41. แทนที่ความริษยาด้วยความเอื้ออารี
ย้อนไปเมื่อสองสามปีก่อน พี่น้องหญิงเสี่ยวเจี๋ยย้ายมาที่คริสตจักรของเราเพื่อช่วยฉันทำหน้าที่ผู้นำ เมื่อเวลาผ่านไป ฉันพบว่าแม้เธอจะยังสาว เธอก็มีความสามารถและเก่งมากจริงๆ เธอปฏิบัติความจริงเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นและมุ่งแสวงหาหลักปฏิบัติแห่งความจริง ความเก่งกาจหรือความสามารถในการทำงานของฉันเทียบเธอไม่ติดเลย ฉันชื่นชมเธอและรู้สึกว่าเธอมีพรสวรรค์จริงๆ ครั้งหนึ่ง ที่งานชุมนุมเพื่อนร่วมงาน ผู้นำคนหนึ่งถามฉัน ว่ามีคนในคริสตจักรที่ไล่ตามความจริงและมีความสามารถสูงบ้างไหม ฉันเลยเล่าจุดแข็งของพี่น้องเสี่ยวเจี๋ยให้เธอฟังอย่างไม่ลังเลเลยค่ะ ไม่นานหลังจากนั้น ผู้นำคนนั้นก็เชิญเธอเข้าร่วมงานชุมนุมเพื่อนร่วมงาน และขอให้เธอไปงานชุมนุมครั้งต่อๆ ไปด้วย ฉันค่อยๆ เริ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย คิดว่า “ฉันเคยเป็นคนเข้าร่วมงานชุมนุมตลอด และผู้นำคนนี้ก็หารือเรื่องงานของคริสตจักรกับฉัน ตอนนี้เธอกลับขอให้เสี่ยวเจี๋ยไปแทน ดูเหมือนว่าผู้นำคนนี้ต้องการทุ่มเทฝึกฝนเธอ รู้อย่างนี้ ฉันคงไม่พูดถึงจุดแข็งของเธอหรอก” ฉันรู้สึกเหมือนถูกลืมและทิ้งไว้ข้างหลังเพราะเธอแท้ๆ ฉันรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ และความคิดหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ว่าคงจะเยี่ยมไปเลยถ้าผู้นำคนนี้ย้ายเธอออกไป ตราบใดที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ฉันก็จะไม่ดูแย่กว่าเธอ และจากนั้นผู้นำคนนี้ก็อาจจะหารือเรื่องต่างๆ กับฉัน แต่ฉันก็รู้ว่าเสี่ยวเจี๋ยคงจะไม่ถูกย้ายไปไหนอีกเร็วๆ นี้แน่ ฉันรู้สึกเหมือนมีภูเขาทั้งลูกอยู่ในอก แค่นั้นไม่พอ ฉันยังไม่เต็มใจยอมรับอีกด้วย ฉันเริ่มทุ่มเทให้พระวจนะของพระเจ้าอย่างลับๆ อ่าน จดจำ และไตร่ตรองพระวจนะเหล่านั้นมากขึ้น เพื่อที่ฉันจะสามารถเหนือกว่าเธอในการสามัคคีธรรมความจริงเพื่อพิสูจน์ตัวฉันเอง แต่แรงจูงใจของฉันนั้นผิด ฉันแค่แข่งขันกับเธอเพื่อสถานะ ฉันก็เลยไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหน้าที่ของฉันค่ะ ฉันไม่สามารถเข้าใจหรือแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลย
ครั้งหนึ่ง พี่สาวสองคนได้รับเลือกให้เป็นมัคนายกของคริสตจักร พวกเธอกังวลว่าจะไม่เข้าใจความจริงมากพอ เพื่อแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของคนอื่นด้วยการเข้าสู่ชีวิต พวกเธอไม่อยากรับตำแหน่งนั้น เมื่อได้ยินแบบนี้ฉันก็คิดว่า “พระวจนะของพระเจ้าบทตอนไหนที่ฉันสามารถใช้สามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขสภาวะจิตใจของพวกเธอได้ เพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นว่าน้องเสี่ยวเจี๋ยไม่ได้ดีไปกว่าฉันเลย” ทันทีที่พี่สาวทั้งสองพูดจบ ฉันก็รีบอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทสองบทแล้วก็แบ่งปันการสามัคคีธรรม แต่ฉันแค่อยากอวดตัวและได้รับการยกย่อง ไม่ใช่สงบใจตัวเองเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาความจริง เพื่อหารากเหง้าของปัญหานั้น การสามัคคีธรรมของฉันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง การเห็นพวกเธอนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ตอบอะไร มันประดักประเดิดจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แล้วน้องเสี่ยวเจี๋ยก็เข้าร่วมการสามัคคีธรรมเรื่องความหมายของการทำหน้าที่ของพวกเรา และพูดถึงประสบการณ์และความเข้าใจของเธอเอง และพูดถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า พี่สาวทั้งสองตื้นตันจนน้ำตาไหลและตกลงใจยอมรับหน้าที่นั้น การเห็นพวกเธอมองเสี่ยวเจี๋ยอย่างชื่นชม มันขมขื่นมากสำหรับฉัน ทุกคนยอมรับในตัวฉันจริงๆ ก่อนที่เธอจะมา แต่หลังจากเข้าร่วมคริสตจักรไม่นานเธอก็นำหน้าไปเร็วมาก ผู้นำคนนี้เห็นคุณค่าของเธอ และพี่น้องชายหญิงก็ยกย่องเธอ และฉันก็เทียบเธอไม่ได้แม้ว่าฉันจะเป็นผู้นำมานานกว่า ฉันกังวลว่าคนอื่นจะคิดกับฉันอย่างไร พวกเขาจะพูดว่าฉันขาดความเป็นจริงของความจริง ว่าเทียบกันแล้วฉันทำให้เธอดูดีไหม เรื่องนี้กัดกินใจฉันในช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกเหมือนน้องเสี่ยวเจี๋ยกำลังแย่งความสำคัญของฉันไปและฉันริษยาเธอ บางครั้งฉันก็ปรารถนา ว่าฉันจะสามารถเอาเธอออกไปจากคริสตจักรของเราด้วยวิธีการที่จะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ฉันคิดแล้วคิดอีก แต่ก็นึกอะไรไม่ออกเลย ฉันยังรู้สึกด้วยว่าฉันเหินห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และวิญญาณของฉันก็ตกลงสู่ความมืดมิด การสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าของฉันไม่มีความสว่างสำหรับพวกเขา และฉันไม่สามารถช่วยผู้อื่นแก้ปัญหาของตนเองได้ ฉันยังทำหน้าที่ของฉันทุกวัน แต่ฉันทรมานและอยู่ในความเจ็บปวด ฉันนำสภาวะจิตใจของฉันไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการอธิษฐาน ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และรู้จักความเสื่อมทรามของฉันเอง
ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า “ในฐานะเหล่าผู้นำคริสตจักร พวกเจ้าควรรู้วิธีค้นพบและปลูกฝังความสามารถพิเศษ และไม่อิจฉาผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ ในหนทางนี้ พวกเจ้าย่อมจะปฏิบัติหน้าที่เป็นที่น่าพึงพอใจ และพวกเจ้าก็จะได้ทำให้ความรับผิดชอบของพวกเจ้าลุล่วง พวกเจ้าจะได้อุทิศตนอย่างสุดกำลังความสามารถของพวกเจ้าด้วย ผู้คนบางคนกลัวเสมอว่าผู้อื่นจะลักขโมยความเป็นจุดสนใจของพวกเขาไป และล้ำเลิศกว่าพวกเขา โดยได้มาซึ่งการระลึกถึง ในขณะที่พวกเขาเองนั้นถูกละเลย นี่นำทางพวกเขาไปสู่การโจมตีและการกันแยกผู้อื่นออกไป นี่ไม่ใช่กรณีของการอิจฉาผู้คนที่มีความสามารถมากกว่าตัวพวกเขาเองหรอกหรือ? พฤติกรรมเช่นนั้นไม่เป็นการเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามหรอกหรือ? นี่คืออุปนิสัยประเภทใดหรือ? มันช่างมุ่งร้ายนัก! การคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น การสนองความอยากได้อยากมีของตัวเองเท่านั้น การไม่แสดงให้เห็นการคำนึงถึงหน้าที่ของผู้อื่นเลย และการคิดเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวคนเราเองเท่านั้น และไม่คิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า—ผู้คนเยี่ยงนี้มีอุปนิสัยที่ไม่ดี และพระเจ้าไม่ทรงมีความรักให้แก่พวกเขาเลย” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าเสียดแทงใจจริงๆ พระวจนะเหล่านี้ตีแผ่สภาวะของฉันอย่างถูกต้อง การได้เห็นว่าน้องสาวของฉันมีความสามารถสูง และมีการสามัคคีธรรมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ว่าผู้นำคนนี้ให้คุณค่ากับเธอและคนอื่นๆ ก็ยกย่องเธอ ทำให้ฉันอิจฉาและไม่ยอมรับเธอ ฉันแทบรอให้เธอออกไปจากคริสตจักรไม่ไหว ฉันไม่ได้พิจารณาว่านั่นจะกระทบงานของคริสตจักรหรือผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไร ฉันไม่ได้แสดงอะไรเลยนอกจากอุปนิสัยเห็นแก่ตัวและเลวทราม ฉันขาดความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างสิ้นเชิง! การทำหน้าที่ของฉันแบบนั้นจะไม่ทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจได้อย่างไร ฉันสูญเสียการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหน้าที่ของฉันและตกลงสู่ความมืดมิด นั่นคืออุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้ปล่อยวางสถานะ ใช้ชีวิตความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และทำงานกับน้องสาวของฉันได้ดี
แล้วฉันก็อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า “หากเจ้าสามารถอย่างแท้จริงที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างยุติธรรม หากเจ้าให้การแนะนำกับบางคน และบุคคลนั้นได้รับการปลูกฝังให้กลายเป็นบางคนที่มีความสามารถพิเศษ ด้วยผลจากการนั้นได้นำพาบุคคลที่มีความสามารถพิเศษอีกหนึ่งคนเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้ทำงานของเจ้าดีแล้วหรือ? เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้จงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือ? นี่เป็นความประพฤติดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเป็นมโนธรรมและเหตุผลจำพวกที่พวกมนุษย์ควรครอง” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันยิ่งรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดมากขึ้น พระเจ้าต้องการคนที่ไล่ตามความจริงมากขึ้นให้ลุกขึ้นและช่วยงานของพระองค์ ฉันเป็นผู้นำคริสตจักรแต่ฉันไม่มีสิ่งที่พระเจ้าต้องการในหัวใจ เมื่อฉันเห็นคนแบบนั้นทำงานในคริสตจักร ฉันไม่ได้ไม่มีความสุขกับมันอย่างเดียว ฉันเอาแต่อิจฉาและกังวลเรื่องสถานะของฉัน ฉันขาดมโนธรรมและเหตุผลพื้นฐานที่สุดที่บุคคลหนึ่งพึงมี ฉันเห็นว่าฉันไม่เหมาะจะเป็นผู้นำอย่างสิ้นเชิง และฉันเกลียดความเห็นแก่ตัวของฉัน การที่น้องเสี่ยวเจี๋ยมีความสามารถมากและแก้ไขปัญหาผ่านการสามัคคีธรรม นั้นดีสำหรับงานของคริสตจักรและชีวิตของพี่น้องชายหญิง ฉันควรจะสนับสนุนเธอ และเรียนรู้จากจุดแข็งของเธอ ทำงานกับเธอให้ดีในหน้าที่ของเรา เป็นหนทางเดียวที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า พอฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันยังรู้สึกอิจฉาอยู่บ้างเมื่อสังเกตเห็น ว่าคนอื่นยอมรับน้องเสี่ยวเจี๋ย แต่ฉันจะอธิษฐานต่อพระเจ้าและละทิ้งตัวเอง ฉันมุ่งใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทำหน้าที่ของฉันให้ดี และเลิกคิดมากว่าใครได้รับการยกย่อง และฉันก็รู้สึกอิจฉาน้อยลงมาก ฉันหันมาแสวงหาและหารือสิ่งต่างๆ กับเธอเมื่อเผชิญปัญหาได้ และใช้จุดแข็งของเธอเพื่อชดเชยจุดอ่อนของฉัน แสวงหาหลักปฏิบัติแห่งความจริงด้วยกัน ฉันรู้สึกเป็นอิสระขึ้นมากและสบายใจมากขึ้น หลังจากก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบางประการ ฉันก็คิดว่าธรรมชาติขี้อิจฉาของฉันดีขึ้น แต่ฉันก็แปลกใจเมื่อฉันไปเจออีกสถานการณ์หนึ่ง ที่แสดงว่าธรรมชาติแบบซาตานของฉันหยั่งรากลึกแค่ไหน ฉันจำเป็นต้องผ่านการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้ามากขึ้นเพื่อให้ได้รับการชำระให้สะอาด
มีครั้งหนึ่ง ฉันกับเสี่ยวเจี๋ยไปงานชุมนุมของเพื่อนร่วมงาน แล้วผู้นำคนนั้นทักทายฉันสั้นๆ จากนั้นก็เริ่มหารือเรื่องงานของคริสตจักรกับเสี่ยวเจี๋ย ฉันได้แต่นั่งอยู่ด้านข้าง รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน แล้วฉันก็อารมณ์เสียขึ้นมารวดเร็วมาก ฉันค้อนเสี่ยวเจี๋ยและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกระแวง คิดว่า “งั้นผู้นำคนนี้ก็ให้คุณค่ากับคุณมากกว่าฉันสินะ คุณเป็นลูกรักในคริสตจักรนี้และในสายตาของผู้นำคนนี้ และพอเปรียบเทียบกันฉันก็ทำให้คุณดูดีขึ้นมาเลย” ต่อมาฉันได้ยินว่าผู้นำคนนี้ได้จัดการเตรียมการให้เสี่ยวเจี๋ยเข้าร่วมการเทศนาในอีกพื้นที่หนึ่ง และรับการฝึกอบรม ฉันไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ ที่ได้ยินเรื่องนี้ “ทำไมเธอถึงอยากให้เสี่ยวเจี๋ยไป ไม่ใช่ฉันล่ะ” ฉันคิด “ฉันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ ฉันไม่สมควรได้รับการฝึกสักนิดเลยหรือ” ฉันรู้สึกอับอายและรู้สึกเหมือนถูกเอาน้ำเย็นสาดหน้า ฉันรู้สึกว่ายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง คิดว่าฉันเองก็ทุ่มเททำงานมากเท่ากับที่เธอทำ แต่ฉันถูกทิ้งไว้ข้างหลังในขณะที่เธอไปฟังคำเทศนา ฉันรู้สึกถูกมองข้ามสุดๆ และรู้สึกว่าไม่ว่าฉันทำอะไร ฉันก็ไม่มีทางเทียบเธอได้ ยิ่งฉันเปรียบเทียบตัวเองแบบนั้นมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่ และฉันก็เริ่มใช้ชีวิตในสภาวะแห่งความอิจฉาและความขุ่นเคืองอีกครั้ง ฉันอยากให้ผู้นำคนนั้นให้เราแยกกันทำงานใจจะขาดเพื่อที่ฉันจะได้มีโอกาสโดดเด่น
ไม่นานหลังจากนั้น สามีของเสี่ยวเจี๋ยก็ป่วยหนักมาก มันหนักหนาสำหรับเธอจริงๆ ฉันปลอบใจเธอและสนับสนุนให้เธออธิษฐานและแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าผ่านการทดสอบนี้ แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า “เธอเพิ่งจะขึ้นสู่จุดสูงสุดแท้ๆ ตอนนี้เธอกำลังถูกถลุงและมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ดังนั้นนี่จะเป็นโอกาสให้ฉันแสดงตัวเอง หากสภาพจิตใจของเธอดีขึ้น ฉันก็จะไม่มีทางได้โอกาสนั้น ฉันหวังว่าเธอจะต้องพบกับกระบวนการถลุงนี้ไปอีกสักพัก แล้วทุกคนจะเห็นว่าเธอสามัคคีธรรมได้ดีเมื่อสิ่งต่างๆ เป็นปกติ แต่เธอไม่สามารถใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้าได้ พวกเขาจะได้ไม่ชื่นชมเธอมากนัก ผู้นำคนนี้อาจจะเห็นว่าเธอขาดความเป็นจริงของความจริงและไม่ฝึกเธออีกต่อไป แล้วคนอื่นก็จะเคารพยกย่องฉันเองตามธรรมชาติ” ฉันไม่ได้คิดถึงสภาวะจิตใจของฉันมากนัก และปล่อยความคิดเหล่านั้นผ่านไปเฉยๆ วันหนึ่งพี่สาวสองคนถามเรื่องเสี่ยวเจี๋ยด้วยความเป็นห่วง และฉันพูดว่าเธอกำลังจิตใจย่ำแย่ และแม้ว่าปกติเธอจะมีการสามัคคีธรรมที่ยอดเยี่ยม แต่เธอกลายเป็นคนคิดลบผ่านการทดสอบและขาดวุฒิภาวะที่แท้จริง พอพูดออกไปแล้วฉันก็รู้สึกไม่สบายใจ ฉันพูดเกินจริงเพื่อตัดสินและลดคุณค่าของเธอ แต่พอฉันเห็นพี่สาวเหล่านั้นเชื่อคำพูดของฉัน ฉันก็แอบรู้สึกพอใจ ฉันคิดว่าต่อไปนี้พวกเธอจะได้ไม่ชื่นชมเสี่ยวเจี๋ยมากนัก แต่พอฉันเจอเธอในภายหลัง แม้ว่าเธอจะกำลังเป็นทุกข์จริงๆ และร้องไห้ทุกครั้งที่เธออธิษฐาน เธอก็ไม่ได้ปล่อยให้มันส่งผลต่อหน้าที่ของเธอสักนิด ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดอยู่บ้าง การเผชิญการทดสอบแบบนั้น คงเป็นเรื่องยากที่จะไม่เป็นทุกข์และรู้สึกอ่อนแออยู่บ้าง ฉันคงจะอธิษฐานให้เธอหากฉันมีความเป็นมนุษย์จริงๆ และทำทุกอย่างที่ฉันสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้เธอ แต่นี่ฉันทำอะไรลงไป ฉันรู้สึกแย่มากกับเรื่องนี้ ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการอธิษฐานว่า “โอ้พระเจ้า! ข้าพระองค์ขี้อิจฉาเกินไปมากนัก ข้าพระองค์ตัดสินและดูหมิ่นน้องเสี่ยวเจี๋ยเพื่อที่ข้าพระองค์จะสามารถเอาชนะเธอได้ ข้าพระองค์ถึงกับสะใจที่เธอเจ็บปวด และอยากให้เธอคิดลบและทำพลาดจะแย่ ข้าพระองค์ขาดความเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง พระเจ้า ขอทรงนำข้าพระองค์และประทานความรู้แจ้ง ให้ข้าพระองค์รู้จักความเสื่อมทราม และเป็นอิสระจากอุปนิสัยแบบซาตานของข้าพระองค์ด้วย”
หลังจากอธิษฐาน ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ค่ะ “หากผู้คนบางคนเห็นใครบางคนดีกว่าที่พวกเขาเป็น พวกเขาก็ปราบปรามคนเหล่านั้น เริ่มข่าวลือเกี่ยวกับพวกเขา หรือนำเอาวิถีทางที่ไม่มีหลักศีลธรรมมาใช้ เพื่อให้ผู้คนอื่นๆ ไม่มองพวกเขาสูงส่ง และเพื่อให้ไม่มีใครดีกว่าใครอื่นแต่อย่างใดเลย เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คืออุปนิสัยเสื่อมทรามแห่งความโอหังและการมองตัวเองถูกต้องเสมอ ตลอดจนความคดในข้องอในกระดูก ความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และความเคลือบแฝง และผู้คนเหล่านี้จึงหยุดอยู่ตรงที่ไม่มีอะไรเลยที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขา พวกเขาดำรงชีวิตอยู่เยี่ยงนี้ และกระนั้นก็ยังคงคิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่และคิดว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ดีงาม อย่างไรก็ตามที พวกเขานั้นมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? ก่อนอื่นใด เพื่อที่จะพูดจากมุมมองของธรรมชาติทั้งหลายของสาระเหล่านี้ ผู้คนที่ปฏิบัติตนแบบนี้ไม่ใช่แค่กำลังทำไปตามที่พวกเขายินดีหรอกหรือ? พวกเขาพิจารณาผลประโยชน์ของครอบครัวของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวพวกเขาเองเท่านั้น และพวกเขาต้องการเพียงที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาเองเท่านั้น โดยไม่พิจารณาถึงความสูญเสียที่พระราชกิจของครอบครัวพระเจ้าต้องทนทุกข์ ผู้คนเช่นนี้ไม่เพียงโอหังและมองตัวเองถูกต้องเสมอเท่านั้น พวกเขายังเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามอีกด้วย พวกเขาไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างถึงที่สุด และไม่ต้องกังขาเลยแม้แต่น้อยว่า ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่ครองหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่พวกเขาจึงทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการและปฏิบัติตนอย่างอุตริ โดยปราศจากสำนึกรู้ต่อการติเตียนอันใด โดยปราศจากความหวั่นเกรงอันใด ปราศจากความประหวั่นใจหรือกังวลใจอันใด และปราศจากการพิจารณาถึงผลสืบเนื่องที่ตามมา นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำบ่อยครั้ง และคือวิธีที่พวกเขาได้ประพฤติตนเสมอมา อะไรคือผลสืบเนื่องที่ผู้คนเช่นนั้นเผชิญ? พวกเขาจะเดือดร้อน ใช่หรือไม่? พูดอย่างเบาๆ ได้ว่า ผู้คนเช่นนั้นช่างอิจฉาริษยามากเกินไปและมีความพึงปรารถนาเพื่อชื่อเสียงและสถานะส่วนบุคคลรุนแรงเกินไป พวกเขามีเล่ห์ลวงและคิดคดทรยศมากเกินไป พูดอย่างรุนแรงกว่านั้นได้ว่า ปัญหาอันเป็นแก่นสารก็คือ หัวใจของผู้คนเช่นนั้นไม่แม้แต่จะยำเกรงพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าตัวพวกเขาเองสำคัญที่สุด และพวกเขาถือว่าทุกแง่มุมของตัวพวกเขาเองสูงส่งกว่าพระเจ้าและสูงส่งกว่าความจริง ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าทรงมีค่าน้อยที่สุดที่จะเอ่ยถึง และปราศจากนัยสำคัญที่สุด และพระเจ้าจึงไม่ทรงมีพระสถานภาพใดในหัวใจพวกเขาแต่อย่างใดเลย…พวกเจ้าจะพูดหรือจะไม่พูด ว่าบุคคลจำพวกนี้ร้ายแรง? พวกเจ้าจะพูดว่า คนที่ไม่เคารพพระเจ้านั้นเป็นบุคคลจำพวกไหนหรือ? เขาหรือเธอโอหังหรือไม่? บุคคลเช่นนั้นเป็นซาตานหรือไม่? สิ่งประเภทใดกันที่ไม่เคารพพระเจ้า? นอกจากพวกสัตว์แล้ว พวกนั้นทั้งหมดที่ไม่เคารพพระเจ้าก็มีพวกปีศาจ ซาตาน หัวหน้าทูตสวรรค์ และพวกที่ขับเคี่ยวกับพระเจ้ารวมอยู่ด้วย” (“ห้าสภาวะที่จำเป็นต่อการอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ได้อ่านบทตอนนี้ มันช่างเสียดแทงหัวใจจริงๆ ฉันคือบุคคลจำพวกนั้นเป๊ะๆ เลยค่ะ ฉันรู้ว่าน้องเสี่ยวเจี๋ยมีความสามารถมาก ไล่ตามความจริง และคู่ควรที่จะได้รับการฝึกอบรม แต่พอฉันเห็นผู้นำคนนั้นให้คุณค่าเธอและอยากส่งเธอไปร่วมงานชุมนุมต่างๆ ฉันก็เสียศูนย์ ฉันรู้สึกว่าถูกกระทำและไม่สามารถยอมรับได้ ฉันเกิดความอิจฉาและขุ่นเคืองเธอ และอยากให้ผู้นำคนนั้นย้ายเธอออกไปอย่างมาก ตอนที่เธออ่อนแอและเจ็บปวดเพราะการทดสอบของเธอ ฉันทำเหมือนว่าช่วยเหลือเธอ แต่สะใจที่เธอเป็นทุกข์ ฉันอยากให้เธอกลายเป็นคนคิดลบเพื่อที่ฉันจะได้เฉิดฉาย ฉันถึงขนาดตัดสินและดูหมิ่นเธอต่อหน้าคนอื่นเพื่อยกระดับตัวเอง แค่เพื่อให้ฉันโดดเด่น ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแต่ไม่เคารพยำเกรงพระองค์เลย ฉันอิจฉาและทำเรื่องที่ผิดศีลธรรม เพื่อปกป้องสถานะของตัวฉันเองเท่านั้น ฉันมีอุปนิสัยที่น่ารังเกียจและมุ่งร้ายมาก ฉันจิตใจคับแคบ ทะนงตัว เลวทราม น่ารังเกียจ และน่าสมเพช! ฉันแตกต่างจากซาตานตรงไหนกัน มีเพียงซาตานเท่านั้นที่ทนเห็นสิ่งต่างๆ เป็นไปด้วยดีไม่ได้ และต้องการให้ผู้คนคิดลบ ห่างไกลจากพระเจ้า และทรยศพระเจ้า ฉันทำตัวเป็นขี้ข้าของซาตานอย่างชัดเจน ขัดขวางงานของคริสตจักร ฉันบ่อนทำลายพระนิเวศของพระเจ้าและทำชั่ว ยืนอยู่ข้างซาตานเพื่อต่อต้านพระเจ้า! แม้กระนั้น ฉันก็คิดถึงแต่ตัวเอง ฉันขาดความเป็นจริงของความจริงอย่างชัดเจน และความสามารถของฉันก็เทียบกับของน้องเสี่ยวเจี๋ยไม่ได้เลย ฉันแข่งขันเพื่อสถานะ อยากเอาชนะเธออยู่เสมอ ฉันโอหังมากและขาดการตระหนักในตัวเอง! ณ จุดนั้นฉันเกลียดชังตัวเองจริงๆ และอยากเป็นอิสระจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉันอย่างเร่งด่วน
หลังจากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ค่ะ “แหล่งที่มาของการต่อต้านและการเป็นกบฏต่อพระเจ้าของมนุษย์ก็คือความเสื่อมทรามของเขาโดยซาตาน เพราะความเสื่อมทรามของซาตาน มโนธรรมของมนุษย์จึงได้ด้านชามากขึ้น เขาไม่มีศีลธรรม ความคิดของเขาเสื่อม และเขามีทัศนะทางจิตใจที่ล้าหลัง ก่อนที่เขาจะถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์ได้ติดตามพระเจ้าโดยธรรมชาติและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์หลังจากที่ได้ยินพระวจนะเหล่านั้น เขามีสำนึกรับรู้และมโนธรรมที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ ภายหลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม สำนึกรับรู้ มโนธรรม และสภาวะความเป็นมนุษย์ดั้งเดิมของมนุษย์ก็ทึบเขลาและถูกซาตานทำให้เสื่อมลง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้สูญเสียความเชื่อฟังและความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า สำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้กลายเป็นผิดปกติวิสัย อุปนิสัยของเขาได้กลายเป็นเช่นเดียวกับอุปนิสัยของสัตว์ตัวหนึ่ง และความเป็นกบฏของเขาต่อพระเจ้าก็เกิดขึ้นบ่อยขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก กระนั้นก็ตามมนุษย์ยังคงไม่รู้และไม่ระลึกถึงการนี้ได้ และเพียงต่อต้านและเป็นกบฏอย่างหูหนวกตาบอด อุปนิสัยของมนุษย์ถูกเผยในการแสดงออกทั้งหลายของสำนึกรับรู้ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และมโนธรรมของเขา เพราะสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของเขานั้นไม่น่าไว้ใจ และมโนธรรมของเขาได้ทึบเขลายิ่งนัก ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของเขาจึงเป็นกบฏต่อพระเจ้า หากสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของมนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของเขาก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับการสอดคล้องกันกับน้ำพระทัยพระเจ้า หากสำนึกรับรู้ของมนุษย์ไม่น่าไว้ใจ เขาก็ย่อมไม่สามารถรับใช้พระเจ้าได้และไม่เหมาะสำหรับการใช้งานโดยพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า) นี่ช่วยให้ฉันเข้าใจ ว่าฉันกบฏและต่อต้านพระเจ้า ใช้ชีวิตอยู่ในความเสื่อมทรามเสมอ เพราะว่าฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ฉันเปียกชุ่มไปด้วยหลักปฏิบัติและตรรกะแบบซาตาน อย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “ทั่วทั้งจักรวาลนี้ เราเท่านั้นที่ครองราชย์สูงสุด” “จ่าฝูงมีได้เพียงหนึ่ง” “มนุษย์อยู่ที่ใดก็ทิ้งชื่อของเขาไว้ที่นั่นฉันใด ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องของมันที่นั่นฉันนั้น” เป็นต้น ฉันยอมรับคติพจน์เหล่านี้จากซาตาน และมุมมอง กฎเพื่อความอยู่รอด และเหตุผลของฉันก็ผิดเพี้ยนไป ทำให้ฉันโอหังและชั่วร้ายมากขึ้น และขาดแคลนความเป็นมนุษย์ ถูกควบคุมโดยพิษเหล่านี้จากซาตาน ฉันแค่อยากแสวงหาชื่อและสถานะและได้รับการยกย่อง ฉันอยากโดดเด่นไม่ว่าในกลุ่มคนไหน และไม่อยากให้ใครเหนือกว่าฉัน และเมื่อไรก็ตามที่มีคนเหนือกว่าฉัน ฉันก็อดไม่ได้ที่จะแก่งแย่งแข่งขัน หากฉันไม่สามารถเหนือกว่าคนอื่นได้ ฉันก็จะอิจฉาและขุ่นเคือง หรือแม้แต่ทำเรื่องซ่อนเร้นเพื่อบรรลุเป้าหมายของฉัน ฉันไม่แสดงอะไรออกมานอกจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันโอหัง หลอกลวง และชั่วร้าย ฉันอ้างว่าฉันกำลังทำหน้าที่ แต่ที่จริงฉันกำลังทำงานเพื่อตัวเอง ทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้า ฉันนึกถึงศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกขับออกไป พวกเขาอิจฉาและขื่นขมต่อใครก็ตามที่ไล่ตามความจริงหรือเอาใจใส่น้ำพระทัยของพระเจ้า และปฏิบัติกับใครก็ตามที่คุกคามสถานะของพวกเขาเหมือนหอกข้างแคร่ พวกเขากดขี่และมีเจตนาร้าย และถึงกับอยากให้คนอื่นถูกขับออกจากคริสตจักร เพื่อให้พวกเขาได้ครองอำนาจสูงสุด สุดท้ายพวกเขาทั้งหมดก็ถูกขับออกจากคริสตจักรเพราะทำความชั่วมากมาย ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือทำความชั่วรุนแรงเหมือนพวกศัตรูของพระคริสต์ แต่ฉันอิจฉาและถูกธรรมชาติที่โอหังและเลวทรามของตัวเองควบคุม ฉันถึงกับกีดกันและตัดสินคนอื่นเพื่อรักษาสถานะของตัวเอง ฉันอยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งที่ต่อต้านพระเจ้า อุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่อดทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ ฉันรู้ว่าหากฉันไม่กลับใจ สุดท้ายพระเจ้าจะไม่ทรงยอมรับฉันและกำจัดฉันทิ้ง เรื่องน่ากลัวมากสำหรับฉันค่ะ ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงปกป้องฉันด้วยการพิพากษาที่รุนแรง ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่ทบทวนตัวเอง และมาเสียใจเอาเมื่อสายเกินไป เมื่อฉันทำอะไรที่ชั่วร้ายจริงๆ ฉันตื้นตันจริงๆ ตอนที่ฉันครุ่นคิดถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า พร้อมจะกลับใจและเปลี่ยนแปลง
วันหนึ่งในการอุทิศตน ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าค่ะ “สำหรับเจ้าแต่ละคนที่กำลังลุล่วงหน้าที่ ไม่สำคัญว่า เจ้าเข้าใจความจริงอย่างลุ่มลึกเพียงใด หากเจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง เช่นนั้นแล้ว หนทางที่เรียบง่ายที่สุดที่จะฝึกฝนปฏิบัติก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ และปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของพวกเจ้า ความตั้งใจแบบปัจเจกบุคคลของเจ้า สิ่งจูงใจทั้งหลาย เกียรติยศชื่อเสียง และสถานะ วางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—นี่คือน้อยที่สุดแล้วที่เจ้าควรทำ หากบุคคลหนึ่งซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเขาไม่สามารถทำได้มากแม้เพียงเท่านี้ เช่นนั้นแล้ว เขาสามารถถูกพูดถึงได้เช่นไรว่า กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเขาอยู่? นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา ก่อนอื่นเจ้าควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า คำนึงถึงผลประโยชน์ของพระเจ้าเอง และคำนึงถึงพระราชกิจของพระองค์ และวางความคำนึงถึงเหล่านี้ไว้เป็นอันดับแรกสุดก่อนสิ่งใด เฉพาะหลังจากนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถคิดเกี่ยวกับเสถียรภาพของสถานะของเจ้า หรือวิธีที่ผู้อื่นมองเจ้าได้…นอกจากนี้ หากเจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า พักวางความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้าไว้ก่อน พักวางความตั้งใจและสิ่งจูงใจทั้งหลายของตัวเจ้าเองไว้ก่อน คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และวางผลประโยชน์ของพระเจ้าและพระนิเวศของพระองค์ไว้เป็นอันดับแรก แล้วหลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางที่ดีงามในการดำรงชีวิต มันเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ปราศจากการเป็นบุคคลต่ำช้า หรือไม่มีอะไรดีสักอย่าง และเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างยุติธรรมและมีเกียรติ มากกว่าการเป็นคนใจแคบหรือใจร้าย เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่บุคคลหนึ่งควรดำรงชีวิตและปฏิบัติตน ความพึงปรารถนาภายในหัวใจของเจ้าที่จะสนองผลประโยชน์ของเจ้าเองจะลดลงทีละน้อยๆ” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “การทำหน้าที่ไม่เป็นแบบเดียวกัน มีร่างกายหนึ่งร่าง แต่ละร่างทำหน้าที่ของเขา แต่ละร่างอยู่ในสถานที่ของเขาและกำลังทำสุดความสามารถของเขา—สำหรับแต่ละประกายไฟมีความสว่างวาบหนึ่ง—และกำลังแสวงหาวุฒิภาวะในชีวิต เช่นนั้นแล้วเราจึงจะพึงพอใจ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 21) ฉันเข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าพระเจ้าทรงลิขิตความสามารถของทุกคนไว้ล่วงหน้า และพวกเขาทำหน้าที่ใดได้ คุณไม่สามารถแข่งขันหรือดิ้นรนเพื่อสิ่งเหล่านั้น เมื่อคนอื่นมีความสามารถมากกว่า เมื่อพระเจ้าทรงลิขิตล่วงหน้าว่าฉันควรเป็นต้นหญ้า ไม่ใช่ต้นไม้ ฉันก็ควรเป็นแค่ใบหญ้านั้น และดำเนินบทบาทนั้นด้วยความยินดี ฉันไม่อยากแข่งขันกับคนอื่นเพื่อสถานะอีกต่อไป แต่เพื่อปล่อยวางความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของฉัน และไม่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉัน วางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก และทำหน้าที่ของฉันให้ดีแบบมีรากฐานอย่างแท้จริง นั่นเป็นทางเดียวที่จะใช้ชีวิตในความสว่าง ฉันเปิดใจกับพี่สาวน้องสาวถึงความเสื่อมทรามของฉันและขอโทษน้องเสี่ยวเจี๋ย เมื่อได้รู้ถึงเจตนาและการกระทำมุ่งร้ายของฉัน เธอไม่ได้โทษฉันเลยสักนิด และสามัคคีธรรมถึงความจริงเพื่อช่วยฉัน ฉันตื้นตันใจจริงๆ ค่ะ นอกจากนี้ฉันยังไม่ชอบที่ฉันขาดความเป็นมนุษย์และทำร้ายเธอด้วย ต่อมาฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ให้เลิกวางแผนร้ายเพื่อสถานะและแค่ทำหน้าที่ของฉันให้ดี
เสี่ยวเจี๋ยกลับจากการเดินทางของเธอหลังจากนั้นราวเดือนกว่าๆ และแบ่งปันสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ในการชุมนุมต่างๆ การสามัคคีธรรมของเธอสอนใจและเป็นประโยชน์จริงๆ แต่เมื่อฉันเห็นว่าคนอื่นฟังอย่างตั้งใจ ฉันก็รู้สึกอึดอัดใจอีกครั้ง ฉันตระหนักว่าฉันกำลังดิ้นรนเพื่อสถานะและกำลังอิจฉาอีกแล้ว ฉันจึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อวางตัวเองลง ฉันจดจำบางสิ่งที่ฉันได้ยินในการเทศนา ว่าบุคคลที่มีเหตุผลซึ่งรับใช้พระเจ้าจะไม่เกิดความอิจฉา แต่จะหวังให้คนอื่นดีกว่าตัวเอง เพื่อที่จะได้มีคนช่วยแบ่งเบาภาระของพระเจ้ามากขึ้น คนแบบนั้นสามารถมีความสุขเมื่อพระเจ้าทรงรับคนอื่นๆ ได้ ฉันตระหนักว่าเธอเติบโตขึ้นและได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากการเดินทางไปฟังคำเทศนา และเธอสามารถรดน้ำและช่วยเหลือผู้อื่น นี่เป็นเรื่องดีสำหรับการเข้าใจความจริงของทุกคน และจะทำให้พระเจ้าสบายพระทัย ฉันต้องเรียนรู้จากเธอและใช้จุดแข็งของเธอในหน้าที่ของฉัน นั่นสำคัญมากค่ะ เมื่อฉันอธิษฐานและละทิ้งตัวเองแบบนั้น ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงคิดอย่างไร และฉันจะมีตำแหน่งอะไรในคริสตจักร ก็ไม่สำคัญกับฉันอีกต่อไปแล้วค่ะ ฉันสงบใจลงและฟังการสามัคคีธรรมของเธอและรับความรู้แจ้งเข้ามา ฉันทำงานกับเธอเพื่อแสวงหาหลักปฏิบัติแห่งความจริงในงานของเราค่ะ ในการร่วมงานของเราหลังจากนั้น เมื่อฉันเห็นผู้นำคนนั้นหารืออะไรกับเธอ ฉันก็ไม่คิดอะไรและไม่รู้สึกอิจฉา นี่ทำให้ฉันโล่งใจมากค่ะ ฉันได้รับประสบการณ์โดยส่วนตัว ว่าฉันรู้สึกสบายใจและยืดอกได้มากขึ้นเมื่อฉันปล่อยวางความอิจฉาของฉัน และไม่นานฉันก็ใช้ชีวิตอย่างมีความคล้ายมนุษย์ได้ค่ะ ฉันเปลี่ยนไปพอสมควร ทั้งหมดเป็นเพราะการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอดของฉันค่ะ!