หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (1)

เหตุใดจึงจำเป็นต้องแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ

บัดนี้เมื่อพวกเราสามัคคีธรรมถึงการสำแดงนานัปการของศัตรูของพระคริสต์กันเสร็จสิ้นแล้ว วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมหัวข้อใหม่กัน—นั่นก็คือการสำแดงนานัปการของผู้นำเทียมเท็จ  ในช่วงหลายปีแห่งการเชื่อในพระเจ้า พวกเจ้าได้เผชิญกับการสำแดงและการปฏิบัติสารพัดรูปแบบของผู้นำเทียมเท็จ  ในกระบวนการที่พระนิเวศของพระเจ้าปลดผู้นำเทียมเท็จออกจากตำแหน่งในทุกระดับ ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมได้รับวิจารณญาณเกี่ยวกับผู้นำเทียมเท็จอยู่บ้างไม่มากก็น้อย กล่าวคือผู้คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจเล็กน้อยเกี่ยวกับการสำแดงที่เฉพาะเจาะจงบางประการของผู้นำเทียมเท็จ  แต่ไม่ว่าการทำความเข้าใจของเจ้าจะเป็นเช่นไรหรือเจ้าจะเข้าใจมากเพียงใด สุดท้ายแล้วความเข้าใจนั้นก็ยังไม่เป็นระบบหรือเฉพาะเจาะจงมากพอ  ระหว่างการเลือกสรรของคริสตจักร มีผู้คนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจหลักธรรมของการเลือกสรรผู้นำ คนประเภทใดที่ควรเลือกมาเป็นผู้นำและคนประเภทใดสามารถนำพี่น้องชายหญิงเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้ในฐานะผู้นำ และทำได้ตามมาตรฐานในฐานะผู้นำ  พวกเขาไม่ตระหนักหรือรู้ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มากนัก  มีกระทั่งคนที่เลอะเลือนและไม่มีวิจารณญาณบางคนซึ่งเลือกผู้นำเทียมเท็จอย่างโจ่งแจ้งในระหว่างการเลือกตั้ง โดยเลือกใครก็ตามที่เหมือนกับผู้นำเทียมเท็จในขณะที่ปฏิเสธการรับรู้เกี่ยวกับใครก็ตามที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและสามารถเป็นผู้นำได้อย่างแท้จริง ซึ่งมีขีดความสามารถของผู้นำและความเป็นมนุษย์  บรรดาผู้ที่ไม่มีขีดความสามารถหรือความเป็นมนุษย์ที่จะเป็นผู้นำโดยพื้นฐานก็ได้รับเลือกเพราะความกระตือรือร้นที่เห็นได้จากภายนอกหรือพฤติกรรมที่ดีบางอย่างของพวกเขา และเนื่องจากพวกเขาเป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของผู้คนในการเป็น “คนดี” ในขณะที่บรรดาผู้ที่มีคุณสมบัติทุกประการในการเป็นผู้นำจะไม่มีวันได้รับเลือก  บรรดาผู้ที่แสวงหาการเป็นจุดสนใจและสละตนเองอย่างกระตือรือร้น—แต่ไม่มีความสามารถในการทำงานเลย—จะปรากฏตัวในสภาพแวดล้อมนานาสารพัดเสมอ และดูแข็งขันเป็นพิเศษ และคนส่วนใหญ่จะคิดว่าคนประเภทนี้มีคุณสมบัติเหมาะสมและควรได้รับเลือก  ผลลัพธ์ก็คือ หลังจากที่ผู้คนเช่นนั้นได้รับเลือกแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถแบกรับงานใดๆ ได้เลย  พวกเขาไม่สามารถดำเนินการจัดการเตรียมงานของเบื้องบนได้ด้วยซ้ำ และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  แม้ว่าพวกเขาจะทำให้ตนเองยุ่งด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่งตลอดเวลา แต่หลังจากที่เป็นผู้นำมาช่วงหนึ่ง งานต่างๆ ของคริสตจักรก็ไม่มีพัฒนาการเลยและมีความคืบหน้าเล็กน้อย และเกิดสถานการณ์ที่งานของคริสตจักรระส่ำระสายหรือผู้คนแตกแยกกันอยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นผลจากการก่อกวนหรือแย่งชิงอำนาจโดยคนชั่ว  เหล่านี้คือผลที่ตามมาซึ่งเกิดจากงานของผู้นำเทียมเท็จ  หลังจากที่ผู้นำเทียมเท็จได้รับเลือก ไม่เพียงแต่การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงจะได้รับอิทธิพลและความเสียหาย แต่ในเวลาเดียวกันนั้นงานของคริสตจักรนานัปการก็จะได้รับผลกระทบที่เป็นลบ จนกระทั่งไม่สามารถดำเนินงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้อย่างราบรื่นหรือมีประสิทธิภาพ  ส่วนหนึ่งของปัญหานี้เกิดจากตัวผู้นำเทียมเท็จเอง แต่อีกส่วนหนึ่งก็เกี่ยวข้องกับบรรดาผู้ที่เลือกผู้นำเทียมเท็จด้วย  หากเจ้าไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง ไม่มีวิจารณญาณ รวมทั้งมองไม่เห็นและไม่อาจมองเห็นผู้คนได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนกระทั่งลงเอยด้วยการเลือกผู้นำเทียมเท็จ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้แก่ตนเองและผู้อื่นเท่านั้น แต่งานของคริสตจักรก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน  นี่คือผลกระทบและความเสียหายที่ผู้นำเทียมเท็จก่อให้เกิดแก่การเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและงานของคริสตจักร  เพราะฉะนั้นพวกเราจึงต้องแยกแยะและแจกแจงการสำแดงนานัปการของผู้นำเทียมเท็จ และบนพื้นฐานนั้นเราจะทำให้พวกเจ้าสามารถเข้าใจว่าพฤติกรรมใดที่ผู้นำซึ่งได้มาตรฐานควรแสดงออก งานใดที่พวกเขาควรทำ และขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาคืออะไรกันแน่  หัวข้อเกี่ยวกับการแยกแยะผู้นำเทียมเท็จนั้นมีความสำคัญมาก เนื่องจากหัวข้อนี้กล่าวถึงงานของคริสตจักร การเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าที่แต่ละอย่างจะก้าวหน้าไปอย่างไร  บางคนอาจบอกว่า “ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง และฉันก็ไม่มีความทะเยอทะยานหรือความอยากได้อยากมีที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน  ฉันตระหนักรู้ในตนเอง และการเป็นผู้เชื่อธรรมดาก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นหลักธรรมความจริงในแง่มุมนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับฉันเลย  หากฉันต้องการฟัง ฉันก็จะฟังบางสิ่งที่เกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตและความรอดของฉันเอง  การสำแดงนานัปการของผู้นำเทียมเท็จและความจริงที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตของฉันเอง ดังนั้นฉันจึงไม่ต้องฟัง หรือฉันสามารถฟังอย่างใจลอยหรือฟังอย่างไม่สนใจได้ และเพียงแค่ผ่านกระบวนการนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ใส่ใจ”  นี่เป็นท่าทีที่ดีหรือไม่?  (ไม่ดี)  คนอื่นกล่าวว่า “ฉันไม่มีความทะเยอทะยาน และไม่อยากลงสมัครเป็นผู้นำ  ตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันไม่เคยตั้งใจว่าจะเป็นข้าราชการหรือโดดเด่นกว่าคนอื่น ฉันชอบเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ  ฉันอยากเป็นผู้ติดตามมาตั้งแต่ช่วงเวลาที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า  ฉันชอบทำตามคำสั่งของคนอื่น และฉันก็ทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาขอให้ฉันทำ  การเป็นคนแบบนี้ช่างเรียบง่ายจริงๆ!  ฉันเป็นเพียงคนเรียบง่ายคนหนึ่งที่ไม่อยากกังวลหรือแบกภาระ ดังนั้นฉันจึงไม่จำเป็นต้องฟังสิ่งเหล่านี้ และฉันก็ไม่ต้องการฟังด้วย”  ทัศนะเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ทัศนะนี้ไม่ถูกต้องอย่างไร?  (แม้ว่าพวกเขาจะไม่ต้องการเป็นผู้นำ หากพวกเขาไม่เข้าใจความจริงในแง่มุมนี้และไม่สามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จได้ เช่นนั้นแล้วระหว่างการเลือกสรร พวกเขาย่อมมีแววอย่างมากว่าจะเลือกผู้นำเทียมเท็จ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร)  นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง  มีสิ่งอื่นอีกหรือไม่?  (ปัญหาของผู้นำเทียมเท็จมีอยู่ในตัวพวกเราแต่ละคน และพวกเราควรตรวจสอบ ทบทวน และเข้าใจตนเอง)  (หากพวกเราไม่สามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จได้ เช่นนั้นแล้วพวกเราย่อมจะไม่รู้ด้วยซ้ำเมื่อพวกเราถูกผู้นำเทียมเท็จชักพาให้หลงผิด และชีวิตของพวกเราเองก็จะได้รับความเสียหาย)  (ทัศนะประเภทนี้เป็นการสำแดงถึงการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  การเป็นผู้นำในพระนิเวศของพระเจ้าไม่เหมือนกับการมีความทะเยอทะยานและการต้องการเป็นข้าราชการคนหนึ่งในโลก  การเป็นผู้นำคือการไล่ตามเสาะหาความจริงให้ดีขึ้น การแบกรับภาระงานของคริสตจักร และการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  นี่คือการเพียรพยายามไปให้ถึงความจริง)  (ในฐานะที่เป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคนหนึ่ง พวกเรามีภาระผูกพันและหน้าที่รับผิดชอบในการรายงานเกี่ยวกับผู้นำเทียมเท็จ  หากพวกเราไม่สามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จได้ เช่นนั้นแล้วพวกเราก็อาจปล่อยให้ผู้นำเทียมเท็จมีอำนาจและส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรได้)  นั่นมีกี่แง่มุม?  (ห้าแง่มุม)  แต่ละแง่มุมในห้าแง่มุมนี้ถูกต้องและแม่นยำทีเดียว  การชำแหละแก่นแท้ของปัญหานี้บนพื้นฐานของทัศนะของคนประเภทที่เราเพิ่งกล่าวถึงไปนั้น โดยพื้นฐานแล้วมีห้าแง่มุมนี้  ไม่ว่าเจ้าจะต้องการเป็นผู้นำหรือไม่ ในฐานะที่เป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคนหนึ่ง เจ้าก็ควรมีบทบาทในการกำกับดูแลเหล่าผู้นำและคนทำงาน  พระนิเวศของพระเจ้าก็คือบ้านของเจ้าเช่นกัน และผู้นำก็เป็นเสมือนผู้ดูแลบ้านตัวเล็กๆ คนหนึ่ง  หากพวกเขาไม่จัดการสิ่งทั้งหลายให้ดี เจ้าย่อมจะได้รับผลกระทบและมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นเจ้าจึงมีหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันในการกำกับดูแลงานทั้งหมดของพวกเขา

ภาพรวมของหน้าที่รับผิดชอบสิบห้าประการของผู้นำและคนทำงาน

การแยกแยะผู้นำเทียมเท็จนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะคนประเภทนี้พบเห็นได้ทั่วไปภายในคริสตจักร พวกเขาดำรงอยู่มาตั้งแต่ผู้นำคริสตจักรและงานของคริสตจักรดำรงอยู่  ขีดความสามารถและความสามารถในการทำความเข้าใจของพวกเขา ลักษณะนิสัยของพวกเขา และเส้นทางที่พวกเขาเลือกล้วนมีการสำแดงที่ชัดแจ้งหลายประการ  ก่อนจะชำแหละการสำแดงที่ชัดแจ้งเหล่านี้ พวกเราควรเข้าใจก่อนว่าหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานคืออะไร และโดยหลักแล้วมีงานเฉพาะเจาะจงใดรวมอยู่บ้าง  มีเพียงบรรดาผู้ที่สามารถทำงานเฉพาะเจาะจงนี้ได้ดีเท่านั้นที่ทำได้ตามมาตรฐานในฐานะผู้นำและคนทำงาน ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่สามารถทำงานเฉพาะเจาะจงนี้ได้ก็เป็นผู้นำเทียมเท็จ  บางทีคนส่วนใหญ่ยังคงไม่มีหนทางในการแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ ไม่สามารถจับความเข้าใจหลักธรรมพื้นฐาน และไม่รู้ว่าแง่มุมใดสำคัญที่สุดในการแยกแยะ  วันนี้พวกเราจะมาสามัคคีธรรมกันอย่างเป็นระบบก่อนว่าหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานคืออะไรกันแน่ โดยแจกแจงหน้าที่รับผิดชอบทีละข้อเพื่อให้ทุกคนรู้อย่างชัดเจน  หลังจากเข้าใจหลักธรรมเหล่านี้แล้ว เมื่อต้องเลือกสรรผู้นำและคนทำงานอีกครั้ง เจ้าก็จะมีมาตรฐานที่แม่นยำในการประเมินวัดว่าควรเลือกสรรอย่างไรกันแน่และใครคือคนที่เหมาะสมกับการได้รับเลือกกันแน่  ดังนั้นก่อนอื่นให้พวกเรามาแจกแจงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานกัน

หน้าที่รับผิดชอบของบรรดาผู้นำและคนทำงาน ได้แก่

1. นำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจพระวจนะของพระองค์ และเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า

2. มีความเข้าใจสภาวะทั้งหลายของบุคคลแต่ละประเภท และแก้ไขความลำบากยากเย็นนานัปการซึ่งสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตที่พวกเขาเผชิญในชีวิตจริง

3. สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่พึงเข้าใจเพื่อปฏิบัติหน้าที่แต่ละอย่างให้ถูกควร

4. คอยติดตามสภาวการณ์ของบรรดาผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทกับบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พวกเขาหรือปลดพวกเขาทันทีเมื่อจำเป็น  เพื่อป้องกันหรือบรรเทาความสูญเสียที่เกิดจากการใช้ผู้คนที่ไม่เหมาะสม และเพื่อรับประกันประสิทธิภาพและความก้าวหน้าของงานอย่างราบรื่น

5. คงไว้ซึ่งการทำความเข้าใจและความเข้าใจที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับสถานะและความคืบหน้าของงานแต่ละงาน และสามารถแก้ไขปัญหา แก้ไขความเบี่ยงเบน และแก้ไขข้อบกพร่องในงานได้อย่างทันท่วงทีเพื่อที่งานนั้นจะได้คืบหน้าไปอย่างราบรื่น

6. ส่งเสริมและบ่มเพาะผู้มีความสามารถพิเศษทุกรูปแบบที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เพื่อให้ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีโอกาสฝึกฝนและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

7. จัดสรรและใช้ประโยชน์จากผู้คนประเภทต่างๆ อย่างมีเหตุผล บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และจุดแข็งของพวกเขา เพื่อนำแต่ละคนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

8. รายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที

9. สื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานนั้น โดยให้คำแนะนำ การกำกับดูแลและการกระตุ้น พร้อมทั้งตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการของพวกเขา

10. ปกป้องและจัดสรรวัสดุสิ่งของนานัปการในพระนิเวศของพระเจ้า (เช่น หนังสือ อุปกรณ์ต่างๆ ธัญพืช เป็นต้น) อย่างถูกควรและสมเหตุสมผล รวมถึงดำเนินการตรวจสอบ บำรุงรักษา และซ่อมแซมเป็นประจำเพื่อลดความเสียหายและความสิ้นเปลืองให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งป้องกันไม่ให้ผู้คนที่ชั่วครอบครองสิ่งเหล่านั้น

11. เลือกสรรผู้คนที่ไว้วางใจได้ซึ่งมีความเป็นมนุษย์ตามมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกิจเกี่ยวกับการลงทะเบียน การตรวจนับ และการพิทักษ์รักษาของถวายอย่างเป็นระบบ ตรวจสอบและทบทวนรายรับและรายจ่ายเป็นประจำเพื่อให้สามารถระบุกรณีสุรุ่ยสุร่ายหรือสิ้นเปลือง ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลได้อย่างทันท่วงที—หยุดยั้งสิ่งเหล่านี้และเรียกร้องค่าชดเชยที่สมเหตุสมผล  นอกจากนี้ ให้ป้องกันทุกวิถีทางมิให้ของถวายตกไปอยู่ในมือของคนชั่วและถูกพวกเขานำไปครอบครอง

12. ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  หยุดยั้งและจำกัดสิ่งเหล่านั้น พร้อมทั้งแก้ไขสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้น  นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น

13. ปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการถูกก่อกวน ถูกชักพาให้หลงผิด ถูกควบคุม และได้รับอันตรายร้ายแรงจากพวกศัตรูของพระคริสต์ และช่วยให้พวกเขาสามารถแยกแยะพวกศัตรูของพระคริสต์และละทิ้งคนเหล่านั้นไปจากหัวใจของตน

14. แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป

15. ปกป้องบุคลากรสำคัญของงานทุกประเภทโดยป้องกันพวกเขาจากการแทรกแซงของโลกภายนอก และคุ้มครองพวกเขาให้ปลอดภัยเพื่อให้มั่นใจว่างานสำคัญต่างๆ จะสามารถดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

มีการสรุปหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานไว้ทั้งหมดสิบห้าข้อ และพวกเราจะสามัคคีธรรมกันตามข้อสรุปเหล่านี้  ก่อนอื่นให้พวกเรามาดูงานแต่ละอย่างในสิบห้าข้อนี้กัน  สามข้อแรกกล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับการที่ผู้คนเข้าใจความจริง และการเข้าสู่ชีวิต  นี่คืองานขั้นพื้นฐานที่สุดที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำ และเป็นหนึ่งในบรรดาหมวดหมู่หลัก  ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน โดยพื้นฐานที่สุดนั้นเจ้าต้องสามารถปฏิบัติงานเหล่านี้ได้ มีขีดความสามารถประเภทนี้ มีภาระประเภทนี้ และสามารถแบกรับหน้าที่รับผิดชอบนี้ได้  เหล่านี้เป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดที่เจ้าควรมี  เหล่าผู้นำและคนทำงานต้องสามารถสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า ค้นพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติจากพระวจนะเหล่านั้น นำผู้คนให้เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และนำผู้คนให้มีประสบการณ์และเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าในชีวิตจริง ตลอดจนสามารถนำพระวจนะเหล่านั้นมาสู่ชีวิตจริงได้ โดยใช้พระวจนะเหล่านั้นแก้ไขปัญหาหรือความลำบากยากเย็นนานัปการที่เผชิญในชีวิตจริงและในกระบวนการการทำหน้าที่ของตน  หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีปัญหาที่จำเป็นต้องให้ผู้นำหรือคนทำงานแก้ไข แต่ผู้นำหรือคนทำงานไม่สามารถใช้ความจริงในการแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เช่นนั้นแล้วผู้นำหรือคนทำงานคนนั้นก็ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งงานขั้นพื้นฐานที่สุด  ผู้นำหรือคนทำงานประเภทนี้ไม่ได้มาตรฐาน  ข้อสี่และข้อห้าเกี่ยวข้องกับงานนานัปการของคริสตจักรและผู้ดูแลงานเหล่านั้น  หากผู้นำและคนทำงานไม่กำกับผู้ดูแลอย่างถูกควร เช่นนั้นแล้วงานของคริสตจักรก็อาจถูกคนชั่วทำให้วุ่นวายหรือก่อกวนได้ การนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพและความก้าวหน้าของงาน และอาจทำให้งานนั้นเองถึงกับหยุดชะงักได้  เพราะฉะนั้นงานข้อสี่และข้อห้าจึงเป็นงานที่ผู้นำที่ได้มาตรฐานต้องทำให้ดีเช่นกัน  ข้อหกและข้อเจ็ดกล่าวถึงการเลื่อนตำแหน่ง การบ่มเพาะ และการใช้ผู้คนทุกประเภท  หลักธรรมในการใช้ผู้คนก็คือการใช้ทุกคนให้เกิดประโยชน์สูงสุด และผู้คนทุกประเภทสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตราบเท่าที่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้มาตรฐาน และพวกเขาสามารถทำได้ตามมาตรฐานที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด  นั่นก็คือการเปิดโอกาสให้ผู้คนทุกประเภทสามารถปฏิบัติหน้าที่อันเหมาะควรได้ จึงไม่จำเป็นต้องพยายามบังคับปลาให้อยู่บนบก หรือบังคับหมูให้บิน การที่ใครบางคนมีความเหมาะสมสำหรับงานอย่างหนึ่ง สามารถทำงานนั้นได้ดี และมีความสามารถก็เพียงพอแล้ว  นอกจากนั้น งานบางอย่างก็เกี่ยวข้องกับแง่มุมทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และบางคนอาจเก่งในเรื่องเหล่านี้แต่จริงๆ แล้วก็ไม่เคยทำงานในด้านนี้เลย และพวกเขาก็ไม่เข้าใจหลักธรรมที่เกี่ยวข้อง  สำหรับผู้คนเหล่านี้ หากพวกเขาทำได้ตามมาตรฐานสำหรับการเลื่อนตำแหน่งและการบ่มเพาะในพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรได้รับโอกาสและได้รับการเลื่อนตำแหน่งและบ่มเพาะ เพื่อให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้  ในหนทางนี้ งานนานัปการในพระนิเวศของพระเจ้าก็สามารถมีคนที่เหมาะสมยิ่งขึ้นไปอีกมารับหน้าที่ทำงานเหล่านั้น และเมื่อใดก็ตามที่คริสตจักรต้องการคนสำหรับงานต่างๆ ก็จะไม่มีตำแหน่งว่าง  เหล่านี้เป็นประเด็นของสองแง่มุมที่เกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งและบ่มเพาะผู้คน และการใช้ผู้คน  พวกเรามาดูข้อแปดและข้อเก้ากัน สองข้อนี้กล่าวถึงท่าทีที่ผู้นำและคนทำงานปฏิบัติต่องาน นั่นก็คือพวกเขาสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนได้หรือไม่ มีความจงรักภักดีหรือไม่ และมีความสามารถในการปฏิบัติต่อข้อกำหนดของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้าให้ดีได้หรือไม่ รวมทั้งในขณะที่เผชิญกับความลำบากยากเย็นในงาน  ข้อสิบและข้อสิบเอ็ดกล่าวถึงหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังการปฏิบัติต่อของถวายและสิ่งของสารพัดประเภทที่พระนิเวศของพระเจ้าครอบครอง  ในแง่หนึ่ง สองข้อนี้กล่าวถึงขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของผู้คน และในอีกแง่หนึ่ง สองข้อนี้ก็กล่าวถึงประเด็นของความเป็นมนุษย์ ว่าใครบางคนมีความจงรักภักดีหรือไม่ และพวกเขาสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนได้หรือไม่  ต่อไปนี้พวกเราจงมาดูที่ข้อสิบสอง ข้อสิบสาม และข้อสิบสี่ ซึ่งเกี่ยวกับสภาวการณ์พิเศษบางอย่างที่เกิดขึ้นในคริสตจักร—ตัวอย่างเช่น หากมีใครบางคนขัดขวางและก่อกวน รวมทั้งสร้างความปั่นป่วนให้แก่ชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติ  แน่นอนว่าเรื่องร้ายแรงที่สุดก็คือการปรากฏตัวของศัตรูของพระคริสต์หรือผู้คนประเภทอื่นที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป  การจะจัดการกับคนประเภทนี้อย่างไร และภายใต้หลักธรรมใดนั้น ก็เป็นงานที่อยู่ภายในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานเช่นกัน  การสามารถค้นพบปัญหาได้ทันท่วงที และเมื่อเจ้าพบว่ามีใครบางคนกำลังก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน การสามารถหยุดยั้ง จัดการ และแก้ไขเรื่องนี้ได้ทันท่วงที และทำให้แน่ใจว่างานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักรจะไม่ถูกก่อกวน—เหล่านี้คือประเด็นที่ทั้งสามข้อนี้กล่าวถึง  ข้อสุดท้ายกล่าวถึงประเด็นเรื่องความปลอดภัยส่วนบุคคลของบุคลากรในงานสำคัญทุกประเภท ตลอดจนประเด็นที่ว่าสามารถรับประกันงานสำคัญทุกประเภทได้หรือไม่  งานจะสามารถคืบหน้าได้เมื่อบุคลากรปลอดภัย แต่หากเกิดปัญหาหรือมีอันตรายที่ซ่อนเร้นในเรื่องความปลอดภัยของบุคลากร เช่นนั้นแล้วการที่งานจะสามารถดำเนินไปได้หรือไม่นั้นก็กลายเป็นประเด็นปัญหา  พวกเราจงมองย้อนกลับไปแล้วดูว่ามีหมวดหมู่หลักทั้งหมดกี่หมวดหมู่  ข้อหนึ่ง ข้อสอง และข้อสามอยู่ในหมวดหมู่ที่หนึ่ง คือเรื่องการเข้าสู่ชีวิตของมนุษย์  ข้อสี่และข้อห้าอยู่ในหมวดหมู่ที่สอง คือเรื่องงานต่างๆ ของคริสตจักรและผู้ดูแลงานเหล่านั้น  ข้อหกและข้อเจ็ดอยู่ในหมวดหมู่ที่สาม คือเรื่องการใช้ การบ่มเพาะ และการเลื่อนตำแหน่งให้ผู้คนทุกประเภท  ข้อแปดและข้อเก้าอยู่ในหมวดหมู่ที่สี่ คือเรื่องการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าและความลำบากยากเย็นในงาน  ข้อสิบและข้อสิบเอ็ดอยู่ในหมวดหมู่ที่ห้า คือเรื่องของถวายและสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าครอบครอง  ข้อสิบสอง ข้อสิบสาม และข้อสิบสี่อยู่ในหมวดหมู่ที่หก คือเรื่องสภาพการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นในคริสตจักร  ข้อสิบห้าอยู่ในหมวดหมู่ที่เจ็ด คือเรื่องงานสำคัญของคริสตจักรและความปลอดภัยของบุคลากร  ทั้งหมดมีเจ็ดหมวดหมู่ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน้าที่รับผิดชอบสิบห้าประการ  ทั้งเจ็ดหมวดหมู่นี้อยู่ภายในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และเป็นส่วนหนึ่งของงานของพวกเขา  ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน งานขั้นพื้นฐานที่สุดในหน้าที่ของเจ้าก็คือเจ็ดหมวดหมู่นี้ และทั้งเจ็ดหมวดหมู่นี้ก็คือขอบเขตของข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับผู้นำหรือคนทำงาน  หากพวกเราต้องการประเมินวัดว่าผู้นำสามารถทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่ พวกเขามีความสามารถในการทำงานหรือไม่ พวกเขามีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำหรือไม่ และพวกเขาทำได้ตามมาตรฐานในฐานะผู้นำหรือไม่ พวกเราก็ควรใช้เจ็ดหมวดหมู่นี้  เมื่อเข้าใจเรื่องนี้แล้ว โดยอาศัยเจ็ดหมวดหมู่หลักนี้เป็นพื้นฐาน พวกเราจะสามัคคีธรรมและชำแหละการสำแดงและการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงของผู้นำเทียมเท็จทีละอย่าง ตลอดจนสิ่งที่พวกเขาได้ทำระหว่างช่วงเวลาที่พวกเขาเป็นผู้นำซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จและไม่ใช่ผู้นำที่ได้มาตรฐาน  เมื่อประเมินวัดตามทั้งเจ็ดหมวดหมู่นี้แล้ว ย่อมมีหลักฐานที่สรุปได้ และนี่เป็นหลักฐานที่ค่อนข้างเป็นธรรมและมีเหตุผลทีเดียว  จงบอกเราเถิดว่า พวกเราควรสามัคคีธรรมเจ็ดหมวดหมู่นี้ทีละหมวดหมู่ หรือสิบห้าข้อนี้ทีละข้อ?  หนทางใดดีกว่ากัน?  (สามัคคีธรรมสิบห้าข้อนี้ทีละข้อ)  นั่นเหมาะกับความชอบส่วนตนของพวกเจ้า—ยิ่งละเอียดก็ยิ่งดี ใช่หรือไม่?  ต่อไปนี้ พวกเราจะเริ่มการสามัคคีธรรมเรื่องการสำแดงนานัปการของผู้นำเทียมเท็จอย่างเป็นทางการ

ประการที่หนึ่ง: นำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจพระวจนะของพระองค์ และเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า

ผู้นำเทียมเท็จไม่มีขีดความสามารถและศักยภาพที่จะทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า

ผู้นำเทียมเท็จคืออะไร?  แน่นอนว่าผู้นำเทียมเท็จคือใครบางคนที่ไม่สามารถทำงานจริงได้ ใครบางคนที่ไม่ดูแลหน้าที่ของตนในฐานะผู้นำ  พวกเขาไม่ได้ทำงานที่แท้จริงหรืองานสำคัญใดๆ พวกเขาเพียงแต่รับผิดชอบกิจธุระทั่วไปและงานในระดับผิวเผินบางอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตหรือความจริง  ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานนี้มากเพียงใด การปฏิบัติงานดังกล่าวก็ไม่มีนัยสำคัญ  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้นำเช่นนี้จึงถูกระบุลักษณะว่าเทียมเท็จ  แล้วคนเราจะแยกแยะผู้นำเทียมเท็จอย่างไรกันแน่?  ตอนนี้ให้พวกเราเริ่มการชำแหละของพวกเรากันเถิด  ก่อนอื่นต้องบอกให้ชัดเจนว่าหน้าที่รับผิดชอบประการแรกของผู้นำหรือคนทำงานก็คือการนำผู้อื่นให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และสามัคคีธรรมความจริงในหนทางอย่างที่ผู้อื่นอาจเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  นี่เป็นเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดซึ่งใช้ตรวจสอบว่าผู้นำคนหนึ่งนั้นแท้จริงหรือเทียมเท็จ  จงดูว่าพวกเขาสามารถนำผู้อื่นในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และเข้าใจความจริงได้หรือไม่ อีกทั้งพวกเขาสามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาได้หรือไม่  นั่นเป็นเกณฑ์อย่างเดียวที่ใช้ตรวจสอบว่าผู้นำหรือคนทำงานคนหนึ่งมีขีดความสามารถและศักยภาพเช่นไรในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาสามารถนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่  หากผู้นำหรือคนทำงานคนหนึ่งสามารถทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างหมดจดและเข้าใจความจริง พวกเขาก็ควรแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่ผู้คนมีเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าตามพระวจนะของพระเจ้า และช่วยให้ผู้คนเข้าใจว่าพระราชกิจของพระเจ้ามีความสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างไร  พวกเขาควรแก้ไขความลำบากยากเย็นที่แท้จริงซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญตามพระวจนะของพระองค์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทัศนะอันผิดพลาดที่พวกเขามีในความเชื่อของตนหรือความเข้าใจผิดที่พวกเขามีเกี่ยวกับการทำหน้าที่  พวกเขายังต้องนำพระวจนะของพระเจ้าไปใช้ในการแก้ปัญหาที่สำแดงออกมาเมื่อผู้คนเผชิญหน้ากับบททดสอบและความทุกข์ลำบากต่างๆ และสามารถนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้เข้าใจและปฏิบัติความจริง รวมทั้งเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์อีกด้วย  ในเวลาเดียวกันพวกเขาต้องชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานัปการของผู้คนบนพื้นฐานของสภาวะที่เสื่อมทรามซึ่งถูกเผยให้เห็นในพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอาจจะมองเห็นได้ว่าอุปนิสัยใดในบรรดาอุปนิสัยเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา สัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับตนเอง เกลียดชังและกบฏต่อซาตาน ด้วยวิธีนั้นจึงทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถตั้งมั่นในคำพยานของตน ทำให้ซาตานพ่ายแพ้ และถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้ท่ามกลางบททดสอบนานาสารพัด  นี่คืองานที่เหล่าผู้นำและคนทำงานพึงทำ  นี่เป็นงานพื้นฐานที่สุด ซึ่งสำคัญและจำเป็นที่สุดของคริสตจักร  หากผู้คนที่รับใช้ในฐานะผู้นำนั้นมีศักยภาพที่จะทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและมีขีดความสามารถในการเข้าใจความจริง พวกเขาย่อมจะไม่เพียงแต่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะได้เท่านั้น แต่พวกเขายังจะสามารถชี้แนะ นำ และช่วยเหลือบรรดาผู้ที่พวกเขานำเหล่านั้นให้ไปสู่การเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์ได้เช่นกัน  แต่ขีดความสามารถในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและการเข้าใจความจริงนั้นคือสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จขาดพร่องอย่างแน่นอน  พวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ผู้คนเผยออกมาในสภาวการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งมีการเปิดโปงไว้ในพระวจนะของพระองค์ หรือสภาวะใดที่ก่อให้เกิดการต้านทาน การพร่ำบ่น และการทรยศพระเจ้า และอื่นๆ  เหล่าผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทบทวนตนเองหรือเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้ากับตนเองได้ พวกเขาเพียงเข้าใจคำสอนเล็กน้อยและข้อบังคับสองสามประการจากความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมกับผู้อื่น พวกเขาก็เพียงแต่ท่องบางถ้อยคำจากพระวจนะของพระองค์ จากนั้นก็อธิบายความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะเหล่านั้น  และด้วยการทำเช่นนั้น พวกเขาก็คิดว่าพวกเขากำลังสามัคคีธรรมความจริงและทำงานที่แท้จริงอยู่  หากใครสักคนหนึ่งสามารถอ่านและท่องพระวจนะของพระเจ้าได้เหมือนที่พวกเขาทำ พวกเขาก็จะคิดว่าคนเหล่านั้นเป็นใครคนหนึ่งที่รักและเข้าใจความจริง  ผู้นำเทียมเท็จเข้าใจแต่ความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น โดยรากฐานแล้วพวกเขาไม่เข้าใจความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่สามารถพูดถึงความรู้ที่ได้จากประสบการณ์เกี่ยวกับพระวจนะเหล่านั้น  ผู้นำเทียมเท็จไม่มีศักยภาพที่จะทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาสามารถเข้าใจเพียงความหมายระดับผิวเผินของพระวจนะ แต่กลับเชื่อว่านั่นคือการทำความเข้าใจพระวจนะของพระองค์และการเข้าใจความจริง  ในชีวิตประจำวันพวกเขาตีความความหมายของพระวจนะของพระเจ้าตามตัวอักษรเพื่อให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ โดยเชื่อว่าการทำเช่นนั้นคือการทำงาน และพวกเขากำลังนำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์  ข้อเท็จจริงก็คือแม้ว่าผู้นำเทียมเท็จจะสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้ากับผู้อื่นในหนทางนี้อยู่บ่อยๆ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ปัญหาจริงๆ ได้แม้แต่น้อย และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ถูกทิ้งให้ไม่สามารถปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ได้  ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าร่วมการชุมนุมหรือกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจความจริง และไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และไม่มีใครในบรรดาพวกเขาที่สามารถพูดถึงความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ของตนเลย  ต่อให้มีคนชั่วและผู้ไม่เชื่อก่อการรบกวนในคริสตจักร ก็ไม่มีใครสามารถแยกแยะพวกเขาได้  เมื่อผู้นำเทียมเท็จมองเห็นผู้ไม่เชื่อหรือคนชั่วกำลังก่อการรบกวน พวกเขาก็ไม่ใช้วิจารณญาณแยกแยะ แต่กลับแสดงความรักของตนและให้การเตือนสติแก่ผู้ไม่เชื่อหรือคนชั่วเหล่านั้น โดยขอให้ผู้อื่นใจกว้างและอดทนต่อคนเหล่านี้ และปล่อยคนเหล่านี้ให้ก่อการรบกวนในคริสตจักรต่อไปโดยไม่ห้ามปราม  การนี้ส่งผลให้งานของคริสตจักรแต่ละอย่างไร้ผลเลยทีเดียว  นี่เป็นผลสืบเนื่องจากความล้มเหลวในการทำงานที่แท้จริงของผู้นำเทียมเท็จ  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาได้ ซึ่งเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง  เมื่อพวกเขาเอ่ยปาก พวกเขาก็เพียงพูดพ่นวาจาและคำสอน และทั้งหมดที่พวกเขาบอกให้คนอื่นปฏิบัติก็คือคำสอนและข้อบังคับ  ตัวอย่างเช่น เมื่อใครบางคนเกิดมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ผู้นำเทียมเท็จก็จะบอกพวกเขาว่า “พระวจนะของพระเจ้าครอบคลุมทั้งหมดนี้แล้ว สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำ นั่นคือการช่วยมนุษย์ให้รอด นั่นคือความรัก  ดูสิว่าพระวจนะของพระองค์ชัดเจนและแจ่มแจ้งเพียงใด  คุณยังเข้าใจพระองค์ผิดได้อย่างไร?”  นี่เป็นคำสั่งสอนประเภทที่ผู้นำเทียมเท็จมอบให้กับผู้คน  พวกเขาพูดพ่นวาจาและคำสอนเพื่อเตือนสติและตีกรอบผู้คน และทำให้ผู้คนปฏิบัติตามข้อบังคับ  การนี้ไม่มีประสิทธิภาพเลยแม้แต่น้อย และการนี้ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ ได้  ผู้นำเทียมเท็จเพียงสามารถกล่าววาจาและคำสอนเพื่อชี้นำผู้คนเท่านั้น ซึ่งทำให้ผู้คนเหล่านั้นคิดว่าการสามารถพูดคำสอนได้นั้นหมายความว่าพวกเขาได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว  ทว่าเมื่อมีความลำบากยากเย็นเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร พวกเขาไม่มีเส้นทาง และวาจาและคำสอนทั้งหมดที่พวกเขาเข้าใจก็กลับกลายเป็นถูกละเลย  เรื่องนี้แสดงให้เห็นสิ่งใด?  เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าการเข้าใจคำสอนนั้นไม่มีประโยชน์หรือไม่มีค่าอะไรเลย  สิ่งเดียวที่ผู้นำเทียมเท็จเข้าใจก็คือคำสอน  พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหา ไม่มีหลักธรรมใดๆ ในการกระทำของพวกเขา และในชีวิตของพวกเขานั้น พวกเขาก็เพียงทำตามข้อบังคับบางอย่างที่พวกเขามองว่าดีเท่านั้น  ผู้คนเช่นนี้ย่อมไม่มีความเป็นจริงความจริง  นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเมื่อผู้นำเทียมเท็จนำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า จึงไม่มีผลที่แท้จริง  พวกเขาทำได้เพียงการทำให้ผู้คนเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้า และไม่สามารถช่วยเหลือผู้คนให้ได้รับความรู้แจ้งจากพระวจนะของพระเจ้า หรือเข้าใจว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทใด  ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจว่าสภาวะของผู้คนคืออะไร หรือแก่นนิสัยใดที่ผู้คนเผยออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม พระวจนะใดของพระเจ้าที่ควรนำมาใช้เพื่อแก้ไขสภาวะที่ผิดพลาดและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ มีการกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้อย่างไรในพระวจนะของพระเจ้า ในข้อกำหนดและหลักธรรมแห่งพระวจนะของพระเจ้า หรือความจริงทั้งหลายที่อยู่ภายในพระวจนะเหล่านั้น  ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจความเป็นจริงความจริงเหล่านี้เลย  พวกเขาเพียงแนะนำผู้คนโดยกล่าวว่า “จงกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น  มีความจริงอยู่ในพระวจนะเหล่านั้น  เจ้าจะเข้าใจเมื่อเจ้าได้อ่านพระวจนะของพระองค์มากขึ้น  หากเจ้าไม่เข้าใจพระวจนะบางประการ เจ้าก็ควรอธิษฐานมากขึ้น แสวงหามากขึ้น และไตร่ตรองพระวจนะเหล่านั้นมากขึ้นเท่านั้นเอง”  นี่คือวิธีที่พวกเขาให้คำปรึกษาแก่ผู้คน และพวกเขาก็ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยการทำเช่นนั้นได้  ไม่ว่าใครเผชิญกับปัญหาแล้วมาเพื่อแสวงหาจากพวกเขา พวกเขาก็จะพูดสิ่งเดียวกัน  หลังจากนั้น คนคนนั้นก็ยังคงไม่รู้จักตนเองและยังคงไม่เข้าใจความจริง  พวกเขาจะไม่สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงของตนได้ หรือเข้าใจว่าตนควรปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร และพวกเขาก็จะแค่ยึดติดอยู่กับความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าและข้อบังคับเท่านั้น  เมื่อเป็นเรื่องของหลักธรรมความจริงในการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าหรือความเป็นจริงประการใดที่พวกเขาควรเข้าสู่ พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี  นี่คือผลจากงานของผู้นำเทียมเท็จ กล่าวคือไม่มีผลลัพธ์ที่แท้จริงเลยสักอย่างเดียว

พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนแต่งกายอย่างสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม ด้วยมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน  “อย่างสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม ด้วยมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน”—วลีนี้มีทั้งหมดเก้าคำ แต่พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าคำเหล่านี้หมายถึงอะไร?  (พวกเราทุกคนรู้ว่า ตามคำสอนแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนแต่งกายอย่างสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม ด้วยมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน แต่เมื่อพวกเราแต่งกายตนเอง  พวกเราก็ไม่รู้วิธีประเมินวัดว่าสิ่งใดสุภาพเรียบร้อยหรือเหมาะสม)  เรื่องนี้กล่าวถึงปัญหาที่ว่ามีการเข้าใจความจริงหรือไม่  หากเจ้าไม่สามารถประเมินวัดเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้าไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  แล้วการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหมายถึงอะไร?  นั่นหมายถึงการเข้าใจเกณฑ์สำหรับความสุภาพเรียบร้อยและความเหมาะสมซึ่งพระเจ้าตรัสถึง หรือกล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงกว่านั้นก็คือสีและรูปแบบของเสื้อผ้า  สีและรูปแบบใดจึงสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม?  บรรดาผู้ที่มีศักยภาพในการทำความเข้าใจความจริงย่อมรู้ว่าสิ่งที่สุภาพเรียบร้อยและเหมาะสมเป็นอย่างไร และสิ่งที่แปลกประหลาดเป็นอย่างไร  แม้ว่าเสื้อผ้าบางชิ้นนั้นสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม แต่เสื้อผ้าเหล่านั้นก็มีรูปแบบที่ล้าสมัย  พระเจ้าไม่โปรดสิ่งที่ล้าสมัย และพระองค์ไม่ได้ทรงขอให้ผู้คนเลียนแบบรูปแบบการแต่งกายในอดีตหรือกลายเป็นพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด  สิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงในวลีที่ว่า “สุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม” นั้นก็คือการมีสภาพเสมือนมนุษย์ที่ปกติ โดยปรากฏตัวอย่างสูงศักดิ์ สง่างาม และมีระดับ  พระเจ้ามิได้ทรงขอให้ผู้คนสวมใส่เสื้อผ้าที่แปลกประหลาด และไม่ได้ทรงขอให้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่นราวกับยาจก แต่พระองค์ทรงขอให้ผู้คนแต่งกายอย่างสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม ด้วยมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน  นี่คือการทำความเข้าใจของคนปกติ  แต่หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่งก็ตื่นเต้นเป็นที่สุดและกล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้าให้ขอบเขตแก่พวกเราว่าพึงแต่งกายอย่างไร  ‘อย่างสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม ด้วยมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน’—หากพวกเราปฏิบัติตามทั้งเก้าคำนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเราย่อมถวายพระสิริแด่พระเจ้า ไม่นำความอับอายมาสู่พระองค์ และพวกเราจะเป็นคนที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อ  แล้วสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสมเป็นอย่างไร?  นั่นก็คือคุณต้องพูดและกระทำด้วยสภาพเสมือนมนุษย์ และต้องมีมารยาทอันดีงามอย่างวิสุทธิชน  เมื่อกล่าวถึงวิสุทธิชน โดยทั่วไปพวกเราจะอ้างอิงถึงวิสุทธิชนในสมัยโบราณ  หากพวกเราต้องการมีมารยาทอันดีงามอย่างวิสุทธิชน เช่นนั้นแล้วพวกเราก็ต้องเลียนแบบรูปแบบของวิสุทธิชนสมัยโบราณ  แต่หากคุณเดินไปไหนมาไหนโดยสวมเสื้อผ้าสมัยโบราณ เช่นนั้นแล้วผู้คนย่อมจะคิดว่าคุณเป็นบ้า  นี่ไม่เป็นไปตามหลักธรรมในการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า แต่ก็ควรมีหลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่วิสุทธิชนสวมใส่ในยุคหลังๆ ที่พวกเราสามารถสืบค้นได้  สภาพแวดล้อมทางสังคมเมื่อหลายสิบปีก่อนเคยดีกว่านี้  ผู้คนเรียบง่ายกว่า และแต่งกายอย่างอนุรักษนิยมและถูกควรมากกว่า  หากคุณแต่งกายตามมาตรฐานนี้ เช่นนั้นคุณก็จะเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม และมีมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน  นี่คือเส้นทางสำหรับการปฏิบัติ”  เมื่อค้นพบว่าผู้คนในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีน้ำเงิน เขาก็บอกพี่น้องชายหญิงว่า “ฉันเห็นความสว่างในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว  ผู้คนในยุค 70 และ 80 แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ถูกควรและเรียบง่ายทีเดียว  ไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาสง่างาม แต่ก็ดูเหมือนจะตรงกับข้อกำหนดตามพระวจนะของพระเจ้ามากกว่า ดังนั้นพวกเราจะแต่งกายตามมาตรฐานนี้”  ผู้นำคนนั้นจึงเป็นผู้นำในการสวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ และทุกคนก็คิดว่าเสื้อผ้าดังกล่าวดูดี เหมาะสมและเรียบง่ายทีเดียว  ผู้นำคนนั้นกล่าวว่า “พระเจ้าตรัสว่าไม่ให้สวมเสื้อผ้าแปลกประหลาด  ก่อนอื่นเลย ต้องติดกระดุมเสื้อเชิ้ตขึ้นไปจนถึงคอ และต้องติดกระดุมที่ข้อมือทุกเม็ดด้วย  ต้องไม่เปิดให้เห็นข้อมือ ต้องเก็บชายเสื้อเชิ้ตเข้าข้างใน และต้องปิดบังทุกสิ่งให้มิดชิด โดยไม่มีการเปลือยหน้าอกหรือแผ่นหลัง  เห็นหรือไม่ว่านี่สุภาพเรียบร้อยและเหมาะสมเพียงใด!  นี่คือความสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสมมิใช่หรือ และนี่ก็ตรงตามมารยาทอันดีงามอย่างวิสุทธิชน ดังที่พระเจ้าทรงกำหนดมิใช่หรือ?”  ผู้นำคนนั้นยินดีพอใจเป็นพิเศษกับเครื่องแต่งกายที่เขาสวมใส่อยู่ในขณะนั้น และในเวลาเดียวกันเขาก็กำหนดคนอื่นว่า “เสื้อผ้าของพวกคุณสมัยใหม่เกินไป ตามสมัยนิยมเกินไป  เสื้อผ้าของพวกคุณนำความอับอายมาสู่พระเจ้า และพระองค์ไม่โปรดเสื้อผ้าเหล่านี้  ทุกคน รีบมาสวมเสื้อผ้าแบบที่ฉันใส่ ทำให้เหมือนฉันเลย!”  ผู้คนที่ไม่มีวิจารณญาณก็ทำตาม โดยค้นหาและสวมใส่เครื่องแต่งกายที่เรียกว่าสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสมซึ่งตรงตามมารยาทอันดีงามอย่างวิสุทธิชน และผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าการนี้ดีด้วยซ้ำ  ทว่าในหัวใจของบางคนนั้น พวกเขารู้สึกขยะแขยงต่อสิ่งที่ล้าสมัยเหล่านี้ และรู้สึกว่าการทำเช่นนี้ไม่เหมาะควร และการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าเช่นนี้เป็นการบิดเบือน  แม้จะไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าการฟังผู้นำคนนั้นถูกหรือผิด และไม่กล้าสรุปอะไรเลย ผู้คนเหล่านี้ก็สนับสนุนการไม่ทำตามฝูงชนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า  พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่ผู้นำคนนั้นกล่าวไม่ถูกต้องทั้งหมด และพวกเขาก็ไม่ทำตามนั้น  มีเพียงบรรดาคนเขลาเบาปัญญาเท่านั้น ซึ่งเป็นบรรดาผู้คนที่ขาดศักยภาพในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ที่ไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเอง ทำตามสิ่งใดก็ตามที่ผู้นำเทียมเท็จบอก และทำสิ่งใดก็ตามที่มีคนบอกให้พวกเขาทำ ด้วยวิธีใดก็ตามที่มีคนบอกให้พวกเขาทำสิ่งนั้น  พวกเขาติดตามผู้นำเทียมเท็จคนนั้นและเอาอย่างเขา โดยแต่งกายเหมือนกันเมื่อออกไปข้างนอก  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาออกไปอยู่ท่ามกลางฝูงชน พวกเขาจะรู้สึกสุขใจไม่น้อย พลางคิดว่า “พวกเราเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และในเครื่องแต่งกายของฉันก็มีมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชนมากมายเหลือเกิน  พวกคุณสวมใส่อะไรอยู่?  ช่างฉูดฉาด ช่างสมัยใหม่ ช่างเลวร้ายอะไรอย่างนั้น!  ดูพวกเราสิ พวกเราไม่เผยให้เห็นอะไรเลย!”  พวกเขาคิดว่าตนน่าทึ่ง  ผู้นำเทียมเท็จคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่ตระหนักว่านี่เป็นการตีความพระวจนะของพระเจ้าผิดไป แต่จริงๆ แล้วกลับคิดว่าตนกำลังปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าและกำลังเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์  นี่คือสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จทำ  แม้แต่ข้อกำหนดของพระเจ้าที่มีต่อผู้คนจะเรียบง่ายที่สุดและเข้าใจได้ง่ายที่สุด ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่อาจเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นอ้างอิงถึงอะไร มาตรฐานใดหรือหลักธรรมใดที่พระวจนะเหล่านั้นกำหนด  เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ หรือเกี่ยวกับสภาวะต่างๆ นานาของมนุษย์ได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดหรือไม่ว่าความจริงในที่นี้คืออะไร?  แน่นอนว่าไม่สามารถรู้ได้

ผู้นำเทียมเท็จไม่มีศักยภาพในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาเพียงแต่รู้ว่าพระเจ้าตรัสอะไรจากความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่เข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้าแสดงความจริงประการใด พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนทำสิ่งใด หรือผู้คนควรเข้าใจหลักธรรมความจริงประการใด  เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ตีความพระวจนะของพระองค์ตามตัวอักษรเท่านั้น แล้วมอบข้อบังคับและกฎเกณฑ์บางอย่างให้ผู้คนทำตาม โดยใช้ข้อบังคับและกฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพวกเขาก็เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าเช่นกันและได้ทำงานแล้ว  ผู้นำเทียมเท็จบางคนถึงกับคิดว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่ผู้คนล้มเหลวในการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์หรือการทุ่มเทพยายามอยู่เนืองนิตย์  เนื่องจากเห็นว่าทุกคนมีหนังสือพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในมือของตน พวกเขาจึงถือว่าการนำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นเรื่องซ้ำซ้อน  เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเขาพบปัญหาระหว่างการชุมนุมหรือในขณะที่ทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็เพียงแค่ส่งพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนที่คัดสรรแล้วให้แก่ผู้คน โดยบอกสิ่งต่างๆ แก่ผู้คนอย่างเช่น “จงอ่านพระวจนะของพระเจ้าในบทตอนนี้” หรือ “จงอ่านพระวจนะของพระเจ้าในบทตอนนั้น” หรือ “พระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงแง่มุมนี้ว่าอย่างนี้ และกล่าวถึงแง่มุมนั้นว่าอย่างนั้น”  พวกเขาเพียงแค่ส่งพระวจนะของพระเจ้าในบทตอนที่คัดสรรแล้วให้แก่ผู้คน โดยใช้วิธีการโน้มน้าวใจเพื่อกระตุ้นเตือนให้ผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้า และเชื่อว่านี่เป็นวิธีนำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและพวกเขากำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำ  หลังจากได้เห็นพระวจนะเหล่านี้ ผู้คนก็กล่าวว่า “ฉันอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าแล้วเช่นกัน นี่ไม่เป็นการซ้ำซ้อนหรอกหรือที่คุณจะรวบรวมพระวจนะเหล่านี้มาให้ฉัน?”  อย่างไรก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นก็คิดว่า “หากฉันไม่ส่งพระวจนะเหล่านี้ไปให้คุณ คุณก็จะไม่สามารถค้นหาได้ว่าพระวจนะเหล่านี้อยู่ในบทใดหรือหน้าใด  คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้ภายใต้บริบทใด  ในฐานะผู้นำ ฉันควรรับผิดชอบหน้าที่นี้ ซึ่งก็คือการส่งพระวจนะของพระเจ้าไปให้คุณทุกที่และทุกเวลา”  ด้วยความรักอย่างท่วมท้น ผู้นำเทียมเท็จบางคนถึงกับส่งพระวจนะของพระเจ้าไปให้ใครบางคนสิบถึงยี่สิบบทตอนในหนึ่งวัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความจงรักภักดีต่องานของตนและมีความมุ่งมั่นที่จะนำผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าถูกส่งไปให้ผู้คน แต่ปัญหาของพวกเขาได้รับการแก้ไขหรือไม่?  พวกเขาลุล่วงบทบาทที่ผู้นำควรแสดงหรือไม่?  พวกเขามักจะไม่ลุล่วงบทบาทนี้ เพราะว่าหากผู้คนสามารถเข้าใจพระวจนะเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง พวกเขาย่อมจะไม่จำเป็นต้องมีผู้นำ  ที่จริงแล้วพระวจนะของพระเจ้าในบทตอนต่างๆ ที่ผู้นำเทียมเท็จส่งไปนั้นเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับบรรดาผู้ที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าบ่อยๆ แต่ผู้คนกำลังขาดพร่องสิ่งใด?  ความลำบากยากเย็นและปัญหาของพวกเขาคืออะไร?  นั่นก็คือ เมื่อเป็นเรื่องของประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความจริงเหล่านี้ ในยามที่เผชิญกับความลำบากยากเย็น ผู้คนก็ไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของปัญหาเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่รู้ว่าจะเริ่มแก้ปัญหาจากตรงไหน และไม่รู้ว่าจะเข้าสู่ความจริงเหล่านี้ได้อย่างไร—และผู้นำเทียมเท็จก็ไม่รู้เช่นกัน  เช่นนั้นพวกเขาลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนในเรื่องนี้แล้วหรือไม่?  พวกเขามีความสามารถในการทำงานแห่งการนำหรือไม่?  เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขายังไม่ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบประการนี้เลย  ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนอ่านเรื่องของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ในพระวจนะของพระเจ้า เพราะว่าพวกเขาไม่รู้วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและขาดพร่องขีดความสามารถในการทำความเข้าใจและเข้าใจความจริง ผู้นำเทียมเท็จก็จะกล่าวว่า “ข้อกำหนดของพระเจ้าไม่สูงอะไร  พระเจ้าทรงขอให้พวกเราเป็นคนที่ซื่อสัตย์ และการเป็นคนที่ซื่อสัตย์นั้นหมายถึงการพูดอย่างสัตย์จริง  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ทั้งหมดแล้วมิใช่หรือว่า ‘จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่’ (มัทธิว 5:37)?  พระวจนะของพระเจ้าช่างชัดเจนนัก!  เพียงแค่กล่าวสิ่งใดก็ตามที่คุณคิดอยู่ในหัวใจของคุณ ช่างเรียบง่ายอะไรอย่างนั้น!  เหตุใดคุณจึงทำไม่ได้?  พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พวกเราต้องปฏิบัติพระวจนะของพระองค์  การไม่ปฏิบัติคือการเป็นกบฏ แล้วพระเจ้าจะทรงช่วยบรรดาผู้ที่กบฏต่อพระองค์ให้รอดหรือไม่?  พระองค์ไม่ทรงช่วย”  เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้คนก็ตอบว่า “ทุกสิ่งที่คุณพูดนั้นถูกต้อง แต่พวกเราก็ยังคงไม่รู้วิธีที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์  เนื่องจากหลายๆ ครั้ง การโกหกไม่ได้ทำโดยตั้งใจ หรือเป็นสิ่งที่คนเราทำเมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น และมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังการโกหกนั้น  ควรแก้ไขการนี้อย่างไร?”  ผู้นำเทียมเท็จจะกล่าวว่าอย่างไร?  “นี่เป็นเรื่องที่จัดการได้ง่ายมิใช่หรือ?  พระวจนะของพระเจ้าบอกไว้ชัดเจนแล้วมิใช่หรือ?  การเป็นคนซื่อที่สัตย์ก็เหมือนกับการทำตัวเป็นเด็กไม่มีผิด ช่างเรียบง่ายอะไรเช่นนั้น!  ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร คุณก็สามารถทำตัวให้เหมือนเด็กได้มิใช่หรือ?  แค่มองดูว่าเด็กๆ ประพฤติตนอย่างไร”  ผู้ฟังจึงครุ่นคิดว่า “พฤติกรรมหลักของเด็กก็คือการเป็นคนไร้เดียงสาและมีชีวิตชีวา กระโดดโลดเต้น ไม่เป็นผู้ใหญ่ และไม่เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง  ในเมื่อผู้นำกล่าวเช่นนั้นแล้ว ดังนั้นฉันก็ควรประพฤติตนในหนทางนี้”  วันต่อมาบุคคลนี้ซึ่งอยู่ในวัยสามสิบกว่าปีหรือสี่สิบกว่าปีก็ถักผมของตนเป็นเปียเล็กๆ สองข้าง สวมที่คาดผมและติดกิ๊บติดผมสีชมพู สวมเสื้อเชิ้ต รองเท้า และถุงเท้าสีชมพู สวมเครื่องแต่งกายเป็นสีชมพูหมดทั้งตัว  เมื่อเห็นดังนี้ ผู้นำก็กล่าวว่า “นั่นถูกต้องแล้ว!  จงเดินให้เหมือนเด็กมากขึ้น กระโดดโลดเต้นด้วย  จงพูดจาไร้เดียงสาให้เหมือนเด็กมากขึ้น มีนัยน์ตาที่ปราศจากความเลวร้าย และมีรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณ—นี่คือการย้อนกลับไปมีลักษณะท่าทางแบบเด็กมิใช่หรือ?  นี่คือกิริยาท่าทางของคนที่ซื่อสัตย์!”  ผู้นำคนนั้นรู้สึกพึงพอใจทีเดียว ในขณะที่คนอื่นมองว่านี่เป็นพฤติกรรมที่เขลาและผิดปกติ  ผู้นำเทียมเท็จคนนี้ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการแก้ปัญหาเท่านั้น แต่ยังไม่รู้วิธีที่จะแสวงหาหลักธรรมความจริงเลย จึงนำผู้คนลงไปสู่เส้นทางแห่งความไร้เหตุผล  แม้กระทั่งความจริงที่เรียบง่ายที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ผู้นำเทียมเท็จคนนี้ก็ไม่รู้วิธีทำความเข้าใจความจริงประการนี้ให้ถูกต้องและหมดจด จึงหันไปใช้ข้อบังคับอย่างมืดบอด และทำความเข้าใจความจริงประการนี้อย่างบิดเบือนมากจนกระทั่งบรรดาผู้ที่ได้ยินเรื่องนี้รู้สึกขยะแขยง  นี่คือสิ่งที่เหล่าผู้นำเทียมเท็จทำ

เหล่าผู้นำเทียมเท็จทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าไปในสารพัดหนทาง โดยสรรค์สร้างทัศนคติที่แปลกประหลาดและพิสดารนานัปการขึ้นมา  พวกเขายังชูธงด้วยว่ากำลังปฏิบัติและทำตามพระวจนะของพระเจ้า โดยร้องขอให้ผู้อื่นยอมรับและยึดมั่นกับการทำความเข้าใจของตน  โดยสรุปแล้ว ผู้คนอย่างผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้มักจะมีการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าที่ตื้นเขินและบิดเบือนอยู่บ่อยๆ  เมื่อใช้คำศัพท์ฝ่ายวิญญาณในการนิยามเรื่องนี้ พวกเราคงจะบอกว่าพวกเขา “ไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ”  ไม่เพียงแค่การทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าของพวกเขาจะบิดเบือนเท่านั้น แต่พวกเขายังมักจะร้องขอให้ผู้อื่นทำตามคำสอนและข้อบังคับที่บิดเบือนเหล่านี้เช่นเดียวกันกับพวกเขา  ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ใช้การทำความเข้าใจที่บิดเบือนของตนในการกล่าวโทษบรรดาผู้ที่มีการทำความเข้าใจความจริงอย่างหมดจดอีกด้วย  เนื่องจากขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้จึงไม่พินิจพิเคราะห์และวิเคราะห์พระวจนะของพระเจ้าเหมือนกับที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ  จากภายนอกนั้น ดูราวกับว่าพวกเขาเข้าหาพระวจนะของพระเจ้าด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมในการกินและดื่มและการยอมรับ  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเขามีขีดความสามารถที่ย่ำแย่และไม่มีศักยภาพในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจึงปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าราวกับพระวจนะเหล่านั้นเป็นตำราเรียน โดยเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นไปตามตรรกะที่ว่า “หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง สองบวกสองเท่ากับสี่”  พวกเขาไม่รู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง และในการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า คนเราต้องเข้าใจว่าความจริงที่บอกไว้ในพระวจนะของพระเจ้านั้นอ้างอิงถึงสิ่งใด และความจริงเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสภาวะนานัปการใดบ้างและเนื้อหาใดบ้าง  เวลาที่คนอื่นทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าด้วยวิธีที่เป็นรูปธรรมและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก พวกเขาก็มองว่าการนั้นผิวเผินและไม่ควรค่าแก่การรับฟัง โดยกล่าวว่า “ฉันเข้าใจทั้งหมดนั่นแล้ว ฉันรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง  สิ่งที่คุณกำลังพูดถึงนั้นมีการอธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้วในพระวจนะของพระเจ้า เพราะเหตุใดคุณจึงจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้?”  อันที่จริงพวกเขาไม่ตระหนักรู้ว่าสิ่งที่คนอื่นกำลังหารือกันนั้นเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงซึ่งสัมพันธ์กับความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  เพราะผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไม่มีศักยภาพในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจึงคิดว่าความจริงทุกประการนั้นเป็นเรื่องเดียวกันไม่มากก็น้อย ไม่มีข้อแตกต่างที่เฉพาะเจาะจงท่ามกลางประเด็นปัญหาทั้งหลายที่ความจริงเหล่านั้นกล่าวถึง พวกเขาเชื่อว่าถึงแม้ว่าการพูดคุยถึงสิ่งเหล่านี้จะไม่มีที่สิ้นสุด แต่โดยพื้นฐานแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นปัญหาเดียวกัน  การเชื่อเช่นนี้บ่งชี้ถึงปัญหาอันร้ายแรง และการนี้ย่อมชี้ชะตากรรมให้บุคคลดังกล่าวไม่มีวันเข้าใจความจริง

ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถนำผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้

ปัจจุบันนี้มีบุคคลที่มีขีดความสามารถดีและมีศักยภาพในการทำความเข้าใจซึ่งได้รับประสบการณ์จากพระวจนะและการเข้าสู่พระวจนะของพระองค์ในระดับพื้นฐานมาบ้างแล้ว และมีความเป็นจริงความจริงอยู่บ้าง แต่พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการชี้แนะและการนำที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเพื่อให้การเข้าสู่ของพวกเขาประณีตและมีรายละเอียดได้มากขึ้น  มีเพียงผู้นำเทียมเท็จเท่านั้นที่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่ารายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงของความจริงนั้นอ้างอิงถึงสิ่งใด หรือเพราะเหตุใดรายละเอียดเหล่านั้นจึงได้รับการกล่าวถึงในหนทางเช่นนั้น โดยคิดว่านั่นเป็นการทำให้สิ่งทั้งหลายซับซ้อนหรือเป็นการเล่นคำโดยไม่จำเป็น  พวกเขาไม่เข้าใจหรือไม่รู้วิธีทำความเข้าใจหรือมีประสบการณ์กับแง่มุมนานัปการที่เกี่ยวข้องกับความจริง  เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้หลังจากกลายเป็นผู้นำก็มีเพียงแต่การนำผู้คนในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าที่มีการสามัคคีธรรมกันทั่วไป รวมทั้งพูดคุยเกี่ยวกับคำสอนบางประการ และสรุปวิธีปฏิบัติบางอย่างในการปฏิบัติตามข้อบังคับทั้งหลาย และสิ่งที่ผู้คนได้รับจากพวกเขาก็มีเพียงคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณอันผิวเผินบางคำ คำพูดและคำสอน ข้อบังคับ และคำขวัญที่มีการกล่าวถึงกันทั่วไป  สำหรับคนที่เป็นผู้เชื่อใหม่ การประกาศของผู้นำเทียมเท็จอาจจะเพียงพอสำหรับหนึ่งปีหรือสองปีเท่านั้น แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งปีหรือสองปี บรรดาผู้ที่เริ่มเข้าใจความจริงบางประการก็จะเริ่มแยกแยะถ้อยแถลงและแนวทางชุดที่ผู้นำเทียมเท็จใช้  ส่วนบรรดาผู้ที่ขาดพร่องศักยภาพในการทำความเข้าใจโดยพื้นฐานนั้น ไม่ว่าผู้นำเทียมเท็จจะประกาศว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีความตระหนักรู้ และไม่อาจตระหนักได้เลยว่าสิ่งที่ผู้นำเหล่านี้กำลังประกาศนั้นเป็นเพียงคำพูดและคำสอนเท่านั้น และสิ่งที่พวกเขาเข้าใจก็เป็นเพียงทฤษฎี คำขวัญและข้อบังคับบางประการที่กลวงเปล่า ซึ่งไม่ใช่ความจริงเลย  บนพื้นฐานของการสำแดงเหล่านี้ ผู้นำเทียมเท็จสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบใน “การนำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจพระวจนะของพระองค์ และเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า” ได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถลุล่วงบทบาทนี้ได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เหตุใดพวกเขาจึงทำไม่ได้?  ประเด็นปัญหาสำคัญคืออะไร?  (ผู้คนดังกล่าวไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไม่สามารถทำความเข้าใจความจริงได้)  พวกเขาไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไม่สามารถทำความเข้าใจความจริงได้ ทว่าพวกเขาก็ยังคงต้องการนำผู้อื่น—การนี้เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!  การคาดหวังให้ผู้นำเทียมเท็จนำผู้คนให้เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าก็เหมือนกับการพยายามตอกตะปูบนวุ้นให้ติดกับฝาผนัง—เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้น!  ลองดูการเป็นคนที่ซื่อสัตย์เป็นตัวอย่าง พระวจนะของพระเจ้าในประเด็นนี้ค่อนข้างเรียบง่าย พระวจนะดังกล่าวมีเพียงสองสามประโยคและไม่ซับซ้อน  ใครก็ตามที่มีการศึกษาเล็กน้อยก็รู้ว่าพระวจนะเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร  แต่เพื่อพิสูจน์ว่าตนสามารถทำงานได้และสามารถนำผู้คนได้ ผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นจึงสาธยายบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าว่า “อะไรคือนัยสำคัญของข้อกำหนดของพระเจ้าในการให้ผู้คนเป็นคนที่ซื่อสัตย์?  นั่นก็คือการเป็นคนที่ซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก  ผู้ไม่มีความเชื่อไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ พวกเขาไม่พูดความจริง และสิ่งที่พวกเขากล่าวล้วนเป็นคำโกหกและคำพูดที่หลอกลวง โลกทั้งใบนี้เป็นชาติแห่งความเทียมเท็จอันยิ่งใหญ่  เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่พระเจ้าทรงกำหนดเมื่อพระองค์เสด็จมาในวันนี้ก็คือให้ผู้คนซื่อสัตย์  หากคุณไม่ใช่คนซื่อสัตย์ พระเจ้าจะไม่ทรงรักคุณ หากคุณไม่ใช่คนซื่อสัตย์ คุณย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด และคุณก็ไม่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ หากคุณไม่ใช่คนซื่อสัตย์ คุณย่อมไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ และคุณย่อมเป็นคนหลอกลวงแน่ๆ หากคุณไม่ใช่คนซื่อสัตย์ คุณย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน”  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจวิธีเป็นคนที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  (ไม่เข้าใจ)  หลังจากทั้งหมดนั้น เรื่องนี้ก็ยังคงไม่ชัดเจน  เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้เชื่อใหม่ก็รู้สึกว่าพระวจนะเหล่านี้ดีเลิศ เป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาในระยะเวลายี่สิบปีหรือสามสิบปีในศาสนา  บางคนถึงกับกล่าวว่า “พระวจนะเหล่านี้ทรงพลัง ทุกประโยคสมควรได้รับการกล่าวว่า ‘อาเมน’  คำเทศนานี้ดีจริงๆ เป็นคำเทศนาแห่งยุคราชอาณาจักรอย่างแท้จริง!”  จากนั้นผู้นำเทียมเท็จก็กล่าวต่อไปว่า “พระเจ้าทรงขอให้พวกเราเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แล้วพวกเราเป็นคนที่ซื่อสัตย์หรือไม่?”  บางคนไตร่ตรองเรื่องนี้ว่า “เนื่องจากพระเจ้าทรงขอให้พวกเราเป็นคนที่ซื่อสัตย์ นั่นหมายความว่าพวกเรายังไม่ได้เป็นคนซื่อสัตย์”  บางคนยังคงเงียบ พลางคิดว่า “ฉันมองว่าตัวเองไร้เล่ห์มารยาทีเดียว  ฉันไม่เคยทะเลาะกับคนอื่น และเวลาทำธุรกิจ ฉันก็ไม่กล้าเล่นไม่ซื่อกับใคร  บางครั้งหากฉันเอาเปรียบนิดหน่อย ฉันก็ไม่อาจนอนหลับได้ในตอนกลางคืนด้วยซ้ำไป  ฉันเป็นคนที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  ฉันคิดว่าฉันเป็นคนที่ไร้เล่ห์มารยา และนั่นก็มีความหมายเหมือนกันกับการเป็นคนซื่อสัตย์ไม่ใช่หรือ?”  คนอื่นๆ กล่าวว่า “ตามธรรมชาติแล้วฉันไม่อาจพูดโกหกได้  เมื่อใดก็ตามที่ฉันพูดบางสิ่งที่ไม่จริง หน้าของฉันจะกลายเป็นสีแดง ดังนั้นฉันต้องเป็นคนซื่อสัตย์ ถูกหรือไม่?”  จากนั้นผู้นำเทียมเท็จก็กล่าวเสริมว่า “ไม่ว่าคุณจะเป็นคนซื่อสัตย์หรือไม่ ในเมื่อพระวจนะของพระเจ้าขอให้พวกเราซื่อสัตย์ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่คุณต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์  หากคุณปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า คุณย่อมเป็นคนซื่อสัตย์  เช่นนั้นคุณจึงเป็นอิสระจากความหลอกลวง จากพันธนาการแห่งอิทธิพลมืดของซาตาน  ทันทีที่คุณกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ คุณย่อมเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง สามารถลุล่วงหน้าที่ของคุณได้ และสามารถนบนอบพระเจ้าได้”  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจวิธีเป็นคนที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  (ไม่เข้าใจ)  แต่บางคนก็รู้สึกปีติยินดีว่า “พระวจนะเหล่านี้ทรงพลัง  อาเมน!  ทุกประโยคนั้นถูกต้อง  แม้ไม่มีส่วนใดที่มาจากพระวจนะของพระเจ้าโดยตรง แต่ทั้งหมดมาจากการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  การทำความเข้าใจนี้ช่างน่าอัศจรรย์!  เหตุใดฉันจึงไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้เช่นนี้?  ดูเหมือนว่าผู้นำคนนี้จะคู่ควรกับตำแหน่งอย่างแท้จริง พวกเขาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นผู้นำจริงๆ!”  หลังจากได้ยินเช่นนี้ ผู้คนที่มีขีดความสามารถและไหวพริบก็ไตร่ตรองว่า “คุณยังไม่ได้อธิบายเลยว่าคนซื่อสัตย์เป็นอย่างไร คนเราจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ได้อย่างไรกันแน่?”  ผู้นำเทียมเท็จกล่าวต่อไปว่า “การเป็นคนที่ซื่อสัตย์หมายถึงการไม่โกหก  ตัวอย่างเช่น หากคุณเคยประพฤติผิดประเวณีมาก่อน เช่นนั้นแล้วคุณย่อมอธิษฐานถึงพระเจ้าและสารภาพว่าคุณเคยทำเช่นนั้นมากี่ครั้ง และทำกับใคร  หากคุณรู้สึกว่าคุณไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสพระเจ้าได้ เช่นนั้นคุณก็ต้องสารภาพกับผู้นำโดยชี้แจงทุกสิ่งทุกอย่าง  การสารภาพอย่างตรงไปตรงมาเป็นข้อกำหนดขั้นพื้นฐานที่สุดของการเป็นคนซื่อสัตย์  นอกจากนั้น การนี้ยังเกี่ยวกับการพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของคุณออกมา ไม่ผสมความเทียมเท็จลงในสิ่งใดๆ  คุณคิดถึงสิ่งต่างๆ อย่างไร คุณมีเจตนาเช่นไร คุณเผยความเสื่อมทรามใดออกมา ใครคือคนที่คุณเกลียดชังหรือสาปแช่งอยู่ในหัวใจของคุณ ใครคือคนที่คุณต้องการสร้างความเสียหายให้หรือวางแผนที่จะต่อต้าน—ทั้งหมดควรถูกสารภาพออกมาให้บุคคลเหล่านั้นฟัง  ด้วยการทำเช่นนั้น คุณจะกลายเป็นคนที่เปิดเผยและตรงไปตรงมา ซึ่งใช้ชีวิตในความสว่าง  นี่คือความหมายของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  คนซื่อสัตย์ต้องปล่อยมือจากอัตตาของตน พวกเขาต้องสามารถแสดงออกและชำแหละส่วนที่ชั่วที่สุดและมืดมนที่สุดในหัวใจของตนได้”  เมื่อได้ยินดังนี้ ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจวิธีที่จะเป็นคนซื่อสัตย์หรือยัง?  (ยังคงไม่เข้าใจ)  แม้กระทั่งหลังจากได้ฟังแล้ว นั่นก็เป็นเพียงคำสอนที่คนเราเข้าใจ ไม่ใช่การปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง  ด้วยการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าดังกล่าว ผู้นำเทียมเท็จจึงนำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าในหนทางนี้ และพวกเขาก็สามัคคีธรรมในหนทางนี้เช่นกัน โดยคิดว่าตนเข้าใจพระวจนะของพระเจ้ามากที่สุด มีศักยภาพในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และสามารถนำผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้  ในความเป็นจริง สิ่งที่พวกเขาเข้าใจและสามัคคีธรรมนั้นล้วนแต่เป็นคำสอนและคำขวัญเท่านั้น ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใดๆ ก็ตามแก่บรรดาผู้ที่ปรารถนาจะแสวงหาความเป็นจริงความจริงและเข้าใจหลักธรรมความจริง  ทว่าผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นยังคงเชื่อว่าตนมีศักยภาพในการทำความเข้าใจที่ดีเยี่ยม มีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าอย่างหาตัวจับยาก และเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป  พวกเขาเที่ยวไปประกาศคำสอนและคำขวัญเหล่านี้ โดยถึงกับใช้ในการเปรียบเทียบกับคำสอนและคำขวัญอื่นๆ และใช้คำสอนและคำขวัญเหล่านี้เพื่อโต้เถียงด้วยวาจาบ่อยๆ และถึงกับใช้คำสอนและคำขวัญเหล่านี้เพื่อสั่งสอน ตัดแต่ง ตัดสิน และกล่าวโทษผู้คนอยู่เนืองนิจ  พวกเขาคิดว่าด้วยการทำเช่นนั้น พวกเขากำลังทำงาน โดยนำพระวจนะของพระเจ้ามาสู่ชีวิตจริง และนำพระวจนะของพระเจ้าไปใช้  นี่เป็นเรื่องที่น่าวิตกมิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ พวกเขาไม่สามารถนำผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็สามารถสามัคคีธรรมคำพูดและคำสอนได้บางประการเท่านั้น แต่ทว่าพวกเขากลับเที่ยวไปประกาศและโอ้อวดคำพูดและคำสอนเหล่านั้น  อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงพวกเขาไม่เข้าใจความจริงใดๆ ในพระวจนะของพระเจ้าเลย  ตัวอย่างเช่น พวกเขาไม่เข้าใจคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณบางคำที่คล้ายคลึงกันหรือบางสำนวนที่คล้ายคลึงกัน และพวกเขาก็ไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างคำศัพท์หรือสำนวนเหล่านั้น หรือวิธีที่จะนำคำศัพท์หรือสำนวนเหล่านั้นมาปรับใช้ในสถานการณ์จริง  นอกจากการยึดมั่นกับข้อบังคับและการพูดพ่นคำพูดและคำสอนแล้ว พวกเขายังขาดพร่องความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริงและไม่ได้ปฏิบัติพระวจนะของพระองค์อย่างแท้จริง  เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าเหล่าผู้นำเทียมเท็จเองไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาก็ไม่สามารถนำผู้คนให้เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  พวกเราได้อธิบายเรื่องนี้โดยยกตัวอย่างเกี่ยวกับการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  เนื่องจากไม่รู้วิธีที่จะรับรู้ความจริงเกี่ยวกับการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เหล่าผู้นำเทียมเท็จจึงหันไปใช้การพูดพ่นคำพูดและคำสอน และการประกาศคำขวัญ โดยชักพาบรรดาคนเขลาและคนเลอะเลือนซึ่งขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณให้หลงผิด และทิ้งพวกเขาให้สับสน  หลังจากฟังคำพูดและคำสอนเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็เลื่อมใสบูชาผู้นำเทียมเท็จเป็นพิเศษ และหลังจากติดตามพวกเขามานานหลายปี ก็ลงเอยด้วยการไม่เข้าใจแม้กระทั่งความจริงขั้นพื้นฐานที่สุด และไม่มีการเข้าสู่ความจริงแต่ประการใด  พวกเราควรจบการสามัคคีธรรมหัวข้อนี้ของพวกเราไว้ตรงนี้

ประการที่สอง: มีความเข้าใจสภาวะทั้งหลายของบุคคลแต่ละประเภท และแก้ไขความลำบากยากเย็นนานัปการซึ่งสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตที่พวกเขาเผชิญในชีวิตจริง (ภาคที่หนึ่ง)

ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถรู้เท่าทันสภาวะของบุคคลแต่ละประเภทได้

หน้าที่รับผิดชอบประการที่สองของผู้นำและคนทำงานก็คือการมีความเข้าใจสภาวะทั้งหลายของบุคคลแต่ละประเภท และแก้ไขความลำบากยากเย็นนานัปการซึ่งสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตที่พวกเขาเผชิญในชีวิตจริง  ผู้นำเทียมเท็จดำเนินงานนี้อย่างไร?  พวกเขามีความสามารถสำหรับงานนี้หรือไม่?  พวกเราจงมาชำแหละประเด็นนี้กันเถิด  การมีความเข้าใจสภาวะทั้งหลายของบุคคลแต่ละประเภท—การนี้สำเร็จลุล่วงบนพื้นฐานใด?  การนี้สำเร็จลุล่วงบนพื้นฐานของการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าซึ่งเปิดโปงอุปนิสัยและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของผู้คนหลากหลายประเภท  ในการเข้าใจสภาวะของผู้คนหลากหลายประเภท ก่อนอื่นคนเราต้องเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าซึ่งเปิดโปงสภาวะ อุปนิสัยอันเสื่อมทราม และแก่นแท้อันเสื่อมทรามนานัปการของผู้คน และสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาเทียบเคียงกับตนเองได้  อุปนิสัยประเภทที่พระเจ้าทรงเปิดโปงนั้นอ้างอิงถึงผู้คนประเภทใด ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นเช่นไร พวกเขามีการสำแดงและการเผยประเภทใด และพวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อพระเจ้า ต่อพระวจนะของพระเจ้า และต่อหน้าที่ของตน สภาวะเหล่านี้ต้องสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า และด้วยการทำเช่นนั้น คนเราย่อมสามารถเข้าใจสภาวะของบุคคลหลากหลายประเภทได้  เพราะฉะนั้น การมีความเข้าใจสภาวะทั้งหลายของผู้คนหลากหลายประเภทนั้นจะได้รับการสัมฤทธิ์ก่อนบนพื้นฐานของการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและการมีศักยภาพในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  เหล่าผู้นำเทียมเท็จไม่มีศักยภาพในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจะสามารถเข้าใจความจริงที่ซับซ้อนเกี่ยวกับผู้คนหลากหลายประเภทที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปง ตลอดจนสภาวะและแก่นแท้อันเสื่อมทรามนานัปการที่ถูกเปิดโปงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  พวกเขาไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่ามีสัมพันธภาพใดที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และไม่รู้ว่ามีความจริงประการใดที่เกี่ยวข้อง  เพราะว่าพวกเขาไม่มีศักยภาพในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า การจับความเข้าใจสภาวะของผู้คนหลากหลายประเภท—เรื่องนี้สำคัญและสำคัญยิ่งยวดนัก—จึงเป็นงานที่ยุ่งยากและยากลำบากมากสำหรับผู้นำเทียมเท็จ

ผู้นำเทียมเท็จเข้าใจสภาวะของผู้คนหลากหลายประเภทอย่างไร?  พวกเขาคิดว่า “บุคคลนี้มีใจกระตือรือร้น บุคคลนั้นใจแคบ บุคคลนี้รักการแต่งตัว บุคคลนั้นมีความเชื่อนิดหน่อย…”  พวกเขามองดูเพียงปรากฏการณ์อันผิวเผินเหล่านี้เท่านั้น แต่พวกเขาไม่รู้ว่าที่จริงแล้วใครบางคนมีท่าทีอย่างไรต่อพระวจนะของพระเจ้าและความจริง และที่จริงแล้วแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเป็นอย่างไร  ตัวอย่างเช่น ใครบางคนมีความเชื่อที่แท้จริงและกระตือรือร้นในการทำหน้าที่ของพวกเขา แต่ความลำบากยากเย็นและภาระผูกพันในครอบครัวของพวกเขาส่งผลต่อผลลัพธ์ในหน้าที่ของพวกเขา เมื่อมองเห็นเช่นนี้ ผู้นำเทียมเท็จก็จะตีตราพวกเขาผิดๆ โดยกล่าวว่า “บุคคลนี้เป็นผู้ไม่เชื่อ  พวกเขาไม่สามารถแยกตัวออกมาจากครอบครัวของตนได้  พวกเขาคิดถึงลูกๆ ของตนอยู่เสมอ  พวกเขามีเงินออมอยู่ที่บ้านแต่ไม่ถวายเงินนั้น  ดังนั้นบุคคลนี้จึงเป็นปัญหามาก และไม่อาจถูกใช้สำหรับงานสำคัญในอนาคตได้”  อันที่จริงประเด็นปัญหาของบุคคลนี้ไม่ร้ายแรง เพียงเพราะว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น และมีความเข้าใจความจริงอันตื้นเขินจนพวกเขาไม่สามารถรู้เท่าทันหลายสิ่งหลายอย่างได้  พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับครอบครัวและลูกๆ ของตน หรือวิธีที่จะจัดการกับทรัพย์สินของตน  พวกเขายังคงอยู่ในช่วงเวลาของการอธิษฐานและการแสวงหา และยังไม่พบหลักธรรมและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง  พวกเขามีความแน่วแน่ที่จะปฏิบัติความจริง แต่เมื่อเผชิญกับภาระผูกพันและความลำบากยากเย็นในครอบครัว พวกเขาก็อ่อนแอเล็กน้อยเป็นการชั่วคราวและไม่กระตือรือร้นในการทำหน้าที่ของตนมากนัก  อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถทำงานที่คริสตจักรมอบหมายให้พวกเขาจนสำเร็จได้ด้วยความเอาจริงเอาจัง ซึ่งเป็นบางสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้  เมื่อตัดสินจากขีดความสามารถและความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง พวกเขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง  แต่ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้มองเห็นเรื่องดังกล่าวในหนทางนี้ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและไม่รู้วิธีนำพระวจนะของพระเจ้ามาใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินวัดว่าแก่นแท้ธรรมชาติของใครคนหนึ่งเป็นอย่างไร หรือสภาวะที่ใครคนหนึ่งมีอยู่นั้นเป็นเพราะแก่นแท้ธรรมชาติหรือความอ่อนแอชั่วคราวของพวกเขา หรือเป็นประเด็นปัญหาของวุฒิภาวะ พวกเขาไม่สามารถประเมินวัดสิ่งเหล่านี้ได้  ความลำบากยากเย็นที่บุคคลประเภทนี้เผชิญก็คือความลำบากยากเย็นที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงและสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิต—ผู้นำเทียมเท็จสามารถรับมือกับประเด็นปัญหาประเภทเหล่านี้ได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นของผู้คนเหล่านี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เพราะผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถจับความเข้าใจสภาวะทั้งหลายของผู้คนหลากหลายประเภทได้อย่างถูกต้อง และไม่สามารถแยกแยะความดีและความชั่วในแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนหลากหลายประเภทได้อย่างถูกต้อง พวกเขาจึงไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นและปัญหาของผู้คนหลากหลายประเภทได้อย่างถูกต้องเช่นกัน  ในทางกลับกัน  พวกเขามองว่าบรรดาผู้ที่พึ่งพาแต่เพียงความมีใจกระตือรือร้นซึ่งสามารถยุ่งจนหัวหมุนกับการสละตนเอง สู้ทนความยากลำบาก และจ่ายราคาได้ แต่มีขีดความสามารถที่ย่ำแย่และขาดพร่องศักยภาพในการทำความเข้าใจนั้น เป็นเป้าหมายสำคัญในการบ่มเพาะ และพวกเขาก็สามัคคีธรรมเพื่อที่จะแก้ไขความลำบากยากเย็นเมื่อผู้คนเหล่านี้เผชิญกับความลำบากยากเย็นดังกล่าว  แต่สำหรับบรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถและความเป็นมนุษย์ที่ดีอย่างแท้จริง เมื่อพวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นและมีความอ่อนแอบ้างเล็กน้อย ผู้นำเทียมเท็จจะแก้ไขและจัดการกับความลำบากยากเย็นเหล่านั้นอย่างไร?  เมื่อผู้คนเหล่านี้เผชิญกับความลำบากยากเย็นและที่จริงแล้วพวกเขาก็อ่อนแอแค่เพียงเล็กน้อย ตามสถานการณ์แล้ว พวกเขาควรได้รับการเกื้อหนุนและความช่วยเหลือ คนเราควรสามัคคีธรรมเจตนารมณ์ของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง—พวกเขาไม่ควรถูกตัดออกไปโดยสิ้นเชิง แล้วก็ไม่ควรถูกตีตราเลย  แต่ผู้นำเทียมเท็จจะแก้ไขความลำบากยากเย็นของผู้คนดังกล่าวอย่างไร?  พวกเขากล่าวว่า “พระราชกิจของพระเจ้าได้ไปถึงช่วงระยะนั้นแล้ว ทว่าคุณยังคงยึดติดอยู่กับสามีของคุณ กับลูกๆ ของคุณ คุณยังให้ลูกๆ ของคุณเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยและไล่ตามไขว่คว้าจุดหมายปลายทางในอนาคตของพวกเขาด้วยซ้ำไป  เมื่อความวิบัติทวีความรุนแรงมากขึ้น จุดหมายปลายทางในอนาคตในโลกนี้ยังคงมีอยู่หรือไม่?  คุณไม่สามารถดูแลแม้กระทั่งชีวิตของตัวคุณเอง คุณจะสามารถใส่ใจในสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร?  พระราชกิจของพระเจ้าใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว เวลาช่างกระชั้นนัก!  หากคุณไม่อุทิศตนเองให้เต็มที่ ยังคงเรียกคุณว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้หรือไม่?  คุณยังคงเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?”  ความลำบากยากเย็นของผู้คนเหล่านี้เป็นดังที่กล่าวมานี้จริงๆ หรือ?  (ไม่ใช่)  เหตุผลที่ผู้คนเหล่านี้อ่อนแอเล็กน้อยเมื่อพวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นก็เป็นเพียงเพราะพวกเขายังมีวุฒิภาวะน้อย ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่รักความจริงหรือไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จกล่าวจึงไม่ตรงกับสภาวะของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าเป็นกรณีของการตีตราผิดๆ ไม่จับความเข้าใจประเด็นสำคัญหรือแง่มุมสำคัญของสภาวะของพวกเขา ไม่จับความเข้าใจว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอย่างแท้จริง พวกเขาเป็นบุคคลประเภทใด และพวกเขาควรได้รับการชี้แนะและความช่วยเหลือในการแก้ไขความลำบากยากเย็นของตนอย่างไร  ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้วิธีแก้ปัญหาเหล่านี้  ดังนั้นเมื่อปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น คนเราควรแก้ไขเรื่องดังกล่าวอย่างไร?  เจ้าสามารถกล่าวได้ว่า “ประเด็นปัญหาที่คุณกำลังเผชิญนั้นเป็นปัญหาที่หลายคนก็เผชิญ  บรรดาผู้ที่สามารถทิ้งครอบครัวของตนไว้ข้างหลังและสละตนเองหมดทั้งหัวใจเพื่อพระเจ้านั้นไม่ได้กระทำด้วยความหุนหันพลันแล่น แต่เตรียมการมาเป็นเวลานานแล้ว  ประการหนึ่งก็คือ พวกเขาเข้าใจความจริงมากพอและมีความแน่วแน่ที่จะเป็นอิสระจากครอบครัวของตนอย่างแท้จริง สละตนเองหมดทั้งหัวใจในพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาสามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่เสียใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง—พวกเขาคิดเรื่องนี้มาอย่างรอบคอบแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างช่วงเวลานี้พวกเขายังอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อการเตรียมการและการเปิดหนทางไปข้างหน้าอีกด้วย ขณะที่เตรียมตนเองต่อไปให้พร้อมด้วยความจริง และเปิดโอกาสให้ตนเองเข้าใจความจริงมากขึ้น และมีความเชื่อมากขึ้นในการวางมือจากทุกสิ่งเพื่อสละตนเองหมดทั้งหัวใจเพื่อพระเจ้า  การนี้ต้องอาศัยเวลา คำอธิษฐาน และแน่นอนว่าต้องมีการนำและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  หากคุณมีความแน่วแน่เช่นนี้ ก็อย่าพะวักพะวน  ให้อธิษฐานถึงพระเจ้าและรอคอยอย่างสงบ แล้วพระเจ้าจะทรงจัดการเตรียมการให้คุณ  หากคำอธิษฐานและความตั้งใจแน่วแน่ของคุณสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า หากคุณพร้อมและคุณจะนบนอบไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใดและจะไม่รู้สึกเสียใจ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมจะทรงเปิดหนทางให้คุณอย่างแน่นอน  ระหว่างช่วงเวลานี้ สิ่งที่ผู้คนควรทำก็คือการเตรียมการและรอคอย สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือการเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริง การเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และการเปิดโอกาสให้ตนมีวุฒิภาวะมากขึ้นทีละเล็กละน้อย  เมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมต่างๆ ไว้ให้ หากคุณสามารถเลือกที่จะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้โดยไม่พร่ำบ่นใดๆ นี่คือการมีวุฒิภาวะ—ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใดหรือพระองค์จะทรงจัดการเตรียมการอย่างไร คุณก็จะสามารถนบนอบได้”  เจ้าคิดอย่างไรกับการชี้นำประเภทนี้?  (การนี้ดี)  ในด้านหนึ่ง เจ้ากำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน โดยช่วยผู้คนให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และในเวลาเดียวกัน เจ้าก็ไม่ได้ใช้กำลังบังคับพวกเขาให้ทำเกินศักยภาพของตน แต่ปฏิบัติต่อพวกเขาตามสถานการณ์จริงของพวกเขา  นี่คือการแก้ปัญหาด้วยพระวจนะของพระเจ้ามิใช่หรือ?  นี่คือการแก้ไขความลำบากยากเย็นที่ผู้คนเผชิญในชีวิตจริงบนพื้นฐานของสภาวะของพวกเขามิใช่หรือ?  (ใช่)

ในการปฏิบัติหน้าที่ของบางคน พวกเขามักจะสุกเอาเผากินและไม่แสดงความรับผิดชอบอยู่เนืองนิตย์ พวกเขามักจะวางตนเป็นเจ้านายใหญ่โตอยู่เสมอ ตลอดจนโอหัง คิดว่าตนเองถูก และไม่สามารถให้ความร่วมมือกับผู้อื่นได้ และพวกเขาก็นำความสูญเสียมาสู่งานของคริสตจักรโดยไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย  เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ผู้นำเทียมเท็จก็เริ่มจัดการและแก้ไขประเด็นปัญหานั้น โดยกล่าวว่า “บุคคลนี้มีบทบาทที่สำคัญมากในงานนี้  ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเหมาะสมเท่าไรนักที่จะมาแทนที่พวกเขา ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องสามัคคีธรรมกับพวกเขาเพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นของพวกเขา”  ระหว่างการสามัคคีธรรม ผู้นำเทียมเท็จค้นพบว่าบุคคลนี้ไม่ต้องการทำหน้าที่ของตนเลย  พวกเขาต้องการไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายทางโลก ต้องการหาเงินจากอาชีพการงานของพวกเขาและใช้ชีวิตที่ดี และพวกเขาก็มองว่าการถูกบังคับให้ทำหน้าที่ของตนนั้นเป็นการขอจากพวกเขามากเกินไป  พวกเขารู้สึกว่าการทำหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าหมายถึงการยุ่งวุ่นวายทุกวัน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำลายชีวิตครอบครัวส่วนตนของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาสัมพันธภาพกับสมาชิกในครอบครัวด้วย และหากพวกเขาละเมิดหลักธรรมในขณะที่ทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็ต้องสู้ทนกับการถูกตัดแต่ง  พวกเขาพบว่าชีวิตเช่นนั้นขมขื่นเกินไปและพวกเขาก็ไม่ต้องการใช้ชีวิตอย่างนั้น  ประเด็นปัญหานี้ชัดเจน กล่าวคือพฤติกรรมของพวกเขาบ่งชี้ว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ  แต่ผู้นำเทียมเท็จจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?  ผู้นำเทียมเท็จคิดว่า “บุคคลนี้เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาใครสักคนที่เหมือนกับพวกเขา  สภาวะของพวกเขาได้กลายเป็นปัญหา ฉันจำเป็นต้องวางงานที่ยุ่งที่สุดในมือของฉันอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะสามัคคีธรรมกับพวกเขา เพื่อช่วยพวกเขาในการแก้ไขประเด็นปัญหานี้  จะแก้ไขประเด็นปัญหานี้อย่างไร?  พระวจนะของพระเจ้านั้นทรงพลังที่สุด ก่อนอื่นฉันจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าสองสามบทตอนให้พวกเขาฟังเพื่อแก้ไขการที่พวกเขาไม่เต็มใจในการทำหน้าที่ของตน”  ผู้นำเทียมเท็จบอกพวกเขาว่า “ตอนนี้ความวิบัติได้มาถึงแล้ว ผู้คนย่อมไม่สามารถใช้ชีวิตที่ดีได้อีกต่อไป  คุณยังคงต้องการจะหาเงินจากอาชีพการงานและใช้ชีวิตครอบครัวที่เรียบง่าย แต่ในไม่ช้าโลกทั้งใบก็จะอยู่ในความโกลาหล และจะไม่มีครอบครัวที่เรียบง่ายอีกต่อไป  คุณมองสิ่งเหล่านี้ไม่ออกหรอกหรือ?  คุณจำเป็นต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าให้มากขึ้น  การอธิษฐานถึงพระเจ้าจะนำความเชื่อมาให้คุณ  คุณจำเป็นต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นด้วย  หลังจากกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าไม่กี่ครั้ง ปัญหาของคุณก็จะได้รับการแก้ไข”  จากนั้นพวกเขาก็หาพระวจนะของพระเจ้าห้าหรือสิบบทตอนมาอ่านและสามัคคีธรรมกับพวกเขา  คนคนนั้นตอบว่า “สามัคคีธรรมกันพอแล้ว  ฉันเข้าใจพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าทั้งหมดแล้ว ฉันมีการศึกษามากกว่าคุณ  อย่าโอ้อวดไปหน่อยเลย”  สามัคคีธรรมกันตลอดทั้งวัน แล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้เลย  ผู้นำเทียมเท็จคิดอยู่ในใจว่า “ฉันทำงานของคริสตจักรมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะแก้ปัญหาของคุณไม่ได้”  ในตอนค่ำพวกเขาก็รีบสามัคคีธรรมกันต่อว่า “คุณจำเป็นต้องรักและบูชาพระเจ้า!  คุณมีความหวังที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน  หน้าที่นี้ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่ายๆ คุณต้องหวงแหนโอกาสนี้ เพราะว่าหากคุณพลาดโอกาสนี้ไป ก็จะไม่มีวันมีโอกาสนี้อีกครั้ง  ด้วยขีดความสามารถและภาวะของคุณที่ดีเช่นนี้ จะไม่น่าเวทนาหรอกหรือหากคุณไม่ทำหน้าที่ของตน?  ใครบางคนที่มีความสามารถพิเศษอย่างคุณควรได้รับการส่งเสริมและถูกใช้งานในพระนิเวศของพระเจ้า คุณมีจุดหมายปลายทางที่ดีในอนาคตที่นี่!”  บุคคลนั้นกล่าวว่า “หยุดพูดเถิด หากคุณให้ฉันทำหน้าที่ของฉัน ท่าทีของฉันก็จะยังคงเหมือนเดิม  หากฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ ฉันก็จะไปทันที  ไม่ใช่ว่าฉันกำลังขอร้องเพื่อที่จะอยู่ที่นี่สักหน่อย!”  ผู้นำเทียมเท็จใช้คำพูดทั้งหมดของพวกเขาไปแล้วแต่ก็ไม่สามารถโน้มน้าวบุคคลนี้หรือแก้ไขประเด็นปัญหาของเขาได้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถมองทะลุถึงปัญหาที่เป็นสาระสำคัญของบุคคลนี้ว่าคืออะไร  ในเวลาที่ทำหน้าที่ของตน บุคคลคนนี้ก็ทำอย่างสุกเอาเผากินเมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกอยากจะทำเช่นนั้น เล่นไม่ซื่อเมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกอยากทำเช่นนั้น และแค่ทำอย่างขอไปทีหากนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกอยากทำ ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานใด พวกเขาก็ไม่รับผิดชอบ  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทพยายามเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยหรือกล่าวคำพูดอีกสองสามคำเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาบางอย่าง โดยรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเดือดร้อนและน่ารำคาญ  พวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าจะทำหน้าที่ของตนในหนทางที่มีมาตรฐานได้อย่างไรและจะปฏิบัติตนให้เหมาะควรได้อย่างไร แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติในหนทางนี้  ทว่าพวกเขาก็ทำหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าต่อไป  สถานการณ์นี้มีธรรมชาติเป็นเช่นไร?  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  (พวกเขามาด้วยเจตนาที่จะได้รับพรและทำข้อตกลง)  พวกเขามาด้วยความหวังดังกล่าว ผู้คนเช่นนี้เป็นที่รู้จักกันในนามนักฉวยโอกาส  พวกเขากล่าวว่า “ฉันได้ยินว่าโลกจะสิ้นสุดลงเร็วๆ นี้ วันสิ้นโลกกำลังจะมาถึงพวกเรา ดังนั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงานอีกต่อไปแล้ว ถึงอย่างไรฉันก็หาเงินมาได้มากพอแล้ว  ฉันอาจจะมาที่พระนิเวศของพระเจ้าด้วยเพื่อที่จะได้ตั๋วรับอาหารฟรีและหาที่นั่งให้ตัวฉันเอง เพื่อที่ฉันจะสามารถมีความหวังว่าจะได้รับพรในภายหลัง”  เมื่อตัดสินจากท่าทีและเจตนาของพวกเขาในการทำหน้าที่ของตนแล้ว การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นเป็นการฉวยโอกาส พวกเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อรับของฟรี ไม่ได้มาเพราะความเชื่อที่แท้จริง  ท่าทีของพวกเขาในเวลาที่ทำหน้าที่ของตนนั้นขาดความใส่ใจเป็นพิเศษ  ในการใช้พวกเขา คริสตจักรต้องเกลี้ยกล่อมและเจรจาต่อรองกับพวกเขา แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี  บุคคลหนึ่งที่ขาดพร่องแม้กระทั่งมโนธรรมจะสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  พวกเขาเพียงแต่มีส่วนร่วมในการฉวยโอกาสและการรับของฟรี พวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ  เมื่อดูจากธรรมชาติของประเด็นปัญหานี้ในแง่มุมทั้งสอง ในการพยายามแก้ไขประเด็นปัญหาดังกล่าว ผู้นำเทียมเท็จได้จับความเข้าใจแก่นแท้ของประเด็นปัญหานี้หรือไม่?  (ไม่)  เนื่องจากความล้มเหลวในการมองแก่นแท้ของประเด็นปัญหานี้ให้ทะลุปรุโปร่ง พวกเขาจึงยังคงถือว่าบุคคลนี้เป็นผู้เชื่ออย่างแท้จริง เพียงแค่เป็นใครบางคนที่ขาดพร่องความเข้าใจความจริง มีวุฒิภาวะน้อย อ่อนแอชั่วครั้งชั่วคราว และต้องการการเกื้อหนุน  พวกเขาพยายามสามัคคีธรรมและช่วยเหลือจากมุมมองเหล่านี้ เพียงเพื่อที่จะได้รับการบอกกล่าวว่า “หยุดพูดเถอะ  คำสอนที่คุณพูดถึงเหล่านั้นไร้ประโยชน์  ฉันรู้ทั้งหมดนั่นแล้ว ฉันเข้าใจมากกว่าคุณ  จริงๆ แล้วคุณเข้าใจคำสอนกี่ประการ?  คุณมีการศึกษาระดับใด?  ฉันอ่านหนังสือมากกว่าคุณกินข้าวเสียอีก!”  ธรรมชาติของพวกเขาเผยตัวออกมาแล้วมิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จดังกล่าวยังคงเชื่อว่าพวกเขากำลังทำงานอยู่ และไม่ตระหนักว่าที่จริงแล้วบุคคลนี้เป็นผู้ไม่เชื่อ  เมื่อผู้ไม่เชื่อทำหน้าที่ของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้า แม้กระทั่งการลงแรงของพวกเขาก็ไม่ได้มาตรฐาน  ผู้คนเช่นนี้ควรที่จะเก็บไว้ใกล้ตัวหรือไม่?  (ไม่)  เพราะฉะนั้นนี่คือหลักธรรมในการจัดการกับคนประเภทนี้ในพระนิเวศของพระเจ้า  กล่าวคือหากพวกเขาเต็มใจและสามารถที่จะลงแรง จงเก็บพวกเขาไว้ หากพวกเขาไม่เต็มใจ จงชำระพวกเขาออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่เร่งเร้าให้พวกเขาอยู่ต่อหรือเตือนสติพวกเขา  ผู้นำเทียมเท็จรู้หลักธรรมข้อนี้หรือไม่?  พวกเขาไม่รู้  พวกเขาปฏิบัติต่อคนตายราวกับยังมีชีวิตอยู่ โดยให้อาหารและน้ำแก่คนตายเหล่านั้น นั่นไม่เป็นความเขลาหรอกหรือ?  เหล่าผู้นำเทียมเท็จทำสิ่งโง่เขลาเช่นนี้เอง

ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นและปัญหาที่ผู้คนเผชิญในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาได้

ในสถานการณ์นานัปการ เมื่อผู้คนที่แตกต่างกันเผยสภาวะและการสำแดงนานัปการออกมา เหล่าผู้นำเทียมเท็จมักจะล้มเหลวในการจับความเข้าใจแก่นแท้ของการเผยเหล่านี้อยู่เสมอและไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากสภาวะและการสำแดงเหล่านี้ได้  เนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงใช้การตีตราอย่างผิดๆ และมีส่วนร่วมในการประพฤติมิชอบโดยประมาท โดยเข้าใจผิดคิดว่าบรรดาผู้ที่อ่อนแอชั่วครั้งชั่วคราวหรือคิดลบเป็นครั้งคราวนั้นเป็นผู้ไม่เชื่อและเป็นคนที่ทรยศต่อพระเจ้า  ในขณะเดียวกัน ผู้ไม่เชื่อเหล่านั้นซึ่งมีพรสวรรค์บางประการอย่างผิวเผิน สามารถทำงานที่เรียบง่ายและทุ่มเทความพยายามได้บ้าง ก็ถูกมองว่าเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะให้การเกื้อหนุน  ผู้คนเหล่านี้รู้สึกอับอายที่จะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน ทว่าผู้นำเทียมเท็จก็ล้มเหลวในการมองเรื่องนี้ให้ทะลุปรุโปร่งและดึงดันในการโน้มน้าวให้พวกเขาอยู่ต่อ  ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำสิ่งอื่นใดนอกจากกระทำการอันโง่เขลา กล่าวคือ คนชั่วก่อกวนคริสตจักร แต่พวกเขาก็ยังคงมองไม่เห็นสิ่งนี้และไม่จัดการกับประเด็นปัญหาดังกล่าว  นี่คือการมีส่วนร่วมในการประพฤติมิชอบโดยประมาทมิใช่หรือ?  การประพฤติมิชอบโดยประมาทของผู้นำเทียมเท็จเกิดขึ้นได้อย่างไร?  พวกเขาขาดความสามารถในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและไม่เข้าใจความจริง ดังนั้นเมื่อเผชิญกับสถานการณ์นานัปการ พวกเขาจึงหันไปใช้คำสอนอันผิวเผินที่สุดที่ตนเข้าใจ โดยนำคำสอนดังกล่าวมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหนทางที่เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนเท่านั้น  ไม่เพียงแต่พวกเขามักจะล้มเหลวในการแก้ไขความลำบากยากเย็นที่ผู้คนเผชิญในการเข้าสู่ชีวิตและไม่เพียงแต่พวกเขามักจะล้มเหลวในการเกื้อหนุนผู้คนจากความอ่อนแอไปสู่ความเข้มแข็งเท่านั้น แต่พวกเขายังเป็นเหตุให้ผู้คนเก็บงำมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าอีกด้วย ทำให้พวกเขาคิดว่าคริสตจักรกำลังพยายามรับตนเข้าไปเพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากการรับใช้ของตน ราวกับว่าพระนิเวศของพระเจ้าขาดแคลนบุคคลที่มีความสามารถพิเศษและไม่สามารถหาคนที่เหมาะสมได้  นี่เป็นผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นจากงานของผู้นำเทียมเท็จ  ผลกระทบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  (ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำความเข้าใจความจริงได้ ไม่เข้าใจความจริง และเมื่อพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย พวกเขาก็แค่นำข้อบังคับมาใช้เท่านั้น)  พวกเขาไม่สามารถทำความเข้าใจความจริงได้เลย พวกเขาเพียงสามารถท่องจำคำพูดและคำกล่าวที่ตายตัวได้บ้างเท่านั้น  พวกเขาขาดพร่องความเข้าใจที่ได้จากประสบการณ์จริงและความซาบซึ้งในความจริง  ด้วยเหตุนั้นเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในที่สุด พวกเขาก็สามารถพูดได้เพียงวลีที่แห้งแล้งไม่กี่วลีว่า “จงรักพระเจ้า” “จงซื่อสัตย์” “จงเชื่อฟังและนบนอบเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย” “จงทำหน้าที่ของคุณให้ดี” “คุณจำเป็นต้องจงรักภักดี” “คุณต้องกบฏต่อเนื้อหนัง” “คุณจำเป็นต้องสละตนเองเพื่อพระเจ้า”  พวกเขาใช้คำสอน คำขวัญ และสุภาษิตที่ว่างเปล่าเหล่านี้เพื่อประดับประดาตนเอง และสั่งสอนสิ่งเหล่านี้ให้แก่ผู้อื่น โดยหวังว่าจะมีอิทธิพลและมีผลกระทบที่เป็นบวกต่อพวกเขา—แต่การนี้กลับไม่สัมฤทธิ์ผลใดๆ และไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย  เพราะฉะนั้นเหล่าผู้นำเทียมเท็จจึงไม่สามารถทำให้งานใดๆ สำเร็จลุล่วงได้  ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถแก้ไขแม้กระทั่งความลำบากยากเย็นซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญในการเข้าสู่ชีวิต แล้วพวกเขาจะสามารถนำคริสตจักรให้ดีได้อย่างไร?

เมื่อผู้คนเผชิญกับความลำบากยากเย็นนานัปการในชีวิตจริงและไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นเหล่านั้นอย่างไร และไม่รู้ว่าจะปฏิบัติความจริงอย่างไร พวกเขาจำเป็นต้องแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้  หากใครบางคนที่มีวุฒิภาวะน้อยไม่รู้วิธีแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และไม่รู้วิธีค้นหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรแสวงหาบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงมาสามัคคีธรรมเพื่อที่จะแก้ไขประเด็นปัญหานั้น ในขณะที่ฝึกฝนวิธีค้นหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องและวิธีทำความเข้าใจความจริงไปด้วย  นี่หมายถึงการค้นหาว่าในพระวจนะของพระเจ้ามีหลักธรรมใดบ้างและมาตรฐานใดบ้างที่พระเจ้าทรงกำหนด พระเจ้าทรงนิยามเรื่องนี้ว่าอย่างไรและพระองค์ทรงร้องขอสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมีการอธิบายรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงใดๆ บ้างหรือไม่  หากพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวกับหัวข้อนี้ค่อนข้างเรียบง่าย เพียงแค่อธิบายหลักธรรมทั่วไปโดยไม่มีการยกตัวอย่างโดยละเอียด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรเรียนรู้ที่จะไตร่ตรอง  หากเจ้าไม่สามารถหาคำตอบผ่านทางการไตร่ตรองได้ จงแสวงหาผู้คนเพิ่มเติมเพื่อสามัคคีธรรมด้วย จงสามัคคีธรรมในการชุมนุม และจงควานหาและแสวงหาในกระบวนการของการทำหน้าที่ของตน ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่าง และด้วยเหตุนั้นจึงเริ่มเข้าใจทีละเล็กละน้อยว่าแก่นแท้ของประเด็นปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่คืออะไร  ในท้ายที่สุดจงเข้าสู่ตามหลักธรรมในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อให้ถึงการแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น บางคนเกียจคร้านและไม่มีวันจะสามารถรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อทำหน้าที่ของตนได้ แต่เมื่อกล่าวถึงการกิน การดื่ม และการสรวลเสเฮฮา แล้วพวกเขาก็แจ่มใสขึ้นมาและกลายเป็นมีพลังเต็มที่ ราวกับถูกทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที  ผู้นำเทียมเท็จจะแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้อย่างไร?  พวกเขาก็มีวิธีการเช่นกัน นั่นคือการมอบหมายงานให้ผู้คนเหล่านี้เพิ่มขึ้น ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาที่จะอยู่เฉย  แนวทางนี้สามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่?  บางคนอิดออดที่จะทำแม้กระทั่งงานจำนวนน้อยที่พวกเขาได้รับมอบหมาย พวกเขาเพียงต้องการจะได้ของฟรี โดยคิดว่าการไม่ทำงานใดๆ เลยจะเป็นการดีที่สุด!  ประเด็นปัญหาของผู้คนที่เกียจคร้านอย่างที่สุดคืออะไร?  ประเด็นปัญหานี้เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ว่าพวกเขารักสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่ และเกี่ยวข้องกับความชอบส่วนตนและการไล่ตามไขว่คว้าของพวกเขาเช่นกัน  มีบางคนที่มีขีดความสามารถเล็กน้อย หากพวกเขาเป็นแค่ผู้ติดตามธรรมดาซึ่งไม่มีภาระใดๆ มอบหมายให้พวกเขา พวกเขาย่อมขาดพลังในการทำงานของตนและไม่พบว่างานของตนมีความน่าสนใจใดๆ  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาได้รับภาระในการเป็นผู้ดูแล ได้รับอนุญาตให้ดำรงตำแหน่งบางตำแหน่งและรับผิดชอบภาระผูกพันบางอย่างตามขีดความสามารถของตนและหน้าที่ที่พวกเขาทำได้ ความสนใจในงานของพวกเขาย่อมได้รับแรงกระตุ้น  บางครั้งเมื่อพวกเขากลายเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบในงานของตนหรือกลายเป็นคนเกียจคร้าน พวกเขาอาจถูกตัดแต่งได้ ในเวลาอื่นๆ พวกเขาอาจได้รับกำลังใจและคำชมเชยอยู่บ้าง  ด้วยเหตุนั้นผู้คนเหล่านี้ซึ่งใส่ใจกับหน้าตา ชื่นชอบสถานะ และมีความสุขกับการถูกยกยอปอปั้น จึงได้รับพลังในการทำหน้าที่ของตน  เมื่อพวกเขาคิดจะอู้ พวกเขาก็ไตร่ตรองว่า “เพื่อเห็นแก่สถานะ เพื่อภาระที่ฉันแบกรับ ฉันต้องทำให้ดี”  ในหนทางนี้ ความเกียจคร้านของผู้คนดังกล่าวก็สามารถได้รับการแก้ไขในบางส่วน  เมื่อผู้นำเทียมเท็จเผชิญกับประเด็นปัญหาประเภทนี้ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์หรือสภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตซึ่งเกิดขึ้นในกระบวนการทำหน้าที่ พวกเขากลับพบว่าประเด็นปัญหาเหล่านี้ยากและท้าทายอย่างมากในการแก้ไข  พวกเขาไม่รู้ว่าจะแก้ไขสภาวะและปัญหาเหล่านี้อย่างไร หรือจะใช้พระวจนะใดของพระเจ้าในการแก้ปัญหาให้ตรงเป้า  โดยส่วนมากแนวทางของพวกเขาก็คือการโน้มน้าวหรือเกลี้ยกล่อมผู้คนให้ทำหน้าที่ให้ดี หากการโน้มน้าวและการเกลี้ยกล่อมไม่ได้ผล พวกเขาก็ใช้วิธีแสดงความโกรธและการตัดแต่งผู้คนเหล่านั้น  หากการตัดแต่งคนเหล่านั้นไม่ได้ผล พวกเขาก็จะอ่านพระวจนะที่รุนแรงของพระเจ้าสักสองบทตอนเพื่อเป็นคำเตือน และบอกผู้คนให้รู้ว่าควรจะปรับปรุงความประพฤติของตน  หากนั่นก็ยังคงไม่ได้ผล ทางเลือกสุดท้ายของพวกเขาก็คือการจัดการเตรียมการหาใครบางคนมาดูแลและจัดการคนเหล่านั้น  พวกเขามีเทคนิคอยู่เพียงไม่กี่ประการนี้ไว้สำหรับการใช้งานของพวกเขา และหากกลวิธีเหล่านี้ไม่ได้ผล พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าผู้นำเทียมเท็จจะเผชิญหน้ากับปัญหาใดในงานของตน พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพียรพยายามที่จะจับความเข้าใจสภาวะที่แท้จริงและภูมิหลังของผู้คนหลากหลายประเภท และพวกเขายิ่งไม่มีความสามารถที่จะมองทะลุไปถึงรากเหง้าของปัญหานั้นว่าอยู่ที่ใดหรือจะเริ่มต้นจากที่ใดเพื่อที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเหมาะควรที่สุด  พวกเขาขาดหลักธรรมและวิธีการเหล่านี้ในการรับมือกับปัญหาทั้งหลาย ดังนั้นงานของผู้นำเทียมเท็จจึงไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาที่แท้จริงนานัปการได้  พวกเขาเพียงแต่สามารถประกาศคำสอนบางประการ ตะโกนคำขวัญบางอย่าง ทำตามข้อบังคับบางข้อ และทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น  ผู้คนเช่นนั้นจะมีความสามารถในงานแห่งการนำของคริสตจักรได้อย่างไร?  ไม่ว่าพวกเขาจะฝึกฝนมากเพียงใดหรือพวกเขาจะเชื่อมานานขึ้นอีกกี่ปีก็ตาม พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถในงานแห่งการนำของคริสตจักร  พวกเจ้าเคยเผชิญกับตัวอย่างเช่นนี้บ้างหรือไม่?  (ในคริสตจักรของพวกเรา มีใครบางคนที่ทำหน้าที่เจ้าภาพซึ่งมักจะแสดงความคิดเห็นที่เป็นการตัดสินและโจมตีอยู่เสมอ โดยส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราและก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน  หลังจากที่พวกเรารายงานเรื่องนี้ให้ผู้นำทราบ เขาก็เพียงแต่ยืนกรานให้พวกเราทำความรู้จักตนเองและนบนอบสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เท่านั้น โดยไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง ซึ่งส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร  มีเพียงหลังจากการเปลี่ยนผู้นำเท่านั้นที่ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไข)  นี่เป็นการสำแดงทั่วไปของผู้นำเทียมเท็จ  นี่คือผู้นำเทียมเท็จประเภทหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป คือบรรดาผู้ที่ไม่สามารถระบุตัวคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ได้เมื่อพวกเขาเผชิญกับคนคนนั้น และบอกคนอื่นให้อดทนและใจกว้าง เรียนรู้จากประสบการณ์ และเชื่อฟังคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาไม่ใช้วิจารณญาณแยกแยะศัตรูของพระคริสต์หรือคนชั่ว และพวกเขาก็ไม่ทำอะไรเกี่ยวกับคนเหล่านั้นเลย  หลังจากที่สามัคคีธรรมกันมามากมายเกี่ยวกับหนทางที่ศัตรูของพระคริสต์สำแดงออกมา ตอนนี้ทุกคนที่เข้าใจความจริงย่อมต้องสามารถระบุตัวศัตรูของพระคริสต์ได้บ้าง  แต่ผู้คนเหล่านั้นที่เป็นผู้นำเทียมเท็จจะสามารถค้นหาได้หรือไม่ว่าการสามัคคีธรรมนั้นสอดคล้องกับพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์อย่างไร?  พวกเขาสามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วการที่พวกเขาไม่มีความสามารถในการแยกแยะศัตรูของพระคริสต์จะมีผลเช่นไร?  เป็นไปได้ว่าศัตรูของพระคริสต์จะแย่งชิงอำนาจไปจากพวกเขา พวกเขาจะยอมให้ศัตรูของพระคริสต์ควบคุมคริสตจักร และสุดท้ายก็ไม่ทำอะไรเลยในขณะที่ศัตรูของพระคริสต์สร้างอาณาจักรเอกเทศขึ้นมา  หากพวกเขาไม่สามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ได้ พวกเขาย่อมไม่มีหนทางที่จะปฏิบัติต่อศัตรูของพระคริสต์ในฐานะที่เป็นศัตรูของตน รวมทั้งไม่มีหนทางที่จะเปิดโปง แยกแยะ และปฏิเสธศัตรูของพระคริสต์ หากพวกเขาไม่สามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ได้ พวกเขาก็มีแววอย่างยิ่งว่าจะปฏิบัติต่อศัตรูของพระคริสต์ในฐานะพี่น้องชายหรือหญิง ด้วยความอดทนและความใจกว้าง ซึ่งส่งผลให้ศัตรูของพระคริสต์ขึ้นมามีอำนาจในคริสตจักรและควบคุมคริสตจักร  ดังนั้นผลสืบเนื่องจากการไม่มีความสามารถในการแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ได้จึงเป็นผลพวงที่ร้ายแรง ซึ่งเลวร้ายเกินกว่าจะคาดคิด  ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงไม่สามารถแยกแยะแก่นแท้ของผู้คนประเภทต่างๆ ได้  ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือการประกาศคำพูดและคำสอนและนำข้อบังคับไปใช้ ด้วยความรักสำหรับทุกคน ปล่อยให้ทุกคนกลับใจ และให้โอกาสแก่ทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม  นี่เป็นวิธีการของนักบวชในศาสนามิใช่หรือ?  นี่เป็นวิธีการของพวกฟาริสีมิใช่หรือ?  เมื่อเผชิญกับศัตรูของพระคริสต์ ผู้นำเทียมเท็จมักเลือกที่จะประนีประนอมและยอมอ่อนข้อ แม้กระทั่งหาข้อแก้ตัวหรือเหตุผลเพื่ออ้างว่านี่คือการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความรัก  ทั้งที่รู้ว่าใครบางคนมีปัญหาและเป็นศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่กล้าเผชิญหน้าและไม่มีความกล้าที่จะแยกแยะและเปิดโปงพวกเขา นี่คือสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จทำโดยแท้  กระทั่งในยามที่พี่น้องชายหญิงบางคนได้แยกแยะแล้วว่าบุคคลนั้นเป็นคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ ผู้นำเทียมเท็จก็จะยังคงพูดว่า “พวกเราไม่อาจด่วนตัดสินผู้คนหรือกล่าวโทษพวกเขาได้  บุคคลนั้นเป็นคนที่กระตือรือร้นมากในการสละตนเองและเต็มใจอย่างมากที่จะจ่ายราคา—พวกเขาไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์หรือคนชั่ว  เพียงเพราะว่าใครบางคนกล่าวคำรุนแรงสองสามคำก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเป็นคนชั่ว ถูกต้องหรือไม่?”  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของผู้คนได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นผลสืบเนื่องจากการกระทำของศัตรูของพระคริสต์ได้ จึงยังคงแสดงความรัก ความใจกว้าง และความอดทนต่อศัตรูของพระคริสต์ และถึงกับกระตุ้นให้ศัตรูของพระคริสต์ทบทวนตนเอง รู้จักตนเอง และกลับใจอย่างแท้จริง  ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์จะพยายามรู้จักตนเองอย่างไร ธรรมชาติของพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  แม้ว่าศัตรูของพระคริสต์อาจดูเหมือนจะละทิ้งบางสิ่งบางอย่างและสละตนเองบ้างเล็กน้อยเมื่อดูจากภายนอก แต่ภายในนั้นพวกเขากลับเก็บงำความทะเยอทะยานและอุบายอันยิ่งใหญ่เอาไว้  เหตุผลที่ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองผู้คนดังกล่าวได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ก็เป็นเพราะผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาก็ไม่สามารถแยกแยะผู้คนประเภทต่างๆ ได้  พวกเขาไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนหลากหลายประเภทได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะจัดการหรือปฏิบัติต่อผู้คนประเภทต่างๆ อย่างไร  เมื่อพวกเขาเห็นคนอื่นเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าร่วม และพวกเขาก็ยิ่งกลัวที่จะดำเนินการต่อต้านศัตรูของพระคริสต์ เพราะเกรงกลัวการแก้แค้นหากพวกเขาไปล่วงเกินศัตรูของพระคริสต์  การเข้าหาศัตรูของพระคริสต์ของพวกเขานั้นจำกัดอยู่เพียงการประกาศคำสอนและการเตือนสติ  นอกจากไม่สามารถแยกแยะคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์แล้ว ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหานานัปการที่มีอยู่ในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรด้วย  นี่เป็นการพิสูจน์ว่าผู้นำเทียมเท็จไม่มีความเข้าใจในความจริงเลย พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงและไม่มีทางที่จะสามารถนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  ไม่ว่าผู้นำเทียมเท็จจะพูดหรือทำอะไร เจ้าจะไม่ได้ยินคำพูดแห่งความสว่างซึ่งได้รับการกระตุ้นจากความรู้แจ้งแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ นับประสาอะไรกับการที่เจ้าจะเห็นว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริง  เพราะฉะนั้นผู้นำเทียมเท็จจึงไม่ให้ประโยชน์หรือความช่วยเหลือใดๆ ในแง่ของการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน งานเล็กน้อยที่พวกเขาทำนั้นประกอบด้วยการประกาศคำพูดและคำสอน การตะโกนคำขวัญ และการทำไปตามขั้นตอน  พวกเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการลุล่วงบทบาทที่ผู้นำพึงมี

นั่นคือทั้งหมดสำหรับการสามัคคีธรรมของพวกเราในวันนี้  ลาก่อน!

9 มกราคม ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (13)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (2)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger