ความแตกต่างระหว่างการกล่าววาจาและวลีตามคำสอน กับความเป็นจริงของความจริง

บทตัดตอน 64

เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่ปีหลังจากเริ่มมีความเชื่อ ผู้คนส่วนใหญ่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับคำสอนทั้งหลายได้เล็กน้อยเช่น “พวกเราจำเป็นต้องมีความตั้งใจที่ถูกต้องในความเชื่อของพวกเรา” “พวกเราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะรักพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์” “พวกเราจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างจงรักภักดี” “พวกเราไม่สามารถกบฏต่อพระเจ้าได้” หรือ “พวกเราต้องรู้จักตัวเอง”  คำสอนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนถูกต้อง แต่เจ้าไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดพวกนี้  พวกเจ้าเข้าใจคำพูดเหล่านี้โดยผิวเผินเท่านั้น  พวกเจ้าไม่เข้าใจความหมายฝ่ายวิญญาณหรือนัยสำคัญที่ลึกซึ้งกว่านั้นของพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่มีความจริงอยู่ในหัวใจของพวกเจ้าเลย  ไม่ว่าประสบการณ์หรือความเข้าใจใดที่เจ้ามี นั่นก็ผิวเผินเกินไป  เจ้าอาจสามารถบอกเล่าเกี่ยวกับคำสอนบางอย่างและเห็นบางสิ่งที่เรียบง่ายได้อย่างชัดเจน แต่เจ้าไม่ปฏิบัติตนด้วยหลักธรรมความจริง  เจ้าไม่มาอยู่ใกล้ความจริงเลยแม้แต่นิด  พวกเจ้าอาจมีความรู้และการศึกษาบ้าง แต่พวกเจ้าไม่เข้าใจความจริง  จงอย่าถือว่าการเข้าใจในคำสอนหรือความหมายตามตัวอักษรนั้นคือการเข้าใจความจริง  ในบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามานานแล้ว มีบางคนที่มีขีดความสามารถดีและมีความเข้าใจที่ค่อนข้างดีเกี่ยวกับเรื่องฝ่ายวิญญาณและอาจมีประสบการณ์กับความจริงบ้าง—แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ยังไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาเข้าใจความจริง  ในสิบประโยคที่เจ้าเสนอออกมาจากความรู้ของเจ้า อาจมีเพียงสองประโยคเท่านั้นที่มีความรู้ที่แท้จริงอยู่  ประโยคอื่นยังคงเป็นคำสอน  อย่างไรก็ตามเจ้ารู้สึกว่าเจ้าเข้าใจความจริงแล้ว  เจ้าสามารถประกาศอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันไม่ว่าเจ้าไปที่ไหนก็ตาม โดยมีบางสิ่งให้พูดเสมอ เมื่อเจ้าทำเสร็จแล้ว เจ้าก็ต้องการเรียบเรียงสิ่งเหล่านั้นเป็นหนังสือ “อัตชีวประวัติคนดัง” เพื่อส่งออกไปสู่ทุกคน เพื่อให้พวกเขาได้กินและดื่มมันเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์  นี่เป็นอะไรที่โอหังและไร้สำนึกอย่างไม่น่าเชื่อไม่ใช่หรือ?  ผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะไปแตะชายขอบเรื่องทั้งหลายของความจริงเลยด้วยซ้ำ อย่างมากที่สุด พวกเขาอาจเข้าใจบางคำที่ได้เขียนออกมา  เพราะว่าพวกเขาฉลาดหลักแหลมและมีความทรงจำที่ดี เพราะว่าพวกเขาพูดบ่อยเกี่ยวกับความจริงของแง่มุมเหล่านี้ เช่นพระราชกิจของพระเจ้า นัยสำคัญและความล้ำลึกของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ รวมทั้งหนทางและขั้นตอนทั้งหลายของพระราชกิจของพระเจ้า  เมื่อพวกเขาได้เตรียมตนเองให้พร้อมสรรพถึงระดับหนึ่ง พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขานั่นเองที่ได้ครองความจริง พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาครองความจริงอย่างล้นเหลือ  ผู้คนพวกนั้นช่างไร้สำนึกอะไรเช่นนี้ นี่พิสูจน์ว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริง  ผู้คนทุกวันนี้เพียงเข้าใจคำสอนนิดหน่อยเท่านั้น  พวกเขาไม่รู้จักตัวเอง และยิ่งมีสำนึกน้อยไปกว่านี้อีก  พอเข้าใจคำสอนไม่กี่ประการ พวกเขาก็คิดว่าตนเองมีความจริง และคิดว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้คนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว  พวกเขารู้สึกว่าตนเองได้กลายเป็นคนยิ่งใหญ่และคิดว่า “ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากมายหลายครั้ง  ฉันถึงกับได้จดจำบางส่วนของพระวจนะเหล่านั้นด้วยซ้ำ และพระวจนะเหล่านั้นก็หยั่งรากลงไปในหัวใจของฉันแล้ว  ไม่ว่าฉันไปไหนก็ตาม ฉันสามารถประกาศในการประชุมหลายกลุ่มติดต่อกัน และฉันสามารถบอกความจริงเบื้องต้นจากพระวจนะของพระเจ้าบทใดก็ได้”  ข้อเท็จจริงก็คือไม่มีใครที่เข้าใจความจริงเลย  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนั้นนะหรือ?  ประการหนึ่งก็เพราะว่าพวกเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือค้นพบรากเหง้าของปัญหาได้ และเจ้าไม่สามารถมองทะลุไปถึงแก่นแท้ของปัญหาเหล่านั้นได้  อีกประการก็คือพวกเจ้าจับความเข้าใจได้เพียงบางส่วนของแต่ละปัญหาหรือประเด็นเท่านั้น  ความเข้าใจของเจ้ายังคลุมเครือ เจ้าไม่สามารถเชื่อมโยงปัญหาหรือประเด็นนั้นกับความจริงได้  ต่อให้ทำได้ พวกเจ้าก็ยังรู้สึกดีกับตนเอง และเจ้าก็โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ  เจ้าช่างเขลาและไม่รู้เท่าทันอะไรเช่นนี้

พวกเจ้าจะอธิบายคำว่า “การเชื่อในพระเจ้า” อย่างไร?  พวกเจ้าเข้าใจความจริงในแง่มุมนี้อย่างไร?  อะไรคือทัศนะที่ถูกต้องที่ผู้คนควรมีต่อการเชื่อในพระเจ้าของตน?  อะไรคือทัศนะที่ไม่ถูกต้องที่ยังคงอยู่?  ผู้คนควรเชื่อในพระเจ้าอย่างไรกันแน่?  พวกเจ้าเคยพิจารณาคำถามเหล่านี้หรือไม่?  พวกเจ้าทุกคนดูเหมือน “มนุษย์ยักษ์” แห่งความจริง ดังนั้นเราจะถามพวกเจ้าด้วยคำถามที่ง่ายที่สุด เพื่อที่จะได้เข้าใจทั้งหมดนั้น  ซึ่งก็คือ  การเชื่อในพระเจ้าคืออะไร?  พวกเจ้าได้พิจารณาเรื่องนั้นแล้วหรือยัง?  การเชื่อในพระเจ้าบ่งถึงสิ่งใดกันแน่?  เจ้ามุ่งหมายจะได้รับอะไรจากการเชื่อในพระองค์กันแน่? และเจ้าตั้งใจจะแก้ปัญหาใดบ้าง?  เจ้าจำเป็นต้องชัดเจนในสิ่งเหล่านี้  เจ้าต้องชัดเจนในเรื่องนี้ด้วย การสำแดงความเชื่อในพระเจ้าใดที่ต้องมีอยู่ในตัวใครบางคน เพื่อให้พวกเขาเชื่อในพระองค์อย่างจริงใจ?  นั่นคือเจ้าต้องลุล่วงหน้าที่ของเจ้าอย่างไรเพื่อให้ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้ามีความจริงใจ?  องค์ประกอบใดที่พระเจ้าทรงประสงค์จากผู้คนที่เชื่อในพระองค์เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นผู้ที่มีความเชื่ออย่างจริงใจ?  พวกเจ้ามีความชัดเจนเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ในจิตใจของพวกเจ้าหรือไม่?  อันที่จริงแล้วพวกเจ้าล้วนแสดงพฤติกรรมบางอย่างของผู้ปราศจากความเชื่อในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า  พวกเจ้าสามารถบอกกล่าวได้อย่างชัดเจนถึงสิ่งต่างๆ ที่ตนได้ทำลงไปโดยไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้า หรือไม่เกี่ยวข้องกับความจริงได้หรือไม่?  เจ้าเข้าใจความหมายของการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  ผู้ที่มีความเชื่ออย่างจริงใจและเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้นเป็นบุคคลประเภทใด?  พวกเจ้าเข้าใจไหมว่าการเชื่อในพระเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นหมายถึงอะไร?  เรื่องนี้เกี่ยวพันกับทัศนะของคนเราเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “การเชื่อในพระเจ้าคือการเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและการทำความดี นี่คือเรื่องใหญ่ในชีวิต  การปฏิบัติหน้าที่บางอย่างเพื่อพระเจ้าคือวิธีการสำแดงการเชื่อในพระองค์อย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง”  ยังมีผู้คนที่กล่าวว่า “การเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องของการได้รับการช่วยให้รอด เป็นเรื่องของการสนองน้ำพระทัยของพระองค์”  พวกเจ้าอาจพูดเรื่องเหล่านี้ได้ทั้งหมด แต่พวกเจ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้หรือไม่?  ข้อเท็จจริงก็คือพวกเจ้าไม่เข้าใจ  การเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของการเชื่อในพระองค์เพื่อถูกช่วยให้รอดเท่านั้น และยิ่งมิใช่การเชื่อในพระองค์เพียงเพื่อเป็นคนดีอีกด้วย  นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของการเชื่อในพระองค์เพื่อให้ได้รับสภาพเสมือนมนุษย์ ข้อเท็จจริงคือการเชื่อในพระเจ้าของผู้คนไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงการเชื่อว่ามีพระเจ้า และเชื่อว่าพระองค์คือความจริง คือหนทาง คือชีวิต และสิ้นสุดเพียงเท่านั้น  นี่ไม่ใช่เพียงการยอมรับรู้ในพระเจ้า และการเชื่อว่าพระองค์คือผู้ปกครองของทุกสรรพสิ่ง ว่าพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ ว่าพระองค์ทรงสร้างโลกและทุกสรรพสิ่ง ว่าพระองค์ทรงเอกลักษณ์ และเชื่อว่าพระองค์ทรงอำนาจสูงสุด  การที่เจ้าเชื่อในข้อเท็จจริงนั้นไม่ใช่จุดสิ้นสุด  น้ำพระทัยของพระเจ้าคือการมอบการดำรงอยู่ทั้งหมดและหัวใจของเจ้าให้กับพระองค์และนบนอบต่อพระองค์  นั่นคือเจ้าควรติดตามพระเจ้า ยอมให้พระองค์ใช้ประโยชน์จากเจ้า และมีความสุขแม้แต่กับการปรนนิบัติพระองค์—สิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำเพื่อพระองค์คือสิ่งที่สมควรทำ  ไม่ใช่เพียงผู้ที่ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าและถูกเลือกสรรโดยพระเจ้าเท่านั้นที่ควรเชื่อในพระองค์  ข้อเท็จจริงคือมวลมนุษย์ทั้งหมดควรนมัสการพระเจ้า ใส่ใจพระองค์และเชื่อฟังพระองค์ เพราะว่ามวลมนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า  หากเจ้ารู้ว่าจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าคือการสัมฤทธิ์ความรอดและชีวิตนิรันดร์ แต่เจ้ากลับไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อยและไม่เดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้ากำลังหลอกลวงตัวเองใช่หรือไม่?  หากเจ้าเพียงเข้าใจคำสอนแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่?  ส่วนสำคัญที่สุดของการเชื่อในพระเจ้าคือการไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนควรแสวงหา ไตร่ตรองและสืบค้นว่าอะไรคือความหมายเชิงลึกของความจริงทุกความจริง รวมทั้งวิธีปฏิบัติและวิธีเข้าสู่แง่มุมนั้นของความจริง  ผู้เชื่อต้องเข้าใจและมีสิ่งเหล่านี้  เมื่อกล่าวถึงแง่มุมนานาประการของความจริงที่คนเราควรมีในการเชื่อในพระเจ้า  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจเพียงคำพูดและคำสอน และการปฏิบัติภายนอกเท่านั้น พวกเจ้าไม่เข้าใจแก่นแท้ของความจริง เนื่องจากพวกเจ้ายังไม่มีประสบการณ์ความจริง  ยกตัวอย่างเช่น มีความจริงมากมายในขอบเขตของการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราและในขอบเขตของการรักพระเจ้า และหากผู้คนปรารถนาที่จะรู้จักตนเอง พวกเขายังมีความจริงอีกมากที่จำเป็นต้องเข้าใจ  ในส่วนของนัยสำคัญและความล้ำลึกของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ก็เช่นกัน ก็ยังมีความจริงอีกมากมายที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ  ผู้คนควรประพฤติตนอย่างไร พวกเขาควรนมัสการพระเจ้าอย่างไร พวกเขาควรเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร พวกเขาควรทำอะไรเพื่อให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาควรรับใช้พระเจ้าอย่างไร—รายละเอียดทั้งหมดนี้มีความจริงอยู่มากมาย  สำหรับความจริงในด้านต่างๆ ทั้งหมดนี้ พวกเจ้าปฏิบัติต่อความจริงเหล่านี้อย่างไร และพวกเจ้ามีประสบการณ์กับความจริงเหล่านี้อย่างไร?  แง่มุมของความจริงที่สำคัญที่สุดแง่มุมใดที่ต้องก้าวผ่านไปก่อน?  มีความจริงมากมายที่ผู้คนจำเป็นต้องเข้าใจและเข้าไปหลังจากที่พวกเขาได้วางรากฐานอยู่บนหนทางที่แท้จริงแล้ว  มีความจริงของการเป็นคนซื่อสัตย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีความจริงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่  สิ่งเหล่านี้ล้วนกำหนดให้ผู้คนมีประสบการณ์และปฏิบัติความจริง  หากพวกเจ้ามัวแต่พูดคำพูดและคำสอนเหล่านั้นโดยไม่ใส่ใจวิธีการปฏิบัติและการมีประสบการณ์เพื่อเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะมัวแต่ใช้ชีวิตตามคำพูดเหล่านั้นและเจ้าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเลย

บทตัดตอน 65

ผู้นำและคนทำงานบางคนไม่สามารถเห็นถึงปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในคริสตจักรได้  ขณะที่ร่วมชุมนุมกันอยู่นั้น พวกเขาก็รู้สึกเหมือนตนไม่มีอะไรที่ควรค่าที่จะกล่าว จึงได้แต่ฝืนตนเองให้กล่าวคำพูดและคำสอนบางอย่างออกมา  พวกเขารู้ดีเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ตนเองกำลังกล่าวอยู่นั้นเป็นเพียงคำสอน แต่ก็ยังกล่าวออกมาอยู่ดี  ท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ยังรู้สึกว่าคำกล่าวของตนไม่น่าสนใจ และบรรดาพี่น้องชายหญิงก็ไม่คิดว่าสิ่งที่กล่าวออกมานั้นเป็นที่เจริญใจใดๆ ด้วยเช่นกัน  หากเจ้าไม่รู้ซึ้งถึงปัญหานี้ แต่ก็ยังดื้อดึงกล่าวคำพูดเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เช่นนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ทรงพระราชกิจ และไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้คน  หากเจ้าไม่ได้มีประสบการณ์กับความจริง แต่ยังต้องการที่จะพูดถึงความจริง เมื่อนั้นไม่ว่าเจ้าจะกล่าวอะไรออกมา เจ้าก็จะไม่สามารถเข้าถึงความจริงอย่างถ่องแท้ได้ สิ่งใดก็ตามที่เจ้ากล่าวต่อไปก็จะเป็นเพียงแค่คำพูดและคำสอน  เจ้าอาจคิดว่าคำพูดและคำสอนเหล่านั้นให้ความรู้แจ้งในระดับหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่คำสอน ไม่ใช่ความเป็นจริงความจริง  ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากเพียงใด ใครก็ตามที่ได้ฟังก็จะไม่สามารถจับความเข้าใจถึงสิ่งใดก็ตามที่เป็นจริงจากคำพูดและคำสอนเหล่านั้น  ระหว่างรับฟัง พวกเขาอาจรู้สึกว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นถูกต้องเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็จะลืมสิ่งที่เจ้ากล่าวโดยสิ้นเชิง  หากเจ้าไม่กล่าวถึงสภาวะจริง ๆ ของเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถสัมผัสหัวใจของผู้คน และผู้คนจะไม่จดจำหลังจากได้ยินคำกล่าวนั้น คำกล่าวนั้นไม่มอบสิ่งใดที่ก่อให้เกิดประโยชน์  เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าควรตระหนักรู้ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังกล่าวนั้นไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง กล่าวคือ จะไม่เป็นประโยชน์กับใครก็ตามหากเจ้ายังกล่าวต่อไปเช่นนี้ต่อไป และจะประดักประเดิดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำหากมีใครบางคนถามคำถามที่เจ้าตอบไม่ได้  เจ้าควรหยุดทันที และให้ผู้อื่นได้สามัคคีธรรมกัน—นั่นจะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด  เมื่อเจ้าอยู่ในที่ชุมนุมและรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับประเด็นปัญหาจำเพาะเรื่องหนึ่ง เจ้าสามารถกล่าวคำพูดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงบางอย่างเกี่ยวกับประเด็นปัญหานั้น  สิ่งที่เจ้าพูดอาจจะตื้นเขินสักหน่อย แต่ทุกคนจะเข้าใจคำพูดของเจ้า  หากเจ้ามีความต้องการอยู่เสมอที่จะพูดให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเพื่อทำให้ผู้คนประทับใจ แต่ก็ดูเหมือนเจ้าไม่สามารถสื่อสารให้ใครเข้าใจได้เลย เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะหยุดพูดถึง  ทุกอย่างที่เจ้ากล่าวต่อจากนั้นจะกลายเป็นคำสอนที่ว่างเปล่า เจ้าควรปล่อยคนอื่นไปก่อนที่เจ้าจะสามัคคีธรรมต่อไป  หากเจ้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจคือคำสอนและการกล่าวสิ่งนี้ออกไปจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจหากเจ้ากล่าวในลักษณะเช่นนี้  หากเจ้าฝืนตนเองให้กล่าวออกมา เจ้าก็อาจลงเอยด้วยความไร้สาระและความเบี่ยงเบนทั้งหลาย และเจ้าก็อาจนำพาผู้คนให้หลงทางได้  ผู้คนส่วนใหญ่มีพื้นฐานที่ไม่ดีและขีดความสามารถต่ำจนไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้ในเวลาอันสั้นหรือจดจำสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย  แต่ในทางกลับกันหากเป็นสิ่งที่ผิดเพี้ยน เป็นกฎระเบียบ และเกี่ยวข้องกับคำสอน พวกเขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วทีเดียว  นี่คือความเลวร้ายของพวกเขาใช่ไหมล่ะ?  ดังนั้นเจ้าต้องยึดตามหลักธรรมเวลาที่เจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงและกล่าวเกี่ยวกับสิ่งใดก็ตามที่เจ้าเข้าใจ  มีความทะนงตัวอยู่ในหัวใจของผู้คน และบางครั้งเมื่อความทะนงตัวนั้นเข้ามามีอำนาจควบคุม พวกเขาก็จะยืนกรานที่จะกล่าว แม้ในเวลาที่พวกเขารู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังกล่าวนั้นคือคำสอน พวกเขาคิดว่า “พี่น้องชายหญิงของฉันอาจไม่สามารถบอกได้  ฉันจะเพิกเฉยต่อสิ่งนั้นทั้งหมดเพื่อรักษาความมีหน้ามีตาของฉัน  การรักษาภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่สำคัญในตอนนี้”  นี่ไม่ใช่ความพยายามที่จะหลอกลวงผู้คนหรอกหรือ?  นี่คือการไม่ภักดีต่อพระเจ้า!  หากเป็นใครสักคนที่มีความรู้สึกนึกคิด พวกเขาก็จะรู้สึกสำนึกผิดและรู้สึกว่าตนเองควรจะหยุดพูด  พวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองควรเปลี่ยนหัวข้อ และสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่พวกเขามีประสบการณ์ หรืออาจจะเป็นความเข้าใจและความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับความจริง  แต่ไม่ว่าใครสักคนจะมีความเข้าใจมากขนาดไหน พวกเขาก็ควรจะพูดได้มากที่สุดแค่นั้น  สิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่ใครสักคนสามารถกล่าวออกมาได้มีขีดจำกัดอยู่ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดมากขนาดไหน  หากไม่มีประสบการณ์ จินตนาการและความคิดของเจ้าก็เป็นเพียงแค่ทฤษฎี เป็นแค่สิ่งที่มาจากมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  คำพูดที่เป็นความจริงต้องอาศัยประสบการณ์ที่แท้จริงเพื่อจะเข้าใจ และไม่มีใครสามารถเข้าใจแก่นแท้ของความจริงได้อย่างเต็มที่หากไม่มีประสบการณ์ นับประสาอะไรกับการอธิบายโดยสมบูรณ์ถึงสภาวะของการสัมผัสความจริง  เจ้าต้องมีประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวกับความจริงเพื่อที่จะมีอะไรที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงให้พูด  สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นหากไม่มีประสบการณ์  และต่อให้เจ้ามีประสบการณ์ เจ้าก็ยังมีประสบการณ์ในแบบที่จำกัด  มีสภาวะที่จำกัดบางอย่างที่เจ้าพูดถึงได้ แต่นอกเหนือจากนั้น เจ้าก็ไม่มีอะไรจะพูดออกมาได้  การสามัคคีธรรมในที่ชุมนุมควรมุ่งไปที่หนึ่งหรือสองหัวข้อเสมอ  หากเจ้าสามารถทำให้หัวข้อเหล่านี้ชัดเจนยิ่งขึ้นในการสามัคคีธรรมได้ เจ้าก็จะได้รับมากทีเดียว  จงอย่าจมอยู่กับการพยายามกล่าวสิ่งต่างๆ เพิ่มเติม หรือกล่าวถึงเรื่องที่ใหญ่โตขึ้น—ไม่มีใครสามารถสื่อสารอะไรให้ใครเข้าใจได้ในลักษณะนั้น และไม่มีใครได้ประโยชน์  การชุมนุมคือการผลัดกันพูด และตราบเท่าที่เนื้อหามีความสัมพันธ์กับชีวิตจริง ผู้คนก็น่าจะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น  จงหยุดเสียเวลาไปกับการคิดว่าคนๆ หนึ่งจะสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงทั้งหมดได้อย่างชัดเจนด้วยตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  บางครั้งเจ้าอาจคิดว่าเจ้ากำลังสื่อสารในลักษณะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเป็นอย่างมาก แต่บรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจจริงๆ  นั่นก็เป็นเพราะสภาวะของเจ้าก็คือสภาวะของเจ้า และสภาวะของบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนสภาวะของเจ้าเองทั้งหมด  นอกจากนี้เจ้าอาจมีประสบการณ์มาบ้างกับหัวข้อนี้ แต่บรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าก็อาจจะไม่มี พวกเขาจึงรู้สึกว่าสิ่งที่เจ้ากำลังพูดถึงไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา  เจ้าควรจะทำอย่างไรหากเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้?  เจ้าควรถามคำถามบางอย่างกับพวกเขาเพื่อให้รู้ว่าภาวะของพวกเขาอยู่ตรงจุดไหน  ถามพวกเขาว่าพวกเขาจะทำอะไรหากมีหัวข้อนี้ขึ้นมา และพวกเขาควรจะปฏิบัติอย่างไรให้สอดคล้องกับความจริง เมื่อสามัคคีธรรมในลักษณะนี้ไปสักพัก หนทางไปข้างหน้าก็จะปรากฏขึ้น  เมื่อทำเช่นนี้แล้ว เจ้าก็สามารถนำพาผู้คนไปสู่หัวข้อที่ถูกควร ณ เวลานั้น และหากเจ้าสามัคคีธรรมต่อไป เจ้าก็จะบรรลุผลลัพธ์

บทตัดตอน 66

คนบางคนไม่มีวิจารณญาณแยกแยะเลย พวกเขาทำตามใครก็ตามที่เป็นผู้นำ  พวกเขาเรียนรู้พฤติกรรมที่ดีเมื่อมีคนดีเป็นผู้นำ พวกเขาเรียนรู้พฤติกรรมที่ไม่ดีเมื่อมีคนไม่ดีเป็นผู้นำ  พวกเขาเรียนรู้จากใครก็ตามที่พวกเขากำลังติดตาม  เวลาที่พวกเขาติดตามผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาเอาอย่างพวกปีศาจ  เวลาที่พวกเขาติดตามผู้ที่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาเรียนรู้ที่จะมีความคล้ายคลึงความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง  พวกเขาไม่ใส่ใจกับการทำความเข้าใจความจริงและปฏิบัติความจริง แต่ทำตามผู้อื่นและเลียนแบบผู้อื่นโดยไม่คิดเท่านั้น  พวกเขาฟังใครก็ตามที่พวกเขาชอบ  คนเช่นนี้เข้าใจความจริงได้หรือไม่?  ไม่มีทาง  คนที่ไม่เข้าใจความจริงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้เลย  ความรู้และคำสอน พฤติกรรมมนุษย์ ลักษณะการพูด—สิ่งภายนอกเหล่านี้เรียนรู้จากผู้คนได้  อย่างไรก็ตาม ความจริงและชีวิตเป็นสิ่งที่สามารถได้รับจากพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่จากคนที่มีชื่อเสียงและคนที่ยอดเยี่ยมแต่อย่างใด  ผู้เชื่อควรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร?  นี่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับคำถามสำคัญในเรื่องที่ว่าใครสักคนสามารถเข้าใจและได้มาซึ่งความจริงได้หรือไม่  การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าต้องมีเส้นทางที่ถูกต้อง ในชีวิตคริสตจักรของพวกเขาและในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนนั้น ผู้เชื่อต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าซึ่งพุ่งเป้าไปที่ปัญหาในชีวิตจริง และแก้ไขปัญหาเหล่านั้น  นี่เป็นหนทางเดียวสู่การเข้าใจความจริง  อย่างไรก็ดี หากพวกเขาเข้าใจความจริงแต่ไม่ปฏิบัติความจริง ก็จะไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง คนบางคนมีขีดความสามารถดีแต่ไม่รักความจริง แม้ว่าพวกเขาสามารถเข้าใจความจริงได้เล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ปฏิบัติความจริง  คนเช่นนี้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  การเข้าใจความจริงไม่เรียบง่ายเหมือนการเข้าใจคำสอน  ในการเข้าใจความจริง ก่อนอื่นเจ้าต้องรู้วิธีการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า  ยกตัวอย่างเช่นการกินและดื่มบทตอนที่เกี่ยวข้องกับความจริงแห่งความรักที่มีต่อพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “‘ความรัก’ อ้างอิงถึงอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งซึ่งบริสุทธิ์และปราศจากมลทิน ที่เจ้าใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อครุ่นคิด  ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง  ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์  ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว)  พระเจ้าทรงนิยามความรักไว้เช่นนี้ และนี่คือความจริง  แต่เจ้าควรรักใคร?  เจ้าควรรักสามีของเจ้าหรือไม่?  ภรรยาของเจ้า?  พี่น้องชายหญิงของเจ้าที่คริสตจักร?  ไม่ใช่เช่นนั้น  เมื่อพระเจ้ตรัสถึงความรัก พระองค์ไม่ได้ทรงหมายถึงความรักที่มีต่อมนุษย์ด้วยกัน แต่ทรงหมายถึงความรักที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า  หากคนคนหนึ่งได้มารู้จักกับพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว เห็นอย่างแท้จริงว่าพระอุปนิสัยของพระองค์ชอบธรรมและบริสุทธิ์ และเห็นว่าความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์เป็นสิ่งที่แท้จริงและจริงใจที่สุด เมื่อนั้นความรักที่คนคนนั้นมีต่อพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่แท้จริงด้วยเช่นกัน  คนเราปฏิบัติในการรักพระเจ้าอย่างไร? อันดับแรก พวกเขาต้องมอบหัวใจให้กับพระเจ้า หลังจากนั้นหัวใจของพวกเขาก็สามารถรักพระเจ้า  หากหัวใจของคนคนหนึ่งเห็นอย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงน่ารักเป็นที่สุดขนาดไหน พวกเขาก็จะไม่สงสัยในพระองค์เลย จะไม่มีระยะห่างระหว่างพวกเขากับพระเจ้า และหัวใจที่รักพระเจ้าของพวกเขาก็จะบริสุทธิ์และปราศจากมลทิน  “ปราศจากมลทิน” หมายถึงไม่มีความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อ และไม่เรียกร้องจากพระเจ้าเกินความเหมาะสม ไม่วางเงื่อนไขใดๆ กับพระองค์ และไม่แก้ตัวใดๆ  หมายถึงว่าพระองค์มาก่อนเป็นอันดับแรกในหัวใจของเจ้า  หมายถึงว่ามีเฉพาะพระวจนะของพระองค์เท่านั้นที่อยู่ในหัวใจของเจ้า  นี่คือความรักที่บริสุทธิ์และปราศจากมลทิน  “ความรัก” นี้หมายถึงว่าพระเจ้าจับจองที่แห่งหนึ่งในหัวใจของเจ้า และเจ้านึกถึงพระองค์และคิดถึงพระองค์เสมอ และระลึกถึงพระองค์ในทุกช่วงเวลา  การรักคือการใช้หัวใจของเจ้าในการรัก  “การใช้หัวใจของเจ้าในการรัก” ประกอบด้วยการคำนึงถึง การใส่ใจ และการถวิลหา  การจะรักพระเจ้าด้วยหัวใจของเจ้าได้นั้น ก่อนอื่นเจ้าต้องพยายามทำความรู้จักพระเจ้า รู้พระอุปนิสัยของพระองค์ และรู้ถึงความน่ารักของพระองค์  หากเจ้าไม่รู้จักพระเจ้าเลย เจ้าก็จะรักพระองค์ไม่ได้ ต่อให้เจ้าต้องการที่จะรักก็ตาม  ณ ขณะนี้ พวกเจ้าล้วนเต็มใจที่จะมุ่งมั่นแสวงหาความจริง และพยายามที่จะได้ความจริงนั้นมา  แม้ว่าเจ้าไม่มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า แต่เจ้าควรใช้หัวใจของเจ้าในการโหยหาพระองค์ เข้าใกล้พระองค์ นบนอบพระองค์ คำนึงถึงพระองค์ แบ่งปันสิ่งที่อยู่ในความคิดของเจ้ากับพระองค์ และระบายความลำบากยากเย็นที่อยู่ในหัวใจของเจ้าให้พระองค์ได้รับรู้  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง จงแสวงหาพระเจ้า มองไปที่พระเจ้า และพึ่งพาพระเจ้าเมื่อเจ้าไม่สามารถรับมืออะไรบางอย่างได้ด้วยตนเอง  เมื่อเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าในลักษณะนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำทางเจ้า  อย่ามัวแต่คิดว่า “ฉันต้องทำอะไรให้พระเจ้า?  ฉันต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไรบ้าง?”  เหล่านี้เป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่าและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงโดยสิ้นเชิง  สิ่งนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงก็ต่อเมื่อเจ้าใส่ใจในการรักพระเจ้า และทำให้พระเจ้าพอพระทัยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และในหน้าที่ที่เจ้าสามารถทำได้เท่านั้น  แม้ว่าเจ้าไม่ได้พูดออกมาดังๆ ว่าเจ้าต้องรักพระเจ้าอย่างไร และรักในระดับใด แต่เจ้าก็มีพระองค์ในหัวใจ และหัวใจของเจ้าก็เต็มใจที่จะทำให้พระองค์พึงพอพระทัย  ไม่ว่าเจ้าจะมีความลำบากยากเย็นใดก็ตาม ตราบใดที่หัวใจของเจ้าเต็มใจที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และเจ้าสามารถทำบางสิ่งบางอย่างให้พระองค์พึงพอพระทัย และสามารถทนทานต่อความทุกข์ยากบางประการเพื่อให้พระองค์พึงพอพระทัย เช่นั้นเจ้าก็รักพระองค์อย่างแท้จริง  หากเจ้าเข้าใจความจริงบางส่วน และมีหลักธรรมเมื่อรับมือกับเรื่องทุกเรื่อง เมื่อนั้นเจ้าก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงความรักของพระเจ้า รู้สึกได้ว่าทุกอย่างที่พระเจ้าทรงตรัสคือความจริง คือความเป็นจริง และช่วยผู้คนทุกเมื่อ รู้สึกได้ว่าผู้คนไม่สามารถห่างไกลจากพระวจนะของพระเจ้า และหัวใจของพวกเขาไม่สามารถปราศจากพระเจ้าได้ รู้สึกได้ว่าหากไม่มีพระเจ้าก็ไม่มีชีวิต และรู้สึกได้ว่าหากเจ้าไปจากพระเจ้าจริงๆ เจ้าก็จะไม่สามารถอยู่ได้ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง  เมื่อเจ้ารู้สึกถึงความรู้สึกทั้งหมดนี้ ก็แปลว่าเจ้ามีความรัก เจ้ามีพระเจ้าในหัวใจ  “ใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อครุ่นคิด”  สิ่งนี้ประกอบด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง  ความรักที่แท้จริงนั่นเองที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เจ้าต้องรักและครุ่นคิดถึงพระองค์ด้วยหัวใจของเจ้า และระลึกถึงพระองค์เสมอ  นี่ไม่ใช่แค่เพียงการเปล่งคำพูดออกมา และไม่ได้หมายถึงการจงใจแสดงอะไรสักอย่างออกมาต่อหน้าผู้อื่น แต่หลักๆ แล้วหมายถึงการทำอะไรสักอย่างด้วยหัวใจ และให้หัวใจของเจ้าควบคุมชีวิตของเจ้า และการกระทำทั้งหมดของเจ้า โดยปราศจากแรงจูงใจ การเจือปน หรือความสงสัยใดๆ ในหัวใจของเจ้า หัวใจลักษณะนี้เป็นหัวใจที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเป็นอย่างมาก  หากเจ้าสามารถเข้าใจความจริง ก็นบนอบพระเจ้าก็เป็นเรื่องง่าย  คนที่สงสัยพระเจ้าเสมอคิดอย่างไร?  “ถูกไหมที่พระเจ้าทรงทำแบบนี้?  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสเช่นนี้?  หากไม่มีเหตุผลอธิบายว่าเหตุใดพระเจ้าจึงตรัสเช่นนี้ ฉันก็จะไม่นบนอบ  หากการที่พระเจ้าทรงทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ชอบธรรม ฉันก็จะไม่นบนอบ  ฉันจะละทิ้งไปเลยตอนนี้”  การไม่เก็บความสงสัยไว้ในใจหมายถึงการยอมรับว่าอะไรก็ตามที่พระเจ้าตรัสและทำคือสิ่งที่ถูกต้อง  และกับพระเจ้าไม่มีถูกหรือผิด และมนุษย์ต้องนบนอบพระเจ้า คำนึงถึงพระเจ้า ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และมีส่วนในความคิดและข้อกังวลของพระองค์  ไม่ว่าทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำดูมีความหมายสำหรับเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์หรือไม่  และไม่ว่าสิ่งนั้นจะสอดรับกับคำสอนของมนุษย์หรือไม่ พวกเจ้าควรนบนอบเสมอ และเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและหัวใจที่นบนอบพระเจ้า  การปฏิบัติเช่นนี้สอดคล้องกับความจริง  เป็นการสำแดงและการปฏิบัติความรัก  หากเจ้าปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ความเข้าใจในความจริง ก็สำคัญอย่างยิ่งที่เจ้าต้องรู้วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าน้อยเกินไป ไม่อ่านอย่างจริงจังตั้งใจ และไม่ใคร่ครวญด้วยหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่สามารถเข้าใจความจริง  ทั้งหมดที่เจ้าจะสามารถเข้าใจได้คือคำสอนเล็กน้อย และดังนั้นจึงเป็นการยากมากที่เจ้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและพระประสงค์ของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์  หากเจ้าไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายและผลลัพธ์ที่พระวจนะของพระเจ้าตั้งใจที่จะสัมฤทธิ์ หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่พระวจนะของพระองค์พยายามที่จะสำเร็จลุล่วงและทำให้มีความเพียบพร้อมในมนุษย์ หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วไซร้ ก็พิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่จับใจความความจริง  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสสิ่งที่พระองค์ตรัส?  เหตุใดพระองค์จึงตรัสด้วยพระกระแสเสียงนั้น?  เหตุใดพระองค์จึงทรงจริงจังและจริงใจในทุกพระวจนะที่พระองค์ตรัส?  เหตุใดพระองค์จึงทรงเลือกสรรที่จะใช้พระวจนะบางคำ?  เจ้ารู้หรือไม่?  หากเจ้าไม่อาจกล่าวได้อย่างแน่นอน ก็หมายความว่าเจ้าไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือพระประสงค์ของพระองค์  หากเจ้าไม่เข้าใจบริบทเบื้องหลังพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถเข้าใจหรือปฏิบัติความจริงได้อย่างไร?  เพื่อให้ได้รับความจริง เจ้าต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทุกคำที่พระองค์ดำรัสเสียก่อน และหลังจากจับความเข้าใจพระวจนะเหล่านี้แล้วก็นำไปปฏิบัติ ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเจ้า และทำให้พระวจนะกลายเป็นความเป็นจริงของเจ้า  ด้วยการทำเช่นนี้เจ้าก็จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  มีเพียงเมื่อเจ้ามีความเข้าใจอันถ้วนทั่วเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถจับความเข้าใจในความจริง  หลังจากเข้าใจเพียงคำพูดและคำสอนไม่กี่อย่าง เจ้าก็คิดว่าเจ้าเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริง  นี่คือการหลอกตนเอง  เจ้าไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเหตุใดพระเจ้าจึงพึงประสงค์ให้ผู้คนปฏิบัติความจริง  นี่พิสูจน์ว่าเจ้าไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเจ้ายังคงไม่เข้าใจความจริง  ในข้อเท็จจริงแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดข้อพึงประสงค์นี้แก่ผู้คนเพื่อชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด เพื่อที่ผู้คนจะสามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งไป และกลายเป็นคนที่นบนอบและรู้จักพระเจ้า  นี่คือเป้าหมายที่พระเจ้าทรงต้องการที่จะสัมฤทธิ์ด้วยการพึงประสงค์ให้ผู้คนปฏิบัติความจริง

พระเจ้าทรงแสดงความจริงแก่ผู้คนที่รักความจริง กระหายความจริง และแสวงหาความจริง  ส่วนพวกที่กังวลสนใจกับคำพูดและคำสอน และชอบที่จะกล่าวสุนทรพจน์โอ้อวดยาวๆ พวกเขาจะไม่มีวันได้รับความจริง พวกเขากำลังหลอกตัวพวกเขาเอง  มุมมองที่พวกเขามีต่อความจริงและพระวจนะของพระเจ้าย่อมผิด พวกเขาเอี้ยวคอเพื่ออ่านสิ่งที่ตั้งตรง—มุมมองของพวกเขาผิดหมด  ผู้คนบางคนชอบที่จะศึกษาพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาศึกษาอยู่เสมอว่าพระวจนะของพระเจ้าพูดถึงบั้นปลายว่าอย่างไรหรือพระวจนะบอกว่าทำเช่นไรจึงจะได้รับพร  พวกเขาสนใจพระวจนะเหล่านี้มากที่สุด  หากพระวจนะของพระเจ้าไม่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาและไม่ได้สนองความอยากได้พรของพวกเขา พวกเขาก็จะกลายเป็นคิดลบ ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงอีกต่อไป และไม่ต้องการที่จะสละตนเองเพื่อพระเจ้า  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่สนใจความจริง  ผลที่ตามมาคือพวกเขาไม่จริงจังต่อความจริง พวกเขาสามารถเพียงยอมรับความจริงที่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเท่านั้น  แม้ผู้คนเช่นนี้ร้อนแรงในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และพยายามทุกทางที่พวกเขาสามารถเพื่อทำความประพฤติดีๆ บางอย่างและนำเสนอตัวพวกเขาเองอย่างดี พวกเขาก็เพียงกำลังทำการนั้นเพื่อที่จะมีบั้นปลายที่ดีในอนาคต  พวกเขามีความลำบากยากเย็นในการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ทั้งที่มีข้อเท็จจริงว่าพวกเขาเข้าร่วมในชีวิตคริสตจักร กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขากลับไม่ยอมปฏิบัติความจริงหรือรับความจริงเอาไว้  มีบางคนที่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แต่ก็แค่ทำไปอย่างพอเป็นพิธี พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้รับความจริงไว้เพียงโดยการได้มาเข้าใจคำพูดและคำสอนไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง  พวกเขาช่างเป็นคนโง่อะไรเช่นนี้!  พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  อย่างไรก็ตาม คนเราเจ้าจะไม่จำเป็นต้องเข้าใจและได้รับความจริงหลังจากที่พวกเขาเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าล้มเหลวที่จะได้รับความจริงโดยผ่านทางการกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้าแล้วไซร้ สิ่งที่เจ้าได้รับไว้ย่อมจะเป็นคำพูดและคำสอน  หากเจ้าไม่รู้วิธีปฏิบัติความจริงหรือวิธีกระทำการตามหลักธรรม เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไร้ความเป็นจริงความจริงอยู่อย่างนั้น  เจ้าอาจอ่านพระวจนะของพระเจ้าบ่อยครั้ง แต่ในภายหลังเจ้าย่อมล้มเหลวที่จะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอยู่ดี และได้ไปเพียงคำพูดและคำสอนบางอย่างเท่านั้น จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างไรจึงจะเข้าใจความจริง?  ก่อนอื่นเจ้าควรตระหนักว่าพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น พระวจนะของพระเจ้าลุ่มลึกอย่างที่สุด  พระวจนะของพระเจ้าแม้เพียงประโยคเดียวก็พึงต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการมีประสบการณ์ด้วย  หากไม่มีประสบการณ์หลายปี เจ้าจะสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไร?  หากในขณะที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า เจ้าไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่เข้าใจพระประสงค์แห่งพระวจนะของพระองค์ ต้นกำเนิดของพระวจนะ ผลที่พระวจนะพยายามจะสัมฤทธิ์ หรือสิ่งที่พระวจนะพยายามจะสำเร็จลุล่วง เช่นนั้นแล้วนี่หมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริงกระนั้นหรือ?  เจ้าอาจได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าหลายครั้ง และบางทีเจ้าก็สามารถสวดท่องหลายบทตอนได้ขึ้นใจ แต่เจ้ากลับไม่สามารถปฏิบัติความจริงและไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย และความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าก็ยังคงห่างไกลและแปลกหน้าดังเคยอยู่นั่นเอง  เมื่อเผชิญบางสิ่งที่ไม่ลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้าก็ยังคงเคลือบแคลงในพระองค์ และเจ้าก็ไม่เข้าใจพระองค์ แต่กลับใช้เหตุผลกับพระองค์ และเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์และความเข้าใจผิดในตัวพระองค์เอาไว้ ต้านทานพระองค์และถึงขั้นหมิ่นประมาทพระองค์  นี่คืออุปนิสัยจำพวกใด?  อุปนิสัยเช่นนี้คืออุปนิสัยที่โอหัง อุปนิสัยที่รังเกียจความจริง  ผู้คนที่โอหังเช่นนี้และรังเกียจความจริงมากเช่นนี้จะสามารถยอมรับหรือปฏิบัติความจริงได้อย่างไร?  ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันสามารถได้รับความจริงหรือพระเจ้าอย่างแน่นอนที่สุดแม้ว่าทุกคนมีหนังสือพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน และจดบันทึกเวลาที่ฟังสามัคคีธรรมความจริง แต่ผลลัพธ์สิ่งเหล่านี้ที่มีต่อทุกคนนั้นต่างกัน  คนบางคนมุ่งเน้นที่การประดับความรู้และคำสอนให้กับตนเอง บางคนเอาแต่ค้นหาและสนใจกับเรื่องที่ว่าพฤติกรรมที่ดีพฤติกรรมใดที่ผู้คนควรแสดงออก บางคนเต็มใจอ่านพระวจนะเชิงลึกที่เปิดเผยความล้ำลึก บางคนสนใจมากที่สุดในเรื่องพระวจนะเกี่ยวกับบั้นปลายในอนาคต บางคนชอบศึกษากฏการปกครองในยุคราชอาณาจักร และศึกษาอุปนิสัยของพระเจ้า  บางคนเต็มใจอ่านพระวจนะที่ชูใจและคำกระตุ้นส่งเสริมที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ บางคนเต็มใจอ่านคำเผยพระวจนะ พระวจนะแห่งพระสัญญาและพระพรของพระเจ้า บางคนเต็มใจอ่านคำพูดที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับคริสตจักรทุกแห่ง และเต็มใจที่จะเป็น “บุตรของพระองค์”  พวกเขาสามารถได้มาซึ่งความจริงโดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าในลักษณะนี้หรือไม่?  คนเหล่านี้คือผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยการเชื่อในพระเจ้าในลักษณะนี้หรือไม่?  พวกเจ้าต้องมองสิ่งเหล่านี้ให้ชัดเจน  ปัจจุบันมีผู้เชื่อใหม่บางคนที่กล่าวว่า “พระวจนะอันชูใจที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์เป็นสิ่งที่พิเศษ พระองค์ตรัสว่า ‘บุตรของเรา บุตรของเรา’ มีใครบ้างในโลกนี้ที่จะชูใจเจ้าเช่นนี้?”  พวกเขาคิดว่าตนเองคือบุตรของพระเจ้า และไม่เข้าใจว่าพระองค์ตรัสคำเหล่านี้กับใคร ยังคงมีบางคนที่ยังคงไม่เข้าใจสิ่งนี้แม้หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาแล้วเป็นเวลาสองสามปี  พวกเขาพูดสิ่งต่างๆ เช่นนี้อย่างหน้าไม่อายและไม่รู้สึกเขินอายหรือละอายเลย  พวกเขาเข้าใจความจริงหรือไม่?  พวกเขาไม่เข้าใจถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  แต่พวกเขาก็กล้าที่จะรับตำแหน่ง “บุตร” ของพระองค์!  พวกเขาเข้าใจอะไรบ้างเวลาที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า? พวกเขาตีความพระวจนะผิดทั้งหมด! เมื่อคนที่ไม่รักความจริงอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่เข้าใจพระวจนะเหล่านั้น  เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่ให้ความสำคัญกับการยอมรับความจริง  ในทางกลับกัน คนที่รักความจริงรู้สึกซาบซึ้งใจหลังจากที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว  พวกเขาสัมผัสถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพในพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาสามารถตรวจสอบหนทางที่แท้จริงและยอมรับความจริง  คนเช่นนี้มีความหวังที่จะได้กลับไปสู่พระเจ้าและได้รับความจริง  ผู้คนที่ชอบศึกษาพระวจนะของพระเจ้ามีความสนใจเสมอเกี่ยวกับหนทางที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนสัณฐานของพระองค์ เวลาที่พระเจ้าจะทรงไปจากโลกนี้  และวันของพระเจ้า  พวกเขาไม่สนใจชีวิตของตนเอง  ผู้คนกำลังสนใจเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่เป็นเรื่องของพระเจ้าพระองค์เอง  หากเจ้าถามคำถามเช่นนี้ตลอดเวลา เจ้าก็กำลังแทรกแซงกฎการปกครองของพระเจ้า และแผนการบริหารจัดการของพระองค์  นี่เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลและก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  หากเจ้ากระตือรือร้นเป็นพิเศษที่จะถามหรือรู้ข้อมูล และไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ก็ให้อธิษฐานต่อพระเจ้าและกล่าวว่า “พระเจ้า เรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับแผนการบริหารจัดการของพระองค์และเป็นเรื่องของพระองค์เอง  ข้าพระองค์จะไม่สอดส่องเรื่องต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือจากขอบเขตของข้าพระองค์หรือเป็นเรื่องที่ข้าพระองค์ไม่ควรรู้  โปรดทรงยับยั้งไม่ให้ข้าพระองค์ทำในสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลด้วยเถิด”  มนุษย์เข้าใจเรื่องของพระเจ้าได้อย่างไร?  หากพระเจ้าไม่ได้เอ่ยถึงหรือประกาศเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระราชกิจและแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ก็แสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่ประสงค์จะเปิดเผยเรื่องนั้นต่อผู้คน  ทุกอย่างที่พระเจ้าประสงค์ให้ผู้คนรับรู้อยู่ในพระวจนะของพระองค์  และความจริงทั้งหมดที่เจ้าควรเข้าใจก็อยู่ในพระวจนะของพระองค์  มีความจริงมากมายที่พวกเจ้าควรเข้าใจ  เจ้าเพียงแค่ต้องดูในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  หากไม่พบบางสิ่งบางอย่างในพระวจนะ ก็อย่าเค้นหาคำตอบ  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงบอกเจ้า ก็เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ที่จะถามเซ้าซี้และสืบค้นข้อมูลต่อไป  พระองค์ได้ทรงบอกทุกอย่างที่เจ้าควรรู้แล้ว และจะไม่ทรงบอกหรือทรงเปิดเผยสิ่งที่พวกเจ้าไม่ควรรู้  ในปัจจุบัน ผู้เชื่อส่วนใหญ่ยังคงไม่อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาไม่รู้ว่าจะไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าอย่างไรเวลาที่อ่านพระวจนะ นับประสาอะไรกับการปฏิบัติหรือการมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้น  มีแม้กระทั่งบางคนที่ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง หรือไม่มีส่วนร่วมในงานที่ถูกควร  จึงยากยิ่งขึ้นไปอีกที่ผู้เชื่อเช่นนี้จะเข้าใจความจริง  คนเราต้องอาศัยประสบการณ์ระยะยาวเพื่อเข้าใจความจริง หากเจ้าไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจัง หรือปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ เจ้าจะเข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงอย่างไร?  เจ้าจะเข้าสู่เส้นทางแห่งความเชื่อที่ถูกต้องอย่างไรหากเจ้าไม่นบนอบพระราชกิจของพระเจ้า?  และหากเจ้าไม่เข้าสู่เส้นทางแห่งความเชื่อที่ถูกต้อง เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างไร? ผู้เชื่อที่แท้จริงต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้

บทตัดตอน 67

อะไรคือความเป็นจริงความจริง?  ความเป็นจริงความจริงหมายถึงอะไร?  ความเป็นจริงความจริงหมายถึงการปฏิบัติความจริง  เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงและสามารถนำความจริงไปปฏิบัติ  ความจริงก็จะกลายเป็นความเป็นจริงของพวกเขา ความจริงจะกลายเป็นชีวิตของพวกเขา  เมื่อผู้คนใช้ชีวิตตามความจริง พวกเขาย่อมมีความเป็นจริงความจริง  แต่ผู้คนจะไม่มีความเป็นจริงความจริงหากพวกเขาได้แต่กล่าวคำพูดและวลีคำสอน และไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  ยามที่พวกเขากล่าวคำพูดและวลีคำสอน อาจดูเหมือนพวกเขาเข้าใจความจริง แต่กลับไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้เลย นั่นย่อมพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง  ดังนั้นผู้คนควรเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงอย่างไร?  พวกเขาต้องนำพระวจนะของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตจริงของตน และพวกเขาจะได้รับความรู้เกี่ยวกับความจริงผ่านกระบวนการของการได้รับประสบการณ์และการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า—ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่รับรู้ได้ แต่เป็นประสบการณ์ที่แท้จริงและเป็นความรู้จริง—และสามารถกระทำการตามหลักธรรมทั้งหลาย  นี่หมายความว่าพวกเขาได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว  ดังนั้นพวกเจ้ามีประสบการณ์ความจริงและได้รับความรู้ที่แท้จริงอะไรบ้าง?  พวกเจ้าเคยมีความรู้สึกว่าความจริงได้กลายเป็นชีวิตของพวกเจ้าแล้วหรือไม่?  เมื่อพวกเจ้านำพระวจนะของพระเจ้ามาบทตอนหนึ่ง ไม่ว่าพระวจนะเหล่านั้นจะกล่าวถึงความจริงในแง่มุมใด พวกเจ้าสามารถยกตนเองขึ้นเทียบเคียงกับพระวจนะเหล่านั้น และพระวจนะเหล่านั้นสอดคล้องต้องกันกับสภาวะต่างๆ ของพวกเจ้าโดยสมบูรณ์ และพวกเจ้ารู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง ราวกับพระวจนะของพระเจ้าได้สัมผัสส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจของพวกเจ้า และพวกเจ้ารู้สึกว่าพระวจนะของพระองค์ถูกต้องทุกประการ และพวกเจ้ายอมรับพระวจนะเหล่านั้นโดยบริบูรณ์ พวกเจ้าไม่เพียงได้รับความรู้เกี่ยวกับสภาวะทั้งหลายของตนเอง แต่พวกเจ้ายังรู้วิธีปฏิบัติที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ด้วย  ด้วยการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าในหนทางนี้ พวกเจ้าได้รับประโยชน์ กลายเป็นได้รับความรู้แจ้งและได้รับความกระจ่าง พวกเจ้าได้รับการจัดเตรียม และสภาวะทั้งหลายของพวกเจ้าถูกพลิกผัน  พวกเจ้าคิดว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และพวกเจ้ามีความสุขและพึงพอใจมาก รู้สึกว่าพวกเจ้าได้รับความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเจ้าเข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้หมายถึงอะไร และรู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์และนำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติ  พวกเจ้ารู้สึกเช่นนี้บ่อยครั้งหรือไม่?  (บ่อยครั้ง)  ดังนั้นทันทีที่พวกเจ้ามีความรู้สึกเช่นนี้ พวกเจ้ารู้สึกว่าตนเองได้รับความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าในบทตอนนี้ใช่ไหม?  (ไม่ใช่)  เมื่อพวกเจ้าไม่รู้สึก ก็หมายความว่าความรู้สึกนี้เป็นเพียงการตอบสนองตามการรับรู้ เป็นการปั่นป่วนของหัวใจเพียงชั่วคราว  การได้รับรางวัลบางอย่างและการเข้าไปสู่บางครั้งไม่ได้แสดงถึงการเข้าใจความจริงและการเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง  นี่เป็นเพียงประสบการณ์เบื้องต้น เป็นเพียงการเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของความจริงเท่านั้น  การก้าวจากการเข้าใจความจริงไปสู่การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงนั้นเป็นกระบวนการซับซ้อนซึ่งใช้เวลายาวนานพอสมควร  ในการก้าวจากการเข้าใจคำพูดและวลีคำสอนไปสู่การเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้นั้น ต้องใช้ประสบการณ์มากกว่าเพียงหนึ่งครั้ง สองครั้ง หรือมากกว่าประสบการณ์เพียงหยิบมือจึงจะสัมฤทธิ์ผลได้  พวกเจ้าอาจได้รับรางวัลเล็กน้อยจากประสบการณ์เพียงครั้งเดียว แต่ต้องใช้ประสบการณ์มากมายเพื่อเก็บเกี่ยวรางวัลที่แท้จริงและสัมฤทธิ์ผลของการเข้าใจความจริง  นี่ก็เหมือนกับการคิดทบทวนปัญหาๆ หนึ่ง การคิดทบทวนหนึ่งครั้งนำมาซึ่งความสว่างอันริบหรี่ แต่การคิดทบทวนหลายๆ ครั้งจะให้ผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่กว่า และทำให้พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจน  หากพวกเจ้าใช้เวลาสองสามปีเพื่อคิดทบทวนปัญหานั้น พวกเจ้าก็จะเข้าใจปัญหาได้อย่างเต็มที่  ดังนั้นหากพวกเจ้าต้องการที่จะได้รับความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจความจริง ก็คงไม่ง่ายเหมือนแค่การมีประสบการณ์หลากหลาย  พวกเจ้าเคยผ่านประสบการณ์ประเภทเหล่านี้ด้วยตัวเองหรือไม่?  ทุกคนอาจมีประสบการณ์สักสองสามครั้ง  เมื่อผู้คนเริ่มมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าเป็นครั้งแรกก็จะมีความสว่างอันริบหรี่ แต่ความรู้ของพวกเขายังคงตื้นเขิน  นี่ก็คล้ายกับการเข้าใจคำสอน เพียงแต่ความรู้ของพวกเขาจะดูสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นเล็กน้อย และไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนภายในหนึ่งหรือสองประโยค  การสามัคคีธรรมของพวกเขาทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าความรู้ของพวกเขาสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่าคำพูดและวลีคำสอนเล็กน้อย  หากประสบการณ์ของพวกเขากลายเป็นล้ำลึกมากขึ้นและพวกเขาสามารถพูดเกี่ยวกับรายละเอียดบางอย่างได้ เช่นนั้นแล้วความรู้ของพวกเขาก็ยังคงดูสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น  หากผู้คนยังคงมีประสบการณ์หลังจากนั้นอีกระยะหนึ่งและสามารถพูดด้วยความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า ความรู้ของพวกเขาก็จะถูกยกระดับจากการรับรู้ขึ้นสู่การมีเหตุผล  นี่คือการเข้าใจความจริงที่แท้จริง  เมื่อผู้คนมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นและนำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติ พวกเขาจะสามารถจับความเข้าใจหลักธรรมความจริง และรู้วิธีปฏิบัติความจริง  นี่คือความหมายของการเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง  ในเวลานี้ เมื่อพวกเขาให้คำพยานจากประสบการณ์ของตนเอง ผู้ฟังจะรู้สึกว่านั่นสัมพันธ์กับชีวิตจริง และพวกเขาจะสรรเสริญคำพยานนั้นอย่างมากมาย  เมื่อคนเราไปถึงระดับนี้ พระวจนะของพระเจ้าก็จะกลายเป็นความเป็นจริงชีวิตของพวกเขา และมีเพียงบุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถถูกเรียกได้ว่าได้รับความจริงแล้ว  นี่เป็นกระบวนการง่ายๆ ของการมีประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้าและการได้รับความจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้โดยปราศจากความพยายามหลายปีเป็นอย่างน้อยหรืออาจมากกว่า 10 ปีเสียด้วยซ้ำ  เมื่อคนเราเริ่มมีประสบการณ์และปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาคิดฝันว่านั่นจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่าย แต่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขากลับไม่รู้ว่าจะเผชิญหรือรับมือกับเรื่องนั้นและความยากลำบากทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นมาได้อย่างไร  มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาจะสร้างเครื่องกีดขวาง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะสร้างการก่อกวน และเมื่อพวกเขาเผชิญการชะงักงันและความล้มเหลว พวกเขาจะหยุดรับรู้วิธีการได้รับประสบการณ์  ผู้คนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมักจะเปราะบางเป็นพิเศษและกลายเป็นคนคิดลบอย่างง่ายดาย และเมื่อพวกเขาถูกโจมตี ถูกใส่ร้ายป้ายสีและถูกตัดสิน พวกเขาจะล้มลงได้โดยง่ายและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก  หากปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดยการแสวงหาความจริง หากคนเราสามารถพึ่งพาพระเจ้าเพื่อที่จะตั้งมั่นแล้ว พวกเขาก็สามารถเดินไปตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงได้  หากคนเราไม่สนใจความจริงและไม่ปฏิบัติต่อความจริงเสมือนสิ่งล้ำค่าที่ควรมีประสบการณ์และควรได้รับแล้ว พวกเขาก็จะไม่มีความเข้มแข็งในการปฏิบัติความจริง พวกเขาจะล้มลงและกลายเป็นติดอยู่ที่สัญญาณแรกของความยากลำบาก  คนจำพวกนี้คือคนขลาด และไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะได้รับความจริง  พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง คือชีวิตใหม่ที่พระองค์ประทานให้กับผู้คน และอะไรคือจุดประสงค์ของการยอมรับความจริง?  จุดประสงค์คือการได้รับความจริงและชีวิต มีประสบการณ์ความจริงราวกับเป็นชีวิตของตนเอง  ก่อนที่ความจริงจะกลายเป็นชีวิตของคนเรานั้น จุดประสงค์ของการยอมรับความจริงโดยส่วนใหญ่คือการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดที่การนี้สามารถแก้ไขได้?  สิ่งที่การนี้แก้ไขได้โดยส่วนใหญ่ อาทิ ความไม่เชื่อฟัง  มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน ความโอหัง ความทะนงตน ความเห็นแก่ตัว ความน่ารังเกียจ ความคดโกง การเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง การไม่ระมัดระวัง สุกเอาเผากิน และความไม่รับผิดชอบ และการขาดซึ่งมโนธรรมและเหตุผล  และอะไรคือผลลัพธ์สุดท้ายที่จะไปถึงจากจุดนี้ได้?  ผลลัพธ์สุดท้ายคือคนเราสามารถเป็นคนที่ซื่อสัตย์ผู้นบนอบต่อพระเจ้า เป็นผู้ยกชูพระองค์ว่ายิ่งใหญ่ เป็นผู้นมัสการพระองค์ เป็นผู้จงรักภักดีและรักพระองค์อย่างแท้จริง และเป็นผู้ที่จะนบนอบต่อพระองค์ตราบจนวันตาย  บุคคลประเภทนี้ใช้ชีวิตในสภาพคล้ายมนุษย์ที่แท้จริงโดยสิ้นเชิง พวกเขากลายเป็นบุคคลที่มีความจริงและสภาวะความเป็นมนุษย์  นี่คือขอบเขตสูงสุดที่คนเราสามารถไปถึงได้ในการไล่ตามเสาะหาความจริง

แล้วผู้คนสามารถกิน ดื่ม และมีประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้อย่างไร?  นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายเป็นปัญหาหนึ่งที่มีอยู่จริง และมักถูกเปิดเผยออกมาในชีวิตจริงของผู้คนตามธรรมชาติ  ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา และไม่ว่าพวกเขาทำอะไร อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะถูกเปิดเผยออกมาเสมอ  ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าผู้คนจะพูดหรือทำอะไร โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขามีความตั้งใจและมีเป้าหมายที่แน่นอน  ผู้มีสายตาที่แหลมคมจะสามารถสัมผัสได้ว่าวิธีที่ผู้อื่นพูดและกระทำนั้นเป็นจริงหรือเป็นเท็จ เช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลายที่แฝงอยู่ในคำพูดและการกระทำของพวกเขา รวมทั้งกับดักที่อยู่ในตัวพวกเขาด้วย  สิ่งเหล่านี้ถูกเปิดเผยออกมาตามธรรมชาติเช่นนั้นหรือ?  ผู้คนสามารถปิดบังสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  แม้ผู้คนไม่พูดหรือทำอะไรเลย แต่เมื่อเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา พวกเขายังคงมีปฏิกิริยาอย่างหนึ่ง  สิ่งเหล่านี้ถูกเปิดเผยจากการแสดงออกของพวกเขาเป็นอันดับแรก แล้วก็จะยิ่งเปิดเผยมากขึ้นผ่านคำพูดและการกระทำของพวกเขา  ผู้มีสายตาที่แหลมคมจะสังเกตเห็นเสมอ และมีเพียงคนเขลาและคนโง่เท่านั้นที่ไม่สามารถแยกแยะได้  อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนจะเปิดเผยความเสื่อมทรามของตนเอง นี่เป็นปัญหาจริงๆ ที่เกิดขึ้นกับทุกคน  อะไรคือจุดประสงค์ของพระเจ้าในการตรัสความจริงมากมายในพระราชกิจของพระองค์ระหว่างยุคสุดท้าย?  พระองค์ตรัสความจริงเหล่านี้เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและรากเหง้าซึ่งเป็นเหตุแห่งบาปทั้งหลายของพวกเขา เพื่อช่วยผู้คนให้รอดจากความเสื่อมทรามของซาตาน เพื่อช่วยผู้คนให้บรรลุความรอดและเป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อประทานชีวิต ความจริง และหนทางให้แก่ผู้คน  หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ยอมรับความจริง พวกเขาจะไม่สามารถชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนให้สะอาดได้ และไม่สามารถบรรลุความรอดได้ด้วยเหตุนี้  ดังนั้นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงจะทุ่มความพยายามในการปฏิบัติและการมีประสบการณ์ในพระวจนะของพระองค์ จะคิดทบทวนและพยายามที่จะรู้จักตนเองเมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนถูกเปิดเผยออกมา และจะแสวงหาความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้  ผู้ที่รักความจริงเหล่านั้นจะมุ่งเน้นการคิดทบทวนตนเองและการพยายามที่จะรู้จักตัวเองในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าของตน และพวกเขารู้สึกว่าพระวจนะของพระองค์เป็นเหมือนเพียงกระจกเงาบานหนึ่งที่เปิดเผยความเสื่อมทรามและความอัปลักษณ์ของตนเอง  พวกเขาจะมายอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ผ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยวิธีนี้ และพวกเขาจะค่อยๆ แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  เมื่อพวกเขามองเห็นว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนถูกเปิดเผยออกมาน้อยลง เมื่อพวกเขานบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาจะรู้สึกว่าการปฏิบัติความจริงนั้นง่ายดายขึ้นมาก และไม่มีความยากลำบากอีกต่อไป  ถึงเวลานี้พวกเขาจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในตัวเองประการหนึ่ง และการสรรเสริญพระเจ้าที่แท้จริงจะพัฒนาขึ้นในหัวใจของพวกเขา “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงช่วยฉันให้รอดจากพันธนาการและการบีบคั้นของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันเองและทรงช่วยฉันให้รอดจากอิทธิพลของซาตาน”  นี่คือผลที่สัมฤทธิ์จากการมีประสบการณ์การพิพากษาและการตีสอนในพระวจนะของพระเจ้า  หากผู้คนไม่สามารถมีประสบการณ์การพิพากษาและการตีสอนในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถถูกชำระให้สะอาดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือสามารถเป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตานได้  มีผู้คนมากมายที่ไม่รักความจริง และแม้พวกเขาจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและฟังคำเทศนา หลังจากนั้นพวกเขากล่าวแค่เพียงคำพูดและวลีคำสอน และผลก็คือพวกเขาไม่ได้แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดๆ ของตนเลย ทั้งที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี  คนเหล่านี้ก็ยังคงเป็นพวกซาตานและมารร้ายเหมือนเดิมที่พวกเขาเคยเป็นเสมอมา  พวกเขาคิดว่าตราบใดที่พวกเขาเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้า ตราบใดที่พวกเขาสวดท่องพระวจนะของพระเจ้าเล็กน้อยและได้สามัคคีธรรมกับผู้อื่นเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า ตราบใดที่พวกเขาสามารถกล่าวคำพูดและวลีคำสอนมากมาย และตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าใจคำสอนและเรียนรู้การควบคุมตนเอง พวกเขาก็จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้  ผลที่ตามมาก็คือ หลังจากที่เชื่อในพระเจ้าเป็นเวลาหลายปีก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดในอุปนิสัยชีวิตของพวกเขาเลย พวกเขาไม่สามารถพูดถึงคำพยานเชิงประสบการณ์ พวกเขาก็เลยงงงัน  หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พวกเขายังคงมือเปล่าและไม่ได้รับความจริงใดเลย พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่าและสูญเสียเวลาตลอดหลายปีนี้ไปเปล่าๆ  ปัจจุบันมีผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานมากมายที่เป็นเช่นนี้ พวกเขาแค่มุ่งเน้นที่การทำงานและการให้คำเทศนามากกว่าการทุ่มความพยายามในการปฏิบัติและการมีประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้า  เช่นนั้นแล้วพวกเขาอยู่บนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  ไม่ใช่โดยสิ้นเชิง

อะไรคือความเป็นจริงที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้า?  ความเป็นจริงที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติความจริง  อะไรคือส่วนที่สำคัญที่สุดของการปฏิบัติความจริง?  ไม่ใช่การที่คนคนหนึ่งต้องมีการจับความเข้าใจในหลักธรรมก่อนหรือ?  แล้วอะไรคือหลักธรรม?  หลักธรรมเป็นด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความจริง เป็นมาตรฐานซึ่งสามารถรับประกันผลลัพธ์ได้  หลักธรรมนั้นเรียบง่ายเช่นนี้เอง  เมื่อพิจารณาตามตัวอักษร เจ้าคิดว่าทุกประโยคแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่เจ้าไม่รู้วิธีปฏิบัติความจริง นั่นเพราะเจ้าไม่เข้าใจหลักธรรมแห่งความจริงนั่นเอง  เจ้าคิดว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกต้องทั้งหมด คิดว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง แต่เจ้าไม่รู้ว่าด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความจริงคืออะไร หรือพุ่งเป้าไปที่สภาวะใด ไม่รู้ว่าหลักธรรมในที่นี้คืออะไร และเส้นทางที่นำไปสู่การปฏิบัตินั้นคืออะไร—เจ้าไม่สามารถจับหรือเข้าใจเรื่องนี้ได้  นี่พิสูจน์ว่าเจ้าเพียงเข้าใจหลักธรรมและไม่ใช่ความจริง  หากเจ้าสามารถสำนึกได้อย่างแท้จริงว่าเจ้าเพียงเข้าใจหลักธรรม เช่นนั้นเจ้าควรทำเช่นใด?  เจ้าต้องแสวงหาความจริง  ก่อนอื่น ต้องมีความรู้สึกที่ถูกต้องแม่นยำต่อความเป็นจริงของความจริง เข้าใจว่าแง่มุมใดของความเป็นจริงที่โดดเด่นที่สุด และเจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงนี้  เจ้าจะพบเส้นทางด้วยการแสวงหาและการไถ่ถามในหนทางนี้  ทันทีที่เจ้ายึดมั่นในหลักธรรมและดำรงชีวิตตามความเป็นจริงนี้ เจ้าก็จะได้รับความจริง ซึ่งเป็นผลสัมฤทธิ์ที่มาจากการไล่ตามเสาะหาความจริง  หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจหลักธรรมของความจริงที่มากมายนี้และนำบางส่วนไปปฏิบัติได้ เช่นนั้นเจ้าก็มีความเป็นจริงความจริง และเจ้าก็ได้รับชีวิตแล้ว  ไม่สำคัญว่าเจ้าแสวงหาแง่มุมใดของความจริง เมื่อเจ้าเข้าใจแล้วว่าความเป็นจริงของความจริงในวจนะของพระเจ้านั้นอยู่ที่ใด และข้อพึงประสงค์ของพระองค์คือสิ่งใด เมื่อเจ้าเข้าใจอย่างแท้จริง และยอมลำบากพร้อมนำไปปฏิบัติได้ เช่นนั้นเจ้าก็ได้รับความจริงนี้แล้ว  ในขณะที่เจ้ากำลังได้รับความจริงนี้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะถูกแก้ไขไปทีละน้อย และความจริงนี้จะทำงานด้วยหนทางของความจริงภายในตัวเจ้า  หากเจ้าสามารถนำความเป็นจริงของความจริงไปปฏิบัติ ปฏิบัติหน้าที่และทำทุกการกระทำของตน และวางตัวเองตามหลักธรรมของการปฏิบัติความจริงนี้ได้ เช่นนั้นแล้ว นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้วหรอกหรือ?  เจ้าได้กลายเป็นบุคคลประเภทใด?  เจ้าได้กลายเป็นใครบางคนที่มีความเป็นจริงความจริง  คนที่มีความเป็นจริงความจริงเป็นใครบางคนที่มีการกระทำทั้งหลายตามหลักธรรมใช่หรือไม่?  ผู้ที่มีการกระทำต่างๆ ตามหลักธรรมได้รับความจริงแล้วใช่ไหม?  ผู้ที่ได้รับความจริงแล้วกำลังใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เป็นปรกติใช่ไหม?  ผู้ที่กำลังใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เป็นปรกติมีความจริงและมีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่?  ผู้คนที่มีความจริงและมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และผู้คนที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าจะเป็นผู้คนประเภทที่พระองค์ประสงค์ที่จะได้มา  นี่คือประสบการณ์ของการเชื่อและการทรงรับไว้ของพระเจ้า และนี่ยังเป็นกระบวนการของการได้รับความจริงโดยเริ่มต้นจากการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ เช่นเดียวกับกระบวนการของการบรรลุความรอด  เส้นทางนี้คือเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง และเส้นทางของการถูกทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า

บทตัดตอน 68

ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าการได้รับความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงขึ้นอยู่กับอะไร?  สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการแสวงหาความจริงและการปฏิบัติความจริง—เพียงสองสิ่งนี้ ง่ายๆ เท่านั้นเอง  แม้ความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นได้รับการบันทึกในรูปแบบลายลักษณ์อักษรก็ตาม แต่ความเป็นจริงของความจริงกลับไม่ได้อยู่ในลายลักษณ์อักษร ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจหรือจับใจความได้จากคำที่เป็นลายลักษณ์อักษรอีกด้วย  ดังนั้น ต้องทำอย่างไรเล่าจึงจะเข้าใจความจริง?  โดยส่วนใหญ่แล้ว การเข้าใจและการได้รับความจริงทำได้โดยการปฏิบัติและได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ และแสวงหาความจริงและความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ความเป็นจริงของความจริงตระหนักได้โดยผ่านทางบุคคลที่ปฏิบัติตามความจริงและก้าวผ่านความจริง นั่นเป็นบางสิ่งซึ่งมาจากประสบการณ์ บางสิ่งที่มนุษย์ใช้ชีวิตตาม  ความจริงไม่ใช่ทฤษฎีที่ว่างเปล่า ไม่ใช่วลีเรียบง่ายรื่นหู  ความจริงคือภาษาที่อุดมด้วยพลังชีวิต คือคติพจน์นิรันดร์แห่งชีวิต คือสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและล้ำค่าที่สุดซึ่งสามารถติดตัวคนเราไปได้ในชีวิต ตลอดช่วงชีวิตของคนคนหนึ่ง  อะไรคือความจริง?  ความจริงคือรากฐานของการดำรงอยู่ในชีวิตของมนุษย์ เป็นหลักธรรมของการปฏิบัติในการประพฤติปฏิบัติตนและจัดการกับสิ่งทั้งหลาย  ความจริงให้ทิศทางและจุดประสงค์ในชีวิตแก่คนเรา ทำให้คนเราสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ของบุคคลที่จริงแท้ และดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างนบนอบและนมัสการต่อพระองค์  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงไม่อาจใช้ชีวิตโดยปราศจากความจริงได้  ดังนั้น ตอนนี้เจ้าพึ่งพาสิ่งใดหรือในการใช้ชีวิต?  เจ้ามีความคิดและทัศนคติอย่างไร?  อะไรคือทิศทางและจุดประสงค์ในการทำสิ่งต่างๆ ของเจ้า?  หากเจ้ามีความเป็นจริงความจริง ชีวิตของเจ้าก็จะมีหลักธรรม ทิศทาง และจุดประสงค์  หากเจ้าไม่มี ชีวิตของเจ้าก็จะไม่มีหลักธรรม ทิศทาง และจุดประสงค์  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้ากำลังดำรงชีวิตอยู่ตามปรัชญาของซาตาน ตามสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นวัฒนธรรมตามประเพณี  นั่นเป็นวิธีดำเนินชีวิตของผู้ไม่เชื่อ  พวกเจ้ามองเรื่องนี้ทะลุปรุโปร่งหรือไม่?  เพื่อแก้ไขปัญหานี้ คนเราต้องแสวงหาและยอมรับความจริง  การได้รับความจริงนั้นเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  (เป็นเรื่องง่ายหากเราพึ่งพาพระเจ้า)  ในขณะที่พึ่งพาพระเจ้า คนเราก็ต้องพึ่งพาตนเองเช่นกัน  เจ้าต้องมีความมั่นใจนี้ เจตจำนงนี้ และข้อพึงประสงค์นี้ในหัวใจของเจ้า พร้อมกับพูดว่า “ฉันไม่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทราม  ฉันไม่ต้องการถูกสิ่งเหล่านั้นควบคุมและหลอกให้หลงกล และถูกทำให้กลายเป็นคนโง่เขลาโดยสมบูรณ์จนทำให้พระเจ้าทรงชิงชังฉัน  เช่นนั้นฉันก็คงจะไม่มีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักร์พระเจ้า”  เจ้าต้องมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ในหัวใจของเจ้า  จากนั้นเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า หากเจ้านำความจริงที่เจ้าสามารถเข้าใจได้และอยู่ภายในการจับความเข้าใจของเจ้ามาใช้ในชีวิตจริงของเจ้า และสามารถนำมาปฏิบัติได้ในทุกเรื่อง แล้วเช่นนั้นความจริงจะไม่กลายเป็นความเป็นจริงของเจ้าหรือ?  และเมื่อความจริงได้กลายเป็นความเป็นจริงของเจ้าแล้ว เจ้าจะยังกังวลอยู่อีกหรือว่าชีวิตของเจ้าจะไม่เติบโตอยู่?  เจ้าสามารถกำหนดพิจารณาได้อย่างไรว่าบุคคลผู้หนึ่งครองความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  การนี้สามารถมองเห็นได้จากสิ่งที่พวกเขาพูด  บุคคลที่แต่กล่าวคำพูดและคำสอนนั้นไม่ได้ครองความเป็นจริงความจริง และแน่นอนว่าย่อมจะไม่ปฏิบัติความจริง ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาพูดจึงว่างเปล่าและไม่อยู่บนความเป็นจริง  คำพูดของใครบางคนที่มีความเป็นจริงความจริงจะสามารถแก้ไขปัญหาของผู้คนได้  พวกเขาสามารถมองเห็นแก่นแท้ของปัญหาได้อย่างชัดเจน  ด้วยคำพูดที่เรียบง่ายเพียงไม่กี่คำ ปัญหาที่กวนใจเจ้ามาหลายปีย่อมสามารถได้รับการแก้ไข เจ้าจะเข้าใจความจริงและน้ำพระทัยของพระเจ้า สิ่งทั้งหลายจะไม่ลำบากยากเย็นสำหรับเจ้าอีกต่อไป เจ้าจะไม่รู้สึกว่าถูกพันธนาการและตีกรอบอีกแล้ว และเจ้าจะได้รับอิสรภาพและได้รับการปลดปล่อย  สิ่งที่บุคคลเช่นนี้พูดคือความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  นี่คือความเป็นจริงความจริง  หากเจ้าไม่เข้าใจปัญหาของตน ไม่ว่าคนคนหนึ่งกล่าวสิ่งใด และสิ่งที่พวกเขาพูดก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่พวกเขาพูดก็คือคำพูดและคำสอน  คำพูดและคำสอนสามารถหล่อเลี้ยงและช่วยเหลือผู้คนได้หรือไม่?  คำพูดและคำสอนไม่สามารถหล่อเลี้ยงหรือช่วยเหลือผู้คนได้ และไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นที่เป็นจริงของผู้คน  ยิ่งกล่าวคำพูดและคำสอนมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งทำให้ผู้ฟังรำคาญมากเท่านั้น  ผู้คนที่เข้าใจความจริงย่อมพูดจาแตกต่างออกไป  พวกเขาสามารถชี้ให้เห็นรากเหง้าของปัญหาหรือต้นเหตุของอาการป่วยได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ  แม้ประโยคเดียวก็สามารถปลุกผู้คนให้ตื่นและระบุประเด็นปัญหาที่เป็นกุญแจสำคัญได้  นี่คือการใช้คำพูดที่มีความเป็นจริงความจริงมาแก้ไขความลำบากยากเย็นของผู้คนและชี้ให้เห็นเส้นทางปฏิบัติ

ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้เสด็จมาแล้ว  อะไรคือสิ่งที่มนุษย์ควรได้รับมากที่สุดหากพวกเขาเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง?  สิ่งนั้นคือความจริง คือชีวิต ไม่มีสิ่งใดนอกเหนือจากนี้อีกแล้วที่มีนัยสำคัญ  เมื่อพระคริสต์เสด็จมา สิ่งที่พระองค์ทรงนำมาด้วยก็คือความจริง คือชีวิต พระองค์เสด็จมาเพื่อจัดเตรียมชีวิตแก่ผู้คน  ดังนั้น คนเราจะเริ่มเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงได้อย่างไร?  คนเราต้องทำอย่างไรเพื่อได้รับความจริงและชีวิต?  พระเจ้าได้ทรงแสดงความจริงไปมากมายเหลือเกินแล้ว  ทุกคนที่หิวโหยและกระหายในความชอบธรรมควรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าจนอิ่มหนำ  พระวจนะของพระเจ้าล้วนเป็นความจริง และพระวจนะของพระองค์ยังอุดมสมบูรณ์และเหลือเฟือ มีสิ่งล้ำค่าทุกหนทุกแห่งและมีขุมทรัพย์อยู่รอบตัว  ยามที่ชื่นชมยินดีกับความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนคานาอันอันงดงาม ผู้ที่รักในความจริงจะรู้สึกถึงความสุขที่พองโตด้วยความชื่นบานยินดีในหัวใจ  มีความจริงและแสงสว่างอยู่ในทุกประโยคของพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขากินและดื่ม ทั้งหมดนั้นล้วนล้ำค่า  ผู้คนที่ไม่รักความจริงจะบึ้งตึงจากความเศร้าหมอง พวกเขานั่งอยู่ในงานเลี้ยงและทนทุกข์จากการกันดารอาหารและแสดงความน่าเวทนาของตนออกมา  สิ่งที่บรรดาผู้สามารถแสวงหาความจริงได้รับนั้นจะเติบโตงอกงามอยู่เสมอ ส่วนพวกที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้จะพบกับทางตัน  สิ่งที่น่าเป็นห่วงใหญ่หลวงที่สุดในตอนนี้คือการเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริงในทุกสิ่ง การไขว่คว้าหาความเข้าใจในความจริง การปฏิบัติความจริง และการที่จะสามารถนบนอบต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  นั่นเองคือสิ่งที่เป็นการเชื่อในพระเจ้า  การเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงก็คือการได้รับความจริงและชีวิตนั่นเอง  ความจริงถูกใช้เพื่ออะไรหรือ?  ความจริงถูกใช้เพื่อให้โลกฝ่ายวิญญาณของผู้คนอุดมสมบูรณ์ขึ้นหรือ?  หมายให้ผู้คนได้รับการศึกษาที่ดีหรือ? (ไม่ใช่)  ดังนั้น ความจริงช่วยแก้ปัญหาใดของมนุษย์เล่า?  ความจริงมีอยู่เพื่อแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์ แก้ไขธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของมนุษย์ ทำให้ผู้คนดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และทำให้พวกเขาใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ผู้คนบางคนไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร  พวกเขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าความจริงช่างลุ่มลึกและเป็นนามธรรม และความจริงเป็นความล้ำลึก  พวกเขาไม่เข้าใจว่าความจริงคือบางสิ่งสำหรับให้ผู้คนปฏิบัติ เป็นบางสิ่งสำหรับให้ผู้คนนำมาใช้  บางคนเชื่อในพระเจ้ามาแล้วสิบหรือยี่สิบปี และยังไม่เข้าใจแน่ชัดว่าความจริงคืออะไร  บุคคลประเภทนี้ได้รับความจริงแล้วหรือ?  (ไม่ใช่)  ผู้ที่ยังไม่ได้รับความจริงนั้นน่าเวทนานักมิใช่หรือ?  ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน—เหมือนที่ขับร้องในบทเพลงสรรเสริญนั้นว่าพวกเขา “กำลังนั่งอยู่ในงานเลี้ยงและทนทุกข์จากการกันดารอาหาร”  การได้รับความจริงนั้นไม่ยาก และการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็ไม่ยากเช่นกัน แต่หากผู้คนรังเกียจความจริงอยู่เสมอ พวกเขาจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่?  พวกเขาไม่สามารถ  ดังนั้นเจ้าต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ ตรวจสอบสถานะภายในของตนที่รังเกียจความจริง ดูว่าเจ้ามีการแสดงออกถึงการรังเกียจความจริงอย่างไรบ้าง และหนทางใดในการทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นการรังเกียจความจริง และในสิ่งใดบ้างที่เจ้ามีท่าทีที่รังเกียจความจริง—เจ้าต้องตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ให้บ่อย ตัวอย่างเช่น มีใครบางคนเตือนสติเจ้าโดยพูดว่า “เจ้าไม่สามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้โดยพึ่งพาแต่เจตจำนงของตัวเจ้าเองเพียงอย่างเดียว—เจ้าควรทบทวนตนเองและรู้จักตัวเองด้วย” และเจ้าโกรธและยอกย้อนว่า “ฉันทำหน้าที่ของฉันอย่างไรไม่สำคัญ ว่าแต่คุณทำหน้าที่ตัวเองได้ดีอยู่หรือ?  ฉันทำหน้าที่ของฉันอย่างนี้แล้วมันผิดตรงไหน?  พระเจ้าทรงรู้ใจฉันอยู่แล้ว!”  นี่เป็นท่าทีประเภทใด?  ใช่เป็นประเภทหนึ่งของการยอมรับความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ก่อนอื่นคนเราต้องมีท่าทีที่ยอมรับความจริงเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับตนเอง  การไม่มีท่าทีประเภทนี้ก็เหมือนการไม่มีเรือใหญ่ที่จะรับขุมทรัพย์เอาไว้  เป็นผลให้เจ้าไม่สามารถได้รับความจริง  หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถได้รับความจริง ความเชื่อในพระเจ้าของเขาย่อมสูญเปล่า!  จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าคือการได้รับความจริง  หากคนเราไม่ได้รับความจริง เช่นนั้นความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาย่อมล้มเหลวเสียแล้ว  อะไรคือการได้รับความจริง?  นั่นคือเมื่อความจริงกลายเป็นความเป็นจริงของเจ้า เมื่อนั่นกลายเป็นชีวิตของเจ้า  นั่นคือการได้รับความจริง—นั่นคือความหมายของการเชื่อในพระเจ้า!  พระเจ้าตรัสพระวจนะของพระองค์เพื่อสิ่งใด?  พระเจ้าทรงแสดงความจริงเหล่านั้นเพื่อสิ่งใด?  เพื่อที่ผู้คนอาจยอมรับความจริง ซึ่งจะทำให้ความเสื่อมทรามนั้นถูกชำระให้สะอาด เพื่อที่ผู้คนอาจได้รับความจริง ซึ่งนั่นจะทำให้ความจริงกลายเป็นชีวิตของพวกเขา  หาไม่แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงจะทรงแสดงความจริงมากมายนักเล่า?  เพื่อแข่งขันกับพระคัมภีร์หรือ?  เพื่อสร้าง “มหาวิทยาลัยแห่งความจริง” และฝึกผู้คนกลุ่มหนึ่งหรือ?  ไม่ใช่ทั้งคู่  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การนี้หมายที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างครบบริบูรณ์ เพื่อให้ผู้คนเข้าใจและได้รับความจริงในที่สุดต่างหาก  ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม?  อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเชื่อในพระเจ้า?  (การได้รับความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง)  จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอย่างไร และพวกเจ้าสามารถทำได้หรือไม่

บทตัดตอน 69

สำหรับพระวจนะที่ว่า “ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา” นั้น พวกเจ้ามักจะปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้นโดยวิธีใด?  (โดยการเชื่อฟังพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าทั้งหมด)  นี่เป็นถ้อยแถลงที่กว้าง เป็นคำสอน  ถ้อยแถลงนี้ฟังดูถูกต้อง แต่ว่างเปล่าเล็กน้อย  เจ้าจะทำอะไรหากเจ้าเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า และเจ้าไม่สามารถนบนอบได้?  นี่เป็นการท้าทายที่เป็นจริง  เมื่อการท้าทายนี้เกิดขึ้น พระวจนะเหล่านี้จะสามารถสัมฤทธิ์ผลและมีผลต่อเจ้า โดยยับยั้งพฤติกรรมของเจ้าและเปลี่ยนแปลงหลักธรรมและทิศทางของการกระทำของเจ้าได้อย่างไร?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าปวดท้องและใครบางคนกล่าวว่า “การกินยาแก้ปวดจะหยุดอาการปวด”  เจ้ารู้ว่าถ้อยแถลงนี้ถูกต้อง แต่เจ้าจะยอมรับและนำถ้อยแถลงนี้ไปปฏิบัติอย่างไร?  เมื่อเจ้าปวดท้อง เจ้ากินยาแก้ปวดหรือไม่?  เจ้ากินยานั้นเมื่อไร?  กินยานั้นก่อนหรือหลังอาหาร?  เจ้ากินยานั้นกี่ครั้งต่อวัน?  เจ้ากินยานั้นครั้งละกี่เม็ดเพื่อหยุดอาการปวด และเจ้าควรจะกินยาแก้ปวดนั้นกี่วันเพื่อให้ได้ผล?  เจ้ารู้รายละเอียดเหล่านี้หรือไม่?  เจ้าสามารถเข้าใจรายละเอียดเหล่านี้ผ่านการนำถ้อยแถลงที่ว่า “การกินยาแก้ปวดจะหยุดอาการปวด” ไปใช้ในชีวิตจริงเท่านั้น  หากเจ้าไม่นำถ้อยแถลงนี้ไปใช้ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้ารับรอง ยอมรับ หรือเห็นชอบกับถ้อยแถลงนี้อย่างไร ถ้อยแถลงดังกล่าวก็จะเป็นเพียงคำสอนวลีหนึ่งสำหรับเจ้าเท่านั้น  แต่หากเจ้านำถ้อยแถลงนี้ไปใช้ในชีวิตจริงของตน รักษาอาการป่วยของตน และได้ประโยชน์จากถ้อยแถลงนี้ เมื่อเจ้ากล่าวถ้อยแถลงนี้ นี่ก็จะไม่เป็นเพียงถ้อยแถลงอันว่างเปล่าอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  เมื่อคนอื่นเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่คล้ายกัน เจ้าจะสามารถนำประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้ามาใช้เพื่อช่วยพวกเขาได้  พวกเราเพิ่งกล่าวถึงว่า “ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา”  วลีที่ว่า “ความยำเกรงพระยาห์เวห์” นั้นเป็นบางสิ่งที่ผู้คนต้องนำไปปฏิบัติ และ “ที่เริ่มต้นของปัญญา” เป็นผลที่พวกเขาได้รับโดยการปฏิบัติความยำเกรงพระยาห์เวห์  นั่นก็คือ เฉพาะเมื่อเจ้าได้ปฏิบัติวลีที่ว่า “ความยำเกรงพระยาห์เวห์” แล้ว และได้นำวลีนี้ไปใช้กับชีวิตจริงของเจ้า และวลีนี้ได้ช่วยเหลือเจ้า และเจ้าได้ประโยชน์จากวลีนี้แล้ว เจ้าจึงจะสามารถได้รับผลลัพธ์แห่งปัญญา  ก่อนอื่นพวกเราจะพูดคุยกันเกี่ยวกับวิธีที่จะปฏิบัติวลีนี้ “ความยำเกรงพระยาห์เวห์”  วลีนี้กล่าวถึงปัญหาทั้งหมดที่ผู้คนเผชิญในชีวิตจริงของพวกเขา อย่างเช่น ความคิด แนวคิด และสภาวะของพวกเขา ความลำบากยากเย็นที่พวกเขาเผชิญ มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขา ความสงสัยและการคาดเดาเกี่ยวกับพระองค์ของพวกเขา ตลอดจนความไม่เอาใจใส่และการทำสำเร็จแบบมั่วๆ การใช้เล่ห์เหลี่ยม ความคิดว่าตนเองถูก การเอาตนเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งผู้คนมักจะแสดงออกในกระบวนการลุล่วงหน้าที่ของพวกเขา และอื่นๆ อีก  ดังนั้นเจ้าจะสามารถนำวลี “ความยำเกรงพระเจ้า” ไปใช้เพื่อให้เจ้าเปลี่ยนแปลงหลักธรรมในการกระทำและความประพฤติของตนได้อย่างไร?  หากเจ้าศึกษา มีประสบการณ์ และรู้รายละเอียดทั้งหมดของวลีนี้ วลีนี้ก็จะเป็นความจริงหนึ่งสำหรับเจ้า  หากเจ้าไม่เคยศึกษารายละเอียดเหล่านี้ และเจ้าเพียงแค่รู้และเคยได้ยินวลีดังกล่าว เช่นนั้นแล้ววลีนี้ก็จะเป็นคำสอนสำหรับเจ้าอยู่เสมอ  วลีนี้จะเป็นถ้อยแถลงหนึ่งในหนังสือ เป็นเพียงถ้อยคำ และไม่ใช่ความจริง  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนั้น?  นั่นเป็นเพราะถ้อยแถลงนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์ แนวคิด หรือความคิดและทรรศนะของเจ้าเลย  ถ้อยแถลงนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหลักธรรมที่เจ้าจัดการกับโลกและประพฤติตนตาม  ถ้อยแถลงนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงท่าทีที่เจ้ามีเมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลายหรือปฏิบัติหน้าที่ีของตน และถ้อยแถลงนี้ไม่ได้ทำให้สภาวะของเจ้าพลิกกลับ  เจ้ายังไม่ได้รับประโยชน์จากถ้อยแถลงนี้ในหนทางใด  พวกเจ้ารู้จักคำกล่าวที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ทั้งหมด และพวกเจ้าสามารถพูดคำกล่าวเหล่านี้ได้ แต่พวกเจ้าเพียงเข้าใจคำกล่าวเหล่านี้อย่างผิวเผิน และพวกเจ้าไม่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงกับคำกล่าวเหล่านี้  นี่แตกต่างจากพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดตรงไหน?  ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสแห่งโลกทางศาสนาเหล่านั้นล้วนแต่มุ่งเน้นการท่องจำและการอธิบายบทและตอนต่างๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในพระคัมภีร์  ใครก็ตามที่ท่องจำได้มากที่สุดเป็นผู้ที่อยู่ทางฝ่ายวิญญาณมากที่สุด ได้รับการชื่นชมจากทุกคนมากที่สุด และมีศักดิ์ศรีที่สุด และมีสถานะสูงที่สุด  ในชีวิตจริงของพวกเขา แท้จริงแล้วพวกเขามองเห็นโลก มนุษยชาติ และมนุษย์ทุกประเภทในหนทางเดียวกันกับที่ผู้คนทางโลกมองเห็น และทรรศนะของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด  เรื่องนี้พิสูจน์บางสิ่งว่า ส่วนต่างๆ เหล่านั้นของพระคัมภีร์ที่พวกเขาท่องจำไม่ได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขาในหนทางใดเลย ข้อความในพระคัมภีร์เป็นเพียงทฤษฎีและคำสอนทางศาสนาสำหรับพวกเขา และไม่เคยเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาเลย  หากเส้นทางที่พวกเจ้าเดินเป็นเส้นทางเดียวกันกับของผู้คนที่เคร่งศาสนา เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าย่อมเชื่อในศาสนาคริสต์และไม่ได้เชื่อในพระเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้กำลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  ผู้คนบางคนที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสั้นนั้นชื่นชมผู้เชื่อมายาวนานเหล่านั้นที่สามารถพูดถึงคำสอนฝ่ายวิญญาณได้มากมาย  เมื่อพวกเขาเห็นผู้เชื่อมายาวนานเหล่านั้นนั่งลงและพูดติดต่อกันเป็นเวลาสองหรือสามชั่วโมงโดยปราศจากปัญหา พวกเขาก็เริ่มเรียนรู้จากผู้เชื่อเหล่านั้น  พวกเขาเรียนรู้คำศัพท์และสำนวนฝ่ายวิญญาณเหล่านั้น และพวกเขาเรียนรู้วิธีการพูดและการประพฤติตนของผู้เชื่อมายาวนานเหล่านั้น และจากนั้นพวกเขาก็ท่องจำพระวจนะของพระเจ้าที่ดีเด่นบางส่วน  พวกเขาทำอย่างนี้ต่อไปจนกระทั่งวันหนึ่งพวกเขาก็คิดว่าพวกเขามีอะไรบางสิ่งในที่สุด  เมื่อถึงเวลาชุมนุม พวกเขาก็เริ่มพูดพึมพำไปเรื่อยๆ เกี่ยวกับแนวคิดที่ฟังดูยิ่งใหญ่ แต่หากเจ้าฟังให้ดี ส่วนมากล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล การพูดคุยที่ว่างเปล่า และคำพูดและคำสอน  ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนฉ้อฉลทางศาสนาที่หลอกลวงตนเองและผู้อื่น  เรื่องนี้ช่างน่าเศร้านัก!  จงอย่าไปในเส้นทางนั้น  ทันทีที่พวกเจ้าออกเดินไปบนเส้นทางนั้น พวกเจ้าจะถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และจากนั้นจะเป็นการยากที่จะย้อนกลับ ต่อให้เจ้าปรารถนาที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม!  หากเจ้าปฏิบัติต่อคำพูดและคำสอนเหล่านั้นเหมือนเป็นสมบัติและชีวิต และเจ้าอวดสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด เช่นนั้นแล้วนอกเหนือจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของเจ้าแล้ว เจ้ายังมีทฤษฎีฝ่ายวิญญาณบางประการและบางสิ่งที่หน้าซื่อใจคดอีกด้วย  นี่ไม่เพียงเป็นสิ่งเทียมเท็จเท่านั้น แต่ยังน่าขยะแขยงเป็นที่สุดด้วย  การนี้ไร้ยางอาย และน่าสะอิดสะเอียดและน่าสยดสยองที่จะมองดู  ตอนนี้พวกเราอ้างถึงนิกายที่สาวกขององค์พระเยซูเจ้าเชื่อในฐานะศาสนาคริสต์ ซึ่งจำแนกพวกเขาออกเป็นศาสนาและกลุ่มทางศาสนา  นี่เป็นเพราะผู้คนเหล่านั้นเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ยอมรับความจริง และพวกเขาไม่ปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และแทนที่จะทำเช่นนั้นพวกเขากลับยึดถือพิธีกรรมและพิธีการทางศาสนา โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนเลย  พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หนทาง และชีวิตที่มาจากพระเจ้า แทนที่จะทำเช่นนั้นพวกเขากลับไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ พวกเขาเลียนแบบพวกฟาริสี และพวกเขาเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนกลุ่มนี้จึงถูกจำแนกว่าเป็นศาสนาคริสต์  ผู้คนเหล่านี้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนเป็นผู้นับถือศาสนา  พวกเขาไม่ได้เป็นสมาชิกของคริสตจักรของพระเจ้า และพวกเขาไม่ได้เป็นแกะของพระองค์  คำศัพท์ว่า “ศาสนาคริสต์” นั้นมาจากที่ใด?  คำศัพท์นี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้นับถือศาสนานี้แสร้งทำเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ พวกเขาแสร้งทำเป็นคนทางฝ่ายวิญญาณ และพวกเขาแสร้งทำว่าพวกเขากำลังติดตามพระเจ้า ในขณะที่พวกเขาไม่ยอมรับความจริงทั้งหมดที่พระคริสต์ทรงแสดงไว้ พวกเขาไม่ยอมรับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกเขาไม่ยอมรับสิ่งทั้งปวงที่เป็นบวกที่มาจากพระเจ้า  พวกเขาติดอาวุธ บรรจุหีบห่อ และอำพรางตัวพวกเขาเองด้วยสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าตรัสไว้ในอดีต  พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เป็นทุน และใช้สิ่งเหล่านี้ในทุกโอกาสเพื่อที่พวกเขาจะสามารถทุจริตเพื่อหาหนทางไปสู่แหล่งเงินและอาหาร  ภายใต้การอำพรางตัวว่าเชื่อในพระเจ้า พวกเขาหลอกลวงผู้คนในทุกโอกาส พวกเขาโต้แย้งกับผู้อื่นว่าพวกเขาสามารถตีความพระคัมภีร์ได้ดีเพียงใดและโต้แย้งกับผู้อื่นในเรื่องของความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ของตน โดยปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้เหมือนความมีเกียรติและทุน  พวกเขาต้องการที่จะได้รับพระพรและบำเหน็จของพระเจ้าผ่านการใช้กลอุบายด้วยซ้ำไป  เส้นทางที่พวกเขาเดินนี้เป็นเส้นทางของของศัตรูของพระคริสต์ เป็นเส้นทางที่ไม่ยอมรับและกล่าวโทษการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า และแน่นอนว่าเป็นเพราะเส้นทางที่คนกลุ่มนี้เดินซึ่งถูกจำแนกเป็นศาสนาคริสต์และศาสนาหนึ่งในท้ายที่สุด  ทีนี้พวกเรามาดูกันที่คำศัพท์ว่า “ศาสนาคริสต์” กัน—นี่เป็นชื่อที่ดีหรือไม่ดี?  พวกเราสามารถพูดได้อย่างแน่นอนที่สุดว่านี่ไม่ใช่ชื่อที่ดี  ชื่อนี้เป็นเครื่องหมายแห่งความละอายและไม่ใช่บางสิ่งที่น่าภาคภูมิใจหรือมีเกียรติ

เมื่อเจ้าไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิต สิ่งสำคัญที่เจ้าควรเข้าใจคืออะไร?  เจ้าควรที่จะค้นหาว่าพระเจ้าทรงมีข้อพึงประสงค์ใดบ้างสำหรับมนุษย์ และผู้คนควรจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ด้วยวิธีใด ภายในพระวจนะทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสไว้—ไมว่าสิ่งเหล่านั้นจะอยู่ในหัวข้อใดก็ตาม  เจ้าควรเปรียบเทียบความประพฤติของเจ้าและหนทางที่เจ้ารับมือกับสิ่งทั้งหลาย ความคิดและทรรศนะทั้งหลายของเจ้า และสภาวะและลักษณะที่สำแดงทั้งหลายที่เจ้ามีเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้าในชีวิตของเจ้ากับพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องของการเปิดเผยและการพิพากษา  ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เจ้าควรจะทบทวนตนเองและเข้าใจตนเอง และแสวงหาความจริงเพื่อที่จะค้นคว้าเกี่ยวกับหลักธรรมของการปฏิบัติ  เจ้าควรจะค้นหาเส้นทางของการปฏิบัติผ่านวิธีนี้ เรียนรู้วิธีที่จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าในขณะที่ลุล่วงหน้าที่ของตน ประพฤติตนเองตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์อย่างเต็มที่ และทำตัวเป็นคนซื่อสัตย์ และบุคคลที่ปฏิบัติความจริง  จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเหมือนผู้คนที่หลอกลวงโดยการกล่าวเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนและทฤษฎีทางศาสนา  จงอย่าวางท่าเป็นคนทางฝ่ายวิญญาณ และจงอย่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด  เจ้าต้องมุ่งเน้นการยอมรับและการปฏิบัติความจริง และมุ่งเน้นการนำพระวจนะของพระเจ้ามาใช้เปรียบเทียบกับสภาวะทั้งหลายของเจ้าและคิดทบทวนสิ่งเหล่านั้น และจากนั้นจึงเปลี่ยนแปลงมุมมองที่ผิดพลาดและท่าทีที่เจ้าปฏิบัติต่อสถานการณ์ทุกประเภท  ท้ายที่สุดเจ้าต้องเริ่มมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าในทุกสถานการณ์ และไม่ปฏิบัติตนอย่างหุนหันพลันแล่น ไม่ทำตามความคิดของตนเอง ไม่ทำสิ่งทั้งหลายตามความอยากได้อยากมีของตน หรือไม่ใช้ชีวิตภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอีกต่อไป  แทนที่จะทำเช่นนั้นการกระทำและคำพูดของเจ้าทั้งหมดต้องมีพื้นฐานมาจากพระวจนะของพระเจ้าและมาจากความจริง  ในหนทางนี้เจ้าจะค่อยๆ พัฒนาหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าขึ้นมา  หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเกิดขึ้นขณะที่คนเรากำลังไล่ตามเสาะหาความจริง หัวใจเช่นนี้ไม่ได้มาจากความยับยั้งชั่งใจ  ทั้งหมดที่ความยับยั้งชั่งใจทำให้เกิดขึ้นคือพฤติกรรมประเภทหนึ่ง เป็นพฤติกรรมประเภทที่เป็นการจำกัดระดับผิวเผิน  หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าที่แท้จริงนั้นสัมฤทธิ์ได้โดยการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้าและโดยการยอมรับการถูกตัดแต่งและจัดการอย่างสม่ำเสมอขณะที่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์  เมื่อผู้คนเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของความเสื่อมทรามของตนเอง พวกเขาจะรู้ถึงความล้ำค่าของความจริง และพวกเขาจะสามารถเพียรพยายามไปให้ถึงความจริงได้  การแสดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามจะเกิดขึ้นน้อยลงและน้อยลง และพวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างเป็นปกติ กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน และลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หัวใจที่ยำเกรงและเชื่อฟังพระเจ้านั้นเกิดขึ้นผ่านกระบวนการนี้  ทุกคนที่แสวงหาความจริงอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาขณะที่ลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาเป็นผู้ที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  ทุกคนที่ได้รับการบ่มวินัยและมีประสบการณ์กับการถูกตัดแต่งและจัดการมามากย่อมรู้ว่าการยำเกรงพระเจ้าเป็นอย่างไร  เมื่อความเสื่อมทรามของพวกเขาถูกเปิดเผย พวกเขาไม่เพียงรู้สึกถึงการสั่นระริกและความหวาดกลัวในหัวใจของตนเท่านั้น พวกเขายังสามารถรู้สึกถึงพระพิโรธของพระเจ้าและพระบารมีของพระองค์ด้วย  ในสถานการณ์นี้ความยำเกรงเกิดขึ้นจากหัวใจของพวกเขาตามธรรมชาติ  ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนมีความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้จากประสบการณ์หรือไม่?  (มีเล็กน้อย)  ความยำเกรงนี้จำเป็นต้องค่อยๆ ลึกซึ้งลงไป  จงอย่าพึงพอใจกับความเข้าใจจากประสบการณ์เพียงเล็กน้อย  ตอนนี้เจ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เจ้ากำลังฟังบทเทศน์หลายบท กำลังไปร่วมการชุมนุมหลายครั้ง กำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมาย และเจ้ามีสภาพแวดล้อมที่จะลุล่วงหน้าที่ของตนและภาวะชนิดอื่นๆ ทั้งหมด  เจ้าคิดว่าเจ้ามีความยำเกรงพระเจ้า ดังนั้นความเชื่อของเจ้าได้เติบโตขึ้นแล้ว แต่หากเจ้าถูกนำตัวไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไป เจ้าจะสามารถรักษาสภาวะปัจจุบันของตนไว้ได้หรือไม่?  ความจริงที่เจ้าเข้าใจตอนนี้สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเจ้าต่อสิ่งทั้งหลายหรือเปลี่ยนแปลงมุมมองของเจ้าต่อชีวิตและคุณค่าได้หรือไม่?  หากความจริงที่เจ้าเข้าใจนั้นไม่สามารถทำให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จลุล่วงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง  เมื่อพระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นความจริงที่เจ้าเข้าใจและเป็นชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจึงจะมีการเข้าสู่ชีวิต และเจ้าก็จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  นี่หมายความว่าการปฏิบัติความจริงจะกลายเป็นบางสิ่งที่เจ้าทำตามความคิดริเริ่มของเจ้าเอง เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าควรทำสิ่งทั้งหลายเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด  การทำสิ่งทั้งหลายตามความจริงจะกลายเป็นธรรมชาติสำหรับเจ้า จะกลายเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับการพรั่งพรูตามธรรมชาติ  นี่หมายความว่าพระวจนะของพระเจ้าจะกลายเป็นชีวิตของเจ้า  หากเจ้าเลือกเส้นทางที่ผิดอยู่เสมอเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับบางสิ่งและเจ้าต้องทบทวนตนเองและมีใครบางคนช่วยเหลือและเกื้อหนุนเจ้าอยู่เสมอเพื่อให้เจ้าเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วนี่ไม่เข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ และเจ้าไม่มีวุฒิภาวะเลย  หากไม่มีใครอยู่ที่นั่นเพื่อที่จะช่วยเหลือและเกื้อหนุนเจ้า ก็ไม่ต้องบอกเลยว่าเจ้าจะตกลงไปไกลเพียงใดทันทีที่สภาพแวดล้อมโดยรอบของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง  เจ้าอาจเริ่มไม่ยอมรับและทรยศต่อพระเจ้าในคืนเดียว เจ้าอาจละทิ้งพระเจ้าและกลับสู่อ้อมแขนของซาตานในชั่วข้ามคืน  กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ก่อนที่เจ้าจะได้รับความจริง และก่อนที่ความจริงจะกลายเป็นชีวิตของเจ้า เจ้าก็ยังคงอยู่ในอันตราย! การนี้ไม่เหมือนกับการมีความเชื่อเล็กน้อย การเต็มใจที่จะสละตัวเจ้าเอง และการมีความแน่วแน่นิดหน่อยหรือมีความมุ่งมาดปรารถนาที่ดีในตอนนี้ที่พิสูจน์ว่าเจ้ามีชีวิต  สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ปรากฏการณ์แบบผิวเผิน นี่เป็นการคิดตามความปรารถนาเท่านั้น  ก่อนที่สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าจะดีขึ้น เจ้าต้องเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริง  เจ้าต้องสามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และบททดสอบบางประการ และการถลุง  เมื่อความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าเกิดขึ้นภายในตัวเจ้า เจ้าจะมีคำอธิษฐานที่แท้จริงและการสามัคคีธรรมที่แท้จริงกับพระองค์  เจ้าจะสามารถบอกเล่าสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้าให้พระเจ้าฟัง และเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับบางสิ่ง เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าสามารถพึ่งพาเพียงพระองค์เท่านั้นและรู้สึกว่าไม่มีใครอื่นจะเป็นที่พึ่งพา  นี่คือเมื่อสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นปกติ เมื่อเจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า ไม่ว่าพระองค์ทรงนำเจ้าไปไว้ที่ใด และต่อให้เจ้าไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมเป็นเวลาหลายปี ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เหมือนกับความเชื่อของโยบ  แม้ว่าเจ้าจะไม่เข้าร่วมการชุมนุมและไม่มีใครเทศนาให้เจ้าฟัง หนทางของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้าจะอยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าจะไม่ละทิ้งพระเจ้า และเจ้าจะเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับวิธีที่พระองค์ทรงนำเจ้าในแต่ละวัน  เจ้าจะไม่ปฏิเสธพระเจ้าเมื่อเจ้าเผชิญกับบททดสอบของพระองค์ และเจ้าจะเห็นแม้กระทั่งกิจการของพระองค์ในบททดสอบเหล่านั้น  ในเวลานั้นเจ้าจะสามารถเป็นคนที่พึ่งตนเองได้  พวกเจ้ายังไปไม่ถึงที่นั่น พวกเจ้ายังคงมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันและสิ่งเจือปนมากมาย  ยังคงมีบางสิ่งที่อำพรางตัวภายในการกระทำของเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  มีเจตจำนงของตัวเจ้าเองมากเกินไป  เจ้ายังคงอยู่ในช่วงของการเสแสร้ง เจ้ายังคงกำลังพากเพียรที่จะเป็นบุคคลทางฝ่ายวิญญาณ ที่จะประกาศคำสอนฝ่ายวิญญาณ และเตรียมตนเองให้พร้อมมากขึ้นด้วยวลี คำศัพท์ และทฤษฎีฝ่ายวิญญาณ  เจ้ายังคงเพียรพยายามที่จะเป็นพวกฟาริสีและบุุคคลทางฝ่ายวิญญาณอันเทียมเท็จ  เจ้ายังคงกำลังแสวงหาที่จะเดินไปบนเส้นทางประเภทนี้และเจ้ายังคงอยู่บนครรลองที่ผิดประเภทนี้  นี่ห่างไกลเหลือเกินจากบุคคลที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริง!  เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าต้องพยายามให้มากที่สุดในการแสวงหาความจริงและมีประสบการณ์มากขึ้นกับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุง  เมื่อนั้นเท่านั้นที่การแสร้งทำ การอำพรางตัว และการทำงานของจิตที่ผิดปกติเหล่านี้จะสามารถถูกขจัดออกไปโดยสิ้นเชิง  เมื่อความเสื่อมทรามเหล่านี้ได้รับการชำระให้สะอาด สัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าย่อมกลายเป็นปกติตามธรรมชาติ

ก่อนหน้า: พระวจนะว่าด้วยการมีประสบการณ์กับความล้มเหลว การล้มลง บททดสอบ และกระบวนการถลุง

ถัดไป: พระวจนะว่าด้วยการรับใช้พระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger