23. วิธีตั้งมั่นในคำพยานของตนระหว่างบททดสอบ

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

การเชื่อในพระเจ้าต้องมีการนบนอบพระองค์และมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์  พระเจ้าทรงพระราชกิจมากมาย—อาจกล่าวได้ว่า สำหรับผู้คนแล้ว ทั้งหมดนั้นคือความเพียบพร้อม คือกระบวนการถลุง และยิ่งไปกว่านั้นคือการตีสอน  ไม่มีแม้สักขั้นตอนเดียวของพระราชกิจของพระเจ้าที่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ สิ่งที่ผู้คนได้ชื่นชมคือพระวจนะที่เข้มงวดของพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าเสด็จมา ผู้คนควรชื่นชมพระบารมีของพระองค์และพระพิโรธของพระองค์  อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าพระวจนะของพระองค์จะเข้มงวดเพียงใด พระองค์ก็เสด็จมาเพื่อช่วยให้รอดและทำให้มวลมนุษย์เพียบพร้อม  ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผู้คนควรทำหน้าที่ที่พวกเขาควรที่จะทำให้ลุล่วง และยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้าท่ามกลางกระบวนการถลุง  ในทุกการทดสอบ พวกเขาควรค้ำชูพยานที่พวกเขาควรเป็น และทำเช่นนั้นอย่างเบ็ดเสร็จเพื่อพระเจ้า  บุคคลที่ทำการนี้คือผู้มีชัย  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงถลุงเจ้าอย่างไร เจ้าก็ยังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจและไม่เคยสูญเสียความมั่นใจในพระองค์  เจ้าทำสิ่งที่มนุษย์ควรทำ  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมนุษย์ และหัวใจของมนุษย์ควรจะสามารถกลับคืนสู่พระองค์ได้อย่างเต็มที่ และหันเข้าหาพระองค์ในทุกขณะที่ผ่านไป  นี่คือผู้มีชัย  บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงอ้างถึงว่าเป็น “ผู้ชนะ” คือผู้ที่ยังคงสามารถยืนหยัดเป็นพยาน และคงไว้ซึ่งความมั่นใจและการอุทิศตนที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานและในขณะที่ถูกซาตานล้อมไว้ นั่นคือ เมื่อพวกเขาพบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางกองกำลังแห่งความมืด  หากเจ้ายังคงสามารถรักษาหัวใจให้บริสุทธิ์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคงไว้ซึ่งความรักอันจริงแท้ที่เจ้ามีต่อพระเจ้าไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังยืนหยัดเป็นพยานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงการเป็น “ผู้ชนะ”  หากการไล่ตามเสาะหาของเจ้านั้นเป็นไปอย่างยอดเยี่ยมเมื่อพระเจ้าประทานพรแก่เจ้า แต่เจ้าล่าถอยเมื่อปราศจากพรของพระองค์ นี่คือความบริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ?  ในเมื่อเจ้าแน่ใจว่าหนทางนี้แท้จริง เจ้าต้องติดตามไปจนกว่าจะถึงปลายทาง เจ้าต้องคงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าต่อพระเจ้า  ในเมื่อเจ้าได้เห็นว่าพระเจ้าพระองค์เองได้เสด็จมาสู่แผ่นดินโลกเพื่อทำให้เจ้าเพียบพร้อม เจ้าก็ควรมอบหัวใจของเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้นแด่พระองค์  หากเจ้ายังคงสามารถติดตามพระองค์ได้ไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด แม้ว่าพระองค์ทรงกำหนดพิจารณาบทอวสานที่ไม่น่าพอใจสำหรับเจ้าในท้ายที่สุด นี่ก็เป็นการคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  การถวายร่างกายฝ่ายวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์และพรหมจารีบริสุทธิ์แด่พระเจ้าหมายถึงการรักษาหัวใจที่จริงใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  สำหรับมวลมนุษย์ ความจริงใจคือความบริสุทธิ์ และความสามารถที่จะจริงใจต่อพระเจ้าคือการรักษาความบริสุทธิ์  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรนำไปปฏิบัติ  เมื่อเจ้าควรที่จะอธิษฐาน เจ้าจงอธิษฐาน เมื่อเจ้าควรที่จะชุมนุมกันในการสามัคคีธรรม เจ้าจงทำเช่นนั้น เมื่อเจ้าควรที่จะร้องเพลงสรรเสริญ เจ้าจงร้องเพลงสรรเสริญ และเมื่อเจ้าควรขัดขืนเนื้อหนัง เจ้าก็ขัดขืนเนื้อหนัง  เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็อย่าทำแค่พอให้พ้นตัว เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับการทดสอบ เจ้าก็จงตั้งมั่น  นี่คือการอุทิศตนต่อพระเจ้า  หากเจ้าไม่ค้ำชูสิ่งที่ผู้คนควรทำ เช่นนั้นแล้วความทุกข์และปณิธานที่ผ่านมาทั้งหมดของเจ้าก็ไร้ผล

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรธำรงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าแด่พระเจ้า

การเป็นพยานที่ดังกึกก้องให้แก่พระเจ้านั้นโดยพื้นฐานแล้วสัมพันธ์กับการที่เจ้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงหรือไม่ และกับการที่เจ้ามีความสามารถที่จะนบนอบต่อหน้าบุคคลนี้ได้หรือไม่ ผู้ซึ่งไม่ใช่แค่ธรรมดาสามัญเท่านั้น แต่ปกติด้วย และนบนอบจนกระทั่งถึงแก่ความตาย  หากเจ้าเป็นพยานอย่างแท้จริงต่อพระเจ้าด้วยหนทางแห่งการนบนอบนี้ นั่นหมายความว่าเจ้าได้ถูกพระเจ้ารับไว้แล้ว  หากเจ้าสามารถนบนอบจนกระทั่งถึงแก่ความตายและปราศจากการร้องทุกข์ ไม่ทำการตัดสิน ไม่ใส่ร้าย ไม่มีมโนคติที่หลงผิดอันใด และไม่มีสิ่งจูงใจแอบแฝงอันใดเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะทรงได้มาซึ่งพระสิริในหนทางนี้  การนบนอบต่อหน้าบุคคลปกติธรรมดาคนหนึ่งผู้ซึ่งถูกมนุษย์ดูแคลน และการมีความสามารถที่จะนบนอบไปจนกระทั่งหมดลมหายใจโดยไม่มีมโนคติที่หลงผิดใดๆ—นี่ละคือคำพยานจริงแท้  ความเป็นจริงที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนเข้าสู่นั้นก็คือการที่เจ้าสามารถเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ นำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติ กราบไหว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงและรู้จักความเสื่อมทรามของเจ้าเอง เปิดใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และในท้ายที่สุดก็ได้ถูกพระองค์รับไว้โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ของพระองค์  พระเจ้าได้รับพระสิริเมื่อถ้อยดำรัสเหล่านี้พิชิตเจ้าและทำให้เจ้าเชื่อฟังพระองค์อย่างเต็มที่ โดยผ่านทางการนี้พระองค์ทรงทำให้ซาตานอับอายและทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์  เมื่อเจ้าไม่มีมโนคติที่หลงผิดอันใดเกี่ยวกับการทรงภาคชีวิตจริงของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์—กล่าวคือ เมื่อเจ้าได้ตั้งมั่นในการทดสอบนี้—เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ได้เป็นพยานในการนี้เป็นอย่างดีแล้ว  เมื่อมาถึงวันซึ่งเจ้ามีความเข้าใจเต็มเปี่ยมเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงและสามารถนบนอบจนกระทั่งถึงแก่ความตายเหมือนที่เปโตรเคยทำ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะได้รับการรับไว้และได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำซึ่งไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้าก็คือการทดสอบสำหรับเจ้า  หากพระราชกิจของพระเจ้าอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เจ้าก็คงจะไม่จำเป็นต้องทนทุกข์หรือได้รับการถลุง  เป็นเพราะพระราชกิจของพระเจ้านั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงยิ่งนักและไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้านั่นเอง เจ้าจึงจำเป็นต้องปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดเช่นนั้น  นี่คือเหตุผลว่าทำไมมันจึงเป็นการทดสอบสำหรับเจ้า  เป็นเพราะการทรงภาคชีวิตจริงของพระเจ้านั่นเอง ผู้คนทั้งปวงจึงอยู่ในท่ามกลางการทดสอบ พระราชกิจของพระองค์สัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่ใช่เหนือธรรมชาติ  เจ้าจะได้รับการรับไว้โดยพระองค์ด้วยการเข้าใจพระวจนะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์และถ้อยดำรัสที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์อย่างเต็มที่โดยไม่มีมโนคติที่หลงผิดอันใด และการมีความสามารถที่จะรักพระองค์อย่างแท้จริงในขณะที่พระราชกิจของพระองค์สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากยิ่งขึ้นทุกที  กลุ่มผู้คนที่พระเจ้าจะทรงรับไว้นั้นคือผู้ที่รู้จักพระเจ้า นั่นคือ บรรดาผู้ที่รู้ว่าพระองค์ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคือผู้ที่สามารถนบนอบต่อพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงคือบรรดาผู้ที่สามารถนบนอบโดยสมบูรณ์ต่อการทรงภาคชีวิตจริงของพระองค์

คำพยานที่แท้จริงนั้นคืออะไรกันแน่?  คำพยานที่พูดถึงในที่นี้มีสองส่วนดังนี้ ส่วนหนึ่งคือคำพยานถึงการได้รับการพิชิต และอีกส่วนคือคำพยานถึงการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม (ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วจะเป็นคำพยานหลังการทดสอบอันยิ่งใหญ่มากขึ้นและความทุกข์ลำบากของอนาคต)  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากเจ้าสามารถตั้งมั่นในระหว่างความทุกข์ลำบากและการทดสอบทั้งหลาย เช่นนั้นเจ้าก็จะได้เป็นคำพยานขั้นที่สองแล้ว  สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในวันนี้ก็คือคำพยานในขั้นที่หนึ่ง นั่นคือ การมีความสามารถที่จะตั้งมั่นได้ในระหว่างทุกๆ สถานการณ์ของการทดสอบแห่งการตีสอนและการพิพากษา  นี่คือคำพยานของการได้รับการพิชิต  นั่นเป็นเพราะบัดนี้คือเวลาแห่งการพิชิตชัย (เจ้าควรรู้ว่าบัดนี้เป็นเวลาแห่งพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก พระราชกิจหลักบนแผ่นดินโลกของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์คือการพิชิตผู้คนบนแผ่นดินโลกกลุ่มนี้ซึ่งติดตามพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอน)  การที่เจ้าจะสามารถเป็นคำพยานถึงการได้รับการพิชิตได้หรือไม่นั้นไม่ได้เพียงขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะสามารถติดตามไปจนถึงที่สุดได้หรือไม่เท่านั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าจะสามารถเข้าใจการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือไม่ ในขณะที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในแต่ละขั้น และขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะล่วงรู้พระราชกิจนี้ทั้งหมดอย่างแท้จริงหรือไม่  เจ้าจะไม่สามารถหลุดรอดไปได้โดยแค่ติดตามไปจนถึงที่สุดเพียงเท่านั้น  เจ้าจะต้องมีความสามารถที่จะยอมจำนนอย่างเต็มใจในระหว่างทุกๆ สถานการณ์ของการตีสอนและการพิพากษา จะต้องสามารถเข้าใจพระราชกิจแต่ละขั้นตอนที่เจ้าได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริง และจะต้องสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและการเชื่อฟังพระอุปนิสัยของพระเจ้า  นี่คือคำพยานขั้นสุดท้ายของการได้รับการพิชิตซึ่งเจ้าพึงต้องแบกรับ  คำพยานถึงการได้รับการพิชิตอ้างอิงถึงความรู้ของเจ้าในเรื่องการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเป็นสำคัญ  คำพยานขั้นนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าเจ้าทำหรือพูดอะไรต่อหน้าผู้คนบนโลกนี้หรือพวกที่กุมอำนาจ สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดก็คือ เจ้าสามารถที่จะเชื่อฟังพระวจนะทั้งหมดจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าและพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์หรือไม่  ดังนั้น คำพยานขั้นนี้จึงชี้ไปที่ซาตานและเหล่าศัตรูทั้งหมดของพระเจ้า—เหล่าปีศาจและศัตรูทั้งหลายซึ่งไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นครั้งที่สองและเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก และยิ่งไปกว่านั้น ไม่เชื่อในข้อเท็จจริงเรื่องการกลับมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มันชี้ไปที่เหล่าศัตรูของพระคริสต์ทั้งหมด—ศัตรูทั้งหมดซึ่งไม่เชื่อในการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (4)

คำพยานขั้นสุดท้ายคือคำพยานในเรื่องที่ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้หรือไม่—กล่าวคือ เมื่อได้เข้าใจพระวจนะทั้งหมดที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์แล้ว เจ้าได้มาครอบครองความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและได้กลายเป็นมั่นใจในพระองค์ เจ้าใช้ชีวิตตามพระวจนะทั้งหมดจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และสัมฤทธิ์สภาพเงื่อนไขต่างๆ ที่พระเจ้าทรงขอจากเจ้า—ซึ่งก็คือรูปแบบของเปโตรและความเชื่อของโยบ—จนถึงขนาดที่เจ้าสามารถเชื่อฟังไปจนวันตาย ยอมสละตัวเจ้าเองทั้งหมดแด่พระองค์ และสัมฤทธิ์ฉายาของบุคคลซึ่งได้มาตรฐานในท้ายที่สุด ซึ่งหมายถึงฉายาของใครบางคนที่ได้รับการพิชิตและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  นี่คือคำพยานขั้นสุดท้าย—คือคำพยานซึ่งผู้ที่ในที่สุดแล้วได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมควรจะเป็น  เหล่านี้คือคำพยานสองขั้นตอนที่เจ้าควรจะเป็น และคำพยานเหล่านี้สัมพันธ์กัน แต่ละประการนั้นจะขาดเสียไม่ได้  แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าจะต้องรู้ กล่าวคือ คำพยานที่เราพึงประสงค์จากเจ้าในวันนี้ไม่ได้ชี้ไปที่ผู้คนของโลก อีกทั้งไม่ใช่บุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่ชี้ไปที่สิ่งซึ่งเราขอจากเจ้า  มันถูกประเมินวัดจากการที่เจ้ามีความสามารถที่จะทำให้เราพึงพอใจได้หรือไม่ และเจ้ามีความสามารถที่จะทำตามมาตรฐานทั้งหลายแห่งข้อพึงประสงค์ต่างๆ ที่เรามีต่อพวกเจ้าแต่ละคนได้โดยครบบริบูรณ์หรือไม่  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (4)

เจ้าก้าวผ่านการทดสอบของโยบ และในเวลาเดียวกัน เจ้าก้าวผ่านการทดสอบของเปโตร  เมื่อโยบได้ถูกทดสอบ เขาได้ยืนหยัดเป็นพยาน และในท้ายที่สุด พระยาห์เวห์ก็ได้รับการเปิดเผยต่อเขา  หลังจากเขาได้ยืนหยัดเป็นพยานเท่านั้นเขาจึงได้ควรค่าต่อการมองเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า  เหตุใดจึงมีการพูดว่า “เราซ่อนเร้นจากแผ่นดินแห่งความโสมมแต่แสดงตัวของเราเองให้ราชอาณาจักรอันบริสุทธิ์เห็น”?  นั่นหมายความว่าเฉพาะเมื่อเจ้าบริสุทธิ์และยืนหยัดเป็นพยานเท่านั้นเจ้าจึงสามารถมีศักดิ์ศรีที่จะมองเห็นพระพักตร์ของพระเจ้าได้  หากเจ้าไม่สามารถยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์ได้ เจ้าก็ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะมองเห็นพระพักตร์ของพระองค์  หากเจ้าล่าถอยหรือทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้าในขณะเผชิญหน้ากับการถลุง ด้วยเหตุนั้นจึงล้มเหลวในการยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์และกลายเป็นตัวตลกของซาตาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับการทรงปรากฏของพระเจ้า  หากเจ้าเป็นเหมือนโยบ ผู้ซึ่งสาปแช่งเนื้อหนังของเขาเองและไม่ได้ร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้าท่ามกลางการทดสอบ และสามารถรังเกียจเนื้อหนังของเขาเองโดยปราศจากการร้องทุกข์คร่ำครวญหรือการทำบาปโดยผ่านทางคำพูดของเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะกำลังยืนหยัดเป็นพยาน  เมื่อเจ้าได้ก้าวผ่านการถลุงถึงระดับเฉพาะระดับหนึ่งและยังคงสามารถเป็นเหมือนโยบ ที่นบนอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทุกประการและปราศจากข้อพึงประสงค์อื่นใดต่อพระองค์หรือมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงปรากฏต่อเจ้า  ตอนนี้พระเจ้าไม่ทรงปรากฏต่อเจ้าก็เพราะเจ้ามีมโนคติที่หลงผิด อคติส่วนตัว ความคิดที่เห็นแก่ตัว ข้อพึงประสงค์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของเจ้าเองมากมายเหลือเกิน และเจ้าไม่ควรค่าที่จะมองเห็นพระพักตร์ของพระองค์  หากเจ้าจะได้มองเห็นพระเจ้า เจ้าก็จะประเมินวัดพระองค์โดยผ่านทางมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง และในการทำเช่นนั้น พระองค์จะถูกตอกตรึงกับกางเขนโดยเจ้า  หากหลายสิ่งเกิดขึ้นแก่เจ้าโดยไม่คาดฝันซึ่งไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า แต่ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังมีความสามารถที่จะวางพวกมันลงและได้รับความรู้เกี่ยวกับการกระทำของพระเจ้าจากสิ่งเหล่านี้ และหากเจ้าเปิดเผยหัวใจที่รักพระเจ้าของเจ้าท่ามกลางการถลุง เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือการตั้งมั่นในการเป็นพยานของเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง

ความเชื่อและการนบนอบของโยบ และคำพยานของเขาเรื่องการเอาชนะซาตานได้ช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้ผู้คนอย่างมากมาย  พวกเขามองเห็นความหวังที่ตนจะได้รับความรอดในตัวโยบ และมองเห็นว่าด้วยความเชื่อ การนบนอบ และการยำเกรงพระเจ้า ก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ซาตานพ่ายแพ้และเอาชนะซาตานอย่างสิ้นเชิง  พวกเขามองเห็นว่าตราบใดที่พวกเขานบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และตราบใดที่พวกเขามีความตั้งใจแน่วแน่และความเชื่อที่จะไม่ละทิ้งพระเจ้าหลังจากที่ได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป ตราบนั้นพวกเขาก็สามารถนำความอับอายและความพ่ายแพ้มาให้แก่ซาตานได้ และพวกเขามองเห็นว่าพวกเขาจำเป็นเพียงแค่ต้องมีความตั้งใจแน่วแน่และความเพียรพยายามที่จะตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาเท่านั้น—แม้ว่ามันจะหมายถึงการสูญเสียชีวิตของพวกเขาไป—เพื่อทำให้ซาตานขลาดกลัวและตีให้ถอยร่นอย่างรวดเร็ว  คำพยานของโยบเป็นคำเตือนแก่ชนรุ่นหลัง และคำเตือนนี้บอกพวกเขาว่าหากพวกเขาไม่ทำให้ซาตานพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีวันสามารถทำให้ตัวเองพ้นการกล่าวหาและการก่อกวนของซาตานได้ อีกทั้งพวกเขาจะไม่สามารถหนีรอดจากการล่วงละเมิดและการโจมตีของซาตานตลอดไป  คำพยานของโยบได้ให้ความรู้แจ้งแก่ชนรุ่นหลัง  ความรู้แจ้งนี้สอนผู้คนว่ามีเพียงเมื่อพวกเขาดีพร้อมและเที่ยงธรรมเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ มันสอนพวกเขาว่ามีเพียงเมื่อพวกเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถเป็นคำพยานที่แข็งแกร่งและดังกึกก้องต่อพระเจ้าได้ มีเพียงเมื่อพวกเขาเป็นคำพยานที่แข็งแกร่งและดังกึกก้องต่อพระเจ้าเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถไม่มีวันถูกซาตานควบคุมและใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การทรงนำและการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าได้—เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริง  ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความรอดควรจะเอาอย่างบุคลิกภาพของโยบและการไล่ตามเสาะหาแห่งชีวิตของเขา  สิ่งที่โยบใช้ในการดำรงชีวิตในช่วงระหว่างทั้งชีวิตของเขาและการประพฤติของเขาในช่วงระหว่างการทดสอบของเขานั้นเป็นสมบัติอันล้ำค่าสำหรับบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไล่ตามเสาะหาหนทางแห่งความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

หากเจ้าปรารถนาที่จะสามารถตั้งมั่นได้ในอนาคต เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ดียิ่งขึ้น และเพื่อติดตามพระองค์ไปจนถึงที่สุด วันนี้เจ้าต้องสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง  เจ้าจะต้องทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยโดยการนำความจริงไปปฏิบัติในทุกสรรพสิ่งและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์  หากเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้ตลอดเวลา จะมีรากฐานภายในตัวเจ้า และพระเจ้าจะทรงสร้างแรงบันดาลใจในหัวใจของเจ้าที่รักพระองค์ และพระองค์จะทรงมอบความเชื่อแก่เจ้า  วันหนึ่ง เมื่อการทดสอบอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าอาจทนทุกข์กับความเจ็บปวดบางอย่างและรู้สึกเสียใจถึงจุดหนึ่ง และทนทุกข์กับความเศร้าโศกที่บีบคั้น ราวกับว่าเจ้าได้ตายไปแล้ว—แต่หัวใจที่รักพระเจ้าของเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง่ และจะยิ่งหยั่งลึกลงไปอีก  เช่นนั้นคือพรของพระเจ้า  หากเจ้าสามารถยอมรับทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสและทรงกระทำในวันนี้ด้วยหัวใจที่นบนอบ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะได้รับการอวยพรจากพระเจ้าอย่างแน่นอน และดังนั้น เจ้าจะเป็นใครบางคนที่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้าและได้รับพระสัญญาของพระองค์  หากในวันนี้ เจ้าไม่ปฏิบัติ เมื่อการทดสอบทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้าในวันหนึ่ง เจ้าจะปราศจากความเชื่อหรือหัวใจที่มีรัก และในเวลานั้นการทดสอบนั้นจะกลายเป็นการทดลอง เจ้าจะถลำลงไปท่ามกลางการทดลองของซาตานและจะไม่มีหนทางที่จะหลบหนี  วันนี้ เจ้าอาจสามารถตั้งมั่นอยู่ได้เมื่อการทดสอบเล็กๆ เกิดขึ้นกับเจ้า แต่ไม่จำเป็นว่าเจ้าจะสามารถตั้งมั่นอยู่ได้เมื่อการทดสอบใหญ่เกิดขึ้นกับเจ้าวันหนึ่ง  บางคนนั้นอวดดีและคิดว่าพวกเขาใกล้จะมีความเพียบพร้อมแล้ว  หากเจ้าไม่ไปให้ลึกกว่านั้นในช่วงเวลาเช่นนั้น และยังคงพึงพอใจ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะตกอยู่ในอันตราย  วันนี้ พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจของการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและทุกอย่างดูเหมือนว่าเรียบร้อยดี แต่เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบเจ้า เจ้าจะค้นพบว่าเจ้าขาดพร่องเกินไป เพราะวุฒิภาวะของเจ้านั้นน้อยเกินไปและเจ้าไม่สามารถสู้ทนการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายได้  หากเจ้ายังคงเป็นเหมือนที่เจ้าเป็นและอยู่ในสภาวะแห่งความเฉื่อย เช่นนั้นแล้ว เมื่อการทดสอบทั้งหลายมาถึง เจ้าจะล้ม  พวกเจ้าควรหมั่นดูว่าวุฒิภาวะของพวกเจ้านั้นน้อยเพียงใด  ในหนทางนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะก้าวหน้าได้  หากมีเพียงในช่วงระหว่างการทดสอบทั้งหลายเท่านั้นที่เจ้าจะมองเห็นว่าวุฒิภาวะของเจ้านั้นน้อยยิ่งนัก เห็นว่าพลังใจของเจ้าอ่อนกำลังยิ่งนัก เห็นว่าภายในตัวเจ้ามีสิ่งที่เป็นจริงน้อยเกินไป และเห็นว่าเจ้าไม่มีความสามารถพอที่จะทำตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า—หากเจ้าตระหนักในสิ่งเหล่านี้เฉพาะตอนนั้นเท่านั้น มันก็จะสายเกินไป

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง

หากปราศจากพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นความเป็นจริงของเจ้า เจ้าก็ไม่มีวุฒิภาวะที่แท้จริง เมื่อถึงเวลาที่จะต้องถูกทดสอบ เจ้าจะสอบตกอย่างแน่นอน และเมื่อนั้นวุฒิภาวะแท้จริงของเจ้าก็จะถูกเปิดโปง  แต่บรรดาผู้ที่แสวงหาการเข้าสู่ความเป็นจริงเป็นปกติย่อมจะได้มาเข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ในยามที่ถูกรุมเร้าโดยการทดสอบต่างๆ  บุคคลผู้ซึ่งมีมโนธรรมและผู้กระหายในพระเจ้า ควรลงมือดำเนินการอย่างจริงจังในทางปฏิบัติเพื่อตอบแทนพระเจ้าสำหรับความรักของพระองค์  พวกที่ไม่มีความเป็นจริงไม่สามารถตั้งมั่นอยู่ได้ในการเผชิญหน้ากับแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญอะไร  เช่นนั้นเองที่เป็นความแตกต่างระหว่างบรรดาผู้ที่มีวุฒิภาวะแท้จริงกับพวกที่ไม่มี  แม้ว่าพวกเขาทั้งกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า บางคนสามารถตั้งมั่นอยู่ท่ามกลางการทดสอบได้ ในขณะที่คนอื่นๆ นั้นหลบหนี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?  ความแตกต่างที่เห็นชัดเจนก็คือ บางคนขาดวุฒิภาวะแท้จริง พวกเขาไม่มีพระวจนะของพระเจ้าที่จะใช้เป็นความเป็นจริงของตน และพระวจนะของพระองค์ก็ไม่ได้ลงรากลึกภายในพวกเขา  ทันทีที่พวกเขาถูกทดสอบ พวกเขาก็ไปถึงจุดจบของเส้นทางของพวกเขาแล้ว  เช่นนั้น ทำไมบางคนจึงสามารถตั้งมั่นในท่ามกลางการทดสอบทั้งหลายได้เล่า?  นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาเข้าใจความจริงและมีนิมิตและพวกเขาเข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงสามารถตั้งมั่นผ่านการทดสอบทั้งหลายได้  นี่คือวุฒิภาวะที่แท้จริง และนี่ก็คือชีวิตเช่นกัน  บางคนอาจอ่านพระวจนะของพระเจ้าเช่นกัน แต่ไม่ได้นำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติ ไม่ได้รับพระวจนะเหล่านั้นไว้อย่างจริงจัง พวกที่ไม่ได้จริงจังกับพระวจนะเหล่านั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติ  พวกที่ไม่มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นความเป็นจริงของตนนั้นย่อมปราศจากวุฒิภาวะที่แท้จริง และผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถตั้งมั่นจนตลอดการทดสอบได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ยุคแห่งราชอาณาจักรคือยุคพระวจนะ

เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องส่งมอบหัวใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  หากเจ้ามอบถวายและวางหัวใจของเจ้าลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าจนหมดสิ้นแล้วไซร้ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะปฏิเสธพระเจ้าหรือไปจากพระเจ้าในระหว่างกระบวนการถลุง  ด้วยหนทางนี้ สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็จะกลายเป็นใกล้ชิดมากขึ้นทุกทีและมีความเป็นปกติมากขึ้นทุกที และการเข้าสนิทของเจ้ากับพระเจ้าก็จะกลายเป็นถี่ขึ้นเรื่อยๆ  หากเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้เสมอแล้วไซร้ เจ้าก็จะใช้เวลาในความสว่างของพระเจ้ามากขึ้น และใช้เวลาภายใต้การทรงนำของพระวจนะของพระองค์มากขึ้น  จะมีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้ามากยิ่งขึ้นเช่นกัน และความรู้ของเจ้าก็จะเพิ่มมากขึ้นวันต่อวัน  เมื่อถึงวันที่การทดสอบของพระเจ้าตกมาถึงเจ้าอย่างฉับพลัน เจ้าจะไม่เพียงมีความสามารถที่จะยืนเคียงข้างพระเจ้าได้เท่านั้น แต่ยังจะสามารถเป็นคำพยานให้แก่พระเจ้าได้ด้วยเช่นกัน  ณ เวลานั้น เจ้าก็จะเป็นเหมือนกับโยบ และเหมือนกับเปโตร  ครั้นได้เป็นคำพยานให้กับพระเจ้าแล้ว เจ้าก็จะรักพระองค์อย่างแท้จริง และจะวางชีวิตของเจ้าให้กับพระองค์อย่างเปรมปรีดิ์ เจ้าจะเป็นพยานของพระเจ้า และเป็นผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรัก  ความรักที่ได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงแล้วนั้นแข็งแกร่ง ไม่อ่อนแอ  ไม่ว่าพระองค์ทรงเกณฑ์เจ้าให้เข้าสู่การทดสอบของพระองค์เมื่อใดหรืออย่างไรก็ตาม เจ้าก็จะสามารถวางความกังวลของเจ้าเกี่ยวกับการที่เจ้ามีชีวิตอยู่หรือตายลงได้ สามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อพระเจ้าอย่างเปรมปรีดิ์ และสามารถสู้ทนทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้าอย่างมีความสุข—เมื่อเป็นดังนั้น ความรักของเจ้าจะบริสุทธิ์และความเชื่อของเจ้าจะแท้จริง  เมื่อถึงตอนนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะเป็นใครบางคนที่ได้รับความรักจากพระเจ้าอย่างแท้จริง และที่พระเจ้าได้ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมอย่างแท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์สามารถมีความรักแท้จริงได้ โดยการได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงเท่านั้น

ขณะก้าวผ่านบททดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือไม่ชัดเจนในเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเส้นทางของพวกเขาสำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ  แต่ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ปฏิเสธพระเจ้า เช่นเดียวกับโยบ  แม้ว่าโยบอ่อนแอและสาปแช่งวันเกิดของเขาเอง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบทุกสรรพสิ่งในชีวิตมนุษย์ และพระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่จะนำทุกสิ่งนั้นไปอีกด้วย  ไม่ว่าเขาจะก้าวผ่านบททดสอบอะไรมา เขาก็ได้ธำรงรักษาการเชื่อนี้ไว้  ในประสบการณ์ของเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าก้าวผ่านการถลุงอะไรโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมวลมนุษย์ โดยสังเขปแล้ว คือความเชื่อของพวกเขาและหัวใจที่รักพระเจ้าของพวกเขา  สิ่งที่พระองค์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมโดยการทรงพระราชกิจในหนทางนี้คือความเชื่อ ความรักและความทะเยอทะยานของผู้คน  พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมกับผู้คน และพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ ไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ เจ้าพึงต้องมีความเชื่อ  ผู้คนพึงต้องมีความเชื่อเมื่อบางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเจ้าพึงต้องมีความเชื่อเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองได้  เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงต้องทำคือการมีความเชื่อและจุดยืนที่หนักแน่น และยืนหยัดเข้มแข็งในคำพยานของเจ้า  เมื่อโยบได้มาถึงจุดนี้ พระเจ้าได้ทรงปรากฏต่อเขาและตรัสกับเขา  นั่นคือเฉพาะจากภายในความเชื่อของเจ้าเท่านั้นนั่นเองที่เจ้าจะมีความสามารถมองเห็นพระเจ้าได้ และเมื่อเจ้ามีความเชื่อ พระเจ้าก็จะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม  หากปราศจากความเชื่อ พระองค์จะไม่สามารถทำการนี้ได้  พระเจ้าจะทรงมอบสิ่งใดก็ตามที่เจ้าหวังจะได้รับให้แก่เจ้า  หากเจ้าไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและเจ้าจะไร้ความสามารถมองเห็นการกระทำของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรกับฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์  เมื่อเจ้ามีความเชื่อว่าเจ้าจะมองเห็นการกระทำของพระองค์ในประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงปรากฏต่อเจ้า และพระองค์จะทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเจ้าจากภายใน  หากปราศจากความเชื่อนั้น พระเจ้าจะทรงไร้ความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้  หากเจ้าได้สูญเสียความหวังในพระเจ้าไปแล้ว เจ้าจะสามารถผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ได้อย่างไรเล่า?  เพราะฉะนั้น เฉพาะเมื่อเจ้ามีความเชื่อและเจ้าไม่ได้เก็บงำความคลางแคลงใจต่อพระเจ้า เฉพาะเมื่อเจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงในพระองค์โดยไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด พระองค์จึงจะให้ความรู้แจ้งและให้ความกระจ่างแก่เจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ของเจ้า และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความสามารถมองเห็นการกระทำของพระองค์ได้  สิ่งเหล่านี้ล้วนสัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางความเชื่อ  ความเชื่อมาโดยผ่านทางการถลุงเท่านั้น และในกรณีที่ไม่มีการถลุง ความเชื่อก็ไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้  คำว่า “ความเชื่อ” นี้อ้างอิงถึงอะไรเล่า?  ความเชื่อคือการเชื่อที่จริงแท้และหัวใจที่จริงใจซึ่งมนุษย์ควรครองเมื่อพวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสบางสิ่งได้ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ เมื่อมันอยู่ไกลเกินเอื้อมของมนุษย์  นี่คือความเชื่อที่เราพูดถึง  ผู้คนมีความจำเป็นต้องมีความเชื่อในระหว่างช่วงเวลาแห่งความยากลำบากและการถลุง และความเชื่อคือบางสิ่งที่ตามมาด้วยการถลุง การถลุงและความเชื่อไม่สามารถแยกออกจากกันได้  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไร และไม่สำคัญว่าสภาพแวดล้อมของเจ้าเป็นอย่างไร เจ้ามีความสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาชีวิตและแสวงหาความจริง และแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าได้ และมีความเข้าใจในการกระทำของพระองค์ และเจ้ามีความสามารถที่จะกระทำตัวสอดคล้องกับความจริงได้  การทำเช่นนั้นคือการมีความเชื่อที่แท้จริง และการทำเช่นนั้นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้สูญเสียความเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว  เจ้าจะมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถยืนหยัดไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยการก้าวผ่านการถลุง ต่อเมื่อเจ้าสามารถรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและไม่เกิดคลางแคลงใจเกี่ยวกับพระองค์ขึ้นมา ต่อเมื่อเจ้ายังคงปฏิบัติความจริงเพื่อทำให้พระองค์พึงพอพระทัยไม่ว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใดก็ตาม และต่อเมื่อเจ้าสามารถแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์ในส่วนลึกของเจ้าและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ได้  ในอดีต เมื่อพระเจ้าได้ตรัสว่าเจ้าจะครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ เจ้าได้รักพระองค์ และเมื่อพระองค์ทรงแสดงพระองค์เองให้เจ้าเห็นอย่างเปิดเผย เจ้าก็ได้ไล่ตามเสาะหาพระองค์  แต่บัดนี้พระเจ้าทรงซ่อนเร้น เจ้าไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ และความยากลำบากได้มาถึงเจ้าโดยไม่คาดฝัน—เช่นนั้นแล้ว บัดนี้เจ้าสูญเสียความหวังในพระเจ้าหรือไม่?  ดังนั้นเจ้าต้องไล่ตามเสาะหาชีวิตและพยายามสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าตลอดเวลา  สิ่งนี้เรียกว่าความเชื่อที่จริงแท้ และนี่คือความรักประเภทที่แท้จริงที่สุดและงดงามที่สุด

ในอดีต ผู้คนทั้งหมดจะมาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าเพื่อสร้างปณิธานของพวกเขา และพวกเขาจะพูดว่า “ต่อให้ไม่มีผู้ใดอื่นรักพระเจ้า ข้าพระองค์ก็ต้องรักพระองค์”  แต่ตอนนี้ กระบวนการถลุงเกิดขึ้นแก่เจ้า และในเมื่อนี่ไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เจ้าก็สูญเสียความเชื่อในพระเจ้า  นี่คือความรักที่จริงแท้หรือไม่?  เจ้าได้อ่านเกี่ยวกับความประพฤติของโยบไปหลายครั้งหลายหนแล้ว—เจ้าได้ลืมเกี่ยวกับพวกมันไปแล้วหรือ?  ความรักที่แท้จริงสามารถเป็นรูปเป็นร่างได้จากภายในความเชื่อเท่านั้น  เจ้าพัฒนาความรักที่เป็นจริงสำหรับพระเจ้าโดยผ่านทางกระบวนการถลุงที่เจ้าก้าวผ่าน และโดยผ่านทางความเชื่อของเจ้านั่นเอง เจ้าจึงสามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าในประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้าได้ และโดยผ่านทางความเชื่อเช่นกันที่เจ้าขัดขืนเนื้อหนังของเจ้าเองและไล่ตามเสาะหาชีวิต นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรทำ  หากเจ้าทำสิ่งนี้แล้วไซร้ เจ้าย่อมจะสามารถมองเห็นการกระทำของพระเจ้าได้ แต่หากเจ้าขาดพร่องความเชื่อแล้วไซร้ เจ้าย่อมจะไร้ความสามารถที่จะมองเห็นการกระทำของพระเจ้าหรือผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ได้  หากเจ้าต้องการให้พระเจ้าทรงใช้เจ้าและทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมแล้วไซร้ เจ้าต้องมีทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือ เจตจำนงที่จะทนทุกข์ ความเชื่อ การสู้ทน การนบนอบ และความสามารถที่จะผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ คำนึงถึงความโศกเศร้าของพระองค์ และอื่นๆ  การทำให้บุคคลหนึ่งมีความเพียบพร้อมนั้นไม่ง่ายเลย และทุกๆ กระบวนการถลุงที่เจ้าผ่านประสบการณ์พึงต้องใช้ความเชื่อและความรักของเจ้า  หากเจ้าต้องการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เพียงแค่การแล่นไปข้างหน้าบนเส้นทางย่อมไม่พอเพียง อีกทั้งเพียงแค่การสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าก็ไม่พอเพียง  เจ้าต้องครองหลายสิ่งเพื่อที่จะมีความสามารถกลายเป็นใครบางคนที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าได้  เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ เจ้าต้องมีความสามารถที่จะวางความกังวลสนใจต่อเนื้อหนังไว้ก่อนและไม่ทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงซ่อนเร้นพระองค์เองจากเจ้า เจ้าต้องมีความสามารถที่จะมีความเชื่อที่จะติดตามพระองค์ ที่จะธำรงรักษาความรักก่อนหน้านี้ของเจ้าโดยไม่เปิดโอกาสให้มันกระท่อนกระแท่นหรือสูญสลาย  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด เจ้าต้องนบนอบการออกแบบของพระองค์และตระเตรียมที่จะสาปแช่งเนื้อหนังของเจ้าเองแทนที่จะทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระองค์  เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับการทดสอบ เจ้าต้องทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แม้ว่าเจ้าอาจร่ำไห้อย่างขมขื่นหรือรู้สึกอิดออดที่จะไปจากวัตถุอันเป็นที่รักบางอย่าง  สิ่งนี้เท่านั้นคือความรักและความเชื่อที่แท้จริง  ไม่สำคัญว่าวุฒิภาวะจริงของเจ้าจะเป็นอะไร ก่อนอื่นเจ้าต้องครองทั้งเจตจำนงที่จะทนทุกข์ความยากลำบากและความเชื่อที่แท้จริง และเจ้าต้องมีเจตจำนงที่จะขัดขืนเนื้อหนังอีกด้วย  เจ้าควรเต็มใจสู้ทนความยากลำบากส่วนตัวและทนทุกข์กับการสูญเสียผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าเพื่อที่จะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เจ้าต้องสามารถรู้สึกเสียใจเกี่ยวกับตัวเจ้าเองในหัวใจของเจ้าอีกด้วย กล่าวคือ ในอดีตนั้น เจ้าไม่ได้มีความสามารถที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ และบัดนี้ เจ้าสามารถเสียใจได้ด้วยตัวเจ้าเอง  เจ้าต้องไม่กำลังขาดพร่องสิ่งใดในเรื่องเหล่านี้—โดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้นั่นเองที่พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม  หากเจ้าไม่สามารถประจวบพ้องกับเกณฑ์กำหนดเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่สามารถถูกทำให้มีความเพียบพร้อมได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง

ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์  แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า  เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือการกระทำของมนุษย์และการรบกวนของพวกมนุษย์  เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ  ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอคติต่อบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า เจ้าจะมีคำพูดที่เจ้าต้องการพูด—คำพูดซึ่งเจ้ารู้สึกว่าอาจเป็นที่ไม่พอพระทัยต่อพระเจ้า—แต่หากเจ้าไม่พูดคำพูดเหล่านั้น เจ้าจะรู้สึกถึงความกระอักกระอ่วนภายใน และ ณ ชั่วขณะนี้ การสู้รบจะเริ่มขึ้นภายในตัวเจ้า กล่าวคือ “ฉันจะพูดหรือไม่พูดดี”  นี่คือการสู้รบ  ด้วยเหตุนี้ ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเผชิญมีการสู้รบอย่างหนึ่ง และเมื่อมีการสู้รบภายในตัวเจ้า เนื่องแต่ความร่วมมือจริงและความทุกข์จริงของเจ้า พระเจ้าจึงทรงพระราชกิจภายในตัวเจ้า  ท้ายที่สุด เจ้าจะสามารถละวางเรื่องนั้นลงได้ภายในตัวของเจ้าและโทสะก็ดับไปตามธรรมชาติ  เช่นนั้นคือผลจากความร่วมมือของเจ้ากับพระเจ้า  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้คนทำพึงกำหนดให้พวกเขาต้องจ่ายราคาหนึ่งในความพยายามทั้งหลายของพวกเขา  หากปราศจากความยากลำบากจริง พวกเขาจะไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ พวกเขาไม่แม้กระทั่งมาใกล้เคียงกับการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเลย และพวกเขาก็แค่พ่นคำขวัญที่ว่างเปล่าทั้งหลายเท่านั้น!  คำขวัญที่ว่างเปล่าเหล่านี้จะสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้หรือ?  เมื่อพระเจ้าและซาตานทำการสู้รบในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างไร และเจ้าควรตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าต่อพระองค์อย่างไร?  เจ้าควรรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่และเป็นเวลาที่พระเจ้าจำเป็นต้องทรงให้เจ้าเป็นคำพยาน  แม้สิ่งเหล่านั้นอาจดูเหมือนว่าไม่สำคัญจากภายนอก แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพวกมันแสดงให้เห็นว่าเจ้ารักพระเจ้าหรือไม่  หากเจ้ารัก เจ้าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าต่อพระองค์ได้ และหากเจ้าไม่ได้นำการรักพระองค์ไปปฏิบัติ นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่นำความจริงไปปฏิบัติ แสดงให้เห็นว่าเจ้าปราศจากความจริง และปราศจากชีวิต แสดงให้เห็นว่าเจ้าคือแกลบ!  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผู้คนเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าจำเป็นต้องทรงให้พวกเขาตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระองค์  แม้ไม่มีอะไรที่สำคัญกำลังเกิดขึ้นกับเจ้า ณ ชั่วขณะนี้และเจ้าไม่ได้เป็นคำพยานที่ยิ่งใหญ่ แต่ทุกรายละเอียดในชีวิตประจำวันของเจ้าก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับคำพยานต่อพระเจ้า  หากเจ้าสามารถได้รับความเลื่อมใสจากบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า บรรดาสมาชิกครอบครัวของเจ้า และทุกๆ คนรอบตัวเจ้า หากวันหนึ่ง ผู้ไม่มีความเชื่อมาเลื่อมใสทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ และเห็นว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นน่ามหัศจรรย์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะได้เป็นคำพยานแล้ว  แม้ว่าเจ้าจะไม่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและขีดความสามารถของเจ้านั้นต่ำ แต่เพราะพระเจ้าทรงทำให้เจ้าเพียบพร้อม เจ้าย่อมสามารถทำให้พระองค์พึงพอพระทัยและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ได้  โดยแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าพระราชกิจยิ่งใหญ่ใดที่พระองค์ได้ทรงทำไปในผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำที่สุด  เมื่อผู้คนได้มารู้จักพระเจ้าและได้กลายเป็นผู้ชนะทั้งหลายต่อหน้าซาตาน จงรักภักดีต่อพระเจ้าเป็นอย่างมาก  เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดมีความกล้ามากไปกว่าผู้คนกลุ่มนี้  และนี่เป็นคำพยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  แม้ว่าเจ้าจะไร้ความสามารถในการทำงานที่ยิ่งใหญ่ แต่เจ้าก็สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้  คนอื่นๆ ไม่สามารถละวางมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของพวกเขาลงได้ แต่เจ้าสามารถทำได้ คนอื่นๆ ไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าในช่วงระหว่างประสบการณ์จริงของพวกเขาได้ แต่เจ้าสามารถใช้วุฒิภาวะแท้จริงและการกระทำทั้งหลายของเจ้าเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้าและเป็นคำพยานที่กังวานก้องต่อพระองค์ได้  นี่เท่านั้นที่ถือเป็นการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง  หากเจ้าไม่มีความสามารถในเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ได้เป็นคำพยานท่ามกลางบรรดาสมาชิกในครอบครัวของเจ้า ท่ามกลางบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า หรือต่อหน้าผู้คนของโลก  หากเจ้าไม่สามารถเป็นคำพยานต่อหน้าซาตานได้ ซาตานจะหัวเราะเยาะเจ้า มันจะปฏิบัติกับเจ้าอย่างตัวตลกตัวหนึ่ง อย่างของเล่นชิ้นหนึ่ง มันจะหลอกเจ้าและทำให้เจ้าเสียสติบ่อยๆ  ในอนาคต การทดสอบที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายอาจเกิดขึ้นกับเจ้า—แต่ในวันนี้ หากเจ้ารักพระเจ้าด้วยหัวใจแท้จริง และหากเจ้าสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าและสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ไม่ว่าการทดสอบทั้งหลายข้างหน้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเจ้า เช่นนั้นแล้ว หัวใจของเจ้าจึงจะได้รับการชูใจ และเจ้าจะไม่เกรงกลัวไม่สำคัญว่าการทดสอบทั้งหลายที่เจ้าเผชิญในอนาคตจะยิ่งใหญ่เพียงใด  พวกเจ้าไม่สามารถเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต พวกเจ้าสามารถเพียงทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ในรูปการณ์แวดล้อมของวันนี้เท่านั้น  พวกเจ้าไม่สามารถทำงานที่ยิ่งใหญ่ใดๆ และควรมุ่งความสนใจกับการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยโดยการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ในชีวิตจริง และเป็นคำพยานอันหนักแน่นและกังวานก้องซึ่งนำความอับอายมาสู่ซาตานแล้ว  แม้ว่าเนื้อหนังของเจ้าจะยังคงไม่พึงพอใจและจะได้ทนทุกข์อยู่ เจ้าจะได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและได้นำความอับอายมาสู่ซาตาน  หากเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้ตลอดเวลา พระเจ้าจะทรงเปิดเส้นทางเบื้องหน้าเจ้า  เมื่อวันหนึ่ง การทดสอบที่ยิ่งใหญ่มาถึง คนอื่นๆ จะล้มลง แต่เจ้าจะยังคงสามารถตั้งมั่นอยู่ได้ กล่าวคือ เพราะราคาที่เจ้าได้จ่ายไปแล้ว พระเจ้าจะทรงปกป้องเจ้าเพื่อให้เจ้าสามารถตั้งมั่นได้และไม่ล้มลง  หากตามปกติแล้ว เจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ด้วยหัวใจที่รักพระเจ้าโดยแท้ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะทรงปกป้องเจ้าในช่วงระหว่างการทดสอบทั้งหลายในอนาคตอย่างแน่นอน  แม้เจ้าจะโง่เขลาและมีวุฒิภาวะน้อยนิดและมีขีดความสามารถต่ำ พระเจ้าจะไม่ทรงเลือกที่รักมักที่ชังกับเจ้า  มันขึ้นอยู่กับว่าเจตนาทั้งหลายของเจ้านั้นถูกต้องหรือไม่  วันนี้ เจ้าสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ ซึ่งเจ้าใส่ใจต่อรายละเอียดที่เล็กที่สุด เจ้าทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ในทุกสรรพสิ่ง เจ้ามีหัวใจที่รักพระเจ้าโดยแท้ เจ้ามอบหัวใจที่แท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และแม้ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่สามารถเข้าใจได้ เจ้าก็สามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแก้ไขเจตนาทั้งหลายของเจ้าให้ถูกต้องและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเจ้าทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  บางทีบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าอาจจะทิ้งเจ้าไป แต่หัวใจของเจ้าจะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และเจ้าจะไม่ละโมบความยินดีของเนื้อหนัง  หากเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้ตลอดเวลา เจ้าจะได้รับการปกป้องเมื่อการทดสอบที่ยิ่งใหญ่มาถึงเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง

การที่ผู้คนจะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาต้องเข้าใจพระราชกิจในปัจจุบันของพระองค์และวิธีที่มวลมนุษย์ควรร่วมมือเสียก่อน  แท้จริงแล้ว นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ทุกคนควรเข้าใจ  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการถลุงหรือแม้พระองค์จะไม่ได้กำลังตรัสก็ตาม แต่ก็ไม่มีสักขั้นตอนเดียวของพระราชกิจของพระเจ้าที่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมวลมนุษย์  แต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระองค์สลายและพังลงเมื่อผ่านมโนคติที่หลงผิดของผู้คน  นี่คือพระราชกิจของพระองค์  แต่เจ้าต้องเชื่อว่า เนื่องด้วยพระราชกิจของพระเจ้าได้มาถึงช่วงระยะหนึ่งแล้ว พระองค์จะไม่ทรงทำให้มวลมนุษย์ทั้งหมดถึงแก่ความตายไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม  พระองค์ประทานทั้งสัญญาและพรแก่มนุษย์ และบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไล่ตามเสาะหาพระองค์จะสามารถได้รับพรของพระองค์ แต่พวกที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาพระองค์ย่อมจะถูกพระเจ้ากำจัดออกไป  นี่ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของเจ้า  ไม่ว่าสิ่งอื่นใดจะเป็นอย่างไรก็ตาม เจ้าต้องเชื่อว่าเมื่อพระราชกิจของพระเจ้าได้รับการสรุปปิดตัวแล้ว บุคคลทุกคนจะมีบั้นปลายที่เหมาะสม  พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมความทะเยอทะยานที่สวยงามให้แก่มวลมนุษย์ แต่หากไร้ซึ่งการไล่ตามเสาะหา ความทะเยอทะยานเหล่านั้นก็ไม่อาจบรรลุได้  เจ้าควรสามารถเห็นการนี้ได้ในตอนนี้—กระบวนการถลุงของพระเจ้าและการตีสอนผู้คนของพระองค์คือพระราชกิจของพระองค์ แต่ในส่วนของผู้คน พวกเขาต้องไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยตลอดเวลา  ในประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้า เจ้าต้องรู้วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเสียก่อน เจ้าต้องพบสิ่งที่เจ้าควรเข้าสู่และข้อบกพร่องของตัวเจ้าเองภายในพระวจนะของพระองค์ เจ้าควรแสวงหาการเข้าสู่ประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้า และรับเอาส่วนของพระวจนะของพระเจ้าที่ควรนำไปปฏิบัติและพยายามทำเช่นนั้น  การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าคือแง่มุมหนึ่ง  นอกจากนี้ ชีวิตทางคริสตจักรต้องได้รับการคงไว้ เจ้าต้องมีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ และเจ้าต้องสามารถส่งมอบสภาวะปัจจุบันทั้งหมดของเจ้าแด่พระเจ้า  ไม่สำคัญว่าพระราชกิจของพระองค์เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเจ้าควรยังคงเป็นปกติ  ชีวิตฝ่ายวิญญาณสามารถคงไว้ซึ่งการเข้าสู่อันปกติของเจ้าได้  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด เจ้าควรที่จะดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณของเจ้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่ถูกขัดจังหวะและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรทำ  สิ่งนี้เป็นพระราชกิจทั้งหมดของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่สำหรับผู้ที่มีสภาพเงื่อนไขปกติแล้ว นี่คือความเพียบพร้อม สำหรับผู้ที่มีสภาพเงื่อนไขผิดปกติ สิ่งนี้คือการทดสอบ  ในช่วงระยะปัจจุบันของพระราชกิจแห่งการถลุงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนบางคนกล่าวว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ยิ่งนักและว่าผู้คนจำเป็นต้องมีการถลุงอย่างยิ่งยวด มิเช่นนั้นวุฒิภาวะของพวกเขาจะน้อยเกินไปและพวกเขาจะไม่มีทางบรรลุเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้  อย่างไรก็ตาม สำหรับพวกที่มีสภาพเงื่อนไขที่ไม่ดี สิ่งนี้ก็กลายเป็นเหตุผลหนึ่งในการไม่ไล่ตามเสาะหาพระเจ้า และกลายเป็นเหตุผลหนึ่งในการไม่เข้าร่วมการชุมนุมหรือกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า  ในพระราชกิจของพระเจ้า ไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใดหรือการเปลี่ยนแปลงใดที่พระองค์ทรงก่อให้เกิดขึ้นก็ตาม ผู้คนต้องคงไว้ซึ่งเส้นฐานของชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ  บางทีเจ้าอาจไม่ได้หละหลวมในช่วงระยะปัจจุบันนี้ของชีวิตฝ่ายวิญญาณของเจ้า แต่เจ้าก็ยังคงไม่ได้รับไว้มากมาย และไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตอันยิ่งใหญ่  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมแบบนี้ ต่อให้เจ้ายึดมั่นในชีวิตฝ่ายวิญญาณของตนเหมือนว่าเจ้ากำลังยึดปฏิบัติตามกฎข้อบังคับสักข้อ เจ้าก็ต้องยึดมั่นในชีวิตดังกล่าวอยู่ดี เจ้าต้องรักษากฎข้อบังคับข้อนี้ เพื่อให้ตัวเจ้าไม่ทนทุกข์กับความสูญเสียในชีวิตของตนและเพื่อให้เจ้าสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้  หากชีวิตฝ่ายวิญญาณของเจ้าผิดปกติ เจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้า และในทางกลับกันย่อมรู้สึกอยู่เสมอว่าสิ่งนั้นเข้ากันไม่ได้อย่างสมบูรณ์กับมโนคติที่หลงผิดของตัวเจ้าเองแทน และแม้ว่าเจ้าเต็มใจที่จะติดตามพระองค์ เจ้าก็ขาดพร่องแรงขับเคลื่อนภายใน  ดังนั้น ไม่สำคัญว่าปัจจุบันนี้พระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งใดอยู่ก็ตาม ผู้คนต้องร่วมมือด้วย  หากผู้คนไม่ร่วมมือ เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่สามารถทรงพระราชกิจของพระองค์ได้ และหากผู้คนไม่มีหัวใจที่จะร่วมมือ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ยากที่จะได้พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้  หากเจ้าต้องการมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในตัวเจ้า และหากเจ้าต้องการได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องคงไว้ซึ่งการอุทิศตนดั้งเดิมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ตอนนี้ ไม่จำเป็นที่เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น ทฤษฎีที่สูงขึ้น หรือสิ่งอื่นเช่นนั้น—ทั้งหมดที่พึงต้องมีก็คือว่า เจ้าจะต้องค้ำชูพระวจนะของพระเจ้าบนรากฐานดั้งเดิม  หากผู้คนไม่ร่วมมือกับพระเจ้าและไม่ไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงพรากทุกสรรพสิ่งที่เดิมเคยเป็นของพวกเขา  ภายในนั้น ผู้คนโลภอยากได้ความสะดวกสบายและอยากชื่นชมสิ่งที่หาได้ง่ายมากกว่า  พวกเขาต้องการได้รับสัญญาของพระเจ้าโดยไม่ยอมลำบากใดๆ เลย  เหล่านี้เป็นความคิดฟุ้งเฟ้อที่มวลมนุษย์นั้นเพลิดเพลิน  การได้รับชีวิตมาโดยไม่ยอมลำบาก—ทว่าเคยมีสิ่งใดที่ง่ายดายเช่นนี้หรือไม่?  เมื่อใครคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้าและแสวงหาการเข้าสู่ชีวิตและแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา พวกเขาจะต้องยอมลำบากและสัมฤทธิ์สภาวะที่พวกเขาจะใช้ติดตามพระเจ้าเสมอ ไม่สำคัญว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใด  นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนต้องทำ แม้เจ้าทำตามทั้งหมดนี้เสมือนข้อบังคับข้อหนึ่ง เจ้าก็ต้องค้ำชูสิ่งนี้อยู่เสมอ และไม่สำคัญว่าการทดสอบจะยิ่งใหญ่เพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถปล่อยสัมพันธภาพปกติของเจ้ากับพระเจ้าไปได้  เจ้าควรจะสามารถอธิษฐาน คงไว้ซึ่งชีวิตคริสตจักรของเจ้า และไม่ทิ้งบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าเป็นอันขาด  เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบเจ้า เจ้าก็ยังคงควรแสวงหาความจริง  นี่เป็นข้อพึงประสงค์ขั้นต่ำสำหรับชีวิตฝ่ายวิญญาณ  การมีความพึงปรารถนาที่จะแสวงหาอยู่เสมอ และการเพียรพยายามที่จะร่วมมือ การใช้กำลังวังชาทั้งหมดของเจ้า—การนี้สามารถทำได้หรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรธำรงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าแด่พระเจ้า

ไม่สำคัญว่าบททดสอบอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติต่อบททดสอบนั้นว่าเป็นภาระที่พระเจ้าทรงมอบแก่เจ้า  สมมติผู้คนบางคนถูกรุมเร้าด้วยความเจ็บไข้ใหญ่หลวงและความทุกข์ที่ไม่อาจรับได้ บางคนเผชิญหน้ากับความตายด้วยซ้ำ  พวกเขาควรเข้าหาสถานการณ์ประเภทนี้อย่างไร?  ในหลายกรณี บททดสอบของพระเจ้าคือภาระที่พระองค์ทรงมอบแก่ผู้คน  ไม่ว่าภาระที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด นั่นคือน้ำหนักของภาระที่เจ้าควรดำเนินการ เพราะพระเจ้าเข้าพระทัยเจ้า และทรงรู้ว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะแบกรับมัน  ภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่เจ้าจะไม่มากเกินกว่าวุฒิภาวะของเจ้าหรือขีดจำกัดความอดทนของเจ้า ดังนั้น จึงไม่มีคำถามเลยว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะแบกรับมันหรือไม่  ไม่ว่าภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้าจะมีลักษณะใด บททดสอบเป็นประเภทใด จงจำไว้สิ่งหนึ่งว่า  ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่ ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หลังจากที่เจ้าอธิษฐานหรือไม่ ไม่ว่าบททดสอบนี้จะเป็นการบ่มวินัยหรือตักเตือนเจ้าจากพระเจ้าก็ตาม หากเจ้าไม่เข้าใจ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ  ตราบเท่าที่เจ้าไม่รอช้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และสามารถยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดี พระเจ้าก็จะพึงพอพระทัย และเจ้าจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า  และสามารถยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดี พระเจ้าก็จะพึงพอพระทัย และเจ้าจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า  เมื่อมองเห็นว่าพวกเขากำลังทนทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงและกำลังจะตาย ผู้คนบางคนคิดกับตัวพวกเขาเองว่า “ที่ฉันเริ่มต้นเชื่อในพระเจ้าก็เพื่อหลีกเลี่ยงความตาย—แต่นั่นกลายเป็นว่าแม้หลังจากหลายปีแห่งการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน  พระองค์กำลังจะปล่อยให้ฉันตาย  ฉันควรจะทำกิจธุระของฉันเอง ทำสิ่งทั้งหลายที่ฉันต้องการทำเสมอมา และชื่นชมสิ่งทั้งหลายที่ฉันยังไม่ได้ชื่นชมในชีวิตนี้  ฉันสามารถเลื่อนการทำหน้าที่ของฉันออกไปได้”  นี่คือท่าทีอะไร?  เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ามาโดยตลอดเป็นเวลาหลายปี เจ้าได้ฟังคำเทศนาเหล่านี้ทั้งหมด และเจ้ายังคงไม่ได้เข้าใจความจริง  บททดสอบหนึ่งโค่นล้มเจ้า ทำให้เจ้าเข่าทรุดลง และตีแผ่เจ้า  บุคคลเช่นนั้นมีค่าคู่ควรต่อการที่พระเจ้าจะทรงเอาพระทัยใส่กระนั้นหรือ?  (พวกเขาไม่คู่ควร)  พวกเขาปราศจากความจงรักภักดีโดยสิ้นเชิง  ดังนั้น หน้าที่ที่พวกเขาใช้เวลาตลอดหลายปีนี้ปฏิบัติไปเป็นที่รู้จักกันว่าอะไร?  การนั้นเป็นที่รู้จักกันว่าเป็น “การทำงานปรนนิบัติ” และพวกเขาแค่เพียงทุ่มเทกำลังตัวพวกเขาเองเท่านั้น  หากในความเชื่อในพระเจ้าและในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า เจ้าสามารถกล่าวได้ว่า “ความป่วยไข้หรือเหตุการณ์ไม่น่าพึงใจอันใดก็ตามที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้บังเกิดกับฉัน—ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด—ฉันต้องนบนอบ และอยู่ในที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ก่อนสิ่งอื่นทั้งปวง ฉันต้องนำความจริงแง่มุมนี้—การนบนอบ—มาปฏิบัติ ฉันต้องนำการนี้มาทำให้เป็นผล และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งการนบนอบพระเจ้า  ที่มากกว่านั้นคือ ฉันต้องไม่ทิ้งสิ่งที่พระเจ้าได้มีพระบัญชาแก่ฉันและหน้าที่ที่ฉันควรปฏิบัติ  ต่อให้เป็นลมหายใจห้วงสุดท้ายของฉัน ฉันก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของฉัน”  นี่ไม่ใช่การเป็นคำพยานหรอกหรือ?  เมื่อเจ้ามีการตัดสินใจแน่วแน่ประเภทนี้และสภาวะประเภทนี้ เจ้าจะยังคงมีความสามารถที่จะคร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าได้หรือ?  ไม่ เจ้าทำไม่ได้  ในเวลาเช่นนั้น เจ้าจะคิดกับตัวเจ้าเองว่า “พระเจ้าทรงมอบลมหายใจนี้ให้ฉัน พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมให้ฉันและทรงคุ้มครองฉันตลอดหลายปีมานี้ พระองค์ทรงรับความเจ็บปวดไปจากฉัน ทรงมอบพระคุณมากมายและความจริงมากมายให้แก่ฉัน  ฉันได้เข้าใจความจริงและความล้ำลึกที่ผู้คนยังไม่เข้าใจมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน  ฉันได้รับมาจากพระเจ้ามากมายยิ่งนัก  ดังนั้น ฉันต้องชดใช้คืนให้พระเจ้า!  เมื่อก่อนนั้น วุฒิภาวะของฉันเล็กน้อยเกินไป ฉันไม่เคยเข้าใจสิ่งใด และทุกสิ่งที่ฉันทำเป็นที่น่าเจ็บปวดสำหรับพระเจ้า  ฉันอาจไม่มีโอกาสอื่นอีกในการชดใช้คืนให้พระเจ้าในอนาคต  ไม่ว่าฉันมีเวลาเหลือที่จะใช้ชีวิตอีกเท่าไร ฉันต้องถวายเรี่ยวแรงกำลังอันน้อยนิดที่ฉันมีและทำสิ่งที่ฉันสามารถทำได้เพื่อพระเจ้า เพื่อที่พระองค์จะทรงสามารถมองเห็นว่าตลอดหลายปีแห่งการจัดเตรียมให้แก่ฉันนี้ไม่ได้สูญเปล่าเลย แต่ได้เกิดดอกผลแล้ว  ขอให้ฉันได้นำความชูใจมาสู่พระเจ้า และไม่ทำร้ายหรือทำให้พระองค์ทรงผิดหวังอีกต่อไป”  การคิดในหนทางนี้เป็นอย่างไรบ้าง?  จงอย่าคิดถึงวิธีที่จะช่วยตัวเจ้าเองให้รอดหรือหนีพ้น โดยการคิดว่า “เมื่อไหร่ความเจ็บไข้ได้ป่วยนี้จะได้รับการเยียวยา?  เมื่อถึงเวลานั้น ฉันจะทำสุดความสามารถเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของฉันและจงรักภักดี  ฉันจะสามารถจงรักภักดีในตอนที่ฉันป่วยได้อย่างไร?  ฉันจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร?”  ตราบเท่าที่เจ้ามีลมหายใจหนึ่ง เจ้าไม่สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้หรือ?  ตราบเท่าที่เจ้ามีลมหายใจหนึ่ง เจ้าสามารถที่จะไม่นำความอับอายมาสู่พระเจ้าได้หรือไม่?  ตราบเท่าที่เจ้ามีลมหายใจหนึ่ง ตราบเท่าที่จิตใจของเจ้าแจ่มแจ้ง เจ้าสามารถที่จะไม่คร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าได้หรือไม่?  (เจ้าสามารถทำได้)  มันง่ายที่จะพูดว่า “ได้” ในตอนนี้ แต่มันจะไม่ง่ายเช่นนั้นเมื่อการนี้เกิดขึ้นกับเจ้าจริงๆ  และดังนั้น พวกเจ้าต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ทำงานหนักเกี่ยวกับความจริงบ่อยครั้ง และใช้เวลาคิดให้มากขึ้นว่า “ฉันจะสามารถสนองน้ำพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร?  ฉันจะสามารถชดใช้คืนความรักของพระเจ้าอย่างไร?  ฉันจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร?”  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างคืออะไร?  หน้าที่รับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างคือแค่ฟังพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นหรือ?  ไม่ใช่—นั่นคือการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า  พระเจ้าได้ทรงมอบความจริงมากมายยิ่งนัก หนทางมากมายยิ่งนักและชีวิตมากมายยิ่งนักให้แก่เจ้า เพื่อที่เจ้าอาจใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ และเป็นคำพยานต่อพระองค์  นี่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรจะทำ  และนี่เป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หนทางข้างหน้ามีอยู่แต่ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและใคร่ครวญความจริงเป็นนิจเท่านั้น

สำหรับทุกขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้า มีทางหนึ่งที่ผู้คนควรร่วมมือด้วย  พระเจ้าทรงถลุงผู้คนเพื่อให้พวกเขามีความมั่นใจในยามที่พวกเขาก้าวผ่านกระบวนการถลุง  พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนเพียบพร้อมเพื่อให้พวกเขามีความมั่นใจที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า และเต็มใจที่จะยอมรับการถลุงของพระองค์และการตัดแต่งจากพระเจ้า  พระวิญญาณของพระเจ้าทรงพระราชกิจภายในผู้คนเพื่อนำความรู้แจ้งและความกระจ่างมาสู่พวกเขา และเพื่อให้พวกเขาร่วมมือกับพระองค์และปฏิบัติตาม  พระเจ้าไม่ตรัสในช่วงระหว่างกระบวนการถลุง  พระองค์ไม่ดำรัสพระสุรเสียงของพระองค์ แต่กระนั้นก็ยังมีงานที่ผู้คนควรทำ เจ้าควรค้ำชูสิ่งที่เจ้ามีอยู่แล้ว เจ้าควรยังคงสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้า ใกล้ชิดกับพระเจ้า และยืนหยัดเป็นพยานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ในหนทางนี้เจ้าจะทำหน้าที่ของตัวเจ้าเองให้ลุล่วง  พวกเจ้าทุกคนควรเห็นอย่างชัดเจนจากพระราชกิจของพระเจ้าว่า การทดสอบของพระองค์ในเรื่องความเชื่อมั่นและความรักของผู้คนนั้น พึงประสงค์ให้พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้ามากขึ้น และให้พวกเขาลิ้มรสพระวจนะของพระเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์บ่อยครั้งขึ้น  หากพระเจ้าประทานความรู้แจ้งแก่เจ้าและให้เจ้าทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ แต่เจ้ากลับไม่ปฏิบัติตามแต่อย่างใด เจ้าก็จะไม่ได้รับสิ่งใดไว้  เมื่อเจ้านำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ เจ้าควรยังคงสามารถอธิษฐานต่อพระองค์ได้ และเมื่อเจ้าลิ้มรสพระวจนะของพระองค์ เจ้าควรมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์และแสวงหา และมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในพระองค์ โดยไม่มีร่องรอยของความรู้สึกท้อแท้หรือเย็นชา  พวกที่ไม่นำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัตินั้นมีกำลังวังชาเต็มที่ในช่วงระหว่างการชุมนุม แต่ร่วงหล่นไปสู่ความมืดเมื่อพวกเขากลับบ้าน  มีบางคนที่ไม่ต้องการแม้แต่จะชุมนุมกัน  ดังนั้น เจ้าต้องเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้คนควรปฏิบัติหน้าที่ใดบ้าง  เจ้าอาจไม่รู้ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าแท้จริงแล้วคือสิ่งใด แต่เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าสามารถอธิษฐานเมื่อเจ้าควรอธิษฐาน เจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติเมื่อเจ้าควรทำ และเจ้าสามารถทำสิ่งที่ผู้คนควรที่จะทำ  เจ้าสามารถค้ำชูนิมิตดั้งเดิมของเจ้าได้  ในหนทางนี้ เจ้าจะสามารถยอมรับขั้นตอนต่อไปของพระราชกิจของพระเจ้าได้มากขึ้น  เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจในวิถีที่ซ่อนเร้น นี่ย่อมเป็นปัญหาหากเจ้าไม่แสวงหา  เมื่อพระองค์ตรัสและทรงเทศนาในช่วงระหว่างการประชุม เจ้ารับฟังด้วยความกุลีกุจอ แต่เมื่อพระองค์ไม่ได้ตรัส เจ้าก็ขาดพร่องกำลังวังชาและถอยกลับ  บุคคลประเภทใดที่ปฏิบัติตนในหนทางนี้?  นี่คือใครคนหนึ่งที่เพียงแค่ติดตามไปที่ใดก็ตามที่ฝูงชนไป  พวกเขาไม่มีจุดยืน ไม่มีคำพยาน และไม่มีนิมิต!  ผู้คนส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้  หากเจ้าเดินตามทางนั้นต่อไป วันหนึ่งเมื่อเจ้ามาถึงการทดสอบครั้งใหญ่ เจ้าจะร่วงลงสู่การลงโทษ  การมีจุดยืนนั้นสำคัญมากในกระบวนการทำให้ผู้คนเพียบพร้อมของพระเจ้า  หากเจ้าไม่กังขาในพระราชกิจของพระเจ้าแม้แต่ขั้นตอนเดียว หากเจ้าทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ลุล่วง หากเจ้าค้ำชูอย่างจริงใจในสิ่งที่พระเจ้าให้เจ้านำไปปฏิบัติ นั่นคือ เจ้าจดจำคำเตือนสติของพระเจ้า และไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใดในทุกวันนี้ เจ้าก็มิได้ลืมคำเตือนสติของพระองค์ หากเจ้าไม่กังขาในพระราชกิจของพระองค์ คงไว้ซึ่งจุดยืนของเจ้า ค้ำชูคำพยานของเจ้า และได้รับชัยชนะในทุกย่างก้าวของหนทางนี้ เช่นนั้นแล้ว ในท้ายที่สุดเจ้าก็จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าและได้รับการทำให้กลายเป็นผู้มีชัย  หากเจ้าสามารถตั้งมั่นโดยตลอดทุกขั้นตอนของการทดสอบของพระเจ้า และหากเจ้ายังคงสามารถตั้งมั่นได้จนถึงที่สุด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นผู้มีชัย เจ้าย่อมเป็นใครคนหนึ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำให้เพียบพร้อม

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรธำรงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าแด่พระเจ้า

ตอนที่เปโตรกำลังได้รับการตีสอนจากพระเจ้า  เขาได้อธิษฐานไปว่า “โอพระเจ้า!  เนื้อหนังของข้าพระองค์เป็นกบฏ และพระองค์ทรงตีสอนข้าพระองค์ และพิพากษาข้าพระองค์  ข้าพระองค์ชื่นบานในการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ และในการพิพากษาของพระองค์ ข้าพระองค์มองเห็นพระอุปนิสัยอันพิสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์ ต่อให้พระองค์มิทรงต้องประสงค์ในตัวข้าพระองค์ก็ตาม  ยามที่พระองค์ทรงพิพากษาข้าพระองค์เพื่อที่ผู้อื่นอาจมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ในการพิพากษาของพระองค์ ข้าพระองค์รู้สึกพอใจ  หากมันสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์และเปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งมวลมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และหากมันสามารถทำให้ความรักที่ข้าพระองค์มีต่อพระองค์นั้นผ่องแผ้วมากขึ้นจนข้าพระองค์สามารถบรรลุสภาพเสมือนของผู้ที่ชอบธรรมได้  เช่นนั้นแล้ว การพิพากษาของพระองค์นั้นช่างดีงาม เพราะนั่นคือน้ำพระทัยอันดีของพระองค์  ข้าพระองค์รู้ว่า ยังมีอีกมากในตัวข้าพระองค์ที่เป็นกบฏ และรู้ว่าข้าพระองค์ยังคงไม่เหมาะสมที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์  ข้าพระองค์ปรารถนาให้พระองค์ทรงพิพากษาข้าพระองค์มากกว่านี้ด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะโดยผ่านทางสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรหรือความทุกข์ลำบากใหญ่หลวงก็ตาม ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำอะไร สำหรับข้าพระองค์แล้วมันล้ำค่านัก  ความรักของพระองค์นั้นลุ่มลึกยิ่งนัก และข้าพระองค์เต็มใจที่จะวางตัวข้าพระองค์ไว้ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระองค์โดยไม่มีการร้องทุกข์แม้สักนิด” นี่คือความรู้ของเปโตรหลังจากที่เขาได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และคือคำพยานต่อความรักที่เขามีให้กับพระเจ้าด้วยเช่นกัน… จนใกล้ถึงบทอวสานของชีวิตเขา หลังจากที่เขาได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วนั่นเองที่เปโตรกล่าวไว้ว่า “โอ พระเจ้า!  หากข้าพระองค์จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักสองสามปี ข้าพระองค์คงจะปรารถนาให้สัมฤทธิ์ความรักพระองค์ที่บริสุทธิ์กว่าและลึกซึ้งกว่านี้” เมื่อตอนที่เขากำลังจะถูกตอกตรึงกับกางเขน ในหัวใจของเขาได้อธิษฐานว่า “โอ พระเจ้า!  ณ บัดนี้ เวลาของพระองค์ได้มาถึงแล้ว เวลาที่พระองค์ทรงตระเตรียมไว้ให้ข้าพระองค์ได้มาถึงแล้ว  ข้าพระองค์จักต้องถูกตรึงกางเขนเพื่อพระองค์  ข้าพระองค์จักต้องเป็นคำพยานนี้ต่อพระองค์ และข้าพระองค์หวังว่า ความรักของข้าพระองค์จะสามารถสนองข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์ และหวังว่าความรักของข้าพระองค์จะกลายเป็นบริสุทธิ์ขึ้นกว่าเดิมได้  วันนี้เป็นวันที่ข้าพระองค์รู้สึกชูใจและมั่นใจที่จะสามารถตายเพื่อพระองค์และถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อพระองค์ เพราะไม่มีสิ่งใดที่สมใจข้าพระองค์มากไปกว่าการสามารถถูกตรึงกางเขนเพื่อพระองค์ และสนองความปรารถนาทั้งหลายของพระองค์ และสามารถถวายตัวข้าพระองค์แด่พระองค์ ถวายชีวิตข้าพระองค์แด่พระองค์  โอ พระเจ้า!  พระองค์ทรงดีงามยิ่งนัก!  หากพระองค์จะทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์คงจะยิ่งเต็มใจที่จะรักพระองค์มากขึ้น  ตราบที่ข้าพระองค์ยังมีชีวิต ข้าพระองค์จะรักพระองค์  ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะรักพระองค์อย่างลึกซึ้งมากขึ้น  พระองค์ทรงพิพากษาข้าพระองค์ และตีสอนข้าพระองค์ และทดสอบข้าพระองค์ ก็เพราะข้าพระองค์ไม่ชอบธรรม เพราะข้าพระองค์ได้ทำบาปลงไป  และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์กลายเป็นที่ประจักษ์ชัดขึ้นต่อข้าพระองค์  นี่คือพรอย่างหนึ่งสำหรับข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์สามารถรักพระองค์ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น และข้าพระองค์เต็มใจที่จะรักพระองค์ในหนทางนี้ต่อให้พระองค์ไม่ทรงรักข้าพระองค์ก็ตาม  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะมองดูพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ เพราะนี่ทำให้ข้าพระองค์สามารถมีชีวิตที่มีความหมายมากขึ้น  ข้าพระองค์รู้สึกว่าชีวิตข้าพระองค์ในตอนนี้เปี่ยมความหมายมากขึ้น เพราะข้าพระองค์ถูกตรึงกางเขนเพื่อประโยชน์ของพระองค์ และการตายเพื่อพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่เปี่ยมความหมาย  กระนั้นข้าพระองค์ก็ยังคงไม่รู้สึกพึงพอใจ เพราะข้าพระองค์รู้จักพระองค์น้อยเกินไป ข้าพระองค์รู้ว่า ข้าพระองค์ไม่สามารถทำให้ความปรารถนาของพระองค์นั้นลุล่วงโดยครบบริบูรณ์ และได้ตอบแทนพระองค์น้อยนิดเกินไป  ในชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไร้ความสามารถที่จะคืนทั้งหมดทั้งมวลของข้าพระองค์ให้กับพระองค์ ข้าพระองค์ยังห่างไกลนักในเรื่องนี้  ณ ชั่วขณะนี้ที่ข้าพระองค์มองย้อนกลับไป ข้าพระองค์รู้สึกเป็นหนี้พระองค์มากเหลือเกิน และข้าพระองค์มีเพียงชั่วขณะนี้เท่านั้นที่จะชดเชยความผิดพลาดทั้งหมดของข้าพระองค์และความรักทั้งหมดที่ข้าพระองค์ยังไม่ได้ถวายตอบแทนพระองค์เลย”

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

วันนี้ เจ้าควรตระหนักรู้วิธีการที่จะได้รับการพิชิต และวิธีการที่ผู้คนประพฤติตัวหลังจากที่พวกเขาได้รับการพิชิตแล้ว  เจ้าอาจพูดว่าเจ้าได้รับการพิชิตแล้ว แต่เจ้าสามารถนบนอบจนตัวตายได้หรือไม่?  เจ้าต้องสามารถติดตามไปจนถึงที่สุดไม่ว่าจะมีความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ใดๆ หรือไม่ก็ตาม และเจ้าต้องไม่สูญเสียความเชื่อในพระเจ้าไม่ว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไรก็ตาม  ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าต้องสัมฤทธิ์คำพยานสองแง่มุม นั่นคือ คำพยานของโยบ—ซึ่งก็คือการนบนอบจนตัวตาย และคำพยานของเปโตร—การรักพระเจ้าอย่างถึงที่สุด  ในด้านหนึ่ง เจ้าต้องเป็นเหมือนโยบ กล่าวคือ เขาได้สูญเสียวัตถุทุกอย่างที่ครอบครองอยู่ และถูกความป่วยไข้ของเนื้อหนังรุมเร้า ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ละทิ้งพระนามของพระยาห์เวห์  นี่คือคำพยานของโยบ  เปโตรสามารถรักพระเจ้าจนตัวตาย—เมื่อเขาเผชิญหน้าความตาย เขาก็ยังคงรักพระเจ้า เมื่อเขาถูกตรึงกางเขน เขาก็ยังคงรักพระเจ้า  เขาไม่ได้คิดถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเขาเองหรือไล่ตามเสาะหาความหวังที่สวยงามหรือความคิดที่ฟุ้งเฟ้อ และเขาพยายามที่จะรักพระเจ้าและนบนอบการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้าเท่านั้น  เช่นนั้นคือมาตรฐานที่เจ้าต้องสัมฤทธิ์ก่อนที่เจ้าจะสามารถได้รับการพิจารณาว่าได้กล่าวคำพยานแล้ว ก่อนที่เจ้าจะกลายเป็นใครบางคนที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหลังจากที่ได้รับการพิชิตแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (2)

ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง

หลังได้ทราบว่าบุตรสาวของเธอเป็นโรคมะเร็ง

คำพยานจากประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง

ผลที่เก็บเกี่ยวได้โดยผ่านทางโรคภัยไข้เจ็บ

หลังจากที่คู่ของผมเสียชีวิต

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

บททดสอบเรียกหาความเชื่อ

เจ้าต้องเป็นพยานต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง

จงเป็นพยานดังเช่นโยบและเปโตร

ผู้ชนะคือบรรดาผู้ที่เป็นพยานอันดังกึกก้องแด่พระเจ้า

ก่อนหน้า: 17. วิธีจัดการกับความป่วยไข้และความเจ็บปวด

ถัดไป: 24. วิธีแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger