42. เหตุที่กล่าวว่าผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยแล้วเท่านั้นจึงมีคุณสมบัติที่จะรับใช้พระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ  พวกที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีวันสามารถรับใช้พระเจ้าได้  หากอุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้รับการพิพากษาและตีสอนโดยพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยของเจ้าก็ยังคงเป็นตัวแทนซาตาน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ารับใช้พระเจ้าโดยเจตนาที่ดีของเจ้าเอง เป็นการพิสูจน์ว่าการปรนนิบัติของเจ้านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเจ้า  เจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยบุคลิกลักษณะตามธรรมชาติของเจ้า และตามความพึงใจส่วนบุคคลของเจ้า  ที่มากไปกว่านั้นคือ เจ้าคิดอยู่เสมอว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเต็มใจทำนั้นคือสิ่งที่น่าปีติยินดีต่อพระเจ้า และคิดว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่อยากทำนั้นคือสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระเจ้า เจ้าทำงานตามความพึงใจของเจ้าเองโดยสิ้นเชิง  การนี้สามารถเรียกว่าเป็นการรับใช้พระเจ้าได้หรือ?  ท้ายที่สุดแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การปรนนิบัติของเจ้าจะทำให้เจ้าดื้อดึงยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าฝังแน่นอย่างล้ำลึก และเมื่อเป็นเช่นนั้น จะมีกฎเกณฑ์ทั้งหลายเกี่ยวกับการปรนนิบัติพระเจ้าที่ขึ้นอยู่กับบุคลิกลักษณะของเจ้าเองเป็นสำคัญ และประสบการณ์ทั้งหลายที่ได้จากการปรนนิบัติของเจ้าตามอุปนิสัยของเจ้าเองก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นภายในตัวเจ้า  เหล่านี้คือประสบการณ์และบทเรียนของมนุษย์  มันคือปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตบนโลกของมนุษย์  ผู้คนเยี่ยงนี้สามารถจัดระดับให้เป็นพวกฟาริสีและพวกเจ้าหน้าที่ทางศาสนาได้  หากพวกเขาไม่ตื่นขึ้นและไม่กลับใจเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นเหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ผู้หลอกลวงผู้คนในยุคสุดท้ายอย่างแน่นอน  เหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทั้งหลายที่พูดถึงนี้จะเกิดขึ้นจากท่ามกลางผู้คนเช่นนั้น  หากบรรดาผู้ที่รับใช้พระเจ้าปฏิบัติตามบุคลิกลักษณะของพวกเขาเองและกระทำตามเจตจำนงของพวกเขาเอง พวกเขาก็มีความเสี่ยงที่จะถูกขับออกไปได้ตลอดเวลา  พวกที่นำประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปีของตนมาใช้ในการรับใช้พระเจ้าเพื่อที่จะชนะใจผู้อื่น เพื่ออบรมสั่งสอนพวกเขาและควบคุมพวกเขา และเพื่ออยู่ในตำแหน่งสูง—และพวกที่ไม่เคยกลับใจ ไม่เคยสารภาพบาปพวกเขา ไม่เคยประกาศสละผลประโยชน์จากตำแหน่ง—ผู้คนเหล่านี้จะต้องล้มลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  พวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกับเปาโล โดยถือสิทธิความอาวุโสของตนและโอ้อวดเรื่องคุณวุฒิของตน  พระเจ้าจะไม่ทรงนำพาผู้คนเยี่ยงนี้ไปสู่การมีความเพียบพร้อม  การปรนนิบัติเช่นนั้นทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก  ผู้คนยึดติดกับสิ่งเก่าๆ ตลอดเวลา  พวกเขายึดติดกับมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายในอดีต กับทุกสิ่งทุกอย่างจากวันเวลาที่ผ่านไปแล้ว  นี่เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ต่อการปรนนิบัติของพวกเขา  หากเจ้าไม่สามารถสลัดสิ่งเหล่านั้นทิ้งไปได้ สิ่งเหล่านี้จะบีบคั้นชีวิตของเจ้าทั้งชีวิต  พระเจ้าจะไม่ทรงชมเชยเจ้า ไม่แม้แต่น้อย ไม่แม้กระทั่งว่าขาของเจ้าจะหักในขณะดำเนินงานหรือหลังของเจ้าจะหักขณะที่ใช้แรง ไม่แม้กระทั่งว่าเจ้าจะพลีชีพในการปรนนิบัติของเจ้าต่อพระเจ้า  ตรงกันข้ามอย่างยิ่ง คือ พระองค์จะตรัสว่า เจ้าเป็นคนทำความชั่วคนหนึ่ง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานปรนนิบัติทางศาสนาต้องได้รับการชำระล้าง

มีการเบี่ยงเบนน้อยกว่ามากในงานของบรรดาผู้ที่ได้ก้าวผ่านการตัดแต่ง การถูกจัดการ การพิพากษา และการตีสอน และการแสดงออกของงานของพวกเขาก็มีความถูกต้องแม่นยำมากกว่ามาก  บรรดาผู้ที่อาศัยความเป็นธรรมชาติของตนในการทำงานทำผิดพลาดค่อนข้างใหญ่หลวง  งานของผู้คนที่ยังไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแสดงออกถึงความเป็นธรรมชาติของพวกเขาเองมากจนเกินไป ซึ่งทำให้เกิดอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ไม่ว่าขีดความสามารถของบุคคลจะดีเพียงใดก็ตาม พวกเขาต้องก้าวผ่านการตัดแต่ง การได้รับการจัดการ และการพิพากษาก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำตามพระบัญชาของพระราชกิจของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  หากพวกเขาไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษาเช่นนั้น งานของเขาก็ไม่อาจสอดคล้องกับหลักธรรมของความจริงได้ไม่ว่างานของเขาจะได้รับการดำเนินการมาดีเพียงใดก็ตาม และเป็นผลผลิตจากความเป็นธรรมชาติและความดีของมนุษย์เสมอ  งานของบรรดาผู้ที่ได้ก้าวผ่านการตัดแต่ง การจัดการ และการพิพากษามีความถูกต้องแม่นยำมากกว่างานของผู้ที่ยังไม่ได้รับการตัดแต่ง การจัดการและการพิพากษา  พวกที่ยังไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษาไม่แสดงออกถึงสิ่งใดเลยนอกจากเนื้อหนังและความคิดของมนุษย์ ซึ่งผสมปนเปด้วยเชาวน์ปัญญาของมนุษย์และความสามารถพิเศษภายในตัวเป็นอันมาก  นี่ไม่ใช่การแสดงออกที่ถูกต้องแม่นยำของมนุษย์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  บรรดาผู้ที่ติดตามผู้คนเช่นนี้ถูกนำมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาด้วยขีดความสามารถภายในตัวของพวกเขา  เพราะพวกเขาแสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและประสบการณ์ของมนุษย์มากเกินไป ซึ่งเกือบจะหลุดจากเจตนารมณ์แต่ดั้งเดิมของพระเจ้าและเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์นั้นไกลจนเกินไป งานของบุคคลชนิดนี้จึงไม่สามารถนำผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แต่กลับนำพวกเขามาอยู่ต่อหน้ามนุษย์แทน  ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอนจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะดำเนินการตามพระบัญชาของพระราชกิจของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น  งานของผู้ทำงานที่มีคุณสมบัติสามารถนำผู้คนไปสู่หนทางที่ถูกต้อง และให้พวกเขาได้รับการเข้าสู่ความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่า  งานของเขาสามารถนำผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  นอกจากนี้ งานที่เขาทำสามารถแตกต่างออกไปตามแต่ละบุคคล และไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้คนได้รับการหลุดพ้นและเสรีภาพ และความสามารถที่จะค่อยๆ เติบโตในชีวิต และที่จะมีการเข้าสู่ความจริงที่ลุ่มลึกยิ่งขึ้น  ส่วนงานของผู้ทำงานที่ไม่มีคุณสมบัตินั้นไม่ถึงมาตรฐานที่ควรเป็นอย่างมาก  งานของเขานั้นโง่เขลา  เขาสามารถนำผู้คนมาสู่กฎเกณฑ์ต่างๆ ได้เท่านั้น และสิ่งที่เขาเรียกร้องจากผู้คนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละบุคคล เขาไม่ได้ทำงานตามความจำเป็นจริงๆ ของผู้คน  ในงานชนิดนี้มีกฎเกณฑ์ต่างๆ มากจนเกินไปและมีหลักทฤษฎีมากจนเกินไป และงานนี้ไม่สามารถนำผู้คนมาสู่ความเป็นจริงได้ อีกทั้งไม่สามารถนำผู้คนเข้าสู่การปฏิบัติปกติของการเติบโตในชีวิตได้  งานนี้สามารถทำได้แค่ให้ผู้คนยึดติดกับกฎเกณฑ์ไร้ค่าไม่กี่ข้อเท่านั้น  การนำเช่นนั้นสามารถนำทางผู้คนให้หลงผิดไปเท่านั้นทำได้แค่นำทางผู้คนให้หลงผิดเท่านั้น  เขานำทางเจ้าให้กลายเป็นเหมือนเขา เขาสามารถนำเจ้าไปสู่สิ่งที่เขามีและเป็น  ในการที่ผู้ติดตามจะหยั่งรู้ได้ว่าผู้นำมีคุณสมบัติหรือไม่นั้น กุญแจสำคัญคือการดูที่เส้นทางที่พวกเขานำทางและผลลัพธ์ของการทำงานของเขา และมองเห็นว่าผู้ติดตามได้รับหลักธรรมตามความจริงหรือไม่ และพวกเขาได้รับวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับการแปลงสภาพของพวกเขาหรือไม่  เจ้าควรจำแนกความแตกต่างระหว่างงานที่แตกต่างกันของผู้คนชนิดที่แตกต่างกัน เจ้าไม่ควรเป็นผู้ติดตามที่โง่เขลา  นี่ส่งผลกระทบต่อเรื่องการเข้าสู่ของผู้คน  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะจำแนกความแตกต่างว่าการเป็นผู้นำของบุคคลใดมีเส้นทางและของบุคคลใดไม่มี เจ้าจะถูกหลอกลวงได้โดยง่าย  ทั้งหมดนี้มีผลโดยตรงต่อชีวิตของเจ้าเอง  มีความเป็นธรรมชาติมากเกินไปในงานของผู้คนที่ไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม งานนั้นผสมผสานด้วยเจตจำนงของมนุษย์มากจนเกินไป  สิ่งที่พวกเขาเป็นคือความเป็นธรรมชาติ—สิ่งที่มาพร้อมกับที่พวกเขาเกิด นั่นไม่ใช่ชีวิตหลังจากที่ได้รับการจัดการแล้วหรือความเป็นจริงหลังจากที่ได้รับการแปลงสภาพแล้ว  บุคคลเช่นนั้นจะสามารถสนับสนุนผู้ที่กำลังไล่ตามเสาะหาชีวิตได้อย่างไร?  ชีวิตที่มนุษย์คนนั้นมีโดยดั้งเดิมแล้วคือเชาว์ปัญญาหรือความสามารถพิเศษภายในตัวของเขา  เชาว์ปัญญาหรือความสามารถพิเศษประเภทนี้ค่อนข้างไกลห่างจากสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องอย่างแท้จริงจากมนุษย์  หากมนุษย์ไม่ได้ผ่านการทำให้มีความเพียบพร้อมและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเขาไม่ได้ผ่านการตัดแต่งและจัดการ จะมีช่องว่างอันกว้างใหญ่ระหว่างสิ่งที่เขาแสดงออกและความจริง  สิ่งที่เขาแสดงออกจะผสมผสานด้วยสิ่งที่คลุมเครือ เช่น จินตนาการและประสบการณ์ด้านเดียวของเขา  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าเขาจะทำงานอย่างไรก็ตาม ผู้คนจะรู้สึกว่าไม่มีเป้าหมายโดยรวมและไม่มีความจริงที่เหมาะสมสำหรับการเข้าสู่ของผู้คนทั้งปวง  ในสิ่งที่เรียกร้องจากผู้คนนั้น ส่วนใหญ่แล้วเกินความสามารถของพวกเขา เสมือนว่าพวกเขาเป็นเป็ดที่ถูกบังคับให้นั่งบนคอน  นี่คืองานจากเจตจำนงของมนุษย์  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์ ความคิดของเขา และมโนคติที่หลงผิดของเขาแผ่ซ่านไปทุกส่วนในร่างกายเขา  มนุษย์ไม่ได้เกิดมาพร้อมสัญชาตญาณที่จะปฏิบัติตามความจริง อีกทั้งเขาไม่มีสัญชาตญาณที่จะเข้าใจความจริงโดยตรง  นอกจากนั้นยังมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์—เมื่อบุคคลที่เป็นธรรมชาติประเภทนี้ทำงาน การนั้นไม่ก่อให้เกิดการหยุดชะงักหรือ?  แต่มนุษย์ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วนั้นมีประสบการณ์ของความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจ และความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยที่เสื่อมทรามทั้งหลายของพวกเขา เพื่อที่สิ่งที่คลุมเครือและไม่เป็นจริงในงานของเขาจะค่อยๆ ลดลงไป การมีสิ่งเจือปนของมนุษย์กลายเป็นน้อยลง และการทำงานและการรับใช้ของเขาเข้ามาใกล้เคียงกับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ดังนั้น งานของเขาได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และมันยังได้กลายเป็นเหมือนจริงด้วยเช่นกัน  ความคิดในจิตใจของมนุษย์สกัดกั้นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพิเศษ  มนุษย์มีจินตนาการอันอุดมและตรรกะอันมีเหตุผล และเขาได้มีประสบการณ์อันยาวนานในการจัดการกิจการต่างๆ  หากแง่มุมเหล่านี้ของมนุษย์ไม่ได้ก้าวผ่านการตัดแต่งและการแก้ไข ทั้งหมดก็เป็นอุปสรรคต่อพระราชกิจ  ดังนั้น งานของมนุษย์จึงไม่สามารถสัมฤทธิ์ความถูกต้องแม่นยำในระดับที่สูงที่สุดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานของผู้คนที่ไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

ผู้ที่อุปนิสัยของตนเปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้นย่อมรู้สึกเคารพพระเจ้า และความเป็นกบฏของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าย่อมค่อยๆ ลดทอนลง  ที่มากกว่านั้นก็คือ ในการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงนั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาคอยเป็นห่วงพวกเขาอีกต่อไป อีกทั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่จำเป็นต้องทรงพระราชกิจบ่มวินัยพวกเขาอยู่เสมอ  โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้า และทัศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งทั้งหลายก็สอดคล้องกับความจริง  ทั้งหมดนี้รวมแล้วก็คือการได้กลายมาเป็นเข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว  สมมุติว่ามีคนมอบงานบางอย่างแก่เจ้า  เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบริหารจัดการเจ้า ควบคุมดูแลเจ้า  เจ้าสามารถทำงานนี้ให้เสร็จโดยใช้เพียงพระวจนะของพระเจ้าและการอธิษฐานเท่านั้น  ระหว่างที่ทำงานนี้ เจ้าไม่สุกเอาเผากินหรือโอหัง หรือคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และเจ้าก็ไม่ได้ทำสิ่งต่างๆ ในแนวทางของเจ้าเอง เจ้าไม่ได้บีบคั้นใครอื่น และเจ้าก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความสงสารเห็นใจ  เจ้าสามารถช่วยให้ทุกคนได้มาซึ่งเสบียงและผลประโยชน์ และเจ้าสามารถนำผู้คนเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ทำงานนี้อยู่ เจ้าก็ไม่แสวงหาสถานะหรือผลประโยชน์ให้แก่ตัวเจ้าเอง ไม่รับเอาสิ่งที่เจ้าไม่สมควรได้ไว้กับตน ไม่พูดจาเข้าข้างตัวเอง และไม่ว่าใครจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร เจ้าก็ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม  เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะค่อนข้างดี  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครสักคนจะรับมอบงานบางอย่างและพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  นี่ไม่อาจทำได้หากปราศจากความเป็นจริงของความจริง  มีหลายคนที่พึ่งพาพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ในการทำงานแล้วล้มลงและล้มเหลว  แน่นอนที่สุดว่าผู้คนที่ไม่มีความจริงย่อมเชื่อถือไม่ได้ หากพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนก็ยิ่งเชื่อถือไม่ได้เข้าไปใหญ่

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้

ผู้คนที่ได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงหนึ่งในอุปนิสัยของพวกเขานั้นแตกต่างไป กล่าวคือ พวกเขาได้เข้าใจความจริงแล้ว พวกเขากำลังหยั่งรู้ประเด็นปัญหาทั้งหมด พวกเขารู้วิธีที่จะปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า วิธีที่จะปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง และวิธีที่จะปฏิบัติตนให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และพวกเขาเข้าใจธรรมชาติของความเสื่อมทรามที่พวกเขาจัดแสดง  เมื่อแนวคิดและมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเองได้รับการเปิดเผย พวกเขาสามารถหยั่งรู้และละทิ้งเนื้อหนังได้  นี่คือวิธีที่การเปลี่ยนแปลงหนึ่งในอุปนิสัยถูกสำแดงออกมา  การสำแดงหลักของผู้คนที่ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยแล้วก็คือการที่พวกเขาเข้าใจความจริงอย่างชัดเจนแล้ว และเมื่อดำเนินการสิ่งทั้งหลาย พวกเขานำความจริงไปปฏิบัติด้วยความถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นและพวกเขาไม่จัดแสดงความเสื่อมทรามบ่อยครั้งอย่างที่เป็นมา  โดยทั่วไป บรรดาผู้ที่อุปนิสัยของพวกเขาได้แปลงสภาพไปแล้วนั้นดูเหมือนจะมีเหตุผลและหยั่งรู้เป็นพิเศษ และเนื่องจากการเข้าใจความจริงของพวกเขา พวกเขาไม่แสดงความชอบคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอหรือความโอหังมากอย่างแต่ก่อน  พวกเขาสามารถมองทะลุและหยั่งรู้ความเสื่อมทรามมากมายที่ถูกเปิดเผยไปแล้ว ดังนั้นในตัวพวกเขาจึงไม่เกิดความโอหัง  พวกเขาสามารถมีการจับความเข้าใจที่ผ่านการประเมินวัดเกี่ยวกับสิ่งซึ่งเป็นที่ทางที่พวกเขาควรอยู่ และสิ่งทั้งหลายซึ่งมีเหตุผลที่พวกเขาควรทำ เกี่ยวกับวิธีรับผิดชอบต่อหน้าที่ เกี่ยวกับสิ่งที่จะพูดและสิ่งที่จะไม่พูด และเกี่ยวกับสิ่งที่จะพูดและสิ่งที่จะทำกับผู้คนแบบใด  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนที่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วจึงค่อนข้างมีเหตุผล และมีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์อย่างแท้จริง  เนื่องจากพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาจึงสามารถกล่าวและมองเห็นสิ่งทั้งหลายอย่างสอดคล้องกับความจริง และพวกเขามีหลักธรรมในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของบุคคล เรื่อง หรือสิ่งของ และพวกเขาทั้งหมดมีทัศนะของพวกเขาเองและสามารถค้ำจุนหลักธรรมความจริงทั้งหลายได้  อุปนิสัยของพวกเขาจะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างมั่นคง พวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา และไม่สำคัญว่ารูปการณ์แวดล้อมของพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเขาก็เข้าใจวิธีทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสมและวิธีที่จะประพฤติตนให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  อันที่จริงแล้ว บรรดาผู้ที่อุปนิสัยของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้นไม่มุ่งเน้นสิ่งซึ่งจะทำภายนอกเพื่อให้ผู้อื่นคิดดีกับพวกเขา พวกเขาได้รับความชัดเจนภายในเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำเพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เพราะฉะนั้น จากภายนอกแล้ว พวกเขาอาจไม่ดูเหมือนว่มีใจกระตือรือร้นมากนักหรือได้ทำสิ่งใดที่สำคัญ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นมีความหมาย มีคุณค่า และให้ผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยย่อมครองความเป็นจริงความจริงเป็นอันมากอย่างแน่นอน และการนี้สามารถยืนยันได้โดยมุมมองเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายของพวกเขาและหลักธรรมแห่งการกระทำของพวกเขา  แน่นอนที่สุดว่าผู้ที่ยังไม่ได้รับความจริงนั้นยังไม่สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตแต่อย่างใด

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

ในศาสนา ผู้คนมากมายทนทุกข์อย่างมากมายตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา กล่าวคือ พวกเขาอยู่เหนือร่างกายของพวกเขาเอง และแบกทุกข์ของตน พวกเขายังแม้แต่ทนทุกข์และสู้ทนต่อไปเมื่ออยู่บนปากเหวแห่งความตาย!  บางคนยังคงกำลังอดอาหารในตอนเช้าของวันที่พวกเขาตาย  ทั้งชีวิตของพวกเขา พวกเขาปฏิเสธไม่ให้ตัวเองได้รับอาหารและเสื้อผ้าดีๆ และมุ่งเน้นที่ความทุกข์เท่านั้น  พวกเขาสามารถอยู่เหนือร่างกายของพวกเขาได้และละทิ้งเนื้อหนังของพวกเขา  จิตใจที่พวกเขามีให้กับการสู้ทนความทุกข์ช่างน่ายกย่อง  แต่ความคิดของพวกเขา มโนคติอันหลงผิดของพวกเขา ทัศนคติทางใจของพวกเขา และโดยแท้จริงแล้ว ธรรมชาติเก่าๆ ของพวกเขา ยังไม่ได้ถูกจัดการเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาขาดพร่องความรู้ที่แท้จริงใดๆ เกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง  ภาพในใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นภาพแบบดั้งเดิมที่มีพระเจ้าที่คลุมเครือ  ความแน่วแน่ที่จะทนทุกข์เพื่อพระเจ้าของพวกเขามาจากความกระตือรือร้นและบุคลิกลักษณะที่ดีของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาก็ทั้งไม่เข้าใจพระองค์หรือรู้น้ำพระทัยของพระองค์  พวกเขาเพียงทำงานและทนทุกข์อย่างหูหนวกตาบอดเพื่อพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขาไม่ให้คุณค่าใดๆ กับการหยั่งรู้เลย ใส่ใจวิธีการทำให้แน่ใจว่าการรับใช้ของพวกเขาทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงจริงๆ เพียงเล็กน้อย  นับประสาอะไรที่พวกเขาจะตระหนักรู้วิธีการสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า  พระเจ้าที่พวกเขารับใช้ไม่ใช่พระเจ้าในพระฉายาเนื้อแท้ภายในของพระองค์ แต่เป็นพระเจ้าที่พวกเขาได้จินตนาการ พระเจ้าผู้ที่พวกเขาเพียงแค่เคยได้ยินหรือตำนานเกี่ยวกับผู้ที่พวกเขาเคยได้อ่านในงานเขียนเท่านั้น  แล้วพวกเขาก็ใช้จินตนาการอันกว้างไกลและความเคร่งศาสนาของพวกเขาในการทนทุกข์เพื่อพระเจ้า และปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์จะปฏิบัติ  การรับใช้ของพวกเขาคลาดเคลื่อนเกินไป จนกระทั่งไม่มีพวกเขาคนใดที่มีความสามารถที่จะรับใช้โดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงในทางปฏิบัติเลย  ไม่ว่าพวกเขาจะยินดีทนทุกข์อย่างไรก็ตาม มุมมองแต่เดิมของพวกเขาเกี่ยวกับการรับใช้และภาพในใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะพวกเขายังไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน กระบวนการถลุง และการทำให้มีความเพียบพร้อมจากพระเจ้า อีกทั้งไม่มีใครคนใดเคยนำพวกเขาโดยใช้ความจริง  ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด ก็ไม่มีพวกเขาคนใดที่เคยพบเห็นพระผู้ช่วยให้รอด  พวกเขาเพียงรู้จักพระองค์โดยผ่านทางตำนานและคำบอกเล่าเท่านั้น  ดังนั้น การรับใช้ของพวกเขารวมกันแล้วไม่มากกว่าการปิดตารับใช้ไปอย่างไร้แบบแผน ราวกับคนตาบอดที่รับใช้บิดาของเขาเอง  ถึงที่สุดแล้ว การรับใช้เช่นนั้นสามารถสัมฤทธิ์ผลสิ่งใดได้บ้าง?  และผู้ใดจะเห็นชอบกับการรับใช้เช่นนั้น?  การรับใช้ของพวกเขายังคงเหมือนเดิมตลอดมาตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด พวกเขาได้รับเพียงบทเรียนที่มนุษย์สร้างขึ้น และอิงการรับใช้ของพวกเขาบนความเป็นธรรมชาติของพวกเขาและความชอบของพวกเขาเองเท่านั้น  สิ่งนี้จะสามารถให้รางวัลใด?  แม้กระทั่งเปโตร ผู้ซึ่งได้มองเห็นพระเยซู ก็ยังไม่รู้วิธีการรับใช้ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เขาเพียงมารู้ถึงการนี้ในท้ายที่สุดในวัยชราของเขา  นี่บอกอะไรเกี่ยวกับผู้คนตาบอดที่ยังไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการจัดการหรือการได้รับการตัดแต่งแม้แต่น้อย และผู้ที่ไม่เคยมีผู้ใดนำพวกเขา?  การรับใช้ของผู้คนมากมายในหมู่พวกเจ้าในวันนี้ไม่เหมือนกับของผู้คนที่ตาบอดเหล่านี้หรือ?  ผู้คนทั้งหมดที่ยังไม่ได้รับการพิพากษา ยังไม่ได้รับการตัดแต่งและการจัดการ และผู้ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง—พวกเขาทั้งหมดไม่ได้ถูกพิชิตอย่างไม่ครบบริบูรณ์หรือ?  ผู้คนเช่นนั้นมีประโยชน์อันใดกัน?  หากความคิดของเจ้า ความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับชีวิต และความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าไม่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงใหม่ใดๆ และเจ้าไม่ได้รับสิ่งใดอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะไม่มีวันสัมฤทธิ์สิ่งใดที่ยอดเยี่ยมในการรับใช้ของเจ้า!  หากปราศจากนิมิตและความรู้ใหม่เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าย่อมไม่ถูกพิชิต  แล้ววิธีการติดตามพระเจ้าของเจ้าก็จะเหมือนกับผู้ที่ทนทุกข์และอดอาหาร นั่นคือ มีคุณค่าเพียงน้อยนิด!  เป็นที่แน่แท้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำมีคำพยานเพียงน้อยนิด เราจึงพูดว่าการรับใช้ของพวกเขาไร้ประโยชน์!  ผู้คนเหล่านั้นทนทุกข์และใช้เวลาอยู่ในคุกตลอดชีวิตของพวกเขา พวกเขาอดกลั้น รักใคร่เสมอมา และพวกเขาแบกกางเขนเสมอมา พวกเขาถูกเยาะเย้ยถากถางและถูกปฏิเสธจากโลก พวกเขาได้รับประสบการณ์กับความยากลำบากทุกอย่าง และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อฟังจนถึงที่สิ้นสุด แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ถูกพิชิต และไม่สามารถเสนอคำพยานใดๆ ต่อการถูกพิชิตได้  พวกเขาได้ทนทุกข์มากมาย แต่ภายใน พวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าเลย  ความคิดเก่าๆ มโนคติอันหลงผิดเก่าๆ การปฏิบัติทางศาสนา ความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น และแนวความคิดในแบบมนุษย์ของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดเลยที่เคยได้รับการจัดการ  ไม่มีเค้าของความรู้ใหม่ๆ ในตัวพวกเขาเลยแม้แต่น้อย  ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าไม่มีแม้สักเสี้ยวที่แท้จริงหรือถูกต้องแม่นยำ  พวกเขาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าผิด  นี่คือการรับใช้พระเจ้าหรือ?  ไม่ว่าความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าในอดีตจะเป็นอย่างไรก็ตาม หากความรู้นั้นยังคงเหมือนเดิมในวันนี้และเจ้ายังคงใช้มโนคติอันหลงผิดและแนวคิดของเจ้าเองเป็นพื้นฐานความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าต่อไป ไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติสิ่งใดก็ตาม กล่าวคือ หากเจ้ายังไม่มีความรู้ใหม่ๆ ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และหากเจ้ายังล้มเหลวที่จะรู้จักพระฉายาและพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า หากความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงถูกนำด้วยความคิดตามระบบศักดินาและที่เป็นไสยศาสตร์ และยังคงเกิดขึ้นจากจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์อยู่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังไม่ได้ถูกพิชิต  วจนะมากมายทั้งหมดที่เราพูดกับเจ้าบัดนี้ มุ่งหมายเพื่อให้เจ้ารู้ เพื่อให้ความรู้นี้นำทางเจ้าสู่ความรู้ใหม่กว่าที่ถูกต้องแม่นยำ  วจนะเหล่านี้ยังมุ่งหมายที่จะกำจัดมโนคติอันหลงผิดเก่าๆ และความรู้เก่าๆ ในตัวเจ้าด้วยเช่นกัน เพื่อที่เจ้าอาจมีความรู้ใหม่ๆ ได้  หากเจ้ากินและดื่มวจนะของเราจริงๆ เช่นนั้นแล้วความรู้ของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก  ตราบเท่าที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าด้วยหัวใจแห่งความเชื่อฟัง เช่นนั้นแล้วมุมมองของเจ้าก็จะพลิกกลับ  ตราบเท่าที่เจ้าสามารถยอมรับการตีสอนซ้ำๆ ได้ วิธีการคิดเก่าๆ ของเจ้าก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป  ตราบเท่าที่วิธีการคิดเก่าๆ ของเจ้าถูกแทนที่อย่างถ้วนทั่วด้วยวิธีการคิดใหม่ๆ การปฏิบัติของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสอดคล้องเช่นกัน  ด้วยวิธีนี้ การรับใช้ของเจ้าจะตรงเป้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ และสามารถทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (3)

ในสายพระเนตรของพระเจ้า ทุกสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคนทำนั้นขัดต่อความจริง ไม่อาจเข้ากันได้กับพระวจนะของพระเจ้า และเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์  พวกเจ้าอาจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน และกล่าวว่า “พวกเรารับใช้พระเจ้า นมัสการพระเจ้า ทำหน้าที่ของเราในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเราทำอะไรตั้งมากมายที่ล้วนสอดคล้องกับพระวจนะและสิ่งที่พระเจ้ามีพระประสงค์ และเป็นไปในแนวเดียวกับงานบริหารจัดการ  แล้วจะบอกว่าพวกเราต่อต้านและทรยศพระเจ้าได้อย่างไร?  ทำไมพระองค์ถึงทำลายความกระตือรือร้นของพวกเราตลอด?  พวกเรายอมทิ้งครอบครัวและหน้าที่การงานด้วยความยากลำบากมากและมุ่งมั่นที่จะติดตามพระเจ้า  แล้วพระองค์ตรัสถึงพวกเราแบบนี้ได้อย่างไร?”  เป้าหมายของการพูดเช่นนี้ก็เพื่อดูให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าใจความจริง ไม่ใช่ว่าใครบางคนทำตัวค่อนข้างดี ยอมทิ้งอะไรบางอย่าง หรือทนทุกข์ความลำบากยากเย็นบางอย่างแล้วจะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติที่ทรยศของพวกเขา  ไม่มีทาง!  การทนทุกข์เป็นเรื่องที่จำเป็นเหมือนการที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่ได้หมายความว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่มีอยู่อีกต่อไปเพียงเพราะเจ้าสามารถทนทุกข์หรือปฏิบัติหน้าที่ได้  นี่เป็นเพราะไม่มีสักคนที่เกิดความเปลี่ยนแปลงจริงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต และทุกคนยังคงห่างไกลจากการสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าและเป็นไปตามที่พระองค์มีพระประสงค์  ความเชื่อในพระเจ้าของผู้คนปนเปื้อนเกินไป พวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมากเกินไป  ถึงแม้ผู้นำและคนทำงานหลายคนจะรับใช้พระเจ้า แต่พวกเขาก็ต่อต้านพระองค์เช่นกัน  เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพวกเขาจงใจต่อต้านพระวจนะของพระเจ้าและไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์  พวกเขาจงใจละเมิดความจริง ยืนกรานที่จะทำตัวตามเจตจำนงของตนเองเพื่อที่จะสัมฤทธิ์เจตนาและจุดมุ่งหมายของพวกเขา เพื่อที่จะทรยศพระเจ้าและก่อตั้งอาณาจักรอิสระของพวกเขาเองที่ซึ่งอะไรๆ เป็นไปตามที่พวกเขาพูด  นี่คือความหมายของการรับใช้พระเจ้าแต่ก็ต่อต้านพระองค์ด้วย  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจหรือยัง?

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เส้นทางปฏิบัติไปสู่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา

ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงและเริ่มที่จะรักความจริงจากภายในตัวเจ้าเอง เจ้าก็จะพบว่าการทำสิ่งทั้งหลายตามความจริงนั้นง่าย  เจ้าจะทำหน้าที่ของเจ้าและปฏิบัติความจริงไปตามปกติ—โดยไม่ต้องใช้ความพยายามและทำอย่างชื่นบานด้วยซ้ำ และเจ้าจะรู้สึกว่าการทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นลบย่อมต้องใช้ความพยายามอย่างมาก  นี่เป็นเพราะความจริงมีบทบาทครอบครองหัวใจของเจ้าแล้ว  หากเจ้าเข้าใจความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีเส้นทางให้ติดตามว่าจะเป็นบุคคลประเภทใด ทำอย่างไรจึงจะเป็นบุคคลที่สุจริตและตรงไปตรงมา บุคคลที่ซื่อสัตย์ และเป็นใครบางคนที่เป็นพยานให้พระเจ้าและรับใช้พระองค์  และทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงเหล่านี้ เจ้าก็จะไม่มีวันสามารถก่อเรื่องชั่วที่ท้าทายพระองค์ได้อีก อีกทั้งเจ้าจะไม่แสดงบทบาทของผู้นำเทียมเท็จ คนงานเทียมเท็จ หรือศัตรูของพระคริสต์อีกเลย  ต่อให้ซาตานหลอกลวงเจ้า หรือใครบางคนที่ชั่วร้ายยุยงเจ้า เจ้าก็จะไม่ทำการนั้น ไม่สำคัญว่าผู้ใดพยายามที่จะบีบบังคับเจ้า เจ้าก็จะยังคงไม่กระทำหนทางนั้น  หากผู้คนได้มาซึ่งความจริง และความจริงกลายเป็นชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็จะสามารถเกลียดความชั่วและรู้สึกถึงความขยะแขยงจากภายในที่มีต่อสิ่งที่เป็นเชิงลบทั้งหลาย  นั่นคงจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะก่อความชั่ว เพราะอุปนิสัยชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และพวกเขาได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

ผู้ใกล้ชิดพระเจ้าเท่านั้นที่คู่ควรรับใช้พระองค์

ก่อนหน้า: 41. วิธีรับใช้และเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าตามเจตนารมณ์ของพระองค์

ถัดไป: 44. เหตุที่คนเราต้องแสวงหาเพื่อรู้จักพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger