34. ได้รับการปลดปล่อยจากโซ่ตรวนทางบ้าน
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 ฉันได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ โดยผ่านทางการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้รู้แน่ชัดว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา คือพระผู้ช่วยให้รอดผู้เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด และฉันก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ฉันนึกถึงสามีของฉันซึ่งเคยไปคริสตจักรกับผู้กำกับดูแลของเขาบ่อยๆ ระหว่างที่เขากำลังศึกษาในฐานะนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในประเทศจีน ตอนที่เขาไปต่างประเทศ เขาก็ยังเคยไปคริสตจักรกับชุมชนจีนท้องถิ่นด้วย ฉันต้องการที่จะบอกข่าวดีนั่นกับเขาโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
สามีของฉันกลับมาประเทศจีนตอนต้นเดือนกันยายน และฉันก็ได้เป็นพยานยืนยันต่อเขาเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย หลังจากเขาได้ยินเรื่องนี้ ฉันก็ต้องประหลาดใจเมื่อเขาค้นหาข่าวลือทุกประเภทซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์กุขึ้นและการให้ร้ายโฆษณาชวนเชื่อในทางลบต่อคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หลังจากนั้นเขาก็จ้องฉันถมึงและตะโกนว่า “ดูสิ! ที่คุณเชื่อน่ะคือฟ้าแลบจากทิศตะวันออกที่ทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังจัดการขั้นเด็ดขาดมาตลอดหลายปีแล้ว ทันทีที่พวกเขาจับกุมคุณ คุณจะถูกตัดสินโทษและส่งเข้าเรือนจำ คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เชื่อในสิ่งนี้อีกต่อไปแล้ว!” จากนั้นเขาก็ฉีกหนังสือพระวจนะของพระเจ้าของฉันจนหมดทุกเล่ม ตอนนั้นฉันโกรธเป็นไฟ แต่แล้วฉันก็คิดว่า สามีฉันต่อต้านการที่ฉันเชื่อก็เพราะเขาถูกข่าวลือของพรรคคอมมิวนิสต์จีนหลอกลวงเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่ต่อไปเขาก็คงจะเข้าใจ กระนั้นฉันก็รู้ว่า ไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้น การที่เชื่อในพระเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และฉันจะไม่มีวันล้มเลิก หลังจากนั้นสามีก็โทรหาฉันทุกวันเพื่อแกะรอยการเคลื่อนไหวของฉัน ในตอนนั้น ฉันเป็นนักศึกษาปริญญาโท ดังนั้นเพื่อเลี่ยงการสอดส่องของเขา ฉันจึงไปเข้าร่วมการชุมนุมใกล้ๆ กับสถานที่เรียน และกลับบ้านเฉพาะในสุดสัปดาห์เท่านั้น ช่วงปลาย ค.ศ. 2012 ตอนที่ทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเริ่มทำการรณรงค์เพื่อปราบปรามและจับกุมคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างเสียสติกว่าเดิม ทั้งทางอินเทอร์เน็ต โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ก็มีข่าวลือและเหตุผลวิบัติใส่ร้ายและโจมตีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อยู่ทุกหนทุกแห่ง และรัฐบาลก็ใช้การนี้เป็นข้ออ้างที่จะจับกุมผู้เชื่อในพระเจ้าทั่วไปหมด สามีของฉันกลัวว่าฉันจะถูกจับกุมเพราะการที่เชื่อในพระเจ้า ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อตัวเขาและลูกสาวของเราด้วย ดังนั้นข้อจำกัดหวงห้ามที่เขาวางให้ฉันก็กลายเป็นรุนแรงขึ้นทุกขณะ และเขายังข่มขู่ฉันด้วย โดยพูดว่าเขาจะหย่ากับฉันหากยังเชื่อในพระเจ้าต่อไป นี่ทำให้ฉันเสียความรู้สึกมาก ในประเทศจีนนั้น การที่เชื่อในพระเจ้าไม่ใช่แค่ทำให้เราแบกความเสี่ยงต่อการถูกตัดสินโทษและจำคุก แต่ยังต้องทนทุกข์กับการข่มเหงจากครอบครัวของเราซึ่งปราศจากความเชื่ออีกด้วย สิ่งต่างๆ ช่างยากลำบากเหลือเกินสำหรับเรา! หากฉันกับสามีหย่าร้างกัน จะเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของเราเล่า? ช่วงสองสามวันนั้น ฉันไม่มีความสนใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองเลย ฉันทุกข์ใจมากจริงๆ
ครั้นพี่น้องหญิงคนหนึ่งได้เรียนรู้ถึงสภาวะของฉัน เธอก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันฟัง พระเจ้าตรัสว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือการกระทำของมนุษย์และการรบกวนของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจว่ารูปการณ์แวดล้อมที่ลำบากยากเย็นเหล่านี้ จากภายนอกแล้วคือการที่สามีจำกัดหวงห้ามและข่มเหงฉัน แต่อันที่จริง เบื้องหลังการนี้คือการบงการและก่อกวนของซาตาน พระเจ้าต้องประสงค์ที่จะช่วยฉันให้รอด และซาตานก็เป็นก่อการรบกวนและการหยุดชะงักทุกประเภท เพื่อที่จะทำให้ฉันทรยศพระเจ้า สูญเสียความรอดของพระองค์ไป และถูกฉุดลงสู่นรกพร้อมกับมันในท้ายที่สุด ซาตานช่างร้ายกาจและสารเลวนัก! เมื่อรู้แบบนี้ ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า วุฒิภาวะของข้าพระองค์น้อยเกินไป จึงขอให้พระองค์ประทานความเชื่อให้ข้าพระองค์และทรงทำให้ข้าพระองค์สามารถตั้งมั่นต้านการรบกวนทั้งหลายของซาตานได้ ต่อให้สามีหย่าร้างจากข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ทรยศต่อพระองค์ และจะไม่หลงกลอุบายของซาตาน” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็ไม่ได้ยากลำบากจนเกินที่จะทน และฉันก็ได้สานต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและลุล่วงหน้าที่ของฉันต่อไป
ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็ถูกตำรวจจับกุมที่งานชุมนุมหนึ่ง ตำรวจตั้งข้อหาฉันฐาน “รบกวนความสงบเรียบร้อยทางสังคม” และกักตัวฉันไว้ 30 วัน ในการสอบสวน พวกตำรวจข่มขู่ฉันว่า “สถานศึกษาของคุณรู้แล้วว่าคุณถูกจับฐานเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาวางแผนที่จะไล่คุณออก แต่ถ้าคุณให้ความร่วมมือกับเราและบอกสิ่งที่คุณรู้ เราจะคุยกับคณบดีให้คุณเอง และคุณก็เรียนปริญญาโทต่อไปได้ คิดดูให้ดีๆ!” หลังจากที่พวกเขาออกไป ฉันก็มองไปที่ลูกกรงเหล็กเย็นเฉียบของห้องขัง และรู้สึกซึมเศร้าและทุกข์ใจอย่างที่สุด ฉันคิดว่า “ถ้าฉันถูกไล่ออกจากสถานศึกษาเพราะการที่เชื่อในพระเจ้า นั่นก็จะเป็นประเด็นปัญหาทางการเมือง และเรื่องนั้นก็จะถูกบันทึกไว้ในระเบียนนักศึกษากับแฟ้มตำรวจ โรงพยาบาลที่ไหนก็ไม่มีวันจะจ้างงานฉัน และความฝันของฉันที่จะได้เป็นหมอก็จะมาสูญเปล่า การศึกษา การงานและอนาคตก็จะหมดสิ้นไปตรงที่อายุแค่ 30 ปี แล้วฉันจะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร? ฉันจะเผชิญหน้ากับการเลือกปฏิบัติและการเยาะเย้ยจากผู้คนรอบข้างได้อย่างไร?” ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่ถึงสองสามวัน
ในช่วงระหว่างเวลานั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อยครั้ง อยู่มาในเช้าวันหนึ่ง ฉันพบว่าตัวเองฮัมบทสวดสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าที่ชื่อว่า “ชีวิตอันเปี่ยมความหมายที่สุด” ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง! เจ้าควรยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้และใช้ชีวิตที่มีความหมายอย่างยินดีและอย่างมั่นใจดังเช่นโยบและเปโตร พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่แสวงหาการปรับปรุงให้ดีขึ้น พวกเจ้าคือผู้คนที่ผงาดขึ้นมาในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสเรียกว่าชอบธรรม นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายที่สุดหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2)) ขณะที่ขับร้องบทเพลงสรรเสริญ ฉันรู้สึกซาบซึ้งมากเป็นพิเศษ จนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ฉันจึงควรนมัสการและเชื่อในพระเจ้าไปตามครรลอง ที่ฉันทำอยู่นั้นถูกต้องและเป็นธรรมชาติ พระเจ้าทรงลิขิตให้ฉันเกิดมาในครอบครัวที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่ฉันจะได้รู้ถึงการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคสุดท้ายนั้น พระเจ้าทรงเปี่ยมพระคุณกับฉัน พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ฉันได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าและต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ฉันชื่นชมการให้น้ำและการจัดหาของพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ และให้ฉันได้รับโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า นี่คือพระพรอันเหลือเชื่อ! ฉันคิดถึงผู้คนมากมายตลอดหลายรุ่นที่ได้ติดตามพระเจ้า พวกเขาต้องทนทุกข์จากการข่มเหงและความยากลำบาก และหลายคนถึงกับมอบชีวิตพวกเขาเพื่อที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า พวกเขาล้วนได้สร้างคำพยานอันงดงามและดังกึกก้องแด่พระเจ้า เมื่อพิจารณาในแง่นี้ อะไรหรือคือความทุกข์ส่วนน้อยนิดของฉัน? ฉันคิดว่า “หากฉันล้มเลิกการเชื่อในพระเจ้าเพื่อปกป้องประโยชน์และอนาคตของตัวฉันเอง แบบนั้น ฉันยังมีมโนธรรมอยู่หรือ? ฉันคู่ควรแก่การถูกเรียกขานว่ามนุษย์หรือ?” ความคิดนั้นมอบความเข้มแข็งให้กับฉัน และฉันได้สาบานคำปฏิญญาหนึ่งไปว่า ไม่สำคัญว่าฉันจะถูกไล่ออกหรือไม่ หรืออนาคตและชะตากรรมของฉันจะออกมาเป็นอย่างไร และไม่ว่าผู้คนรอบข้างจะปฏิเสธหรือใส่ร้ายฉันอย่างไร ฉันก็จะไม่มีวันทรยศพระเจ้า และจะยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้า ในการสอบปากคำครั้งสุดท้าย ฉันบอกกับตำรวจอย่างสงบนิ่งมาก ว่า “ถ้าสถานศึกษานั้นไล่ฉันออก ฉันขอแค่ให้คุณบอกสามีฉันให้ไปเพื่อเก็บรวบรวมสิ่งของของฉันที่สถานศึกษานั้นมาก็พอ” เมื่อตำรวจเห็นว่าฉันมุ่งมั่นแค่ไหน พวกเขาก็จากไปโดยที่ดูท้อแท้อย่างมาก ฉันรู้สึกสำนึกบุญคุณต่อพระเจ้ายิ่งนัก
หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัว สามีของฉันพูดด้วยความโมโหว่า “ตำรวจบอกผมว่าถ้าคุณถูกจับฐานเชื่อในพระเจ้าอีก จะไม่ใช่แค่การกักขังหนึ่งเดือนเท่านั้น นี่จะส่งผลต่อผมและลูกสาวเราด้วย โอกาสที่เป็นไปได้ในอนาคตของลูกสาวเราเกี่ยวกับเรื่องการงานและมหาวิทยาลัยก็จะถูกกระทบ และลูกจะไม่สามารถทำงานในส่วนราชการได้ คุณไม่เข้าใจหรือไง? การที่คุณถูกจับเพราะเชื่อในพระเจ้าทำให้ผมต้องทนทุกข์ไปเป็นเดือนเลยเหมือนกัน ผมบอกไม่ได้หรอกว่าร้องไห้ไปกี่ครั้ง จนเกือบจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ผมไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือและทำให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้าไม่เหลือแล้วเพื่อที่จะพาคุณออกมาจากคุก! ผมไม่มีวันต้องการที่จะทนทุกข์แบบนั้นอีก! คุณหยุดเชื่อได้ไหม และคิดถึงครอบครัวให้มากกว่านี้ได้ไหม?” หลังจากนั้น เพื่อที่จะให้ฉันเลิกติดต่อกับพี่น้องชายหญิง เขาจึงจับตาดูฉันเหมือนฉันเป็นอาชญากร เขาจะไม่ยอมให้ฉันออกจากบ้านและไม่ให้ฉันมีความเป็นตัวของตัวเองเลย เวลาที่เขาไปทำงาน เขาให้แม่เขามาคอยเฝ้าฉัน เขาโทรมาอย่างสม่ำเสมอเพื่อถามว่าฉันอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ เขายังบอกฉันอย่างไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับสารพัดขบวนการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเกี่ยวกับวิธีการอันรุนแรงซึ่งถูกนำมาใช้ เพื่อที่จะทำให้ฉันได้รู้ผลสืบเนื่องของการไม่เชื่อฟังพรรคคอมมิวนิสต์และเพื่อขจัดทิ้งแนวคิดของฉันเกี่ยวกับการที่เชื่อในพระเจ้า เขายังพูดด้วยว่า “ผมรู้ว่าข่าวลือที่พรรคกุขึ้นเกี่ยวกับคริสตจักรของคุณเป็นเรื่องเทียมเท็จ คุณต้องการเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาไม่อนุญาต ถ้าคุณไม่เชื่อฟัง พวกเขาก็จะทำให้ชีวิตคุณย่อยยับ ดูผู้คนที่ลงเอยด้วยการตายที่น่าสลดใจอย่างมากในช่วงระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมและเหตุการณ์สี่มิถุนายนสิ ถ้าคุณทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนขัดเคือง คุณหลบหนีไปต่างประเทศก็ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” แม่สามีฉันผสมโรงด้วยโดยพูดว่า “พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ดีหรอก แต่พวกเขากุมอำนาจ เราเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีความสำคัญ และเราก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานพวกเขา” หลังจากนั้นฉันก็ถูกไล่ออกจากสถานศึกษาเพราะการเชื่อในพระเจ้า และสามีฉันก็ติเตียนว่าสิ่งร้ายๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเรานั้นเป็นเพราะการเชื่อในพระเจ้าของฉัน เมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกยุ่งยากใจ เขาจะดุด่าฉัน เยาะเย้ยฉัน และเหน็บแนมฉัน ชีวิตแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกซึมเศร้าอย่างมาก และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ฉันไม่สามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือติดต่อพี่น้องชายหญิงได้เลย ฉันจึงยิ่งทุกข์ระทมมากเป็นพิเศษ และไม่รู้ว่าวันเวลาเหล่านั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ในช่วงเวลานั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าบ่อยครั้ง เพื่อขอให้พระองค์ประทานความรู้แจ้งแก่ฉัน ทรงนำฉัน และอนุญาตให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ อยู่มาวันหนึ่ง ฉันก็นึกขึ้นได้ถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ภายใต้การเหยียดหยามและกดขี่… เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวในแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าจึงเผชิญอุปสรรคมหาศาล และการทำให้พระวจนะมากมายของพระองค์สำเร็จลุล่วงย่อมใช้เวลา ด้วยเหตุนั้น เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนจึงได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่า เนื่องจากการที่พญานาคใหญ่สีแดงเกลียดพระเจ้าและต้านทานพระองค์อย่างดุร้าย ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าซึ่งอยู่ในประเทศจีน เราจึงไม่แคล้วต้องสู้ทนกับความทุกข์มากมาย แต่ความทุกข์นี้เปี่ยมความหมาย พระเจ้าทรงใช้การข่มเหงและความทุกข์ลำบากเช่นนี้ทำให้ความเชื่อของเราเพียบพร้อม และให้การวิจารณญาณแก่เรา พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้กักขังฉัน ให้สถานศึกษาไล่ฉันออก และใช้การงานและอนาคตของครอบครัวฉันมาข่มขู่ฉันและบังคับให้ฉันละทิ้งหนทางที่แท้จริงก็เพียงเพราะฉันเชื่อในพระเจ้าเท่านั้นเอง พรรคคอมมิวนิสต์จีนช่างชั่วจริงๆ! สามีฉันพยายามให้ฉันหยุดเชื่อในพระเจ้า เพราะเขากลัวมาตรการอันรุนแรงของคนพวกนั้น การได้รับประสบการณ์จากการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วยตัวเองได้เปิดโอกาสให้ฉันมองเห็นแก่นแท้เยี่ยงปีศาจของมันซึ่งชั่วอย่างดุดันและเกลียดชังความจริง ฉันคิดว่า “ยิ่งพรรคข่มเหงฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งจะปฏิเสธมัน ละทิ้งมัน และติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทาง” สิบเดือนต่อมา ฉันก็พบโอกาสเหมาะที่จะติดต่อกับเหล่าพี่น้องชายหญิง ตอนที่ฉันสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้อีกครั้งในที่สุดนั้น ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก และรู้สึกถึงความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งฉันอ่านมากขึ้นเท่าใด ฉันก็ยิ่งรู้สึกได้รับความกระจ่างและกล้าแกร่งมากขึ้นไปอีกเท่านั้น
หลายเดือนผ่านไป อยู่มาวันหนึ่ง สามีของฉันก็พบสมุดบันทึกการเฝ้าเดี่ยวในห้องฉัน พอเขารู้ว่าฉันยังคงเชื่อในพระเจ้าอยู่ เขาก็ฉุนขาดและชกฉันร่วงลงกับพื้นในหมัดเดียว จากนั้นก็ชกศีรษะฉันอีกอย่างน้อย 20 ครั้ง ฉันเห็นดาวไปหมด และหัวก็ปูดโนขนาดเท่าไข่นกพิราบหลายจุด ฉันจำความโกรธเกรี้ยวเลือดเย็นบนใบหน้าสามีฉันได้ และจำได้ว่าลูกสาววัย 6 ขวบของขวัญผวาอย่างมากจนถึงกับร้องไห้คร่ำครวญออกมา “อย่าตีแม่นะ! อย่าตีแม่!…” สามีฉันคว้าคอเสื้อฉันแล้วเหวี่ยงฉันออกนอกประตู พร้อมพูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ถ้าเธอเชื่อในพระเจ้าต่อไป ก็ออกไปจากบ้านฉันเลย!” เมื่อได้เห็นว่าสามีฉันเปลี่ยนไปอย่างไร เห็นว่าเขาโหดร้ายและไร้ความปรานีแค่ไหน และเห็นว่าเขาไม่สนใจวันเวลาหลายปีที่เราใช้มาด้วยกันเลยสักนิด ฉันก็รู้สึกหัวใจสลาย สิ่งที่ฉันทนไม่ได้ที่สุดคือ การได้เห็นว่าลูกสาวฉันกลัวอารมณ์รุนแรงของเขาแค่ไหน ทันทีที่เขาเข้ามาหาฉัน ลูกคิดว่าเขาจะทุบตีฉัน จึงวิ่งมาอยู่ข้างหน้าฉันและยกแขนน้อยๆ ขึ้นปกป้องฉัน และพูดว่า “อย่ามาเข้าใกล้แม่นะ!” บางครั้ง เวลาฉันอยู่ที่ชั้นบนของบ้าน ทันทีที่สามีฉันเข้าใกล้บันได ลูกสาวฉันก็จะกรีดร้องใส่เขาไม่ให้ขึ้นบันได ทุกครั้งที่ฉันเห็นหน้าลูกสาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและวิตกกังวลซึ่งเป็นความเสียหายทางจิตจากการที่ต้องรับมือกับความรุนแรงในครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อยเหลือเกินนั้น เป็นเหมือนกับมีดบิดคว้านหัวใจฉัน และฉันก็ยิ่งเกลียดพญานาคใหญ่สีแดงมากขึ้นไปอีก ความวิบัติทั้งหมดนี้มีเหตุมาจากการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์
อยู่มาวันหนึ่ง พอสามีของฉันกลับบ้านหลังเลิกงาน เขาล้วงมือถือของเขาออกมาแล้วพูดด้วยความโมโหว่า “ดูนี่ พรรคคอมมิวนิสต์จีนจับผู้คนไปมากมายอีกแล้ว คุณยังอยากเชื่ออยู่เหรอ? คุณอยากตายหรือไง? ได้ คุณเชื่อในพระเจ้าได้ แต่อย่าฉุดผมและลูกให้ลงต่ำไปกับคุณด้วย ถ้าคุณถูกจับอีก ชีวิตของพวกเราจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าผมรู้ว่าคุณจะเลือกเส้นทางของการที่เชื่อในพระเจ้า ผมคงไม่มีวันแต่งงานกับคุณหรอก” สิ่งที่สามีฉันพูดทำให้ฉันเจ็บลึกมาก ฉันนึกย้อนไปในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่เขาเคยให้อิสรภาพกับฉันน้อยกว่าอาชญากรเพียงเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า ที่เขาทุบตีฉันบ่อยๆ และที่เรื่องนี้ทำให้ลูกสาวฉันเจ็บปวด และฉันก็ตระหนักว่าฉันไม่อาจประนีประนอมได้อีกต่อไป ฉันจึงตกลงตามคำขอของสามีเรื่องการหย่าร้าง พอเขาเห็นว่าฉันยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้าต่อไป เขาจึงโทรหาพี่ชายฉันและขอให้พี่เกลี้ยกล่อมฉัน พี่ชายฉันรักฉันเสมอมา และเขาก็ภูมิใจในตัวฉันเสมอ แต่เพราะฉันถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับ ฉันจึงถูกไล่ออกจากสถานศึกษาและถูกห้ามไม่ให้เรียนปริญญาโทต่อ หากหลังจากนั้นฉันหย่าร้างอีก ฉันก็จะแปลงสภาพไปเป็นตัวตลกของหมู่บ้านโดยครบบริบูรณ์ พี่ชายของฉันคงจะผิดหวังเหลือเกิน! ฉันไม่รู้เลยว่าจะเข้าหน้าพี่อย่างไร ในใจฉันร้องเรียกหาพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองฉัน เพื่อให้ฉันสามารถยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้าได้ และไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะไม่ล้มเลิกการเชื่อในพระเจ้า แล้วฉันก็นึกได้ถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “เจ้าต้องมีความกล้าหาญของเราภายในตัวเจ้า และเจ้าต้องมีหลักการยามที่เจ้าเผชิญหน้ากับบรรดาญาติที่ไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม เพื่อเห็นแก่เรา เจ้าต้องไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจมืดใดๆ เช่นกัน จงวางใจในสติปัญญาของเราที่จะเดินไปตามหนทางที่เพียบพร้อม จงอย่ายอมให้แผนประทุษกรรมใดๆ ของซาตานเริ่มมีผล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) ถูกต้อง พระเจ้าทรงสร้างมนุษยชนขึ้นมา และการเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้านั้นถูกต้องและเป็นธรรมชาติ เราต้องยืนหยัดในเส้นทางที่เราเลือก และเราต้องไม่ถูกซาตานหลอก แม้แต่ผู้คนที่ใกล้ชิดที่สุด เราก็ไม่สามารถปล่อยให้แทรกแซงได้ หลังจากที่พี่ชายฉันมา สามีฉันก็เอาแต่วิพากย์วิจารณ์ฉันต่อหน้าพี่ฉัน โดยพูดว่าฉันไม่ควรเชื่อในพระเจ้า พอสามีฉันเห็นว่าฉันสงบนิ่งเหลือเกิน เขาก็ยกมือขึ้นจะฟาดฉัน แต่พี่ชายฉันห้ามเขาไว้ พี่พูดกับฉันอย่างใจเย็นว่า “น้องโตแล้ว และน้องตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของน้องเองได้ แต่น้องต้องคิดด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกของน้องถ้าน้องหย่าร้าง ถ้าน้องดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาวของพี่ น้องก็จะรู้ว่าอะไรจะเกิดกับลูกสาวของน้อง…” คำพูดของพี่ทำให้ฉันเศร้าไปพักหนึ่ง เพราะฉันคิดถึงเรื่องการหย่าของเขา และการที่ลูกสาวของเขามักถูกคนรอบข้างเยาะเย้ยและดูแคลน ไม่น่าเลยที่เด็กคนหนึ่งต้องอยู่โดยไม่มีแม่ ตามสิ่งทั้งหลายเป็นอยู่สำหรับฉัน ณ จุดนั้น หากฉันหย่า สามีของฉันก็คงจะได้สิทธิ์ปกครองดูแลลูกสาวเราอย่างแน่นอน และเธอก็จะกลายเป็นเด็กไม่มีแม่ ลูกจะไม่ทนทุกข์จากการเลือกปฏิบัติและการเยาะเย้ยจากครูและเพื่อนร่วมชั้นเรียนหรอกหรือ? เมื่อไม่มีฉันอยู่เคียงข้าง หากลูกอยู่กับพ่อและปู่ย่าผู้ไม่เชื่อ แกจะสามารถเดินบนเส้นทางของการที่เชื่อในพระเจ้าได้หรือ? พอฉันคิดว่าลูกยังเด็กแค่ไหน ฉันก็รู้สึกว่าฉันทนการแยกจากแกไม่ได้ ฉันทุกข์ระทมจริงๆ ในระหว่างช่วงเวลานั้น ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อาจปล่อยมือจากลูกสาวได้ ข้าพระองค์รู้สึกโศกเศร้าเสมอเมื่อคิดถึงอนาคตของลูก ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงคุ้มครองหัวใจของข้าพระองค์ด้วยเถิด”
หลังจากนั้น ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่ว่า “นอกเหนือจากการเกิดและการเลี้ยงดูเด็กแล้ว ความรับผิดชอบที่บิดามารดามีต่อชีวิตลูกๆ ของพวกเขาก็มีแค่จัดเตรียมสิ่งแวดล้อมที่เป็นทางการให้ลูกๆ ได้เจริญเติบโต เพราะไม่มีสิ่งใดนอกจากการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้างที่มีอิทธิพลต่อชะตากรรมของบุคคล ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ว่าบุคคลหนึ่งจะพึงมีอนาคตชนิดใด มันได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว และแม้แต่บิดามารดาของคนเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนเราได้ ในเรื่องของชะตากรรมนั้น ทุกคนเป็นอิสระ และทุกคนมีชะตากรรมของตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีบิดามารดาของใครที่สามารถหยุดยั้งชะตากรรมในชีวิตของคนเรา หรือแสดงอิทธิพลแม้เพียงน้อยนิดต่อบทบาทที่คนเราแสดงในชีวิต อาจกล่าวได้ว่า ครอบครัวที่คนเราถูกลิขิตชะตาให้มาเกิดและสิ่งแวดล้อมที่คนเราเติบโตขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเงื่อนไขล่วงหน้าที่ต้องมีเพื่อการทำให้ภารกิจในชีวิตของคนเรานั้นลุล่วง ไม่ว่าโดยวิธีใด เงื่อนไขเหล่านี้ไม่ได้กำหนดชะตากรรมในชีวิตของบุคคล หรือประเภทของชะตาลิขิตที่บุคคลพึงปฏิบัติภารกิจของพวกเขาให้ลุล่วง และดังนั้น ไม่มีบิดามารดาของใครสามารถช่วยเหลือคนเราให้ทำภารกิจในชีวิตจนสำเร็จลุล่วงได้ และในทำนองเดียวกัน ไม่มีญาติพี่น้องของใครที่สามารถช่วยคนเรารับบทบาทในชีวิตของคนเราได้ วิธีที่คนเราทำภารกิจของตนจนสำเร็จลุล่วงและประเภทของสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่คนเราแสดงบทบาทของคนเราอยู่ภายในนั้น ล้วนถูกกำหนดโดยชะตากรรมในชีวิตของคนเราทั้งหมดทั้งสิ้น พูดอีกอย่างว่า ไม่มีสภาพเงื่อนไขบนพื้นฐานของความเป็นจริงอื่นใดสามารถแสดงอิทธิพลต่อภารกิจของบุคคล ซึ่งถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระผู้สร้าง ผู้คนทั้งมวลกลายมาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวในสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา จากนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ เริ่มออกเดินทางไปบนถนนแห่งชีวิตของพวกเขาเองทีละก้าวๆ และทำให้ชะตาลิขิตต่างๆ ที่พระผู้สร้างได้ทรงวางแผนการไว้ให้พวกเขาลุล่วงได้ ตามธรรมชาติแล้วพวกเขาย่อมเข้าสู่ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งมนุษยชาติอย่างไม่ตั้งใจ และรับตำแหน่งหน้าที่ในชีวิตของตัวเอง ที่ซึ่งพวกเขาเริ่มทำให้ความรับผิดชอบต่างๆ ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นลุล่วงเพื่อประโยชน์แห่งการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง เพื่อประโยชน์แห่งอธิปไตยของพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) “แผนการและความเพ้อฝันของผู้คนนั้นสมบูรณ์แบบ พวกเขาไม่รู้หรือว่าจำนวนบุตรที่พวกเขามี รูปลักษณ์ ความสามารถ และอื่นๆ ของลูกๆ ของพวกเขานั้นหาใช่สิ่งที่พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจไม่ พวกเขาไม่รู้หรือว่าไม่มีส่วนใดในชะตากรรมของลูกๆ ของพวกเขาอยู่ในมือพวกเขา? มนุษย์ไม่ได้เป็นนายแห่งชะตากรรมของตัวพวกเขาเอง ทว่าพวกเขาก็ยังหวังที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนรุ่นเยาว์ พวกเขาไร้พลังอำนาจที่จะหลีกหนีชะตากรรมของตัวเอง ทว่าพวกเขากลับพยายามที่จะควบคุมชะตากรรมของลูกชายและลูกสาว พวกเขาไม่ได้กำลังประเมินตัวเองสูงเกินไปหรอกหรือ? นี่มิใช่ความโง่เขลาเบาปัญญาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์หรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจว่า พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งและมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง และชะตากรรมของผู้คนล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พ่อแม่แค่อยู่ตรงนี้เพื่อฟูมฟักเลี้ยงดูลูกๆ เท่านั้น แต่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมลูกๆ ไม่ได้ ฉันเคยคิดเสมอว่าฉันสามารถควบคุมและมีอิทธิพลต่อชีวิตของลูกได้ คิดว่าลูกจะพบกับความสุขได้ตราบที่ฉันอยู่เคียงข้าง และคิดว่าฉันสามารถนำทางลูกล่องไปตามเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าได้ แต่พอคิดอีกที ฉันควบคุมชะตากรรมของตัวเองยังไม่ได้เลย แล้วจะไปควบคุมชะตากรรมของลูกได้อย่างไร? ฉันเคยคิดถึงข้อเท็จจริงที่ลูกฉันล้มป่วยและหมดสติไปเมื่อสองสามวันก่อน และฉันช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้แกไม่ได้เลย ฉันทำได้แค่อยู่ใกล้ๆ และเฝ้าดู ฉันทำได้เพียงอ้อนวอนพระเจ้าให้ทรงคุ้มครองลูกสาวของฉัน ลูกสาวฉันเคยสะดุดล้มในระหว่างปีนเขาและเกือบหล่นจากหน้าผา ฉันก็ทำอะไรไม่ได้เลย แต่กลับได้รับการช่วยให้รอดราวปาฏิหาริย์จากต้นไม้ที่ยืนต้นตายอยู่ตรงขอบหน้าผา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้ฉันเข้าใจว่า ต่อให้ฉันดูแลลูกของฉันในทุกหนทางที่เป็นไปได้ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าแกจะไม่เจ็บป่วยหรือทนทุกข์จากความวิบัติ ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ภายในพระหัตถ์ของพระเจ้า ความทุกข์ที่บุคคลหนึ่งสู้ทนตลอดครรลองของชีวิตพวกเขา และเส้นทางใดที่พวกเขาเดินนั้น พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว พอฉันเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ฉันก็รู้สึกถึงสำนึกแห่งการปลดปล่อยอย่างใหญ่หลวง ฉันได้ตระหนักว่าฉันควรวางชีวิตของลูกฉันไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง
ต่อมา เมื่อสามีฉันเห็นว่าฉันยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้า เขาก็ตัดสินใจหย่าขาดจากฉัน เขาขอให้ฉันย้ายออกจากบ้านโดยไม่เอาอะไรไปด้วย และไม่ยอมให้สิทธิ์ฉันในการปกครองดูแลลูกสาว เขาถึงกับต้องการเอาสิทธิ์เยี่ยมไปจากฉันด้วย พอฉันถามเขาเกี่ยวกับการแบ่งทรัพย์สิน เขาถึงกับใช้ถ้วยสแตนเลสเคาะศีรษะฉัน ฉันใช้มือปกป้องตัวเอง แต่ข้อมือของฉันก็ฟกช้ำ ซึ่งหมายความว่าฉันไม่สามารถหิ้วของหนักๆ ได้นานกว่าสองเดือน เขายังทุบฉันที่แผ่นหลังไปหลายครั้งอย่างเลวทราม ทำให้ฉันไออย่างรุนแรงอยู่นานกว่าหนึ่งเดือน หลังจากทั้งหมดนั้น เขาก็ยึดเงินเก็บจากการทำงานของฉันไปหลายแสน เขาพูดว่า “คุณเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ไปขอพระเจ้าของคุณให้หาข้าวและน้ำมาให้สิ” พอฉันเห็นสามีทำตัวไม่มีเหตุผลและเลวทรามขนาดนั้น ฉันก็ระลึกได้ถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากมนุษย์โกรธเกรี้ยวและบันดาลโทสะขึ้นมาเมื่อมีการเอ่ยถึงพระเจ้า เขาเคยเห็นพระเจ้าแล้วหรือไร? เขารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าคือใคร? เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าเป็นใคร ไม่เชื่อในพระองค์ และพระเจ้าก็ไม่เคยตรัสกับเขา พระเจ้าไม่เคยสร้างปัญหาให้เขา ดังนั้นเหตุใดเขาจึงต้องโมโห? พวกเราพูดได้หรือไม่ว่าบุคคลผู้นี้เลว? กระแสนิยมทางโลก การกิน การดื่ม และการแสวงหาความหรรษายินดี การไล่ตามคนเด่นคนดัง—ไม่มีสิ่งใดในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่จะทำให้ผู้คนเช่นนั้นรู้สึกทุกข์ร้อน อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการกล่าวถึงคำว่า ‘พระเจ้า’ หรือความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เขาก็บันดาลโทสะขึ้นมา การมีธรรมชาติอันเลวย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? การนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่านี่คือธรรมชาติอันเลวของมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5) สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยได้เปิดโอกาสให้ฉันมองเห็นชัดเจนถึงธรรมชาติชั่วของสามีฉันเรื่องการต้านทานพระเจ้า ในตอนแรกที่สามีฉันได้รู้ว่าฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เขาทำตัวเป็นอริมากเป็นพิเศษ และถึงกับฉีกหนังสือพระวจนะของพระเจ้าของฉัน ต่อมาเขาก็เริ่มพยายามอย่างพลุ่งพล่านที่จะห้ามไม่ให้ฉันเชื่อในพระเจ้า และเขาก็ปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นนักโทษ ไม่ให้อิสรภาพใดกับฉันเลย และมักจะทุบตีฉันอย่างเลวทราม ดูเหมือนเขาต้องการจะฆ่าฉัน พอเราหย่ากันแล้ว เขาก็ยึดสินทรัพย์ทั้งหมดของฉันไป เพื่อบังคับให้ฉันตกอยู่ในความท้อแท้สิ้นหวังและทำให้การใช้ชีวิตของฉันเป็นไปไม่ได้ เป้าหมายของเขาคือการทำให้ฉันทรยศและไม่ยอมรับพระเจ้า ตอนนี้ฉันมองเห็นอย่างชัดเจนถึงธรรมชาติแก่นแท้ของสามีฉัน เขาคือมารที่เกลียดและต้านทานพระเจ้า ฉันกับสามีไม่ได้พูดภาษาเดียวกันเลย การใช้ชีวิตอยู่กับเขานั้น ฉันถูกทุบตี รวมทั้งไม่มีอิสรภาพและถูกจำกัดหวงห้าม นี่ช่างทุกข์ทรมานนัก! นี่สามารถเป็นบ้านได้อย่างไร? เหล่านี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากโซ่ตรวน นี่คือนรก
หลังการหย่าร้าง ฉันก็ไม่ถูกสามีขัดขวางและจำกัดหวงห้ามอีกต่อไป ฉันสามารถไปที่การชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ตามปกติ และฉันก็รับหน้าที่ในคริสตจักรอย่างรวดเร็ว ฉันรู้สึกถึงสำนึกของการปลดปล่อยและความสบายใจอย่างสุดซึ้ง ขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยฉันให้รอด!