำอีกครั้ง ผู้นำคริสตจักรบางคนจึงปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยในทุกเรื่องที่พวกเขาทำ โดยอ้างว่าตนนั้นไม่ได้เป็นเผด็จการ  พวกเขาใช้วิธีนี้ซื้อใจผู้คน แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังทำเช่นนี้เพื่อเสริมสร้างสถานะของตนเองให้มั่นคง  นี่คือพฤติกรรมของศัตรูพระคริสต์มิใช่หรือ?  (ใช่)  มีแต่ศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่จะกระทำการในลักษณะนี้  พวกเจ้าทำเรื่องเหล่านี้ด้วยหรือไม่?  (เป็นบางครั้ง)  แล้วพวกเจ้าคิดทบทวนหรือไม่ว่าเจตนาใดที่กำกับการกระทำเหล่านี้อยู่?  เรื่องนี้เข้าใจได้หากคนคนนั้นเพิ่งเริ่มฝึกงานของผู้นำและไม่เข้าใจหลักธรรม  แต่ถ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงานมาแล้วหลายปีและยังคงยืนกรานที่จะทำแบบนี้ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คือการไม่มีหลักธรรม  นี่คือการเป็นผู้นำเทียมเท็จ และคนคนนั้นก็ไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าคนคนหนึ่งมีเจตนาและเป้าหมายของตนเอง และยืนยันที่จะทำแบบนี้ พวกเขาก็คือศัตรูของพระคริสต์  พวกเจ้ามองปัญหานี้ว่าอย่างไร?  เมื่อเผชิญประเด็นปัญหาแบบนี้ พวกเจ้าปฏิบัติกันอย่างไร?  ถ้าพวกเจ้ามีเจตนาและเป้าหมายของตนเอง พวกเจ้าควรแก้ไขอย่างไร?  (ข้าพระองค์สังเกตเห็นว่าตัวเองเก็บงำเจตนาบางอย่างเอาไว้กับตน  บางครั้งข้าพระองค์ก็กลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะบอกว่าข้าพระองค์ไม่เปิดเผยและไม่โปร่งใสในเรื่องการกระทำของข้าพระองค์ที่ตัดสินใจเองโดยไม่บอกพวกเขา  พอมีความคิดแบบนี้ ข้าพระองค์ก็จะหารือและแก้ไขเรื่องต่างๆ ร่วมกับพี่น้องชายหญิง  ข้าพระองค์จะไม่ตัดสินใจเอาเอง)  การปรึกษาผู้อื่นนั้นยอมรับได้  การทำให้แน่ใจว่าทุกคนได้รับแจ้งนั้นเหมาะสมแล้ว นี่คือการยอมให้พี่น้องชายหญิงกำกับดูแลงานของเจ้า ซึ่งช่วยเจ้าในการทำหน้าที่ของตน  อย่างไรก็ดี ระหว่างการหารือ เจ้าก็ต้องยึดปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงด้วย  ถ้าเจ้าเบี่ยงเบนออกจากหลักธรรมความจริง การหารือก็จะออกนอกเรื่องหรือเสียเวลาเปล่า และเจ้าก็จะไม่ได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง  เพราะฉะนั้น เมื่อเริ่มหารือกัน ผู้นำและคนทำงานต้องเป็นผู้นำในการอ่านบทตอนที่เกี่ยวข้องในพระวจนะของพระเจ้า  เช่นนี้ทุกคนจึงจะสามารถสามัคคีธรรมได้ตามพระวจนะของพระองค์  สามัคคีธรรมแบบนี้จะกำหนดเส้นทางและก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี  เจ้าไม่สามารถเอาแต่ยืนเฉยและปล่อยให้ทุกคนสามัคคีธรรมตามใจชอบได้  ถ้าไม่มีใครมีความคิดเห็นที่หนักแน่นชัดเจน และพวกเขาก็ไม่ได้แสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมนานเพียงใด การสามัคคีธรรมแบบนี้ก็ย่อมไร้ประโยชน์ และจะไม่มีวันสัมฤทธิ์ผลที่ถูกต้อง  ดังนั้น ถ้าคริสตจักรขาดผู้นำที่ดี และมีคนที่ไม่เข้าใจความจริงคอยคัดท้าย ถ้ามีแต่กลุ่มคนที่เลอะเลือน ไร้ความคิดเห็นที่หนักแน่นชัดเจน มาสามัคคีธรรมกันอย่างมักง่าย และการสามัคคีธรรมของพวกเขาก็มีแต่เรื่องไร้สาระเท่านั้น การนี้อาจส่งผลกระทบเช่นไร?  ควรเรียกสิ่งที่ได้ชื่อว่าประชาธิปไตยนี้ว่าอะไร?  ทั้งหมดนี้คือการโต้แย้งอย่างมืดบอด ขาดหลักธรรม และจะไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง  แนวทางประชาธิปไตยแบบนี้ไม่สามารถให้ผลกระทบที่เป็นบวกได้  แม้ทุกคนจะมีลักษณะภายนอกที่น่ามองและวาจาคมคาย แต่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่มีความคิดเห็นที่หนักแน่นชัดเจน ไม่มีความสามารถที่แท้จริง และไม่มีการเรียนรู้ที่แท้จริง  พวกเขาไม่สามารถนำผู้คนเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง  พวกเขากล่าวแต่วาจาที่ชักพาให้ผู้คนหลงผิด ซึ่งไม่สามารถสร้างผลกระทบที่เป็นบวก  ไม่ว่าจะอย่างไร เวลาเผชิญสถานการณ์ ถ้าคนเราเพียงดำเนินการปรึกษาหารือกันตามแบบประชาธิปไตยโดยไม่มีคนที่เข้าใจความจริงคอยนำทางให้ ก็ย่อมจะไม่ได้ผล  แนวทางที่ดีที่สุดยังคงเป็นการให้ผู้นำและคนทำงานแสวงหาความจริงด้วยตนเอง เลือกพระวจนะของพระเจ้าที่สอดคล้องกัน อ่านพระวจนะอย่างละเอียดถี่ถ้วน และใคร่ครวญด้วยความตั้งใจ  เมื่อนั้นพวกเขาจึงจะสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าเข้าสู่ที่ชุมนุมเพื่อสามัคคีธรรมและหารือกับทุกคน  วิธีนี้เท่านั้นจึงจะสัมฤทธิ์ผลได้  ส่วนผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่เคยใช้วิธีปรึกษาหารือตามแบบประชาธิปไตยไม่ว่าจะในสถานการณ์เช่นใด  พวกเขาไม่เคยให้ผู้คนหารือหรือสามัคคีธรรมกัน  พวกเขายึดมั่นในเจตนาและเป้าหมายของตนเอง กลัวว่าการปรึกษากันตามแบบประชาธิปไตยจะเปิดโปงหรือคัดค้านเจตนาและเป้าหมายของพวกเขา  เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงกระทำการแบบเผด็จการ อยากเป็นคนเดียวที่ตัดสินชี้ขาดอยู่เสมอ  ต่อให้พวกเขาสามัคคีธรรมตามหลักประชาธิปไตยในเรื่องเล็กน้อยบางเรื่อง นั่นก็เป็นเพียงความพยายามที่จะประจบเอาใจทุกคนและให้ทุกคนมองพวกเขาในแง่บวก นั่นทำไปเพียงเพื่อเสริมสร้างสถานะของตนให้มั่นคงแข็งแรงเท่านั้น  ถ้าพวกเจ้าพบเจอบางคนที่มีเจตนาเหล่านี้ พวกเจ้าก็ต้องระแวดระวังพวกเขาและเฝ้าสังเกตพวกเขา และเมื่อจำเป็น พวกเจ้าก็ต้องเปิดโปงและหยุดยั้งพวกเขาเอาไว้  ผู้นำหรือคนทำงานที่ถูกต้องคือคนที่แสวงหาความจริงด้วยตนเองก่อน แล้วจากนั้นจึงนำทุกคนสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและแสวงหาความจริง  ในระหว่างสามัคคีธรรม หัวใจของทุกคนอาจจะไม่ชัดเจนแจ่มแจ้ง และอาจจะคลุมเครืออยู่บ้าง แต่เมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมต่อไป พวกเขาก็จะมีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  บางทีอาจจะมีพวกเขาสักคนหนึ่งที่สามารถบอกความสว่างหรือเส้นทางได้ และเมื่อทุกคนสามัคคีธรรมกันต่อไปในความสว่างของความกระจ่างนี้และตามเส้นทางนี้ หัวใจของพวกเขาย่อมจะเกิดความชัดเจน เปิดโอกาสให้พวกเขากำหนดเส้นทางปฏิบัติที่ถูกที่ควร  ระหว่างที่ทุกคนสามัคคีธรรมด้วยกันต่อไป พวกเขาก็จะพูดจาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  ตราบใดที่มีแม้สักคนหนึ่งที่ได้รับความรู้แจ้งและได้รับความกระจ่างด้วยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะเป็นเหมือนว่าทุกคนได้รับความรู้แจ้งและได้รับความกระจ่างกันทั้งสิ้น  ผู้นำและคนทำงานทุกคนจึงควรเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริงในหนทางนี้  การปฏิบัติในรูปแบบนี้ย่อมเปิดโอกาสให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ  ถ้าเจ้าเออออตามความคิดเห็นของทุกคนอยู่เสมอ ไม่เสาะแสวงที่จะรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร เช่นนั้นแล้ว ก็จะเป็นความเบี่ยงเบนอย่างหนึ่ง  การคล้อยตามความคิดเห็นของทุกคนและตกลงใจเลือกสิ่งที่ทุกคนคิดว่าดีอยู่เสมอ—นี่เป็นวิธีการแบบใด?  เป็นวิธีที่คนเราใช้ประจบเอาใจ ไม่แบกรับภาระอะไร และไม่คำนึงถึงงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  แม้ดูผิวเผินเจ้าได้ปฏิบัติงานของเจ้า เปิดโอกาสให้ผู้คนสามัคคีธรรมและแสดงความคิดเห็นของพวกเขา ดำเนินการแบบประชาธิปไตย หลีกเลี่ยงอำนาจนิยมหรือการทำอะไรแบบไม่ฟังเสียงใครแล้ว แต่จุดประสงค์ของเจ้าก็คือการประจบเอาใจ ทำให้ผู้คนยกย่องเจ้า เห็นชอบในตัวเจ้า พูดกันว่าเจ้าไม่ใช่เผด็จการ พูดกันว่าเจ้ามีเหตุมีผล และพูดกันว่าสามารถทำงานได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมพึงพอใจ  การทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  ถ้าจุดประสงค์ของเจ้าไม่ถูกต้อง ผลที่ออกมาจะถูกต้องได้หรือ?  แน่นอนว่าไม่ได้  เจ้าชนะใจทุกคนและทำให้พวกเขามีความสุขกัน  พวกเขาพูดกันทุกคนว่าเจ้าเป็นผู้นำที่ดี ไม่ใช่ผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ และเจ้าสามารถทำงานได้ พวกเขาทุกคนสนับสนุนเจ้า—แต่สุดท้ายแล้วใครได้ประโยชน์?  เจ้านั่นเอง  นี่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีหรือไม่?  ไม่ใช่  ประการแรก เจ้าไม่ได้เป็นพยานให้พระเจ้า และประการที่สอง เจ้าไม่ได้ค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ผลสุดท้ายก็คือเจ้าได้ปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าและของทุกคน เจ้าได้ปกป้องสถานะของตนเอง แต่ไม่มีใครปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักร  มีการปรองดองกันอย่างยอดเยี่ยมในหมู่พวกเจ้าทุกคน แต่งานที่สำคัญยิ่งแห่งพระนิเวศของพระเจ้ากลับถูกละเลย  ไม่มีใครสนใจหรือคำนึงว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าควรสอดคล้องกับหลักธรรมและข้อกำหนดของพระเจ้าอย่างไร  นี่คือการทรยศผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ามิใช่หรือ?  เจ้าได้ทรยศความจริง ทรยศข้อกำหนดของพระเจ้า รวมทั้งงานและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อให้ตัวเองสามารถประจบเอาใจทุกคนได้  สุดท้ายแล้ว ทั้งเจ้าและทุกคนต่างก็ได้ประโยชน์  นี่คือผู้คนที่น่ารังเกียจและต่ำช้า เป็นกลุ่มก้อนของคนทรยศ  นี่คือเส้นทางที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้กัน  ด้วยการทรยศผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อเอาใจทุกคนและรักษาสถานะของเจ้าเอาไว้ เจ้าย่อมลงเอยด้วยการได้รับการค้ำชูและสนับสนุนจากทุกคน ดังนั้นพวกเขาจะได้เลือกเจ้าเป็นผู้นำของพวกเขาอยู่เสมอ  เจ้าได้เสริมสร้างสถานะของตนให้มั่นคงแล้ว แต่มีการดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและความจริงในคริสตจักรแล้วหรือยัง?  (ยัง)  ทั้งหมดนั้นถูกเจ้าขัดขวาง  ไม่มีการดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในคริสตจักรที่เจ้าควบคุมอยู่  ไม่มีการนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติในหมู่พี่น้องชายหญิง และพระวจนะก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในหัวใจของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อที่จะกลายเป็นชีวิตของพวกเขา  ตัวการสำคัญของเรื่องนี้คือใคร?  คือเจ้า  เจ้ากลายเป็นสิ่งกีดขวางและอุปสรรคของการดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในคริสตจักร—พระเจ้าจะไม่กริ้วเจ้าได้อย่างไร?  เจ้าควรถูกแทนที่แล้วมิใช่หรือ?  ถ้าถึงเวลาที่เจ้าจะถูกแทนที่ แต่กลับไม่มีใครเห็นด้วย เจ้าจะกลายเป็นอย่างไร?  เจ้าย่อมจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์  คนที่เคารพบูชาและติดตามเจ้าก็พลอยถูกเจ้าพาเดินไปบนเส้นทางที่ผิดกันหมด สูญเสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด และกลายเป็นลูกแกะที่เจ้าใช้เป็นเครื่องบูชา  คริสตจักรที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้ากลายเป็นอาณาจักรของศัตรูพระคริสต์  เหล่านี้คือผลสืบเนื่อง  เหตุใดจึงไม่มีใครเห็นด้วยกับการที่เจ้าจะถูกแทนที่?  เจ้าซื้อพวกเขาเอาไว้หมดแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็มองเจ้าเป็นพระเจ้า  เจ้าเข้าไปแทนที่พระเจ้าในหัวใจของพวกเขาโดยยึดครองหัวใจของพวกเขาไปหมดแล้ว  พวกเขาไม่มีพระเจ้าหรือความจริงในหัวใจของตนอีกต่อไป พวกเขากำลังถูกเจ้าจับเป็นเชลยและควบคุมเอาไว้  นี่ไม่ต่างจากวิธีที่ซาตานใช้ควบคุมและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  พระเจ้าทรงวางผู้คนเหล่านี้ไว้ในมือเจ้า แต่เจ้ากลับปล้นและชิงตัวพวกเขาไป  นี่คือศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  นี่คือศัตรูของพระคริสต์โดยแท้จริง  ศัตรูของพระคริสต์มีบทบาทอย่างไรในคริสตจักร?  เรื่องนี้ชัดเจนโจ่งแจ้งและเห็นได้ง่าย  ศัตรูของพระคริสต์คือตัวแทนของซาตานที่ทำทุกอย่างตามที่ซาตานต้องการ และสัมฤทธิ์เป้าหมายของซาตานในการควบคุมและชักพาผู้คนให้หลงผิด  เมื่อทำเช่นนี้ พวกเขาก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน และควรถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษ

ตอนนี้ทุกคนที่ทำหน้าที่ผู้นำและคนทำงานต่างก็กลัวว่าจะเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์  เมื่อเป็นดังนี้ เจ้าจะทำอย่างไรได้เพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์แบบนี้?  ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจว่าหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติและงานที่เจ้าทำคือพระบัญชาจากพระเจ้า และเจ้าต้องทำงานของเจ้าตามข้อกำหนดของพระเจ้า  เมื่อทำดังนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะมีวัตถุประสงค์และทิศทางในใจ และเจ้าจะสามารถแสวงหาความจริงและมองหาเส้นทางภายในพระวจนะของพระเจ้าได้  จากนั้นเจ้าก็ควรนำทุกคนสามัคคีธรรมถึงบทตอนที่เกี่ยวข้องในพระวจนะของพระเจ้า และทำให้พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระองค์ เพื่อให้ได้รับความสว่างมากขึ้นจากพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและความจริง แล้วจากนั้นก็สามารถปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง  นี่คือการออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง  ตามแก่นแท้แล้ว งานของคริสตจักรก็คือการนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้มาเข้าใจและเข้าสู่ความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าทรงแสดง  นี่คืองานขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของคริสตจักร  ดังนั้น ไม่ว่ากำลังแก้ไขปัญหาใดกันอยู่ ก็ไม่อาจแยกการชุมนุมออกจากการอ่านบทตอนในพระวจนะของพระเจ้าที่สัมพันธ์กันหรือแยกออกจากการสามัคคีธรรมความจริงได้  ท้ายที่สุดแล้วถ้าเจ้าสามารถสามัคคีธรรมความจริงและหลักธรรมของการปฏิบัติได้จนชัดเจน ทุกคนก็จะเข้าใจความจริงและรู้ว่าจะปฏิบัติความจริงอย่างไร  ไม่ว่าเจ้ากำลังกินและดื่มแง่มุมใดของความจริงในระหว่างการชุมนุม เจ้าก็ต้องสามัคคีธรรมในลักษณะนี้และแสวงหาความจริงตามปัญหาที่เจ้าเผชิญอยู่  ผู้ที่เข้าใจความจริงต้องนำการสามัคคีธรรม จากนั้นผู้ที่ได้รับความรู้แจ้งแล้วย่อมสามารถสามัคคีธรรมต่อได้  ด้วยวิธีนี้ ยิ่งพวกเขาสามัคคีธรรม พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะยิ่งทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา และยิ่งพวกเขาสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็จะยิ่งมีความชัดแจ้งมากขึ้น  เมื่อทุกคนเข้าใจความจริง พวกเขาก็จะสัมฤทธิ์การปลดปล่อยและอิสรภาพโดยสมบูรณ์ และมีเส้นทางให้เดินตาม  นี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่การชุมนุมหนึ่งๆ จะสัมฤทธิ์ได้  เมื่อทุกคนสื่อสารกันเรื่องความเป็นจริงความจริงจนชัดเจนด้วยสามัคคีธรรมแบบนี้ เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะเข้าใจความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  หลังจากที่ผู้คนเข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาจะรู้วิธีได้รับประสบการณ์และรู้วิธีปฏิบัติความจริงไปเอง  เมื่อพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างถูกต้อง พวกเขาย่อมจะได้มาซึ่งความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อคนคนหนึ่งได้มาซึ่งความจริงไว้แล้ว พวกเขาก็ย่อมจะมีพระเจ้ามิใช่หรือ?  ถ้าใครบางคนมีพระเจ้าแล้ว พวกเขาย่อมจะได้รับความรอดจากพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ในงานของผู้นำหรือคนทำงานของเจ้า ถ้าเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เช่นนี้ได้ เจ้าก็ย่อมจะทำงานของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เจ้าย่อมจะลุล่วงหน้าที่ของเจ้าได้ตามมาตรฐาน และเจ้าจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนเข้าใจความจริง พวกเขาจะยังคงบูชา ยอมรับนับถือ และติดตามเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนจะเพียงกล่าวชมเชยเจ้า เคารพเจ้า เต็มใจที่จะติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้า และเต็มใจที่จะฟังสามัคคีธรรมของเจ้าเพื่อให้พวกตนสามารถได้ประโยชน์จากสามัคคีธรรมนั้นๆ เท่านั้น  ผู้ที่เข้าใจความจริงย่อมสามารถเป็นความสว่างและเป็นเกลือ  นี่คือความหมายของการลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดีพอ  เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงและมีสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้นแล้ว พวกเขาย่อมสามารถสัมฤทธิ์การเข้ากันได้กับพระเจ้า ไม่เข้าใจพระองค์ผิด ไม่ต้านทาน หรือกบฏต่อพระองค์อีกต่อไป และจะสามารถยกชูและเป็นพยานให้พระเจ้าได้ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญปัญหาใดอยู่ก็ตาม  ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน ถ้าเจ้าปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านี้ ก่อนที่เจ้าจะทันรู้ตัว เจ้าย่อมจะนำผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว  ผู้คนที่เจ้านำย่อมจะสามารถปฏิบัติความจริง เข้าสู่ความเป็นจริง ยกชูพระเจ้า และเป็นพยานให้พระองค์ได้เช่นกัน  เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเจ้าย่อมจะทรงเห็นชอบในตัวผู้คนที่เจ้านำและจะทรงรับพวกเขาเอาไว้  ดังนั้น เมื่อผู้นำเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ก็ย่อมสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกประการ  ตราบใดที่สิ่งที่ผู้คนทำนั้นเป็นไปตามหลักธรรมความจริง ผลของการกระทำของพวกเขาย่อมจะมีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ ไร้ซึ่งผลข้างเคียงที่เลวร้ายใดๆ และพวกเขาย่อมจะมีพรและการคุ้มครองจากพระเจ้าในทุกเรื่อง  ต่อให้พวกเขาก่อให้เกิดความเบี่ยงเบนบ้างในบางครั้ง พระเจ้าก็จะประทานความรู้แจ้งและนำพวกเขา และพวกเขาก็จะพบการแก้ไขให้ถูกต้องในพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อผู้คนเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาย่อมจะได้รับพรและการคุ้มครองจากพระเจ้า

อะไรคือจุดประสงค์เบื้องหลังการที่พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติการลงคะแนนเสียงคัดเลือกและปรึกษาหารือกันตามแบบประชาธิปไตย?  ทำไมถึงต้องปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตย?  (เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนทำตัวเป็นกฎเสียเอง)  จริงๆ แล้วก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้  อย่างไรก็ดี เป้าหมายสุดท้ายของการปรึกษาหารือกันตามแบบประชาธิปไตยก็เพื่อใช้ความจริงแก้ปัญหา หลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดความเบี่ยงเบน และเพื่อกระทำการตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เพื่อเข้าใจความจริงและเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้อง  เพื่อค้นหาเส้นทางที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อนบนอบพระราชกิจของพระองค์ และนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เพื่อให้สำเร็จลุล่วงตามน้ำพระทัยของพระองค์  นอกจากนี้ยังเป็นไปเพื่อระแวดระวังการชักพาให้หลงผิดและการก่อกวนที่เกิดจากผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสนวุ่นวายภายในคริสตจักร และเพื่อปกป้องชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่ให้ประสบความสูญเสีย  การปรึกษาหารือกันตามแบบประชาธิปไตยสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้ได้  ถ้าไม่มีการสามัคคีธรรมความจริงหรือการปรึกษาหารือกันตามแบบประชาธิปไตยในคริสตจักร ก็ย่อมง่ายดายเหลือเกินที่จะเกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นและมีหมู่มารกับเหล่าซาตานมาใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ ส่งผลให้ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ครองอำนาจ  ในเมื่อทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ผู้นำและคนทำงานจึงมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะทำตัวเผด็จการ ยอมให้ตนเองเท่านั้นมีสิทธิ์ชี้ขาด และตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง  พระนิเวศของพระเจ้าดำเนินการลงคะแนนเสียงคัดเลือกคนตามแบบประชาธิปไตยก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้นำและคนทำงานทำตัวเป็นกฎเสียเองเท่านั้น รวมทั้งยับยั้งไม่ให้ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจในคริสตจักร ไม่ให้เป็นคนกลุ่มเดียวที่มีอำนาจในการตัดสินใจ และไม่ให้คริสตจักรตกอยู่ภายใต้การควบคุมของครอบครัวของพวกเขา  ทั้งหมดนั้นก็เพื่อยับยั้งวิธีการแบบอำนาจนิยมและแบบศัตรูของพระคริสต์  อย่างไรก็ดี นี่ไม่ได้หมายความว่าพระนิเวศของพระเจ้ากำลังให้สิทธิ์ชี้ขาดแก่พี่น้องชายหญิงโดยการปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตย และย่อมไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งต้องตัดสินใจด้วยการปรึกษาพี่น้องชายหญิงอย่างแน่นอน  พระนิเวศของพระเจ้ามีทั้งหลักประชาธิปไตยและการรวมอำนาจ  จึงเป็นเรื่องจำเป็นมากที่จะต้องดำเนินการในหนทางนี้  ข้อสรุปที่ได้จากการปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียวนั้นรับประกันได้หรือไม่ว่าสอดคล้องกับความจริง?  ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความจริง  ดังนั้น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ต้องมีการรวมอำนาจ  การรวมอำนาจหมายถึงอะไร?  หมายถึงการรวบรวมความคิดเห็นของทุกคนเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องสอดคล้องกับความจริงและเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกประการ  เมื่อการปรึกษาหารือตามแบบประชาธิปไตยไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เมื่อนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เหล่านี้ก็คือการรวมอำนาจ  วิธีปฏิบัติของการรวมอำนาจก็คือ หลังจากสามัคคีธรรมถึงประเด็นปัญหานั้นๆ แล้ว ถ้ากลุ่มผู้ตัดสินใจไม่สามารถลงมติ และไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องรายงานเรื่องนี้ให้เบื้องบนรู้เพื่อให้เบื้องบนตัดสินใจ  เนื่องจากเบื้องบนเข้าใจความจริงและมีหลักธรรม การตัดสินใจของเบื้องบนจึงถูกต้องแม่นยำและเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ถ้าผู้นำคริสตจักรหรือกลุ่มผู้ตัดสินใจไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงได้อย่างชัดเจนหรือไม่สามารถค้นพบหลักธรรมและเส้นทาง ถ้าพวกเขาไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร และไม่รายงานให้เบื้องบนทราบหรือขอให้เบื้องบนตัดสินใจภายใต้รูปการณ์เหล่านี้ แต่พวกเขากลับกำกับดูแลเอาเอง เช่นนั้นแล้วคริสตจักรแห่งนี้และกลุ่มผู้ตัดสินใจนี้ก็ถูกผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ควบคุมอยู่  ถ้าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสัมฤทธิ์ผลด้วยการสามัคคีธรรมความจริง และข้อสรุปที่พวกเขาได้ก็ถูกต้อง เบื้องบนย่อมเดินหน้าให้ความเห็นชอบ  ถ้าข้อสรุปของพวกเขายังคงมีการเบี่ยงเบน และไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงโดยสมบูรณ์ เช่นนั้นแล้วเบื้องบนก็จะแก้ไขข้อสรุปเหล่านั้นให้ถูกต้อง  ข้อผิดพลาดซึ่งบางครั้งก็เกิดขึ้นในการปรึกษาหารือตามแบบประชาธิปไตยจึงสามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างมีประสิทธิผลด้วยวิธีนี้  ด้วยการรวมอำนาจเช่นนี้ ก็เป็นไปได้ที่จะรับประกันว่าการปรึกษาหารือแบบประชาธิปไตยจะดำเนินไปตามปกติ ไม่ถูกรบกวน และพร้อมกันนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำและคนทำงานก็ไม่มีการเบี่ยงเบน  แม้พระนิเวศของพระเจ้าจะดำเนินการตามแบบประชาธิปไตย แต่ก็มีหลักธรรมในการทำเช่นนี้  หลักธรรมเหล่านี้คือต้องทำตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และคนเราต้องนบนอบพระเจ้าและทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสในทุกเรื่อง  ต้องมีการสัมฤทธิ์ผลเหล่านี้เพื่อให้เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายของการปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยของคริสตจักรต้องสอดคล้องกับความจริง  ถ้าไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นก็ต้องล้มเลิก  บางคนเชื่อว่าการปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยหมายความว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรรมีสิทธิ์ชี้ขาดในทุกเรื่อง ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะพูดอะไรก็ต้องเคารพและนำไปพิจารณา  นี่ถูกต้องหรือไม่?  พี่น้องชายหญิงมีความจริงหรือไม่?  (ไม่มี)  ถ้าปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจขั้นสุดท้ายในทุกเรื่อง นั่นจะต่างอะไรจากการยอมให้ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ตัดสินชี้ขาด?  ทั้งสองกรณีนี้ พวกเขาต่างก็ไม่มีความจริงและเป็นผู้คนที่เสื่อมทราม  ถ้าพวกเขาตัดสินชี้ขาด เช่นนั้นแล้วซาตานไม่ได้กุมอำนาจอยู่หรือ?  เพราะฉะนั้น การปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่าสิ่งใดที่พี่น้องชายหญิงกล่าวย่อมเป็นความจริง ถูกต้อง และต้องให้ความเคารพ  ไม่ใช่เช่นนั้น  ส่วนใหญ่แล้ว หลักประชาธิปไตยนั้นทำไปเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสพูดจา สนทนา สามัคคีธรรม และสามารถลุล่วงความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน และหน้าที่ของตนเอง  อย่างไรก็ดี อำนาจในการตัดสินใจย่อมอยู่ในมือของกลุ่มผู้ตัดสินใจ  การตัดสินใจย่อมทำโดยผู้ที่เข้าใจความจริง และเรื่องสำคัญทั้งหมดก็ตัดสินใจโดยเบื้องบน  เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมสามารถรับรองได้ว่าการตัดสินใจของคริสตจักรนั้นโดยรวมแล้วถูกต้อง หรือการตัดสินใจส่วนใหญ่ถูกต้อง และความเบี่ยงเบนก็มีแต่จะลดน้อยลงเรื่อยๆ  นี่คือความหมายเบื้องหลังการใช้วิธีลงคะแนนเสียงคัดเลือกและปรึกษาหารือกันแบบประชาธิปไตย  การปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลที่สอดคล้องกับความจริงในทุกเรื่องทั้งสิ้น เพื่อให้ไปถึงจุดที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผิดพลาดน้อยจนถึงไม่ผิดพลาดเลย และเพื่อรับรองว่าจะสามารถดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้โดยไม่ถูกขัดขวาง  หากไม่มีการลงคะแนนเสียงคัดเลือกและปรึกษาหารือกันตามแบบประชาธิปไตย ก็แน่นอนว่าย่อมมีคนชั่วมากมายใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ย่อมกระทำการอย่างเผด็จการ  นี่ไม่เพียงส่งผลต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่รวมถึงชีวิตคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรด้วย  ตั้งแต่พระนิเวศของพระเจ้าเริ่มให้ลงคะแนนเสียงคัดเลือกตามแบบประชาธิปไตย มีผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จที่ถูกเผยและถูกขับออกไป รวมทั้งคนชั่วที่ไม่มีโอกาสเอารัดเอาเปรียบอยู่เป็นจำนวนหนึ่ง  นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความเห็นชอบจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำและคนทำงานจำนวนหนึ่งด้วย  พวกเขาได้รับโอกาสที่จะฝึกฝนและถูกทำให้เพียบพร้อม  เหล่านี้คือผลลัพธ์อันชัดเจนของการลงคะแนนเสียงคัดเลือกตามแบบประชาธิปไตยและเป็นที่ประจักษ์ได้ของทุกฝ่าย  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนควรเข้าใจว่า การที่คริสตจักรปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยนั้นให้ประโยชน์และเป็นคุณต่อพระนิเวศของพระเจ้า ต่อคริสตจักร และผู้คน  เนื่องจากทุกคนในคริสตจักรคือสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า และไม่มีใครเป็นคนนอก แต่ละคนจึงมีสิทธิ์ที่จะพูดจา สนทนา ออกเสียง และคัดเลือกในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักร เป็นต้น  นี่คือสิทธิ์ของทุกคน  อย่างไรก็ดี การมีสิทธิ์นี้ไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีความจริง หรือยอมให้เจ้ากระทำการอย่างวู่วาม  หากเจ้าใช้สิทธิ์นี้ในทางที่ผิด พระนิเวศของพระเจ้าก็ควรยับยั้งเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าได้รับสิทธิ์นี้ก็เพื่อให้เจ้าปฏิบัติความจริงและรับมือเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง  เพื่อให้เจ้าค้ำชูผลประโยชน์ของคริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าสามารถตัดสินชี้ขาดและกระทำการอย่างวู่วาม  คริสตจักรสามารถอ้างอิงและนำสิ่งที่เจ้ากล่าวถูกต้องแล้วไปใช้  ถ้าบางสิ่งที่เจ้าพูดนั้นผิดและได้รับการคัดค้าน เจ้าก็ต้องไม่ดื้อรั้น  เจ้าควรฝึกฝนการยอมรับและการนบนอบ  การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมเป็นผลดีต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า

บทตัดตอน 75

ในงานของพวกเขา ผู้นำและคนทำงานทั้งหลายในคริสตจักรต้องให้ความสนใจกับหลักธรรมสองประการ ได้แก่ หนึ่งนั้นคือการทำงานของพวกเขาโดยสอดคล้องกับหลักธรรมที่กำหนดขึ้นโดยการจัดการเตรียมงานทั้งหลายโดยแน่ชัด ไม่มีวันละเมิดหลักธรรมเหล่านั้นและไม่ใช้สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาอาจจินตนาการและไม่ใช้แนวคิดอันใดของพวกเขาเองเป็นพื้นฐานในงานของพวกเขา  ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาควรแสดงความกังวลสนใจในงานของคริสตจักร และให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ามาก่อนเสมอ  อีกสิ่งหนึ่ง—และการนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด—ก็คือว่า ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาต้องมุ่งความสนใจไปที่การปฏิบัติตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยการรักษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างเข้มงวด  หากพวกเขายังคงสามารถต่อต้านการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือหากพวกเขาปฏิบัติตามแนวคิดของตนเองอย่างดื้อดึงและทำสิ่งทั้งหลายตามจินตนาการของตนเอง เช่นนั้นแล้วการกระทำทั้งหลายของพวกเขาก็จะประกอบขึ้นเป็นการต้านทานพระเจ้าที่รุนแรงที่สุด  การที่พวกเขาหันหลังให้กับความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นนิจมีแต่จะนำไปสู่ทางตันเท่านั้น  หากพวกเขาสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่สามารถทำงานได้ และต่อให้พวกเขาสามารถทำงานได้ด้วยเหตุใดก็ตาม พวกเขาก็จะไม่สำเร็จลุล่วงสิ่งใดเลย  เหล่านี้คือหลักธรรมสำคัญสองประการที่ผู้นำและคนทำงานต้องยึดปฏิบัติในขณะทำงาน หนึ่งนั้นคือการปฏิบัติงานของตนตามการจัดการเตรียมการของเบื้องบนอย่างเข้มงวด รวมทั้งกระทำการโดยสอดคล้องกับหลักธรรมที่เบื้องบนกำหนดไว้  และอีกประการก็คือการปฏิบัติตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในตัวพวกเขา  ทันทีที่จับความเข้าใจหลักธรรมสองประการนี้แล้ว พวกเขาจะไม่หมิ่นเหม่ถึงเพียงนั้นที่จะทำผิดพลาดในงานของพวกเขา  ประสบการณ์ของพวกเจ้าในการทำงานของคริสตจักรยังคงมีจำกัด และเมื่อพวกเจ้าทำงาน แนวคิดของพวกเจ้าเองก็ปะปนเข้ามาในงานอย่างมาก  บางครั้ง พวกเจ้าอาจไม่เข้าใจความรู้แจ้งหรือการทรงนำภายในตัวเจ้าซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่บางที พวกเจ้าก็ปรากฏเหมือนว่าเข้าใจความรู้แจ้งหรือการทรงนำนั้น แต่พวกเจ้าก็มีแววว่าจะเพิกเฉยต่อการนั้น  พวกเจ้าจินตนาการหรืออนุมานในลักษณะของมนุษย์อยู่เสมอ โดยกระทำการตามที่พวกเจ้าคิดว่าสมควร โดยไม่มีความกังวลสนใจในเจตนารมณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์เลย  เจ้าทำงานของเจ้าไปตามแนวคิดของเจ้าเองเพียงประการเดียว โดยพักวางความรู้แจ้งอันใดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอยู่เนืองนิจ  การทรงนำภายในจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เหนือธรรมชาติ ในข้อเท็จจริงนั้น นั่นเป็นปกติอย่างมาก  กล่าวคือ ในส่วนลึกของหัวใจของเจ้า เจ้ารู้สึกว่านี่คือหนทางอันเหมาะควรที่จะปฏิบัติตน และว่านี่เป็นหนทางที่ดีที่สุด  อันที่จริงแล้วความคิดนี้ค่อนข้างชัดเจนและไม่ได้เกิดจากการไตร่ตรอง บางครั้งเจ้าก็ไม่เข้าใจอย่างเต็มที่ว่าเหตุใดเจ้าจึงควรกระทำการในหนทางนี้  บ่อยครั้งที่การนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  นี่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดกับผู้คนที่มีประสบการณ์  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเจ้าให้ทำสิ่งที่เหมาะสมที่สุด  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่เจ้าคิดขึ้นมา แต่เป็นความรู้สึกในหัวใจของเจ้าที่ทำให้เจ้าตระหนักว่านี่คือหนทางที่ดีที่สุดในการลงมือทำ และเจ้าก็ชอบที่จะทำในหนทางนั้นโดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด  นี่อาจจะมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  แนวคิดของคนเราเองบ่อยครั้งมาจากการคิดและการพิจารณา และล้วนแต่เจือปนด้วยเจตจำนงของตนเอง พวกเขาคิดเสมอว่ามีประโยชน์และความได้เปรียบอันใดให้กับตนเอง ทุกการกระทำที่มนุษย์ตัดสินใจลงมือมีสิ่งเหล่านี้อยู่ภายใน  อย่างไรก็ตาม การทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่มีทางบรรจุการเจือปนเช่นนั้นเลย  จำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจอย่างระมัดระวังต่อการทรงนำหรือความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นปัญหาที่เป็นกุญแจสำคัญ เจ้าต้องระมัดระวังเพื่อที่จะจับความเข้าใจการทรงนำหรือความรู้แจ้งนั้น  ผู้คนซึ่งชอบที่จะใช้สมองของพวกเขา และชอบที่จะกระทำการตามแนวคิดของพวกเขาเอง เป็นผู้ที่หมิ่นเหม่ที่สุดที่จะพลาดการทรงนำหรือความรู้แจ้งเช่นนั้น  ผู้นำและคนทำงานที่ดีพอคือผู้คนที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งเอาใจใส่ในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในทุกขณะ เชื่อฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า และไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย  เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและเพื่อเป็นพยานต่อพระองค์อย่างถูกต้องเหมาะสม  เจ้าควรคิดทบทวนแรงจูงใจและสิ่งที่มีการปลอมปนในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าบ่อยๆ  และแล้วจึงลองพยายามที่จะดูว่า มีงานมากเพียงใดที่ได้รับแรงจูงใจจากแนวคิดของมนุษย์ มีมากเพียงใดที่เกิดจากความรู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมีมากเพียงใดที่พ้องกับพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าต้องคิดทบทวนอย่างสม่ำเสมอและในทุกสถานการณ์ว่าคำพูดและความประพฤติของเจ้าสอดคล้องกับความจริงหรือไม่  การปฏิบัติอยู่เนืองนิจในลักษณะนี้จะวางเจ้าไว้บนร่องครรลองที่ถูกต้องของการรับใช้พระเจ้า  มีความจำเป็นที่จะต้องครองความเป็นจริงความจริงเพื่อสัมฤทธิ์การรับใช้พระเจ้าในหนทางที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์  มีเพียงหลังจากที่พวกเขาเข้าใจความจริงแล้วเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถแยกแยะและตระหนักรู้ในสิ่งที่ผุดขึ้นมาจากแนวคิดของพวกเขาเองและสิ่งที่อุบัติขึ้นมาจากแรงจูงใจของมนุษย์  พวกเขามีความสามารถที่จะระลึกได้ถึงราคีของมนุษย์ ตลอดจนสิ่งที่เป็นความหมายของการปฏิบัติตนไปตามความจริง  มีเพียงหลังจากที่พวกเขาสามารถหยั่งรู้ได้แล้วเท่านั้น จึงจะสามารถแน่ใจได้ว่าพวกเขาสามารถนำความจริงไปปฏิบัติและสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน  หากไม่มีการเข้าใจความจริง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะปฏิบัติการหยั่งรู้  บุคคลที่สับสนมึนงงอาจเชื่อในพระเจ้าทั้งชีวิตของเขา โดยไม่รู้ว่าการให้ความเสื่อมทรามของตัวเขาเองถูกเปิดเผยนั้นหมายความว่าอย่างไร หรือการต้านทานพระเจ้านั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะเขาไม่เข้าใจความจริง ความคิดนั้นไม่มีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเขาเสียด้วยซ้ำ  ความจริงอยู่เกินเอื้อมถึงสำหรับผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำเกินไป ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจ  ผู้คนเช่นนั้นสับสนมึนงง  ในความเชื่อของพวกเขา ผู้คนที่สับสนมึนงงไม่สามารถให้คำพยานต่อพระเจ้าได้ พวกเขาสามารถเพียงแค่ทำการปรนนิบัติได้เล็กน้อยเท่านั้น  หากบรรดาผู้นำและคนทำงานจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี เช่นนั้นแล้วขีดความสามารถของพวกเขาก็ไม่อาจแย่เกินไป  อย่างน้อยที่สุด พวกเขาต้องเข้าใจสิ่งทั้งหลายทางฝ่ายวิญญาณและจับใจความสิ่งทั้งหลายอย่างถ้วนทั่ว เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงและปฏิบัติความจริงได้โดยง่าย  ประสบการณ์ของบางคนตื้นเขินเกินไป ดังนั้นบางครั้งความเข้าใจที่พวกเขามีต่อความจริงจึงมีความเบี่ยงเบน แล้วจากนั้นพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะทำผิดพลาด  เมื่อความเข้าใจของผู้คนมีความเบี่ยงเบน พวกเขาก็ไม่สามารถทำกิจของการปฏิบัติความจริง  เมื่อความเข้าใจที่พวกเขามีต่อความจริงเกิดเบี่ยงเบน พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะทำตามกฎเกณฑ์ และเมื่อพวกเขาทำตามกฎเกณฑ์ ก็เป็นการง่ายที่จะผิดพลาด แล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถทำกิจของการปฏิบัติความจริง  เมื่อความเข้าใจมีความเบี่ยงเบน ย่อมเป็นการง่ายเช่นกันที่จะถูกศัตรูของพระคริสต์หลอกลวงและใช้งาน  ดังนั้นความเข้าใจที่มีความเบี่ยงเบนสามารถนำไปสู่ความผิดพลาดมากมาย  ผลก็คือ ไม่เพียงพวกเขาจะล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีเท่านั้น พวกเขายังสามารถหลงทางได้อย่างง่ายดายอีกด้วย อันเป็นการทำร้ายการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  อะไรคือคุณค่าของการที่ใครคนหนึ่งทำหน้าที่ของตนเช่นนี้?  พวกเขาได้กลายเป็นคนที่ก่อกวนและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักอย่างแท้จริง  ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องมีการเรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลวเหล่านี้  เพื่อที่จะลุล่วงงานที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ทำ จำเป็นที่ผู้นำและคนทำงานจะต้องทำความเข้าใจหลักธรรมสองประการนี้ กล่าวคือ ในการปฏิบัติหน้าที่ คนเราต้องยึดปฏิบัติตามการจัดการเตรียมงานของเบื้องบนอย่างเคร่งครัด ต้องสนใจและเชื่อฟังการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า  มีเพียงเมื่อหลักธรรมสองประการนี้ได้รับการจับความเข้าใจแล้วเท่านั้น งานของคนเราจึงจะสามารถมีประสิทธิผลและน้ำพระทัยของพระเจ้าจึงจะได้รับการสนอง

บทตัดตอน 76

คนประเภทใดในคริสตจักรที่โอหังที่สุด?  ความโอหังของพวกเขาสำแดงออกมาอย่างไร?  ความโอหังของพวกเขาถูกเปิดโปงมากที่สุดในเรื่องใด?  พวกเจ้าแยกแยะออกหรือไม่?  แท้จริงแล้วผู้คนที่โอหังที่สุดในคริสตจักรก็คือคนเลวและศัตรูของพระคริสต์  ความโอหังของพวกเขานั้นมีมากกว่าผู้คนปกติมากนัก ถึงขั้นไร้ซึ่งเหตุผล  นี่มองเห็นง่ายที่สุดในสถานการณ์แบบใด?  เวลาที่พวกเขาถูกตัดแต่งและจัดการนั่นเองที่เปิดโปงอุปนิสัยอันโอหังของพวกเขาออกมาอย่างชัดแจ้งที่สุด  ไม่ว่าความประพฤติชั่วของศัตรูของพระคริสต์พวกนี้จะร้ายแรงเพียงใด หากใครบางคนจัดการพวกเขา พวกเขาก็จะเดือดดาลและกล่าวว่า “คุณเป็นใครถึงมาวิจารณ์และสั่งสอนฉัน?  คุณนำคนได้กี่คน?  คุณประกาศคำเทศนาได้หรือเปล่า?  คุณสามัคคีธรรมความจริงได้หรือ?  ถ้าคุณมาทำหน้าที่แทนฉัน คุณก็จะทำได้ไม่ดีเท่าฉันหรอก!”  พวกเจ้าฟังแล้วคิดอย่างไร?  พวกเขามีท่าทีของการยอมรับความจริงแม้สักนิดหรือไม่?  หากพวกเจ้ามีท่าทีเช่นนี้กับการถูกตัดแต่งและถูกจัดการ ก็ย่อมเป็นปัญหา  นี่พิสูจน์ว่าพวกเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใด และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย  คนแบบเดิมที่เสื่อมทรามอย่างหนักเช่นนี้จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้หรือไม่?  พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของการรับใช้พระเจ้าได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้เพราะผู้คนเช่นนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานด้วยซ้ำ  การเป็นผู้นำหรือคนทำงานนั้น อย่างน้อยที่สุดคนเราจำเป็นต้องมีประสบการณ์จริงบ้าง เข้าใจความจริงบางอย่าง มีความเป็นจริงบางอย่าง และมีการเชื่อฟังในระดับพื้นฐานที่สุด ซึ่งก็คืออย่างน้อยที่สุดคนเราต้องสามารถยอมรับการถูกตัดแต่งและถูกจัดการได้—เฉพาะคนแบบนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นผู้นำหรือคนทำงาน  หากใครบางคนไม่มีความเป็นจริงความจริงใดๆ เลย ยังคงโต้เถียงและต้านทานเวลาที่ตนถูกตัดแต่งและจัดการ ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด และหากคนเช่นนี้รับใช้พระเจ้า พวกเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาย่อมจะต้านทานพระเจ้า พวกเขาจะไม่ปฏิบัติความจริงไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอะไรอยู่ก็ตาม และพวกเขายิ่งจะไม่รับมือเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมอีกด้วย  เพราะฉะนั้น หากผู้คนที่ไม่มีความเป็นจริงความจริงใดๆ รับหน้าที่ผู้นำหรือคนทำงาน ก็แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะเดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์และต้านทานพระเจ้า  เหตุใดพอทำหน้าที่ของตนไปเพียงเล็กน้อย ผู้นำและคนทำงานหลายคนจึงถูกเปิดโปง?  นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง กลับแสวงหาเกียรติยศ ผลกำไร และสถานะแทน ผลก็คือพวกเขาย่อมออกเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ไปเอง  ส่วนพวกเจ้าทุกคนนั้น หากพวกเจ้าได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบคริสตจักรสักแห่ง แล้วไม่มีใครคอยตรวจสอบพวกเจ้าสักหกเดือน พวกเจ้าย่อมจะลงเอยด้วยการเดินไปบนเส้นทางที่ผิดและทำตามใจชอบ  หากปล่อยให้พวกเจ้าตัดสินใจเองสักหนึ่งปี พวกเจ้าก็จะลงเอยด้วยการชักนำให้ผู้อื่นหลงผิด แล้วพวกเขาทุกคนก็จะมุ่งกล่าววาจาและวลีตามคำสอน มุ่งเปรียบเทียบว่าใครดีกว่าใครเท่านั้น  หากปล่อยให้พวกเจ้าตัดสินใจเอาเองสักสองปี พวกเจ้าก็จะนำผู้คนมาเบื้องหน้าตนเอง ผู้คนก็จะเชื่อฟังพวกเจ้าและไม่เชื่อฟังพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ คริสตจักรก็จะเสื่อมและกลายเป็นเคร่งศาสนา  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พวกเจ้าเคยนึกถึงคำถามแบบนี้บ้างหรือไม่?  เมื่อคนคนหนึ่งนำคริสตจักรในหนทางนี้ พวกเขาย่อมเดินอยู่บนเส้นทางอันใด?  เส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์  พวกเจ้าจะเป็นเช่นนี้หรือไม่?  พวกเจ้าจะมอบความจริงเล็กน้อยที่พวกเจ้าเข้าใจอยู่ในตอนนี้ให้แก่ผู้คนได้นานเท่าใด?  พวกเจ้าจะสามารถนำผู้คนให้เดินอยู่ในครรลองที่ถูกต้องแห่งความเชื่อในพระเจ้าได้หรือ?  หากผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรตั้งคำถามขึ้นมามากๆ พวกเจ้าจะตอบพวกเขาด้วยการสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง และเจ้าเอาแต่ประกาศถ้อยคำและวลีบางอย่างตามคำสอน เช่นนั้นแล้ว หลังจากที่ฟังเจ้าไปสักสองครั้ง ผู้คนย่อมจะหมดความอดทน และเมื่อเจ้าประกาศถ้อยคำและวลีตามคำสอนต่อไป พวกเขาก็จะเอือมระอาและดูออก—ซึ่งในกรณีนั้นจะประกาศให้พวกเขาฟังต่อไปเพื่ออะไร?  หากเจ้าเป็นคนที่มีเหตุผล เจ้าก็ควรเลิกประกาศคำสอนแก่ผู้อื่น เจ้าควรหยุดสั่งสอนผู้คนจากที่สูง เจ้าควรยืนอยู่ระดับเดียวกับผู้อื่น และเจ้าควรกิน ดื่ม และมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าร่วมกับพวกเขา  ทั้งหมดนี้คือลักษณะที่สำแดงถึงผู้คนที่มีเหตุผล  ผู้ที่โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเป็นพิเศษย่อมสูญเสียเหตุผลของตนโดยง่าย ดึงดันที่จะประกาศถ้อยคำและวลีตามคำสอนแก่ผู้อื่น หรือพยายามที่จะอวดตนด้วยการเสาะแสวงและเรียนรู้ทฤษฎีฝ่ายวิญญาณอันลุ่มลึกให้มากขึ้น ซึ่งทำให้ตนเองกลายเป็นคนที่พยายามหลอกลวงผู้อื่น  การทำเช่นนี้คือการต้านทานพระเจ้า  เจ้าชัดเจนหรือไม่ว่าจะเกิดผลเช่นใดหากเจ้าประกาศในหนทางนี้ต่อไป?  เจ้าชัดแจ้งหรือไม่ว่าเจ้าจะนำผู้คนไปยังที่แห่งใด?  เมื่อเจ้าเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ นำผู้คนมาเบื้องหน้าเจ้า และให้พวกเขาเคารพบูชาและเชื่อฟังเจ้า นี่เป็นปัญหาแบบใด?  เจ้ากำลังแข่งขันชิงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปจากพระองค์อยู่มิใช่หรือ?  นี่คือการพาผู้คนซึ่งเดิมทีต้องการที่จะเชื่อในพระเจ้า กลับคืนมาหาพระเจ้า และน้อมรับพระเจ้าเอาไว้ มาอยู่เบื้องหน้าเจ้า ทำให้พวกเขาเชื่อฟังเจ้า ทำตามที่เจ้าบอก และให้พวกเขาทำเหมือนเจ้าเป็นพระเจ้า  แล้วผลของการนี้จะเป็นเช่นไร?  ผู้คนเหล่านี้ซึ่งเดิมทีเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอด แต่กลับลงเอยด้วยการถูกเจ้าหลอกลวง—ไม่เพียงพวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดเท่านั้น แต่พวกเขาจะทุกข์ทนกับความพินาศและถูกทำลายล้างอีกด้วย  ด้วยการทำเช่นนี้ เจ้ากำลังชักนำผู้คนให้หลงผิด เจ้ากำลังทำร้ายพวกเขาอย่างมาก เจ้ากำลังทอดทิ้งผู้ที่เชื่อในพระเจ้า  เจ้ามีความผิดในเรื่องใด?  เจ้าจะชดใช้พวกเขาได้อย่างไร?  เจ้าหลอกผู้เชื่อใหม่ให้หลงเข้าไปอยู่ในเงื้อมมือของเจ้า ทำให้พวกเขาเป็นลูกแกะของเจ้า พวกเขาทุกคนฟังเจ้า พวกเขาล้วนติดตามเจ้า และในหัวใจของเจ้า เจ้าก็คิดจริงๆ ว่า “บัดนี้ฉันมีอำนาจแล้ว มีผู้คนฟังฉันมากมายนัก และคริสตจักรก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างตามที่ฉันต้องการ”  ธรรมชาติของการทรยศในตัวมนุษย์นี้ทำให้เจ้าเปลี่ยนพระเจ้าให้เป็นเพียงหุ่นเชิดโดยไม่รู้สึกตัว และจากนั้นเจ้าย่อมก่อตั้งศาสนาหรือนิกายบางอย่างขึ้นมาด้วยตัวเจ้าเอง  ศาสนาและนิกายต่างๆ เกิดขึ้นมาอย่างไร?  ศาสนาและนิกายทั้งหลายเกิดขึ้นมาก็ด้วยวิธีนี้  จงดูผู้นำของแต่ละศาสนาและแต่ละนิกายเถิด—พวกเขาล้วนโอหังและมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ และการตีความพระคริสตธรรมคัมภีร์ของพวกเขาก็ขาดบริบทและถูกชี้นำโดยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเอง  พวกเขาล้วนพึ่งพาของประทานและความรู้ในการทำงานของตน หากพวกเขาประกาศไม่ได้เลย ผู้คนจะติดตามพวกเขากระนั้นหรือ?  จะว่าไปแล้ว พวกเขาก็พอมีความรู้อยู่บ้างและสามารถประกาศคำสอนบางอย่างได้ หรือรู้วิธีที่จะเอาชนะใจผู้อื่นและใช้เล่ห์กลบางอย่างให้เป็นประโยชน์  พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้หลอกลวงผู้คน และพาผู้คนมาอยู่เบื้องหน้าตนเอง  ผู้คนเหล่านั้นเชื่อในพระเจ้าก็เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาติดตามผู้นำเหล่านี้  เมื่อพวกเขาเผชิญหน้าใครบางคนที่ประกาศทางที่เที่ยงแท้จริง พวกเขาบางคนก็กล่าวว่า “พวกเราต้องปรึกษาผู้นำของพวกเราในเรื่องของความเชื่อ”  จงดูเถิดว่าพอเป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าและยอมรับหนทางที่แท้จริง ผู้คนจำเป็นต้องได้รับความยินยอมและความเห็นชอบจากผู้อื่นอย่างไร—นี่มิใช่ปัญหาหรอกหรือ?  เมื่อเป็นดังนี้ บรรดาผู้นำเหล่านั้นได้กลายเป็นอะไรไปแล้ว?  พวกเขามิได้กลายเป็นพวกฟาริสี ผู้เลี้ยงเทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ และอุปสรรคต่อการยอมรับหนทางที่แท้จริงของผู้คนไปแล้วหรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนี้เป็นคนจำพวกเดียวกันกับเปาโล  เหตุใดเราจึงกล่าวดังนี้?  จดหมายฝากของเปาโลได้รับการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์และตกทอดมานานสองพันปี  ตลอดยุคพระคุณ ผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามักจะอ่านถ้อยคำของเปาโลและใช้เป็นหลักเกณฑ์ของตน—ทนทุกข์ สยบร่างกายของตน และในที่สุดก็ครองมงกุฎแห่งความชอบธรรม...  ผู้คนทั้งปวงเชื่อในพระเจ้าตามวาจาและคำสอนของเปาโล  สองพันปีมานี้ผู้คนมากมายเหลือเกินเอาอย่างเปาโล เคารพบูชาเขา และทำตามเขา  พวกเขาทำเหมือนถ้อยคำของเปาโลคือองค์พระคัมภีร์ เอาถ้อยคำของเปาโลมาแทนที่พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า และไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่การเบี่ยงเบนหรอกหรือ?  นี่คือการเบี่ยงเบนอย่างใหญ่หลวง  ผู้คนสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้มากเท่าใดในช่วงระหว่างยุคพระคุณ?  จะว่าไปแล้ว ผู้ที่ติดตามพระเยซูในเวลานั้นเป็นคนส่วนน้อย และผู้ที่รู้จักพระองค์ก็ยิ่งมีจำนวนน้อยลงไปอีก—แม้กระทั่งสาวกของพระองค์ก็ไม่ได้รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง  หากผู้คนมองเห็นความสว่างสักนิดในพระคัมภีร์ ก็ไม่ควรจะคิดว่าพระคัมภีร์เป็นสิ่งแทนน้ำพระทัยของพระเจ้า และยิ่งไม่ควรมองว่าความรู้แจ้งอันน้อยนิดคือความรู้ของพระเจ้า  ผู้คนล้วนโอหังและทะนงตน และพวกเขามิได้ยึดถือพระเจ้าไว้ในหัวใจของตน  เมื่อพวกเขาเข้าใจคำสอนสักสองสามเรื่อง พวกเขาก็เริ่มทำอะไรเอง ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งนิกายต่างๆ มากมาย  ในยุคพระคุณ พระเจ้าไม่ได้ทรงเข้มงวดกับมนุษย์เลย  ศาสนาและนิกายทั้งหมดในพระนามของพระเยซูล้วนมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่บ้าง ตราบใดที่ไม่มีพวกวิญญาณชั่วทำงานอยู่ภายใน พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะทรงพระราชกิจในคริสตจักรไม่ว่าแห่งใด ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงสามารถชื่นชมพระคุณของพระเจ้า  ในอดีตไม่ว่าการเชื่อในพระเจ้าของผู้คนจะจริงแท้หรือเทียมเท็จ ไม่ว่าพวกเขาจะทำตามผู้อื่น หรือไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงก็ตาม พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงเคร่งครัดกับผู้คน เพราะพระองค์ได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วว่าในระยะสุดท้าย ทุกคนที่พระองค์ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าและเลือกสรรจะต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์และยอมรับการพิพากษาของพระองค์  หลังจากที่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าแล้ว หากผู้คนยังคงเคารพบูชาและทำตามผู้อื่นต่อไป หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับไล่ตามไขว่คว้าพรและมงกุฎแทน เช่นนั้นแล้ว เรื่องนี้ก็ยกโทษให้ไม่ได้  ผู้คนเช่นนี้ย่อมจะมีปลายทางเหมือนเปาโล  เหตุใดเราจึงมักจะยกตัวอย่างเปาโลและเปโตร?  นี่คือเส้นทางสองเส้น  ผู้เชื่อในพระเจ้าย่อมติดตามเส้นทางของเปโตรหรือไม่ก็เส้นทางของเปาโล  นี่คือเส้นทางที่มีอยู่เพียงสองทางเท่านั้น  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ติดตามหรือผู้นำก็เหมือนกัน  หากเจ้าออกเดินไปบนเส้นทางของเปโตรไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเปาโล  นี่ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีเส้นทางที่สาม  ผู้ที่ไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เสาะแสวงที่จะเข้าใจความจริง และไม่สามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ ต้องมีปลายทางเช่นเดียวกับเปาโลในท้ายที่สุด  หากเจ้าไม่เสาะแสวงที่จะรู้จักพระเจ้าหรือเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เอาแต่พากเพียรที่จะกล่าววาจาและวลีตามคำสอนให้ได้ ประกาศทฤษฎีฝ่ายวิญญาณได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ทำได้เพียงต้านทานและทรยศพระเจ้าเท่านั้น เพราะธรรมชาติของมนุษย์ย่อมต้านทานพระเจ้า  สิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริงแน่นอนว่าย่อมเกิดจากเจตจำนงของมนุษย์  สิ่งใดก็ตามที่เกิดจากเจตจำนงของมนุษย์ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีในสายตาของมนุษย์ ย่อมทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก  บางคนคิดว่าแม้ตนจะกระทำการไม่สอดคล้องกับความจริงในบางเรื่อง แต่ก็ไม่ได้กำลังทำความชั่วหรือต้านทานพระเจ้า  นี่ถูกต้องหรือไม่?  หากเจ้าไม่กระทำการตามความจริง เช่นนั้นแล้วก็แน่นอนว่าเจ้ากำลังละเมิดความจริง และโดยพื้นฐานแล้วการละเมิดความจริงก็คือการต้านทานพระเจ้า เพียงแต่มีระดับความรุนแรงต่างกัน  ต่อให้เจ้าไม่ถูกจัดว่าเป็นคนที่ต้านทานพระเจ้า พระเจ้าก็จะไม่ทรงชมเชยเจ้า เพราะเจ้าไม่ปฏิบัติความจริง และเจ้าก็ทำแต่สิ่งที่ไม่สัมพันธ์กับความจริงเท่านั้น กระทำการตามเจตจำนงของตัวเจ้าเองเท่านั้น  ต่อให้ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ทำความชั่ว พวกเขาจะสามารถขจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้หรือไม่?  หากพวกเขาขจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไม่ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้น  ต่อให้พวกเขาไม่ทำอะไรที่ต้านทานพระเจ้า พวกเขาก็เชื่อฟังพระเจ้าไม่ได้อยู่ดี และพระเจ้าก็จะไม่ทรงชมเชยผู้คนเยี่ยงนั้น

ก่อนหน้า: ความแตกต่างระหว่างการกล่าววาจาและวลีตามคำสอน กับความเป็นจริงของความจริง

ถัดไป: พระวจนะเรื่องพระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนอย่างไร

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger