40. การยกชูและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

สิ่งที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์และได้เห็นนั้นเหนือกว่าที่เหล่าวิสุทธิชนและเหล่าผู้เผยพระวจนะทั้งหลายจากทุกยุค แต่พวกเจ้าสามารถให้คำพยานได้ดีกว่าถ้อยคำของเหล่าวิสุทธิชนและเหล่าผู้เผยพระวจนะในอดีตกาลเหล่านี้หรือไม่?  สิ่งที่เรามอบให้แก่พวกเจ้านั้นเหนือกว่าโมเสสและบดบังดาวิด ดังนั้น ในทำนองเดียวกันนี้ เราขอให้คำพยานของพวกเจ้าเหนือกว่าโมเสส และให้ถ้อยคำของพวกเจ้ายิ่งใหญ่กว่าดาวิด  เราให้พวกเจ้าเป็นร้อยเท่า—ดังนั้น ในทำนองเดียวกันนี้ เราขอให้พวกเจ้าตอบแทนเราในแบบเดียวกัน  พวกเจ้าต้องรู้ไว้ว่าเราคือผู้ที่มอบชีวิตให้แก่มวลมนุษย์ และพวกเจ้าคือผู้ที่ได้รับชีวิตจากเรา และต้องเป็นพยานให้เรา  นี่คือหน้าที่ของพวกเจ้าที่เราได้ส่งลงมายังพวกเจ้า และที่พวกเจ้าควรจะต้องทำให้แก่เรา เราได้มอบสง่าราศีของเราทั้งหมดให้แก่พวกเจ้า  เราได้มอบชีวิตให้แก่พวกเจ้า ซึ่งประชากรที่ถูกเลือก นั่นคือ พวกอิสราเอล ก็ไม่เคยได้รับมาก่อน ด้วยสิทธิ์ทั้งหลายนี้ พวกเจ้าควรจะต้องเป็นพยานต่อเรา และอุทิศวัยเยาว์ของพวกเจ้าให้เราและสละชีวิตลง  ไม่ว่าใครก็ตามที่เราได้มอบสง่าราศีของเราให้ จะต้องเป็นพยานให้เรา และมอบชีวิตของพวกเขาให้เรา  เราได้กำหนดเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้านานแล้ว  เป็นโชควาสนาของพวกเจ้าที่เรามอบสง่าราศีของเราให้แก่พวกเจ้า และหน้าที่ของพวกเจ้าคือเป็นพยานให้สง่าราศีของเรา  หากพวกเจ้าเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้รับพร เช่นนั้นแล้วงานของเราก็จะมีความสำคัญน้อยนิด และพวกเจ้าก็จะไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกอิสราเอลได้เห็นเพียงความกรุณา ความรัก และความยิ่งใหญ่ของเราเท่านั้น และพวกยิวได้เป็นพยานเฉพาะความอดทนและการไถ่ของเราเท่านั้น  พวกเขาได้เห็นงานแห่งวิญญาณของเราน้อยนิดยิ่งนัก จนถึงจุดที่ว่าพวกเขามีความเข้าใจเพียงหนึ่งในหมื่นของสิ่งที่พวกเจ้าได้รู้และได้เห็น  สิ่งที่พวกเจ้าได้เห็นนั้นมากเกินกว่าแม้กระทั่งหัวหน้าปุโรหิตในหมู่พวกเขา ความจริงที่พวกเจ้าเข้าใจวันนี้เหนือกว่าของพวกเขา สิ่งที่พวกเจ้าได้เห็นวันนี้มากเกินกว่าสิ่งที่ได้พบเห็นกันในยุคธรรมบัญญัติ รวมทั้งในยุคพระคุณ และสิ่งที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์นั้นเหนือกว่าแม้กระทั่งโมเสสและเอลียาห์  เนื่องจากสิ่งที่พวกอิสราเอลเข้าใจคือเฉพาะธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์เท่านั้น  และสิ่งที่พวกเขาได้เห็นคือเฉพาะภาพของพระปฤษฎางค์ของพระยาห์เวห์เท่านั้น สิ่งที่พวกยิวเข้าใจคือเฉพาะการไถ่ของพระเยซูเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาได้รับไว้คือเฉพาะพระคุณที่พระเยซูประทานให้เท่านั้น และสิ่งที่พวกเขาได้เห็นคือเฉพาะพระฉายาของพระเยซูภายในวงศ์ของพวกยิวเท่านั้น  สิ่งที่พวกเจ้าเห็นในปัจจุบันคือพระสิริของพระยาห์เวห์ การไถ่ของพระเยซู และกิจการทั้งหมดของเราในวันนี้  ดังนั้น พวกเจ้าได้ยินวจนะแห่งวิญญาณของเราด้วยหรือไม่ ได้ซึ้งคุณค่ากับปัญญาของเราหรือไม่ ได้มารู้จักการอัศจรรย์ของเราหรือไม่ และได้เรียนรู้อุปนิสัยของเราหรือไม่ เรายังได้บอกพวกเจ้าถึงแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของเราด้วยเช่นกัน  สิ่งที่พวกเจ้าได้เห็นไม่ใช่แค่พระเจ้าที่รักและเมตตาเท่านั้น แต่คือพระเจ้าผู้เพียบพร้อมด้วยความชอบธรรม  เจ้าได้เห็นงานอันอัศจรรย์ของเรา และได้รู้ว่าเราเปี่ยมด้วยบารมีและความโกรธเคือง  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้ารู้ว่าครั้งหนึ่งเราได้โกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงต่อวงศ์ของอิสราเอล และรู้ว่าวันนี้ ความโกรธเคืองนั้นได้มาถึงพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าเข้าใจความล้ำลึกของเราในฟ้าสวรรค์มากกว่าอิสยาห์และยอห์น พวกเจ้ารู้จักความน่ารักน่าชื่นชมและความควรค่าแก่การเคารพเทิดทูนของเรามากกว่าเหล่าวิสุทธิชนทั้งหมดในหลายยุคที่ผ่านมา  สิ่งที่พวกเจ้าได้รับไว้ไม่ใช่เพียงแค่ความจริงของเรา วิถีของเรา และชีวิตของเราเท่านั้น หากแต่เป็นนิมิตและการวิวรณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านิมิตและการวิวรณ์ของยอห์น พวกเจ้าเข้าใจการอัศจรรย์มากกว่ามาก และยังได้มองดูโฉมหน้าแท้จริงของเราอีกด้วย พวกเจ้าได้ยอมรับคำพิพากษาของเรามากกว่า และรู้อุปนิสัยอันชอบธรรมของเรามากกว่า  และดังนั้น แม้ว่าพวกเจ้าจะถือกำเนิดในยุคสุดท้าย ความเข้าใจของพวกเจ้าก็เป็นความเข้าใจของแต่ก่อนและของอดีต และพวกเจ้ายังได้รับประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายในปัจจุบันนี้ด้วย และนั่นเป็นการกระทำโดยเราเองด้วยตัวเราเองโดยเฉพาะทั้งหมด  สิ่งที่เราขอจากพวกเจ้าไม่ได้มากเกินไป เพราะเราได้ให้พวกเจ้ามากเหลือเกิน และพวกเจ้าได้เห็นมากมายหลายอย่างในเรา  ด้วยเหตุนี้ เราขอให้เจ้าเป็นพยานให้เราต่อเหล่าวิสุทธิชนในหลายยุคที่ผ่านมา และนี่คือความปรารถนาเพียงอย่างเดียวในหัวใจของเรา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?

พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน เพื่อที่มนุษย์อาจได้รับความรู้เกี่ยวกับพระองค์ และเพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์  หากปราศจากการพิพากษาของพระองค์ต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์แล้ว มนุษย์คงไม่อาจสามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ซึ่งไม่ยินยอมให้มีการล่วงเกินอันใดได้ อีกทั้งมนุษย์คงจะไม่สามารถเปลี่ยนความรู้เก่าๆ ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าให้กลายเป็นความรู้ใหม่ได้  เพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์ และเพื่อประโยชน์ของการบริหารจัดการของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์เป็นสิ่งที่รู้กันโดยทั่วไป ดังนั้นจึงทำให้มนุษย์สามารถมาถึงจุดที่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ได้รับการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของเขา และเป็นคำพยานที่ดังกึกก้องต่อพระเจ้าได้โดยผ่านทางการทรงปรากฏต่อสาธารณะของพระองค์  การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการทำให้สัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางพระราชกิจหลากหลายประเภทที่แตกต่างกันของพระเจ้า หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขาเช่นนั้นแล้ว มนุษย์คงจะไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและสมดั่งพระทัยของพระเจ้าได้  การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์แสดงนัยสำคัญว่ามนุษย์ได้ทำให้ตัวเขาเองเป็นอิสระจากพันธนาการของซาตานและจากอิทธิพลของความมืด และได้กลายเป็นแม่แบบ และวัตถุตัวอย่างของพระราชกิจของพระเจ้า พยานของพระเจ้า และผู้ที่สมดั่งพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง  ในวันนี้ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้เสด็จมากระทำพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และพระองค์ทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์สัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระองค์ การเชื่อฟังต่อพระองค์ คำพยานต่อพระองค์ เพื่อให้รู้จักพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและปกติของพระองค์ เพื่อให้เชื่อฟังพระวจนะและพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ซึ่งไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และเพื่อเป็นคำพยานต่อพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด รวมทั้งกิจการทั้งหมดที่พระองค์ทรงสำเร็จลุล่วงเพื่อพิชิตมนุษย์  บรรดาผู้ที่เป็นคำพยานต่อพระเจ้าต้องมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่ถูกต้องแม่นยำและเป็นจริง และคำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ซาตานอับอายได้  พระเจ้าทรงใช้บรรดาผู้ที่ได้มารู้จักพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอน การจัดการ และการตัดแต่งของพระองค์ เพื่อเป็นคำพยานต่อพระองค์  พระองค์ทรงใช้พวกที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามให้เป็นคำพยานต่อพระองค์ และเช่นเดียวกัน พระองค์จึงทรงใช้บรรดาผู้ที่อุปนิสัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และผู้ที่ได้รับพรของพระองค์จากการเปลี่ยนแปลงนั้น เพื่อเป็นคำพยานต่อพระองค์  พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงให้มนุษย์สรรเสริญพระองค์ด้วยปากของเขา อีกทั้งพระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงได้รับการสรรเสริญและคำพยานจากผู้คนจำพวกของซาตาน ผู้ซึ่งยังไม่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์  เฉพาะบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นคำพยานต่อพระองค์ และเฉพาะบรรดาผู้ที่ได้มีการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของพวกเขาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นคำพยานต่อพระองค์  พระเจ้าจะไม่ทรงยินยอมด้วยความตั้งพระทัยให้มนุษย์นำความอับอายมาสู่พระนามของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า

การให้คำพยานต่อพระเจ้าโดยหลักแล้วเป็นเรื่องของการพูดถึงความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พูดถึงวิธีที่พระเจ้าทรงพิชิตผู้คน พูดถึงวิธีที่พระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอด พูดถึงวิธีที่พระองค์ทรงเปลี่ยนผู้คน นั่นเป็นเรื่องของการพูดถึงวิธีที่พระองค์ทรงนำผู้คนให้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาถูกพิชิต ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์  การให้คำพยานหมายถึงการพูดถึงพระราชกิจของพระองค์และทั้งหมดที่เจ้าได้รับประสบการณ์มา  มีเพียงพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้ และมีเพียงพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถเปิดเผยพระองค์ต่อสาธารณะได้ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์เป็นคำพยานต่อพระองค์ พระราชกิจและถ้อยดำรัสของพระองค์เป็นตัวแทนพระวิญญาณโดยตรง กล่าวคือ พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำดำเนินการเสร็จสิ้นโดยพระวิญญาณ และพระวจนะที่พระองค์ตรัสก็ตรัสโดยพระวิญญาณ  สิ่งเหล่านี้เพียงแค่แสดงออกโดยผ่านทางเนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นเป็นการแสดงออกของพระวิญญาณ  พระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำและพระวจนะทั้งหมดที่พระองค์ตรัสเป็นตัวแทนแก่นแท้ของพระองค์  หากหลังจากที่ทรงนุ่งห่มพระองค์เองในเนื้อหนังและเสด็จมาท่ามกลางมนุษย์ พระเจ้าไม่ได้ตรัสหรือทรงพระราชกิจ แล้วจากนั้นได้ทรงขอให้พวกเจ้ารู้จักสภาวะความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ ความเป็นปกติของพระองค์ และฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์ เจ้าจะสามารถทำได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถรู้ว่าแก่นแท้ของพระวิญญาณคือสิ่งใดหรือไม่?  เจ้าจะสามารถรู้ว่าลักษณะของเนื้อหนังของพระองค์คือสิ่งใดหรือไม่?  เป็นเพียงเพราะพวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระองค์แล้ว พระองค์จึงทรงขอให้พวกเจ้าเป็นคำพยานต่อพระองค์  หากพวกเจ้าไม่ได้มีประสบการณ์ดังกล่าว เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็คงจะไม่ทรงยืนกรานให้พวกเจ้าเป็นคำพยาน  ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเจ้าเป็นคำพยานต่อพระเจ้า เจ้าไม่เพียงกำลังเป็นพยานต่อสภาพภายนอกของความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็นคำพยานต่อพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำและเส้นทางที่พระองค์ทรงนำทางด้วยเช่นกัน เจ้าจะให้คำพยานต่อวิธีที่เจ้าถูกพิชิตโดยพระองค์และในแง่มุมใดที่เจ้าได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  นี่คือคำพยานประเภทที่เจ้าควรเป็น  หากเจ้าร้องออกมาที่ใดก็ตามที่เจ้าไปว่า “พระเจ้าของพวกเราได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจ และพระราชกิจของพระองค์ช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงจริงๆ!  พระองค์ได้ทรงรับพวกเราไว้โดยไม่มีการกระทำที่เหนือธรรมชาติ โดยไม่มีปาฏิหาริย์และการอัศจรรย์แต่อย่างใดเลย!”  ผู้อื่นก็จะถามว่า “เธอหมายความว่าอย่างไรเมื่อเธอพูดว่าพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจเป็นปาฏิหาริย์กับการอัศจรรย์?  พระองค์สามารถพิชิตเธอได้อย่างไรโดยไม่ได้ทรงพระราชกิจเป็นปาฏิหาริย์กับการอัศจรรย์?”  และเจ้าพูดว่า “พระองค์ตรัส และพระองค์ได้ทรงพิชิตพวกเราโดยไม่มีการแสดงปาฏิหาริย์และการอัศจรรย์อันใด  พระราชกิจของพระองค์ได้พิชิตพวกเรา”  ในท้ายที่สุด หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะพูดสิ่งใดที่มีแก่นแท้ หากเจ้าไม่สามารถพูดคุยถึงสิ่งที่เฉพาะเจาะจง การนี้ใช่คำพยานที่แท้จริงหรือไม่?  เมื่อพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงพิชิตผู้คน เป็นพระวจนะของพระเจ้าของพระองค์นั่นเองที่ทำเช่นนั้น  ความเป็นมนุษย์ไม่สามารถสำเร็จลุล่วงการนี้ได้ นั่นไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์คนใดสามารถสัมฤทธิ์ได้ และแม้แต่บรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถสูงสุดท่ามกลางผู้คนปกติก็ไม่สามารถทำการนี้ได้ ด้วยเหตุที่เทวสภาพของพระองค์สูงส่งกว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใด  นี่เป็นเรื่องเหนือธรรมดาสำหรับผู้คน จะว่าไปแล้ว พระผู้สร้างทรงสูงส่งกว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายไม่สามารถสูงส่งกว่าพระผู้สร้างได้ หากเจ้าสูงส่งกว่าพระองค์ พระองค์ก็คงจะไม่สามารถพิชิตเจ้าได้ และพระองค์เพียงสามารถพิชิตเจ้าได้ก็เพราะพระองค์ทรงสูงส่งกว่าเจ้าเท่านั้น  พระองค์ผู้สามารถพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวงคือพระผู้สร้าง และไม่มีผู้ใดเลยนอกจากพระองค์ที่สามารถทำพระราชกิจนี้ได้  พระวจนะเหล่านี้คือ “คำพยาน”—คำพยานประเภทที่เจ้าควรเป็น  เจ้าได้รับประสบการณ์กับการตีสอน การพิพากษา กระบวนการถลุง การทดสอบ ความพลั้งพลาด และความทุกข์ลำบากไปทีละขั้นตอน และเจ้าก็ได้ถูกพิชิตไปแล้ว เจ้าได้ละวางความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเนื้อหนัง แรงจูงใจส่วนตัวของเจ้า และผลประโยชน์อันแนบสนิทเกี่ยวกับเนื้อหนัง  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระวจนะของพระเจ้าได้พิชิตหัวใจของเจ้าแล้วอย่างครบบริบูรณ์  ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เติบโตในชีวิตของเจ้ามากเท่าที่พระองค์ทรงเรียกร้อง แต่เจ้าก็รู้จักสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดและเจ้าก็เชื่อมั่นในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำอย่างที่สุด  ด้วยเหตุนั้น การนี้อาจจะเรียกได้ว่าคำพยาน คำพยานที่เป็นจริงและแท้จริง  พระราชกิจที่พระเจ้าได้เสด็จมาทรงกระทำ พระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนนั้น หมายที่จะพิชิตมนุษย์ แต่พระองค์ก็กำลังทรงสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระองค์ ยุติยุค และดำเนินพระราชกิจแห่งการสรุปปิดตัวให้เสร็จสิ้นด้วยเช่นกัน  พระองค์กำลังทรงยุติทั้งยุค ช่วยมนุษยชาติทั้งปวงให้รอด ช่วยให้มนุษยชาติพ้นจากบาปเป็นครั้งสุดท้าย พระองค์กำลังทรงได้รับมนุษยชาติซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างอย่างครบถ้วน  เจ้าควรเป็นคำพยานต่อทั้งหมดนี้  เจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามากมายเหลือเกิน เจ้าได้เห็นพระราชกิจด้วยตาของเจ้าเองและได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจด้วยตนเองโดยเฉพาะ เมื่อเจ้าได้ไปถึงวาระสุดท้ายแล้ว เจ้าต้องไม่ไร้ความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่การงานซึ่งเป็นภาระรับผิดชอบของเจ้า  นั่นคงจะเป็นเรื่องน่าเวทนาเสียจริง!  ในอนาคต เมื่อข่าวประเสริฐได้ถูกเผยแผ่ออกไป เจ้าควรที่จะสามารถพูดถึงความรู้ของเจ้าเอง ให้คำพยานต่อทั้งหมดที่เจ้าได้รับในหัวใจของเจ้า และไม่เก็บสำรองความพยายามเอาไว้เลย  นี่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรบรรลุ  สิ่งใดคือนัยสำคัญตามจริงของช่วงระยะนี้ของพระราชกิจของพระเจ้า?  ผลของการนั้นคือสิ่งใด?  และการนั้นได้ถูกดำเนินการเสร็จสิ้นในมนุษย์ไปมากเพียงใด?  ผู้คนควรทำสิ่งใด?  เมื่อพวกเจ้าสามารถพูดถึงพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ทรงกระทำนับตั้งแต่เสด็จมายังแผ่นดินโลกได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วคำพยานของเจ้าก็จะครบบริบูรณ์  เมื่อเจ้าสามารถพูดถึงห้าสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน นั่นคือ นัยสำคัญของพระราชกิจของพระองค์ เนื้อหาของพระราชกิจ แก่นแท้ของพระราชกิจ อุปนิสัยที่พระราชกิจเป็นตัวแทน และหลักธรรมของพระราชกิจ เช่นนั้นแล้วนี่ก็จะพิสูจน์ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้า ว่าเจ้ามีความรู้อย่างแท้จริง  ข้อพึงประสงค์ของเราต่อพวกเจ้านั้นไม่สูงมากนัก และสามารถบรรลุได้โดยบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไล่ตามเสาะหาอย่างแท้จริง  หากเจ้าปลงใจที่จะเป็นหนึ่งในพยานของพระเจ้า เจ้าต้องเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดและสิ่งที่พระองค์ทรงรัก  เจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ไปมากมาย โดยผ่านทางพระราชกิจนี้ เจ้าต้องมารู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์และข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ และใช้ความรู้นี้ให้คำพยานเกี่ยวกับพระองค์และลุล่วงหน้าที่ของเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7)

ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักแล้วเจ้าควรพูดคุยถึงการที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนผู้คน รวมทั้งบททดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา  เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าทนทุกข์ไปมากเท่าใด เจ้าทำสิ่งที่ต้านทานพระเจ้าไปมากเพียงใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุด  จงเล่าว่าเจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร  พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย  จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย  จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ  นี่คือวิธีที่เจ้าควรผ่านประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ  จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าดูเป็นคนค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล  เจ้าควรพูดให้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริง จากประสบการณ์จริงของเจ้า และกล่าวออกมาจากหัวใจให้มากขึ้น การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น  พวกเจ้าเคยเป็นผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้าที่สุด มีแนวโน้มที่จะนบนอบพระองค์น้อยที่สุด แต่บัดนี้เจ้าได้ถูกพิชิตแล้ว—จงอย่าลืมการนั้นเป็นอันขาด  เจ้าควรไตร่ตรองและคิดคำนึงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้น  ครั้นผู้คนเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาก็จะรู้ว่าจะเป็นคำพยานได้อย่างไร หาไม่แล้ว พวกเขาก็จะหมิ่นเหม่ที่จะกระทำการที่น่าละอายและไร้สำนึก ซึ่งไม่ใช่การเป็นคำพยานให้พระเจ้า แต่เป็นการนำความเสื่อมเสียมาสู่พระเจ้าต่างหาก

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้

สักวันหนึ่งเมื่อเจ้ากำลังเผยแผข่าวประเสริฐในต่างประเทศ และใครบางคนถามเจ้าว่า “ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเป็นไปอย่างไรบ้าง?” เจ้าก็จะสามารถพูดได้ว่า “การกระทำของพระเจ้าช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน!”  พวกเขาจะรู้สึกได้ว่าคำพูดของเจ้าพูดออกมาจากประสบการณ์จริง  นี่คือการเป็นพยานอย่างแท้จริง  เจ้าจะพูดว่าพระราชกิจของพระเจ้าเต็มไปด้วยพระปัญญา และพระราชกิจของพระองค์ในตัวเจ้าได้โน้มน้าวเจ้าและได้พิชิตหัวใจของเจ้าแล้วอย่างแท้จริง  เจ้าจะรักพระองค์เสมอเพราะพระองค์ทรงยิ่งกว่าควรค่าต่อความรักของมวลมนุษย์!  หากเจ้าสามารถพูดกับสิ่งเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถขับเคลื่อนหัวใจของผู้คนได้  ทั้งหมดนี้คือการเป็นพยาน  หากเจ้ามีความสามารถที่จะเป็นพยานอันกึกก้อง ขับเคลื่อนผู้คนจนหลั่งน้ำตาได้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นผู้หนึ่งซึ่งรักพระเจ้าอย่างแท้จริง เพราะเจ้ามีความสามารถที่จะให้คำพยานต่อการรักพระเจ้าได้ และโดยผ่านทางเจ้า การกระทำของพระเจ้าสามารถได้รับการยืนยันได้ในคำพยาน  คำพยานของเจ้าทำให้ผู้อื่นแสวงหาจนพบพระราชกิจของพระเจ้า เพื่อที่จะผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และในสภาพแวดล้อมใดก็ตามที่พวกเขาผ่านประสบการณ์ พวกเขาย่อมจะสามารถตั้งมั่นได้  นี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่จริงแท้แห่งการเป็นพยาน และนี่คือสิ่งที่พึงประสงค์จากเจ้าอย่างแน่ชัดในตอนนี้  เจ้าควรมองเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้ามีคุณค่าและควรค่าอย่างที่สุดต่อการทะนุถนอมความล้ำค่าโดยผู้คน มองเห็นว่าพระเจ้าทรงล้ำค่าเหลือเกินและทรงไพบูลย์เหลือเกิน พระองค์ทรงสามารถไม่เพียงแค่ตรัสได้เท่านั้น แต่ยังทรงสามารถพิพากษาผู้คน ถลุงหัวใจของพวกเขา นำพาความชื่นชมยินดีมาให้พวกเขา ได้รับพวกเขา พิชิตพวกเขา และทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อมได้อีกด้วย  จากประสบการณ์ของเจ้า เจ้าจะมองเห็นว่าพระเจ้าทรงควรค่าที่จะรักอย่างมาก  ดังนั้นตอนนี้เจ้ารักพระเจ้ามากเพียงใดเล่า?  เจ้าสามารถพูดสิ่งเหล่านี้จากหัวใจของเจ้าได้จริงๆ หรือไม่?  เมื่อเจ้ามีความสามารถที่จะแสดงคำพูดเหล่านี้จากส่วนลึกสุดทั้งหลายของหัวใจของเจ้าได้ เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะมีความสามารถที่จะเป็นพยานได้  ทันทีที่ประสบการณ์ของเจ้าได้มาถึงระดับนี้แล้ว เจ้าย่อมจะสามารถเป็นพยานเพื่อพระเจ้าได้ และเจ้าจะมีคุณสมบัติเหมาะสมพอ  หากเจ้ายังไม่ถึงระดับนี้ในประสบการณ์ของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะยังคงห่างไกลเกินไป  เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะแสดงให้เห็นจุดอ่อนในระหว่างกระบวนการของการถลุง แต่หลังจากการถลุง เจ้าควรจะมีความสามารถที่จะพูดได้ว่า “พระเจ้าทรงมีพระปัญญาเหลือเกินในพระราชกิจของพระองค์!”  หากเจ้ามีความสามารถที่จะบรรลุความเข้าใจซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงของคำพูดเหล่านี้ได้อย่างแท้จริงแล้วไซร้ มันย่อมจะกลายเป็นบางสิ่งที่เจ้าทะนุถนอม และประสบการณ์ของเจ้าก็จะมีคุณค่า

บัดนี้ สิ่งใดหรือที่เจ้าควรไล่ตามเสาะหา?  ไม่ว่าเจ้าจะสามารถเป็นพยานสำหรับพระราชกิจของพระเจ้าได้หรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะสามารถกลายเป็นคำพยานและการสำแดงของพระเจ้าได้หรือไม่ และไม่ว่าเจ้าจะเหมาะให้พระองค์ทรงใช้หรือไม่—เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่เจ้าควรแสวงหา  พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจในตัวเจ้าจริงๆ ไปมากเพียงใดแล้ว?  เจ้าได้มองเห็นไปมากเพียงใดแล้ว เจ้าเข้าใจไปมากเพียงใดแล้ว?  เจ้าได้ผ่านประสบการณ์และได้ลิ้มรสไปมากเพียงใดแล้ว?  โดยไม่คำนึงถึงว่าพระเจ้าได้ทรงทดสอบเจ้า ตัดแต่งเจ้า หรือบ่มวินัยเจ้าแล้วหรือไม่ การกระทำของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ก็ได้รับการดำเนินการกับเจ้าจนเสร็จสิ้นแล้ว  แต่ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าและในฐานะใครบางคนที่เต็มใจไล่ตามเสาะหาการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์ เจ้าสามารถเป็นพยานสำหรับพระราชกิจของพระเจ้าบนพื้นฐานของประสบการณ์ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้าได้หรือไม่?  เจ้าสามารถใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้าได้หรือไม่?  เจ้ามีความสามารถที่จะจัดเตรียมให้ผู้อื่นโดยผ่านทางประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้าเอง และสละทั้งชีวิตของเจ้าเพื่อเป็นพยานสำหรับพระราชกิจของพระเจ้าได้หรือไม่?  เพื่อเป็นพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าต้องพึ่งพาประสบการณ์ ความรู้ของเจ้า และราคาที่เจ้าได้จ่ายไป  เมื่อทำเช่นนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระองค์ได้  เจ้าเป็นใครบางคนที่เป็นพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้ามีความทะเยอทะยานนี้หรือไม่?  หากเจ้ามีความสามารถที่จะเป็นพยานต่อพระนามของพระองค์ได้ และที่มากกว่านั้น เป็นพยานต่อพระราชกิจของพระองค์ได้ และหากเจ้าสามารถดำเนินชีวิตตามรูปลักษณ์ที่พระองค์ทรงพึงประสงค์จากประชากรของพระองค์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเป็นพยานสำหรับพระเจ้า  อันที่จริงแล้วเจ้าเป็นพยานสำหรับพระเจ้าอย่างไรหรือ?  เจ้าทำการนี้โดยการแสวงหาและถวิลหาที่จะดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และเปิดโอกาสให้ผู้คนรู้จักพระราชกิจของพระองค์และมองเห็นการกระทำของพระองค์โดยการเป็นพยานด้วยคำพูดของเจ้า  หากเจ้าแสวงหาการนี้ทั้งหมดอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม  หากทั้งหมดที่เจ้าแสวงหาคือการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าและได้รับพรในท้ายที่สุด เช่นนั้นแล้วมุมมองของความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าก็จะไม่บริสุทธิ์  เจ้าควรกำลังไล่ตามเสาะหาวิธีมองเห็นกิจการของพระเจ้าในชีวิตจริง วิธีทำให้พระองค์พึงพอพระทัยเมื่อพระองค์ทรงเผยเจตนารมณ์ของพระองค์แก่เจ้า และแสวงหาวิธีที่เจ้าพึงเป็นพยานให้กับความน่าอัศจรรย์และพระปัญญาของพระองค์ และวิธีเป็นพยานว่าพระองค์ทรงบ่มวินัยและตัดแต่งเจ้าอย่างไรบ้าง  ทั้งหมดนี้คือสิ่งทั้งหลายที่เจ้าควรกำลังใคร่ครวญอยู่ในตอนนี้  หากหัวใจที่รักพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นไปเพื่อให้เจ้าสามารถมีส่วนแบ่งปันในพระสิริของพระเจ้าหลังจากที่พระองค์ทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เช่นนั้นแล้วมันก็ยังคงไม่เพียงพอและไม่สามารถประจวบพ้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าได้  เจ้าจำเป็นต้องมีความสามารถที่จะเป็นพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้าได้ ทำให้สมดังข้อเรียกร้องของพระองค์ได้ และผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำกับผู้คนในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้  ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด น้ำตา หรือความเศร้าใจ เจ้าต้องผ่านประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดในการปฏิบัติของเจ้า  สิ่งเหล่านี้หมายที่จะทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมในฐานะผู้หนึ่งซึ่งเป็นพยานสำหรับพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง

ในท้ายที่สุดแล้วมนุษย์เป็นคำพยานใดให้แก่พระเจ้า?  มนุษย์เป็นพยานว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม ว่าพระอุปนิสัยของพระองค์คือความชอบธรรม พระพิโรธ การตีสอน และการพิพากษา มนุษย์เป็นพยานให้แก่พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  พระเจ้าทรงใช้การพิพากษาของพระองค์เพื่อทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม พระองค์ทรงรักมนุษย์ และทรงช่วยมนุษย์ให้รอด—แต่มีอยู่มากเพียงใดภายในความรักของพระองค์?  มีการพิพากษา พระบารมี พระพิโรธ และการสาปแช่ง  ถึงแม้ว่าพระเจ้าเคยสาปแช่งมนุษย์ในอดีต พระองค์ก็มิได้ทรงโยนมนุษย์ลงไปในบาดาลลึกอย่างสิ้นเชิง หากแต่ได้ทรงใช้วิธีนั้นเพื่อถลุงความเชื่อของมนุษย์ พระองค์มิได้ทรงทำให้มนุษย์ถึงแก่ความตาย หากแต่ได้ทรงกระทำการเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  แก่นแท้ของเนื้อหนังเป็นสิ่งที่เป็นของซาตาน—พระเจ้าได้ตรัสไว้ได้ถูกต้องโดยแท้—หากแต่ข้อเท็จจริงที่พระเจ้าทรงดำเนินการมิได้ครบบริบูรณ์ตามพระวจนะของพระองค์  พระองค์ทรงสาปแช่งเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้รักพระองค์ และเพื่อที่เจ้าจะได้รู้จักแก่นแท้ของเนื้อหนัง พระองค์ทรงตีสอนเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้ตื่นรู้ เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้ารู้จักความขาดตกบกพร่องภายในตัวเจ้า และให้รู้ถึงความไม่คู่ควรอย่างที่สุดของมนุษย์  ดังนั้น คำสาปแช่งของพระเจ้า การพิพากษาของพระองค์ และพระบารมีกับพระพิโรธของพระองค์—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงกระทำในวันนี้ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่พระองค์ทรงทำให้ชัดเจนภายในตัวพวกเจ้า—ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  เช่นนั้นเองคือความรักของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น

วันนี้ เจ้าสามารถพยายามที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหรือแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในความเป็นมนุษย์ภายนอกของเจ้าและการพัฒนาขีดความสามารถของเจ้า แต่สิ่งที่มีความสำคัญเป็นหลักคือการที่เจ้าสามารถเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำในวันนี้มีความหมายและมีประโยชน์ กล่าวคือ สิ่งนี้ทำให้เจ้าที่เกิดในแผ่นดินแห่งความโสมมสามารถหลีกหนีจากความโสมมและสลัดมันทิ้งไปได้ สิ่งนี้ทำให้เจ้าสามารถเอาชนะอิทธิพลของซาตาน และทิ้งอิทธิพลมืดของซาตานไว้เบื้องหลัง  โดยการจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะได้รับการคุ้มครองปกป้องในแผ่นดินแห่งความโสมมนี้  ในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าจะได้รับการขอให้กล่าวคำพยานใด?  เจ้าเกิดในแผ่นดินแห่งความโสมมแต่สามารถกลายเป็นบริสุทธิ์ได้ ไม่มีวันมีมลทินจากความโสมมอีก เพื่อใช้ชีวิตภายใต้อำนาจของซาตานแต่พรากตัวเจ้าเองไปจากอิทธิพลของซาตาน เพื่อไม่ถูกซาตานครอบครองและรังควาน และเพื่อใช้ชีวิตในพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  นี่คือคำพยานและข้อพิสูจน์ถึงชัยชนะในการต่อสู้กับซาตาน  เจ้าสามารถละทิ้งซาตานได้ เจ้าไม่เผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานในสิ่งที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตอีกต่อไป แต่ใช้ชีวิตตามสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์บรรลุเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์แทน กล่าวคือ ความเป็นมนุษย์ปกติ สำนึกรับรู้ปกติ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกปกติ การตัดสินใจแน่วแน่ปกติที่จะรักพระเจ้า และความจงรักภักดีต่อพระเจ้า  เช่นนั้นคือคำพยานที่กล่าวโดยสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า  เจ้าพูดว่า “พวกเราเกิดในดินแดนแห่งความโสมม แต่เพราะการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า เพราะการเป็นผู้นำของพระองค์ และเพราะพระองค์ได้ทรงพิชิตพวกเรา พวกเราจึงได้กำจัดอิทธิพลของซาตานออกไปจากตัวพวกเราเอง  สิ่งที่พวกเราสามารถเชื่อฟังในวันนี้ก็เป็นผลของการได้รับการพิชิตจากพระเจ้าเช่นเดียวกัน และนั่นไม่ใช่เพราะว่าพวกเราดีงาม หรือเพราะว่าพวกเรารักพระเจ้าโดยธรรมชาติ  เป็นเพราะพระเจ้าทรงเลือกพวกเราและทรงกำหนดพวกเราไว้ล่วงหน้านั่นเอง พวกเราจึงได้รับการพิชิตในวันนี้ สามารถกล่าวคำพยานต่อพระองค์ได้ และสามารถรับใช้พระองค์ได้  ดังนั้น เป็นเพราะพระองค์ทรงเลือกพวกเราและทรงคุ้มครองปกป้องพวกเราเช่นเดียวกันนั่นเอง พวกเราจึงได้รับการช่วยให้รอดและปล่อยจากอำนาจของซาตาน และสามารถทิ้งความโสมมไว้เบื้องหลังและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในชาติของพญานาคใหญ่สีแดงนั้น”

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (2)

สำหรับบรรดาผู้ที่กำลังจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมนั้น ขั้นตอนนี้ของงานแห่งการถูกพิชิตเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ มนุษย์สามารถได้รับประสบการณ์กับงานแห่งการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ได้ถูกพิชิตแล้วเท่านั้น  ไม่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ใดเลยในการที่เพียงแสดงบทบาทแห่งการถูกพิชิตเท่านั้น นั่นไม่ได้จะทำให้เจ้าเหมาะสมสำหรับการใช้งานโดยพระเจ้า  เจ้าจะไม่มีวิถีทางที่จะแสดงบทบาทในส่วนของเจ้าในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เพราะเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาชีวิต และไม่ได้ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงและการสร้างขึ้นใหม่ในตัวเจ้าเอง และดังนั้น เจ้าจึงไม่มีประสบการณ์จริงของชีวิต  ในช่วงระหว่างพระราชกิจซึ่งเป็นขั้นเป็นตอนนี้ ครั้งหนึ่งเจ้าเคยเป็นคนปรนนิบัติและเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น แต่หากในท้ายที่สุดแล้วเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาที่จะเป็นเปโตร และการไล่ตามเสาะหาของเจ้าไม่เป็นไปตามเส้นทางที่เปโตรได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วไซร้ เจ้าย่อมจะไม่ได้รับประสบการณ์ของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเป็นธรรมดา  หากเจ้าเป็นใครบางคนซึ่งไล่ตามเสาะหาการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วไซร้ เจ้าก็ย่อมจะได้เป็นคำพยาน และเจ้าจะพูดว่า “ในพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งเป็นขั้นเป็นตอนนี้ ข้าพระองค์ได้ยอมรับพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และแม้ว่าข้าพระองค์ได้สู้ทนความทุกข์อันใหญ่หลวง ข้าพระองค์ก็ได้มารู้วิธีที่พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม ข้าพระองค์ได้รับพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ ข้าพระองค์ได้มีความรู้เกี่ยวกับความชอบธรรมของพระเจ้า และการตีสอนของพระองค์ได้ช่วยข้าพระองค์ให้รอด  พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ได้มาถึงข้าพระองค์โดยไม่คาดฝันและนำพรและพระคุณมาให้ข้าพระองค์ การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์นี่เองที่ได้คุ้มครองปกป้องและชำระข้าพระองค์ให้บริสุทธิ์  หากข้าพระองค์ไม่ได้ถูกตีสอนและพิพากษาโดยพระเจ้า และหากพระวจนะอันกร้าวกระด้างของพระเจ้าไม่ได้มาถึงข้าพระองค์โดยไม่คาดฝัน ข้าพระองค์ก็คงไม่สามารถได้รู้จักพระเจ้า และข้าพระองค์ก็คงยังไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดด้วยเช่นกัน  ในวันนี้ ข้าพระองค์มองเห็นว่า ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง คนเราไม่เพียงชื่นชมทุกสิ่งที่พระผู้สร้างทรงสร้างขึ้นเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งมวลควรชื่นชมพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและการพิพากษาอันชอบธรรมของพระองค์ เพราะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นมีค่าควรแก่การชื่นชมยินดีของมนุษย์  ในฐานะสิ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม คนเราควรชื่นชมพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  ในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้น มีการตีสอนและการพิพากษา และยิ่งไปกว่านั้น มีความรักยิ่งใหญ่อยู่  แม้ว่าข้าพระองค์ไร้ความสามารถที่จะได้รับความรักของพระเจ้าไว้จนครบบริบูรณ์ในวันนี้ แต่ข้าพระองค์ก็มีโชควาสนาที่ได้มองเห็นมัน และในการนี้ ข้าพระองค์ได้รับการอวยพรแล้ว” นี่คือเส้นทางซึ่งบรรดาผู้ที่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมใช้เดิน และนี่คือความรู้ที่พวกเขาพูดถึง  ผู้คนดังกล่าวเป็นเหมือนเปโตร พวกเขามีประสบการณ์เดียวกันกับเปโตร  ผู้คนดังกล่าวคือบรรดาผู้ที่ได้รับชีวิต คือผู้ที่ครองความจริงด้วยเช่นกัน  เมื่อพวกเขาผ่านประสบการณ์ไปจนถึงขั้นสุดท้ายจริงๆ ในช่วงระหว่างการพิพากษาของพระเจ้า พวกเขาจะกำจัดอิทธิพลของซาตานออกจากตัวพวกเขาได้จนหมดสิ้น และได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

วันนี้ จุดสำคัญที่สุดคือเจ้าต้องรู้จักเนื้อแท้ของมนุษย์ และต้องรู้จักสิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าสู่ เจ้าต้องพูดถึงการเข้าสู่ชีวิต และการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย วิธีการที่จะได้รับการพิชิตจริงๆ และวิธีการเชื่อฟังพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ วิธีการเป็นคำพยานสุดท้ายต่อพระเจ้า และวิธีการสัมฤทธิ์ความเชื่อจนกว่าจะหมดลมหายใจ  เจ้าต้องจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้ และต้องละวางและเฉยเมยต่อสิ่งที่ไม่เป็นจริงหรือไม่สำคัญก่อนเป็นอันดับแรก  วันนี้ เจ้าควรตระหนักรู้วิธีการที่จะได้รับการพิชิต และวิธีการที่ผู้คนประพฤติตัวหลังจากที่พวกเขาได้รับการพิชิตแล้ว  เจ้าอาจพูดว่าเจ้าได้รับการพิชิตแล้ว แต่เจ้าสามารถนบนอบจนตัวตายได้หรือไม่?  เจ้าต้องสามารถติดตามไปจนถึงที่สุดไม่ว่าจะมีความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ใดๆ หรือไม่ก็ตาม และเจ้าต้องไม่สูญเสียความเชื่อในพระเจ้าไม่ว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไรก็ตาม  ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าต้องสัมฤทธิ์คำพยานสองแง่มุม นั่นคือ คำพยานของโยบ—ซึ่งก็คือการนบนอบจนตัวตาย และคำพยานของเปโตร—การรักพระเจ้าอย่างถึงที่สุด  ในด้านหนึ่ง เจ้าต้องเป็นเหมือนโยบ กล่าวคือ เขาได้สูญเสียวัตถุทุกอย่างที่ครอบครองอยู่ และถูกความป่วยไข้ของเนื้อหนังรุมเร้า ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ละทิ้งพระนามของพระยาห์เวห์  นี่คือคำพยานของโยบ  เปโตรสามารถรักพระเจ้าจนตัวตาย—เมื่อเขาเผชิญหน้าความตาย เขาก็ยังคงรักพระเจ้า เมื่อเขาถูกตรึงกางเขน เขาก็ยังคงรักพระเจ้า  เขาไม่ได้คิดถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเขาเองหรือไล่ตามเสาะหาความหวังที่สวยงามหรือความคิดที่ฟุ้งเฟ้อ และเขาพยายามที่จะรักพระเจ้าและนบนอบการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้าเท่านั้น  เช่นนั้นคือมาตรฐานที่เจ้าต้องสัมฤทธิ์ก่อนที่เจ้าจะสามารถได้รับการพิจารณาว่าได้กล่าวคำพยานแล้ว ก่อนที่เจ้าจะกลายเป็นใครบางคนที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหลังจากที่ได้รับการพิชิตแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (2)

หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าและได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าด้วยหัวใจซึ่งยำเกรงพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมสามารถมองเห็นความรอดของพระเจ้าและความรักของพระเจ้าอยู่ในผู้คนเช่นนั้น  ผู้คนเหล่านี้สามารถให้คำพยานต่อพระเจ้าได้ พวกเขาดำเนินชีวิตไปตามความจริง และสิ่งซึ่งพวกเขาให้คำพยานก็คือความจริง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น และคือพระอุปนิสัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  พวกเขาดำเนินชีวิตท่ามกลางความรักของพระเจ้าและได้เห็นความรักของพระเจ้า  หากผู้คนปรารถนาที่จะรักพระเจ้า พวกเขาจะต้องลิ้มรสความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าและเห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นจึงสามารถมีหัวใจที่รักพระเจ้าถูกปลุกเร้าขึ้นในตัวพวกเขา หัวใจดวงหนึ่งซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมอบตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้าอย่างจงรักภักดี  พระเจ้าไม่ทรงทำให้ผู้คนรักพระองค์โดยผ่านทางคำพูดหรือโดยผ่านการจินตนาการของพวกเขา และพระองค์ไม่ทรงบีบบังคับผู้คนให้รักพระองค์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับทรงปล่อยให้พวกเขารักพระองค์จากการตัดสินใจเลือกของพวกเขาเอง และพระองค์ทรงปล่อยให้พวกเขาเห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ในพระราชกิจและถ้อยดำรัสของพระองค์ ซึ่งหลังจากนี้แล้วจึงมีความรักสำหรับพระเจ้าเกิดขึ้นในตัวพวกเขา  ในหนทางนี้เท่านั้นผู้คนจึงจะสามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  ผู้คนไม่ได้รักพระเจ้าเพราะพวกเขาได้ถูกผู้อื่นรบเร้าให้ทำเช่นนั้น อีกทั้งนั่นไม่ใช่แรงกระตุ้นทางอารมณ์ชั่วขณะ  พวกเขารักพระเจ้าเพราะพวกเขาได้เห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ พวกเขาได้เห็นว่ามีมากมายในพระองค์ซึ่งคู่ควรกับความรักของผู้คน เพราะพวกเขาได้เห็นความรอด พระปัญญา และกิจการอันมหัศจรรย์ของพระองค์—และผลก็คือ พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าอย่างแท้จริงและโหยหาในพระองค์อย่างแท้จริง และมีความปรารถนาอันแรงกล้าซึ่งถูกปลุกเร้าในตัวพวกเขาถึงขนาดที่ว่าพวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตรอดได้หากปราศจากการได้รับพระเจ้า  เหตุผลที่ทำไมบรรดาผู้ที่ให้คำพยานต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงสามารถให้คำพยานที่ก้องกังวานต่อพระองค์ได้ เป็นเพราะคำพยานของพวกเขาตั้งอยู่บนรากฐานของความรู้ที่แท้จริงและการโหยหาที่แท้จริงในพระเจ้า  คำพยานดังกล่าวไม่ได้ถูกถวายให้ตามแรงกระตุ้นทางอารมณ์ แต่โดยสอดคล้องกับความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระองค์  เพราะพวกเขาได้มารู้จักพระเจ้า พวกเขาจึงรู้สึกว่าพวกเขาจะต้องให้คำพยานต่อพระเจ้าอย่างแน่นอนและทำให้ทุกคนซึ่งโหยหาในพระเจ้ารู้จักพระเจ้า และตระหนักรู้ความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าและสภาวะความเป็นจริงของพระองค์  เช่นเดียวกับความรักของผู้คนสำหรับพระเจ้า คำพยานของพวกเขานั้นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ นั่นเป็นจริงและมีนัยสำคัญและคุณค่าจริง  นั่นไม่ได้มีสภาวะนิ่งเฉยหรือกลวงเปล่าและไร้ความหมาย  เหตุผลที่มีเพียงบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้นที่มีคุณค่าและความหมายมากที่สุดในชีวิตของพวกเขา เหตุผลที่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ก็คือว่าผู้คนเหล่านี้สามารถดำเนินชีวิตในความสว่างแห่งพระเจ้าและสามารถมีชีวิตเพื่อพระราชกิจและการบริหารจัดการของพระเจ้า  นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่ในความมืดมิด แต่ดำเนินชีวิตในความสว่าง พวกเขาไม่ได้มีชีวิตที่ไร้ความหมาย แต่เป็นชีวิตซึ่งได้รับการอวยพรโดยพระเจ้า  มีเพียงบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้คำพยานกับพระเจ้าได้ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เป็นพยานของพระเจ้า มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ได้รับการอวยพรโดยพระเจ้า และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถรับสัญญาของพระเจ้าไว้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่รักพระเจ้าจะดำเนินชีวิตภายในความสว่างแห่งพระองค์ตลอดกาล

คำพยานจากประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง

การเรียนรู้ที่จะเป็นพยานที่ดีขึ้น

ความเสียหายที่ทำลงไปด้วยการโอ้อวด

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

มีเพียงโดยการใช้ชีวิตตามความเป็นจริงเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถเป็นพยานได้

วิธีเป็นพยานต่อพระเจ้าในความเชื่อของเจ้า

ก่อนหน้า: 38. สิ่งที่เป็นสัมพันธภาพระหว่างการยำเกรงพระเจ้าและการหลีกเลี่ยงความชั่ว กับการได้รับการช่วยให้รอด

ถัดไป: 41. วิธีรับใช้และเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าตามเจตนารมณ์ของพระองค์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger