หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (2)

ก่อนอื่นให้พวกเราทบทวนเนื้อหาหลักจากการสามัคคีธรรมของพวกเราในการชุมนุมครั้งที่แล้วกัน  (ครั้งที่แล้วพระองค์ทรงระบุหน้าที่รับผิดชอบสิบห้าประการของบรรดาผู้นำและคนทำงาน และโดยหลักแล้วพระองค์ทรงสามัคคีธรรมสองประการแรก ข้อแรกคือการนำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจพระวจนะของพระองค์ และเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ข้อที่สองคือการมีความเข้าใจสภาวะทั้งหลายของบุคคลแต่ละประเภท และแก้ไขความลำบากยากเย็นนานัปการซึ่งสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตที่พวกเขาเผชิญในชีวิตจริง  บนพื้นฐานของหน้าที่รับผิดชอบสองประการนี้ พระองค์ได้ทรงชำแหละการสำแดงที่เกี่ยวข้องของผู้นำเทียมเท็จ)  พวกเจ้าเคยไตร่ตรองบ้างหรือไม่ว่าหน้าที่รับผิดชอบใดในสองประการนี้ที่พวกเจ้าสามารถปฏิบัติได้หากพวกเจ้าเป็นผู้นำ?  ผู้คนจำนวนมากรู้สึกอยู่เสมอว่าพวกเขามีขีดความสามารถ เชาวน์ และสำนึกในภาระอยู่บ้าง และผลที่ตามมาก็คือพวกเขาปรารถนาที่จะแย่งชิงการเป็นผู้นำ และไม่ต้องการเป็นผู้ติดตามธรรมดา  ดังนั้น ก่อนอื่นจงดูว่าเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบสองประการนี้ได้หรือไม่ และเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบประการใดได้มากกว่า และสามารถรับผิดชอบหน้าที่นั้นได้  ตอนนี้ขอให้พวกเราไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเจ้ามีขีดความสามารถในการเป็นผู้นำหรือไม่ หรือเจ้ามีความสามารถในการทำงานนี้หรือสำนึกในภาระหรือไม่ และก่อนอื่นจงดูว่าเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบสองประการนี้ให้ดีได้หรือไม่  พวกเจ้าเคยไตร่ตรองคำถามนี้บ้างหรือไม่?  บางคนอาจกล่าวว่า “ฉันไม่ได้วางแผนที่จะเป็นผู้นำ แล้วเหตุใดฉันจึงควรไตร่ตรองคำถามนี้?  ฉันแค่จำเป็นต้องทำงานของตัวฉันเองให้ดี—คำถามนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลย  ในช่วงชีวิตนี้ ฉันไม่เคยต้องการเป็นผู้นำ และฉันไม่เคยต้องการรับผิดชอบหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำหรือคนทำงาน ดังนั้นฉันจึงไม่เคยจำเป็นต้องไตร่ตรองคำถามดังกล่าว”  ถ้อยแถลงนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  ต่อให้เจ้าไม่ต้องการเป็นผู้นำ เจ้าก็ยังคงจำเป็นต้องรู้มิใช่หรือว่าบุคคลที่เป็นผู้นำของเจ้ากำลังดำเนินการไปตามหน้าที่รับผิดชอบทั้งสองประการนี้ได้ดีเพียงใด พวกเขาลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนแล้วหรือยัง พวกเขามีขีดความสามารถ ศักยภาพ และสำนึกในภาระตามที่กำหนดหรือไม่ และพวกเขาทำได้ตามข้อกำหนดสองประการนี้หรือไม่?  หากเจ้าไม่เข้าใจหรือไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และพวกเขานำเจ้าไปสู่สถานการณ์ที่ลำบาก เจ้าจะตระหนักรู้เรื่องนี้หรือไม่?  หากเจ้าเพียงแค่ติดตามพวกเขาในหนทางที่สับสนและเป็นคนสมองทึบเท่านั้น หากเจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือพวกเขากำลังนำเจ้าให้หลงเจิ่นไปหรือพวกเขากำลังนำเจ้าไปที่ใด เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะตกอยู่ในอันตราย  เพราะว่าเจ้าไม่เข้าใจขอบเขตของหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และเจ้าขาดพร่องวิจารณญาณในการแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ เจ้าย่อมจะติดตามพวกเขาในหนทางที่สับสน และทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาขอให้เจ้าทำ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาสามัคคีธรรมกับเจ้านั้นเป็นไปตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ หรือเป็นความเป็นจริงหรือไม่  เจ้าจะคิดเช่นนั้นเพราะพวกเขากระตือรือร้น เพราะพวกเขากุลีกุจอและทำงานหนักตั้งแต่เช้าจรดค่ำและสามารถจ่ายราคาได้ และเพราะว่าเมื่อใครบางคนมีความลำบากยากเย็น พวกเขาก็ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ และไม่เมินคนเหล่านั้น พวกเขาจึงทำได้ตามมาตรฐานในฐานะผู้นำ  เจ้าไม่รู้ว่าผู้นำเทียมเท็จขาดพร่องศักยภาพในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานยาวนานเพียงใด พวกเขาก็จะไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือรู้ว่าข้อกำหนดของพระเจ้าคืออะไร พวกเขาจะไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยซ้ำว่าคำสอนคืออะไรและความเป็นจริงความจริงคืออะไร พวกเขาจะไม่รู้วิธีทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและความจริงในหนทางที่หมดจด และพวกเขาจะไม่รู้วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า—นี่ทำให้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ  เหล่าผู้นำเทียมเท็จไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดๆ ในงานที่พวกเขาทำ  พวกเขาจะสามัคคีธรรมกับเจ้าและทำไปตามขั้นตอน แต่พวกเขาจะไม่รู้ชัดเจนว่าเจ้าอยู่ในสภาวะใด เจ้ากำลังเผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นใด และความลำบากยากเย็นเหล่านั้นได้รับการแก้ไขจริงหรือไม่ และตัวเจ้าเองก็จะไม่รู้สิ่งเหล่านี้เช่นกัน  เมื่อมองจากภายนอก พวกเขาจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงกับเจ้าไปแล้ว แต่เจ้าก็จะยังคงใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ผิดพลาดโดยไม่มีการพลิกกลับใดๆ  ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับความลำบากยากเย็นใด พวกเขาก็จะดูเหมือนว่ากำลังดำเนินการไปตามหน้าที่รับผิดชอบของตน แต่ไม่มีความลำบากยากเย็นใดของเจ้าที่จะได้รับการแก้ไขผ่านทางการสามัคคีธรรมหรือความช่วยเหลือของพวกเขา และประเด็นปัญหาทั้งหลายก็จะยังคงอยู่  ผู้นำประเภทนี้ได้มาตรฐานหรือไม่?  (ไม่)  แล้วเจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความจริงประการใดบ้างเพื่อที่จะแยกแยะเรื่องเหล่านี้?  เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจว่าผู้นำและคนทำงานปฏิบัติงานทุกชิ้นและจัดการกับปัญหาทุกอย่างได้สอดคล้องกับข้อกำหนดในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ และคำพูดทุกคำที่พวกเขากล่าวนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงและสอดรับกับความจริงในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่  นอกจากนั้นเจ้าก็จำเป็นต้องเข้าใจว่า เมื่อเจ้าเผชิญกับความลำบากยากเย็นนานัปการ วิธีการที่พวกเขาใช้ในการแก้ไขประเด็นปัญหานั้นนำเจ้าไปสู่การเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและได้รับเส้นทางแห่งการปฏิบัติหรือไม่ หรือพวกเขาเพียงแต่กล่าวคำพูดและคำสอนบางอย่าง ตะโกนคำขวัญ หรือตักเตือนเจ้าเท่านั้น  ผู้นำและคนทำงานบางคนชอบช่วยเหลือผู้คนผ่านทางการเตือนสติ บางคนก็ผ่านทางแรงจูงใจ และคนอื่นก็ผ่านทางการเปิดโปง การกล่าวโทษ และการตัดแต่ง  ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีการใด หากวิธีการนั้นสามารถนำเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้อย่างแท้จริง แก้ไขความลำบากยากเย็นที่แท้จริงของเจ้า โดยทำให้เจ้าเข้าใจว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไรและด้วยเหตุนั้นจึงทำให้เจ้าสามารถรู้จักตนเองและพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันในภายภาคหน้า เจ้าย่อมจะมีเส้นทางให้เดินตาม  เพราะฉะนั้นมาตรฐานขั้นพื้นฐานที่สุดในการประเมินวัดว่าผู้นำหรือคนทำงานได้มาตรฐานหรือไม่นั้นก็คือ การที่พวกเขาสามารถใช้ความจริงในการแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นของผู้คนได้หรือไม่ และทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจความจริงและได้รับเส้นทางแห่งการปฏิบัติหรือไม่

ครั้งที่แล้ว พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการแรกและประการที่สองของผู้นำและคนทำงานกันไปไม่มากก็น้อย และพวกเราได้ชำแหละการสำแดงบางอย่างของผู้นำเทียมเท็จซึ่งสัมพันธ์กับหน้าที่รับผิดชอบสองประการนี้  การสำแดงหลักของพวกเขาก็คือการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างตื้นเขินและผิวเผิน และการล้มเหลวในการเข้าใจความจริง  เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าผลที่ตามมาก็คือพวกเขาไม่สามารถนำผู้อื่นให้เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ได้  เมื่อผู้คนเผชิญกับความลำบากยากเย็น ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ของตนเองในการนำผู้คนเหล่านั้นให้เข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้ เพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นมีเส้นทางให้เดินตาม และพวกเขาก็ไม่สามารถทำให้ผู้คนเหล่านั้นทบทวนตนเองและรู้จักตนเองได้ท่ามกลางความลำบากยากเย็นนานัปการ และแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านี้ไปพร้อมๆ กัน  ดังนั้นวันนี้ขอให้พวกเราสามัคคีธรรมกันก่อนว่าในการเข้าสู่ชีวิตมีความลำบากยากเย็นอะไรบ้าง และความลำบากยากเย็นนานัปการซึ่งเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตที่พบเห็นกันทั่วไปและผู้คนเผชิญอยู่บ่อยๆ ในชีวิตประจำวันของพวกเขานั้นมีอะไรบ้าง  ขอให้พวกเราสรุปสิ่งเหล่านี้อย่างเฉพาะเจาะจง  เรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับการสามัคคีธรรมหรือไม่?  (จำเป็น)  ตอนนี้พวกเจ้าค่อนข้างสนใจหัวข้อเหล่านี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตมิใช่หรือ?  ตอนที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับพวกเจ้าในครั้งแรกและพูดคุยกับพวกเจ้า ไม่ว่าจะกล่าวถึงสิ่งใด พวกเจ้าก็ด้านชาและทึ่ม เอื่อยเฉื่อย และตอบสนองช้า  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่เข้าใจอะไรเลย และไม่มีวุฒิภาวะใดๆ นับประสาอะไรกับการเข้าสู่ชีวิต  เดี๋ยวนี้เมื่อพวกเราพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนเรา พวกเจ้าส่วนใหญ่ค่อนข้างสนใจในหัวข้อนี้ และมีปฏิกิริยาต่อหัวข้อนี้อยู่บ้าง  นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นบวก  หากพวกเจ้าไม่ทำหน้าที่ของตน พวกเจ้าจะสามารถบรรลุสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  (พวกเราไม่สามารถบรรลุได้)  นี่คือพระคุณของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความโปรดปรานของพระองค์

ประการที่สอง: มีความเข้าใจสภาวะทั้งหลายของบุคคลแต่ละประเภท และแก้ไขความลำบากยากเย็นนานัปการซึ่งสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตที่พวกเขาเผชิญในชีวิตจริง (ภาคที่สอง)

ความลำบากยากเย็นในการเข้าสู่ชีวิตแปดประเภท

I. ความลำบากยากเย็นซึ่งสัมพันธ์กับการทำหน้าที่ของคนเรา

เกี่ยวกับความลำบากยากเย็นในการเข้าสู่ชีวิต ก่อนอื่นให้พวกเรามองดูความลำบากยากเย็นที่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราให้กว้างขึ้น  เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของตนซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริง และเจ้าไม่สามารถจัดการกับสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมได้ นี่เป็นความลำบากยากเย็นในการเข้าสู่ชีวิตมิใช่หรือ?  (ใช่แล้ว)  กล่าวอย่างเรียบง่ายก็คือ นี่เป็นสภาวะ แนวคิด ทัศนคตินานัปการ และหนทางในการคิดที่ไม่ถูกต้องบางอย่างซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  แล้วในเรื่องนี้มีอะไรเป็นความลำบากยากเย็นที่เฉพาะเจาะจงบ้าง?  ตัวอย่างเช่น มีการพยายามทำตัวสุกเอาเผากิน ตลบตะแลง และหย่อนยานอยู่เสมอเมื่อมีการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา—นี่เป็นสภาวะที่สำแดงและเผยออกมาโดยทั่วไประหว่างการปฏิบัติหน้าที่มิใช่หรือ?  ยังมีการไม่ใส่ใจในงานที่ถูกควรของตน และการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นอยู่เป็นนิตย์ในขณะที่มีการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา โดยปฏิบัติต่อสถานที่ซึ่งคนเราปฏิบัติหน้าที่ของตนเสมือนเป็นสนามเด็กเล่นหรือสนามรบ และคิดถึงการหา “เกณฑ์การเปรียบเทียบ” เมื่อใดก็ตามที่คนเรากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน โดยพูดในใจว่า “ฉันจะเห็นว่าใครดีกว่าฉันและใครสามารถปลุกเร้าวิญญาณนักสู้ของฉันได้ จากนั้นฉันจะแข่งขันกับพวกเขา แย่งชิงกับพวกเขาและเปรียบเทียบตัวฉันเองกับพวกเขา เพื่อที่จะได้เห็นว่าใครสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีกว่าและประสิทธิภาพที่สูงกว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และใครเอาชนะใจผู้คนได้ดีกว่ากัน”  แล้วก็มีการเข้าใจหลักธรรมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราแต่ไม่ปรารถนาที่จะยึดถือปฏิบัติตามหลักธรรมดังกล่าว หรือปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับความจริงในพระวจนะของพระเจ้าหรือข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า และเลือกชอบที่จะเจือปนความชอบส่วนตนในการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอยู่เสมอ โดยกล่าวว่า “ฉันชอบทำสิ่งนี้ในหนทางนี้ ฉันชอบทำสิ่งนั้นในหนทางนั้น ฉันเต็มใจที่จะทำสิ่งนี้ในหนทางนี้ ฉันต้องการทำสิ่งนั้นในหนทางนั้น”  นี่คือความเอาแต่ใจ กล่าวคือความต้องการทำตามเจตจำนงของตนเองอยู่เสมอ และปฏิบัติตนอย่างไรก็ตามที่คนเราต้องการตามความชอบส่วนตนของตนเอง โดยไม่สนใจข้อกำหนดทุกประการของพระนิเวศของพระเจ้า และเลือกชอบที่จะหลงเจิ่นไปจากเส้นทางที่ถูกต้อง  เหล่านี้ไม่ใช่การสำแดงที่แท้จริงซึ่งผู้คนส่วนใหญ่แสดงออกมาในยามที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนหรอกหรือ?  เห็นได้ชัดว่าประเด็นปัญหาเหล่านี้ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับความลำบากยากเย็นในการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  จงกล่าวเพิ่มเติมนอกเหนือจากประเด็นปัญหาเหล่านี้  (การล้มเหลวในการให้ความร่วมมืออย่างกลมเกลียวกันกับผู้อื่นเมื่อมีการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา และการเอาตัวเองเป็นที่ตั้งอยู่เสมอ)  เรื่องนี้นับว่าเป็นความลำบากยากเย็นเช่นกัน  การล้มเหลวในการให้ความร่วมมืออย่างกลมเกลียวกันกับผู้อื่นเมื่อมีการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา และต้องการที่จะเอาตนเองเป็นที่ตั้งและมีสิทธิในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายอยู่เสมอ โดยต้องการถ่อมใจตนเองในการแสวงหาคำแนะนำและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเมื่อเผชิญกับประเด็นปัญหา แต่ก็ไม่สามารถปฏิบัติการนี้ได้ และรู้สึกไม่สบายใจเมื่อคนเราพยายามที่จะปฏิบัติการนี้—นี่คือปัญหา  (การพิทักษ์ผลประโยชน์ของตนเองตลอดเวลาในยามที่ปฏิบัติหน้าที่ การเป็นคนเห็นแก่ตัวและเลวทราม และที่จริงแล้วรู้วิธีที่จะแก้ปัญหาเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง โดยเกรงกลัวการรับผิดชอบหากเกิดความผิดพลาด และผลที่ตามมาก็คือการไม่กล้าที่จะก้าวออกมาข้างหน้า)  การไม่แก้ปัญหาเมื่อคนเรามองเห็นปัญหาดังกล่าว โดยมองว่าปัญหานั้นไม่เกี่ยวกับตนเอง และเมินเฉยต่อปัญหานั้น—เรื่องนี้นับว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราโดยปราศจากความจงรักภักดี  ไม่ว่าเจ้าจะรับผิดชอบงานชิ้นหนึ่งหรือไม่ หากเจ้าสามารถรู้เท่าทันและแก้ปัญหาได้ เจ้าก็ควรปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบนี้  นี่คือหน้าที่และงานของเจ้าซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้า  หากผู้ดูแลสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เจ้าก็อาจไม่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหานี้ได้ แต่หากพวกเขาไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เจ้าก็ควรก้าวออกมาข้างหน้าแล้วแก้ปัญหานี้  จงอย่าแบ่งแยกประเด็นปัญหาออกจากกันตามที่ว่าประเด็นปัญหาเหล่านั้นอยู่ภายใต้ขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของใคร—นี่คือการไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า  มีอย่างอื่นอีกหรือไม่?  (การพึ่งพาเชาวน์และพรสวรรค์ของคนเราในการทำงานขณะที่คนเราปฏิบัติหน้าที่ และไม่แสวงหาความจริง)  มีผู้คนมากมายที่เป็นเช่นนี้  พวกเขาคิดเสมอว่าตนมีเชาวน์และขีดความสามารถ และพวกเขาไม่แยแสต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน พวกเขาไม่แสวงหาความจริงเลย และปฏิบัติตนตามเจตจำนงของตนเองเท่านั้น และผลลัพธ์ก็คือพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ได้อย่างถูกควร  เหล่านี้คือความลำบากยากเย็นที่ผู้คนเผชิญเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน

II. ประเด็นปัญหาซึ่งสัมพันธ์กับวิธีที่คนเราปฏิบัติต่อจุดหมายปลายทางในอนาคตและโชคชะตาของตน

วิธีที่คนเราปฏิบัติต่อจุดหมายปลายทางในอนาคตและโชคชะตาของตนนั้นเป็นประเด็นปัญหาซึ่งมีนัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตเช่นกัน  บางคนเต็มใจที่จะจ่ายราคาหากพวกเขาเชื่อว่าตนมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด และพวกเขาก็กลายเป็นคนคิดลบหากพวกเขาคิดว่าไม่มีความหวัง  หากพระนิเวศของพระเจ้าไม่เลื่อนขั้นและบ่มเพาะพวกเขา พวกเขาก็ไม่เต็มใจจ่ายราคา และพวกเขาก็ทำหน้าที่ของตนไปตามขั้นตอนเท่านั้นโดยไม่มีการรับผิดชอบ  ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด พวกเขามักจะคำนึงถึงจุดหมายปลายทางในอนาคตและโชคชะตาของตนอยู่เป็นนิตย์ โดยถามตนเองว่า “ฉันจะมีบั้นปลายที่ดีจริงๆ หรือไม่?  สัญญาของพระเจ้ามีการกล่าวถึงหรือไม่ว่าใครบางคนที่เป็นเหมือนฉันจะมีจุดหมายปลายทางในอนาคตและโชคชะตาเป็นเช่นไร?”  หากพวกเขาไม่พบคำตอบที่ถูกตรง พวกเขาย่อมขาดความมีใจกระตือรือร้นที่จะทำอะไร  หากพวกเขาได้รับการเลื่อนขั้นและบ่มเพาะโดยพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาย่อมกลายเป็นคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และพวกเขาย่อมกระตือรือร้นเป็นพิเศษในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาล้มเหลวในการทำหน้าที่ของตนให้ดีและถูกปลด พวกเขาย่อมกลายเป็นคนคิดลบทันทีและพวกเขาย่อมล้มเลิกการทำหน้าที่ของตน โดยละทิ้งความหวังทั้งปวง  เมื่อเผชิญหน้ากับการตัดแต่ง พวกเขาก็คิดว่า “พระเจ้าไม่โปรดฉันอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?  ถ้าเป็นอย่างนั้น พระองค์ควรตรัสเช่นนั้นไปก่อนหน้านี้ แทนที่จะทรงขัดขวางการไล่ตามไขว่คว้าโลกของฉัน!”  หากพวกเขาถูกปลด พวกเขาก็คิดว่า “พวกเขากำลังดูถูกฉันมิใช่หรือ?  ใครเป็นคนรายงานเกี่ยวกับฉัน?  ฉันกำลังถูกกำจัดใช่หรือไม่?  หากเรื่องเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ควรกล่าวเช่นนั้นไปก่อนหน้านี้แล้ว!”  ยิ่งไปกว่านั้น หัวใจของพวกเขายังเต็มไปด้วยธุรกรรม ข้อเรียกร้อง และคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผลต่อพระเจ้า  ไม่ว่าคริสตจักรจะจัดการเตรียมการให้พวกเขาทำอะไร พวกเขาก็มองว่าการที่ตนมีจุดหมายปลายทางที่ดีในอนาคตและโชคชะตาที่ดี รวมทั้งมีพรจากพระเจ้า เป็นข้อกำหนดเบื้องต้นในการทำการนั้น  อย่างน้อยที่สุดการได้รับการปฏิบัติด้วยการแสดงออกและท่าทีที่ดี และการได้รับความเห็นชอบ ก็เป็นข้อกำหนดเบื้องต้นในการยอมรับและการนบนอบ  เหล่านี้เป็นการสำแดงถึงวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อจุดหมายปลายทางในอนาคตและโชคชะตาของตนมิใช่หรือ?  จงกล่าวเพิ่มเติมนอกเหนือจากประเด็นปัญหาเหล่านี้  (หากมีการเบี่ยงเบนหรือประเด็นปัญหาเกิดขึ้นในขณะที่คนเราทำหน้าที่และพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาย่อมพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าและตั้งป้อมระวังตัวจากพระองค์ พวกเขาย่อมรู้สึกกลัวที่จะถูกเผยและถูกกำจัด และเผื่อทางออกไว้ให้ตนเองอยู่เสมอ)  การรู้สึกกลัวว่าจะถูกเผยและถูกกำจัด และการเผื่อทางออกไว้ให้ตนเองอยู่เสมอ—เหล่านี้เป็นการสำแดงถึงวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อจุดหมายปลายทางในอนาคตและโชคชะตาของตน  (เมื่อคนเราเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับการเปิดโปงและการระบุลักษณะนั้นตรงกับพวกเขา หรือเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับการตัดแต่งและรู้สึกละอายใจ พวกเขาก็สรุปว่าตนเป็นคนที่เลอะเลือน เป็นมารและซาตาน และพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้  พวกเขาพิจารณาว่าตนไม่มีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดและกลายเป็นคนคิดลบ)  เมื่อกล่าวถึงเรื่องของจุดหมายปลายทางในอนาคตและโชคชะตาของพวกเขา ผู้คนก็ไม่สามารถปล่อยมือจากเจตนาและความอยากได้อยากมีของตนเองได้ทั้งหมด  พวกเขาปฏิบัติต่อจุดหมายปลายทางในอนาคตและโชคชะตาของตนในฐานะสิ่งสำคัญที่สุดอย่างคงเส้นคงวาและดังนั้นจึงไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ โดยมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันและข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า  เมื่อพวกเขาเผชิญกับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ การถลุง หรือการถูกเผย หรือพวกเขาเผชิญกับสภาพการณ์ที่อันตราย พวกเขาก็คิดทันทีว่า “พระเจ้าไม่ทรงต้องการฉันอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?  พระองค์กำลังทรงรังเกียจเดียดฉันท์ฉันใช่ไหม?  น้ำเสียงที่พระองค์ตรัสกับฉันนั้นรุนแรงมาก พระองค์ไม่ทรงต้องการช่วยฉันให้รอดหรอกหรือ?  พระองค์ทรงต้องการกำจัดฉันใช่หรือไม่?  หากพระองค์ทรงต้องการกำจัดฉัน พระองค์ก็ควรตรัสเรื่องนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะที่ฉันอายุยังน้อย เพื่อจะได้ไม่ขัดขวางการไล่ตามไขว่คว้าโลกของฉัน”  เรื่องนี้ก่อให้เกิดความคิดลบ ความรู้สึกคัดค้าน การต่อต้าน และความหย่อนยานในตัวพวกเขา  เหล่านี้เป็นสภาวะและการสำแดงบางประการซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีที่ผู้คนปฏิบัติต่อจุดหมายปลายทางในอนาคตและโชคชะตาของพวกเขา  นี่เป็นความลำบากยากเย็นที่มีนัยสำคัญซึ่งสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิต

III. ความลำบากยากเย็นซึ่งเกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพระหว่างบุคคล

ขอให้พวกเรามองดูอีกแง่มุมหนึ่งคือ—สัมพันธภาพระหว่างบุคคล  นี่ก็เป็นความลำบากยากเย็นที่มีนัยสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตเช่นกัน  วิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อผู้คนที่เจ้าไม่ชอบ ผู้คนที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากเจ้า ผู้คนที่เจ้าคุ้นเคย ผู้คนที่มีสัมพันธภาพทางครอบครัวกับเจ้าหรือผู้คนที่เคยช่วยเหลือเจ้า และผู้คนที่ให้การตักเตือนแก่เจ้าอย่างทันท่วงทีอยู่เสมอ และกล่าวคำพูดที่แท้จริงกับเจ้า และช่วยเหลือเจ้า และการที่เจ้าสามารถปฏิบัติต่อบุคคลแต่ละคนอย่างเป็นธรรมได้หรือไม่ รวมทั้งวิธีที่เจ้าปฏิบัติเมื่อเกิดข้อโต้แย้งกับคนอื่น ตลอดจนความอิจฉาริษยาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นท่ามกลางเจ้า และการที่เจ้าไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างกลมเกลียว หรือแม้กระทั่งให้ความร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวในกระบวนการทำหน้าที่ของเจ้า—เหล่านี้คือสภาวะและการสำแดงบางประการซึ่งเกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพระหว่างบุคคล  มีอย่างอื่นอีกหรือไม่?  (การเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและไม่กล้าพูดออกไปเมื่อค้นพบปัญหาของอีกคนหนึ่ง เพราะกลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินพวกเขา)  นี่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อคนเรากลัวที่จะล่วงเกินผู้อื่น  (นอกจากนั้นยังมีวิธีที่คนเราปฏิบัติต่อผู้นำและคนทำงาน และบรรดาผู้ที่มีอำนาจและสถานะ)  วิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อผู้นำและคนทำงาน หรือบรรดาผู้ที่มีอำนาจและสถานะ—ไม่ว่าจะด้วยการประจบสอพลอและการประจบประแจง หรือโดยการปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้อง—นี่เป็นการสำแดงที่เฉพาะเจาะจงถึงวิธีที่เจ้าติดต่อสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่มีอำนาจและอิทธิพล  เหล่านี้คือความลำบากยากเย็นซึ่งเกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพระหว่างบุคคลไม่มากก็น้อย

IV. ประเด็นปัญหาซึ่งสัมพันธ์กับความรู้สึกของมนุษย์

ขอให้เราพูดคุยกันเล็กน้อยเกี่ยวกับความรู้สึกของมนุษย์ เรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกมีอะไรบ้าง?  อย่างแรกคือการประเมินสมาชิกครอบครัวของเจ้าเอง และท่าทีที่เจ้ามีต่อสิ่งที่พวกเขาทำ  แน่นอนว่าในที่นี้ “สิ่งที่พวกเขาทำ” หมายรวมถึงเวลาที่พวกเขาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร เวลาที่พวกเขาตัดสินผู้คนลับหลังคนเหล่านั้น มีการปฏิบัติบางอย่างเหมือนผู้ไม่เชื่อ และอื่นๆ  เจ้าสามารถรับมือสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นกลางได้หรือไม่? เมื่อเจ้าจำเป็นต้องเขียนประเมินสมาชิกครอบครัวของเจ้า เจ้าจะสามารถทำเช่นนั้นอย่างเป็นกลางตามข้อเท็จจริง โดยวางความรู้สึกของเจ้าเอาไว้ก่อนได้หรือไม่?  นี่เกี่ยวพันกับว่าเจ้านั้นมีท่าทีต่อสมาชิกครอบครัวของตนเองอย่างไร  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามีความรู้สึกต่างๆ ต่อคนที่เจ้าเป็นมิตรด้วยหรือคนที่เคยช่วยเหลือเจ้ามาก่อนหรือไม่?  เจ้าสามารถมองการกระทำและการประพฤติปฏิบัติของพวกเขาในหนทางที่ไม่มีอคติ เป็นกลางและเที่ยงตรงได้หรือไม่?  ถ้าพวกเขาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร เจ้าจะสามารถรายงานหรือเปิดโปงพวกเขาทันทีที่เจ้ารู้ได้หรือไม่?  นอกจากนี้ เจ้าเก็บงำความรู้สึกที่มีต่อคนที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับเจ้าหรือมีผลประโยชน์ร่วมกันกับเจ้าเอาไว้หรือไม่?  เจ้ามีการประเมิน การนิยาม และวิธีจัดการการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาในลักษณะที่เป็นกลางและเป็นไปตามข้อเท็จจริงหรือไม่?  สมมุติว่าคริสตจักรจัดการผู้คนที่เจ้ามีความรู้สึกเชื่อมโยงด้วยนี้ตามหลักธรรม และผลที่ออกมาก็ไม่เป็นไปตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง—เจ้าจะรับมือเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าจะเชื่อฟังได้หรือไม่?  เจ้าจะแอบพัวพันกับพวกเขาต่อไป ถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิดและถึงขั้นถูกพวกเขายุยงให้แก้ตัวให้พวกเขา สร้างความชอบธรรมให้พวกเขา และปกป้องพวกเขาหรือไม่?  เจ้าจะให้การช่วยเหลือและแอ่นอกรับกระสุนแทนคนที่ช่วยเจ้ามาโดยตลอด มองข้ามหลักธรรมความจริงและไม่สนใจผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?  เรื่องต่างๆ เหล่านี้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกทั้งสิ้นมิใช่หรือ?  ผู้คนบางคนพูดว่า “ความรู้สึกไม่ได้เกี่ยวข้องกับญาติพี่น้องและสมาชิกในครอบครัวเท่านั้นหรอกหรือ?  ขอบเขตของความรู้สึกนั้นไม่ได้อยู่ที่บิดามารดา พี่น้องชายหญิง และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวเพียงเท่านั้นหรอกหรือ?”  ไม่ใช่ ความรู้สึกรวมถึงขอบเขตอันกว้างขวางของผู้คน  ลืมเรื่องการประเมินสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาเองอย่างเป็นกลางไปได้เลย—บางคนไม่สามารถประเมินเพื่อนที่ดีหรือเพื่อนสนิทของตนเองอย่างเป็นกลางได้ด้วยซ้ำไป และพวกเขาก็บิดเบือนข้อเท็จจริงเมื่อพวกเขากล่าวถึงผู้คนเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น หากเพื่อนสนิทของพวกเขาไม่ใส่ใจดูแลงานที่ถูกควรของตนและมักจะมีส่วนร่วมในการปฏิบัติที่คดโกงและเลวร้ายในหน้าที่ของตนอยู่เสมอ พวกเขาก็จะอธิบายว่าเขาเป็นคนขี้เล่นพอสมควร แล้วกล่าวว่าความเป็นมนุษย์ของเขายังไม่เติบโตเต็มที่และยังไม่มั่นคง  มีความรู้สึกอยู่ภายในคำพูดเหล่านี้มิใช่หรือ?  นี่เป็นการกล่าวคำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึก  หากใครบางคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพวกเขาไม่ใส่ใจดูแลงานที่ถูกควรของตนและมีส่วนร่วมในการปฏิบัติที่คดโกงและเลวร้าย พวกเขาย่อมจะมีสิ่งที่รุนแรงกว่านี้มากล่าวเกี่ยวกับพวกเขา และอาจถึงกับกล่าวโทษพวกเขา  นี่คือการสำแดงโดยการพูดและการกระทำบนพื้นฐานของความรู้สึกมิใช่หรือ?  ผู้คนที่ใช้ชีวิตตามความรู้สึกของตนจะมีความเป็นกลางหรือไม่?  พวกเขาซื่อตรงหรือไม่?  (ไม่)  มีอะไรไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้คนที่พูดจาตามความรู้สึกของตน?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรมได้?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่พูดบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริง?  ผู้คนที่พูดจากลับกลอกและไม่เคยมีข้อเท็จจริงเป็นพื้นฐานของคำพูดก็คือคนที่เลวร้าย  การไม่มีความเป็นกลางเมื่อคนเราพูดจา และมักจะพูดตามความรู้สึกของตนและเพื่อเห็นแก่ตนเองอยู่เป็นนิตย์ และไม่กล่าวตามหลักธรรมความจริง ไม่คิดถึงงานของพระนิเวศของพระเจ้า และเพียงแต่คุ้มครองความรู้สึกส่วนตน ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตนเท่านั้น—นี่เป็นลักษณะนิสัยของศัตรูของพระคริสต์  นี่คือวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์พูดจา ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเลวร้าย ก่อกวน และขัดขวาง  ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการเลือกชอบและความสนใจทางเนื้อหนังย่อมใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความรู้สึกของตน  ผู้คนที่ใช้ชีวิตตามความรู้สึกของตนก็คือบรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับหรือไม่ปฏิบัติความจริงแต่อย่างใด  บรรดาผู้ที่พูดและกระทำบนพื้นฐานของความรู้สึกของตนนั้นไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย  หากผู้คนดังกล่าวกลายเป็นผู้นำ พวกเขาย่อมจะเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์อย่างไม่ต้องสงสัย  ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้ แต่พวกเขายังอาจมีส่วนร่วมในการทำชั่วนานัปการอีกด้วย  พวกเขาจะถูกกำจัดและถูกลงโทษอย่างแน่นอน

V. ประเด็นปัญหาซึ่งสัมพันธ์กับการละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง

การละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนังเป็นประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงเช่นกัน  พวกเจ้าคิดว่าการสำแดงถึงความละโมบในความสะดวกสบายทางเนื้อหนังมีอะไรบ้าง?  พวกเจ้าสามารถยกตัวอย่างอะไรได้บ้างจากสิ่งที่พวกเจ้าเคยเห็นในประสบการณ์ของตนเอง?  การสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งนับว่าใช่หรือไม่?  (ใช่)  มีอะไรอีก?  (การเลือกชอบงานที่ง่ายมากกว่างานที่ยากเมื่อมีการทำหน้าที่ของคนเรา และต้องการเลือกงานเบาอยู่เสมอ)  เวลาทำหน้าที่ ผู้คนเลือกงานเบาเสมอ งานที่ไม่เหนื่อย และไม่มีการออกไปผจญสภาพอากาศข้างนอก  นี่คือการเลือกงานง่ายและบ่ายเบี่ยงงานหนัก เป็นการสำแดงความละโมบในความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง  มีสิ่งใดอีก?  (การพร่ำบ่นตลอดเวลาเมื่อหน้าที่ของพวกเขาหนักไปนิด เหน็ดเหนื่อยไปหน่อย เมื่อหน้าที่นั้นเกี่ยวพันกับการต้องยอมลำบาก)  (การหมกมุ่นอยู่กับอาหาร เสื้อผ้า และความหรรษาทางเนื้อหนัง)  เหล่านี้ล้วนเป็นการสำแดงความละโมบในความสะดวกสบายทางเนื้อหนังทั้งหลาย  เมื่อคนแบบนี้เห็นว่างานหนึ่งๆ ตรากตรำหรือเสี่ยงจนเกินไป พวกเขาก็หลอกให้คนอื่นทำแทน ตัวเองทำแต่งานสบาย และพวกเขาก็หาข้ออ้างมากล่าวว่าตนมีขีดความสามารถอ่อนด้อย ขาดความสามารถในการทำงาน และไม่สามารถรับงานนี้ได้—แม้ว่าที่จริงแล้วนั่นเป็นเพราะพวกเขาละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนังก็ตาม  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะทนทุกข์ ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานใดหรือปฏิบัติหน้าที่ใด  หากพวกเขาได้รับการบอกเล่าว่าทันทีที่พวกเขาทำงานเสร็จจะมีหมูตุ๋นให้กิน พวกเขาย่อมทำงานอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก และเจ้าก็ไม่ต้องเร่งพวกเขา ผลักดันพวกเขา หรือคอยเฝ้าดูพวกเขา แต่หากไม่มีหมูตุ๋นให้พวกเขากิน และพวกเขาต้องทำหน้าที่ของตนล่วงเวลา พวกเขาย่อมผัดวันประกันพรุ่ง และหาเหตุผลและข้อแก้ตัวสารพัดมาเพื่อผัดผ่อนการทำหน้าที่ออกไป และหลังจากทำเช่นนี้มาสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็กล่าวว่า “ฉันรู้สึกเวียนหัว ขาของฉันเป็นเหน็บ ฉันเหนื่อยล้า!  ฉันปวดเมื่อยไปหมดทุกส่วนในร่างกาย ฉันขอพักสักครู่ได้ไหม?”  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  พวกเขาละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง  นอกจากนี้ยังมีผู้คนที่พร่ำบ่นเรื่องความยากลำบากอยู่เสมอขณะทำหน้าที่ของตน พวกเขาไม่อยากทุ่มเทความพยายาม และทันทีที่พวกเขามีช่วงพักสั้นๆ พวกเขาก็จะหยุดพัก พูดคุยไร้สาระ หรือมีส่วนร่วมกับการพักผ่อนและความบันเทิง  เมื่อมีงานเข้ามาขัดจังหวะและกิจวัตรในชีวิตของตน พวกเขาก็จะไม่มีความสุขและไม่พอใจ  พวกเขาพร่ำบ่นพึมพำ แล้วก็ทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน  นี่คือการละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนังมิใช่หรือ?  ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงบางคนออกกำลังกายและนอนหลับพักผ่อนเพื่อความงามตามเวลาที่กำหนดทุกวันเพื่อรักษารูปร่างของตน  อย่างไรก็ดี ทันทีที่งานเริ่มยุ่งและมีการอะลุ้มอล่วยต่อการทำกิจวัตรเหล่านี้ พวกเธอก็เริ่มไม่มีความสุขและกล่าวว่า “นี่ไม่ดีเลย การทำงานนี้จะทำให้สิ่งทั้งหลายล่าช้ามากเกินไป  ฉันไม่อาจปล่อยให้งานส่งผลกระทบต่อกิจธุระส่วนตัวของฉันได้  ฉันจะไม่สนใจใครก็ตามที่พยายามเร่งฉัน ฉันจะยึดมั่นกับระดับความเร็วของฉันเอง  เมื่อถึงเวลาเล่นโยคะ ฉันจะเล่นโยคะ  เมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องนอนหลับพักผ่อนเพื่อความงาม ฉันก็จะนอนหลับพักผ่อนเพื่อความงาม  ฉันจะยังคงทำสิ่งเหล่านี้เหมือนที่ฉันเคยทำเมื่อก่อน  ฉันไม่ได้โง่เขลาและทำงานหนักเหมือนพวกคุณทุกคน  ในสองสามปีข้างหน้าพวกคุณทุกคนจะกลายเป็นผู้หญิงแก่ที่ดูธรรมดา ร่างกายของพวกคุณจะทรุดโทรม และพวกคุณจะไม่ผอมเพรียวอีกต่อไป  ไม่มีใครอยากจะมองพวกคุณ และพวกคุณก็จะไม่มีความมั่นใจในชีวิตเลย”  เพื่อเห็นแก่การตอบสนองความสุขสำราญทางเนื้อหนัง เพื่อเห็นแก่ความงาม การได้รับความชื่นชอบจากผู้อื่น และการใช้ชีวิตอย่างมีความมั่นใจมากขึ้น พวกเขาจึงไม่ยอมที่จะละทิ้งความหรรษาและการเลือกชอบทางเนื้อหนัง ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งกับการทำหน้าที่เพียงใด  นี่คือการลุ่มหลงในความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงกระวนกระวาย และพวกเราควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า”  แต่ผู้หญิงเหล่านี้บอกว่า “ฉันไม่เคยเห็นว่าพระเจ้าทรงกระวนกระวาย ฉันสบายดีตราบเท่าที่ฉันไม่กระวนกระวาย  หากฉันแสดงให้เห็นความคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ใครจะแสดงให้เห็นความคำนึงถึงเจตนาของฉัน?”  ผู้หญิงเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์บ้างหรือไม่?  พวกเธอคือมารมิใช่หรือ?  นอกจากนั้นยังมีบางคนที่ไม่ว่างานของพวกเธอจะยุ่งและเร่งด่วนเพียงใด พวกเธอก็จะไม่ยอมให้การนี้ส่งผลกระทบต่อวิธีที่พวกเธอแต่งกายและสิ่งที่พวกเธอสวมใส่  ทุกวันพวกเธอใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการแต่งหน้า และพวกเธอก็จำได้ขึ้นใจเท่ากับการจำที่อยู่ของตนเองว่าจะใส่เสื้อผ้าชุดไหนในแต่ละวันให้เข้ากับรองเท้าบางคู่ และควรทำทรีตเมนต์เสริมความงามและไปนวดเมื่อใด โดยไม่สับสนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย  อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงเรื่องที่ว่าพวกเธอเข้าใจความจริงมากเพียงใด ความจริงใดบ้างที่พวกเธอยังคงไม่เข้าใจหรือยังไม่ได้เข้าสู่ สิ่งใดที่พวกเธอยังคงจัดการในลักษณะที่สุกเอาเผากินและไม่มีความจงรักภักดี อุปนิสัยอันเสื่อทรามใดที่พวกเธอได้เผยออกมา และประเด็นปัญหาอื่นๆ ดังกล่าวซึ่งสัมพันธ์กับความจริงที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต พวกเธอกลับไม่รู้เรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย  เมื่อถูกถามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ พวกเธอก็ไม่รู้ความอย่างสิ้นเชิง ทว่าเมื่อกล่าวถึงหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวกับความหรรษาทางเนื้อหนัง—การกิน การดื่ม และความบันเทิง—พวกเธอก็สามารถพร่ำรำพันได้ไม่รู้จบ เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดยั้งพวกเธอ  ไม่ว่างานของคริสตจักรจะยุ่งเพียงใดหรือหน้าที่ของพวกเธอจะยุ่งเพียงใด กิจวัตรและภาวะปกติของชีวิตของพวกเธอก็ไม่เคยถูกขัดขวาง  พวกเธอไม่เคยสะเพร่าในรายละเอียดเล็กน้อยใดๆ ของชีวิตทางเนื้อหนังและควบคุมรายละเอียดเหล่านั้นอย่างครบบริบูรณ์ โดยเข้มงวดและจริงจังมาก  แต่เวลาที่จัดการกับงานในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เพียงใดและต่อให้เรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงก็ตาม พวกเธอกลับจัดการกับเรื่องนั้นอย่างไม่เอาใจใส่  พวกเธอไม่ใส่ใจในบรรดาสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับพระบัญชาของพระเจ้าหรือหน้าที่ที่พวกเธอควรทำด้วยซ้ำไป  พวกเธอไม่รับผิดชอบใดๆ  นี่คือการลุ่มหลงในความสะดวกสบายทางเนื้อหนังมิใช่หรือ?  ผู้คนที่ลุ่มหลงในความสะดวกสบายทางเนื้อหนังเหมาะที่จะทำหน้าที่หรือไม่?  ทันทีที่มีคนหยิบยกเรื่องการทำหน้าที่ของพวกเขาขึ้นมา หรือพูดคุยเรื่องการจ่ายราคาและการทนทุกข์กับความยากลำบาก พวกเขาก็จะเอาแต่ส่ายหน้า พวกเขามีปัญหามากเกินไป เต็มไปด้วยคำพร่ำบ่น และมีแต่การคิดลบ  ผู้คนแบบนี้ไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่ของตน และควรถูกกำจัดออกไป  ในส่วนของการละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง พวกเราจะพักเรื่องนี้ไว้ที่นี่

VI. ความลำบากยากเย็นซึ่งสัมพันธ์กับการรู้จักตนเอง

การรู้จักตนเองเป็นแง่มุมที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดในการเข้าสู่ชีวิต  แต่สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ เพราะว่าพวกเขาไม่รักความจริงหรือไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง การรู้จักตนเองจึงกลายเป็นความลำบากยากเย็นที่ใหญ่หลวงที่สุดของพวกเขา  เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนว่าบรรดาผู้ที่ไม่รักความจริงนั้นไม่สามารถรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริง  การรู้จักตนเองนั้นมีแง่มุมอะไรบ้าง?  แง่มุมแรกคือการรู้ว่าในคำพูดและการกระทำของคนเรานั้นมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดบ้างที่ถูกเผยออกมา  บางครั้งก็เป็นความโอหัง บางคราวก็เป็นความหลอกลวง หรือบางทีก็เป็นความเลวร้าย การดื้อแพ่ง หรือการทรยศ และอื่นๆ  นอกจากนั้นเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่ง พวกเขาก็ควรตรวจสอบตนเองเพื่อให้เห็นว่าพวกเขามีเจตนาหรือเหตุจูงใจใดๆ ที่ไม่สอดคล้องกับความจริงหรือไม่  พวกเขาควรตรวจสอบด้วยว่ามีสิ่งใดในคำพูดหรือการกระทำของตนที่คัดค้านหรือกบฏต่อพระเจ้าหรือไม่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาควรตรวจสอบว่าพวกเขามีสำนึกในภาระและมีความจงรักภักดีเมื่อเป็นเรื่องของหน้าที่ของตนหรือไม่ พวกเขากำลังสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่ และพวกเขากำลังทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนหรือสุกเอาเผากินหรือไม่  การรู้จักตนเองยังหมายถึงการรู้ว่าคนเรามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน ข้อเรียกร้องที่ฟุ้งเฟ้อ หรือความเข้าใจผิดและความคับข้องใจเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่ และคนเรามีจิตใจที่จะนบนอบหรือไม่  การนี้หมายถึงการรู้ว่าคนเราสามารถแสวงหาความจริง ยอมรับจากพระเจ้า และมีหัวใจที่นบนอบพระเจ้าได้หรือไม่เวลาที่จัดการกับสถานการณ์ ผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียง  การนี้หมายถึงการรู้ว่าคนเรามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่ และคนเราเป็นผู้ที่รักความจริงหรือไม่  การนี้หมายถึงการรู้ว่าเมื่อมีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับคนเรา พวกเขานบนอบหรือพยายามที่จะโต้แย้งหรือไม่ และคนเราพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันหรือพึ่งพาการแสวงหาความจริงในการที่พวกเขาจัดการกับเรื่องเหล่านี้  ทั้งหมดนี้คือขอบเขตของการรู้จักตนเอง  คนเราควรทบทวนว่าตนรักความจริงและมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าหรือไม่โดยคำนึงถึงท่าทีของตนต่อสถานการณ์นานัปการและต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย  หากคนเราสามารถตระหนักรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและเห็นว่าตนมีการกบฏต่อพระเจ้ามากเพียงใด เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะเติบโตแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเป็นเรื่องของกิจธุระที่เกี่ยวกับการที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้า คนเราควรทบทวนว่าตนมีมโนคติอันหลงผิด ความยำเกรง หรือการนบนอบหรือไม่ในเวลาที่ตนปฏิบัติต่อพระนามและการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตนมีท่าทีเช่นไรต่อเรื่องของความจริง  คนคนหนึ่งควรรู้ข้อขาดตกบกพร่องของตน วุฒิภาวะของตน และรู้ว่าตนมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ ตลอดจนรู้ว่าการไล่ตามเสาะหาของตนและเส้นทางที่ตนเดินนั้นถูกต้องและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่  เหล่านี้คือสิ่งทั้งปวงที่ผู้คนควรรู้  โดยสรุปแล้ว แง่มุมนานัปการของการรู้จักตนเองนั้นโดยพื้นฐานแล้วประกอบด้วยการรู้ดังต่อไปนี้: การรู้ว่าขีดความสามารถของคนเรานั้นสูงหรือต่ำ การรู้เกี่ยวกับลักษณะนิสัยของคนเรา การรู้เกี่ยวกับเจตนาและเหตุจูงใจที่คนเรามีในการกระทำของตน การรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ธรรมชาติที่คนเราเผยออกมา การรู้เกี่ยวกับการเลือกชอบและการไล่ตามเสาะหาของคนเรา การรู้เกี่ยวกับเส้นทางที่คนเราเดิน การรู้เกี่ยวกับทัศนะของคนเราต่อสิ่งทั้งหลาย การรู้เกี่ยวกับทัศนคติที่คนเรามีต่อชีวิตและคุณค่า และการรู้เกี่ยวกับท่าทีที่คนเรามีต่อพระเจ้าและความจริง  การรู้จักตนเองนั้นประกอบด้วยแง่มุมเหล่านี้เป็นหลัก

VII. การสำแดงนานัปการของผู้คนในการที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้า

เนื้อหาส่วนต่อไปในเรื่องของการเข้าสู่ชีวิตเกี่ยวข้องกับการสำแดงนานัปการของผู้คนในการที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น มีการมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า การเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระองค์และการตั้งป้อมระวังตัวจากพระองค์ การเรียกร้องจากพระองค์อย่างไม่สมเหตุสมผล การต้องการหลีกเลี่ยงพระองค์เป็นนิตย์ การไม่ชอบพระวจนะที่พระองค์ตรัส และการแสวงหาโอกาสที่จะพินิจพิเคราะห์พระองค์อยู่ร่ำไป  นอกจากนั้นยังมีการไม่สามารถมองออกหรือตระหนักถึงมหิทธานุภาพของพระเจ้า ตลอดจนการเก็บงำท่าทีของความสงสัยต่ออธิปไตย การจัดการเตรียมการ และสิทธิอำนาจของพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ และการขาดพร่องความรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ได้มีเพียงการล้มเหลวในการหลีกเลี่ยงหรือไม่ยอมรับการใส่ร้ายและการสบประมาทซึ่งผู้ไม่มีความเชื่อและโลกนำมาต่อต้านพระเจ้า แต่ในทางตรงกันข้าม กลับต้องการที่จะถามว่านั่นเป็นความจริงหรือข้อเท็จจริงหรือไม่  นี่ไม่ใช่การสงสัยพระเจ้าหรอกหรือ?  นอกจากการสำแดงเหล่านี้แล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่?  (การระแวงพระเจ้าและการทดสอบพระเจ้า)  (การที่คนเราพยายามเอาอกเอาใจพระเจ้า)  (การไม่ต้องการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า)  มีการไม่ต้องการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าในขณะเดียวกันก็สงสัยว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกที่สุดในหัวใจของผู้คนได้หรือไม่  (แล็วก็มีการต่อต้านพระเจ้าด้วย)  นี่ก็เป็นการสำแดงเช่นกัน—การต่อต้านพระเจ้าและการเอ็ดตะโรต่อต้านพระองค์  มีการใช้ท่าทีที่ดูหมิ่นและดูถูกเหยียดหยามในการปฏิบัติต่อพระเจ้า พูดคุยกับพระองค์ และติดต่อสัมพันธ์กับพระองค์  มีสิ่งอื่นอีกหรือไม่?  (การทำตัวสุกเอาเผากินกับพระเจ้าและหลอกลวงพระองค์)  (การพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า)  มีการไม่เคยนบนอบหรือแสวงหาความจริงเมื่อเผชิญกับเรื่องทั้งหลาย และการโต้เถียงแทนตนเองและการพร่ำบ่นอยู่เป็นนิตย์  (นอกจากนั้นยังมีการตัดสินและการสบประมาทพระเจ้า)  (การแย่งชิงสถานะกับพระเจ้า)  (การต่อรองและการเบียดเบียนพระเจ้า)  (การไม่ยอมรับ การปฏิเสธ และการทรยศพระเจ้า)  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นปัญหาสำคัญ เป็นสภาวะและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานัปการที่เกิดขึ้นในการที่ผู้คนปฏิบัติต่อพระเจ้า  โดยพื้นฐานแล้วสิ่งเหล่านี้คือการสำแดงนานัปการถึงวิธีที่ผู้คนปฏิบัติต่อพระเจ้า

VIII. ท่าทีและการสำแดงนานัปการของผู้คนในการที่พวกเขาปฏิบัติต่อความจริง

เนื้อหาเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่งก็คือวิธีที่ผู้คนปฏิบัติต่อความจริง  ในแง่มุมนี้มีการสำแดงใดบ้าง?  มีการปฏิบัติต่อความจริงในฐานะทฤษฎีหรือคำขวัญ ในฐานะข้อบังคับ หรือในฐานะเงินทุนสำหรับการอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตและสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง  โปรดกล่าวเพิ่มเติมไปจากนี้  (การปฏิบัติต่อความจริงในฐานะการค้ำชูฝ่ายวิญญาณ)  มีการปฏิบัติต่อความจริงในฐานะการค้ำชูฝ่ายวิญญาณเพื่อตอบสนองความต้องการฝ่ายวิญญาณของคนเรา  (การไม่ยอมรับความจริงและการรังเกียจความจริง)  นี่คือท่าทีต่อความจริง  (การคิดว่าพระวจนะของพระเจ้ามีความมุ่งหมายเพื่อเปิดโปงผู้อื่น พระวจนะของพระเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง และการมองว่าตนเองเป็นผู้แตกฉานในเรื่องของความจริง)  เจ้าอธิบายการสำแดงนี้ได้เหมาะเจาะทีเดียว  ผู้คนที่มีการสำแดงเช่นนี้เชื่อว่าพวกเขาเข้าใจความจริงทุกประการที่พระเจ้าตรัสไว้ และเชื่อว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ของมนุษย์ที่พระองค์ทรงเปิดโปงนั้นอ้างอิงถึงผู้อื่น ไม่ใช่ตน  พวกเขามองเห็นว่าตนเองเป็นผู้แตกฉานในเรื่องของความจริง และมักจะใช้พระวจนะของพระเจ้าสั่งสอนผู้อื่น ราวกับว่าตัวพวกเขาเองไร้ซึ่งอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเป็นรูปจำแลงของความจริงและเป็นโฆษกของความจริงไปแล้ว  พวกเขาเป็นขยะประเภทใด?  พวกเขาต้องการเป็นรูปจำแลงของความจริง—พวกเขาเหมือนกับเปาโลไม่มีผิดเลยมิใช่หรือ?  เปาโลไม่ยอมรับว่าองค์พระเยซูเจ้าเป็นพระคริสต์และพระเจ้า ตัวเขาเองต้องการเป็นพระคริสต์และพระบุตรของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ก็เหมือนกับเปาโล พวกเขาเป็นประเภทเดียวกันกับเปาโล พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์  มีอย่างอื่นอีกหรือไม่?  (การปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าในฐานะคำพูดของคนธรรมดา ไม่ใช่ในฐานะความจริงที่ควรปฏิบัติ และการมีท่าทีที่เมินเฉยและฉาบฉวยต่อพระวจนะของพระเจ้า)  การไม่ปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าในฐานะความจริงที่ควรยอมรับและปฏิบัติ แต่กลับปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านั้นในฐานะคำพูดของมนุษย์—นี่เป็นการสำแดงหนึ่ง  (การเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้ากับปรัชญาและทฤษฎีของผู้ไม่มีความเชื่อ)  มีการเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้ากับปรัชญา การปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าในฐานะเครื่องประดับหรือคำพูดที่กลวงเปล่าในขณะที่มองว่าคำกล่าวซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของผู้คนที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่นั้นเป็นความจริง และการปฏิบัติต่อความรู้ วัฒนธรรมดั้งเดิม และประเพณีต่างๆ ในฐานะความจริงและแทนที่พระวจนะของพระเจ้าด้วยสิ่งเหล่านั้น  ผู้คนที่แสดงออกถึงการสำแดงเช่นนี้จะพูดไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับการต้องการปฏิบัติความจริงรวมทั้งเป็นพยานให้และถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ทั้งหลาย แต่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขากลับเลื่อมใสผู้คนเหล่านั้นที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่จากโลกปุถุชน และเทิดทูนแม้กระทั่งเปาบุ้นจิ้นแห่งราชวงศ์ซ่งในสมัยโบราณ โดยกล่าวว่า “เขาเป็นผู้พิพากษาที่เคร่งครัดและเที่ยงธรรมจริงๆ  เขาไม่เคยตัดสินอย่างไร้ความยุติธรรม ไม่เคยมีความผิดพลาดด้วยมือของเขาในเรื่องของความยุติธรรม หรือไม่เคยมีวิญญาณใดได้รับความอยุติธรรมจากคมดาบของเพชฌฆาตของเขา!”  นี่คือการเทิดทูนและการเลื่อมใสคนที่มีชื่อเสียงและนักปราชญ์มิใช่หรือ?  การพยายามหลอกให้หลงเชื่อว่าคำพูดและการกระทำของผู้คนที่มีชื่อเสียงเป็นความจริงก็คือการใส่ร้ายและสบประมาทความจริง!  ในคริสตจักร ผู้คนเช่นนี้พูดมากมายเกี่ยวกับการต้องการที่จะปฏิบัติความจริงและถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้า แต่สิ่งที่พวกเขาคิดในจิตใจของตนและมักจะกล่าวออกมานั้นเป็นเพียงคำกล่าวพื้นบ้านและสุภาษิตเท่านั้น ซึ่งพวกเขาแสดงออกในลักษณะที่ฝึกฝนมาอย่างเต็มที่และคล่องแคล่วมาก  สิ่งเหล่านี้อยู่บนริมฝีปากของพวกเขาเสมอและพูดออกมาจากปากของพวกเขาอย่างง่ายดาย  พวกเขาไม่เคยพูดสักคำเกี่ยวกับความเข้าใจที่ตนได้จากการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และยิ่งน้อยลงไปกว่านั้นก็คือการที่พวกเขาเคยกล่าวว่าพระวจนะใดของพระเจ้าเป็นหลักเกณฑ์หรือพื้นฐานสำหรับการกระทำและการประพฤติปฏิบัติของตน  ทั้งหมดที่พวกเขาพูดออกมานั้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน อย่างเช่น “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น”  “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  “ผู้คนที่น่าเวทนามีบางสิ่งที่น่ารังเกียจเสมอ”  “จงเหลือโอกาสไว้ให้ตัวเองเปลี่ยนใจบ้าง”  “ต่อให้ฉันไม่ได้สัมฤทธิ์ผลใดๆ ฉันก็ได้สู้ทนกับความยากลำบาก หากไม่ใช่ความยากลำบาก ก็เป็นความเหนื่อยล้า”  “อย่าเผาสะพานหลังจากข้ามแม่น้ำ อย่าฆ่าลาหลังจากเสร็จงานโม่แป้ง”  “ลงโทษผู้คนอย่างหนักเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น เชือดไก่ให้ลิงดู” และ “เจ้าหน้าที่คนใหม่ย่อมกระตือรือร้นที่จะสร้างความประทับใจ” เป็นต้น—ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขากล่าวเป็นความจริงเลย  บางคนจะท่องจำคำพูดของกวีร่วมสมัยและนำคำพูดเหล่านั้นมาแสดงไว้ในส่วนของความคิดเห็นในวีดิทัศน์ของพระนิเวศของพระเจ้า  นี่เป็นการสำแดงถึงการขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมิใช่หรือ?  คำพูดเหล่านั้นเป็นความจริงหรือไม่?  คำพูดเหล่านั้นสัมพันธ์กับความจริงหรือไม่?  บางคนมักจะกล่าวสิ่งทั้งหลายอย่างเช่น “มีพระเจ้าองค์หนึ่งสถิตอยู่เหนือคุณสามฟุต” และ “ความดีและความชั่วจะได้รับการตอบแทนในท้ายที่สุด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร”  ถ้อยแถลงเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่?  (ไม่)  ถ้อยแถลงเหล่านี้มาจากที่ใด?  ถ้อยแถลงเหล่านี้ถูกพบอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  ถ้อยแถลงเหล่านี้มาจากวัฒนธรรมของชาวพุทธและไม่เกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าเลย  แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ผู้คนก็มักจะพยายามดึงถ้อยแถลงเหล่านี้ขึ้นไปสู่ระดับของความจริง นี่เป็นการสำแดงถึงการขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  บางคนมีความแน่วแน่อยู่เล็กน้อยที่จะสละตนเองเพื่อพระเจ้า และพวกเขาก็กล่าวว่า “พระนิเวศของพระเจ้าเลื่อนขั้นให้ฉันแล้ว พระเจ้าทรงยกชูฉันขึ้นแล้ว ดังนั้นฉันต้องใช้ชีวิตตามคำกล่าวที่ว่า “ส่วนบุรุษย่อมสละชีพเพื่อผู้ที่เข้าใจตน”  เจ้าไม่ใช่บุรุษ และพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงขอให้เจ้าสละชีวิตของเจ้า  เวลาที่ทำหน้าที่ จำเป็นต้องมีสำนึกแห่งความกล้าหาญสูงถึงเพียงนั้นหรือไม่?  ตอนนี้ที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าไม่สามารถลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยซ้ำ มีความหวังบ้างหรือไม่ว่าเจ้าจะทำเช่นนั้นตอนที่ตายไปแล้ว?  แล้วเจ้าจะทำหน้าที่ของตนอย่างไร?  คนอื่นกล่าวว่า “ฉันเป็นคนจงรักภักดีตามธรรมชาติ ฉันเป็นคนที่กล้าหาญและมีความปรารถนาอันแรงกล้า  ฉันชอบที่จะเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาเสี่ยงเพื่อเพื่อนของฉัน  กับพระเจ้าก็เหมือนกัน ในเมื่อพระเจ้าทรงเลือก ทรงเลื่อนขั้น และทรงยกชูฉันขึ้นแล้ว ฉันก็ต้องตอบแทนพระคุณของพระเจ้า  ฉันจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาเสี่ยงเพื่อพระเจ้าอย่างแน่นอน แม้กระทั่งความตายของฉัน!”  นี่เป็นความจริงหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะไว้มากมายนัก เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยจดจำพระวจนะเหล่านั้นสักประการเดียว?  ตลอดเวลาสิ่งที่พวกเขาสามัคคีธรรมก็มีเพียงการกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งอื่นอีก  ส่วนบุรุษย่อมสละชีพเพื่อผู้ที่เข้าใจตน และคนเราต้องเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาเสี่ยงเพื่อเพื่อนของตนและต้องจงรักภักดี”  พวกเขาไม่สามารถพูดแม้กระทั่งวลีที่ว่า “ตอบแทนความรักของพระเจ้า”  หลังจากฟังคำเทศนาและอ่านพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีนัก พวกเขาก็ไม่รู้ความจริงสักประการเดียว และพวกเขาก็ไม่สามารถพูดคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณได้สักสองคำด้วยซ้ำไป—นี่คือความเข้าใจและคำจำกัดความของความจริงที่พวกเขามีอยู่ภายใน  จงบอกเราเถิดว่า นี่ไม่น่าเวทนาหรอกหรือ?  นี่ไม่น่าหัวเราะหรอกหรือ?  นี่คือการสำแดงถึงการขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมิใช่หรือ?  หลังจากฟังคำเทศนามามากมายนัก พวกเขาก็ไม่เข้าใจความจริง และไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร ทว่าพวกเขากลับใช้คำพูดเยี่ยงมาร ที่น่าเยาะเย้ย ไร้สาระ และน่าหัวเราะอย่างยิ่งเหล่านั้นเพื่อแทนที่ความจริงอย่างไร้ยางอาย  ไม่เพียงแต่การคิดและการทำความเข้าใจภายในของพวกเขาจะเป็นเช่นนี้เท่านั้น พวกเขายังเผยแพร่และสอนเรื่องนี้ให้แก่ผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอ โดยทำให้ผู้อื่นมีการทำความเข้าใจที่เหมือนกับพวกเขา  การนี้แบกธรรมชาติของการก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนมาด้วยบ้างมิใช่หรือ?  ดูเหมือนว่าผู้คนเหล่านี้ที่ไม่เข้าใจความจริงและขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นภัยอันตราย พวกเขาสามารถก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน ตลอดจนทำสิ่งที่น่าเยาะเย้ยและไร้สาระได้ทุกที่และทุกเวลา  เกี่ยวกับวิธีที่ผู้คนปฏิบัติต่อความจริงนั้น มีการสำแดงอื่นใดอีกบ้าง?  (การดูหมิ่นความจริง การยอมรับเฉพาะสิ่งที่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของตนเอง และการปฏิเสธและการไม่ยอมที่จะปฏิบัติสิ่งที่ไม่ตรงกับมโนคติเหล่านั้น)  การยอมรับและการปฏิบัติเฉพาะสิ่งที่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของตนเอง และไม่ยอมรับและกล่าวโทษสิ่งที่ไม่ตรงกับมโนคติเหล่านั้นอย่างเท่าเทียมกัน—นี่เป็นท่าทีหนึ่ง  (การไม่เชื่อว่าความจริงสามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนหรือเปลี่ยนแปลงตนเองได้)  การไม่ยอมรับหรือไม่เชื่อในความจริงก็เป็นท่าทีหนึ่งเช่นกัน  การสำแดงอีกประการหนึ่งก็คือการที่ท่าทีและทัศนคติที่คนเรามีต่อความจริงเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ สภาพแวดล้อม และความรู้สึกของคนเรา  สำหรับผู้คนเหล่านี้ เมื่อพวกเขารู้สึกดีและรื่นเริงมากในวันหนึ่ง พวกเขาก็คิดว่า “ความจริงนั้นยอดเยี่ยม!  ความจริงคือความเป็นจริงของทุกสรรพสิ่งที่เป็นบวก เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ในการปฏิบัติและถ่ายทอด”  เมื่ออารมณ์ของพวกเขาไม่ดี พวกเขาก็คิดว่า “ความจริงคืออะไร?  การปฏิบัติตามความจริงมีประโยชน์อะไรบ้าง?  การนี้สามารถสร้างรายได้ให้คุณได้หรือไม่?  ความจริงสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง?  หากคุณปฏิบัติความจริง จะมีอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง?  ฉันจะไม่ปฏิบัติความจริง—การนี้ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างไร?”  ธรรมชาติเยี่ยงปีศาจของพวกเขาผุดออกมา  การสำแดงเหล่านี้เป็นอุปนิสัยและสภาวะนานัปการที่ผู้คนเผยให้เห็นในวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อความจริง  มีการสำแดงที่เฉพาะเจาะจงอื่นใดอีกบ้าง?  (การไม่ปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าในฐานะความจริงหรือชีวิต แต่กลับวิเคราะห์และพินิจพิเคราะห์พระวจนะของพระเจ้า)  มีการเข้าหาพระวจนะของพระเจ้าด้วยท่าทีทางวิชาการ โดยวิเคราะห์และพินิจพิเคราะห์ความจริงอยู่เสมอบนพื้นฐานของความรู้ของคนเรา และไม่มีท่าทีใดๆ ของการยอมรับและนบนอบ  สิ่งเหล่านี้เป็นความลำบากยากเย็นในการที่ผู้คนปฏิบัติต่อความจริงไม่มากก็น้อย ซึ่งสามารถให้คำจำกัดความและทำเป็นหัวข้อสรุปได้

เนื้อหาของพวกเราที่เกี่ยวกับความลำบากยากเย็นในการเข้าสู่ชีวิตนั้นมีทั้งหมดแปดแง่มุม และสิ่งเหล่านี้เป็นความลำบากยากเย็นหลักๆ ซึ่งสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตและการสัมฤทธิ์ความรอด  สภาวะและอุปนิสัยทั้งหลายที่ผู้คนเผยออกมาภายในแปดแง่มุมนี้ล้วนถูกเปิดโปงอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าทรงวางข้อกำหนดให้ผู้คนและทรงชี้เส้นทางแห่งการปฏิบัติให้แก่พวกเขา  หากผู้คนสามารถทุ่มเทความพยายามให้แก่พระวจนะของพระเจ้า ใช้ท่าทีที่จริงจัง ท่าทีแห่งความปรารถนา และแบกรับภาระในการเข้าสู่ชีวิตของตนเอง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมสามารถค้นพบความจริงที่เกี่ยวข้องในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะแก้ปัญหาทั้งแปดประเภทนี้ได้ และมีเส้นทางแห่งการปฏิบัติสำหรับปัญหาแต่ละประเภท  ในบรรดาปัญหาเหล่านี้ไม่มีปัญหาใดเป็นความท้าทายที่แก้ไขไม่ได้หรือเป็นเรื่องลี้ลับประเภทใด  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่แบกรับภาระใดเลยในการเข้าสู่ชีวิตของตนเอง และไม่สนใจความจริงหรือการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเลย เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะชัดเจนและถูกต้องแม่นยำเพียงใด พระวจนะเหล่านั้นก็จะยังคงเป็นเพียงข้อความและคำสอนสำหรับเจ้า  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาหรือปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะมีประเด็นปัญหาใด เจ้าก็จะไม่สามารถหาทางแก้ไขได้ ซึ่งจะทำให้เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเจ้าในการบรรลุความรอด  บางทีเจ้าจะยังคงอยู่ในช่วงระยะของการเป็นคนออกแรงทำงานไปตลอดกาล หรือบางทีเจ้าจะยังคงอยู่ในช่วงระยะของการไม่สามารถบรรลุความรอดไปตลอดกาล และถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์และทรงกำจัดออกไป

ผลที่เกิดขึ้นและผลสืบเนื่องอันเลวร้ายจากงานของผู้นำเทียมเท็จ

เมื่อกล่าวถึงเรื่องของความลำบากยากเย็นทั้งปวงที่ผู้คนเผชิญในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา ผู้นำเทียมเท็จทำสิ่งใด?  เมื่อผู้คนเผชิญหน้ากับสภาวะประเภทใดก็ตามซึ่งอยู่ภายในประเภทหนึ่งในบรรดาความลำบากยากเย็นทั้งแปดประเภทนี้ ผู้นำเทียมเท็จสามารถระบุสภาวะนี้และใช้พระวจนะของพระเจ้าและความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ของตนเองในการแก้ปัญหาของผู้คนเหล่านี้ได้หรือไม่?  น่าเสียดายที่เวลาผู้คนเผชิญกับความลำบากยากเย็น ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้แค่มีส่วนร่วมในความพยายามอย่างผิวเผินเท่านั้น โดยให้เพียงคำกล่าวบางประการที่ตื้นเขิน ห่างไกลจากจุดหมาย และไม่ตรงประเด็น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยและความลำบากยากเย็นที่แท้จริงของพวกเขาเพื่อที่จะจัดการกับประเด็นปัญหาของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น ผู้นำเทียมเท็จมักจะกล่าวว่า “คุณไม่รักความจริงเลย!”  นี่คือวิธีที่พวกเขาพยายามแก้ไขความลำบากยากเย็นที่แท้จริงของผู้คนและระบุแก่นแท้ของผู้คน  พวกเขาไม่สามารถช่วยผู้คนให้ค้นหาคำตอบในพระวจนะของพระเจ้าได้แม้กระทั่งสำหรับประเด็นปัญหาหรือสภาวะเล็กๆ น้อยๆ และพวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาหรือสภาวะดังกล่าวได้โดยการสามัคคีธรรมความจริง  ตรงกันข้ามพวกเขากลับกล่าวบางอย่างที่เป็นคำสอนและไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่พวกเขาก็ฉวยโอกาสจากปัญหาและทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เพื่อที่จะทำให้ผู้คนหมดความสำคัญอย่างสิ้นเชิงโดยไม่ให้โอกาสพวกเขาในการกลับใจ  ในความเป็นจริง หากใครบางคนมีความสามารถในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ พวกเขาย่อมจะสามารถค้นหาการเปิดโปงของพระเจ้าเกี่ยวกับสภาวะในแปดแง่มุมนี้ในพระวจนะของพระองค์ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องยาก  อย่างไรก็ตาม เพราะว่าบรรดาผู้นำเทียมเท็จขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ มีขีดความสามารถที่ย่ำแย่ และขาดความสามารถในการทำความเข้าใจ ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าผู้นำเทียมเท็จบางคนเพียงแค่มีใจกระตือรือร้น กระตือรือร้นที่จะกระทำการ หน้าซื่อใจคด และวางตัวว่าเป็นผู้คนฝ่ายวิญญาณ พวกเขาจึงไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาของผู้อื่นได้เลย  เมื่อเป็นเรื่องของประเด็นปัญหานานัปการที่ผู้คนเผชิญ ผู้นำเทียมเท็จจะแนะนำพวกเขา โดยกล่าวว่า “พระราชกิจของพระเจ้าได้ก้าวหน้ามาไกลถึงเพียงนี้แล้ว เพราะเหตุใดคุณจึงยังคงอิจฉาและโต้เถียงกับผู้อื่นอยู่?  คุณมีเวลาสำหรับเรื่องนั้นหรือ?  การต่อสู้กันในเรื่องนั้นมีประโยชน์อะไร?  คุณไม่สามารถดำรงชีวิตได้โดยไม่ต่อสู้กันในเรื่องนั้นใช่หรือไม่?”  “พระราชกิจของพระเจ้ามาไกลถึงเพียงนี้แล้ว แต่คุณยังคงอ่อนไหวมาก และคุณก็ไม่สามารถปล่อยมือได้  ไม่ช้าก็เร็วความรู้สึกเหล่านี้จะสร้างปัญหาให้คุณอย่างมาก!”  “พระราชกิจของพระเจ้ามาไกลถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดคุณจึงยังคงใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องอาหารและเสื้อผ้ามากนัก?  คุณไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าชุดหนึ่งใช่หรือไม่?  คุณไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ได้ซื้อรองเท้าหนังคู่หนึ่งใช่หรือไม่?  คุณควรคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและหน้าที่ของคุณให้มากขึ้น!”  “เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับคุณ จงอธิษฐานถึงพระเจ้าให้มากขึ้น  ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ มีบทเรียนหนึ่งก็คือการเรียนรู้ที่จะนบนอบพระเจ้าและเข้าใจอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์”  คำแนะนำนี้สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงได้หรือไม่?  ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลย  มิฉะนั้นพวกเขาก็พูดว่า “ผู้คนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง  โดยการเป็นคนอ่อนไหว คุณก็กำลังกบฏต่อพระเจ้ามิใช่หรือ?  โดยการไม่รู้จักตนเอง คุณก็กำลังกบฏต่อพระเจ้ามิใช่หรือ?”  ไม่ว่าปัญหาเฉพาะหน้าจะเป็นอะไร ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่รู้วิธีที่จะสามัคคีธรรมความจริงเพื่อที่จะชำแหละแก่นแท้หรือสภาวะของบุคคล พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าสภาวะของผู้คนเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วจากนั้นก็สามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาของพวกเขาบนพื้นฐานของสภาวะของพวกเขา โดยให้ความช่วยเหลือและการตระเตรียมที่เหมาะควร  ตรงกันข้าม พวกเขากลับพูดสิ่งเดียวกันเป็นนิตย์ คือ “จงรักพระเจ้า!  จงพยายามอย่างหนักในการทำหน้าที่ของคุณ คุณต้องจงรักภักดีต่อพระเจ้า และอธิษฐานให้มากขึ้นเมื่อคุณเผชิญกับปัญหา!”  “ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายในอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า!”  “หากคุณไม่แสวงหาความจริง นั่นคงจะไม่ดี  คุณต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน แต่ผู้คนก็ไม่รักความจริงเลย!”  “ความวิบัติใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว จุดจบของทุกสรรพสิ่งใกล้เข้ามาแล้ว และพระราชกิจของพระเจ้าก็ใกล้จะสิ้นสุด แต่คุณก็ไม่กระวนกระวาย  มนุษย์มีเวลาเหลืออีกกี่วัน?  ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงแล้ว!”  ผู้นำเทียมเท็จเพียงแต่พูดคำกล่าวที่ห่างไกลจากจุดหมายเหล่านี้ โดยไม่เคยวิเคราะห์และชำแหละปัญหานานัปการอย่างเฉพาะเจาะจง หรือให้การตระเตรียมหรือความช่วยเหลือที่แท้จริงแก่ผู้คน  พวกเขาอาจหาพระวจนะของพระเจ้าสักสองบทตอนมาให้ผู้คนอ่าน หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ให้คำแนะนำที่ไม่ตรงประเด็นเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านั้น  ในที่สุดจะเกิดอะไรขึ้น?  ภายใต้ความเสียหายที่เกิดจากผู้นำเทียมเท็จ ผู้คนไม่เพียงแต่ไม่รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่รู้ด้วยว่าลักษณะนิสัยของตนเองเป็นเช่นไร พวกเขาเป็นคนประเภทใด และพวกเขามีแก่นแท้ธรรมชาติเป็นอย่างไร พวกเขาไม่รู้ชัดเจนว่าขีดความสามารถของตนเองเป็นเช่นไร พวกเขามีความสามารถในการทำความเข้าใจหรือไม่ หรือพวกเขาอยู่บนเส้นทางใด  พวกเขายังคงยึดถือสิ่งทั้งหลายที่เป็นทางโลกและเป็นกระแสนิยมซึ่งพวกเขารักและให้คุณค่าในหัวใจของตน และไม่มีใครช่วยให้พวกเขาเข้าใจ ชำแหละ และวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้  เหล่านี้คือผลสืบเนื่องจากงานของผู้นำเทียมเท็จ  เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น พวกเขาก็โจมตีผู้คน โดยกล่าวโทษผู้คนตามอำเภอใจและกล่าวหาพวกเขาอย่างผิดๆ หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ให้คำแนะนำและบทเรียนที่ห่างไกลจากจุดหมายแก่ผู้คน หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ใช้พระวจนะของพระเจ้าในการเปรียบเทียบที่ไม่ถูกต้องและเป็นการบังคับจัดอันดับ  บรรดาผู้คนที่ได้ยินสิ่งเหล่านี้ก็คิดว่า “ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันเข้าใจ แต่ก็เหมือนว่าฉันไม่เข้าใจด้วย—เหมือนกับว่าฉันอาจจับความเข้าใจสิ่งที่พวกเขากล่าวแล้ว แต่ฉันก็อาจจะยังไม่ได้จับความเข้าใจด้วย  เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ทุกสิ่งที่ผู้นำกล่าวนั้นถูกต้อง แต่เพราะเหตุใดฉันจึงไม่สามารถกำจัดประเด็นปัญหานี้ในหัวใจของฉันได้?  เหตุใดฉันจึงไม่สามารถหาทางแก้ไขความลำบากยากเย็นนี้ได้?  เหตุใดฉันจึงยังคงคิดในหนทางนี้และต้องการทำสิ่งเหล่านี้?  เหตุใดฉันจึงไม่สามารถเข้าใจว่าแก่นแท้และรากเหง้าของประเด็นปัญหานี้อยู่ที่ใด?  ผู้นำบอกว่าฉันไม่รักความจริง และฉันก็ยอมรับว่าฉันไม่รักความจริง แต่เพราะเหตุใดฉันจึงไม่สามารถออกจากสภาวะนี้ได้?”  ผู้นำเหล่านี้มีผลอะไรบ้างหรือไม่?  แม้ว่าพวกเขาจะพูดและทำงานไปแล้ว การนั้นล้วนเป็นความสับสนอันใหญ่หลวงอย่างยิ่ง และไม่มีผลใดๆ ที่ควรจะเกิดขึ้นเลย  พวกเขาไม่ได้ทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า เปรียบเทียบตนเองกับพระวจนะของพระเจ้าได้ เข้าใจสภาวะของตนได้อย่างถูกต้องแม่นยำ หรือแก้ไขความลำบากยากเย็นของตนเองได้  สำหรับบรรดาผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้และไร้ยางอายซึ่งไม่ยอมรับความจริงเลย เมื่อพวกเขาได้ยินผู้นำเหล่านี้ตักเตือนตนอย่างจริงจังและอดทน พวกเขาก็รู้สึกไม่ชอบใจอย่างยิ่ง  ในเวลาเดียวกัน พวกเขายังท่องบ่นคำพูดที่ผู้นำเหล่านี้กล่าวราวกับนกแก้วนกขุนทอง—หลังจากที่ผู้นำกล่าวตอนแรกจบแล้ว ผู้คนเหล่านี้ก็สามารถพูดตอนถัดไปต่อได้ และพวกเขาก็เริ่มอดรนทนไม่ได้อย่างรวดเร็ว โดยกล่าวว่า “อย่าพูดต่อเลย  ฉันเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณกำลังพูดเป็นอย่างดีแล้ว  หากคุณพูดต่อ ฉันจะรู้สึกคลื่นไส้และอยากจะอาเจียน!”  ผู้นำกล่าวต่อไปว่า “คุณไม่รักความจริงเลย  หากคุณรักความจริง คุณคงจะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันกำลังพูด”  พวกเขาก็โต้กลับว่า “ไม่ว่าฉันจะรักความจริงหรือไม่ คุณก็ได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ซ้ำมาหลายครั้งมากแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ในคำพูดเหล่านี้ และฉันก็เบื่อที่จะฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว!”  ผู้นำเทียมเท็จทำงานในหนทางนี้คือการยึดมั่นในข้อบังคับอย่างเคร่งครัดและติดยึดกับบางวลี โดยล้มเหลวในการแก้ไขความลำบากยากเย็นที่แท้จริงของผู้คนโดยสิ้นเชิง  หากใครบางคนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ผู้นำเทียมเท็จก็กล่าวว่าบุคคลนั้นไม่รู้จักตนเอง  หากใครบางคนมีความเป็นมนุษย์ที่ย่ำแย่ ไม่สามารถเข้ากับผู้คนได้ และขาดพร่องสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่เป็นปกติ ผู้นำเทียมเท็จก็กล่าวว่าทั้งพวกเขาและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องต่างก็ผิด สั่งสอนทั้งสองคน พลางตำหนิทั้งสองคน โดยกล่าวว่า “เอาล่ะ ตอนนี้พวกคุณทั้งสองคนเสมอกันแล้ว  พวกเราจำเป็นต้องมีความเป็นธรรมและมีเหตุผลในการกระทำของพวกเรา ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่มีอคติใดๆ  ใครก็ตามที่พูดอย่างมีเหตุผลย่อมรักความจริง ในขณะที่บรรดาผู้ที่พูดอย่างไม่มีเหตุผลควรจะปิดปากของตนไว้ พูดให้น้อยลงและทำให้มากขึ้นในอนาคต  ใครก็ตามที่พูดบางสิ่งที่ถูกต้องควรได้รับการฟังให้มากขึ้น”  นี่เป็นการแก้ปัญหาหรือไม่?  นี่เป็นการทำงานหรือไม่?  นี่ก็เหมือนกับการเอาใจเด็กและหลอกลวงผู้คนเท่านั้นเองมิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จอาจดูเหมือนว่าพวกเขากำลังทำงานยุ่ง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ปัญหาของใครได้เลย  งานของพวกเขามีประสิทธิผลเพียงใด?  งานของพวกเขานั้นไร้ค่าและไร้สาระ!  เหล่านี้เป็นการกระทำของผู้ไม่มีความเชื่อ

ตลอดเวลาที่ผู้คนมีประสบการณ์กับการเชื่อในพระเจ้า พวกเขามักจะเผชิญกับความลำบากยากเย็นบางอย่าง และผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านั้นได้เลย  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถแม้กระทั่งแก้ไขความลำบากยากเย็นที่เห็นได้ชัดบางประการซึ่งแก้ไขได้ด้วยคำพูดเพียงสองสามคำ และพวกเขายังทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่และเปลี่ยนประเด็นปัญหาเล็กน้อยทุกประเด็นให้กลายเป็นเรื่องใหญ่อีกด้วย  บางคนไม่ใช่คนชั่ว เพียงแต่ในแง่ของความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้น พวกเขาขาดพร่องมารยาทเล็กน้อย ไม่เข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติขั้นพื้นฐาน และเป็นคนชั้นต่ำนิดหน่อย  ผู้นำเทียมเท็จนำประเด็นปัญหาเล็กน้อยเหล่านี้มาและทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยให้พี่น้องชายหญิงมาหารือ วิพากษ์วิจารณ์ และกล่าวโทษเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ โดยทำทั้งหมดนี้ด้วยความมุ่งหวังที่จะสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับผู้คนเหล่านั้น เพื่อให้พวกเขาไม่กล้าปฏิบัติตนในหนทางนั้นอีก  นี่เป็นเรื่องที่จำเป็นหรือไม่?  นี่เป็นหนทางในการแก้ไขปัญหาหรือไม่?  นี่เป็นการใช้ความจริงในการแก้ไขประเด็นปัญหาหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ตราบเท่าที่ไม่มีประเด็นปัญหาใหญ่ในความเป็นมนุษย์ของใครบางคน และบุคคลคนนั้นไม่ใช่คนชั่วและสามารถสละตนเองอย่างจริงใจได้ เช่นนั้นแล้ว ภายใต้สภาพการณ์ซึ่งพวกเขากำลังยอมรับ นั่นก็เพียงพอที่จะทำงานภายในตัวพวกเขาต่อไป โดยให้การกระตุ้นเตือน ความช่วยเหลือ การสามัคคีธรรม และการเกื้อหนุนแก่พวกเขา  หากผู้คนประพฤติตนในหนทางนี้อย่างสม่ำเสมอ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีปัญหากับลักษณะนิสัยหรืออุปนิสัยอันชั่วช้าของตน และเช่นนั้นการตัดแต่งและการบ่มวินัยอย่างเข้มงวดจึงมีความจำเป็น  หากพวกเขาไม่ยอมที่จะยอมรับการนี้ หน้าที่ของพวกเขาก็ควรจะถูกระงับ หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ควรถูกเอาตัวออกไป  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และพวกเขาก็จะไม่ปฏิบัติตนในหนทางนี้ เมื่อพวกเขาเผชิญกับคนชั่วดังกล่าว พวกเขาก็ปฏิบัติต่อคนชั่วเหล่านั้นในฐานะพี่น้องชายหญิง โดยให้ความช่วยเหลือและการเกื้อหนุนแก่พวกเขา  นี่เป็นการทำงานหรือไม่?  นี่เป็นการใช้ความจริงแก้ไขประเด็นปัญหาหรือไม่?  (ไม่ใช่)  งานของผู้นำเทียมเท็จเป็นเรื่องไร้สาระ ไร้เดียงสาเหมือนเด็ก และน่าหัวเราะ และไม่มีอะไรเกี่ยวกับงานนั้นที่ตรงกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขาเป็นคนธรรมดา พวกเขาขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และปฏิบัติตนอย่างบุ่มบ่ามโดยปราศจากหลักธรรม  ในทำนองเดียวกัน พวกเขาก็ไม่สามารถรู้เท่าทันหรือจับความเข้าใจความลำบากยากเย็นนานัปการที่ผู้คนเผชิญในการเข้าสู่ชีวิตของตนได้อย่างถูกต้องแม่นยำ  ผลที่ตามมาก็คือความพยายามในการแก้ปัญหาของพวกเขาจึงดูจะเซ่อซ่า เขลา และเหมือนกับความพยายามของคนธรรมดา  บรรดาผู้ที่ยอมรับความช่วยเหลือของพวกเขาก็รู้สึกอึดอัดใจและเก็บกดเช่นกัน  เมื่อเวลาผ่านไป บางคนถึงกับสูญสิ้นความเชื่อ โดยกล่าวว่า “ผู้นำได้สามัคคีธรรมกับฉันมาหลายครั้งนัก แล้วเหตุใดฉันจึงไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย?  เหตุใดฉันจึงกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก?  นี่เป็นเพราะความเป็นมนุษย์ของฉันย่ำแย่เป็นพิเศษ และฉันไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดใช่หรือไม่?”  บางคนเก็บงำข้อสงสัยไว้ โดยกล่าวว่า “จิตวิญญาณของฉันมีบางสิ่งที่ผิดปกติหรือไม่?  มีวิญญาณชั่วทำงานอยู่ในตัวฉันหรือไม่? พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยฉันให้รอดหรอกหรือ?  นั่นหมายความว่าฉันไม่มีหวังใช่หรือไม่?”  เหล่านี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากงานของผู้นำเทียมเท็จ  ในงานของตน พวกเขาสับสนว่าสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง และพวกเขาก็ปฏิบัติตนในหนทางที่น่าเยาะเย้ย ไร้สาระ เขลา และเซ่อซ่า ซึ่งในท้ายที่สุดก็นำไปสู่การที่ความลำบากยากเย็นนานัปการซึ่งบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงเผชิญนั้นไม่ได้รับการแก้ไขในลักษณะที่ทันท่วงที  ด้วยเหตุนั้น เรื่องนี้จึงก่อให้เกิดความคิดลบและความอ่อนแอในตัวผู้คนเหล่านั้น ตลอดจนเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์  พวกเขากล่าวว่า “ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากมายนัก แล้วเหตุใดปัญหาของฉันจึงไม่สามารถแก้ไขได้?  พระวจนะของพระเจ้าสามารถช่วยผู้คนให้รอดและเปลี่ยนแปลงผู้คนได้จริงหรือไม่?”  หัวใจของพวกเขาก่อให้เกิดความสงสัย และพวกเขาก็ติดกับดักอยู่ในความสับสน  เพราะฉะนั้นเมื่อผู้นำเทียมเท็จทำงาน พวกเขาไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นบวกมากนัก แต่พวกเขาก่อให้เกิดสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบและเป็นผลร้ายมากมายทีเดียว  งานของพวกเขาไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการขจัดมโนคติอันหลงผิด ข้อสงสัย และการตัดสินที่ผู้คนมีต่อพระเจ้าเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามงานของพวกเขากลับเพิ่มความเข้าใจผิดและการตั้งป้อมระวังตนเองที่พวกเขามีต่อพระเจ้า  แม้กระทั่งหลังจากมีความเชื่อมาหลายปี ประเด็นปัญหาของผู้คนเหล่านี้ก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข  ในขณะที่พวกเขากำลังถูกผู้นำเทียมเท็จชักพาให้หลงผิดและชี้แนะอย่างผิดๆ ความเข้าใจผิดและการตั้งป้อมระวังตนเองที่พวกเขามีต่อพระเจ้าก็ยิ่งลึกล้ำลงไป  เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถบรรลุการเข้าสู่ชีวิตได้หรือไม่?

ความเข้าใจที่ผู้นำเทียมเท็จมีต่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกอย่างความจริงและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์นั้นสามารถมีอิทธิพลต่อทัศนคติและท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกของผู้คนจำนวนมาก  เวลาที่ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานใดๆ ก็เป็นเรื่องหนึ่ง—ทันทีที่พวกเขาเริ่มทำงาน ความเบี่ยงเบนก็ผุดขึ้นมาและผลสืบเนื่องอันเลวร้ายก็เกิดขึ้น  มีบรรยากาศที่ไม่ถูกควรเกิดขึ้นในคริสตจักรเหล่านี้ กล่าวคือมักจะมีการสร้างคำกล่าวที่ผิดและไร้สาระบางอย่าง และผู้คนที่นั่นก็ไม่เข้าใจคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณที่ถูกกล่าวถึงอยู่เนืองๆ ในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่รู้วิธีนำคำศัพท์เหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ ในขณะที่สิ่งที่เรียกกันว่าคำศัพท์และคำกล่าวฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมักจะถูกกล่าวโดยผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ก็ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวางทั่วคริสตจักรเหล่านี้  ผลกระทบที่สิ่งเหล่านี้มีต่อผู้คนนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก กล่าวคือไม่เพียงแต่สิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถช่วยให้ผู้คนได้รับความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงและถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น หรือทำให้พวกเขาสามารถค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำได้ในพระวจนะของพระองค์เท่านั้น ในทางตรงกันข้าม แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ยังทำให้ผู้คนมีความรู้เกี่ยวกับความจริงที่บิดเบือน เป็นทฤษฎี และเป็นคำสอนมากขึ้น และในเวลาเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ผู้คนพร่ามัวมากขึ้นเกี่ยวกับเส้นทางแห่งการปฏิบัติ  ในการทำเช่นนั้น ผู้นำเทียมเท็จย่อมกีดขวางแนวสายตาของผู้คน และส่งผลกระทบต่อการทำความเข้าใจความจริงอย่างหมดจดของพวกเขา  ในการทำสิ่งเหล่านี้ ผู้นำเทียมเท็จทำให้เกิดผลอย่างไร?  พวกเขาเล่นบทบาทใด?  ขณะที่การระบุว่าพวกเขาก่อกวนและขัดขวางอาจจะดูค่อนข้างมากเกินไป การเรียกพวกเขาว่าตัวตลกที่รีบร้อนไปทั่วนั้นก็ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด  ตอนที่เราเพิ่งเริ่มงานในช่วงระยะนี้ เราได้พบกับบุคคลบางคน และขณะที่เรากำลังฟังพวกเขาพูด หนึ่งในบรรดาพวกเขาก็ถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของบุคคลคนหนึ่ง และทันใดนั้นใครบางคนก็โพล่งคำพูดออกมาว่า “พวกเขาถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่านแล้ว” เมื่อเราถามว่า “ถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่านหรือ? นั่นหมายความว่าอย่างไร?” พวกเขาก็ตอบว่า “การถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่านหมายถึงการที่ใครบางคนถูกปลดออกและบางทีก็เลิกเชื่อ”  เรากล่าวว่า “นี่เป็นคำศัพท์ที่โหดร้ายทีเดียว—นี่ไม่ให้อิสระแก่บุคคลดังกล่าวเลย  เราเคยพูดสิ่งใดที่เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  เราไม่รู้จักคำศัพท์คำนี้ได้อย่างไร?  เราไม่เคยระบุลักษณะของใครในหนทางนี้ หรือกล่าวว่าหากใครบางคนเลิกทำหน้าที่ของตนหรือไปจากพระเจ้า พวกเขาย่อมถูก ‘เผาจนเป็นเถ้าถ่าน’  คำศัพท์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  ภายหลังเราก็ได้ค้นพบว่าวลีนี้มีต้นกำเนิดมาจากผู้เชื่อสูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนสูงวัยที่จู้จี้เรื่องกฎเกณฑ์  เขาเป็นผู้คงแก่เรียนมาก เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลายาวนาน และเขาก็มีอาวุโส  เมื่อเขากล่าววลีนี้ ผู้คนที่เลอะเลือนกลุ่มนั้นก็ไม่ใช้วิจารณญาณและเรียนรู้วลีนี้จากเขา และวลีนี้ก็กลายเป็นวลีที่ได้รับความนิยม  พวกเจ้าคิดว่าวลีนี้ถูกต้องหรือไม่?  วลีนี้มีพื้นฐานหรือไม่?  วลีนี้ถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  (ไม่ถูกต้องแม่นยำ)  พวกเราควรปฏิบัติต่อวลีนี้อย่างไร?  ควรเปิดโอกาสให้วลีนี้คงอยู่ต่อไปในคริสตจักรหรือไม่?  (ไม่ควร)  วลีนี้ควรถูกเปิดโปงและวิพากษ์วิจารณ์ และแก้ไขจากรากเหง้าของวลีดังกล่าว  ในภายหลังผ่านทางการวิพากษ์วิจารณ์และการชำแหละ ผู้คนที่เลอะเลือนเหล่านี้ก็ไม่กล้าที่จะพูดวลีดังกล่าวอีกต่อไป แต่คนที่ไม่รู้ข้อมูลสองสามคนอาจยังคงแอบใช้วลีนี้เป็นการส่วนตัว  ผู้คนเหล่านั้นอาจคิดว่านี่เป็นวลีฝ่ายวิญญาณอย่างมากซึ่งมีต้นกำเนิดมาจาก “บุคคลที่รู้จักกันดี” และเชื่อว่าควรใช้วลีดังกล่าวต่อไป  ผู้นำของพวกเจ้าเคยมีส่วนร่วมในการปฏิบัติทำนองนี้หรือไม่?  พวกเขาได้ส่งผลกระทบที่เป็นลบต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเจ้า การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเจ้า หรือเส้นทางที่พวกเจ้าเดินหรือไม่?  (ในอดีตตอนที่ประกาศข่าวประเสริฐ ผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่งเคยกล่าวว่า “พระเจ้าทรงพิชิตพวกเราผ่านทางการพิพากษาและการตีสอน ดังนั้นเมื่อพวกเราประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้คนที่นับถือศาสนา พวกเราจำเป็นต้องพูดกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง และสั่งสอนพวกเขา เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะถูกพิชิตได้”)  ถ้อยแถลงนี้อาจฟังดูมีเหตุผล แต่ถ้อยแถลงนี้ตรงกับหลักธรรมความจริงหรือไม่?  พระเจ้าทรงสั่งให้ผู้คนทำเช่นนี้หรือไม่?  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เมื่อประกาศข่าวประเสริฐอย่างกว้างขวาง เจ้าต้องลุกขึ้นและปกครองผู้คนด้วยคทาเหล็ก โดยใช้การพิพากษาและการตีสอนเพื่อประกาศข่าวประเสริฐอย่างกว้างขวาง’” ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วถ้อยแถลงนี้มาจากที่ใด?  เห็นได้ชัดว่านี่เป็นทฤษฎีที่จินตนาการออกมาจากหัวของผู้นำเทียมเท็จที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  จากภายนอกแล้ว ถ้อยแถลงนี้อาจดูเหมือนจะไม่ก่อปัญหา นั่นก็คือ “มวลมนุษย์ทั้งหมดต้องก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  หากพวกเขาไม่สามารถรับการนี้ได้โดยตรงจากพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาย่อมไม่สามารถรับการนี้ได้โดยทางอ้อมมิใช่หรือ?  ไม่ว่าในกรณีใด นั่นคือผลที่พระวจนะของพระเจ้ามุ่งหวังที่จะสัมฤทธิ์—การพิชิตมวลมนุษย์ทั้งหมด  การที่พวกเขาได้รับสิ่งนี้ในเร็ววันแทนที่จะล่าช้าออกไปน่าจะดีกว่ามิใช่หรือ?  ก่อนที่พระเจ้าจะทรงกระทำการ พวกเราจะใช้มาตรการป้องกันนี้ เพื่อให้ผู้คนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันประเภทหนึ่งขึ้นมาได้  เช่นนั้นเมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนพวกเขาอย่างแท้จริง ผู้คนเหล่านั้นก็จะไม่กบฏ ต่อต้าน หรือทรยศพระเจ้า  นี่จะป้องกันไม่ให้พระเจ้าทรงรู้สึกเจ็บปวด  นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอกหรือ?”  จากภายนอกแล้วทุกประโยคดูเหมือนจะถูกต้อง และหากกล่าวในเชิงคำสอนก็ดูจะมีเหตุผล  อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหลักธรรมความจริงหรือไม่?  พระนิเวศของพระเจ้ามีข้อกำหนดสำหรับการประกาศข่าวประเสริฐว่าอย่างไร?  พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้ผู้คนทำเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  เพราะฉะนั้นทฤษฎีนี้จึงไม่ถูกต้อง และบุคคลที่เสนอทฤษฎีนี้ก็เป็นผู้นำเทียมเท็จ

ผู้นำเทียมเท็จมักแสร้งทำเป็นคนฝ่ายวิญญาณ โดยพูดถึงเหตุผลวิบัติบางประการซึ่งดูคล้ายว่ามีเหตุผลเพื่อชักพาและชี้แนะผู้คนให้หลงผิด  ในขณะที่เหตุผลวิบัติเหล่านี้อาจฟังดูเหมือนไม่เป็นปัญหาเมื่อมองจากภายนอก แต่เหตุผลวิบัติดังกล่าวกลับมีอิทธิพลที่เป็นผลร้ายต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน โดยก่อกวนผู้คน ชักพาผู้คนให้หลงผิด และกีดขวางไม่ให้ผู้คนเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  เพราะคำพูดฝ่ายวิญญาณอันจอมปลอมเหล่านี้ บางคนจึงเกิดความสงสัยและการไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจึงสร้างมโนคติอันหลงผิดและแม้กระทั่งความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและการตั้งป้อมระวังตนเองจากพระเจ้า และจากนั้นก็ซัดเซออกไปจากพระองค์  นี่เป็นผลกระทบที่คำกล่าวฝ่ายวิญญาณอันจอมปลอมของผู้นำเทียมเท็จมีต่อผู้คน  ในขณะที่สมาชิกของคริสตจักรถูกผู้นำเทียมเท็จชักพาให้หลงผิดและได้รับอิทธิพลจากผู้นำเทียมเท็จ คริสตจักรนั้นก็กลายเป็นศาสนา โดยเหมือนกันไม่มีผิดกับศาสนาคริสต์หรือนิกายคาทอลิก ซึ่งผู้คนในศาสนาดังกล่าวเพียงเฝ้าสังเกตคำกล่าวและหลักคำสอนของมนุษย์เท่านั้น  พวกเขาทั้งหมดบูชาหลักคำสอนของเปาโล และไปไกลถึงขนาดที่ใช้คำพูดของเขาแทนพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า แทนที่จะเดินตามหนทางของพระเจ้า  ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาล้วนกลายเป็นพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดและศัตรูของพระคริสต์  ด้วยเหตุนั้น พระเจ้าจึงทรงสาปแช่งและกล่าวโทษพวกเขา  เหมือนกันกับเปาโลไม่มีผิด ผู้นำเทียมเท็จเชิดชูตนเองและเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง พวกเขาชักพาผู้คนให้หลงผิดและก่อกวนผู้คน  พวกเขานำผู้คนให้หลงเจิ่นไปและเข้าสู่พิธีกรรมทางศาสนา และหนทางที่ผู้คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้าก็กลายเป็นหนทางเดียวกันกับผู้คนที่นับถือศาสนา ซึ่งทำให้การเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาล่าช้าออกไป  ผู้นำเทียมเท็จชักพาผู้คนให้หลงผิดและก่อกวนผู้คนอยู่เนืองนิจ และเช่นนั้นผู้คนเหล่านั้นจึงสร้างทฤษฎีและคำกล่าวฝ่ายวิญญาณอันจอมปลอมมากมาย  ทฤษฎี คำกล่าว และการปฏิบัติเหล่านี้ตรงกันข้ามกับความจริงโดยสิ้นเชิง และไม่เกี่ยวข้องกับความจริงเลย  ทว่าในขณะที่ผู้นำเทียมเท็จกำลังชักพาและชี้แนะผู้คนให้หลงผิด พวกเขาก็ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และเป็นความจริง  พวกเขาเชื่ออย่างผิดๆ ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง และคิดว่าตราบใดที่พวกเขาเชื่อในสิ่งเหล่านี้ในหัวใจของพวกเขาและสามารถกล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมาได้อย่างฉะฉาน และตราบใดที่ทุกคนรับรองสิ่งเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมได้รับความจริงแล้ว  จากการที่ถูกความคิดและทัศนะเหล่านี้ชี้แนะให้หลงผิด ผู้คนจึงไม่เพียงแต่ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้เท่านั้น แต่พวกเขายังไม่สามารถปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าได้ด้วย นับประสาอะไรกับการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับยิ่งห่างไกลจากพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และห่างไกลจากการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมากยิ่งขึ้น  ในทางทฤษฎีนั้นคำพูดที่ผู้นำเทียมเท็จกล่าวและคำขวัญที่พวกเขาตะโกนออกมานั้นไม่ผิดแต่อย่างใด คำพูดและคำขวัญเหล่านั้นล้วนถูกต้อง  แล้วเพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่สัมฤทธิ์ผลใดๆ เลย?  นี่เป็นเพราะว่าสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จเข้าใจและทำความเข้าใจนั้นแค่ตื้นเขินเกินไป  ทั้งหมดเป็นเรื่องของคำสอน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ข้อกำหนดของพระเจ้า หรือเจตนารมณ์ของพระองค์  ข้อเท็จจริงก็คือว่าคำสอนทั้งหมดที่บรรดาผู้นำเทียมเท็จประกาศนั้นต่ำกว่าระดับของความเป็นจริงความจริงอยู่มาก—กล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงก็คือ คำสอนดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับความจริงเลยและไม่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้าแต่อย่างใด  ดังนั้นในยามที่ผู้นำเทียมเท็จมักจะพูดพ่นคำพูดและคำสอนเหล่านี้ การนี้เชื่อมโยงกับอะไร?  เพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้เสมอมา?  นี่เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงโดยตรงกับขีดความสามารถของบรรดาผู้นำเทียมเท็จ  เป็นเรื่องที่แน่นอนอย่างสิ้นเชิงว่าผู้นำเทียมเท็จนั้นมีขีดความสามารถที่ย่ำแย่และขาดพร่องความสามารถในการทำความเข้าใจความจริง  ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปี พวกเขาก็จะไม่เข้าใจความจริงหรือมีการเข้าสู่ชีวิต และยังสามารถกล่าวได้ว่าไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีก็ตาม ก็จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  หากผู้นำเทียมเท็จไม่ถูกปลดออกไป และได้รับอนุญาตให้ดำรงตำแหน่งของพวกเขาต่อไป จะเกิดผลสืบเนื่องประเภทใด?  การนำของพวกเขาจะดึงดูดผู้คนจำนวนมากยิ่งขึ้นเข้าสู่พิธีกรรมและข้อบังคับทางศาสนา เข้าสู่คำพูดและคำสอน ตลอดจนเข้าสู่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันอันคลุมเครือ  ตรงข้ามกับศัตรูของพระคริสต์ ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้นำผู้คนมาเฉพาะหน้าพวกเขาหรือเฉพาะหน้าซาตาน แต่หากพวกเขาไม่สามารถนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแห่งพระวจนะของพระองค์ได้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะสามารถได้รับความรอดจากพระองค์หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ พวกเขาก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานมิใช่หรือ?  พวกเขายังคงเป็นผู้ที่เสื่อมทรามซึ่งถูกครอบงำอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานมิใช่หรือ?  นี่หมายความว่าพวกเขาจะไปสู่ความย่อยยับในมือของผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผลสืบเนื่องจากงานของผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์จึงเหมือนกันโดยพื้นฐาน  ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ต่างก็ไม่สามารถทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าใจความจริง เข้าสู่ความเป็นจริง และสัมฤทธิ์ความรอดได้  ทั้งผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์สร้างความเสียหายให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและนำพวกเขาไปสู่ความย่อยยับ  ผลสืบเนื่องนั้นเหมือนกันทุกประการ

ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติของผู้นำเทียมเท็จมีอะไรบ้าง?  พวกเจ้าจงสรุปสิ่งเหล่านี้เองในภายหลัง  เรามอบหมายงานนี้ให้พวกเจ้าเพื่อที่จะดูว่าพวกเจ้าสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่  ผู้นำที่อยู่รอบตัวพวกเจ้าเคยกล่าวคำพูดบางอย่างที่เป็นฝ่ายวิญญาณหรือตรงตามความอ่อนไหวของมนุษย์ และเมื่อมองจากภายนอกก็ดูเหมือนว่าถูกต้องและเป็นไปตามความจริง แต่กลับล้มเหลวในการจัดเตรียมการเข้าสู่ชีวิตให้เจ้าและแก้ไขปัญหาที่แท้จริงของเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าไม่มีการแยกแยะคำพูดเหล่านี้และถึงกับมองว่าคำพูดดังกล่าวมีคุณค่าและจริงจังกับคำพูดเหล่านั้น โดยปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นครอบงำเจ้าและนำเจ้าตลอดเวลา และโน้มน้าวความคิดและพฤติกรรมของเจ้าตลอดเวลา ผลสืบเนื่องของการนี้ย่อมร้ายแรงทีเดียวมิใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นพวกเจ้าจึงจำเป็นต้องขุดลงไปถึงรากเหง้าของประเด็นปัญหาเหล่านี้ เพื่อค้นหาว่าสิ่งใดเป็นความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติซึ่งสามารถทำให้ผู้คนเสื่อมถอยลงไปถึงจุดที่ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขากลายเป็นการเชื่อทางศาสนา และส่งผลให้พวกเขาไม่ยอมรับพระเจ้าและได้รับการปฏิเสธจากพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าบุคคลคนหนึ่งกล่าวว่า “อย่าเพียรพยายามที่จะเป็นผู้นำเลย  หากคุณถูกปลดหรือถูกกำจัดออกไปหลังจากกลายเป็นผู้นำ คุณจะไม่มีโอกาสที่จะเป็นผู้เชื่อธรรมดาด้วยซ้ำไป”  การพูดคุยประเภทนี้เป็นความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติของผู้นำเทียมเท็จหรือไม่?  (ใช่)  ใช่หรือ?  ต้องมีการจำแนกความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติของผู้นำเทียมเท็จออกจากความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติของศัตรูของพระคริสต์ จงอย่านำสิ่งเหล่านี้ไปปนเปกัน  ในการกล่าวสิ่งเหล่านั้น บุคคลคนนั้นหมายความว่าอย่างไร?  ในคำพูดเหล่านี้มีแรงจูงใจใดซ่อนเร้นอยู่?  มีบางสิ่งที่คลุมเครืออยู่ภายในคำพูดเหล่านี้หรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้มีกลอุบายที่ตั้งใจจะชักพาผู้คนให้หลงผิด พวกเขาหมายความว่าคนอื่นควรหลีกเลี่ยงการเพียรพยายามที่จะเป็นผู้นำ และการทำเช่นนั้นจะไม่กลายเป็นผลดี  จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการกล่าวเช่นนี้ก็เพื่อที่จะทำให้ผู้คนละทิ้งแนวคิดที่จะเป็นผู้นำ เพื่อให้ไม่มีใครจะมาแข่งขันกับพวกเขาเพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะ ด้วยเหตุนั้นจึงเปิดโอกาสให้พวกเขารู้สึกสบายใจกับการเป็นผู้นำไปชั่วนิรันดร์  ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็กำลังบอกผู้คนว่า “นี่คือวิธีที่พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อผู้นำและคนทำงาน พระนิเวศของพระเจ้าเลื่อนขั้นให้คุณเมื่อต้องการคุณ และเมื่อพระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการคุณ ก็เตะคุณลงไปที่ขั้นล่างสุด โดยทำให้คุณไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะเป็นผู้เชื่อธรรมดา”  ธรรมชาติของคำพูดเหล่านี้คืออะไร?  (การสบประมาทพระเจ้า)  บุคคลประเภทใดกล่าวคำพูดที่สบประมาทพระเจ้า?  (ศัตรูของพระคริสต์)  ภายในคำพูดเหล่านี้มีเจตนาชั่วอยู่สองประการซึ่งสามารถนำไปสู่ผลสืบเนื่องได้สองประการ ประการหนึ่งคือการบอกผู้อื่นว่าไม่ให้แย่งชิงสถานะอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทำให้มั่นใจว่าสถานะของพวกเขาเองจะยังคงมั่นคง อีกประการหนึ่งคือการทำให้เจ้าเข้าใจพระเจ้าผิด เลิกเชื่อในพระเจ้าและเริ่มเชื่อในพวกเขาแทน  นี่คือศัตรูของพระคริสต์ประเภทที่โจ่งแจ้งที่สุด  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะขาดพร่องความสามารถในการทำความเข้าใจ เราเคยพูดถึงตัวอย่างของเรื่องนี้มาก่อนแล้ว  พวกเจ้าไม่เพียงแต่ไม่เอาใจใส่และมีความจำที่ย่ำแย่เท่านั้น ความสามารถในการทำความเข้าใจของพวกเจ้ายังขาดพร่องอีกด้วย  พวกเจ้าไม่สามารถแยกแยะแม้กระทั่งศัตรูของพระคริสต์ที่เห็นได้ชัดเช่นนั้น  ผู้นำเทียมเท็จจะกล่าวสิ่งเหล่านั้นหรือไม่?  พวกเขาจะชักพาผู้คนให้หลงผิดและไม่ยอมรับพระเจ้าอย่างตั้งใจและเปิดเผยหรือไม่?  (ไม่)  แม้ว่าสิ่งทั้งหลายที่ผู้นำเทียมเท็จพูดและทำอาจดูเหมือนไม่เป็นปัญหาเมื่อมองจากภายนอก แต่งานของพวกเขาก็ขาดพร่องหลักธรรมและไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ของผู้คน ไม่สามารถนำพวกเขาเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องแห่งความเชื่อในพระเจ้า หรือนำพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้  ทุกสิ่งที่พวกเขากล่าวนั้นถูกต้อง พวกเขาไม่เคยตระหนี่กับงานของตนเลย พวกเขามีความกระตือรือร้นและความปรารถนาอันแรงกล้า และจากภายนอกนั้นพวกเขาก็ดูเหมือนจะมีความเชื่อ มีความแน่วแน่ และเต็มใจที่จะสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคา  ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังดูเหมือนจะมีความสู้ทนอันเหลือเชื่อและสามารถพากเพียรบากบั่นผ่านความเหนื่อยล้าและความลำบากยากเย็นทุกรูปแบบได้  เพียงแค่ขีดความสามารถและความสามารถในการทำความเข้าใจของพวกเขานั้นย่ำแย่ และพวกเขาก็ขาดพร่องการทำความเข้าใจความจริงอย่างถูกต้องแม่นยำ  พวกเขาทำอะไรเกี่ยวกับการขาดพร่องความสามารถในการทำความเข้าใจนี้?  พวกเขาใช้ข้อบังคับและคำสอน ตลอดจนทฤษฎีฝ่ายวิญญาณที่พวกเขาพูดถึงอยู่เนืองนิจเพื่อแก้ปัญหานี้  หลังจากอยู่ภายใต้การนำของพวกเขามาสองสามปี คำสอน ข้อบังคับ และการปฏิบัติภายนอกสารพัดรูปแบบก็เกิดขึ้นท่ามกลางผู้คน  ผู้คนยึดติดอยู่กับคำสอน ข้อบังคับ และการปฏิบัติเหล่านี้ และเชื่อว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง แต่อันที่จริงพวกเขายังคงอยู่ไกลจากความเป็นจริงความจริงอย่างมาก!  เมื่อหัวใจของผู้คนถูกเติมจนเต็ม ถูกครอบงำ และถูกนำโดยสิ่งเหล่านี้ การแก้ปัญหาก็กลายเป็นเรื่องเดือดร้อน  ปัญหาแต่ละอย่างต้องได้รับการชำแหละและวิเคราะห์ทีละเรื่องเพื่อให้ผู้คนเข้าใจปัญหาเหล่านั้น  จากนั้นผู้คนก็ต้องได้รับการบอกเล่าว่าความจริง คำสอน คำขวัญ และข้อบังคับคืออะไร และการทำความเข้าใจความจริงที่ถูกต้อง คำกล่าวที่ถูกต้อง และหลักธรรมความจริงคืออะไร  ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเป็นรายบุคคล มิฉะนั้นบรรดาผู้ที่ค่อนข้างประพฤติตนได้ดี ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความเป็นฝ่ายวิญญาณก็จะถูกชักพาให้หลงผิดและถูกทำลายโดยผู้นำเทียมเท็จ  ผู้คนเหล่านี้อาจดูเหมือนเปี่ยมศรัทธา สามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาได้ และสามารถอธิษฐานได้เมื่อมีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา  อย่างไรก็ตาม ก็เหมือนกับคนที่นับถือศาสนา เมื่อพระเจ้าเสด็จกลับมา ไม่มีใครในบรรดาพวกเขาที่ยอมรับพระองค์ ไม่มีใครในบรรดาพวกเขาที่ยอมรับว่าพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจใหม่อีกครั้ง และพวกเขาทั้งหมดก็ไม่ยอมรับพระองค์  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  นี่เป็นเพราะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ชักพาพวกเขาให้หลงผิด—พวกเขาได้สร้างความเสียหายและทำลายผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจไปเป็นจำนวนมาก

ผู้นำเทียมเท็จกล่าวเพียงคำพูดและคำสอนเท่านั้น—สิ่งที่พวกเขาทำให้ผู้คนเข้าใจนั้นเป็นแค่คำสอนและไม่ใช่ความจริง และสิ่งที่พวกเขาทำให้ผู้คนมองเห็นก็เป็นแค่ความเป็นฝ่ายวิญญาณที่เทียมเท็จเท่านั้น  การกล่าวคำพูดและคำสอนมีผลสืบเนื่องเป็นอย่างไร?  ความเป็นฝ่ายวิญญาณที่เทียมเท็จ ความเข้าใจที่เทียมเท็จ ความรู้ที่เทียมเท็จ การปฏิบัติที่เทียมเท็จ และการปฏิบัติตามที่เทียมเท็จ—ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งเทียมเท็จ  “ความเทียมเท็จ” นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  ความเทียมเท็จดังกล่าวเกิดจากการที่ผู้นำเทียมเท็จมีการทำความเข้าใจความจริงอย่างบิดเบือน ลำเอียง และผิวเผิน และการล้มเหลวในการทำความเข้าใจแก่นแท้ของความจริงโดยสิ้นเชิง  ผู้นำเทียมเท็จนำกฎเกณฑ์มากมาย คำพูดและคำสอนมากมาย พร้อมทั้งคำขวัญและทฤษฎีบางอย่างมาให้ผู้คน  ผู้คนเหล่านั้นจึงไม่เข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าเลย และเมื่อพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนนานัปการ พวกเขาก็ไม่รู้วิธีที่จะรับมือและจัดการกับสถานการณ์เหล่านั้น หรือวิธีที่จะจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  บุคคลเช่นนี้สามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถยอมรับพระเจ้าและเริ่มเลิกการไม่ยอมรับพระองค์ได้หรือไม่?  พวกเขาไม่สามารถทำได้  เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดและจำเป็นที่พวกเจ้าต้องสรุปความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติของผู้นำเทียมเท็จและได้มาซึ่งวิจารณญาณในการแยกแยะสิ่งเหล่านี้  เวลาที่สรุป สิ่งสำคัญก็คือการแยกแยะความแตกต่างระหว่างสิ่งเหล่านี้กับเหตุผลวิบัติที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ในการชักพาผู้คนให้หลงผิด  เกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่สองของบรรดาผู้นำและคนทำงาน—คือการมีความเข้าใจสภาวะทั้งหลายของบุคคลแต่ละประเภท และแก้ไขความลำบากยากเย็นนานัปการซึ่งสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตที่พวกเขาเผชิญในชีวิตจริง—พวกเราจะจบการสามัคคีธรรมของพวกเราซึ่งชำแหละการปฏิบัตินานัปการของผู้นำเทียมเท็จและแก่นแท้ของประเด็นปัญหาทั้งหลายกับผู้นำเทียมเท็จไว้ตรงนี้

ประการที่สาม: สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่พึงเข้าใจเพื่อปฏิบัติหน้าที่แต่ละอย่างให้ถูกควร (ภาคที่หนึ่ง)

ผู้นำเทียมเท็จสามารถกล่าวได้เพียงคำพูดและคำสอนเพื่อเตือนสติผู้คนเท่านั้น

ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สามของผู้นำและคนทำงาน—คือการสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่พึงเข้าใจเพื่อปฏิบัติหน้าที่แต่ละอย่างให้ถูกควร  นี่เป็นงานที่สำคัญและเป็นรากฐานของบรรดาผู้นำและคนทำงาน และพวกเราจะสามัคคีธรรมรวมทั้งชำแหละการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จบนพื้นฐานของหน้าที่รับผิดชอบประการนี้  ศักยภาพของผู้นำหรือคนทำงานในการสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงซึ่งผู้คนควรเข้าใจเพื่อการทำหน้าที่ของตนให้ดีนั้นเป็นข้อบ่งชี้ที่ดีที่สุดว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ และเป็นกุญแจสำคัญในการพิจารณาว่าพวกเขาสามารถทำงานที่แท้จริงให้ดีได้หรือไม่  ตอนนี้พวกเราจงมาดูกันเถิดว่าผู้นำเทียมเท็จจัดการกับงานนี้อย่างไร  ลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จก็คือการที่พวกเขาไม่สามารถอธิบายหรือชี้แจงประเด็นปัญหาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริงได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน  หากใครบางคนขอคำแนะนำจากพวกเขา พวกเขาก็สามารถบอกได้เพียงคำพูดและคำสอนที่ว่างเปล่าแก่คนเหล่านั้น  เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาซึ่งจำเป็นต้องมีการแก้ไข พวกเขาก็ตอบกลับอยู่เนืองๆ ด้วยถ้อยแถลงอย่าง “พวกคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำหน้าที่นี้กันทุกคน  หากพวกคุณมีปัญหา พวกคุณก็ควรคิดหาวิธีแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วยตนเอง  จงอย่าถามฉัน เพราะฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และฉันก็ไม่เข้าใจ  จงจัดการปัญหานั้นด้วยตนเอง”  บางคนอาจโต้ตอบว่า “พวกเราถามคุณเพราะพวกเราไม่สามารถแก้ปัญหาได้ พวกเราคงจะไม่ถามคุณหากพวกเราทำได้  พวกเราไม่เข้าใจปัญหานี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง”  ผู้นำเทียมเท็จตอบว่า “ฉันพูดถึงหลักธรรมให้คุณฟังไปแล้วไม่ใช่หรือ?  จงทำหน้าที่ของตนเองให้ดี และจงอย่าก่อการรบกวนหรือการขัดขวาง  คุณยังคงถามถึงอะไรอีก?  จงจัดการปัญหาไปตามที่คุณเห็นสมควรเถิด!  พระวจนะของพระเจ้าตรัสไว้แล้วว่า จงให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเป็นอันดับแรก”  ผู้คนเหล่านั้นก็ตกอยู่ในความสับสนอย่างสิ้นเชิง โดยคิดว่า “นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา!”  นี่คือวิธีที่ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติต่องาน พวกเขาเพียงแค่ตรวจงาน ทำไปตามขั้นตอน และไม่เคยจัดการกับปัญหาเลย  ไม่ว่าผู้คนจะยกประเด็นปัญหาใดขึ้นมา ผู้นำเทียมเท็จก็บอกให้พวกเขาแสวงหาความจริงด้วยตนเอง  พวกเขาถามผู้คนบ่อยๆ ว่า “คุณมีปัญหาอะไรบ้างหรือไม่?  การเข้าสู่ชีวิตของคุณเป็นอย่างไร?  คุณกำลังทำหน้าที่ของคุณในลักษณะที่สุกเอาเผากินหรือไม่?”  ผู้คนเหล่านั้นตอบโดยกล่าวว่า “บางครั้งบางคราวฉันพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะที่สุกเอาเผากิน และฉันก็แก้ไขสภาวะนั้นและเปลี่ยนแปลงตัวเองผ่านทางการอธิษฐาน แต่ฉันก็ยังคงไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของฉัน”  ผู้นำเทียมเท็จก็กล่าวว่า “ในการชุมนุมครั้งที่ผ่านมา ฉันสามัคคีธรรมหลักธรรมที่เฉพาะเจาะจงกับคุณไปแล้วไม่ใช่หรือ?  ฉันจัดเตรียมพระวจนะของพระเจ้าให้คุณไปหลายบทตอนด้วยซ้ำไป  ตอนนี้คุณควรเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือ?”  อันที่จริงพวกเขาเข้าใจคำสอนทั้งหมด แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถแก้ปัญหาของตนได้  ผู้นำเทียมเท็จถึงกับพูดพ่นคำพูดที่ฟังดูสูงส่งว่า “เพราะเหตุใดคุณจึงแก้ปัญหาไม่ได้?  คุณแค่ยังไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ละเอียดพอ  หากคุณอธิษฐานมากขึ้นและอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น เช่นนั้นแล้วปัญหาทั้งหมดของคุณย่อมจะได้รับการแก้ไข  พวกคุณจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะหารือและหาหนทางร่วมกัน เช่นนั้นแล้วปัญหาของพวกคุณก็จะได้รับการแก้ไขในที่สุด  ส่วนประเด็นปัญหาเฉพาะทางสายงาน จงอย่าถามฉันเลย เพราะหน้าที่รับผิดชอบของฉันคือการตรวจงาน  ฉันได้ทำงานของฉันเสร็จแล้ว และส่วนที่เหลือนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องเฉพาะทางสายงาน ซึ่งฉันไม่เข้าใจ”  ผู้นำเทียมเท็จมักจะใช้เหตุผลและข้อแก้ตัวอย่างเช่น “ฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่เคยเรียนรู้เรื่องนี้ ฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ” เพื่อหลอกลวงผู้คนและหลบเลี่ยงคำถาม  พวกเขาอาจดูมีความถ่อมใจทีเดียว อย่างไรก็ตาม การนี้เปิดโปงให้เห็นประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงของผู้นำเทียมเท็จ—นั่นคือพวกเขาขาดพร่องความเข้าใจในปัญหาทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความรู้เฉพาะทางสายงานในงานบางประเภท พวกเขาจึงรู้สึกอับจนหนทางและดูอึดอัดและอับอายเป็นที่สุด  แล้วพวกเขาทำอะไร?  พวกเขาทำได้เพียงแค่รวบรวมพระวจนะของพระเจ้าหลายบทตอนมาเพื่อสามัคคีธรรมกับทุกคนในระหว่างการชุมนุม โดยพูดถึงคำสอนบางประการเพื่อเตือนสติผู้คน  ผู้นำที่มีใจกรุณาเล็กน้อยอาจแสดงความใส่ใจต่อผู้คนและถามพวกเขาเป็นครั้งคราวว่า “หมู่นี้คุณเผชิญกับความลำบากยากเย็นในชีวิตของคุณบ้างหรือไม่?  คุณมีเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่เพียงพอหรือไม่?  มีใครในท่ามกลางพวกคุณที่กำลังประพฤติไม่ดีบ้างหรือไม่?”  หากทุกคนกล่าวว่าพวกเขาไม่มีประเด็นปัญหาเหล่านั้น ผู้นำก็ตอบว่า “เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร  จงดำเนินการงานของพวกคุณต่อไปเถิด ฉันมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องจัดการ” แล้วก็ออกไปอย่างเร่งรีบ โดยเกรงกลัวว่าใครบางคนอาจตั้งคำถามขึ้นมาและขอให้พวกเขาตอบคำถามเหล่านั้น ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย  นี่คือวิธีที่บรรดาผู้นำเทียมเท็จทำงาน—พวกเขาไม่สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงได้เลย  พวกเขาจะสามารถดำเนินการงานของคริสตจักรอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?  ผลลัพธ์ก็คือการสะสมของประเด็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขก็มาขัดขวางงานของคริสตจักรในที่สุด  นี่คือลักษณะเฉพาะและการสำแดงอันโดดเด่นของวิธีที่บรรดาผู้นำเทียมเท็จทำงาน

ในงานของพวกเขานั้น ผู้นำเทียมเท็จมีใจกระตือรือร้นเกี่ยวกับการประกาศเท่านั้น และพวกเขาชอบที่จะกล่าวคำพูดและคำสอนมากที่สุด ตลอดจนกล่าวคำพูดเพื่อเตือนสติและชูใจผู้คน โดยคิดว่าตราบใดที่พวกเขาทำให้ผู้คนมีพลังและยุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน ก็เหมือนกับว่าพวกเขาทำงานได้ดีแล้ว  นอกจากนั้นผู้นำเทียมเท็จยังมีความปรารถนาอันแรงกล้าเกี่ยวกับการดูแลสภาวะในชีวิตประจำวันของทุกคน  พวกเขาถามผู้คนอยู่เนืองๆ ว่าพวกเขากำลังเผชิญกับความลำบากยากเย็นในเรื่องนั้นบ้างหรือไม่ และหากมีใครกำลังเผชิญจริงๆ พวกเขาก็เต็มใจที่จะช่วยแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านี้  พวกเขาทำให้ตนเองยุ่งอยู่กับกิจธุระทั่วไปเหล่านี้จริงๆ บางครั้งถึงกับเลื่อนมื้ออาหารออกไป และอยู่จนดึกดื่นและตื่นแต่เช้าอยู่บ่อยๆ  เมื่อพิจารณาจากความยุ่งและงานที่หนักของพวกเขา เพราะเหตุใดปัญหาทั้งหลายในงานของคริสตจักรและความลำบากยากเย็นซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญในการทำหน้าที่ของตนจึงยังคงไม่ได้รับการแก้ไข?  นี่เป็นเพราะว่าบรรดาผู้นำเทียมเท็จไม่มีวันจะสามารถอธิบายหลักธรรมความจริงซึ่งสัมพันธ์กับการทำหน้าที่ได้อย่างชัดเจน  คำพูดและคำสอน และคำเตือนสติที่พวกเขากล่าวนั้นไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงและไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาจริงได้เลย  ไม่ว่าพวกเขาจะพูดมากเพียงใดหรือพวกเขาจะยุ่งหรือเหนื่อยล้าเพียงใด งานของคริสตจักรก็ไม่มีวันก้าวหน้า  แม้ว่าจากภายนอกทุกคนจะดูเหมือนกำลังทำหน้าที่ของตน แต่พวกเขากลับไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์จริงมากนัก เพราะผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงซึ่งสัมพันธ์กับการทำหน้าที่ หรือใช้ความจริงในการแก้ไขประเด็นปัญหาจริงได้—เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหามากมายที่มีอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ได้  ตัวอย่างเช่น คราวหนึ่งพระนิเวศของพระเจ้าต้องการพิมพ์หนังสือพระวจนะของพระเจ้า และผู้นำคนหนึ่งต้องคัดเลือกบุคคลสองคนเพื่อรับผิดชอบงานนี้  มาตรฐานสำหรับการคัดเลือกผู้คนคืออะไร?  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาควรจะดีพอสมควร พวกเขาควรเป็นคนที่เชื่อถือได้ และสามารถรับความเสี่ยงได้  หลังจากที่บุคคลดังกล่าวได้รับการคัดเลือก ผู้นำคนนี้ก็บอกพวกเขาว่า “วันนี้ฉันเรียกพวกคุณสองคนมาเพื่อมอบหมายเรื่องหนึ่งให้พวกคุณ พระนิเวศของพระเจ้ามีหนังสือเล่มหนึ่งที่ต้องการจะพิมพ์ และฉันต้องการให้พวกคุณหาโรงพิมพ์ และหลังจากที่พิมพ์หนังสือทั้งหมดแล้ว พวกคุณต้องแจกจ่ายหนังสือเหล่านั้นไปให้ถึงมือของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทันที เพื่อให้พวกเขาสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าได้โดยไม่เนิ่นช้า  พวกคุณมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการงานนี้หรือไม่?  พวกคุณเต็มใจที่จะรับผิดชอบภาระนี้และความเสี่ยงนี้หรือไม่?”  บุคคลทั้งสองเชื่อว่านี่คือการที่พระเจ้าทรงยกชูพวกเขาขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงตอบตกลง  ผู้นำจึงถามพวกเขาว่า “พวกคุณมีความแน่วแน่ที่จะทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วงหรือไม่?  พวกคุณเต็มใจที่จะให้คำสัตย์สาบานหรือไม่?”  บุคคลทั้งสองจึงให้คำสัตย์สาบาน โดยกล่าวว่า “หากพวกเราไม่สามารถทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วงได้และทำให้งานนี้เสียหาย เป็นเหตุให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าต้องทนทุกข์กับการสูญเสีย เช่นนั้นแล้วก็ขอให้พวกเราโดนฟ้าแลบและฟ้าร้องจากสวรรค์  อาเมน!”  ผู้นำกล่าวว่า “พวกเราจำเป็นต้องสามัคคีธรรมความจริงด้วย  ในการทำงานนี้ตอนนี้พวกคุณกำลังดำเนินธุรกิจอยู่ใช่หรือไม่?  พวกคุณกำลังถูกขอให้ทำงานในฐานะพนักงานมิใช่หรือ?”  บุคคลทั้งสองตอบว่า “ไม่ใช่ นี่เป็นหน้าที่ของพวกเรา”  ผู้นำก็กล่าวว่า “ในเมื่อนี่เป็นหน้าที่ของพวกคุณ พวกคุณก็ต้องตอบแทนความรักของพระเจ้า  พวกคุณไม่อาจก่อกวนพระเจ้าหรือทำให้พระองค์ทรงกังวลได้  การเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงนั้นไม่เพียงพอ พวกคุณจำเป็นต้องทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี  เมื่อพวกคุณเผชิญกับประเด็นปัญหาทั้งหลาย พวกคุณก็ควรอธิษฐานให้มากขึ้นและปรึกษาหารือกัน  จงอย่าเอาแต่ใจหรือกระทำตามใจตนเอง  เพราะเหตุใดฉันจึงให้พวกคุณสองคนมาจับคู่กัน?  นั่นก็เพื่อให้พวกคุณสามารถหารือสิ่งทั้งหลายกันได้เมื่อมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้น จึงทำให้พวกคุณกระทำการได้ง่าย  หากพวกคุณตกลงกันไม่ได้ เช่นนั้นก็จงอธิษฐาน  แต่ละคนควรปล่อยมือจากความคิดเห็นของตนเอง และกระทำการเมื่อพวกคุณมีความเห็นพ้องต้องกันแล้วเท่านั้น  ฉันหวังว่าพวกคุณสองคนจะสามารถทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้!”  ในท้ายที่สุด ผู้นำคนนี้ก็พบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับวิธีทำหน้าที่ของตนให้ดี และพวกเขาทั้งสามคนก็อ่านอธิษฐานบทตอนนั้นหลายครั้ง  ด้วยการทำเช่นนั้น ก็ถือว่าพวกเขาได้รับมอบหมายเรื่องดังกล่าวแล้ว และถือว่าหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำลุล่วงแล้ว  การปฏิบัติงานนี้ของผู้นำเป็นเช่นไร?  ผู้นำรู้สึกพึงพอใจทีเดียว บุคคลทั้งสองคนก็รู้สึกเช่นเดียวกัน  ผู้สังเกตการณ์ให้ความเห็นว่า “ผู้นำคนนี้รู้สองสามสิ่งเกี่ยวกับการทำงานให้เสร็จจริงๆ วาทะของพวกเขามีระบบระเบียบดีและมีเหตุผลดี และพวกเขาก็ทำสิ่งทั้งหลายไปทีละขั้นตอน  อันดับแรกพวกเขามอบหมายงานให้สองคนนั้น จากนั้นพวกเขาก็แก้ไขประเด็นปัญหาของทั้งสองคนซึ่งเกี่ยวข้องกับความคิดและทัศนคติ และสุดท้ายพวกเขาก็กล่าวคำพูดที่เข้มงวดบางประการ โดยให้บุคคลทั้งสองให้คำสัตย์สาบานและปฏิญาณ  พวกเขาทำงานนี้ในลักษณะที่มีระเบียบแบบแผนอย่างแท้จริง และพวกเขาก็สมควรได้รับตำแหน่งผู้นำจริงๆ—พวกเขามีประสบการณ์และแบกรับภาระได้”  ในท้ายที่สุด ผู้นำก็บอกพวกเขาว่า “จงจำสิ่งนี้ไว้ การพิมพ์หนังสือไม่ใช่งานที่ง่าย และไม่ใช่บางสิ่งที่คนธรรมดาสามัญสามารถรับผิดชอบได้  งานนี้ไม่ใช่งานที่ฉันหรือพระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายให้พวกคุณ แต่เป็นพระบัญชาจากพระเจ้า  พวกคุณต้องไม่ทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง  ตราบใดที่พวกคุณทำงานนี้สำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี ชีวิตของพวกคุณจะก้าวหน้า และพวกคุณก็จะมีความเป็นจริง”  ในทางทฤษฎีนั้น คำพูดเหล่านี้ไม่มีประเด็นปัญหาใดๆ เกี่ยวกับหลักธรรม อาจมองว่าคำพูดเหล่านี้ถูกต้องได้ไม่มากก็น้อย  ดังนั้นให้พวกเรามาวิเคราะห์เรื่องนี้กันและดูว่า “ความเทียมเท็จ” สำแดงออกมาที่ใดในตัวผู้นำเทียมเท็จคนนี้  ผู้นำคนนี้ได้ให้คำสั่งสอนเกี่ยวกับประเด็นปัญหาโดยละเอียดนานัปการอย่างเช่น แง่มุมเฉพาะทางสายงานและทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับงานนี้หรือไม่?  พวกเขาได้สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่เฉพาะเจาะจงหรือมาตรฐานที่กำหนดไว้บ้างหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาเพียงแค่กล่าวคำพูดบางคำที่ว่างเปล่าและไร้ความหมาย—คำพูดที่ผู้คนส่วนใหญ่กล่าวกันบ่อยๆ และคำพูดที่ไม่มีน้ำหนักใดๆ  เพราะผู้นำคนนี้พูดและให้คำสั่งสอนเป็นการส่วนตัว ผู้คนจึงรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้มีน้ำหนักมากกว่าปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำพูดเหล่านี้เป็นการพูดคุยที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่มีผลใดๆ ในการแก้ไขประเด็นปัญหาจริงที่เกี่ยวกับการพิมพ์หนังสือ  แล้วประเด็นปัญหาที่เฉพาะเจาะจงซึ่งเกี่ยวข้องกับการพิมพ์หนังสือนั้นมีอะไรบ้าง?  พวกเราควรพูดคุยถึงประเด็นปัญหาเหล่านี้กันแล้วดูว่างานที่ผู้นำคนนี้ทำเป็นงานของผู้นำเทียมเท็จหรือไม่

อันดับแรก การพิมพ์หนังสือนั้นเกี่ยวข้องกับการเรียงพิมพ์ และจากนั้นก็มีการพิสูจน์อักษร การจัดรูปแบบสารบัญและเนื้อหาหลัก ตลอดจนน้ำหนัก สี และคุณภาพของกระดาษ  นอกจากนั้นยังมีเรื่องวัสดุของปกหนังสือว่า ควรจะเป็นปกอ่อนหรือปกแข็ง รวมทั้งการออกแบบ สีสัน ลวดลาย และรูปแบบตัวอักษรสำหรับหน้าปกด้วย  ท้ายที่สุดก็มีเรื่องของการเข้าเล่มว่าจะใช้การไสกาวหรือการเย็บเล่ม  เหล่านี้เป็นประเด็นปัญหาทั้งหมดที่อยู่ภายในขอบเขตของการพิมพ์หนังสือ  ผู้นำได้พูดคุยถึงประเด็นปัญหาเหล่านี้บ้างหรือไม่?  (ไม่)  อีกประเด็นปัญหาหนึ่งก็คือการมองหาโรงพิมพ์ โดยดูว่าเครื่องจักรในการพิมพ์และการเข้าเล่มทันสมัยหรือไม่ คุณภาพของการพิมพ์และการเข้าเล่มเป็นเช่นไร และเรื่องราคา—พวกเขาควรให้วิธีการทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ตลอดจนหลักธรรมและขอบเขตมิใช่หรือ?  หากผู้นำกล่าวไว้แล้วว่า “ฉันไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ จงมองหาอะไรก็ได้เถิด” พวกเขาจะเป็นผู้นำที่มีประโยชน์หรือไม่?  คำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องซึ่งพวกเขากล่าวออกมานั้นสามารถทดแทนประเด็นปัญหาโดยละเอียดนานัปการที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์หนังสือได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ทว่าผู้นำเทียมเท็จคนนี้กลับเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นทดแทนได้  พวกเขาคิดว่า “ฉันสามัคคีธรรมความจริงไปแล้วมากมายหลายประการ และฉันก็บอกหลักธรรมทั้งหมดให้พวกเขาแล้ว  พวกเขาควรจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้!”  การ “ควร” นี้คือแบบแผนของตรรกะและการแก้ปัญหาของผู้นำเทียมเท็จคนนี้  ในท้ายที่สุดเมื่อพิมพ์หนังสือออกมาแล้ว เนื่องจากกระดาษมีคุณภาพย่ำแย่เพียงนั้นและบางเกินไป จึงมองเห็นตัวอักษรจากทั้งสองด้าน ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุและบรรดาผู้ที่สายตาไม่ดีต้องอ่านหนังสือด้วยความบากบั่นและยากลำบากอย่างมาก  นอกจากนั้นยังมีประเด็นปัญหาของขั้นตอนสุดท้าย คือกระบวนการเข้าเล่ม—การที่การเข้าเล่มได้มาตรฐานหรือไม่นั้นมีผลต่อคุณภาพโดยรวมและอายุการใช้งานของหนังสือ  เพราะผู้นำไม่ได้ให้วิธีการทำ และบรรดาผู้ที่ดำเนินงานนี้ก็ขาดหลักธรรมและประสบการณ์ และมีส่วนร่วมในการต่อรองราคาอย่างไม่รับผิดชอบ โรงพิมพ์จึงทำงานกระจอกๆ และใช้วัสดุคุณภาพต่ำเพื่อจะได้คุ้มทุน และสุดท้ายเมื่อหนังสือถูกแจกจ่ายให้พี่น้องชายหญิง หนังสือเหล่านั้นก็เริ่มหลุดออกจากกันภายในสองเดือน  ปกและหน้าหนังสือหลุดออกมา และงานพิมพ์ทั้งหมดนั้นก็ทำไปโดยเปล่าประโยชน์  เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของใคร?  หากจะต้องมีใครบางคนเป็นผู้รับผิดชอบ ความรับผิดชอบโดยตรงจะตกอยู่กับบุคคลสองคนที่รับผิดชอบการพิมพ์หนังสือ และความรับผิดชอบโดยอ้อมจะไปอยู่ที่ผู้นำเทียมเท็จ  ผู้นำเทียมเท็จมีข้อแก้ตัวด้วยซ้ำไป โดยกล่าวว่า “คุณไม่อาจตำหนิฉันได้สำหรับเรื่องที่งานนี้ออกมาไม่ดี ฉันก็ไม่เข้าใจงานนี้เหมือนกัน!  ฉันไม่เคยพิมพ์หนังสือ และฉันก็ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงพิมพ์  ฉันจะรู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรเล่า?”  ข้อแก้ตัวนี้ฟังขึ้นหรือไม่?  ในฐานะผู้นำ งานนี้อยู่ภายในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทักษะ ความรู้ประเภทหนึ่ง หรือความจริง เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกส่วนของงานนั้น แต่เจ้าพยายามที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ตนไม่รู้แล้วหรือยัง?  เจ้าทำหน้าที่รับผิดชอบของตนให้ลุล่วงในลักษณะที่จริงจังและมีมโนธรรมแล้วหรือยัง?  บางคนอาจจะกล่าวว่า “ฉันต้องการทำหน้าที่รับผิดชอบของฉันให้ลุล่วง แต่ฉันก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน  ไม่ว่าฉันจะพยายามเรียนรู้อย่างหนักเพียงใด ฉันก็ไม่สามารถเข้าใจได้อยู่ดี!”  นี่หมายความว่าเจ้าไม่ได้มาตรฐานในฐานะผู้นำ เจ้าเป็นผู้นำเทียมเท็จโดยสมบูรณ์  เนื่องจากคุณภาพที่ย่ำแย่ของหนังสือ พี่น้องชายหญิงจึงรู้สึกไม่พอใจนัก โดยกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ต้องจ่ายเงินสำหรับหนังสือเหล่านี้ แต่คุณภาพก็ย่ำแย่เกินไป!  ผู้นำคนนี้ทำงานของพวกเขาอย่างไร?  พวกเขาดำเนินการงานนี้อย่างไรกัน?”  เมื่อผู้นำได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาก็ตอบว่า “คุณสามารถตำหนิฉันในเรื่องนั้นได้หรือ?  ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของโรงพิมพ์ และฉันก็ไม่มีสิทธิตัดสินใจขั้นสุดท้าย  ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นการประหยัดเงินให้พระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  การประหยัดเงินให้พระนิเวศของพระเจ้าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องหรือ?”  คำพูดของผู้นำนั้นถูกต้อง คำพูดดังกล่าวไม่ผิด ผู้นำไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย  อย่างไรก็ดีมีปัญหาอยู่ประการหนึ่ง ซึ่งก็คือเงินที่ใช้ในการพิมพ์หนังสือนั้นสูญไปโดยเปล่าประโยชน์  หนังสือที่แจกจ่ายให้พี่น้องชายหญิงเริ่มหลุดออกจากกันและหน้าหนังสือก็หายไปภายในสองเดือน  ใครควรเป็นคนรับผิดชอบผลที่ตามมา?  นี่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำมิใช่หรือ?  การนี้เกิดขึ้นภายในขอบเขตงานของเจ้า ระหว่างช่วงเวลาที่เจ้ารับหน้าที่เป็นผู้นำ ดังนั้นเจ้าก็ควรรับผิดชอบมิใช่หรือ?  เจ้าต้องรับผิดชอบต่อคำตำหนิ เจ้าไม่อาจปฏิเสธหน้าที่รับผิดชอบของตนได้!  บางคนอาจถึงกับพูดจาในหนทางที่ไม่สมเหตุสมผล โดยกล่าวว่า “ฉันไม่เคยทำงานนี้มาก่อน  ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ทำผิดพลาดในงานที่ฉันไม่เคยทำมาเลยหรอกหรือ?”  แค่มองจากพื้นฐานของถ้อยแถลงนี้ เจ้าก็ไม่เหมาะสมกับงานของตนแล้ว และเจ้าก็ควรจะถูกปลดออก  เจ้าไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ เจ้าคือผู้นำเทียมเท็จตัวจริง  การกล่าวคำพูดที่ไพเราะเสนาะหูมากมาย แต่กลับไม่ทำงานจริงเลย—นี่คือการสำแดงที่เห็นได้ชัดที่สุดของผู้นำเทียมเท็จ

ผู้นำเทียมเท็จบางคนไม่สามารถทำงานจริงแต่ละรายการได้อย่างถูกควรและเป็นรูปธรรมโดยที่เท้าของพวกเขาอยู่บนพื้นดินอย่างมั่นคง  พวกเขาสามารถจัดการเพียงกิจธุระทั่วไปได้บางอย่างเท่านั้น และเช่นนั้นพวกเขาก็เชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้นำที่ได้มาตรฐาน เชื่อว่าตนเก่งมาก และพวกเขาก็มักจะคุยโวโดยกล่าวว่า “ฉันต้องกังวลเกี่ยวกับทุกสิ่งในคริสตจักร และฉันต้องจัดการกับปัญหาทุกอย่าง  คริสตจักรสามารถอยู่โดยไม่มีฉันได้หรือไม่?  หากฉันไม่จัดการชุมนุมให้พวกคุณ พวกคุณก็คงจะกลายเป็นเหมือนเม็ดทรายร่วนๆ กองหนึ่งไม่ใช่หรือ?  หากฉันไม่คอยดูแลและช่วยประคับประคองงานผลิตภาพยนตร์ คงจะมีผู้คนมาก่อกวนอยู่เนืองๆ ไม่ใช่หรือ?  งานผลิตภาพยนตร์จะสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่?  แม้ว่าฉันจะเป็นคนธรรมดาในงานเพลงสรรเสริญ หากฉันไม่มาตรวจงานของพวกคุณบ่อยๆ ยืนหยัดเพื่อพวกคุณ และจัดการชุมนุมให้พวกคุณ พวกคุณจะสามารถผลิตเพลงสรรเสริญเหล่านั้นได้หรือไม่?  พวกคุณจะต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงจะเข้าใจสิ่งทั้งหลาย?”  ถ้อยแถลงเหล่านี้อาจดูสมเหตุสมผลและถูกต้อง แต่หากเจ้ามองดูอย่างใกล้ชิด รายการนานัปการของงานที่ใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสายงานซึ่งถูกควบคุมดูแลโดยผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้กำลังคืบหน้าไปอย่างไร?  พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงได้อย่างชัดเจนหรือไม่?  (ไม่ได้)  ครั้งหนึ่งฝ่ายผลิตภาพยนตร์ขอคำแนะนำในประเด็นปัญหาเรื่องสีของเสื้อผ้า  พวกเขาถ่ายภาพนิ่งหลายภาพ และพื้นหลังและผู้คนในภาพนั้นแตกต่างกัน แต่โดยพื้นฐานแล้วสีของเสื้อผ้าเป็นโทนสีเดียวกัน—สีทั้งหมดเป็นสีเทาเหมือนสีดินและสีเหลือง  เราถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?  เหตุใดพวกเขาจึงสวมเสื้อผ้าสีเหล่านี้?”  พวกเขาบอกว่าสีเหล่านี้ถูกเลือกมาอย่างจงใจ พวกเขาเฟ้นหาเสื้อผ้าสีเหล่านี้มาจากตลาดแห่งหนึ่งผ่านทางการตรากตรำและความพยายามอย่างหนักมาก  เรากล่าวว่า “เหตุใดเจ้าจึงเลือกสีเหล่านี้?  เบื้องบนได้ประทานคำสั่งให้เจ้าเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรือไม่?  เบื้องบนทรงสั่งให้คุณใช้สีสันหลากหลาย และสีเหล่านั้นต้องสง่างามและเหมาะสมไม่ใช่หรือ?  ผลลัพธ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”  สุดท้ายภายหลังจากการสอบถาม บางคนก็กล่าวว่า “สีอื่นๆ ดูไม่สง่างามและเหมาะสมพอ หรือไม่ก็เหมือนกับบรรดาสีที่ผู้เชื่อในพระเจ้าหรือวิสุทธิชนสวมใส่  มีแค่โทนสีนี้เท่านั้นที่ดูเหมือนกับสีที่ผู้เชื่อควรสวมใส่มากกว่า  ดังนั้นทุกคนจึงมีทัศนะตรงกันว่าการสวมเสื้อผ้าที่เป็นสีประเภทเหล่านี้เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้ามากที่สุดและเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของภาพลักษณ์ของพระนิเวศของพระเจ้า”  เรากล่าวว่า “เราไม่เคยบอกให้พวกเจ้าทุกคนสวมเสื้อผ้าสีเหล่านี้  มีสีสันที่สง่างามและเหมาะสมอยู่มากมาย  จงคิดสิว่าสายรุ้งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาเป็นหมายสำคัญแห่งพันธสัญญาของพระองค์กับมวลมนุษย์นั้นงดงามเพียงใด  มีสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีคราม สีม่วง—ทุกสีถูกนำมาแสดง ยกเว้นสีที่พวกเจ้ากำลังสวมใส่  เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงเลือกสีเหล่านั้น?”  ผู้นำของพวกเขาได้ทำงานที่เป็นรูปธรรมในการดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  เรากล้าบอกว่าพวกเขาไม่ได้ทำอย่างแน่นอน  หากผู้นำมีการทำความเข้าใจอย่างหมดจดรวมทั้งเข้าใจความจริงและข้อกำหนดของพระเจ้าอย่างแท้จริง สมาชิกในฝ่ายผลิตภาพยนตร์คงจะไม่เลือกเสื้อผ้าดังกล่าวและปรึกษาเบื้องบนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้  ประเด็นปัญหาเรื่องเสื้อผ้าอาจจะได้รับการแก้ไขในระดับที่ต่ำกว่าไปแล้ว แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่สามารถจัดการกับประเด็นปัญหานี้ได้  ตรงกันข้ามพวกเขากลับทูลถามเบื้องบนถึงเรื่องนี้อย่างไร้ยางอาย  บุคคลเช่นนี้ควรถูกตัดแต่งมิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จคนนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ง่ายที่สุดนี้ได้ด้วยซ้ำไป—พวกเขาจะมีประโยชน์อะไร?  เจ้าเป็นแค่เพียงขยะชิ้นหนึ่ง!  เจ้าถูกขอให้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและเป็นพยานให้พระองค์ แต่เจ้ากลับลงเอยด้วยการทำให้พระเจ้าเสื่อมเสีย  เจ้าเข้าใจมากพอสมควรมิใช่หรือ?  เจ้าสามารถพูดถึงความรู้และคำสอนได้มากมายมิใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้วเพราะเหตุใดคำสอนและความรู้ทั้งหมดนั้นจึงไม่มีประสิทธิภาพในสถานการณ์นี้?  เจ้าถึงกับล้มเหลวในการแก้ไขและดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเรื่องเสื้อผ้าได้อย่างไร?  เจ้าเคยมีประสิทธิผลอย่างที่เจ้าพึงมีในฐานะผู้นำหรือไม่?  เจ้าเคยทำหน้าที่รับผิดชอบให้ลุล่วงอย่างที่เจ้าพึงทำในฐานะผู้นำหรือไม่?  นี่คือการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จ  ในงานที่เฉพาะเจาะจงใดๆ ผู้นำเทียมเท็จก็ขาดพร่องความเข้าใจในหลักธรรม  พวกเขาไม่สามารถให้การแก้ไขและการแก้ปัญหาสำหรับประเด็นปัญหาใดๆ ของการทำความเข้าใจความจริงที่บิดเบือนได้ทันท่วงที และไม่สามารถทำให้ผู้คนค้นพบทิศทางและเส้นทางในการผ่านพ้นปัญหานี้ได้  ผู้นำเทียมเท็จเพียงแค่กล่าวคำพูดและคำสอน รวมทั้งตะโกนคำขวัญเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถทำงานที่เป็นรูปธรรมได้เลย

ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริงหรือดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน

ผู้นำเทียมเท็จบางคนไม่สามารถทำงานที่เป็นรูปธรรมได้ แต่พวกเขากลับจัดการกับกิจธุระทั่วไปบางอย่างที่ไม่มีนัยสำคัญ และคิดว่านี่คือการทำงานที่เป็นรูปธรรม และการนี้อยู่ภายในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของตน  ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังจัดการกับกิจธุระเหล่านี้ในลักษณะที่จริงจังมากและทุ่มเทพยายามอย่างมากจริงๆ โดยดำเนินการกิจธุระดังกล่าวในลักษณะที่เหมาะควรอย่างมาก  ตัวอย่างเช่น มีบุคคลคนหนึ่งในคริสตจักรที่เคยทำงานเป็นเชฟขนมอบมาก่อน  วันหนึ่งเขาตัดสินใจด้วยความมีเมตตาในหัวใจของตนว่าเขาเพียงแค่ต้องอบขนมให้เรา และตระเตรียมที่จะทำเช่นนั้นโดยไม่ได้แจ้งให้เราทราบเรื่องนี้  เขาถามผู้นำของเขาว่าการนี้ได้รับอนุญาตหรือไม่ และพวกเขาก็บอกว่า “เอาเลย  หากขนมนั้นรสชาติดี พวกเราจะถวายขนมดังกล่าวให้พระเจ้า  หากรสชาติไม่ดี พวกเราทุกคนก็สามารถกินขนมเหล่านั้นได้”  เขาได้รับการอนุมัติจากผู้นำแล้ว ซึ่งทำให้งานนี้ถูกทำนองคลองธรรมและถูกควร ดังนั้นเขาจึงรวบรวมส่วนผสมต่างๆ และอบขนมออกมาหนึ่งชุดอย่างรวดเร็ว และกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่าขนมเหล่านี้จะรสชาติดีหรือไม่ หรือว่าขนมเหล่านี้จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้หรือไม่ หรือขนมเหล่านี้จะเหมาะกับรสนิยมของพระองค์หรือไม่”  บรรดาผู้นำตอบว่า “ไม่เป็นไร พวกเราจะเสียสละเวลาและสุขภาพของพวกเรา และยอมเสี่ยงเล็กน้อยเพื่อพระเจ้า  พวกเราจะชิมขนมก่อนและตรวจสอบขนมเหล่านั้นให้พระเจ้า  หากขนมมีรสชาติไม่ดีจริงๆ และพวกเราทูลขอให้พระเจ้าเสวยขนมเหล่านั้น พระองค์จะทรงรู้สึกหงุดหงิดและผิดหวังในตัวพวกเราอย่างมาก  เพราะฉะนั้นในฐานะผู้นำ พวกเราจึงมีหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันในการดำเนินการตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้  นี่คือการทำงานที่เป็นรูปธรรม”  ต่อมาหัวหน้ากลุ่มทุกคนที่มี “สำนึกแห่งความรับผิดชอบ” เล็กน้อยก็ชิมขนมอบกัน  หลังจากได้ชิมขนมแล้ว พวกเขาก็วิพากษ์วิจารณ์ โดยกล่าวว่า “เตาอบร้อนเกินไปสำหรับการอบชุดนี้ อุณหภูมิสูงเกินไป และเป็นไปได้ว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนภายใน—ขนมยังมีรสขมเล็กน้อยด้วย  นั่นไม่ดีเลย!  พวกเราจำเป็นต้องมีท่าทีที่รับผิดชอบและอบขนมอีกชุดหนึ่ง แล้วชิมขนมอีกครั้ง!”  หลังจากชิมขนมชุดนี้แล้ว พวกเขากล่าวว่า “ชุดนี้น่าจะถูกต้องแล้ว  ขนมมีรสเนย รสชาติของไข่และงาด้วย  นี่ช่างคู่ควรกับการเป็นเชฟขนมอบอย่างแท้จริง!  ในเมื่อมีขนมมากมายนัก และพระเจ้าไม่อาจเสวยขนมทั้งหมดนี้เพียงลำพังได้ ให้พวกเรานำขนม 10 หรือ 20 ชิ้นใส่ไว้ในขวดโหลใบเล็ก แล้วถวายเป็นตัวอย่างให้พระเจ้าทรงชิม  หากพระเจ้าทรงพบว่าขนมเหล่านี้อร่อย พวกเราก็สามารถอบขนมต่อไปในปริมาณที่มากขึ้นได้”  พวกเขาส่งขวดโหลใบหนึ่งให้เรา และเราก็ลองชิมขนมไปสองชิ้น  เราคิดว่าขนมดังกล่าวพอใช้ได้ในฐานะที่เป็นของแปลกใหม่ แต่ไม่เหมาะสมที่จะเป็นอาหารมื้อหลัก ดังนั้นเราจึงหยุดกินขนมเหล่านั้น  บางคนถึงกับคิดว่าขนมเหล่านั้นเป็นขนมที่สมาชิกคนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้าทำมาจากที่บ้าน และคิดว่าขนมเหล่านั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความจงรักภักดี และความยำเกรง และมีความหมายมาก ถึงแม้ว่าขนมดังกล่าวจะมีรสชาติพอใช้ได้เท่านั้น  หลังจากนั้น เราก็นำขวดโหลใส่ขนมอบไปคืน  เราไม่สนใจในสิ่งดังกล่าวและเราก็ไม่รู้สึกอยากกินขนมเหล่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น หากเราอยากกินขนมอบ เราก็สามารถซื้อขนมอบเหล่านั้นได้หลากหลายรสชาติและซื้อจากตลาดในประเทศต่างๆ โดยไม่ต้องจ่ายเงินมากมาย  หลังจากนั้นเราบอกพวกเขาว่า “เราซาบซึ้งกับความพยายามของเจ้า แต่โปรดอย่าทำขนมมาให้เราอีก  เราจะไม่กินขนมเหล่านั้น และหากเราต้องการขนม เราก็จะซื้อขนมเองเท่านั้น  หากมีความจำเป็นขึ้นมา เช่นนั้นก็จงทำขนมเมื่อเราขอให้เจ้าทำเท่านั้น หากเราไม่ได้บอกให้เจ้าทำขนม เช่นนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอบขนมอีก”  เรื่องนี้ง่ายพอที่จะเข้าใจมิใช่หรือ?  หากพวกเขาประพฤติตนได้ดีและเชื่อฟัง พวกเขาย่อมจะจดจำคำพูดของเราและงดเว้นจากการทำขนมอีก  เมื่อพระเจ้าตรัสว่าใช่ก็หมายความว่าใช่ ไม่ก็หมายความว่าไม่ และ “จงอย่าทำขนม” ก็หมายความว่า “จงอย่าทำขนม”  อย่างไรก็ตาม หลังจากเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็ส่งขนมอบมาให้เราอีกสองขวดโหล  เราบอกพวกเขาว่า “เราไม่ได้บอกพวกเจ้าหรอกหรือว่าอย่าทำขนมอีกต่อไป?”  พวกเขาตอบว่า “ขนมเหล่านี้แตกต่างจากคราวก่อน”  เราตอบว่า “ต่อให้ขนมเหล่านี้แตกต่างออกไป ก็ยังเป็นขนมอบอยู่ดี  ไม่มีความจำเป็นต้องทำขนมอบเลย  เราไม่ได้ทำตัวสุภาพ—หากเราต้องการขนมอบ เราจะบอกให้พวกเจ้ารู้  เจ้าไม่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้หรอกหรือ?  จงอย่าทำขนมอบอีกต่อไป”  คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่ทำความเข้าใจได้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  แต่เพราะเหตุใดบุคคลคนนี้ที่เป็นคนทำขนมจึงดูเหมือนจะลืมอยู่เสมอ?  หากผู้นำของเขาสามารถคอยตรวจสอบเขา ไม่ให้ความร่วมมือกับเขาอย่างแข็งขันหรือสนับสนุนให้เขาทำเช่นนี้ และสามารถจำกัดควบคุมเขาได้ทันท่วงที บุคคลคนนี้ที่เป็นคนทำขนมอบจะยังคงกล้าทำขนมหรือไม่?  อย่างน้อยที่สุดเขาคงจะไม่ทำขนมอย่างอาจหาญและไร้ศีลธรรมนัก  ดังนั้นบรรดาผู้นำเหล่านั้นมีประสิทธิผลอย่างไรในสถานการณ์นี้?  พวกเขาบริหารจัดการเรื่องปลีกย่อยทุกรายละเอียด ยื่นจมูกของตนเข้าไปยุ่งกับทุกสิ่ง และรับผิดชอบการตรวจสอบต่างๆ แทนเรา  พวกเขาช่าง “เปี่ยมรัก” เหลือเกินจนกระทั่งไม่อาจใช้คำพูดใดมาบรรยายได้  นี่คืองานที่พวกเขาควรจะทำใช่หรือไม่?  ไม่มีคำสั่งใดๆ ให้ทำการนี้ภายในหลักธรรมของงานในพระนิเวศของพระเจ้า และเราก็ไม่ได้มอบหมายงานนี้ให้พวกเขา นี่เป็นงานที่ผู้คนริเริ่มขึ้นมา เราไม่ได้ร้องของานนี้  แล้วเพราะเหตุใดผู้นำเหล่านี้จึงดำเนินการงานนี้อย่างกระตือรือร้นนัก?  นี่เป็นการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จ กล่าวคือการไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน  มีงานมากมายเหลือเกินในคริสตจักรที่จำเป็นต้องให้พวกเขาติดตาม ตรวจ และกระตุ้น และมีปัญหาจริงมากมายนักที่จำเป็นต้องให้พวกเขาแก้ไขโดยการสามัคคีธรรมความจริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำงานนั้นเลย  ตรงกันข้าม พวกเขากลับว่างพอที่จะชิมขนมอบแทนเราในครัว  ในเรื่องนี้พวกเขาจริงจังทีเดียวและทุ่มเทพยายามอย่างมาก  นี่เป็นสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จทำมิใช่หรือ?  การนี้น่าขยะแขยงมากอยู่แล้วมิใช่หรือ?  เราไม่เคยคาดหวังว่า หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่งเรื่องนี้จะโผล่ขึ้นมาอีก  บุคคลที่เป็นคนทำขนมอบต้องการจะเริ่มทำขนมอบให้เราอีกครั้ง  เราบอกผู้นำคนหนึ่งโดยเฉพาะว่า “เจ้าจงไปและแก้ไขเรื่องนี้  เจ้าจำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างชัดเจน  หากเขาทำเช่นนี้อีก เราจะให้เจ้าเป็นคนรับผิดชอบ!”  ด้วยงานที่มีให้ทำมากมายเหลือเกินในคริสตจักร งานใดๆ ก็ย่อมจะทำให้พวกเขายุ่งไปสักระยะหนึ่ง  เหตุใดพวกเขาจึงว่างนัก?  พวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อทำให้ตนเองอ้วนขึ้นหรือเพื่อมีส่วนร่วมในการพูดคุยเรื่องไร้สาระยามว่างใช่หรือไม่?  นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับสิ่งเหล่านั้น  หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวเพิ่มเติมใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้  เมื่อเราออกคำสั่งนั้นไปแล้ว ผู้นำก็ไม่ได้รายงานอะไร  ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ไม่มีใครส่งขนมอบชิ้นเล็กๆ เหล่านั้นมาให้เราอีก ซึ่งเป็นความโล่งใจทีเดียว  เมื่อตัดสินจากเหตุการณ์นี้ พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าผู้นำเหล่านี้ไม่ได้กำลังดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน?  (สามารถกล่าวได้)  เรื่องนี้ไม่ถึงกับจริงจังขนาดนั้น ยังมีเรื่องที่ร้ายแรงกว่านี้อีก

เรามักจะไปเยี่ยมคริสตจักรบางแห่งเพื่อชมรอบๆ พบกับผู้นำ ให้วิธีทำงานบางอย่าง และแก้ไขประเด็นปัญหาบางเรื่อง  บางครั้งเราก็ต้องกินอาหารกลางวันที่คริสตจักรเหล่านี้ ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่าใครจะเตรียมอาหารมื้อนั้น  บรรดาผู้นำนั้นมีความรับผิดชอบมากจนถึงขั้นที่พวกเขาเลือกใครบางคนที่อ้างว่าเป็นเชฟ  เรากล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าเขาจะเป็นเชฟหรือไม่ สิ่งสำคัญก็คือเราชอบอาหารที่เรียบง่าย  เราชอบลิ้มรสชาติดั้งเดิมของส่วนผสมทั้งหลาย  อาหารไม่ควรเค็มเกินไป มันเกินไป หรือมีการกระตุ้นรสชาติมากเกินไป  ในฤดูหนาวเราจำเป็นต้องกินอะไรอุ่นๆ  นอกจากนั้นอาหารต้องผ่านการปรุงให้สุกอย่างทั่วถึง ไม่สุกๆ ดิบๆ และย่อยง่าย”  เราสื่อสารหลักธรรมเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้วมิใช่หรือ?  การสัมฤทธิ์หลักธรรมเหล่านี้ง่ายหรือไม่?  หลักธรรมเหล่านี้ทั้งจำได้ง่ายและทำได้ง่าย  แม่บ้านที่ทำอาหารมาเป็นเวลาสามถึงห้าปีก็สามารถจับความเข้าใจและสัมฤทธิ์หลักธรรมเหล่านี้ได้  ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องยืนกรานที่จะหาเชฟมาทำอาหารให้เรา ใครบางคนที่สามารถทำอาหารที่บ้านได้ก็คงจะเพียงพอแล้ว  อย่างไรก็ตาม ผู้นำเหล่านี้ช่าง “เปี่ยมรัก” เหลือเกินจนกระทั่งพวกเขายืนกรานที่จะหา “เชฟ” มาเตรียมอาหารเวลาที่พวกเขารับรองเรา  ก่อนที่เชฟจะปรุงอาหารให้เราอย่างเป็นทางการ บรรดาผู้นำก็ต้องทำการตรวจสอบ  พวกเขาทำการนี้อย่างไร?  พวกเขาให้เชฟทำเกี๊ยวออกมาหนึ่งชุดและก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหนึ่งจาน และให้เขาผัดอาหารมาอีกสามสี่จาน  ผู้นำและหัวหน้ากลุ่มต่างๆ ทุกคนชิมอาหารเหล่านั้น แล้วพวกเขาก็พบว่าอาหารทุกจานอร่อยดีทีเดียว  สุดท้ายพวกเขาก็ขอให้เชฟรับผิดชอบงานทำอาหารให้เรา  โดยละวางผลการทดสอบรสชาติโดยผู้นำและธรรมชาติของประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องเอาไว้ พวกเราจงมาพูดคุยกันถึงเรื่องอาหารที่ตระเตรียมโดยเชฟคนนี้  ครั้งแรกที่เราไปนั้น เชฟผัดอาหารมาสองสามจาน และทุกคนค่อนข้างพึงพอใจ  ครั้งที่สอง เชฟทำเกี๊ยวมาหนึ่งชุด  หลังจากกินชิ้นแรก เราก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ—เกี๊ยวมีรสเผ็ดนิดหน่อย  คนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเราก็กล่าวว่าเกี๊ยวมีรสเผ็ดนิดหน่อยเช่นกัน และรู้สึกว่าลิ้นของพวกเขาเริ่มจะบวม  อย่างไรก็ดี เนื่องจากเกี๊ยวเป็นอาหารจานหลักเพียงอย่างเดียว เราจึงต้องกินเกี๊ยวให้หมดแม้ว่าเกี๊ยวจะเผ็ดก็ตาม  ไม่มีพริกให้เห็นในไส้เกี๊ยว ดังนั้นเราจึงไม่สนใจสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เกิดรสเผ็ดและกินอาหารมื้อนั้นจนหมด  ผลลัพธ์ก็คือร่างกายเราเริ่มมีปฏิกิริยาแพ้ในเย็นวันนั้น  เริ่มมีอาการคันไม่หยุดในหลายบริเวณทั่วร่างกายเรา และเราก็ต้องเกาต่อไป เราเกาตามตัวเราเองจนกระทั่งมีเลือดออกก่อนที่เราจะรู้สึกดีขึ้น  เรามีอาการคันอยู่สามวันก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะค่อยๆ ลดลง  หลังจากปฏิกิริยาแพ้ครั้งนี้ เราก็ระลึกได้ว่ามีการเติมพริกไทยลงไปในเกี๊ยวอย่างแน่นอน มิฉะนั้นเกี๊ยวดังกล่าวคงจะไม่เผ็ดนัก  เราแจ้งให้พวกเขาทราบแล้วว่าอย่าใส่ส่วนผสมที่เผ็ดอย่างพริกไทยลงไปเนื่องจากเราไม่สามารถทนส่วนผสมที่เผ็ดได้  อย่างไรก็ดี พวกเขาได้ใส่พริกไทยในปริมาณมากเพื่อตอบสนองรสนิยมของตนเอง ซึ่งมากเกินกว่าปริมาณปกติ มีความรู้สึกเผ็ดในการกินเกี๊ยวเหล่านั้น  เชฟคนนี้ไม่สามารถกำหนดสัดส่วนในการปรุงอาหารของเขาให้ถูกต้องได้ด้วยซ้ำ เขาใส่พริกไทยลงไปมากพอที่จะทำให้ใครบางคนเกิดปฏิกิริยาแพ้ได้  หลังจากนั้นเราบอกเขาว่า “จงอย่าใส่ส่วนผสมที่มีรสเผ็ดเหล่านั้นอีก  เราทนส่วนผสมเหล่านั้นไม่ได้  หากเจ้ามีความเป็นมนุษย์อยู่บ้างอย่างแท้จริง จงอย่าทำเช่นนั้นอีก  หากเจ้าปรุงอาหารให้ตัวเจ้าเอง เราจะไม่เข้าไปแทรกแซงในสิ่งที่เจ้ากิน  อย่างไรก็ตาม หากเจ้ากำลังปรุงอาหารให้เรา เช่นนั้นก็จงอย่าเติมส่วนผสมดังกล่าว  จงทำตามมาตรฐานที่เรากำหนด”  เขาทำเช่นนั้นได้หรือไม่?  ผู้นำควรจัดการกับงานนี้ไปแล้วมิใช่หรือ?  น่าเสียดายที่ไม่มีใครใส่ใจในเรื่องนี้ และพวกเขาก็ไม่ได้ทำงานใดๆ ที่พวกเขาควรทำ  ในโอกาสหนึ่ง เมื่อเชฟกำลังจะปรุงอาหารอีกครั้ง เขาหยิบพริกไทยขึ้นมาเพื่อที่จะใส่ในอาหารจานนั้น แล้วใครบางคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็เห็นการนั้นและหยุดเขาไว้  ภายใต้การควบคุมดูแลที่เข้มงวดของพวกเขา เชฟจึงไม่มีโอกาสที่จะเติมพริกไทยลงไป  บรรดาผู้นำไม่สามารถแก้ปัญหาที่เล็กขนาดนี้ได้—เช่นนั้นแล้วพวกเขาสามารถทำอะไรได้?  ตอนที่เชฟกำลังปรุงอาหารอยู่ พวกเขาค่อนข้างกระตือรือร้นเกี่ยวกับการชิมอาหาร  หลายคนได้ไปชิมอาหาร  อาหารดังกล่าวก็เป็นเพียงอาหารธรรมดาที่ปรุงในบ้าน การชิมอาหารนั้นจะควรค่าอย่างไร?  พวกเจ้าล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงอาหารใช่หรือไม่?  หลังจากกลายเป็นผู้นำ จู่ๆ พวกเจ้าก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างใช่หรือไม่?  พวกเจ้าเข้าใจหลักธรรมของสุขภาพหรือไม่?  พระนิเวศของพระเจ้าได้จัดการเตรียมการให้พวกเจ้าทำการนี้หรือไม่?  เราได้มอบหมายหรือมีบัญชาให้พวกเจ้าชิมอาหารแทนเราตั้งแต่เมื่อไร?  เจ้าขาดพร่องเหตุผลมากเกินไป เจ้าไม่มีความละอายเสียเลย!  ใครก็ตามที่มีความละอายเล็กน้อยจะไม่ทำบางสิ่งที่โจ่งแจ้งเหลือเกิน น่าขยะแขยงเหลือเกิน และขาดพร่องเหตุผลเหลือเกิน  นี่แสดงให้เห็นว่าบุคคลเหล่านี้ไม่มีความละอายแม้แต่น้อย—พวกเขาชิมอาหารให้เรา!  พวกเจ้าไม่ได้ทำตามหรือลุล่วงหลักธรรมใดๆ ที่เราบอกพวกเจ้าเลย  สิ่งใดก็ตามที่มีรสชาติดีสำหรับพวกเจ้าและถูกปากพวกเจ้า พวกเจ้าก็ขอให้เชฟปรุงให้  นั่นคือการปรุงอาหารให้เราหรือ?  นั่นคือการปรุงอาหารให้ตัวพวกเจ้าเองมิใช่หรือ?  นี่เป็นวิธีที่พวกเจ้าปฏิบัติตนในฐานะผู้นำใช่หรือไม่?  การคว้าทุกโอกาสเพื่อที่จะหาประโยชน์ ใช้ช่องโหว่ และพยายามเอาอกเอาใจเรา—หากพวกเจ้าต้องการเอาอกเอาใจเรา ก็จงอย่าทำร้ายเรา!  นี่คือการขาดพร่องคุณธรรมมิใช่หรือ?  นี่เป็นการเก็บงำเจตนาที่ไม่ถูกควรเอาไว้มิใช่หรือ?  พวกเขาไร้ยางอายและเก็บงำเจตนาที่ไม่ถูกควรเอาไว้ แต่พวกเขาก็ยังคงคิดว่าตนจงรักภักดีมาก!  ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาทำมีอะไรเป็นสิ่งที่ผู้นำควรทำอย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำมีมาตรฐานเลย  พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาหารอะไรดีต่อสุขภาพหรือไม่ดีต่อสุขภาพ ทว่าพวกเขากลับคิดว่าตนสามารถมาที่นี่แล้วเล่นบทบาทของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและอาหารให้เราได้!  ใครเป็นผู้กำหนดว่าพวกเจ้าต้องดำเนินการตรวจสอบเมื่อเป็นเรื่องการปรุงอาหารให้เรา?  คริสตจักรมีข้อกำหนดนี้หรือไม่?  พระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดการเตรียมการนี้ไว้หรือไม่?  มีช่องโหว่มากมายเหลือเกินที่ปรากฏอยู่ในรายการงานของคริสตจักรนานัปการ มีผู้คนจำนวนมากนักที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และไม่เข้าใจความจริงเลย ทว่าพวกเจ้าก็ไม่จัดการกับสิ่งเหล่านั้น  ตรงกันข้ามพวกเจ้ากลับทุ่มเทความพยายามลงไปในพื้นที่ที่เล็กเพียงนั้น อย่างห้องครัว โดยการทำ “หน้าที่รับผิดชอบ” ของตนให้ลุล่วง  พวกเจ้าเป็นผู้นำเทียมเท็จตัวจริง พวกเจ้าเป็นคนหน้าซื่อใจคด!  พวกเจ้าตรวจสอบสิ่งทั้งหลายอยู่ต่อหน้าเราเลย—พวกเจ้าเข้าใจอะไรบ้าง?  พวกเจ้าได้ปรึกษาเราหรือไม่?  พวกเจ้ากำลังแสดงออกถึงแนวคิดของตนเองหรือของเรา?  หากพวกเจ้ากำลังแสดงออกถึงแนวคิดของเรา และเราได้ขอให้พวกเจ้าถ่ายทอดแนวคิดนั้น เช่นนั้นแล้วสิ่งที่พวกเจ้ากำลังทำอยู่นั้นย่อมจะถูกต้อง  นั่นจะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของพวกเจ้า  หากพวกเจ้ากำลังแสดงออกถึงแนวคิดของตนเองและไม่ใช่แนวคิดของเรา และพวกเจ้ายืนกรานว่าจะบังคับให้คนอื่นฟังและยอมรับแนวคิดนั้น ธรรมชาติของการนี้คืออะไร?  จงบอกเราเถิดว่า เราจะไม่รู้สึกขยะแขยงการนี้หรอกหรือ?  เราอยู่ที่นั่นเลย และพวกเขาก็ไม่ได้ถามเราสักคำว่าเรากินสิ่งใดบ้างหรือเรามีข้อกำหนดใดบ้าง—พวกเขาตัดสินใจกันเลยโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากเรา และออกคำสั่งตามอำเภอใจลับหลังเรา  พวกเขาพยายามที่จะเป็นตัวแทนเราใช่หรือไม่?  นี่คือการที่ผู้นำเทียมเท็จเกะกะระรานโดยการทำสิ่งที่ไม่ดี และแสร้งทำตัวเป็นคนฝ่ายวิญญาณ แสร้งทำเป็นคำนึงถึงภาระของพระเจ้า แสร้งทำเป็นเข้าใจความจริง และทำสิ่งที่หน้าซื่อใจคดเท่านั้น  นี่มากเกินไปแล้วมิใช่หรือ?  นี่ช่างน่าขยะแขยงและน่ารังเกียจมากอยู่แล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเจ้าได้รับความรู้ที่ลึกซึ้งบ้างหรือไม่?  พวกเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนจากเรื่องนี้บ้างหรือไม่?  เรื่องเหล่านี้แต่ละเรื่องน่าขยะแขยงกว่าเรื่องก่อน และมีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าขยะแขยงยิ่งกว่าเสียอีก

ฤดูหนาวนี้มีคนที่มีใจกรุณาซื้อเสื้อโค้ตขนเป็ดที่ “สวยงาม” ตัวหนึ่งให้เรา  ความสวยงามของเสื้อตัวนี้ไม่ได้อยู่ที่สีสันหรือรูปแบบของเสื้อโค้ตแต่อยู่ที่ราคาที่สูงและคุณภาพระดับสูงของเสื้อตัวนี้ นี่เป็นของมีค่า  ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อมีคำกล่าวที่ว่า “ขนห่านที่ถูกส่งมาไกลนับพันไมล์ ของขวัญอาจจะเล็กน้อย แต่ความรู้สึกนั้นลึกซึ้ง”  เสื้อโค้ตตัวนี้ไม่เพียงแต่นำความรู้สึกติดตัวมาด้วย แต่ยังมีราคาแพงมากจริงๆ  ก่อนที่จะเห็นเสื้อโค้ตดังกล่าว เราได้ยินมาแล้วว่าเสื้อตัวนี้ดูดีและเป็นสีแดง มีการออกแบบที่สวยงาม และให้ความรู้สึกที่มั่นคง  เราได้ยินเรื่องของเสื้อตัวนี้มาแล้ว บางคนได้เห็นของจริงมาแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นัก—กล่าวคือ หลายคนได้เห็นเสื้อตัวนี้ วัดขนาดเสื้อตัวนี้คร่าวๆ และตรวจสอบเสื้อตัวนี้อย่างละเอียดมาแล้ว และกล่าวสิ่งทั้งหลายอย่างเช่น “ฉันรู้จักยี่ห้อนี้” “สีสวยดี เสื้อตัวนี้สวยทีเดียว!” “หลังจากคุณดูเสื้อตัวนี้แล้ว เอามาให้ฉันดูบ้างนะ” และเช่นนั้นเองข่าวก็แพร่กระจายออกไป  เราไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดกว่าข่าวนี้จะมาถึงหูเรา และกว่าเราจะได้รู้เรื่องนี้เล็กน้อย  พวกเจ้าสามารถมองเห็นปัญหาในที่นี้ได้หรือไม่?  โดยที่เรายังไม่เคยเห็นเสื้อโค้ตดังกล่าว ก็มีคนอื่นมากมายได้เห็นเสื้อตัวนี้ ส่งต่อเสื้อตัวนี้ และนำเสื้อตัวนี้ไปแสดงแล้ว  นี่เป็นปัญหามิใช่หรือ?  ผู้คนสามารถมองดู จับต้อง และนำสิ่งของของเราไปแสดงโดยไม่ตั้งใจได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  มีสิ่งของของใครบ้างหรือที่ผู้คนสามารถจับต้องและมองดูโดยไม่ตั้งใจได้?  (ไม่มีใครจะต้องการให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น และไม่มีใครควรทำเช่นนี้)  เช่นนั้นแล้วสิ่งของของเราก็ควรเป็นของต้องห้ามยิ่งกว่านั้นมิใช่หรือ?  บางคนกล่าวว่า “เพราะเหตุใดสิ่งของเหล่านั้นจึงควรเป็นของต้องห้าม?  พระองค์ทรงเป็นบุคคลสาธารณะ  ชีวิตส่วนตัวของคนที่มีชื่อเสียงและดาราก็ถูกเปิดโปงอยู่เสมอมิใช่หรือ?  สถานที่ที่พวกเขาเล่นกีฬา สถานที่ที่พวกเขาไปเสริมความงาม คนที่พวกเขาคบหา ยี่ห้อของเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่—สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกเปิดโปงมิใช่หรือ?  เพราะเหตุใดสิ่งของของพระองค์จึงไม่ถูกเปิดโปงบ้าง?”  เราเป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือไม่?  เราไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียง และเจ้าก็ไม่ใช่แฟนคลับของเรา  เจ้าเป็นใคร?  เจ้าเป็นคนธรรมดาสามัญ เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม  เราเป็นใคร?  (พระเจ้า)  เราไม่ใช่บุคคลสาธารณะ เราไม่จำเป็นต้องเปิดโปงทุกสิ่ง รายงานทุกสิ่ง หรือแจ้งทุกสิ่งให้เจ้าทราบ  แล้วเพราะเหตุใดเจ้าจึงจับต้องบางสิ่งที่เป็นของเรา?  การทำเช่นนั้นน่าขยะแขยงมิใช่หรือ?  เรามีบัญชาให้เจ้ามองดูและดำเนินการตรวจสอบสิ่งของของเราชิ้นนี้ใช่หรือไม่?  ไม่ใช่  ทว่าบางคนกลับกล้านำของชิ้นนี้ไปและมองดูของชิ้นดังกล่าวโดยไม่ตั้งใจในลักษณะที่หน้าไม่อายเช่นนี้ และแม้กระทั่งส่งต่อของชิ้นดังกล่าว  ใครให้สิทธิแก่เจ้าในการส่งต่อของชิ้นนี้?  นี่เป็นภาระหน้าที่ของเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเราก็เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน  เป็นเพราะว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า เราจึงรู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่เราไม่รู้ว่าครอบครัว ชีวิตประจำวัน หรือสถานการณ์ทางการเงินของเจ้าเป็นเช่นไร และเราก็ไม่ใส่ใจที่จะรู้  พวกเราสนิทกันหรือไม่?  เราไม่ใช่เพื่อนซี้ เพื่อนสนิท หรือสหายของเจ้า  พวกเราไม่คุ้นเคยกัน และพวกเราก็ไม่ได้ไปถึงจุดที่ทุกสิ่งของเราควรจะถูกเปิดให้เจ้าตรวจดูอย่างละเอียด  เจ้าจะยอมให้เราดูสิ่งของของเจ้าทุกอย่าง และนำสิ่งของเหล่านั้นไปแสดงให้ทุกคนเห็นและจับต้องหรือไม่?  แม้ในเวลาที่เจ้านำบางสิ่งจากตลาดกลับมาที่บ้าน ก็ยังจำเป็นต้องนำมาล้างหลายครั้งเพื่อฆ่าเชื้อโรคเลย!  สิ่งทั้งหลายที่คนอื่นจับต้องไปแล้วโดยไม่ตั้งใจนั้นน่าขยะแขยงมิใช่หรือ?  เจ้าเคยล้มเหลวในการปฏิบัติต่อตนเองเหมือนเป็นคนนอกมิใช่หรือ?  ใครมีบัญชาให้เจ้าตรวจเสื้อโค้ตของเรา?  เราไว้วางใจเจ้าหรือ?  เจ้าล้างมือของตนให้สะอาดแล้วหรือก่อนที่จะจับต้องเสื้อโค้ตของเราโดยไม่ระมัดระวัง?  เราจะไม่ขยะแขยงเจ้าหรอกหรือ?  เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนหรือไม่?  เหตุใดเจ้าจึงไร้ยางอายนัก?  เจ้าช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก!  เจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้วและได้ฟังคำเทศนาหลายครั้งมากนัก เหตุใดเจ้าจึงไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่นิดเดียว?  การเปิดของถวายที่เป็นของพระเจ้าโดยไม่ตั้งใจ การจับต้องเสื้อผ้า ของพระองค์และสิ่งทั้งหลายที่เป็นของพระองค์โดยไม่ตั้งใจ—นี่เป็นปัญหาประเภทใด?  เมื่อเราเห็นว่าหีบห่อของสิ่งของเหล่านี้ถูกเปิดและถูกทิ้งไปแล้ว เราจะไม่รู้สึกโกรธได้อย่างไร?  เราขยะแขยงสิ่งเหล่านี้ และเรารังเกียจผู้คนเหล่านี้  เราไม่ต้องการเห็นพวกเขาอีก และแน่นอนว่าเราไม่ต้องการจะคบหากับผู้คนเหล่านี้ซึ่งแย่ยิ่งกว่าสุกรและสุนัข!  จงจำไว้เถิดว่าทุกคนมีเกียรติยศของตน และเรามีมากยิ่งกว่านั้น  จงอย่ามาข้องเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นของเรา มิฉะนั้นเราจะรังเกียจและชิงชังเจ้า!

ดูจากภายนอกแล้ว ผู้นำเทียมเท็จอาจไม่ได้กระทำความชั่วอันใหญ่หลวงหรือเป็นผู้ร้ายที่คิดคดทรยศอย่างเปิดเผย  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดเกี่ยวกับพวกเขาคือ พวกเขามองเห็นได้ว่ามีงานจริงที่ต้องทำแต่พวกเขากลับไม่ทำงาน พวกเขารู้ดีอย่างมากว่าตนไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาทั้งหลายได้แต่พวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริง พวกเขามองเห็นคนชั่วที่ทำให้เกิดการก่อกวนแต่พวกเขากลับไม่จัดการกับการก่อกวนเหล่านั้น ตรงกันข้ามพวกเขากลับดูแลกิจธุระทั่วไปที่เป็นเรื่องภายนอกเท่านั้น  พวกเขาเฝ้าดูและควบคุมประเด็นปัญหาข้างเคียงและเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างใกล้ชิด แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานใดๆ ที่สัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หรือใส่ใจกับเรื่องนานัปการที่ขัดต่อหลักธรรมความจริง  ตรงกันข้ามพวกเขากลับทำแต่งานที่ไม่สัมพันธ์กับความจริงเท่านั้น  คนเหล่านี้คือผู้นำเทียมเท็จตัวจริง  บรรดาผู้นำเทียมเท็จนั้นไม่รู้ความเกี่ยวกับหลักธรรมความจริงซึ่งเกี่ยวข้องกับรายการงานนานัปการของคริสตจักรโดยสิ้นเชิง  หากประเมินวัดโดยเปรียบเทียบกับหลักธรรมและมาตรฐานของผู้นำและคนทำงานแล้ว ผู้นำเทียมเท็จก็คือคนเขลาและคนโง่  ไม่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในงานของคริสตจักรจะจริงจังเพียงใด ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถมองเห็นหรือแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ต่อให้ปัญหาเหล่านั้นเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาเลยก็ตาม และเบื้องบนก็ต้องมาและแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วยตนเอง  ผู้คนเหล่านี้คือผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จจริงๆ  ตัวอย่างเช่น ในงานข้อเขียนของคริสตจักร หนังสือเล่มใดพึงได้รับการพิสูจน์อักษรและหนังสือเล่มใดควรได้รับการแปล—งานเหล่านี้เป็นงานที่สำคัญยิ่งยวดสำหรับคริสตจักร  มีหลักธรรมใดบ้างที่เกี่ยวกับวิธีการพิสูจน์อักษรและแปลหนังสือ?  งานนี้มีหลักธรรมอย่างแน่นอน งานนี้เป็นงานที่อยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมอย่างมาก และงานนี้จำเป็นต้องมีการสามัคคีธรรมและชี้แนะอย่างเฉพาะเจาะจงจริงๆ แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถทำงานนี้ได้  เมื่อพวกเขาเห็นพี่น้องชายหญิงยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตน พวกเขาก็พูดอย่างเสแสร้งว่า “งานข้อเขียนและงานแปลนั้นมีความสำคัญเป็นพิเศษ  พวกคุณควรทุ่มเทหัวใจให้กับการทำงานนี้ให้ดี แล้วฉันจะแก้ไขประเด็นปัญหาใดก็ตามที่พวกคุณมี”  เมื่อใครบางคนหยิบยกประเด็นปัญหาประการหนึ่งขึ้นมาจริงๆ ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ก็กล่าวว่า “ฉันไม่เข้าใจเรื่องนี้  ฉันเป็นคนธรรมดาสามัญในเรื่องการแปลภาษาต่างประเทศ  จงอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาจากพระองค์”  เมื่อใครบางคนหยิบยกประเด็นปัญหาอีกประการหนึ่งขึ้นมา โดยถามว่า “พวกเราไม่สามารถหาคนที่เหมาะสมมาแปลบางภาษาได้ พวกเราควรทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”  ผู้นำเทียมเท็จก็ตอบว่า “ฉันเป็นคนธรรมดาสามัญในเรื่องนี้  พวกคุณจัดการเรื่องนี้เองเถิด”  การพูดเช่นนี้สามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่?  พวกเขาหาข้อแก้ตัวและปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่ได้ทำงานของตน โดยกล่าวว่า “ฉันเป็นคนธรรมดาสามัญ ฉันไม่เข้าใจสายงานนี้” และด้วยเหตุนั้นจึงเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาที่พวกเขาควรแก้ไข  นี่คือวิธีที่ผู้นำเทียมเท็จทำงาน  เมื่อใครบางคนตั้งคำถามขึ้นมา ผู้นำเทียมเท็จก็บอกว่า “จงอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาจากพระองค์ ฉันไม่เข้าใจสายงานนี้ แต่พวกคุณเข้าใจ”  คำพูดนี้อาจดูเหมือนถ่อมใจ เพราะพวกเขากำลังยอมรับว่าตนไม่มีความสามารถและไม่เข้าใจสายงานนี้ แต่ในความเป็นจริงนั้น พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติงานแห่งการนำได้เลย  แน่นอนว่าการเป็นผู้นำนั้นไม่จำเป็นต้องหมายความว่าพวกเขาต้องเข้าใจสายงานทุกประเภท แต่พวกเขาก็ควรจะสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่จำเป็นในการแก้ปัญหาทั้งหลายให้ชัดเจน ไม่ว่าปัญหาเหล่านั้นจะเกี่ยวข้องกับสายงานประเภทใดก็ตาม  ตราบใดที่ผู้คนเข้าใจหลักธรรมความจริง ปัญหาทั้งหลายย่อมสามารถแก้ไขได้ตามนั้น  ผู้นำเทียมเท็จใช้คำพูดที่ว่า “ฉันเป็นคนธรรมดาสามัญในเรื่องนี้ ฉันไม่เข้าใจสายงานนี้” มาเป็นเหตุผลในการหลีกเลี่ยงการสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหา  นี่ไม่ใช่การทำงานจริง  หากผู้นำเทียมเท็จใช้คำพูดที่ว่า “ฉันเป็นคนธรรมดาสามัญในเรื่องนี้ ฉันไม่เข้าใจสายงานนี้” อย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงการแก้ปัญหา เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่เหมาะสมกับงานแห่งการนำ  สิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาควรทำก็คือการลาออกและปล่อยให้คนอื่นมาแทนที่พวกเขา  แต่ผู้นำเทียมเท็จมีเหตุผลประเภทนี้หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถลาออกได้หรือไม่?  พวกเขาจะไม่ลาออก  พวกเขาถึงกับคิดว่า “เพราะเหตุใดพวกเขาจึงกล่าวว่าฉันไม่ได้ทำงานใดๆ อยู่เลย? ฉันจัดการชุมนุมทุกวัน แล้วฉันก็ยุ่งมากจนฉันไม่สามารถกินอาหารได้ตรงเวลาด้วยซ้ำไป และฉันก็ได้นอนน้อยลง  ใครหรือที่กล่าวว่าปัญหาทั้งหลายไม่ได้รับการแก้ไข?  ฉันจัดการชุมนุมและสามัคคีธรรมกับพวกเขา และฉันก็ค้นหาบทตอนจากพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขา”  สมมติว่าเจ้าถามพวกเขาว่า “มีใครบางคนบอกว่าพวกเขาไม่สามารถหานักแปลที่เหมาะสมสำหรับบางภาษาได้ คุณแก้ปัญหาที่เฉพาะเจาะจงนี้อย่างไร?”  พวกเขาจะพูดว่า “ฉันบอกพวกเขาว่าฉันไม่เข้าใจสายงานนี้ และให้พวกเขาหารือเรื่องนี้และจัดการเรื่องนี้กันเอง”  จากนั้นเจ้าก็ถามพวกเขาว่า “ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายสำหรับของถวายและความก้าวหน้าในงานของคริสตจักร  พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจกันเองได้ พวกเขาจำเป็นต้องให้คุณเป็นคนตัดสินใจและค้นหาหลักธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหานี้  คุณได้ทำเช่นนี้หรือไม่?”  พวกเขาจะตอบว่า “ฉันจะไม่ทำได้อย่างไร?  ฉันไม่เคยทำให้งานใดๆ ล่าช้า  หากไม่มีใครแปลภาษานั้น เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรจะแปลภาษาอื่นเท่านั้นเอง!”  เจ้าเห็นแล้วว่า ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำงานจริงได้แต่พวกเขาก็ยังคงมีข้อแก้ตัวมากมาย  นี่ช่างไร้ยางอายและน่าขยะแขยงอย่างแท้จริง!  ขีดความสามารถของเจ้าย่ำแย่มาก เจ้าไม่เข้าใจสายงานใดเลย และเจ้าก็ขาดพร่องการทำความเข้าใจหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้องกับงานเฉพาะทางสายงานทุกรายการ—การมีเจ้าเป็นผู้นำนั้นมีประโยชน์อะไร?  เจ้าเป็นเพียงคนเขลาและคนไร้ค่า!  ในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำงานจริงได้ เหตุใดเจ้าจึงยังคงทำหน้าที่เป็นผู้นำของคริสตจักรอยู่?  เจ้าเพียงแค่ไร้ซึ่งเหตุผล  ในเมื่อเจ้าขาดพร่องความตระหนักรู้ในตนเอง เจ้าก็ควรจะฟังเสียงสะท้อนจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและประเมินว่าเจ้าเป็นไปตามมาตรฐานสำหรับการเป็นผู้นำหรือไม่  แต่ทว่าผู้นำเทียมเท็จกลับไม่เคยคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้  ไม่ว่างานของคริสตจักรมากมายเพียงใดจะถูกทำให้ล่าช้าออกไป และเกิดความสูญเสียมากมายเพียงใดต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในระหว่างช่วงเวลาหลายปีที่พวกเขาทำหน้าที่เป็นผู้นำ พวกเขาก็ไม่ใส่ใจ  นี่คือโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของผู้นำเทียมเท็จตัวจริง

จงคิดว่าผู้นำและคนทำงานจัดการกับงานของพวกเขาอย่างไร—การนั้นตรงกับสิ่งที่เราเพิ่งบอกเจ้าหรือไม่?  มีใครบ้างที่ไม่ทำงานจริง และเจ้าสามารถหยั่งรู้ได้หรือไม่ว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ?  หากเจ้าหยั่งรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าก็ไม่ควรปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะผู้นำอีกต่อไป เจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนคนอื่นๆ  นี่คือหลักธรรมของการปฏิบัติที่ถูกต้อง  บางคนอาจสงสัยว่า “นี่หมายถึงการเลือกปฏิบัติ การดูแคลน หรือการกีดกันพวกเขาเพราะว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จใช่หรือไม่?”  ไม่ใช่  พวกเขาไม่สามารถทำงานจริงได้ และพวกเขาก็สามารถกล่าวได้เพียงคำพูดและคำสอนบางประการเท่านั้นรวมทั้งคำพูดที่กลวงเปล่าเพื่อพูดจาหลบเลี่ยงและหลอกลวงให้เจ้ายอมรับ  เรื่องนี้บอกข้อเท็จจริงประการหนึ่งให้เจ้ารู้ ซึ่งก็คือพวกเขาไม่ใช่ผู้นำของเจ้า  เจ้าไม่จำเป็นต้องขอคำสั่งสอนจากพวกเขาสำหรับปัญหาหรือความลำบากยากเย็นใดๆ ก็ตามที่เจ้าเผชิญในงานของตน  หากจำเป็น พวกเจ้าก็สามารถกระโดดข้ามพวกเขาไปโดยการรายงานปัญหาให้เบื้องบนทราบและขอคำปรึกษาจากเบื้องบนเกี่ยวกับวิธีจัดการและแก้ปัญหานั้น  เราได้สอนเส้นทางแห่งการปฏิบัติให้แก่พวกเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้าจะปฏิบัติตนอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับพวกเจ้า  เราไม่เคยพูดว่าผู้นำทุกคนถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้า เจ้าต้องฟังและเชื่อฟังพวกเขา และเจ้าต้องฟังพวกเขาต่อให้เจ้าหยั่งรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ  เราไม่เคยบอกเจ้าอย่างนั้นเลย  สิ่งที่เรากำลังสามัคคีธรรมในตอนนี้คือวิธีหยั่งรู้ผู้นำเทียมเท็จ  เมื่อเจ้าหยั่งรู้ว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จ เจ้าก็สามารถยอมรับและเชื่อฟังในสิ่งที่พวกเขากล่าวได้หากนั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและตรงกับความจริง  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และพวกเขาพูดจาหลบเลี่ยงและหลอกลวงให้เจ้ายอมรับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของงาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ต้องยอมรับการนำของพวกเขา  หากพวกเจ้าสามารถจับความเข้าใจหลักธรรมได้เอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรจะปฏิบัติตนตามหลักธรรมดังกล่าว  หากพวกเจ้าไม่สามารถจับความเข้าใจได้ ไม่มั่นใจ หรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับหลักธรรม เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ควรจะแสวงหาความจริงและหารือกันเพื่อที่จะรับมือกับปัญหานั้น  หากพวกเจ้ายังคงไม่สามารถตัดสินใจได้หลังจากหารือปัญหานั้นแล้ว จงรายงานปัญหาให้เบื้องบนทราบและขอคำปรึกษาจากเบื้องบนเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว  เหล่านี้ล้วนเป็นหนทางที่ดีในการจัดการกับปัญหา—ไม่มีความลำบากยากเย็นใดที่ไม่สามารถแก้ไขได้

พวกเราจะจบสามัคคีธรรมของพวกเราในวันนี้ไว้ตรงนี้  ลาก่อน!

16 มกราคม ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (1)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (4)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger