พระวจนะว่าด้วยการรับใช้พระเจ้า

บทตัดตอน 70

หากว่าในฐานะผู้นำคริสตจักรหรือคนทำงาน เจ้าต้องนำทางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และเป็นคำพยานที่ดีให้พระเจ้า ที่สำคัญที่สุดคือนำผู้คนให้ใช้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมถึงความจริงในทางนี้มากขึ้น  เมื่อทำเช่นนี้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะสามารถมีความรู้อันลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอดและจุดประสงค์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า และสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ อันเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เมื่อเจ้าชุมนุมเพื่อสามัคคีธรรมและเทศนา เจ้าต้องพูดถึงคำพยานเชิงประสบการณ์ของเจ้าในแบบที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และไม่พอใจอยู่กับการประกาศคำพูดและคำสอน  เมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าต้องมุ่งเน้นไปที่การเข้าใจความจริง และทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริง เจ้าต้องพยายามนำความจริงไปปฏิบัติ และเฉพาะเมื่อเจ้าปฏิบัติความจริงเท่านั้น เจ้าจึงจะเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง  เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า จงพูดสิ่งที่เจ้ารู้  จงอย่าโอ้อวด จงอย่าพูดจาไร้ความรับผิดชอบ จงอย่าเพียงแต่กล่าวคำพูดและคำสอน และจงอย่าพูดเกินจริง  หากเจ้าพูดเกินจริง ผู้คนจะรังเกียจเจ้า และเจ้าจะรู้สึกถูกตำหนิในภายหลัง และเจ้าจะรู้สึกสำนึกผิดและรำคาญใจ—และเจ้าจะหาเรื่องทั้งหมดนี้ใส่ตัวเจ้าเอง  หากเจ้าเพียงเทศนาคำพูดและคำสอนเพื่อสั่งสอนและตัดแต่งพวกเขา เจ้าจะสามารถทำให้ผู้คนเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้หรือไม่?  หากสิ่งที่เจ้าสามัคคีธรรมนั้นไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หากสิ่งนั้นไม่มีอะไรนอกจากคำพูดและคำสอน เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะตัดแต่งและสั่งสอนพวกเขามากเพียงใด การนั้นย่อมจะไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด  เจ้าคิดหรือว่าการที่ผู้คนกลัวเจ้า และทำสิ่งที่เจ้าบอกให้พวกเขาทำ และไม่กล้าคัดค้านนั้น เป็นอย่างเดียวกันกับการที่พวกเขาเข้าใจความจริงและนบนอบหรือไม่?  นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ การเข้าสู่ชีวิตไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้น  ผู้นำบางคนเป็นเหมือนผู้จัดการคนใหม่ที่พยายามสร้างความประทับใจที่แข็งแกร่ง พวกเขาพยายามบังคับใช้สิทธิอำนาจที่เพิ่งได้มากับผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เพื่อให้ทุกคนนบนอบพวกเขา โดยคิดว่านี่จะทำให้งานของพวกเขาง่ายขึ้น  หากเจ้าขาดพร่องความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นแล้ว ในไม่ช้าวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้าก็จะถูกเปิดเผย ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าจะถูกเปิดโปง และเจ้าอาจถูกกำจัดออกไปก็เป็นได้  ในงานบริหารบางอย่าง การตัดแต่ง และการบ่มวินัยเล็กน้อยเป็นที่ยอมรับได้  แต่หากเจ้าไม่สามารถสามัคคีธรรมถึงความจริง สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้อยู่ดี และนั่นจะกระทบกระเทือนผลของงาน  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในคริสตจักร หากเจ้ายังคงสั่งสอนผู้คนและโยนความผิดต่อไป—หากทั้งหมดที่เจ้าทำอยู่เสมอคือการกระทำด้วยลักษณะท่าทางที่อารมณ์ร้าย—เช่นนั้นแล้วนี่ก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ากำลังเผยตัวออกมา และเจ้าก็แสดงโฉมหน้าอันอัปลักษณ์แห่งความเสื่อมทรามของเจ้าออกมาแล้ว  หากเจ้าขึ้นไปยืนบนแท่นสูงและสั่งสอนผู้คนอยู่เสมอดังนี้ เช่นนั้นแล้วเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนจะไม่สามารถได้รับการจัดหาชีวิตจากเจ้า พวกเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง กลับจะรังเกียจเดียดฉันท์เจ้า และขยะแขยง  นอกจากนั้นจะมีผู้คนบางคนที่ได้รับอิทธิพลจากเจ้าเนื่องจากขาดพร่องวิจารณญาณ ผู้คนเหล่านี้จะสั่งสอนผู้อื่นและตัดแต่งพวกเขาเช่นเดียวกัน  พวกเขาจะโกรธและอารมณ์เสียเช่นเดียวกัน  เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของผู้คนได้เท่านั้น—แต่เจ้ายังส่งเสริมอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาอีกด้วย  และนั่นไม่ใช่การนำทางพวกเขาไปยังเส้นทางสู่ความพินาศหรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่การกระทำความชั่วหรอกหรือ?  ผู้นำควรนำทางโดยการสามัคคีธรรมความจริงและการจัดเตรียมชีวิตเป็นหลัก  หากเจ้าขึ้นไปยืนบนแท่นสูงและสั่งสอนผู้อื่นอยู่เสมอ พวกเขาจะสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  หากเจ้าทำงานในหนทางนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อผู้คนเริ่มเห็นเจ้าอย่างชัดเจนในสิ่งที่เจ้าเป็น พวกเขาก็จะละทิ้งเจ้าไป  เจ้าสามารถนำผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยการทำงานในลักษณะนี้ได้หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน ทั้งหมดที่เจ้าทำได้ก็คือการทำให้งานของคริสตจักรเสื่อมเสีย และทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งหมดเกลียดเจ้าและละทิ้งเจ้า  ในอดีตมีผู้นำและคนทำงานบางคนที่ถูกกำจัดออกไปเพราะเหตุนี้  พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นจริงได้ ไม่สามารถชักนำให้ผู้คนกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าได้ หรือไม่สามารถชักนำให้ผู้คนเข้าใจตนเองได้  พวกเขาไม่ได้ทำงานที่สำคัญนี้เลย พวกเขาเพียงมุ่งความสนใจไปที่การวางตัวพวกเขาเองไว้บนแท่นสูง พร้อมทั้งสั่งสอนผู้คน และออกคำสั่ง พลางคิดว่าโดยการทำเช่นนี้ พวกเขากำลังทำงานของผู้นำคริสตจักร  ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาไม่ได้ดำเนินการตามการจัดแจงเตรียมงานที่ออกโดยเบื้องบน ต่อให้พวกเขารู้ถึงการจัดแจงเตรียมงานเหล่านั้นก็ตาม และพวกเขาก็ไม่ได้ทำงานที่เฉพาะเจาะจงให้ดีด้วย  ทั้งหมดที่พวกเขาทำนอกเหนือจากการพ่นคำพูดและคำสอนทั้งหลายและการตะโกนคำขวัญทั้งหลายก็คือการวางตัวพวกเขาเองไว้บนแท่นสูง และสั่งสอนและตัดแต่งผู้คนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า  การกระทำเช่นนี้ทำให้ทุกคนหวาดกลัว และหลีกเลี่ยงผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ และผู้คนก็ไม่กล้ารายงานปัญหาทั้งหลายให้พวกเขารับรู้  โดยการปฏิบัติตนในหนทางนี้ ผู้นำและคนทำงานก็ทำให้งานของพวกเขาเสียหายและนำงานไปสู่การหยุดนิ่ง  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าปลดพวกเขาออกเท่านั้น พวกเขาจึงตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้ทำงานที่แท้จริงเลย  บางทีพวกเขาอาจรู้สึกสำนึกผิดมาก แต่ความเสียใจนั้นไม่มีประโยชน์อะไร  พวกเขายังคงถูกปลดและถูกกำจัดออกไปอยู่ดี

บทตัดตอน 71

พวกเจ้าทุกคนต่างต้องการที่จะเพียรพยายามเพื่อความจริง  ในอดีตเจ้าทุ่มเทความพยายามบางส่วนยามกลั่นกรองแง่มุมต่างๆ ของความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  บางคนได้รับประโยชน์เล็กน้อยจากการนี้ ขณะที่คนอื่นชอบแต่จะใช้ข้อบังคับเท่านั้นและหลงออกนอกทาง  ผลก็คือพวกเขานำแต่ละแง่มุมของความจริงมาเปลี่ยนเป็นข้อบังคับให้ปฏิบัติตาม  เมื่อพวกเจ้ากลั่นกรองความจริงออกมาเช่นนี้ เจ้าไม่ได้กำลังช่วยให้ผู้อื่นได้รับชีวิตหรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาจากภายในความจริง แต่เจ้ากำลังทำให้พวกเขาเชี่ยวชาญความรู้หรือคำสอนบางอย่างภายในความจริงนั้น  ราวกับว่าพวกเขาเข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า แต่ที่จริงแล้วพวกเขาแค่เชี่ยวชาญคำสอนและคำพูดไม่กี่คำเท่านั้น พวกเขาไม่เข้าใจความหมายที่มีอยู่ในความจริง  นี่ก็เหมือนกับการศึกษาเทววิทยาหรือพระคัมภีร์ หลังจากสรุปความรู้ทางพระคัมภีร์และทฤษฎีทางเทววิทยาไปบางส่วน ผู้คนก็ได้รับเพียงความเข้าใจในความรู้และทฤษฎีทางพระคัมภีร์เท่านั้น  พวกเขาเชี่ยวชาญเรื่องการเอ่ยคำพูดและคำสอนเหล่านั้นที่สุด แต่กลับไม่มีประสบการณ์จริงเลย  พวกเขาไม่มีความเข้าใจในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองและแทบไม่มีความเข้าใจในพระราชกิจของพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ  สุดท้ายแล้วสิ่งที่คนเหล่านี้ได้รับก็เป็นแค่คำสอนและความรู้เพียงไม่กี่เรื่อง มีแต่ข้อบังคับมากมาย  พวกเขาไม่ได้รับสิ่งใดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย  หากพระเจ้าทรงพระราชกิจใหม่ ผู้คนเหล่านี้จะสามารถยอมรับและนบนอบพระราชกิจนั้นได้หรือไม่?  เจ้าสามารถนำพระราชกิจมาจับคู่กับความจริงที่เจ้ากลั่นกรองออกมาได้หรือไม่?  หากเจ้าทำได้ อีกทั้งยังมีความเข้าใจอยู่บ้าง เช่นนั้นแล้วสิ่งทั้งหลายที่เจ้ากลั่นกรองออกมาก็ย่อมสัมพันธ์กับชีวิตจริงในระดับหนึ่ง  หากเจ้าไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นสิ่งทั้งหลายที่เจ้ากลั่นกรองออกมาก็เป็นเพียงข้อบังคับและไร้ซึ่งคุณค่า  เมื่อเป็นเช่นนั้น การกลั่นกรองความจริงในหนทางนี้เหมาะสมหรือไม่?  การนี้สามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  หากการนี้ไม่เกิดผลอันใดเลย เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีความหมายโดยสิ้นเชิง  การนี้เพียงแต่ทำให้ผู้คนศึกษาเทววิทยา  ไม่ได้ทำให้พวกเขามีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  นั่นเป็นเหตุผลที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องมีหลักธรรมเวลาเรียบเรียงหนังสือ  หนังสือเหล่านั้นต้องสามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงได้โดยง่าย มีเส้นทางในการเข้าสู่ และมีความสว่างภายในหัวใจของพวกเขา  สิ่งนี้ทำให้การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเป็นเรื่องง่าย  เจ้าไม่อาจเป็นเหมือนพวกคนในศาสนาผู้ศึกษาความรู้ทางพระคัมภีร์และเทววิทยาอย่างเป็นระบบ  การทำเช่นนั้นมีแต่จะนำผู้คนเข้าหาความรู้ทางพระคัมภีร์ พิธีกรรมทางศาสนา และข้อบังคับ รวมทั้งตีกรอบพวกเขาเท่านั้น  ไม่สามารถนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อให้เข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้  เจ้าคิดว่าโดยการถามคำถามไปทีละบรรทัดแล้วตอบคำถามเหล่านั้น หรือโดยการสรุปประเด็นหลักแล้วย่อและกลั่นกรองความจริงออกมาในไม่กี่บรรทัดจะทำให้ประเด็นเหล่านี้ชัดเจนในตัวเอง และทำให้เข้าใจง่ายสำหรับพี่น้องชายหญิงทั้งหลายของเจ้า  เจ้าคิดว่านี่คือวิธีการที่ดี  อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผู้คนอ่านจบ พวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายที่อยู่ภายในความจริง พวกเขาจะไม่มีวันจับคู่ความหมายกับความเป็นจริงได้  สิ่งเดียวที่พวกเขาเชี่ยวชาญก็คือคำพูดและคำสอนเพียงไม่กี่คำ  ด้วยเหตุนี้การไม่ทำสิ่งเหล่านี้ย่อมดีเสียกว่า!  การทำสิ่งเหล่านี้เป็นหนทางในการนำผู้คนให้เข้าใจและเชี่ยวชาญในความรู้  เจ้ากำลังนำผู้คนไปสู่คำสอนและศาสนา และทำให้พวกเขาเชื่อและติดตามพระเจ้าในบริบทของคำสอนทางศาสนา  นี่ไม่ใช่เส้นทางที่เปาโลนำพาผู้คนให้เข้าใจกับการเชื่อในพระเจ้าของตนอย่างแจ่มแจ้งหรือ?  พวกเจ้าคิดว่าการเข้าใจคำสอนทางฝ่ายวิญญาณมีความสำคัญเป็นพิเศษ แต่การมารู้จักพระวจนะของพระเจ้านั้นไม่สำคัญ  นี่คือความผิดพลาดอย่างร้ายแรง  มีผู้คนมากมายที่มุ่งเน้นว่าพวกเขาสามารถจดจำพระวจนะของพระเจ้าได้มากแค่ไหน พูดถึงคำสอนได้มากเพียงใด และค้นพบหลักเกณฑ์ฝ่ายวิญญาณได้มากขนาดไหน  นี่คือเหตุผลที่พวกเจ้าต้องการกลั่นกรองทุกแง่มุมของความจริงอย่างเป็นระบบอยู่เสมอเพื่อให้ทุกคนพูดสิ่งเดียวกันโดยพร้อมเพรียง ท่องคำสอนเดียวกัน มีความรู้อย่างเดียวกัน และปฏิบัติตามข้อบังคับชุดเดียวกัน  นี่คือเป้าหมายของพวกเจ้า  จึงดูเหมือนพวกเจ้าทำสิ่งนี้เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงได้ดีขึ้น แต่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังนำผู้คนเข้าสู่ข้อบังคับตามคำสอนในพระวจนะของพระเจ้า และไม่รู้ว่าพวกเขามีแต่จะพลัดหลงออกจากความเป็นจริงความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ  การช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงโดยแท้นั้น เจ้าต้องผสมผสานการอ่านพระวจนะของพระเจ้าเข้ากับความเป็นจริงและสภาวะอันเสื่อมทรามของผู้คน  เจ้าต้องคิดทบทวนและทำความเข้าใจปัญหาทั้งหลายภายในตัวเจ้า และคิดทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเผยออกมา  จากนั้นเจ้าต้องแก้ไขสิ่งเหล่านี้ด้วยการแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นหนทางเดียวในการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงของผู้คนและทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง  เพียงการได้รับผลจากการนี้เท่านั้น พวกเจ้าจึงนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริง  หากทั้งหมดที่เจ้าพูดถึงคือทฤษฎีทางฝ่ายวิญญาณ คำสอน และข้อบังคับ หากสิ่งเดียวที่เจ้ามุ่งเน้นคือการทำให้แน่ใจว่าผู้คนมีพฤติกรรมที่ดี หากทั้งหมดที่เจ้าสัมฤทธิ์ได้คือการทำให้ผู้คนพูดสิ่งเดียวกันและปฏิบัติตามข้อบังคับเดียวกัน แต่ไม่สามารถนำพวกเขาให้เข้าใจความจริง ก็ไม่ต้องพูดถึงการทำให้พวกเขาเข้าใจตัวเองดีขึ้นเพื่อให้พวกเขาสามารถกลับใจและเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นแล้ว ทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจก็คือคำพูดและคำสอน และเจ้าก็ไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย  ท้ายที่สุดแล้ว การเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เจ้าไม่สามารถได้รับความจริงเท่านั้น แต่เจ้าจะยังคงขัดขวางและสูญเสียตนเองไปอีกด้วย—เจ้าจะไม่สามารถได้รับสิ่งใดทั้งสิ้น

พวกเจ้าเคยสังเกตรูปแบบบางอย่างในวิธีที่พระเจ้าตรัสหรือไม่?  บางคนแสดงออกเช่นนี้ บทเสวนาของพระเจ้าทุกบทนั้นมีเนื้อหาหลากหลายแง่มุม  ความหมายของแต่ละบทตอนและแต่ละประโยคต่างกันออกไป  นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่มนุษย์จะจดจำได้ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้คนจะเข้าใจ  หากผู้คนปรารถนาที่จะสรุปแนวคิดหลักของทุกบทตอน พวกเขาจะไม่สามารถทำได้  ผู้ที่มีขีดความสามารถต่ำย่อมไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้  ไม่ว่าพวกเขาได้รับการสามัคคีธรรมด้วยวิธีใดก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าใจความจริงได้  พระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่นวนิยาย บทประพันธ์ หรืองานวรรณกรรม พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และเป็นถ้อยคำที่ให้ชีวิตแก่มนุษย์  พระวจนะเหล่านี้ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยเพียงการตรึกตรองของมนุษย์ และผู้คนไม่สามารถสรุปรูปแบบภายในพระวจนะเหล่านี้ได้ด้วยการทุ่มความพยายามเพิ่มขึ้นเล็กน้อย  นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าไม่สามารถโอ้อวด ไม่ว่าเจ้าพอมีความรู้เกี่ยวกับความจริงในแง่มุมใด และสามารถอธิบายบางอย่างได้ก็ตาม เพราะสิ่งที่เจ้าเข้าใจเป็นเพียงความรู้บางส่วนเท่านั้น  เป็นความเข้าใจเพียงแค่ผิวเผิน เป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร และแน่นอนว่ายังห่างไกลจากการเข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระเจ้า  บทเสวนาทุกบทจากพระเจ้ามีความจริงหลากหลายแง่มุม  ตัวอย่างเช่น บทเสวนาอันว่าด้วยความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า บทนี้หมายรวมถึงนัยสำคัญแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระราชกิจที่สัมฤทธิ์โดยการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และวิธีที่ผู้คนควรเชื่อในพระเจ้า  บทเสวนานี้อาจครอบคลุมไปถึงวิธีที่ผู้คนควรรู้จักและรักพระเจ้าด้วย  สิ่งนี้ครอบคลุมแง่มุมมากมายของความจริง  หากการทรงปรากฏในรูปมนุษย์มีความหมายไม่กี่ประการอย่างที่เจ้าจินตนาการ ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้หลายประโยค เช่นนั้นเหตุใดมนุษย์จึงมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้าเสมอ?  พระราชกิจของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์มีจุดมุ่งหมายที่จะสัมฤทธิ์ผลใดต่อผู้คน?  เพื่อให้ผู้คนได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและหวนคืนสู่พระองค์  สิ่งนี้เป็นไปเพื่อปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ ช่วยมนุษย์ให้รอดโดยตรง และทำให้มนุษย์ได้รู้จักพระเจ้า  หลังจากได้มารู้จักพระเจ้า ผู้คนย่อมจะเกิดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าขึ้นมาตามธรรมชาติ และกลายเป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะนบนอบพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้พระวจนะของพระเจ้าหรือความจริงในแง่มุมใดก็ตามจึงไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าจินตนาการ  หากเจ้ามองว่าพระวจนะของพระเจ้าและถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์นั้นแสนเรียบง่าย เชื่อว่าปัญหาใดก็ตามสามารถแก้ไขได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้าหนึ่งบทตอน เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้อย่างครบถ้วน  ต่อให้ความเข้าใจของเจ้าเป็นไปในแนวเดียวกับความจริง นี่ก็ยังเป็นเพียงด้านเดียว  บทเสวนาจากพระเจ้าทุกบทนั้นตรัสมาจากหลากหลายมุมมอง  มนุษย์ไม่สามารถสรุปหรือกลั่นกรองพระวจนะของพระเจ้าออกมาได้  หลังจากที่กลั่นกรองพระวจนะเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าก็คิดว่าพระวจนะของพระเจ้าหนึ่งบทตอนกล่าวถึงเพียงประเด็นเดียว แต่ในความเป็นจริง บทตอนดังกล่าวสามารถแก้ไขปัญหาได้มากมาย  เจ้าไม่อาจสรุปหรือตีกรอบพระวจนะเหล่านั้นได้ เพราะทุกแง่มุมของความจริงประกอบด้วยความเป็นจริงมากมาย  เหตุใดจึงกล่าวว่าความจริงคือชีวิต คือสิ่งที่ผู้คนสามารถชื่นชมได้ และคือบางสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถมีประสบการณ์ได้อย่างครบถ้วนแม้ผ่านไปหลายช่วงชีวิตหรือหลายร้อยปีก็ตาม?  หากเจ้ากลั่นกรองแง่มุมหนึ่งของความจริงหรือบทตอนหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้าออกมา เช่นนั้นแล้วบทตอนที่เจ้ากลั่นกรองออกมาก็ย่อมกลายเป็นสูตรสำเร็จ เป็นข้อบังคับ เป็นคำสอน—สิ่งนี้ย่อมไม่ใช่ความจริงอีกต่อไป  แม้ว่านี่คือพระวจนะดั้งเดิมของพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่คำเดียว แต่หากเจ้ากลั่นกรองและเรียบเรียงพระวจนะออกมาเช่นนี้ พระวจนะเหล่านี้ย่อมกลายเป็นคำพูดเชิงทฤษฎี ไม่ใช่ความจริง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ก็เพราะเจ้าจะนำผู้คนให้หลงผิดและนำไปสู่คำสอน ทำให้พวกเขาคิด จินตนาการ พิจารณาประเด็นทั้งหลาย และอ่านพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าตามคำสอนของเจ้า  หลังจากอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้คนจะเข้าใจเพียงคำสอนหนึ่งและมองเห็นเพียงข้อบังคับหนึ่งๆ ในบทตอนนั้น และไม่อาจมองเห็นแง่มุมที่เป็นความเป็นจริงความจริงได้  สุดท้ายเจ้าจะนำผู้คนไปบนเส้นทางของการเข้าใจคำสอนและการปฏิบัติตามข้อบังคับ  พวกเขาจะไม่รู้วิธีที่จะมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาจะเข้าใจแค่คำสอนและหารือกันเรื่องคำสอนเท่านั้น แต่พวกเขาจะไม่เข้าใจความจริงหรือรู้จักพระเจ้า  สิ่งที่ออกจากปากของพวกเขาย่อมจะเป็นคำสอนที่รื่นหูและถูกต้องทั้งสิ้น แต่พวกเขาจะไม่มีความเป็นจริงแม้แต่น้อย และไม่มีเส้นทางปฏิบัติของตนเอง  การเป็นผู้นำเช่นนั้นสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษย์โดยแท้จริง!

พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดคือข้อห้ามร้ายแรงที่สุดในการรับใช้พระเจ้าของมนุษย์?  ผู้นำและคนทำงานบางคนต้องการความแตกต่าง ต้องการเหนือกว่าคนที่เหลือ ต้องการอวดตน และต้องการคิดหาเล่ห์กลใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อทำให้พระเจ้าทรงเห็นเพียงว่าแท้จริงแล้วพวกเขามีความสามารถเพียงใด  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้มุ่งเน้นการเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นการกระทำในหนทางที่โง่เขลาที่สุด  นี่มิใช่การเปิดเผยอุปนิสัยอันโอหังโดยแท้หรอกหรือ?  บางคนถึงกับกล่าวว่า “หากฉันทำแบบนี้ ฉันมั่นใจว่านี่จะทำให้พระเจ้าทรงมีความสุข  พระองค์จะโปรดปรานสิ่งนี้  คราวนี้ฉันจะไปแสดงให้พระเจ้าเห็น ฉันจะทำให้พระองค์ทึ่งไปเลย”  การ “ทึ่ง” นั้นไม่สำคัญ  ผลลัพธ์เป็นเช่นไร?  ผู้คนมองว่าสิ่งทั้งหลายที่คนเหล่านี้ทำไร้สาระเกินไป  ไม่เพียงแต่ไม่เป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองเงินทอง—นำมาซึ่งการสูญเสียของถวายของพระเจ้า  ของถวายของพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะใช้ได้ตามต้องการ การสิ้นเปลืองของถวายแด่พระเจ้านั้นเป็นบาป  ผู้คนเหล่านี้ย่อมลงเอยด้วยการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหยุดพระราชกิจในตัวพวกเขา และพวกเขาก็ถูกกำจัดออกไป  ดังนั้นจงอย่าวู่วามทำอะไรตามใจชอบเป็นอันขาด  เจ้าไม่คำนึงถึงจุดจบได้อย่างไรกัน?  เมื่อเจ้าล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระองค์ และถูกกำจัดออกไปในเวลาต่อมา เจ้าย่อมไม่มีอะไรจะกล่าว  ไม่ว่าความตั้งใจของเจ้าจะเป็นอย่างไร และไม่ว่าเจ้าทำไปอย่างจงใจหรือไม่ หากเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือเจตนารมณ์ของพระองค์ เจ้าย่อมจะล่วงเกินพระองค์ได้อย่างง่ายดาย และหมิ่นเหม่ที่จะละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระองค์ นี่คือบางสิ่งที่ทุกคนควรคอยตั้งป้อมระวัง  ครั้นเจ้าได้ละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าหรือล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ หากเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง เช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงพิจารณาเลยว่าเจ้าได้ทำไปโดยเจตนาหรือไม่เจตนา  นี่คือเรื่องหนึ่งที่เจ้าจำเป็นต้องมองเห็นอย่างชัดเจน  หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจประเด็นปัญหานี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่แคล้วที่จะทำให้เกิดปัญหา  ในการรับใช้พระเจ้านั้น ผู้คนปรารถนาที่จะก้าวยาวไปข้างหน้า ทำสิ่งทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่ กล่าวคำพูดที่ยิ่งใหญ่ ปฏิบัติงานที่ยิ่งใหญ่ จัดการพบปะที่ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่  หากเจ้ามีความทะเยอทะยานอันโอฬารเช่นนั้นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า ผู้คนที่ทำการนี้จะตายอย่างรวดเร็ว  หากเจ้าไม่ประพฤติดี ไม่เปี่ยมศรัทธา และไม่สุขุมรอบคอบในการรับใช้ของเจ้าต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าย่อมจะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์  หากเจ้าล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ละเมิดกฤษฎีกาบริหารของพระองค์ จนทำบาปต่อพระเจ้า เช่นนั้นพระองค์ก็จะไม่ทรงดูว่าเจ้าทำสิ่งนี้ไปด้วยเหตุผลใด และไม่ทรงดูว่าเจตนาของเจ้าคืออะไร  แล้วพวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงไร้เหตุผลหรือไม่?  พระองค์ทรงไม่เอาใจใส่มนุษย์ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ทำไมเล่า?  เพราะเจ้าไม่ได้หูหนวกหรือตาบอด  และเจ้าไม่ได้โง่เขลา  กฤษฎีกาบริหารของพระเจ้านั้นชัดเจนและแจ่มแจ้ง  เจ้าสามารถมองเห็นและได้ยินสิ่งนี้ได้  หากเจ้ายังคงละเมิดกฤษฎีกาบริหารเหล่านี้ เจ้าจะมีเหตุผลใดได้อีก?  ต่อให้เจ้าไม่ได้ซุกซ่อนเจตนาใดไว้ ตราบเท่าที่เจ้าล่วงเกินพระเจ้า เมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้าย่อมจะเผชิญกับการถูกทำลายและถูกลงโทษ  จะสำคัญด้วยหรือว่าสถานการณ์ของเจ้าเป็นเช่นไร?  ผู้คนที่มีธรรมชาติของซาตานย่อมล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้โดยธรรมชาติ  ไม่มีผู้ใดถูกมีดจี้ให้ละเมิดกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าหรือล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ เรื่องนี้ย่อมไม่เกิดขึ้น  ในทางกลับกัน นี่คือบางสิ่งซึ่งกำหนดไว้แล้วโดยธรรมชาติของมนุษย์  “พระอุปนิสัยของพระเจ้าต้องไม่ถูกล่วงเกิน”  คำกล่าวนี้มีความหมายอยู่ภายใน  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงลงโทษผู้คนตามสภาวะและภูมิหลังของพวกเขา  การล่วงเกินพระเจ้าโดยไม่รู้ว่านั่นคือพระองค์เป็นสภาวะประเภทหนึ่ง ขณะที่การล่วงเกินพระเจ้าทั้งที่รู้ชัดเจนว่านั่นคือพระองค์ก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง  บางคนสามารถล่วงเกินพระเจ้าได้ทั้งที่รู้ชัดเจนว่านั่นคือพระองค์ พวกเขาก็ย่อมจะถูกลงโทษ  พระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยบางอย่างในพระราชกิจแต่ละขั้นของพระองค์  มนุษย์ได้มาเข้าใจเรื่องนี้บ้างแล้วมิใช่หรือ?  ผู้คนไม่รู้เลยสักนิดเลยหรือว่าพระอุปนิสัยใดที่พระเจ้าทรงเปิดเผยผ่านความจริงมากมายที่พระองค์ทรงแสดง รวมถึงการกระทำและคำพูดใดของผู้คนที่มีแนวโน้มจะล่วงเกินพระองค์?  และสำหรับเรื่องราวทั้งหลายที่ถูกจัดวางโดยกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า—มนุษย์ควรและไม่ควรทำสิ่งใด—ผู้คนก็ไม่รู้เรื่องเหล่านี้เช่นกันหรือ?  มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจริงและหลักธรรมได้โดยครบถ้วนเพราะพวกเขายังไม่ได้ก้าวผ่านสิ่งเหล่านั้น พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้  อย่างไรก็ตาม เรื่องของกฤษฎีกาบริหารนั้นอยู่ในขอบเขตที่กำหนดไว้แล้ว  จัดเป็นข้อบังคับ  เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถเข้าใจและทำได้โดยง่าย  ไม่จำเป็นจะต้องศึกษาหรืออธิบายสิ่งเหล่านี้  การที่ผู้คนกระทำตามความหมายของกฤษฎีกาบริหารอย่างที่พวกเขาเข้าใจนั้นเพียงพอแล้ว  หากเจ้าเลินเล่อ ไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และละเมิดกฤษฎีกาบริหารโดยรู้อยู่แก่ใจ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สมควรถูกลงโทษ!

บทตัดตอน 72

บรรดาคนที่เป็นผู้นำไม่ควรให้ความสนใจกับการทำงานมากเกินไปหรือมุ่งเน้นที่สถานะของตนเองอยู่เสมอ อีกทั้งไม่ควรตั้งมาตรฐานสำหรับตนเองไว้สูง แล้วคอยคิดหาทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อแก้ไขปัญหาของทุกคน เพื่อให้ทุกคนรู้ว่า “ฉันเป็นผู้นำ ฉันมีตำแหน่งนี้ มีสถานะนี้ และฉันก็มีขีดความสามารถนี้ มีความรู้ความสามารถนี้ด้วย  ในเมื่อฉันนำคุณได้ ฉันก็สามารถจัดเตรียมให้คุณได้เช่นกัน”  การที่พวกเขาพูดเช่นนั้นได้ถือเป็นปัญหา  การนี้เป็นปัญหาในหนทางใดหรือ?  หากการกำหนดแนวทางของเจ้าไม่ถูกต้องและเจ้าไม่มีหลักธรรมในการจัดการกิจธุระของตน เช่นนั้นทุกสิ่งที่เจ้าทำก็จะผิดพลาดและก่อให้เกิดการเบี่ยงเบน  หากแรงจูงใจของเจ้าไม่ถูกต้อง ทุกสิ่งที่เจ้าทำก็จะผิดพลาดไปด้วย  จงมุ่งเน้นการแสวงหาความจริง การเข้าใจความจริง และการเข้าใจแก่นแท้ของความจริงแห่งนิมิตทั้งหลาย และจงเชี่ยวชาญในแง่มุมนี้ของหลักธรรมทั้งหลาย—นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง  ในยามที่มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเจ้าหรือในยามที่เจ้ากำลังจัดการกับปัญหา ตราบเท่าที่เจ้าไม่ล้ำเส้นนี้ไป เจ้าก็จะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นและแก้ไขความยากลำบากของพวกเขาได้ และย่อมจะเป็นผู้นำที่ได้มาตรฐาน  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าเพียงเข้าใจคำสอนบางส่วน และหากเจ้าเพียงเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยคำสอนเหล่านั้น ฟังการเทศนามากขึ้น และแตกฉานในถ้อยคำมากขึ้นเพียงไม่กี่คำเพื่อที่จะเป็นผู้นำ และหากเจ้าได้แต่มอบคำสอนและคำพูดไม่กี่คำในยามที่เจ้าพยายามแก้ไขปัญหาให้ใครบางคน และผลคือแก้ปัญหาใดให้พวกเขาไม่ได้เลย เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไร้ซึ่งความเป็นจริงของการเป็นผู้นำ และเจ้าก็เป็นเพียงกรอบที่ว่างเปล่า  นี่คือผู้นำประเภทใด?  (ผู้นำเทียมเท็จ)  นี่คือผู้นำเทียมเท็จ  เจ้าไม่สามารถปฏิบัติงานจริงได้  ต่อให้ไม่มีผู้ใดเปิดโปงและรายงานผู้นำเทียมเท็จ ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรก็จะไม่ก้าวหน้า ปัญหาต่างๆ จะสั่งสม และผู้นำเทียมเท็จจะต้องรับผิดชอบและถูกบีบบังคับให้ก้าวลงจากตำแหน่ง  หากเจ้าเป็นผู้นำเทียมเท็จ เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าเจ้ามีตำแหน่งสูงแค่ไหน เจ้าก็ยังคงเป็นผู้นำเทียมเท็จ  ตอนนี้ไม่ว่าเจ้าสามารถปฏิบัติงานจริงได้หรือไม่ และไม่ว่าเจ้าเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือไม่—สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด  แล้วอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด?  เวลานี้เจ้าต้องรีบไล่ตามเสาะหาความจริงและมุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิต  เมื่อเจ้ามีการเข้าสู่ชีวิต ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้า เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และสามารถแก้ไขสภาวะที่ไม่ถูกต้องของตนเองได้แล้ว ก็ย่อมง่ายสำหรับเจ้าที่จะแก้ไขปัญหาของผู้อื่น  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว เจ้าจะยังกลัวว่าเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ผู้อื่นอีกหรือไม่?  เจ้าจะไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเจ้าสามารถเป็นผู้นำที่ดีหรือไม่  หากเจ้ามีความเป็นจริงความจริง เจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้ดีและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้โดยธรรมชาติ  เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้โดยถี่ถ้วน  หากเจ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้โดยถี่ถ้วนและอยากจะปกป้องสถานะผู้นำของตน รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในหัวใจของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอยู่เสมอ เช่นนั้นเจตนาของเจ้าก็ไม่ถูกต้อง และเจ้าย่อมต้องอับอายและล้มเหลวเป็นธรรมดา  หากเจ้าคือบุคคลที่รักความจริงและมุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิตตนเองของพวกเขา รวมถึงเจ้าละทิ้งความมักใหญ่ใฝ่สูง ความอยากได้อยากมีของมนุษย์ และการไล่ตามเสาะหาที่ผิดพลาดของตนเองไป และไม่ถูกสิ่งเหล่านี้บีบคั้น เช่นนั้นแล้วเมื่อเวลาผ่านไปเจ้าจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง และจะมาเข้าใจแต่ละแง่มุมของความจริงได้โดยธรรมชาติ  ในหนทางนี้เจ้าจะรู้สึกสบายใจเมื่อถึงคราวช่วยเหลือผู้อื่น และเจ้าจะไม่มีความยากลำบากในการทำเช่นนั้น  เพราะฉะนั้นเจ้าจึงไม่ควรคอยปกป้องสถานะของตน  นี่คือกรอบที่ว่างเปล่า  เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์  สิ่งนี้จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับเจ้า และจะไม่ช่วยให้เจ้าเข้าใจความจริงด้วย  นอกจากนั้น สิ่งนี้ยังสามารถทำให้เจ้าหลงผิดไปสู่การทำผิดพลาดมากมาย ทั้งยังสามารถทำให้เจ้าหลงทางได้อีกด้วย  สำหรับมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามแล้ว สถานะคือกับดัก  แต่ไม่มีผู้ใดสามารถหลบเลี่ยงอุปสรรคนี้ได้ ทุกคนต้องก้าวผ่านไป เพียงขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะจัดการอุปสรรคนี้อย่างไร  หากเจ้าจัดการโดยใช้วิธีการของมนุษย์ เจ้าจะไม่สามารถยับยั้งชั่งใจหรือต่อต้านตัวเองได้  เรื่องนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ความจริงเท่านั้น  ความจริงสามารถแก้ไขความยากลำบากนี้ได้  หากเจ้าแสวงหาความจริง เจ้าก็จะสามารถจัดการแก้ไขปัญหานี้ได้ที่ต้นตอ  หากเจ้าไม่สามารถใช้ความจริงแก้ไขความยากลำบากนี้ได้ หากเจ้าเอาแต่ยับยั้งชั่งใจตนเองและกบฏต่อสิ่งทั้งหลาย—กบฏต่อความคิดของเจ้า ต่อแนวทางของเจ้า ต่อแนวคิดของเจ้า และกบฏในหนทางนี้อยู่เสมอ—นี่คือวิธีการใด?  นี่คือแนวทางที่เป็นลบและนิ่งเฉย  เจ้าต้องใช้วิธีการที่เป็นบวกในการแก้ไขเรื่องนี้ นั่นก็คือ เจ้าต้องแก้ไขด้วยความจริงและเข้าใจเรื่องนี้โดยละเอียดถี่ถ้วน  ก่อนอื่นจงมองดูวิธีการหลายๆ แบบที่พวกศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จใช้ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ และใช้เพื่อปกป้องความไร้แก่นสารและความหยิ่งยโสของพวกเขา  เมื่อมองห็นสิ่งเหล่านี้โดยชัดเจนแล้ว เจ้าจะรู้สึกว่า “ตายแล้ว ช่างน่าละอาย ช่างน่าละอายจริงๆ!  ​ฉันใช้วิธีการแบบนั้นด้วยหรือ?”  จากนั้นเจ้าจะเริ่มทบทวนตนเองและในไม่ช้าเจ้าจะตระหนักว่า  “ตายแล้ว ฉันก็ใช้วิธีการแบบนั้นมากมายเหมือนกัน ฉันไม่ต่างอะไรจากศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นเลย”  เจ้าจะมีความสำนึกผิดในหัวใจขึ้นมาบ้าง และกล่าวว่า “ฉันไม่อาจปกป้องสถานะของตัวเองและเปิดเผยความน่าละอายใจนี้ได้อีกต่อไป” มุ่งมั่นที่จะเรียนรู้บทเรียน  จงหยุดสนใจว่าผู้อื่นจะนับถือเจ้าหรือไม่ เจ้าสามารถแก้ไขปัญหาให้ผู้อื่นได้มากแค่ไหน มีคนฟังเจ้าหรือไม่ หรือเจ้ามีที่อยู่ในหัวใจของคนกี่คน  หากเจ้ามีเรื่องเหล่านี้อยู่ในหัวใจเสมอ เจ้าจะฟุ้งซ่านและได้รับผลกระทบ และเจ้าก็จะเหลือเวลาในการไล่ตามเสาะหาความจริงน้อยลง  เจ้าได้ใช้เรี่ยวแรงที่มีจำกัดและเวลาอันล้ำค่าของเจ้าในการไล่ตามไขว่คว้าความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ผลก็คือเจ้าไม่ได้รับความจริงและชีวิต  ถึงแม้เจ้าจะได้รับสถานะและได้สนองความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของตนแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และเจ้าได้สูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป  จุดจบสุดท้ายของเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร?  เจ้าจะถูกกำจัดออกไปและถูกลงโทษ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะเจ้าเลือกเส้นทางที่ผิด  หากเจ้าไปถึงระดับเดียวกับเปาโล เช่นนั้นแล้วเจ้าจะถูกลงโทษในท้ายที่สุด  แต่หากเจ้ายังไม่ไปถึงระดับเดียวกับเปาโล และหันเหเส้นทางของเจ้ากลับมาได้ทันการ เช่นนั้นก็ย่อมมีโอกาสสำหรับการไถ่ และยังมีหวังสำหรับความรอด

ไม่ว่าผู้เชื่อในพระเจ้ามีปัญหาใด ไม่ว่าพวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และความมั่งคั่ง หรือสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีส่วนตนหรือไม่ ไม่ว่าในกรณีใด ปัญหาทั้งหมดก็ต้องถูกแก้ไขด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่มีปัญหาใดสามารถเลี่ยงผ่านความจริงไปได้  ไม่มีเรื่องใดที่แยกออกจากความจริง  ทันทีที่คนเราละทิ้งความจริงในการเชื่อในพระเจ้าของตน ความเชื่อของพวกเขาย่อมว่างเปล่า  ไม่มีประโยชน์ที่จะไล่ตามไขว่คว้าสิ่งอื่น  บางคนพอใจแค่ได้ทำหน้าที่อันน่าประทับใจและรุ่งโรจน์ ทำให้ผู้อื่นนับถือและอิจฉาพวกเขา  สิ่งนี้เป็นประโยชน์หรือ?  นี่ไม่ใช่จุดจบสุดท้ายของเจ้า และไม่ใช่บำเหน็จสุดท้ายของเจ้า อีกทั้งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่บั้นปลายของเจ้า  ดังนั้นไม่ว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ใด หน้าที่นั้นก็อยู่เพียงชั่วคราว ไม่ได้อยู่ชั่วนิรันดร์  นี่ไม่ใช่ความเห็นชอบที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้า และไม่ใช่บำเหน็จที่พระองค์ทรงมอบแด่เจ้า  ท้ายที่สุดแล้ว การที่ผู้คนจะสามารถบรรลุความรอดหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาทำหน้าที่ใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถเข้าใจและได้รับความจริงหรือไม่ และขึ้นอยู่กับว่าในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ยอมตนอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ ไม่คำนึงถึงอนาคตและบั้นปลายของตน และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐานหรือไม่  พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ และสิ่งเหล่านี้คือมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้เพื่อประเมินวัดมวลมนุษย์ทั้งปวง  มาตรฐานเหล่านี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ และเจ้าต้องจดจำการนี้ไว้  จงจารึกมาตรฐานเหล่านี้ไว้ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า และไม่ว่าเมื่อไรก็ตามจงอย่านึกถึงการค้นหาเส้นทางอื่นบางเส้นทางในการไล่ตามไขว่คว้าบางสิ่งที่ไม่เป็นจริง  มาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ทุกคนที่ต้องการบรรลุความรอดก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล สิ่งเหล่านั้นยังคงเป็นอย่างเดิมไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร  เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้ด้วยการเชื่อในพระเจ้าตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เท่านั้น  หากเจ้าพบว่าอีกหนึ่งเส้นทางในการไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ นั้นคลุมเครือ และคิดฝันว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จได้ด้วยโชค เจ้าก็เป็นใครบางคนที่แข็งขืนและทรยศพระเจ้า และเจ้าจะถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษอย่างแน่นอน

บทตัดตอน 73

เพื่อให้ผู้นำและคนทำงานปฏิบัติหน้าที่ของตนและทำงานที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาได้เป็นอย่างดี พวกเขาต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเสียก่อน และไม่มุ่งเน้นที่ขนาดหรือปริมาณงานของตน  แต่พวกเขาควรมุ่งเน้นว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนหรือไม่  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากผู้นำและคนทำงาน  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของคนเราอย่างแท้จริงหรือไม่?  การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยหมายถึงอะไร?  พวกเจ้าสามารถแยกแยะการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้หรือไม่?  สภาวะใดที่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนเรา และสภาวะใดที่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายนอก?  อะไรคือความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายนอกของคนเรากับการเปลี่ยนแปลงชีวิตภายในของคนเรา?  เจ้าสามารถบอกความแตกต่างได้หรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นใครบางคนซึ่งมีหัวใจที่กระตือรือร้น วิ่งวุ่นไปทั่วและใช้เวลาเพื่อคริสตจักร และเจ้าก็กล่าวว่า “อุปนิสัยของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว!”  เจ้ามองเห็นใครบางคนละทิ้งครอบครัวหรืองานของตน และเจ้าก็พูดว่า “อุปนิสัยของเธอได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว!”  พวกเจ้าคิดว่าหากอุปนิสัยของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไป พวกเขาย่อมจะไม่สามารถละทิ้งสิ่งต่างๆ ในลักษณะเช่นนั้นได้  นั่นคือวิธีที่พวกเจ้าส่วนใหญ่มองเห็นสิ่งทั้งหลาย แต่นี่คือทัศนะที่ถูกต้องหรือไม่?  ผู้คนบางคนไร้สาระยิ่งกว่านั้นเสียอีก เมื่อพวกเขามองเห็นใครบางคนที่ได้ละทิ้งครอบครัวหรืองานของตน พวกเขาก็พูดว่า “บุคคลผู้นี้รักพระเจ้าจริงๆ!”  วันนี้เจ้าพูดว่าบุคคลผู้นี้รักพระเจ้า วันพรุ่งนี้เจ้าก็พูดว่าคนอื่นรักพระเจ้า  หากเจ้าเห็นใครคนหนึ่งประกาศอย่างไม่หยุดหย่อน เจ้าก็พูดว่า “บุคคลผู้นี้รู้จักพระเจ้า  เขาได้รับความจริงแล้ว  หากเขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาจะมีเรื่องให้พูดได้มากมายหรือ?”  นั่นไม่ใช่วิธีที่พวกเจ้ามองสิ่งทั้งหลายหรอกหรือ?  จริงๆ แล้ว นี่คือวิธีที่พวกเจ้าส่วนใหญ่มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย  เจ้ายกย่องผู้อื่นด้วยมงกุฎและยกยอปอปั้นพวกเขาอยู่เสมอ  วันนี้เจ้ามอบมงกุฎให้ใครบางคนเพราะเขารักพระเจ้า วันพรุ่งนี้เจ้าก็มอบมงกุฎให้คนอีกคนเพราะเขารู้จักพระเจ้า เพราะเขาจงรักภักดีต่อพระเจ้า  พวกเจ้าคือ “ผู้เชี่ยวชาญ” ในการมอบมงกุฎให้ผู้อื่น  ทุกวันพวกเจ้าให้เกียรติผู้อื่นด้วยมงกุฎและยกยอปอปั้นพวกเขา ซึ่งยังผลให้เกิดอันตรายแก่พวกเขา และพวกเจ้ากลับรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำเช่นนั้น  เมื่อพวกเจ้าสรรเสริญผู้อื่นในหนทางนี้ พวกเจ้าย่อมทำให้พวกเขาโอหัง  บรรดาผู้ที่ได้รับการสรรเสริญเช่นนี้ย่อมคิดในใจว่า “ฉันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉันสามารถรับมงกุฎได้ ฉันแน่ใจว่าจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์!”  ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ ยังมีบางคนที่เป็นเช่นเดียวกับเปาโล ผู้ที่มักพูดเสมอว่าพวกเขาได้ทนทุกข์มามากมายเพียงใด และพวกเขาเป็นพยานมามากเพียงใด  พวกเขาสรรเสริญตนเองและกล่าวตามมโนคติอันหลงผิดและความชอบของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าแม้แต่น้อย  พวกเขาบอกผู้อื่นให้เอาอย่างพวกเขา ถึงแม้จะชัดเจนว่าพวกเขายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเองเลย และผลลัพธ์ก็คือ บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแต่ขาดวิจารณญาณ—และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่เคารพบูชาพวกเขา—ย่อมได้รับความเสียหายและถูกนำทางให้หลงเจิ่น  พวกเขายังไม่ได้เริ่มออกเดินไปบนครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาเพียงแค่สละตนเองและทนทุกข์เพื่อพระเจ้าจากความกระตือรือร้นเท่านั้น  พวกเขาเพียงแต่ถูกจับกุมและถูกจำคุกโดยไม่ได้ทรยศต่อสิ่งใด หรือกลายเป็นยูดาส—และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงคิดว่าพวกเขาได้ตั้งมั่นในคำพยานของตนแล้ว และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  พวกเขาปฏิบัติต่อประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ นี้ดุจดั่งคำพยานและโอ้อวดเรื่องนี้ไปทั่วทุกหนแห่ง  นี่มิใช่เป็นการโอ้อวดตนเองเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดหรอกหรือ?  ผู้คนมากมายให้ “คำพยาน” แบบนี้ และมีผู้คนมากเท่าใดที่ถูกนำไปในทางที่ผิด?  การที่ผู้คนแบบนั้นได้รับการปฏิบัติในฐานะผู้ชนะไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอกหรือ?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงมองดูผู้คนอย่างไร?  เจ้าเข้าใจชัดเจนหรือเปล่าว่าผู้ชนะคืออะไรกันแน่?  พระเจ้าทรงสาปแช่งการเป็นพยานเทียมเท็จแบบนี้  พวกเจ้าได้กระทำการประพฤติผิดเช่นนี้ไปมากมายเพียงใด?  พวกเจ้าไม่สามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่ผู้อื่น และไม่สามารถชำแหละสภาวะของผู้อื่นได้  เจ้าทำได้แค่เพียงมอบมงกุฎให้ผู้คนและผลลัพธ์ก็คือ การผลักดันพวกเขาไปสู่ความย่อยยับ  เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าคนที่เสื่อมทรามนั้นไม่สามารถทนทานต่อการสรรเสริญได้?  หากไม่มีใครสรรเสริญพวกเขาเลย พวกเขาก็ยังภาคภูมิใจและหยิ่งยโสอย่างยิ่ง  แต่ถ้าผู้คนสรรเสริญพวกเขา พวกเขาจะไม่ตายเร็วยิ่งขึ้นหรอกหรือ?  พวกเจ้าไม่รู้ว่าการรักพระเจ้า การรู้จักพระเจ้า การสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจนั้นหมายความว่าอย่างไร  พวกเจ้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลย  พวกเจ้ามองดูที่รูปลักษณ์ภายนอกของสิ่งทั้งหลาย แล้วจากนั้นก็ตัดสินผู้อื่น โดยมอบมงกุฎให้พวกเขาและยกยอปอปั้นพวกเขา และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการนำผู้คนมากมายไปในทางที่ผิด และเป็นอันตรายต่อพวกเขา—และพวกเจ้ามักจะทำเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง  เมื่อได้รับการสรรเสริญจากพวกเจ้าในหนทางนี้ ผู้คนมากมายได้หลงเจิ่นและล้มลง  แม้ว่าพวกเขาจะลุกขึ้นมาใหม่ แต่พวกเขาก็ได้ทำให้ความก้าวหน้าในชีวิตของตนล่าช้าไปมาก และได้ทนทุกข์กับการสูญเสียไปแล้ว  ทุกวันนี้คนส่วนมากยังคงไม่อยู่ในครรลองที่ถูกต้องในการเชื่อในพระเจ้าของตน และไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ อีกทั้งยังรู้จักตนเองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ถ้าพวกเขาได้รับการสรรเสริญเช่นนี้ พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่พึงพอใจในตนเอง ชะล่าใจ และติดอยู่ในหนทางของตน โดยรู้สึกว่าตนอยู่ในครรลองที่ถูกต้องในการเชื่อในพระเจ้าแล้ว และพวกเขามีความเป็นจริงความจริงอยู่บ้างเล็กน้อย  พวกเขาก็จะยิ่งกล้าหาญในคำพูดของตน ว่ากล่าวผู้คนภายในคริสตจักร และกระทำตัวราวกับเผด็จการ  เจ้าไม่ได้กำลังทำอันตรายผู้คนและทำลายพวกเขาด้วยการทำงานในลักษณะนี้หรอกหรือ?  คนประเภทใดที่รักพระเจ้า?  บรรดาผู้ที่รักพระเจ้าต้องเป็นเหมือนเปโตร พวกเขาต้องได้รับการทำให้เพียบพร้อม และพวกเขาต้องติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางเพื่อสัมฤทธิ์ความรักของพระเจ้า  พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตส่วนลึกในหัวใจของผู้คน และพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงตัดสินได้ว่าใครรักพระองค์  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครๆ จะมองเห็นข้อนี้ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจะตัดสินผู้คนได้อย่างไร?  พระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงทราบว่าผู้คนใดรักพระองค์อย่างแท้จริง  ต่อให้พวกเขามีหัวใจที่รักพระเจ้า พวกเขาก็ไม่กล้าพูดว่าตนคือคนที่รักพระเจ้า  พระเจ้าตรัสว่าเปโตรคือคนที่รักพระเจ้า  แต่เปโตรเองกลับไม่เคยกล่าวว่าตนเป็นเช่นนั้น  ดังนั้นการรักพระเจ้าคือสิ่งที่คนเราสามารถโอ้อวดได้อย่างง่ายดายหรือ?  การรักพระเจ้าคือหน้าที่ของมนุษย์ ดังนั้นจึงปราศจากเหตุผลที่จะเริ่มโอ้อวดในทันทีที่หัวใจของเจ้ามีความรักต่อพระเจ้าเพียงเล็กน้อย  ยิ่งเป็นการไร้เหตุผลมากขึ้น หากเจ้าเองไม่ใช่คนที่รักพระเจ้า แต่ยังคงสรรเสริญผู้อื่นว่าเป็นผู้ที่รักพระเจ้า  นี่เป็นเรื่องไร้สติ  พระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงทราบว่าใครคือคนที่รักพระเจ้า และสามารถตรัสได้ว่าใครเป็นเช่นนั้น  ถ้าคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของคนคนหนึ่ง พวกเขาก็กำลังอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง  เจ้ากำลังอยู่ในตำแหน่งของพระเจ้า กำลังแสดงความชื่นชมผู้คนและยกยอปอปั้นพวกเขา—เจ้ากระทำการนี้ในนามของใคร?  พระเจ้าไม่ทรงยกยอปอปั้นผู้คนอย่างแน่นอน อีกทั้งไม่ทรงชื่นชมพวกเขาด้วย  หลังจากที่เปโตรได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์แล้ว พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงใช้เขาเป็นแบบอย่าง จนกระทั่งพระองค์ทรงพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย  ในขณะนั้น พระองค์ไม่เคยตรัสกับผู้อื่นด้วยพระวจนะที่ว่า “เปโตรรักพระเจ้า”  พระองค์ตรัสสิ่งเหล่านั้นเมื่อพระองค์ได้ทรงพระราชกิจในระยะนี้เท่านั้น โดยทรงตั้งให้เขาเป็นต้นแบบและแบบอย่างของการทำให้คนที่มีประสบการณ์กับการพิพากษาของพระเจ้าและแสวงหาที่จะรักพระองค์ในยุคสุดท้าย มีความเพียบพร้อม  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนมีความหมาย  ช่างน่าไร้สาระยิ่งนักที่ผู้คนกล่าวตามอำเภอใจว่าใครคนหนึ่งเป็นคนที่รักพระเจ้า!  การนี้ไร้สาระเกินไป  ประการแรก ผู้คนเช่นนั้นกำลังยืนอยู่ผิดตำแหน่ง  ประการที่สอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนสามารถตัดสินได้  การยกยอปอปั้นผู้อื่นหมายถึงอะไร?  หมายถึงการชักพาให้หลงผิด เป็นการใช้กลอุบาย และสร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น  ประการที่สาม ในแง่ของผลเชิงข้อเท็จจริง ความประพฤติเช่นนั้น ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถนำทางผู้อื่นเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังรบกวนการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา และเป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียแก่ชีวิตของพวกเขาด้วย  ถ้าเจ้าพูดอยู่เสมอว่าใครคนหนึ่งรักพระเจ้า สามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลาย และจงรักภักดีต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ทุกคนย่อมจะเลียนแบบการกระทำภายนอกของพวกเขาไม่ใช่หรือ?  เจ้าไม่เพียงแต่ไม่ได้นำทางผู้อื่นไปสู่ครรลองที่ถูกต้องเท่านั้น ทว่าเจ้าได้นำทางให้ผู้คนส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การกระทำภายนอกด้วยเช่นกัน จนกระทั่งพวกเขาพึ่งพาการปฏิบัติภายนอกเหล่านี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับมงกุฎ โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังเดินตามเส้นทางของเปาโล  ผลเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?  เมื่อเจ้ากล่าวคำพูดเหล่านี้ เจ้าตระหนักรู้ถึงปัญหาเหล่านี้หรือไม่?  เจ้ากำลังยืนอยู่ในตำแหน่งใด?  เจ้ากำลังเล่นบทบาทใด?  ผลเชิงข้อเท็จจริงจากคำพูดของเจ้าคืออะไร?  ในท้ายที่สุดแล้ว คำพูดเหล่านี้จะนำทางผู้อื่นให้เดินตามถนนสายใด?  การนี้เป็นอันตรายถึงระดับใด?  เมื่อผู้คนทำงานในลักษณะนี้ย่อมนำมาซึ่งผลสืบเนื่องที่ร้ายแรง

ผู้นำและคนทำงานบางคนภายในคริสตจักรไม่สามารถพูดคุยถึงประสบการณ์ของตนและไม่อาจกล่าวคำพยานให้ฟัง อีกทั้งไม่สามารถใช้ความจริงในการแก้ปัญหา  พวกเขาเป็นพยานยืนยันเสมอว่าตนได้ทนทุกข์มาแล้วอย่างไร พวกเขาได้ยอมรับการถูกตัดแต่งอย่างไร วิธีที่พวกเขาไม่กลายเป็นคิดลบทั้งที่พวกเขาได้ทนทุกข์ต่อความคับข้องใจมากมาย และพวกเขายืนหยัดในการทำหน้าที่ของตนอย่างไร  เช่นเดียวกับเปาโล พวกเขาเป็นพยานยืนยันให้กับตนเองอยู่ตลอดเวลา สถาปนาตนเอง และทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเลื่อมใสในตัวพวกเขา นับถือพวกเขา และชื่นชมบูชาพวกเขา  นอกจากนี้ เมื่อผู้คนเช่นนั้นมองเห็นใครบางคนที่สามารถกล่าวคำพูดและคำสอนได้ดี และสามารถประกาศได้ พวกเขาก็ยกยอปอปั้นคนเหล่านั้น พวกเขาชมเชยและชื่นชมผู้นำและคนทำงานเหล่านั้นที่เป็นเหมือนเปาโล และด้วยหนทางนี้ พวกเขาทำให้ผู้อื่นชื่นชมบูชาคนเหล่านั้นที่เป็นเหมือนเปาโล  พวกเขาไม่เพียงแค่ล้มเหลวในการทำงานให้น้ำและการจัดเตรียมที่ดีเท่านั้น แต่พวกเขายังมีส่วนร่วมในงานที่ทำลายล้างและรบกวน ซึ่งนำทางผู้อื่นให้ใช้เส้นทางของเปาโลอีกด้วย  ในขณะเดียวกัน พวกเขาคิดผิดว่าตนเองเป็นผู้นำที่ดีและมีความสามารถ และพวกเขาต้องการที่จะได้บำเหน็จรางวัลจากพระเจ้า  นี่มิใช่สภาวะที่พวกเจ้าส่วนใหญ่เป็นอยู่หรอกหรือ?  ด้วยวิธีการในปัจจุบันของพวกเจ้าที่ให้ความสนใจเพียงวาจาและคำสอน เตือนสติผู้คนไม่หยุดหย่อน พวกเจ้าจะสามารถนำทางผู้คนไปสู่ครรลองที่ถูกต้องได้หรือ?  วิธีนี้สามารถนำทางผู้คนไปสู่เส้นทางใดในท้ายที่สุด?  วิธีนี้จะไม่นำทางพวกเขาทั้งหมดไปสู่เส้นทางของเปาโลหรอกหรือ?  เรามองเห็นการนี้เป็นเช่นนี้ นี่ไม่ใช่การพูดที่เกินจริงเลย  สามารถกล่าวได้ว่าพวกเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นผู้นำในแบบเปาโล นำทางผู้คนไปบนเส้นทางของเปาโล  พวกเจ้ายังคงต้องการมงกุฎบางอย่างอยู่หรือ?  เจ้าจะโชคดีหากพวกเจ้าไม่ถูกกล่าวโทษ  จากการกระทำของพวกเจ้า พวกเจ้าทั้งหมดล้วนกลายเป็นผู้คนที่ต้านทานพระเจ้า รับใช้พระเจ้าแต่ต้านทานพระเจ้า และเจ้าได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขัดขวางพระราชกิจของพระองค์  ถ้าเจ้ายังคงเดินบนเส้นทางประเภทนี้ต่อไป เจ้าจะเป็นผู้เลี้ยงเทียมเท็จ คนทำงานเทียมเท็จ ผู้นำเทียมเท็จ และศัตรูของพระคริสต์ในท้ายที่สุด  บัดนี้คือช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนเพื่อราชอาณาจักร  ถ้าเจ้าไม่ทุ่มความพยายามให้กับความจริง และมุ่งเน้นแต่เพียงงาน เจ้าก็จะใช้เส้นทางของเปาโลโดยไม่รู้ตัว  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะนำพากลุ่มคนอื่นๆ กลุ่มหนึ่งที่เป็นเหมือนเปาโลไปกับเจ้าด้วย  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่กลายเป็นใครบางคนที่ต้านทานพระเจ้าและขัดขวางพระราชกิจของพระองค์หรอกหรือ?  ดังนั้น หากคนคนหนึ่งที่รับใช้พระเจ้าไม่สามารถเป็นพยานยืนยันให้พระองค์ หรือนำทางประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรไปสู่ครรลองที่ถูกต้องได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็คือใครบางคนที่ต้านทานพระเจ้า  มีเพียงสองเส้นทางนี้เท่านั้น  เส้นทางของเปโตรคือเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงและประสบความสำเร็จในความเชื่อของคนเราในท้ายที่สุด  เส้นทางของเปาโลคือเส้นทางของการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และคือเส้นทางของการเพียรพยายามเพื่อพระพรและบำเหน็จรางวัลเท่านั้น  นี่คือเส้นทางแห่งความล้มเหลว  ทุกวันนี้ บรรดาผู้ที่เดินบนเส้นทางแห่งความสำเร็จของเปโตรนั้นมีน้อยคนนัก ขณะเดียวกันก็มีพวกที่เดินบนเส้นทางแห่งความล้มเหลวของเปาโลมากมายเกินไป  หากพวกเจ้าที่รับใช้ในฐานะผู้นำและคนทำงานเหล่านั้นไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปลายทาง พวกเจ้าจะกลายเป็นผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จ และพวกเจ้าทั้งหมดจะเป็นศัตรูของพระคริสต์ และคนชั่วที่ต้านทานพระเจ้า  หากพวกเจ้าเปลี่ยนมาสู่ครรลองที่ถูกต้องนับจากนี้เป็นต้นไป และใช้เส้นทางของเปโตรอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็ยังคงสามารถกลายเป็นผู้นำและคนทำงานที่ดี ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงเห็นชอบ  หากพวกเจ้าไม่แสวงหาที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม และเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็ตกอยู่ในอันตราย  เมื่อพิจารณาถึงความโง่เขลาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกเจ้า ประสบการณ์อันตื้นเขินและไม่เพียงพอของพวกเจ้า วุฒิภาวะอันอ่อนด้อยของพวกเจ้า และการขาดความเป็นผู้ใหญ่ของพวกเจ้า สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คือสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเจ้ามากขึ้น เพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจ แต่พวกเจ้าจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาเป็นการส่วนตัวของพวกเจ้า  เพราะปัจจุบันนี้แตกต่างอย่างมากจากช่วงเวลาของเปโตรกับเปาโล  ในเวลานั้น พระเยซูยังไม่ได้ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษามนุษย์ ตีสอนมนุษย์ หรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์  ในทุกวันนี้ พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ทรงแถลงความจริงอย่างโปร่งใส  ถ้าผู้คนยังคงใช้เส้นทางของเปาโล ก็แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการทำความเข้าใจของพวกเขาบกพร่อง และยังบ่งบอกเพิ่มเติมว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกับเปาโล มีลักษณะนิสัยที่ชั่วเกินไป และมีอุปนิสัยที่โอหังเกินไป  ยุคสมัยนั้นแตกต่างจากปัจจุบันนี้ และบริบทก็แตกต่างกันด้วย  ในทุกวันนี้ พระวจนะของพระเจ้าสว่างไสวและชัดเจนมาก ราวกับพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกมาสอนและนำทางเจ้า ดังนั้นจึงไม่มีข้ออ้างเลย หากเจ้ายังเดินบนเส้นทางที่ผิด  นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีต้นแบบทั้งสองคือเปโตรและเปาโล ต้นแบบหนึ่งเป็นบวกและอีกต้นแบบหนึ่งเป็นลบ ต้นแบบหนึ่งเป็นแบบอย่าง ส่วนอีกต้นแบบหนึ่งคือคำเตือน  หากเจ้าเดินไปบนเส้นทางที่ผิด ก็หมายความว่าเจ้าได้ทำการเลือกที่ผิด และเจ้าก็ชั่วมาก  เจ้าไม่มีใครให้กล่าวโทษได้เลย นอกจากตัวเจ้าเอง  มีเพียงผู้ที่มีความเป็นจริงความจริงเท่านั้นที่สามารถนำทางผู้อื่นให้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ แต่ผู้ที่ไร้ซึ่งความเป็นจริงความจริงย่อมนำทางให้ผู้อื่นหลงเจิ่นได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

บทตัดตอน 74

มีผู้นำและคนทำงานที่ไม่รู้ว่าควรสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าในงานของตนอย่างไร  พวกเขาไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเองได้อย่างถ่องแท้ และมักกล่าวว่า “ฉันอยากให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น  เอาล่ะทุกคน พูดตามที่คิดเลย”  นี่อาจฟังดูถูกต้องและค่อนข้างเป็นประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงจุดยืนและลงมติในท้ายที่สุด  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมเป็นที่ยอมรับในฐานะทางเลือกสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้รับรองว่าบทสรุปที่ได้นั้นจะสอดคล้องกับความจริง  ในเมื่อไม่มีใครเข้าใจความจริง และความคิดเห็นของทุกคนก็มีความเบี่ยงเบน ต่อให้พวกเขาชุมนุมกัน พวกเขาก็ไม่สามารถได้ข้อสรุปที่สอดคล้องกับความจริงอยู่ดี  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  ถ้ามีคนที่เข้าใจความจริงเข้าร่วมด้วยก็จะยิ่งดีมาก เรื่องราวย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น  อย่างไรก็ตาม การมีคนที่เข้าใจความจริงคอยคุมการชุมนุมเป็นเรื่องสำคัญมาก  คนคนนี้ควรนำทุกคนแสวงหาความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อทำเช่นนี้ บทสรุปที่พวกเขาได้ก็จะสอดคล้องกับความจริง  นี่คือแนวทางที่ดีที่สุด  จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องมีคนที่เข้าใจความจริงคอยคุม คอยกำกับดูแล และนำทุกคนสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้มีเอกภาพและเห็นพ้องต้องกันในเรื่องของความจริงในท้ายที่สุด  นี่เท่านั้นคือเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง  แล้วควรมองหลักประชาธิปไตยกันอย่างไร?  ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามในปัจจุบัน ประชาธิปไตยคือระบบสังคมที่ค่อนข้างเจริญก้าวหน้า  นอกจากนี้ยังนำสมัย เป็นที่นิยม และเป็นที่ชื่นชอบของคนส่วนใหญ่  แม้ระบบนี้จะค่อนข้างเจริญและก้าวหน้า แต่จะมีระบบใดหรือไม่ที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องบาปของมนุษย์ได้ ไม่ว่าตัวระบบจะยอดเยี่ยมเพียงใดก็ตาม?  จะมีระบบใดสามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของความชั่วและความมืดมนในสังคมได้หรือไม่?  นี่เป็นสิ่งที่มิอาจสัมฤทธิ์ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในระบอบเผด็จการ  ในหมู่เจ้าหน้าที่ของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยก็มีการรับสินบนและประพฤติมิชอบอยู่มากมายเช่นกันมิใช่หรือ?  สิ่งที่เกิดขึ้นในระบอบนี้จึงไม่มีอะไรสอดคล้องกับความจริงเพราะมวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างยิ่งยวด ไร้ซึ่งความจริงใดๆ  มนุษย์ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน กบฏต่อพระเจ้าและต้านทานพระองค์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปฏิบัติความจริง  แม้กระทั่งผู้นำชาติต่างๆ ที่ครองอำนาจอยู่ รวมทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย แม้จะมีความรู้ แต่ทุกคนก็ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยของซาตานเช่นกัน  พวกเขาไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความจริง และสามารถกระทำการมากมายที่ต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า  พวกเขาถึงขนาดสามารถทำความชั่วและการกระทำที่ไร้สาระบางอย่างได้  ไม่ว่าพวกเขาจะมีความเชื่อหรือไม่ ก็ไม่มีพวกเขาสักคนที่สามารถยอมรับความจริงหรือติดตามพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  ไม่มีพวกเขาสักคนที่นบนอบหรือนมัสการพระเจ้า  พวกเขาไม่เคยกล่าวอะไรที่ยกชูหรือเป็นพยานให้พระเจ้าเลย  วาจาที่พวกเขากล่าวออกมาล้วนไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ปฏิเสธและต้านทานพระเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น ทุกคำพูดเป็นเหตุผลวิบัตินอกรีต เป็นคำพูดที่ท้าทายฟ้าสวรรค์ทั้งสิ้น และมีแต่วาจาฝ่ายมาร  เพราะฉะนั้น ไม่ว่ามนุษย์จะใช้ระบอบใดมาปกครองชนชาติของตน พวกเขาก็จะไม่นบนอบพระเจ้า ไม่นมัสการพระองค์ ไม่ยอมรับความจริงที่พระองค์ทรงแสดง หรือปกครองชนชาติของตนตามพระวจนะของพระองค์และความจริง  พวกเขาสนับสนุนการปกครองที่ยึดหลักกฎหมายและวิทยาศาสตร์  นี่แสดงให้เห็นว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินอยู่คือเส้นทางของการต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า  ชนชาติเยี่ยงนี้ย่อมไม่ได้รับพรจากพระเจ้า  ชนชาติใดที่มีกษัตริย์ชั่วปกครองย่อมต้านทานพระเจ้ามากที่สุดและย่อมถูกพระองค์สาปแช่ง  เหล่านี้คือชนชาติที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วว่าต้องถูกทำลายล้าง  ดังนั้น การที่ประเทศหนึ่งๆ จะถูกพระเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์และทำลายล้างหรือไม่จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าประเทศนั้นเป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็นสำคัญ  ปัจจัยสำคัญคือการดูว่ากลุ่มอำนาจในชนชาตินั้นประกอบด้วยผู้คนแบบใด  ถ้าทุกคนที่ครองอำนาจเป็นคนของพวกมารและซาตาน ถ้าพวกเขาคือกลุ่มมารชั่วที่ต่อต้านพระเจ้ากันทุกคน เช่นนั้นแล้วประเทศนั้นก็คือประเทศที่พระองค์ทรงเกลียดชังและสาปแช่ง และย่อมจะถูกพระองค์ทำลายล้าง

ถ้าผู้นำและคนทำงานของคริสตจักรไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ดำเนินงานของตนตามหลักธรรม ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร?  แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ผู้นำและคนทำงานบางคนคิดไปว่า “ไม่ว่าฉันจะมีความจริงหรือไม่ ถ้าฉันปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยในทุกเรื่องและไม่ทำตัวเผด็จการ ก็จะแน่ใจได้ว่าตัวเองไม่ทำความชั่ว  แบบนี้ฉันก็จะไม่ถูกพระเจ้ากำจัดออกไป  ถ้าฉันทำงานของตนเองให้ดี พระเจ้าก็จะทรงเห็นชอบในตัวฉัน”  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  พวกเจ้าใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งที่พวกเขาพูดอยู่นี้ได้หรือไม่?  การละเว้นจากการทำตัวเผด็จการพิสูจน์ให้เห็นหรือว่าผู้คนเหล่านี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า?  การปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยพิสูจน์ให้เห็นหรือว่าพวกเขากระทำการตามหลักธรรม?  แม้วิธีคิดเช่นนี้จะดูมีเหตุผล แต่ที่จริงแล้วผิด  สำหรับผู้นำและคนทำงานที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติเช่นไร แนวปฏิบัตินั้นย่อมจะมีความเบี่ยงเบนและผิดเสมอ  มีแต่การเดินไปตามเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่ถูกต้อง  แนวทางที่เหมาะสมมีเพียงการที่ผู้นำและคนทำงานสามารถตั้งหน้าตั้งตาเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญสถานการณ์เช่นไรก็สามารถนำทุกคนสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าและค้นพบเส้นทางที่จะปฏิบัติความจริง  การที่ผู้นำและคนทำงานใช้แนวทางที่ให้ทุกคนแสดงความเห็นของตนและพูดความรู้สึกนึกคิดของตนออกมานั้นถูกหรือผิด?  (ผิด)  ผิดตรงไหน?  (ไม่มีใครมีความจริง)  ถูกต้อง  ไม่มีใครมีความจริง  เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะสามัคคีธรรมกันอย่างไร ข้อสรุปที่ได้จากการสามัคคีธรรมของพวกเขาจะสอดคล้องกับความจริงได้กระนั้นหรือ?  นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้  ดังนั้นคนเราควรทำเช่นไรจึงจะสอดคล้องกับความจริง?  (ดูสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้แล้ว  คนเราควรมองหาเส้นทางในพระวจนะของพระองค์)  คำกล่าวนี้ฟังดูเป็นเช่นไร?  นี่ถูกต้องที่สุดแล้ว  ผู้นำและคนทำงานควรสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าในทุกเรื่อง และควรแสวงหาเส้นทางในพระวจนะของพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะสามารถได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง  ส่วนเรื่องที่ว่าทุกคนควรสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริงกันอย่างไรและพวกเขาจะพบหลักธรรมที่ถูกต้องหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  ถ้าเจ้าสามารถนำทุกคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริงและแสวงหาหลักธรรมได้ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้าคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าเจ้าเอาแต่ให้ทุกคนสามัคคีธรรมและแสดงความคิดเห็นโดยไม่เอ่ยถึงการค้นหารากฐานในพระวจนะของพระเจ้าหรือการแสวงหาหลักธรรมในพระวจนะของพระองค์เลย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้ากำลังพยายามเกลี่ยเรื่องราวให้เบาลงโดยไม่สนใจหลักธรรมต่างหาก  ถ้าถึงที่สุดแล้ว เจ้าให้ทุกคนยกมือออกเสียงและถือเอาเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ นี่เป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่?  เป็นไปได้ว่าบางครั้งอาจจะบังเอิญเป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่ออกนอกขอบเขตของหลักธรรม  แต่โดยส่วนใหญ่จะไม่เป็นไปตามหลักธรรมเพราะเจ้าไม่แสวงหาหลักธรรม เจ้าเพียงแต่รับฟังความเห็นที่ไม่มีมูลของแต่ละคน ซึ่งคนที่ส่งเสียงโหวกเหวกและดังที่สุดคือผู้ตัดสินชี้ขาด  แล้วในที่สุดผู้นำแบบนี้จะเป็นเช่นไร?  พวกเขากลายเป็นคนที่ตัดสินใจไม่ได้ กระแสข้างไหนพัดแรงสุดก็ฟังข้างนั้น  เหมือนกับตอนที่ผู้นำบางคนบอกให้ยกมือออกเสียงเวลาจะไล่พวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ออกไปนั่นเอง  ถ้ามีแม้สักคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย พวกเขาก็จะไม่ไล่หรือเอาบุคคลดังกล่าวออกไป  แม้แต่สิ่งที่เราพูดก็จะไม่มีความสำคัญ  นี่คือการกีดกันพระเจ้าออกไปมิใช่หรือ?  การที่พวกเขากีดกันพระเจ้า แต่กลับบอกว่าพวกเขากำลังแสวงหาความจริงนั้น ช่างไร้สาระสิ้นดี!  เมื่อทุกคนสามัคคีธรรมความจริงและแสวงหาหลักธรรม ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นใด?  ผลลัพธ์ของการสามัคคีธรรมแบบนี้ย่อมสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และหลักธรรม เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์  หลังจากที่สามัคคีธรรมกันมายืดยาว หากมีมติเอกฉันท์ซึ่งเมื่อนำไปดำเนินการแล้ว จะสร้างความเสียหายให้กับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ก่อประโยชน์แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เช่นนั้นแล้วผลลัพธ์ที่เกิดจากมติในครั้งนี้ก็ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  แน่นอนว่านั่นย่อมสวนทางกับพระวจนะของพระเจ้า  ข้อนี้ไม่ต้องสงสัยเลย  เช่นนั้นแล้ว ผลลัพธ์ที่เกิดจากมตินี้มีแก่นแท้เช่นไร?  เป็นคำสอนที่ว่างเปล่าซึ่งฟังดูดี สอดคล้องกับวิถีสังคมทางโลก เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน และดีต่อผลประโยชน์ของทุกฝ่าย แต่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้นำบางคนก็เลอะเลือน พวกเขาทั้งไม่ไล่ตามเสาะหาและไม่เข้าใจความจริง  พอทุกคนสามัคคีธรรมจบ ผู้นำเหล่านี้ก็เลือกผลลัพธ์ที่ตรงกับความชอบส่วนตน แต่แท้จริงแล้วขัดแย้งกับหลักธรรมความจริง  พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่ตนทำอยู่นั้นเป็นธรรมและสมเหตุสมผล สอดคล้องกับความจริงทุกประการ  ที่จริงแล้วพวกเขาไม่เข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  พวกเขายิ่งไม่เข้าใจว่าอะไรคือหลักธรรมความจริง  พวกเขาหาผลลัพธ์จากสามัคคีธรรมของทุกคนที่ตรงกับความชอบของตน โดยคิดว่า “ดูสิว่าฉันเป็นประชาธิปไตยขนาดไหน  ฉันไม่ใช่เผด็จการ  ฉันหารือทุกอย่างกับทุกคน และท้ายที่สุดนั่นก็เป็นการตัดสินใจของทุกคน  พวกเรายกมือออกเสียงในเรื่องนี้  เป็นมติที่เกิดจากการตัดสินใจของกลุ่ม ไม่ใช่การตัดสินใจของฉันคนเดียว”  พวกเขารู้สึกพอใจในตนเองมาก แต่แล้วพวกเขาก็ลงเอยด้วยการหักหลังผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและความจริงในพระวจนะของพระองค์ เหยียบย่ำข้อกำหนดของพระองค์  ทุกคนพอใจและได้ประโยชน์  แต่พระเจ้าจะพอพระทัยในเรื่องนี้หรือไม่?  พระองค์จะทรงเห็นชอบหรือไม่?  พระเจ้าจะทรงรู้สึกในพระทัยของพระองค์ว่าอย่างไร?  เหล่าผู้นำไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ พวกเขาเอาแต่ดำเนินงานของคริสตจักรไปในลักษณะนี้  ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์หรือไม่นั้น ทุกคนควรมีวิจารณญาณแยกแยะในเรื่องนั้น  มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมากมายในคริสตจักรทั่วทุกแห่งใช่หรือไม่?  มีไม่น้อยแน่นอน

เพื่อชนะใจผู้คนและเพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะได้รับเลือกเป็นผู้นำอีกครั้ง ผู้นำคริสตจักรบางคนจึงปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยในทุกเรื่องที่พวกเขาทำ โดยอ้างว่าตนนั้นไม่ได้เป็นเผด็จการ  พวกเขาใช้วิธีนี้ซื้อใจผู้คน แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังทำเช่นนี้เพื่อเสริมสร้างสถานะของตนเองให้มั่นคง  นี่คือพฤติกรรมของศัตรูพระคริสต์มิใช่หรือ?  (ใช่)  มีแต่ศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่จะกระทำการในลักษณะนี้  พวกเจ้าทำเรื่องเหล่านี้ด้วยหรือไม่?  (เป็นบางครั้ง)  แล้วพวกเจ้าคิดทบทวนหรือไม่ว่าเจตนาใดที่กำกับการกระทำเหล่านี้อยู่?  เรื่องนี้เข้าใจได้หากคนคนนั้นเพิ่งเริ่มฝึกฝนงานผู้นำและไม่เข้าใจหลักธรรม  แต่ถ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงานมาแล้วหลายปีและยังคงยืนกรานที่จะทำแบบนี้ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คือการไม่มีหลักธรรม  นี่คือผู้นำเทียมเท็จ และไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าคนคนหนึ่งมีเจตนาและเป้าหมายของตนเอง และยืนยันที่จะทำแบบนี้ พวกเขาก็คือศัตรูของพระคริสต์  พวกเจ้ามองปัญหานี้ว่าอย่างไร?  เมื่อเผชิญประเด็นปัญหาแบบนี้ พวกเจ้าปฏิบัติกันอย่างไร?  ถ้าพวกเจ้ามีเจตนาและเป้าหมายของตนเอง พวกเจ้าควรแก้ไขอย่างไร?  (ข้าพระองค์สังเกตเห็นว่าตัวเองเก็บงำเจตนาบางอย่างเอาไว้กับตน  บางครั้งข้าพระองค์ก็กลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะบอกว่าข้าพระองค์ไม่เปิดเผยและไม่โปร่งใสในเรื่องการกระทำของข้าพระองค์ที่ตัดสินใจเองโดยไม่บอกพวกเขา  พอมีความคิดแบบนี้ ข้าพระองค์ก็จะหารือและแก้ไขเรื่องต่างๆ ร่วมกับพี่น้องชายหญิง  ข้าพระองค์จะไม่ตัดสินใจเอาเอง)  การปรึกษาผู้อื่นนั้นยอมรับได้  การทำให้แน่ใจว่าทุกคนได้รับแจ้งนั้นเหมาะสมแล้ว นี่คือการยอมให้พี่น้องชายหญิงกำกับดูแลงานของเจ้า ซึ่งช่วยเจ้าในการทำหน้าที่ของตน  อย่างไรก็ดี ระหว่างการหารือ เจ้าก็ต้องยึดปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงด้วย  ถ้าเจ้าเบี่ยงเบนออกจากหลักธรรมความจริง การหารือก็จะออกนอกเรื่องหรือเสียเวลาเปล่า และเจ้าก็จะไม่ได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง  เพราะฉะนั้น เมื่อเริ่มหารือกัน ผู้นำและคนทำงานต้องเป็นผู้นำในการอ่านบทตอนที่เกี่ยวข้องในพระวจนะของพระเจ้า  เช่นนี้ทุกคนจึงจะสามารถสามัคคีธรรมได้ตามพระวจนะของพระองค์  สามัคคีธรรมแบบนี้จะกำหนดเส้นทางและก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี  เจ้าไม่สามารถเอาแต่ยืนเฉยและปล่อยให้ทุกคนสามัคคีธรรมตามใจชอบได้  ถ้าไม่มีใครมีความคิดเห็นที่หนักแน่นชัดเจน และพวกเขาก็ไม่ได้แสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมนานเพียงใด การสามัคคีธรรมแบบนี้ก็ย่อมไร้ประโยชน์ และจะไม่มีวันสัมฤทธิ์ผลที่ถูกต้อง  ดังนั้น ถ้าคริสตจักรขาดผู้นำที่ดี และมีคนที่ไม่เข้าใจความจริงคอยคัดท้าย ถ้ามีแต่กลุ่มคนที่เลอะเลือน ไร้ความคิดเห็นที่หนักแน่นชัดเจน มาสามัคคีธรรมกันอย่างมักง่าย และการสามัคคีธรรมของพวกเขาก็มีแต่เรื่องไร้สาระเท่านั้น การนี้อาจส่งผลกระทบเช่นไร?  ควรเรียกสิ่งที่ได้ชื่อว่าประชาธิปไตยนี้ว่าอะไร?  ทั้งหมดนี้คือการโต้แย้งอย่างมืดบอด ขาดหลักธรรม และจะไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง  แนวทางประชาธิปไตยแบบนี้ไม่สามารถให้ผลกระทบที่เป็นบวกได้  แม้ทุกคนจะมีลักษณะภายนอกที่น่ามองและวาจาคมคาย แต่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่มีความคิดเห็นที่หนักแน่นชัดเจน ไม่มีความสามารถที่แท้จริง และไม่มีการเรียนรู้ที่แท้จริง  พวกเขาไม่สามารถนำผู้คนเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง  พวกเขากล่าวแต่วาจาที่ชักพาให้ผู้คนหลงผิด ซึ่งไม่สามารถสร้างผลกระทบที่เป็นบวก  ไม่ว่าจะอย่างไร เวลาเผชิญสถานการณ์ ถ้าคนเราเพียงดำเนินการปรึกษาหารือกันตามแบบประชาธิปไตยโดยไม่มีคนที่เข้าใจความจริงคอยนำทางให้ ก็ย่อมจะไม่ได้ผล  แนวทางที่ดีที่สุดยังคงเป็นการให้ผู้นำและคนทำงานแสวงหาความจริงด้วยตนเอง เลือกพระวจนะของพระเจ้าที่สอดคล้องกัน อ่านพระวจนะอย่างละเอียดถี่ถ้วน และใคร่ครวญด้วยความตั้งใจ  เมื่อนั้นพวกเขาจึงจะสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าเข้าสู่ที่ชุมนุมเพื่อสามัคคีธรรมและหารือกับทุกคน  วิธีนี้เท่านั้นจึงจะสัมฤทธิ์ผลได้  ส่วนผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่เคยใช้วิธีปรึกษาหารือตามแบบประชาธิปไตยไม่ว่าจะในสถานการณ์เช่นใด  พวกเขาไม่เคยให้ผู้คนหารือหรือสามัคคีธรรมกัน  พวกเขายึดมั่นในเจตนาและเป้าหมายของตนเอง กลัวว่าการปรึกษากันตามแบบประชาธิปไตยจะเปิดโปงหรือคัดค้านเจตนาและเป้าหมายของพวกเขา  เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงกระทำการแบบเผด็จการ อยากเป็นคนเดียวที่ตัดสินชี้ขาดอยู่เสมอ  ต่อให้พวกเขาสามัคคีธรรมตามหลักประชาธิปไตยในเรื่องเล็กน้อยบางเรื่อง นั่นก็เป็นเพียงความพยายามที่จะประจบเอาใจทุกคนและให้ทุกคนมองพวกเขาในแง่บวก นั่นทำไปเพียงเพื่อเสริมสร้างสถานะของตนให้มั่นคงแข็งแรงเท่านั้น  ถ้าพวกเจ้าพบเจอบางคนที่มีเจตนาเหล่านี้ พวกเจ้าก็ต้องระแวดระวังพวกเขาและเฝ้าสังเกตพวกเขา และเมื่อจำเป็น พวกเจ้าก็ต้องเปิดโปงและหยุดยั้งพวกเขาเอาไว้  ผู้นำหรือคนทำงานที่ถูกต้องคือคนที่แสวงหาความจริงด้วยตนเองก่อน แล้วจากนั้นจึงนำทุกคนสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและแสวงหาความจริง  ในระหว่างสามัคคีธรรม หัวใจของทุกคนอาจจะไม่ชัดเจนแจ่มแจ้ง และอาจจะคลุมเครืออยู่บ้าง แต่เมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมต่อไป พวกเขาก็จะมีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  บางทีอาจจะมีพวกเขาสักคนหนึ่งที่สามารถบอกความสว่างหรือเส้นทางได้ และเมื่อทุกคนสามัคคีธรรมกันต่อไปในความสว่างของความกระจ่างนี้และตามเส้นทางนี้ หัวใจของพวกเขาย่อมจะเกิดความชัดเจน เปิดโอกาสให้พวกเขากำหนดเส้นทางปฏิบัติที่ถูกที่ควร  ระหว่างที่ทุกคนสามัคคีธรรมด้วยกันต่อไป พวกเขาก็จะพูดจาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  ตราบใดที่มีแม้สักคนหนึ่งที่ได้รับความรู้แจ้งและได้รับความกระจ่างด้วยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะเป็นเหมือนว่าทุกคนได้รับความรู้แจ้งและได้รับความกระจ่างกันทั้งสิ้น  ผู้นำและคนทำงานทุกคนจึงควรเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริงในหนทางนี้  การปฏิบัติในรูปแบบนี้ย่อมเปิดโอกาสให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ  ถ้าเจ้าเออออตามความคิดเห็นของทุกคนอยู่เสมอ ไม่เสาะแสวงที่จะรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร เช่นนั้นแล้ว ก็จะเป็นความเบี่ยงเบนอย่างหนึ่ง  การคล้อยตามความคิดเห็นของทุกคนและตกลงใจเลือกสิ่งที่ทุกคนคิดว่าดีอยู่เสมอ—นี่เป็นวิธีการแบบใด?  เป็นวิธีที่คนเราใช้ประจบเอาใจ ไม่แบกรับภาระอะไร และไม่คำนึงถึงงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  แม้ดูผิวเผินเจ้าได้ปฏิบัติงานของเจ้า เปิดโอกาสให้ผู้คนสามัคคีธรรมและแสดงความคิดเห็นของพวกเขา ดำเนินการแบบประชาธิปไตย หลีกเลี่ยงอำนาจนิยมหรือการทำอะไรแบบไม่ฟังเสียงใครแล้ว แต่จุดประสงค์ของเจ้าก็คือการประจบเอาใจ ทำให้ผู้คนยกย่องเจ้า เห็นชอบในตัวเจ้า พูดกันว่าเจ้าไม่ใช่เผด็จการ พูดกันว่าเจ้ามีเหตุมีผล และพูดกันว่าสามารถทำงานได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมพึงพอใจ  การทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  ถ้าจุดประสงค์ของเจ้าไม่ถูกต้อง ผลที่ออกมาจะถูกต้องได้หรือ?  แน่นอนว่าไม่ได้  เจ้าชนะใจทุกคนและทำให้พวกเขามีความสุขกัน  พวกเขาพูดกันทุกคนว่าเจ้าเป็นผู้นำที่ดี ไม่ใช่ผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ และเจ้าสามารถทำงานได้ พวกเขาทุกคนสนับสนุนเจ้า—แต่สุดท้ายแล้วใครได้ประโยชน์?  เจ้านั่นเอง  นี่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีหรือไม่?  ไม่ใช่  ประการแรก เจ้าไม่ได้เป็นพยานให้พระเจ้า และประการที่สอง เจ้าไม่ได้ค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ผลสุดท้ายก็คือเจ้าได้ปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าและของทุกคน เจ้าได้ปกป้องสถานะของตนเอง แต่ไม่มีใครปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักร  มีการปรองดองกันอย่างยอดเยี่ยมในหมู่พวกเจ้าทุกคน แต่งานที่สำคัญยิ่งแห่งพระนิเวศของพระเจ้ากลับถูกละเลย  ไม่มีใครสนใจหรือคำนึงว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าควรสอดคล้องกับหลักธรรมและข้อกำหนดของพระเจ้าอย่างไร  นี่คือการทรยศผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ามิใช่หรือ?  เจ้าได้ทรยศความจริง ทรยศข้อกำหนดของพระเจ้า รวมทั้งงานและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อให้ตัวเองสามารถประจบเอาใจทุกคนได้  สุดท้ายแล้ว ทั้งเจ้าและทุกคนต่างก็ได้ประโยชน์  นี่คือผู้คนที่น่ารังเกียจและต่ำช้า เป็นกลุ่มก้อนของคนทรยศ  นี่คือเส้นทางที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้กัน  ด้วยการทรยศผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อเอาใจทุกคนและรักษาสถานะของเจ้าเอาไว้ เจ้าย่อมลงเอยด้วยการได้รับการค้ำชูและสนับสนุนจากทุกคน ดังนั้นพวกเขาจะได้เลือกเจ้าเป็นผู้นำของพวกเขาอยู่เสมอ  เจ้าได้เสริมสร้างสถานะของตนให้มั่นคงแล้ว แต่มีการดำเนินการตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าและความจริงในคริสตจักรแล้วหรือยัง?  (ยัง)  ทั้งหมดนั้นถูกเจ้าขัดขวาง  ไม่มีการดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในคริสตจักรที่เจ้าควบคุมอยู่  ไม่มีการนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติในหมู่พี่น้องชายหญิง และพระวจนะก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในหัวใจของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อที่จะกลายเป็นชีวิตของพวกเขา  ตัวการสำคัญของเรื่องนี้คือใคร?  คือเจ้า  เจ้ากลายเป็นสิ่งกีดขวางและอุปสรรคของการดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในคริสตจักร—พระเจ้าจะไม่กริ้วเจ้าได้อย่างไร?  เจ้าควรถูกปลดมิใช่หรือ?  ถ้าถึงเวลาที่เจ้าจะถูกปลด แต่ยังคงไม่มีใครเห็นด้วย เจ้าย่อมจะกลายเป็นอะไรไปแล้ว?  เจ้าย่อมจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ไปแล้ว  คนที่เคารพบูชาและติดตามเจ้าก็พลอยถูกเจ้าพาเดินไปบนเส้นทางที่ผิดกันหมด สูญเสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด และกลายเป็นลูกแกะที่เจ้าใช้เป็นเครื่องบูชา  คริสตจักรที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้ากลายเป็นอาณาจักรของศัตรูพระคริสต์  เหล่านี้คือผลสืบเนื่อง  เหตุใดจึงไม่มีใครเห็นด้วยกับการปลดเจ้า?  เจ้าซื้อพวกเขาเอาไว้หมดแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็มองเจ้าเป็นพระเจ้า  เจ้าเข้าไปแทนที่พระเจ้าในหัวใจของพวกเขาโดยยึดครองหัวใจของพวกเขาไปหมดแล้ว  พวกเขาไม่มีพระเจ้าหรือความจริงในหัวใจของตนอีกต่อไป พวกเขากำลังถูกเจ้าจับเป็นเชลยและควบคุมเอาไว้  นี่ไม่ต่างจากวิธีที่ซาตานใช้ควบคุมและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  พระเจ้าทรงวางผู้คนเหล่านี้ไว้ในมือเจ้า แต่เจ้ากลับปล้นและชิงตัวพวกเขาไป  นี่คือศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  นี่คือศัตรูของพระคริสต์โดยแท้จริง  ศัตรูของพระคริสต์มีบทบาทอย่างไรในคริสตจักร?  เรื่องนี้ชัดเจนโจ่งแจ้งและเห็นได้ง่าย  ศัตรูของพระคริสต์ก็คือข้ารับใช้ของซาตานที่ทำทุกอย่างตามที่ซาตานต้องการ และสัมฤทธิ์เป้าหมายของซาตานในการควบคุมและชักพาผู้คนให้หลงผิด  เมื่อทำเช่นนี้ พวกเขาก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน และควรถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษ

ตอนนี้ทุกคนที่ทำหน้าที่ผู้นำและคนทำงานต่างก็กลัวว่าจะเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์  เมื่อเป็นดังนี้ เจ้าจะทำอย่างไรได้เพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์แบบนี้?  ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจว่าหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติและงานที่เจ้าทำคือพระบัญชาจากพระเจ้า และเจ้าต้องทำงานของเจ้าตามข้อกำหนดของพระเจ้า  เมื่อทำดังนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะมีวัตถุประสงค์และทิศทางในใจ และเจ้าจะสามารถแสวงหาความจริงและมองหาเส้นทางภายในพระวจนะของพระเจ้าได้  จากนั้นเจ้าก็ควรนำทุกคนสามัคคีธรรมถึงบทตอนที่เกี่ยวข้องในพระวจนะของพระเจ้า และทำให้พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระองค์ เพื่อให้ได้รับความสว่างมากขึ้นจากพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและความจริง แล้วจากนั้นก็สามารถปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง  นี่คือการออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง  ตามแก่นแท้แล้ว งานของคริสตจักรก็คือการนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้มาเข้าใจและเข้าสู่ความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าทรงแสดง  นี่คืองานขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของคริสตจักร  ดังนั้น ไม่ว่ากำลังแก้ไขปัญหาใดกันอยู่ ก็ไม่อาจแยกการชุมนุมออกจากการอ่านบทตอนในพระวจนะของพระเจ้าที่สัมพันธ์กันหรือแยกออกจากการสามัคคีธรรมความจริงได้  ท้ายที่สุดแล้วถ้าเจ้าสามารถสามัคคีธรรมความจริงและหลักธรรมของการปฏิบัติได้จนชัดเจน ทุกคนก็จะเข้าใจความจริงและรู้ว่าจะปฏิบัติความจริงอย่างไร  ไม่ว่าเจ้ากำลังกินและดื่มแง่มุมใดของความจริงในระหว่างการชุมนุม เจ้าก็ต้องสามัคคีธรรมในลักษณะนี้และแสวงหาความจริงตามปัญหาที่เจ้าเผชิญอยู่  ผู้ที่เข้าใจความจริงต้องนำการสามัคคีธรรม จากนั้นผู้ที่ได้รับความรู้แจ้งแล้วย่อมสามารถสามัคคีธรรมต่อได้  ด้วยวิธีนี้ ยิ่งพวกเขาสามัคคีธรรม พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะยิ่งทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา และยิ่งพวกเขาสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็จะยิ่งมีความชัดแจ้งมากขึ้น  เมื่อทุกคนเข้าใจความจริง พวกเขาก็จะสัมฤทธิ์การปลดปล่อยและอิสรภาพโดยสมบูรณ์ และมีเส้นทางให้เดินตาม  นี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่การชุมนุมหนึ่งๆ จะสัมฤทธิ์ได้  เมื่อทุกคนสื่อสารกันเรื่องความเป็นจริงความจริงจนชัดเจนด้วยสามัคคีธรรมแบบนี้ เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะเข้าใจความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  หลังจากที่ผู้คนเข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาจะรู้วิธีได้รับประสบการณ์และรู้วิธีปฏิบัติความจริงไปเอง  เมื่อพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างถูกต้อง พวกเขาย่อมจะได้มาซึ่งความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อคนคนหนึ่งได้มาซึ่งความจริงไว้แล้ว พวกเขาก็ย่อมจะมีพระเจ้ามิใช่หรือ?  ถ้าใครบางคนมีพระเจ้าแล้ว พวกเขาย่อมจะได้รับความรอดจากพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ในงานของผู้นำหรือคนทำงานของเจ้า ถ้าเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เช่นนี้ได้ เจ้าก็ย่อมจะทำงานของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เจ้าย่อมจะลุล่วงหน้าที่ของเจ้าได้ตามมาตรฐาน และเจ้าจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนเข้าใจความจริง พวกเขาจะยังคงบูชา ยอมรับนับถือ และติดตามเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนจะเพียงกล่าวชมเชยเจ้า เคารพเจ้า เต็มใจที่จะติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้า และเต็มใจที่จะฟังสามัคคีธรรมของเจ้าเพื่อให้พวกตนสามารถได้ประโยชน์จากสามัคคีธรรมนั้นๆ เท่านั้น  ผู้ที่เข้าใจความจริงย่อมสามารถเป็นความสว่างและเป็นเกลือ  นี่คือความหมายของการลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน  เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงและมีสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้นแล้ว พวกเขาย่อมสามารถสัมฤทธิ์การเข้ากันได้กับพระเจ้า ไม่เข้าใจพระองค์ผิด ไม่ต้านทาน หรือกบฏต่อพระองค์อีกต่อไป และจะสามารถยกชูและเป็นพยานให้พระเจ้าได้ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญปัญหาใดอยู่ก็ตาม  ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน ถ้าเจ้าปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านี้ ก่อนที่เจ้าจะทันรู้ตัว เจ้าย่อมจะนำผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว  ผู้คนที่เจ้านำย่อมจะสามารถปฏิบัติความจริง เข้าสู่ความเป็นจริง ยกชูพระเจ้า และเป็นพยานให้พระองค์ได้เช่นกัน  เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเจ้าย่อมจะทรงเห็นชอบในตัวผู้คนที่เจ้านำและจะทรงรับพวกเขาเอาไว้  ดังนั้น เมื่อผู้นำเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ก็ย่อมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าทุกประการ  ตราบใดที่สิ่งที่ผู้คนทำนั้นเป็นไปตามหลักธรรมความจริง ผลของการกระทำของพวกเขาย่อมจะมีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ ไร้ซึ่งผลข้างเคียงที่เลวร้ายใดๆ และพวกเขาย่อมจะมีพรและการคุ้มครองจากพระเจ้าในทุกเรื่อง  ต่อให้พวกเขาก่อให้เกิดความเบี่ยงเบนบ้างในบางครั้ง พระเจ้าก็จะประทานความรู้แจ้งและนำพวกเขา และพวกเขาก็จะพบการแก้ไขให้ถูกต้องในพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อผู้คนเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาย่อมจะได้รับพรและการคุ้มครองจากพระเจ้า

อะไรคือจุดประสงค์เบื้องหลังการที่พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติการลงคะแนนเสียงคัดเลือกและปรึกษาหารือกันตามแบบประชาธิปไตย?  ทำไมถึงต้องปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตย?  (เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนทำตัวเป็นกฎเสียเอง)  จริงๆ แล้วก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้  อย่างไรก็ดี เป้าหมายสุดท้ายของการปรึกษาหารือกันตามแบบประชาธิปไตยก็เพื่อใช้ความจริงแก้ปัญหา หลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดความเบี่ยงเบน และเพื่อกระทำการตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เพื่อเข้าใจความจริงและเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้อง  เพื่อค้นหาเส้นทางที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อนบนอบพระราชกิจของพระองค์ และนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เพื่อให้สำเร็จลุล่วงตามน้ำพระทัยของพระองค์  นอกจากนี้ยังเป็นไปเพื่อระแวดระวังการชักพาให้หลงผิดและการก่อกวนที่เกิดจากผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสนวุ่นวายภายในคริสตจักร และเพื่อปกป้องชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่ให้ประสบความสูญเสีย  การปรึกษาหารือกันตามแบบประชาธิปไตยสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้ได้  ถ้าไม่มีการสามัคคีธรรมความจริงหรือการปรึกษาหารือกันตามแบบประชาธิปไตยในคริสตจักร ก็ย่อมง่ายดายเหลือเกินที่จะเกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นและมีหมู่มารกับเหล่าซาตานมาใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ ส่งผลให้ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ครองอำนาจ  ในเมื่อทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ผู้นำและคนทำงานจึงมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะทำตัวเผด็จการ ยอมให้ตนเองเท่านั้นมีสิทธิ์ชี้ขาด และตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง  พระนิเวศของพระเจ้าดำเนินการลงคะแนนเสียงคัดเลือกคนตามแบบประชาธิปไตยก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้นำและคนทำงานทำตัวเป็นกฎเสียเองเท่านั้น รวมทั้งยับยั้งไม่ให้ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจในคริสตจักร ไม่ให้เป็นคนกลุ่มเดียวที่มีอำนาจในการตัดสินใจ และไม่ให้คริสตจักรตกอยู่ภายใต้การควบคุมของครอบครัวของพวกเขา  ทั้งหมดนั้นก็เพื่อยับยั้งวิธีการแบบอำนาจนิยมและแบบศัตรูของพระคริสต์  อย่างไรก็ดี นี่ไม่ได้หมายความว่าพระนิเวศของพระเจ้ากำลังให้สิทธิ์ชี้ขาดแก่พี่น้องชายหญิงโดยการปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตย และย่อมไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งต้องตัดสินใจด้วยการปรึกษาพี่น้องชายหญิงอย่างแน่นอน  พระนิเวศของพระเจ้ามีทั้งหลักประชาธิปไตยและการรวมอำนาจ  จึงเป็นเรื่องจำเป็นมากที่จะต้องดำเนินการในหนทางนี้  ข้อสรุปที่ได้จากการปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียวนั้นรับประกันได้หรือไม่ว่าสอดคล้องกับความจริง?  ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความจริง  ดังนั้น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ต้องมีการรวมอำนาจ  การรวมอำนาจหมายถึงอะไร?  หมายถึงการรวบรวมความคิดเห็นของทุกคนเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องสอดคล้องกับความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าทุกประการ  เมื่อการปรึกษาหารือตามแบบประชาธิปไตยไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เมื่อนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เหล่านี้ก็คือการรวมอำนาจ  วิธีปฏิบัติของการรวมอำนาจก็คือ หลังจากสามัคคีธรรมถึงประเด็นปัญหานั้นๆ แล้ว ถ้ากลุ่มผู้ตัดสินใจไม่สามารถลงมติ และไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องรายงานเรื่องนี้ให้เบื้องบนรู้เพื่อให้เบื้องบนตัดสินใจ  เนื่องจากเบื้องบนเข้าใจความจริงและมีหลักธรรม การตัดสินใจของเบื้องบนจึงถูกต้องแม่นยำและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ถ้าผู้นำคริสตจักรหรือกลุ่มผู้ตัดสินใจไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงได้อย่างชัดเจนหรือไม่สามารถค้นพบหลักธรรมและเส้นทาง ถ้าพวกเขาไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร และไม่รายงานให้เบื้องบนทราบหรือขอให้เบื้องบนตัดสินใจภายใต้รูปการณ์เหล่านี้ แต่พวกเขากลับกำกับดูแลเอาเอง เช่นนั้นแล้วคริสตจักรแห่งนี้และกลุ่มผู้ตัดสินใจนี้ก็ถูกผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ควบคุมอยู่  ถ้าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสัมฤทธิ์ผลด้วยการสามัคคีธรรมความจริง และข้อสรุปที่พวกเขาได้ก็ถูกต้อง เบื้องบนย่อมเดินหน้าให้ความเห็นชอบ  ถ้าข้อสรุปของพวกเขายังคงมีการเบี่ยงเบน และไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงโดยสมบูรณ์ เช่นนั้นแล้วเบื้องบนก็จะแก้ไขข้อสรุปเหล่านั้นให้ถูกต้อง  ข้อผิดพลาดซึ่งบางครั้งก็เกิดขึ้นในการปรึกษาหารือตามแบบประชาธิปไตยจึงสามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างมีประสิทธิผลด้วยวิธีนี้  ด้วยการรวมอำนาจเช่นนี้ ก็เป็นไปได้ที่จะรับประกันว่าการปรึกษาหารือแบบประชาธิปไตยจะดำเนินไปตามปกติ ไม่ถูกรบกวน และพร้อมกันนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำและคนทำงานก็ไม่มีการเบี่ยงเบน  แม้พระนิเวศของพระเจ้าจะดำเนินการตามแบบประชาธิปไตย แต่ก็มีหลักธรรมในการทำเช่นนี้  หลักธรรมเหล่านี้คือต้องทำตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และคนเราต้องนบนอบพระเจ้าและทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสในทุกเรื่อง  ต้องมีการสัมฤทธิ์ผลเหล่านี้เพื่อให้เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายของการปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยของคริสตจักรต้องสอดคล้องกับความจริง  ถ้าไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นก็ต้องล้มเลิก  บางคนเชื่อว่าการปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยหมายความว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีสิทธิ์ชี้ขาดในทุกเรื่อง ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะพูดอะไรก็ต้องเคารพและนำไปพิจารณา  นี่ถูกต้องหรือไม่?  พี่น้องชายหญิงมีความจริงหรือไม่?  (ไม่มี)  ถ้าปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจขั้นสุดท้ายในทุกเรื่อง นั่นจะต่างอะไรจากการยอมให้ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ตัดสินชี้ขาด?  ทั้งสองกรณีนี้ พวกเขาต่างก็ไม่มีความจริงและเป็นผู้คนที่เสื่อมทราม  ถ้าพวกเขาตัดสินชี้ขาด เช่นนั้นแล้วซาตานไม่ได้กุมอำนาจอยู่หรือ?  เพราะฉะนั้น การปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่าสิ่งใดที่พี่น้องชายหญิงกล่าวย่อมเป็นความจริง ถูกต้อง และต้องให้ความเคารพ  ไม่ใช่เช่นนั้น  ส่วนใหญ่แล้ว หลักประชาธิปไตยนั้นทำไปเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสพูดจา สนทนา สามัคคีธรรม และสามารถลุล่วงความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน และหน้าที่ของตนเอง  อย่างไรก็ดี อำนาจในการตัดสินใจย่อมอยู่ในมือของกลุ่มผู้ตัดสินใจ  การตัดสินใจย่อมทำโดยผู้ที่เข้าใจความจริง และเรื่องสำคัญทั้งหมดก็ตัดสินใจโดยเบื้องบน  เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมสามารถรับรองได้ว่าการตัดสินใจของคริสตจักรนั้นโดยรวมแล้วถูกต้อง หรือการตัดสินใจส่วนใหญ่ถูกต้อง และความเบี่ยงเบนก็มีแต่จะลดน้อยลงเรื่อยๆ  นี่คือความหมายเบื้องหลังการใช้วิธีลงคะแนนเสียงคัดเลือกและปรึกษาหารือกันแบบประชาธิปไตย  การปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลที่สอดคล้องกับความจริงในทุกเรื่องทั้งสิ้น เพื่อให้ไปถึงจุดที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผิดพลาดน้อยจนถึงไม่ผิดพลาดเลย และเพื่อรับรองว่าจะสามารถดำเนินการบนแผ่นดินโลกตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้โดยไม่ถูกขัดขวาง  หากไม่มีการลงคะแนนเสียงคัดเลือกและปรึกษาหารือกันตามแบบประชาธิปไตย ก็แน่นอนว่าย่อมมีคนชั่วมากมายใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ย่อมกระทำการอย่างเผด็จการ  นี่ไม่เพียงส่งผลต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่รวมถึงชีวิตคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรด้วย  ตั้งแต่พระนิเวศของพระเจ้าเริ่มให้ลงคะแนนเสียงคัดเลือกตามแบบประชาธิปไตย มีผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จที่ถูกเผยและถูกกำจัดออกไป รวมทั้งคนชั่วที่ไม่มีโอกาสเอารัดเอาเปรียบอยู่จำนวนหนึ่ง  นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความเห็นชอบจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำและคนทำงานจำนวนหนึ่งด้วย  พวกเขาได้รับโอกาสที่จะฝึกฝนและถูกทำให้เพียบพร้อม  เหล่านี้คือผลลัพธ์อันชัดเจนของการลงคะแนนเสียงคัดเลือกตามแบบประชาธิปไตยและเป็นที่ประจักษ์ได้ของทุกฝ่าย  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนควรเข้าใจว่า การที่คริสตจักรปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยนั้นให้ประโยชน์และเป็นคุณต่อพระนิเวศของพระเจ้า ต่อคริสตจักร และผู้คน  เนื่องจากทุกคนในคริสตจักรคือสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า และไม่มีใครเป็นคนนอก แต่ละคนจึงมีสิทธิ์ที่จะพูดจา สนทนา ออกเสียง และคัดเลือกในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักร เป็นต้น  นี่คือสิทธิ์ของทุกคน  อย่างไรก็ดี การมีสิทธิ์นี้ไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีความจริง หรือยอมให้เจ้ากระทำการอย่างวู่วาม  หากเจ้าใช้สิทธิ์นี้ในทางที่ผิด พระนิเวศของพระเจ้าก็ควรยับยั้งเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าได้รับสิทธิ์นี้ก็เพื่อให้เจ้าปฏิบัติความจริงและรับมือเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง  เพื่อให้เจ้าค้ำชูผลประโยชน์ของคริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าสามารถตัดสินชี้ขาดและกระทำการอย่างวู่วาม  คริสตจักรสามารถอ้างอิงและนำสิ่งที่เจ้ากล่าวถูกต้องแล้วไปใช้  ถ้าบางสิ่งที่เจ้าพูดนั้นผิดและได้รับการคัดค้าน เจ้าก็ต้องไม่ดื้อรั้น  เจ้าควรฝึกฝนการยอมรับและการนบนอบ  การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมเป็นผลดีต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า

บทตัดตอน 75

ในงานของพวกเขา ผู้นำและคนทำงานทั้งหลายในคริสตจักรต้องให้ความสนใจกับหลักธรรมสองประการ ได้แก่ หนึ่งนั้นคือการทำงานของพวกเขาโดยสอดคล้องกับหลักธรรมที่กำหนดขึ้นโดยการจัดการเตรียมงานทั้งหลายโดยแน่ชัด ไม่มีวันละเมิดหลักธรรมเหล่านั้นและไม่ใช้สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาอาจจินตนาการและไม่ใช้แนวคิดอันใดของพวกเขาเองเป็นพื้นฐานในงานของพวกเขา  ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาควรแสดงความกังวลสนใจในงานของคริสตจักร และให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ามาก่อนเสมอ  อีกสิ่งหนึ่ง—และการนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด—ก็คือว่า ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาต้องมุ่งความสนใจไปที่การปฏิบัติตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยการรักษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างเข้มงวด  หากพวกเขายังคงสามารถต่อต้านการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือหากพวกเขาปฏิบัติตามแนวคิดของตนเองอย่างดื้อดึงและทำสิ่งทั้งหลายตามจินตนาการของตนเอง เช่นนั้นแล้วการกระทำทั้งหลายของพวกเขาก็จะประกอบขึ้นเป็นการต้านทานพระเจ้าที่รุนแรงที่สุด  การที่พวกเขาหันหลังให้กับความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นนิจมีแต่จะนำไปสู่ทางตันเท่านั้น  หากพวกเขาสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่สามารถทำงานได้ และต่อให้พวกเขาสามารถทำงานได้ด้วยเหตุใดก็ตาม พวกเขาก็จะไม่สำเร็จลุล่วงสิ่งใดเลย  เหล่านี้คือหลักธรรมสำคัญสองประการที่ผู้นำและคนทำงานต้องยึดปฏิบัติในขณะทำงาน หนึ่งนั้นคือการปฏิบัติงานของตนตามการจัดการเตรียมการของเบื้องบนอย่างเข้มงวด รวมทั้งกระทำการโดยสอดคล้องกับหลักธรรมที่เบื้องบนกำหนดไว้  และอีกประการก็คือการปฏิบัติตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในตัวพวกเขา  ทันทีที่จับความเข้าใจหลักธรรมสองประการนี้แล้ว พวกเขาจะไม่หมิ่นเหม่ถึงเพียงนั้นที่จะทำผิดพลาดในงานของพวกเขา  ประสบการณ์ของพวกเจ้าในการทำงานของคริสตจักรยังคงมีจำกัด และเมื่อพวกเจ้าทำงาน แนวคิดของพวกเจ้าเองก็ปะปนเข้ามาในงานอย่างมาก  บางครั้ง พวกเจ้าอาจไม่เข้าใจความรู้แจ้งหรือการทรงนำภายในตัวเจ้าซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่บางที พวกเจ้าก็ปรากฏเหมือนว่าเข้าใจความรู้แจ้งหรือการทรงนำนั้น แต่พวกเจ้าก็มีแววว่าจะเพิกเฉยต่อการนั้น  พวกเจ้าจินตนาการหรืออนุมานในลักษณะของมนุษย์อยู่เสมอ โดยกระทำการตามที่พวกเจ้าคิดว่าสมควร โดยไม่มีความกังวลสนใจในเจตนารมณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์เลย  เจ้าทำงานของเจ้าไปตามแนวคิดของเจ้าเองเพียงประการเดียว โดยพักวางความรู้แจ้งอันใดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอยู่เนืองนิจ  การทรงนำภายในจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เหนือธรรมชาติ ในข้อเท็จจริงนั้น นั่นเป็นปกติอย่างมาก  กล่าวคือ ในส่วนลึกของหัวใจของเจ้า เจ้ารู้สึกว่านี่คือหนทางอันเหมาะควรที่จะปฏิบัติตน และว่านี่เป็นหนทางที่ดีที่สุด  อันที่จริงแล้วความคิดนี้ค่อนข้างชัดเจนและไม่ได้เกิดจากการไตร่ตรอง บางครั้งเจ้าก็ไม่เข้าใจอย่างเต็มที่ว่าเหตุใดเจ้าจึงควรกระทำการในหนทางนี้  บ่อยครั้งที่การนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  นี่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดกับผู้คนที่มีประสบการณ์  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเจ้าให้ทำสิ่งที่เหมาะสมที่สุด  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่เจ้าคิดขึ้นมา แต่เป็นความรู้สึกในหัวใจของเจ้าที่ทำให้เจ้าตระหนักว่านี่คือหนทางที่ดีที่สุดในการลงมือทำ และเจ้าก็ชอบที่จะทำในหนทางนั้นโดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด  นี่อาจจะมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  แนวคิดของคนเราเองบ่อยครั้งมาจากการคิดและการพิจารณา และล้วนแต่เจือปนด้วยเจตจำนงของตนเอง พวกเขาคิดเสมอว่ามีประโยชน์และความได้เปรียบอันใดให้กับตนเอง ทุกการกระทำที่มนุษย์ตัดสินใจลงมือมีสิ่งเหล่านี้อยู่ภายใน  อย่างไรก็ตาม การทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่มีทางบรรจุการเจือปนเช่นนั้นเลย  จำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจอย่างระมัดระวังต่อการทรงนำหรือความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นปัญหาที่เป็นกุญแจสำคัญ เจ้าต้องระมัดระวังเพื่อที่จะจับความเข้าใจการทรงนำหรือความรู้แจ้งนั้น  ผู้คนซึ่งชอบที่จะใช้สมองของพวกเขา และชอบที่จะกระทำการตามแนวคิดของพวกเขาเอง เป็นผู้ที่หมิ่นเหม่ที่สุดที่จะพลาดการทรงนำหรือความรู้แจ้งเช่นนั้น  ผู้นำและคนทำงานที่ได้มาตรฐานคือผู้คนที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เอาใจใส่ในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในทุกขณะ นบนอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  การที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยและเป็นพยานให้พระองค์อย่างถูกต้องเหมาะสมนั้น  เจ้าควรคิดทบทวนแรงจูงใจและสิ่งที่มีการปลอมปนในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าบ่อยๆ  และแล้วจึงพยายามสังเกตดูว่ามีงานมากเพียงใดที่ได้รับแรงจูงใจจากแนวคิดของมนุษย์ มีมากเพียงใดที่เกิดจากความรู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมีมากเพียงใดที่พ้องกับพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าต้องคิดทบทวนอย่างสม่ำเสมอและในทุกสถานการณ์ว่าคำพูดและความประพฤติของเจ้าสอดคล้องกับความจริงหรือไม่  การปฏิบัติอยู่เนืองนิจในลักษณะนี้จะวางเจ้าไว้บนร่องครรลองที่ถูกต้องของการรับใช้พระเจ้า  มีความจำเป็นที่จะต้องครองความเป็นจริงความจริงเพื่อสัมฤทธิ์การรับใช้พระเจ้าในหนทางที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์  มีเพียงหลังจากที่พวกเขาเข้าใจความจริงแล้วเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถแยกแยะและตระหนักรู้ในสิ่งที่ผุดขึ้นมาจากแนวคิดของพวกเขาเองและสิ่งที่อุบัติขึ้นมาจากแรงจูงใจของมนุษย์  พวกเขามีความสามารถที่จะระลึกได้ถึงความไม่บริสุทธิ์ของมนุษย์ ตลอดจนสิ่งที่เป็นความหมายของการปฏิบัติตนไปตามความจริง  มีเพียงหลังจากที่พวกเขาสามารถแยกแยะได้แล้วเท่านั้น จึงจะแน่ใจได้ว่าพวกเขาสามารถนำความจริงไปปฏิบัติและทำตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน  หากไม่มีการเข้าใจความจริง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะปฏิบัติการแยกแยะ  บุคคลที่สับสนมึนงงอาจเชื่อในพระเจ้าทั้งชีวิตของเขา โดยไม่รู้ว่าการให้ความเสื่อมทรามของตัวเขาเองถูกเปิดเผยนั้นหมายความว่าอย่างไร หรือการต้านทานพระเจ้านั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะเขาไม่เข้าใจความจริง ความคิดนั้นไม่มีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเขาเสียด้วยซ้ำ  ความจริงอยู่เกินเอื้อมถึงสำหรับผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำเกินไป ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจ  ผู้คนเช่นนั้นสับสนมึนงง  ในความเชื่อของพวกเขา ผู้คนที่สับสนมึนงงไม่สามารถให้คำพยานต่อพระเจ้าได้ พวกเขาได้แต่ออกแรงทำงานบ้างเท่านั้น  หากบรรดาผู้นำและคนทำงานจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี เช่นนั้นแล้วขีดความสามารถของพวกเขาก็ไม่อาจแย่เกินไป  อย่างน้อยที่สุด พวกเขาต้องมีความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณและจับใจความสิ่งทั้งหลายอย่างถ้วนทั่ว เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงและปฏิบัติความจริงได้โดยง่าย  ประสบการณ์ของบางคนตื้นเขินเกินไป ดังนั้นบางครั้งความเข้าใจที่พวกเขามีต่อความจริงจึงบิดเบี้ยว แล้วจากนั้นพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะทำผิดพลาด  เมื่อผู้คนมีความเข้าใจที่บิดเบี้ยว พวกเขาก็ไม่สามารถทำกิจที่เป็นการปฏิบัติความจริง  เมื่อความเข้าใจของพวกเขาบิดเบี้ยว พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามข้อบังคับ และเมื่อพวกเขาปฏิบัติตามข้อบังคับ ก็เป็นการง่ายที่จะผิดพลาด แล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถทำกิจที่เป็นการปฏิบัติความจริง  เมื่อความเข้าใจเกิดบิดเบี้ยว ก็ง่ายเช่นกันที่จะถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและหลอกใช้  ดังนั้นความเข้าใจที่บิดเบี้ยวจึงสามารถนำไปสู่ความผิดพลาดมากมาย  ผลก็คือ ไม่เพียงพวกเขาจะล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีเท่านั้น พวกเขายังสามารถหลงทางได้อย่างง่ายดายอีกด้วย อันเป็นการทำร้ายการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  อะไรคือคุณค่าของการที่ใครคนหนึ่งทำหน้าที่ของตนเช่นนี้?  พวกเขาได้กลายเป็นคนที่ก่อกวนและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักอย่างแท้จริง  ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องมีการเรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลวเหล่านี้  เพื่อที่จะลุล่วงงานที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ทำ จำเป็นที่ผู้นำและคนทำงานจะต้องทำความเข้าใจหลักธรรมสองประการนี้ กล่าวคือ ในการปฏิบัติหน้าที่ คนเราต้องยึดปฏิบัติตามการจัดการเตรียมงานของเบื้องบนอย่างเคร่งครัด ต้องสนใจและนบนอบการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า  มีเพียงเมื่อเข้าใจหลักธรรมสองประการนี้แล้วเท่านั้น งานของคนเราจึงจะมีประสิทธิผลและสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า

บทตัดตอน 76

คนประเภทใดในคริสตจักรที่โอหังที่สุด?  ความโอหังของพวกเขาสำแดงออกมาอย่างไร?  มีการเผยความโอหังของพวกเขาออกมามากที่สุดในเรื่องใด?  พวกเจ้าแยกแยะออกหรือไม่?  แท้จริงแล้วผู้คนที่โอหังที่สุดในคริสตจักรก็คือคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์  ความโอหังของพวกเขานั้นมีมากกว่าผู้คนปกติมากนัก ถึงขั้นไร้ซึ่งเหตุผล  นี่มองเห็นง่ายที่สุดในสถานการณ์แบบใด?  เวลาที่พวกเขาถูกตัดแต่งนั่นเองที่เปิดโปงอุปนิสัยอันโอหังของพวกเขาออกมาอย่างชัดแจ้งที่สุด  ไม่ว่าความประพฤติชั่วของศัตรูของพระคริสต์พวกนี้จะร้ายแรงเพียงใด หากใครบางคนตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็จะเดือดดาลและกล่าวว่า “คุณเป็นใครถึงมาวิจารณ์และสั่งสอนฉัน?  คุณนำคนได้กี่คน?  คุณประกาศคำเทศนาได้หรือเปล่า?  คุณสามัคคีธรรมความจริงได้หรือ?  ถ้าคุณมาทำหน้าที่แทนฉัน คุณก็จะทำได้ไม่ดีเท่าฉันหรอก!”  พวกเจ้าฟังแล้วคิดอย่างไร?  พวกเขามีท่าทีของการยอมรับความจริงแม้สักนิดหรือไม่?  หากพวกเจ้ามีท่าทีเช่นนี้กับการถูกตัดแต่ง ก็ย่อมเป็นปัญหา  นี่พิสูจน์ว่าพวกเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใด และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย  คนแบบเดิมที่เสื่อมทรามอย่างหนักเช่นนี้จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้หรือไม่?  พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของการรับใช้พระเจ้าได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้เพราะผู้คนเช่นนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานด้วยซ้ำ  การเป็นผู้นำหรือคนทำงานนั้น อย่างน้อยที่สุดคนเราจำเป็นต้องมีประสบการณ์จริงบ้าง เข้าใจความจริงบางอย่าง มีความเป็นจริงบางอย่าง และมีความนบนอบในระดับพื้นฐานที่สุด ซึ่งก็คืออย่างน้อยที่สุดคนเราต้องสามารถยอมรับการถูกตัดแต่งได้—เฉพาะคนแบบนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นผู้นำหรือคนทำงาน  หากใครบางคนไม่มีความเป็นจริงความจริงใดๆ เลย ยังคงโต้เถียงและต้านทานเวลาที่ตนถูกตัดแต่ง ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด และหากคนเช่นนี้รับใช้พระเจ้า พวกเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาย่อมจะต้านทานพระเจ้า พวกเขาจะไม่ปฏิบัติความจริงไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอะไรอยู่ก็ตาม และพวกเขายิ่งจะไม่รับมือเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมอีกด้วย  เพราะฉะนั้น หากผู้คนที่ไม่มีความเป็นจริงความจริงใดๆ รับหน้าที่ผู้นำหรือคนทำงาน ก็แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะเดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์และต้านทานพระเจ้า  เหตุใดพอทำหน้าที่ของตนไปเพียงเล็กน้อย ผู้นำและคนทำงานหลายคนจึงถูกเปิดเผย?  นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง กลับไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะแทน ผลก็คือพวกเขาย่อมออกเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ไปเอง  ส่วนพวกเจ้าทุกคนนั้น หากพวกเจ้าได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบคริสตจักรสักแห่ง แล้วไม่มีใครคอยตรวจสอบพวกเจ้าสักหกเดือน พวกเจ้าย่อมจะลงเอยด้วยการเดินไปบนเส้นทางที่ผิดและทำตามใจชอบ  หากปล่อยให้พวกเจ้าตัดสินใจเองสักหนึ่งปี พวกเจ้าก็จะลงเอยด้วยการชักนำให้ผู้อื่นหลงผิด แล้วพวกเขาทุกคนก็จะมุ่งกล่าววาจาและคำสอน มุ่งเปรียบเทียบว่าใครดีกว่าใครเท่านั้น  หากปล่อยให้พวกเจ้าตัดสินใจเอาเองสักสองปี พวกเจ้าก็จะนำผู้คนมาเบื้องหน้าตนเอง ผู้คนก็จะเชื่อฟังพวกเจ้าและไม่เชื่อฟังพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ คริสตจักรก็จะเสื่อมและกลายเป็นสถานที่ทางศาสนา  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พวกเจ้าเคยนึกถึงคำถามแบบนี้บ้างหรือไม่?  เมื่อคนคนหนึ่งนำคริสตจักรในหนทางนี้ พวกเขาย่อมเดินอยู่บนเส้นทางอันใด?  เส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์  พวกเจ้าจะเป็นเช่นนี้หรือไม่?  พวกเจ้าจะมอบความจริงเล็กน้อยที่พวกเจ้าเข้าใจอยู่ในตอนนี้ให้แก่ผู้คนได้นานเท่าใด?  พวกเจ้าจะสามารถนำผู้คนให้เดินอยู่ในครรลองที่ถูกต้องแห่งความเชื่อในพระเจ้าได้หรือ?  หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรตั้งคำถามขึ้นมามากๆ พวกเจ้าจะตอบพวกเขาด้วยการสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เอาแต่ประกาศวาจาและคำสอน เช่นนั้นแล้ว หลังจากที่ฟังเจ้าไปสักสองครั้ง ผู้คนย่อมจะหมดความอดทน และเมื่อเจ้าประกาศวาจาและคำสอนต่อไป พวกเขาก็จะรู้สึกรังเกียจและดูออก—ซึ่งในกรณีนั้นจะประกาศให้พวกเขาฟังต่อไปเพื่ออะไร?  หากเจ้าเป็นคนที่มีเหตุผล เจ้าก็ควรเลิกประกาศคำสอนแก่ผู้อื่น เจ้าควรหยุดสั่งสอนผู้คนจากที่สูง เจ้าควรยืนอยู่ระดับเดียวกับผู้อื่น และเจ้าควรกิน ดื่ม และมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าร่วมกับพวกเขา  ทั้งหมดนี้คือลักษณะที่สำแดงถึงผู้คนที่มีเหตุผล  ผู้ที่โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเป็นพิเศษย่อมสูญเสียเหตุผลของตนโดยง่าย ดึงดันที่จะประกาศวาจาและคำสอนแก่ผู้อื่น หรือพยายามที่จะอวดตนด้วยการเสาะแสวงและเรียนรู้ทฤษฎีฝ่ายวิญญาณอันลุ่มลึกให้มากขึ้น ซึ่งทำให้ตนเองกลายเป็นคนที่พยายามชักพาให้ผู้อื่นหลงผิด  การทำเช่นนี้คือการต้านทานพระเจ้า  เจ้าชัดเจนหรือไม่ว่าจะเกิดผลเช่นใดหากเจ้าประกาศในหนทางนี้ต่อไป?  เจ้าชัดแจ้งหรือไม่ว่าเจ้าจะนำผู้คนไปยังที่แห่งใด?  เมื่อเจ้าเดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ นำผู้คนมาเบื้องหน้าเจ้า และให้พวกเขาเคารพบูชาและเชื่อฟังเจ้า ปัญหานี้ย่อมมีธรรมชาติเป็นเช่นใด?  เจ้ากำลังแข่งขันชิงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปจากพระองค์อยู่มิใช่หรือ?  นี่คือการพาผู้คนซึ่งเดิมทีต้องการที่จะเชื่อในพระเจ้า กลับคืนมาหาพระเจ้า และน้อมรับพระเจ้าเอาไว้ มาอยู่เบื้องหน้าเจ้า ทำให้พวกเขาเชื่อฟังเจ้า ทำตามที่เจ้าบอก และให้พวกเขาทำเหมือนเจ้าเป็นพระเจ้า  แล้วผลของการนี้จะเป็นเช่นไร?  ผู้คนเหล่านี้ซึ่งเดิมทีเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอด แต่กลับลงเอยด้วยการถูกเจ้าชักพาให้หลงผิด—ไม่เพียงพวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดเท่านั้น แต่พวกเขาจะทุกข์ทนกับความพินาศและถูกทำลายล้างอีกด้วย  ด้วยการทำเช่นนี้ เจ้ากำลังชักนำผู้คนให้หลงผิด เจ้ากำลังทำร้ายพวกเขาอย่างมาก เจ้ากำลังทำลายผู้เชื่อในพระเจ้าให้ย่อยยับ  เจ้ามีความผิดในเรื่องใด?  เจ้าจะชดใช้พวกเขาได้อย่างไร?  เจ้าหลอกผู้เชื่อใหม่ให้หลงเข้าไปอยู่ในเงื้อมมือของเจ้า ทำให้พวกเขาเป็นลูกแกะของเจ้า พวกเขาทุกคนฟังเจ้า พวกเขาล้วนติดตามเจ้า และในหัวใจของเจ้า เจ้าก็คิดจริงๆ ว่า “บัดนี้ฉันมีอำนาจแล้ว มีผู้คนฟังฉันมากมายนัก และคริสตจักรก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างตามที่ฉันต้องการ”  ธรรมชาติของการทรยศในตัวมนุษย์นี้ทำให้เจ้าเปลี่ยนพระเจ้าให้เป็นเพียงหุ่นเชิดโดยไม่รู้สึกตัว และจากนั้นเจ้าย่อมก่อตั้งศาสนาหรือนิกายบางอย่างขึ้นมาด้วยตัวเจ้าเอง  ศาสนาและนิกายต่างๆ เกิดขึ้นมาอย่างไร?  ศาสนาและนิกายทั้งหลายเกิดขึ้นมาก็ด้วยวิธีนี้  จงดูผู้นำของแต่ละศาสนาและแต่ละนิกายเถิด—พวกเขาล้วนโอหังและคิดว่าตนถูกเสมอ และการตีความพระคริสตธรรมคัมภีร์ของพวกเขาก็ขาดบริบทและถูกชี้นำโดยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเอง  พวกเขาล้วนพึ่งพาพรสวรรค์และความรู้ในการทำงานของตน หากพวกเขาประกาศไม่ได้เลย ผู้คนจะติดตามพวกเขากระนั้นหรือ?  จะว่าไปแล้ว พวกเขาก็พอมีความรู้อยู่บ้างและสามารถประกาศคำสอนบางอย่างได้ หรือรู้วิธีที่จะเอาชนะใจผู้อื่นและใช้เล่ห์กลบางอย่างให้เป็นประโยชน์  พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้หลอกลวงผู้คน และพาผู้คนมาอยู่เบื้องหน้าตนเอง  ผู้คนเหล่านั้นเชื่อในพระเจ้าก็เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาติดตามผู้นำเหล่านี้  เมื่อพวกเขาเผชิญหน้าใครบางคนที่ประกาศหนทางที่แท้จริง พวกเขาบางคนก็กล่าวว่า “พวกเราต้องปรึกษาผู้นำของพวกเราในเรื่องของความเชื่อ”  จงดูเถิดว่าพอเป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าและยอมรับหนทางที่แท้จริง ผู้คนจำเป็นต้องได้รับความยินยอมและความเห็นชอบจากผู้อื่นอย่างไร—นี่มิใช่ปัญหาหรอกหรือ?  เมื่อเป็นดังนี้ บรรดาผู้นำเหล่านั้นได้กลายเป็นอะไรไปแล้ว?  พวกเขามิได้กลายเป็นพวกฟาริสี ผู้เลี้ยงเทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ และอุปสรรคต่อการยอมรับหนทางที่แท้จริงของผู้คนไปแล้วหรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนี้เป็นคนจำพวกเดียวกันกับเปาโล  เหตุใดเราจึงกล่าวดังนี้?  จดหมายฝากของเปาโลได้รับการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์และตกทอดมานานสองพันปี  ตลอดยุคพระคุณ ผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามักจะอ่านถ้อยคำของเปาโลและใช้เป็นหลักเกณฑ์ของตน—ทนทุกข์ กำราบร่างกายของตน และในที่สุดก็ครองมงกุฎแห่งความชอบธรรม… ผู้คนทั้งปวงเชื่อในพระเจ้าตามวาจาและคำสอนของเปาโล  สองพันปีมานี้ผู้คนมากมายเหลือเกินเอาอย่างเปาโล เคารพบูชาเขา และทำตามเขา  พวกเขาทำเหมือนถ้อยคำของเปาโลคือองค์พระคัมภีร์ เอาถ้อยคำของเปาโลมาแทนที่พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า และไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่การเบี่ยงเบนหรอกหรือ?  นี่คือการเบี่ยงเบนอย่างใหญ่หลวง  ผู้คนในยุคพระคุณสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้มากเท่าใด?  จะว่าไปแล้ว ผู้ที่ติดตามพระเยซูในเวลานั้นเป็นคนส่วนน้อย และผู้ที่รู้จักพระองค์ก็ยิ่งมีจำนวนน้อยลงไปอีก—แม้กระทั่งสาวกของพระองค์ก็ไม่ได้รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง  หากผู้คนมองเห็นความสว่างสักนิดในพระคัมภีร์ ก็ไม่ควรคิดว่าพระคัมภีร์เป็นสิ่งแทนเจตนารมณ์ของพระเจ้า และยิ่งไม่ควรมองว่าความรู้แจ้งอันน้อยนิดคือการรู้จักพระเจ้า  ผู้คนล้วนโอหังและทะนงตน และพวกเขามิได้ยึดถือพระเจ้าไว้ในหัวใจของตน  เมื่อพวกเขาเข้าใจคำสอนสักสองสามเรื่อง พวกเขาก็เริ่มทำอะไรเอง ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งนิกายต่างๆ มากมาย  ในยุคพระคุณ พระเจ้าไม่ได้ทรงเข้มงวดกับมนุษย์เลย  ศาสนาและนิกายทั้งหมดในพระนามของพระเยซูล้วนมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่บ้าง ตราบใดที่ไม่มีพวกวิญญาณชั่วทำงานอยู่ภายใน พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะทรงพระราชกิจในคริสตจักรไม่ว่าแห่งใด ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงสามารถชื่นชมพระคุณของพระเจ้า  ในอดีตไม่ว่าการเชื่อในพระเจ้าของผู้คนจะจริงแท้หรือเทียมเท็จ ไม่ว่าพวกเขาจะทำตามผู้อื่น หรือไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงก็ตาม พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงเคร่งครัดกับผู้คน เพราะพระองค์ได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วว่าในระยะสุดท้าย ทุกคนที่พระองค์ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าและเลือกสรรจะต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์และยอมรับการพิพากษาของพระองค์  หลังจากที่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าแล้ว หากผู้คนยังคงเคารพบูชาและทำตามผู้อื่นต่อไป หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับไล่ตามไขว่คว้าพรและมงกุฎแทน เช่นนั้นแล้ว เรื่องนี้ก็ยกโทษให้ไม่ได้  ผู้คนเช่นนี้ย่อมจะมีปลายทางเหมือนเปาโล  เหตุใดเราจึงมักจะยกตัวอย่างเปาโลและเปโตร?  นี่คือเส้นทางสองเส้น  ผู้เชื่อในพระเจ้าย่อมติดตามเส้นทางของเปโตรหรือไม่ก็เส้นทางของเปาโล  นี่คือเส้นทางที่มีอยู่เพียงสองทางเท่านั้น  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ติดตามหรือผู้นำก็เหมือนกัน  หากเจ้าออกเดินไปบนเส้นทางของเปโตรไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเปาโล  นี่ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีเส้นทางที่สาม  คนที่ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เสาะแสวงที่จะเข้าใจความจริง และไม่สามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ ต้องมีปลายทางเช่นเดียวกับเปาโลในท้ายที่สุด  หากเจ้าไม่เสาะแสวงที่จะรู้จักพระเจ้าหรือเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า เอาแต่พากเพียรที่จะกล่าววาจาและคำสอนให้ได้ ประกาศทฤษฎีฝ่ายวิญญาณได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ทำได้เพียงต้านทานและทรยศพระเจ้าเท่านั้น เพราะธรรมชาติของมนุษย์ย่อมต้านทานพระเจ้า  สิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริงแน่นอนว่าย่อมเกิดจากเจตจำนงของมนุษย์  สิ่งใดก็ตามที่เกิดจากเจตจำนงของมนุษย์ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีในสายตาของมนุษย์ ย่อมทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก  บางคนคิดว่าแม้ตนจะกระทำการไม่สอดคล้องกับความจริงในบางเรื่อง แต่ก็ไม่ได้กำลังทำความชั่วหรือต้านทานพระเจ้า  นี่ถูกต้องหรือไม่?  หากเจ้าไม่กระทำการตามความจริง เช่นนั้นแล้วก็แน่นอนว่าเจ้ากำลังละเมิดความจริง และโดยพื้นฐานแล้วการละเมิดความจริงก็คือการต้านทานพระเจ้า เพียงแต่มีระดับความรุนแรงต่างกัน  ต่อให้ไม่มีการระบุลักษณะว่าเจ้าเป็นคนที่ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าก็จะไม่ทรงเห็นชอบในตัวเจ้า เพราะเจ้าไม่ปฏิบัติความจริง และเจ้าก็ทำแต่สิ่งที่ไม่สัมพันธ์กับความจริงเท่านั้น กระทำการตามเจตจำนงของตัวเจ้าเองเท่านั้น  ต่อให้ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ทำความชั่ว พวกเขาจะสามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้หรือไม่?  หากพวกเขาขจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไม่ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้น  ต่อให้พวกเขาไม่ทำอะไรที่ต้านทานพระเจ้า พวกเขาก็นบนอบพระเจ้าไม่ได้อยู่ดี และพระเจ้าก็จะไม่ทรงเห็นชอบในตัวผู้คนเยี่ยงนั้น

ก่อนหน้า: ความแตกต่างระหว่างการกล่าววาจาและคำสอน กับความเป็นจริงความจริง

ถัดไป: พระวจนะเรื่องพระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนอย่างไร

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger