2. เหตุที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องยอมรับการพิพากษาและตีสอนของพระองค์

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

หลังจากหลายพันปีแห่งความเสื่อมทราม มนุษย์ด้านชาและปัญญาทึบ เขาได้กลายเป็นปีศาจตนหนึ่งซึ่งต่อต้านพระเจ้า จนถึงขนาดที่ความเป็นกบฏของมนุษย์ต่อพระเจ้านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหลาย และกระทั่งมนุษย์เองก็ไม่สามารถที่จะพรรณนาพฤติกรรมอันเป็นกบฏของเขาได้อย่างครบถ้วน—ด้วยเหตุที่มนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และได้ถูกซาตานพาออกนอกลู่นอกทางไปถึงขนาดที่ว่าเขาไม่รู้ว่าจะหันไปทางใด  แม้กระทั่งวันนี้ มนุษย์ยังคงทรยศพระเจ้า กล่าวคือ เมื่อมนุษย์เห็นพระเจ้า เขาทรยศพระองค์ และเมื่อเขาไม่สามารถเห็นพระเจ้า เขาก็ทรยศพระองค์ด้วยเช่นกัน  มีแม้กระทั่งพวกที่เมื่อได้เป็นประจักษ์พยานในคำสาปแช่งของพระเจ้าและพระพิโรธของพระเจ้าแล้ว ก็ยังคงทรยศพระองค์  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าสำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้ว และมโนธรรมของมนุษย์ก็ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้วด้วยเช่นกัน  มนุษย์ที่เราเฝ้ามองคือสัตว์เดียรัจฉานตัวหนึ่งในเครื่องแต่งกายของมนุษย์ เขาเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง และไม่สำคัญว่าเขาพยายามทำตัวให้ดูเหมือนน่าเวทนาต่อหน้าต่อตาของเราเพียงใด เราจะไม่มีวันเมตตาเขา ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่มีการจับความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างขาวกับดำ ในความแตกต่างระหว่างความจริงกับสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง  สำนึกรับรู้ของมนุษย์ด้านชายิ่งนัก กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะได้รับพร สภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาต่ำศักดิ์ยิ่งนัก กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะมีอธิปไตยของกษัตริย์  เขาจะสามารถเป็นกษัตริย์ของใครได้ ด้วยสำนึกรับรู้เช่นนั้น?  เขาที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นจะสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่มีความละอายใจจริงๆ!  เขาคือผู้เคราะห์ร้ายที่ทะนงตนคนหนึ่ง!  สำหรับพวกเจ้าที่ปรารถนาจะได้รับพร เราขอแนะนำให้เจ้าหากระจกเงาบานหนึ่งแล้วมองดูภาพสะท้อนอันน่าเกลียดของเจ้าเองเสียก่อน—เจ้ามีสิ่งจำเป็นในการเป็นกษัตริย์หรือไม่?  เจ้ามีหน้าตาเหมือนผู้หนึ่งซึ่งสามารถได้รับพรหรือไม่?  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเลยแม้แต่น้อยและเจ้ายังไม่ได้นำความจริงใดๆ มาปฏิบัติเลย กระนั้นเจ้ายังคงปรารถนาที่จะมีวันพรุ่งนี้ที่น่าอัศจรรย์อยู่อีก  เจ้ากำลังหลอกตัวเอง!  มนุษย์ซึ่งเกิดมาในดินแดนอันโสมมเช่นนั้น ได้ถูกสังคมทำให้มัวหมองอย่างรุนแรง  เขาได้รับอิทธิพลจากจริยธรรมแบบศักดินา และได้รับการสอนใน “สถาบันอุดมศึกษา” การคิดอ่านที่ล้าหลัง ศีลธรรมอันเสื่อมทราม มุมมองชีวิตแบบคับแคบ ปรัชญาที่น่าดูหมิ่นของการติดต่อเจรจาทางโลก การดำรงอยู่อันไร้ค่าอย่างที่สุด และรูปแบบการใช้ชีวิตและขนบธรรมเนียมทั้งหลายอันต่ำทราม—ทั้งหมดนี้ได้รุกล้ำเข้าไปในหัวใจของมนุษย์อย่างรุนแรง และได้บ่อนทำลายและโจมตีมโนธรรมของเขาอย่างรุนแรง  ผลก็คือ มนุษย์ออกห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และต่อต้านพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีสักคนที่จะเต็มใจยอมสละสิ่งใดๆ เพื่อพระเจ้า ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจนบนอบพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ภายใต้อำนาจของซาตาน มนุษย์ไม่ทำอะไรเลยนอกจากไล่ตามเสาะหาความยินดี โดยยอมให้ตัวเขาเองจมอยู่กับความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในดินแดนแห่งโคลน  แม้คราที่พวกเขาได้ยินความจริง พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดก็ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องการนำความจริงไปปฏิบัติ และพวกเขาก็ไม่มีแนวโน้มที่จะแสวงหาพระเจ้าแม้เมื่อพวกเขาได้เห็นการทรงปรากฏของพระองค์แล้วก็ตาม  มนุษย์ที่ต่ำทรามเช่นนั้นจะสามารถมีโอกาสแห่งความรอดได้อย่างไร?  มนุษย์ที่เสื่อมศีลธรรมเช่นนั้นจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา  ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่  มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า  ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาแก่นแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้  เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง  แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า  ในความจริง ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการพิชิตชัยตลอดจนช่วงระยะที่สองในพระราชกิจแห่งความรอด  โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะนี่เอง มนุษย์จึงมาถึงการได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า และโดยผ่านทางการใช้พระวจนะถลุง พิพากษา และเปิดเผยนี่เอง ความไม่บริสุทธิ์ มโนคติที่หลงผิด เหตุจูงใจ และความทะเยอทะยานของปัจเจกบุคคลภายในหัวใจมนุษย์จึงถูกเผยอย่างสมบูรณ์  สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา  อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ  นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ  บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง  เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้  พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่  ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนได้ตระหนักว่า พวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ของโมอับ พวกเขาก็บ่นออกมา ยุติการไล่ตามเสาะหาชีวิต และกลับกลายเป็นคนคิดลบอย่างที่สุด  นี่ไม่ได้แสดงว่ามนุษยชาติยังคงไม่สามารถนบนอบอย่างสุดใจภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่มิใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาชัดๆ เลยหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าไม่ได้กำลังอยู่ภายใต้การตีสอน มือของเจ้าชูสูงเหนือผู้อื่นทั้งหมด แม้แต่พระหัตถ์ของพระเยซู  และเจ้าก็ร้องออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “จงเป็นบุตรที่รักของพระเจ้า!  จงเป็นคนสนิทของพระเจ้า!  พวกเรายอมตายมากกว่าจะยอมกราบไหว้ซาตาน!  จงต่อต้านซาดานเฒ่า!  ต่อต้านพญานาคใหญ่สีแดง!  ขอให้พญานาคใหญ่สีแดงจงตกต่ำจากอำนาจอย่างน่าอนาถ!  ขอพระเจ้าทรงทำให้พวกเราครบบริบูรณ์!”  เสียงร้องของพวกเจ้าดังกว่าผู้อื่นทั้งหมด  แต่แล้วก็มาถึงเวลาแห่งการตีสอน และเป็นอีกครั้งที่อุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษยชาติถูกเปิดเผย  แล้วเสียงร้องของพวกเขาก็หยุดลง และปณิธานของพวกเขาก็ล้มเหลว  นี่คือความเสื่อมทรามของมนุษย์ เมื่อไหลลึกกว่าบาป จึงเป็นสิ่งที่ซาตานเพาะเอาไว้และหยั่งรากลึกอยู่ภายในตัวมนุษย์  ไม่ง่ายที่มนุษย์จะตระหนักรู้บาปทั้งหลายของเขาเอง เขาไม่มีหนทางที่จะตระหนักได้ถึงธรรมชาติอันหยั่งรากลึกของตัวเขาเอง และเขาต้องพึ่งพาการพิพากษาโดยพระวจนะ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้  เฉพาะเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถค่อยๆ ถูกเปลี่ยนแปลงจากจุดนี้เป็นต้นไป

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4)

พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสอนมนุษย์ เพื่อเปิดโปงธาตุแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์  พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรนบนอบพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะใช้ชีวิตตามสภาวะมนุษย์ปกติ ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่ธาตุแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งเปิดโปงว่ามนุษย์รังเกียจเดียดฉันท์พระเจ้าอย่างไร  ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงเปิดโปงและตัดแต่งเป็นเวลายาวนาน  วิธีการเปิดโปงและตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดนี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยคำพูดธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกกำราบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในพระประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในข้อล้ำลึกทั้งหลายที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความอัปลักษณ์ของมนุษย์ ผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะแก่นแท้ของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดเผยความจริง ชีวิต ทางของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ หากเจ้าไม่ถือว่าความจริงเหล่านี้มีความสำคัญ หากเจ้าไม่คิดถึงเรื่องอื่นใดนอกจากวิธีการหลีกเลี่ยงพระวจนะหรือว่าจะหาทางออกใหม่ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระวจนะอย่างไร เช่นนั้นแล้วเราบอกว่าเจ้าเป็นคนบาปที่น่าเวทนา หากเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่แสวงหาความจริงหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า อีกทั้งไม่รักหนทางซึ่งพาเจ้าเข้าสนิทกับพระเจ้ายิ่งขึ้น เช่นนั้นแล้ว เราบอกว่าเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่กำลังพยายามเลี่ยงหนีการพิพากษา และเจ้าเป็นหุ่นเชิดและคนทรยศที่หลบหนีจากมหาบัลลังก์สีขาว พระเจ้าจะไม่ทรงผ่อนผันแก่เหล่ากบฏที่หลบหนีจากใต้พระเนตรของพระองค์ พวกมนุษย์เช่นนั้นจะยิ่งได้รับการลงโทษที่รุนแรงมากขึ้น บรรดาผู้ที่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อรับการพิพากษา และยิ่งกว่านั้นคือ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะมีชีวิตในราชอาณาจักรของพระเจ้าตลอดกาล แน่นอนว่านี่คือบางสิ่งที่เป็นของอนาคต

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง

การดำเนินชีวิตทั้งชีวิตของมนุษย์เป็นไปภายใต้อำนาจของซาตาน และไม่มีแม้แต่บุคคลเดียวที่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากอิทธิพลของซาตานได้ด้วยตัวพวกเขาเอง  ทั้งหมดล้วนมีชีวิตอยู่ในโลกอันโสมม ในความเสื่อมทรามและความว่างเปล่า ปราศจากความหมายหรือคุณค่าแม้เพียงน้อยนิด พวกเขาใช้ชีวิตที่ช่างอิสระไร้กังวลเยี่ยงนั้นเพื่อเนื้อหนัง เพื่อตัณหา และเพื่อซาตาน  การดำรงอยู่ของพวกเขาไม่มีคุณค่าแม้แต่น้อยนิดเลย  มนุษย์ไร้ความสามารถในการค้นหาความจริงซึ่งจะปลดปล่อยเขาจากอิทธิพลของซาตาน  แม้ว่ามนุษย์เชื่อในพระเจ้า และอ่านพระคัมภีร์ เขาก็หาได้เข้าใจไม่ ว่าจะปลดปล่อยตัวเขาเองจากการควบคุมของอิทธิพลของซาตานได้อย่างไร  ตลอดหลายยุคสมัย มีผู้คนน้อยมากที่ได้ค้นพบความลับนี้ มีน้อยมากที่ได้จับความเข้าใจเกี่ยวกับมัน  ครั้นเป็นเช่นนั้น แม้มนุษย์รังเกียจซาตานและรังเกียจเนื้อหนัง เขาก็ไม่รู้ว่าจะกำจัดอิทธิพลของซาตานที่กำลังวางกับดักอยู่ออกจากตัวเขาได้อย่างไร  ในวันนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้ายังคงอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานหรอกหรือ?  เจ้าไม่เสียใจในการกระทำอันเป็นกบฏของเจ้า และนับประสาอะไรที่จะรู้สึกว่าตัวเจ้านั้นโสมมและเป็นกบฏ  หลังการต่อต้านพระเจ้า เจ้าถึงกับรู้สึกมีสันติสุขในจิตใจและรู้สึกสงบอย่างใหญ่หลวง  ความสงบของเจ้านั้นมิใช่เพราะเจ้าเสื่อมทรามหรอกหรือ?  สันติสุขของจิตใจนี้มิได้มาจากความเป็นกบฏของเจ้าหรอกหรือ?  มนุษย์มีชีวิตอยู่ในนรกมนุษย์ เขามีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลมืดของซาตาน ทั่วแผ่นดิน ผีทั้งหลายอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ รุกคืบไปบนเนื้อหนังของมนุษย์ บนแผ่นดินโลก เจ้าไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองบรมสุขเกษมอันงดงาม  สถานที่ที่เจ้าอยู่ก็คืออาณาจักรของพวกมาร นรกมนุษย์แห่งหนึ่ง นรกขุมลึกแห่งหนึ่งนั่นเอง  หากมนุษย์ไม่ได้รับการชำระให้สะอาดแล้วไซร้ เขาย่อมเป็นสิ่งโสมม หากเขาไม่ได้รับการคุ้มครองปกป้องและดูแลโดยพระเจ้าแล้วไซร้ เขาย่อมยังคงเป็นเชลยของซาตาน หากเขาไม่ได้รับการพิพากษาและการตีสอนแล้วไซร้ เขาย่อมจะไม่มีวิถีทางที่จะหลีกหนีการกดขี่ของอิทธิพลมืดของซาตาน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าแสดงออกมาและพฤติกรรมอันเป็นกบฏที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตนั้นเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน  หากความคิดและจิตใจของเจ้ายังไม่ได้รับการชำระให้สะอาด และอุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้ถูกพิพากษาและตีสอนแล้วไซร้ ความเป็นอยู่ทั้งสิ้นของเจ้าก็ย่อมยังคงถูกควบคุมโดยอำนาจของซาตาน จิตใจของเจ้าถูกควบคุมโดยซาตาน ความคิดของเจ้าถูกหลอกใช้โดยซาตาน และความเป็นอยู่ทั้งสิ้นของเจ้าถูกควบคุมด้วยเงื้อมมือของซาตาน… เท่าที่สิ่งทั้งหลายเป็นอยู่ในทุกวันนี้ ผู้คนมากมายไม่ไล่ตามเสาะหาชีวิต ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่ใส่ใจเกี่ยวกับการได้รับการชำระให้สะอาด หรือเกี่ยวกับการเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตที่ลึกซึ้งกว่า  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้อย่างไร?  พวกที่ไม่เสาะหาชีวิตไม่มีโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  และพวกที่ไม่เสาะหาความรู้ในเรื่องของพระเจ้า ผู้ที่ไม่เสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขานั้น ไร้ความสามารถที่จะหลีกหนีอิทธิพลมืดของซาตาน  พวกเขาไม่จริงจังเกี่ยวกับความรู้ของพวกเขาในเรื่องของพระเจ้าและเกี่ยวกับการเข้าสู่ของพวกเขาในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เหมือนกันไม่มีผิดกับพวกที่เชื่อในศาสนา ซึ่งแค่ทำไปตามพิธีกรรมและเข้าร่วมงานปรนนิบัติตามกิจวัตร  นั่นไม่ใช่การเสียเวลาไปเปล่าๆ หรอกหรือ?  หากในการเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์ เขาไม่จริงจังเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหลายของชีวิต ไม่ไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ความจริง ไม่ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขา ยิ่งไม่ไล่ตามเสาะหาความรู้ในเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าแล้วไซร้ เขาย่อมไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้  หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วไซร้ เจ้าจะต้องเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าต้องเข้าใจนัยสำคัญของการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ และสาเหตุที่พระราชกิจของพระองค์ถูกดำเนินการในมนุษย์  เจ้าสามารถยอมรับพระราชกิจนี้ได้หรือไม่?  ในช่วงระหว่างการตีสอนประเภทนี้ เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ประสบการณ์และความรู้แบบเดียวกับเปโตรหรือไม่?  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความรู้ในเรื่องของพระเจ้าและในเรื่องของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และหากเจ้าไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าแล้วไซร้ เจ้าย่อมมีโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

บรรดาผู้ที่มีชีวิตภายใต้อิทธิพลของความมืดทั้งหมดคือผู้ที่มีชีวิตท่ามกลางความตาย ผู้ที่ถูกครอบงำโดยซาตาน  เมื่อไม่ได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าและถูกพิพากษาและตีสอนโดยพระเจ้า ผู้คนก็ไร้ความสามารถที่จะหลีกหนีจากอิทธิพลของความตายได้ พวกเขาไม่สามารถกลายเป็นคนเป็นได้  “คนตาย” เหล่านี้ไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า และอีกทั้งพระเจ้าก็ไม่สามารถใช้งานพวกเขา นับประสาอะไรกับการเข้าสู่ราชอาณาจักร  พระเจ้าทรงต้องประสงค์คำพยานของคนเป็น ไม่ใช่ของคนตาย และพระองค์ทรงขอให้คนเป็น ไม่ใช่คนตาย ทำงานให้พระองค์  “คนตาย” คือพวกที่ต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า พวกเขาเป็นพวกที่ด้านชาในวิญญาณและไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาคือผู้ที่ไม่ได้นำความจริงมาปฏิบัติและไม่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแม้แต่น้อย และพวกเขาคือผู้ที่มีชีวิตภายใต้อำนาจของซาตานและถูกซาตานหาประโยชน์จากพวกเขา  คนตายสำแดงตัวด้วยการยืนหยัดต่อต้านความจริง ด้วยการกบฏต่อพระเจ้า และด้วยการทำตัวต่ำช้า น่าเหยียดหยาม มุ่งร้าย โหดร้าย หลอกลวง และเจ้าเล่ห์  แม้ว่าผู้คนเช่นนี้จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไร้ความสามารถที่จะดำรงชีพตามพระวจนะของพระเจ้าได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิต แต่พวกเขาก็เป็นเพียงซากศพที่เดินได้ หายใจได้  คนตายนั้นไม่สามารถอย่างสิ้นเชิงที่จะทำให้พระเจ้าสมดังพระทัยได้ และยิ่งไม่นบนอบพระองค์อย่างสิ้นเชิง  พวกเขาเพียงแค่สามารถหลอกลวงพระองค์ หมิ่นประมาทพระองค์และทรยศพระองค์เท่านั้น และทั้งหมดที่พวกเขานำออกมาโดยวิธีที่พวกเขาใช้ชีวิตเปิดเผยธรรมชาติของซาตาน  หากผู้คนปรารถนาที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและเป็นคำพยานต่อพระเจ้า และได้รับการรับรองจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องยอมรับความรอดของพระเจ้า พวกเขาต้องยินดีที่จะนบนอบการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์และต้องยอมรับการตัดแต่งของพระเจ้าด้วยความเปรมปรีดิ์  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถนำความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์มาปฏิบัติได้ และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับความรอดของพระเจ้าและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง  คนเป็นได้รับการทรงช่วยให้รอดโดยพระเจ้า พวกเขาถูกพิพากษาและตีสอนโดยพระเจ้า พวกเขาเต็มใจอุทิศตนและยินดีวางชีวิตของพวกเขาลงเพื่อพระเจ้า และพวกเขาย่อมจะยินดีอุทิศชีวิตทั้งหมดของพวกเขาให้กับพระเจ้า  จนเมื่อคนเป็นเป็นคำพยานต่อพระเจ้าแล้วเท่านั้น ซาตานจึงสามารถถูกทำให้อับอายได้ มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่สามารถเผยแพร่พระราชกิจข่าวประเสริฐของพระเจ้า มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า และมีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่เป็นผู้คนจริงๆ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าคือใครบางคนที่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีกหรือไม่?

มนุษย์มีชีวิตอยู่ท่ามกลางเนื้อหนัง ซึ่งก็หมายความว่าเขามีชีวิตอยู่ในนรกมนุษย์ และหากปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า มนุษย์ย่อมมีความโสมมพอกันกับซาตาน  มนุษย์จะสามารถบริสุทธิ์ได้อย่างไร?  เปโตรเชื่อว่าการตีสอนและการพิพากษาโดยพระเจ้าเป็นการคุ้มครองปกป้องที่ดีที่สุดและพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์ได้รับ  มนุษย์จะสามารถตื่นขึ้นและเกลียดชังเนื้อหนัง เกลียดชังซาตานได้ โดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าเท่านั้น  การบ่มวินัยอันเคร่งครัดของพระเจ้าปลดปล่อยมนุษย์จากอิทธิพลของซาตาน ปลดปล่อยเขาจากโลกใบเล็กของเขาเอง และเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตอยู่ในความสว่างแห่งพระพักตร์พระเจ้า  ไม่มีความรอดใดที่ดีไปกว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าอีกแล้ว!  เปโตรได้อธิษฐานไปว่า “โอ พระเจ้า!  ตราบที่พระองค์ทรงตีสอนและพิพากษาข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะทราบว่าพระองค์หาได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ไม่  ต่อให้พระองค์ไม่ทรงมอบความชื่นบานหรือสันติสุขให้แก่ข้าพระองค์ และทรงทำให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ในความทุกข์ และทรงทำโทษข้าพระองค์ด้วยการสั่งสอนเกินคณานับ ตราบที่พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ย่อมรู้สึกสบายใจ  ในวันนี้ การตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ได้กลายมาเป็นการคุ้มครองปกป้องที่ดีที่สุดและพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ข้าพระองค์ได้รับ  พระคุณที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพระองค์นั้นคุ้มครองปกป้องข้าพระองค์  พระคุณที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ในวันนี้ก็คือ การสำแดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และคือการตีสอนและการพิพากษา ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการทดสอบ และที่มากกว่านั้น เป็นชีวิตแห่งความทุกข์” เปโตรสามารถละทิ้งความยินดีในเนื้อหนังและแสวงหาความรักที่ลึกซึ้งกว่าและการคุ้มครองปกป้องที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะเขาได้รับพระคุณมากมายจากการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า ในชีวิตของเขา หากมนุษย์ปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้สะอาดและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขา หากเขาปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมายและทำหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วงแล้วไซร้ เขาต้องยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และต้องไม่ยอมให้การบ่มวินัยของพระเจ้าและการเฆี่ยนตีของพระเจ้าผละจากเขาไป เพื่อที่เขาอาจปลดปล่อยตนเองจากการหลอกใช้และอิทธิพลของซาตาน และมีชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้าได้  จงรู้ไว้ว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่าง และแสงสว่างแห่งความรอดของมนุษย์ และรู้ว่าไม่มีการได้รับพรใด พระคุณใด หรือการคุ้มครองปกป้องใดที่ดีกว่านี้อีกแล้วสำหรับมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

พวกเจ้าทั้งหมดใช้ชีวิตในแผ่นดินแห่งบาปและความตัณหาจัด และพวกเจ้าทั้งหมดเต็มไปด้วยบาปและตัณหา  วันนี้พวกเจ้าไม่ใช่แค่มีความสามารถที่จะมองเห็นพระเจ้าได้เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่าคือ พวกเจ้ายังได้รับการตีสอนและการพิพากษา พวกเจ้าได้รับความรอดที่ลึกซึ้งอย่างแท้จริง กล่าวคือ พวกเจ้าได้รับความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าแล้ว  ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติ พระองค์ทรงแสดงความรักต่อพวกเจ้าอย่างแท้จริง  พระองค์ไม่ทรงมีเจตนารมณ์ร้าย  พระองค์ทรงพิพากษาพวกเจ้าเนื่องจากบาปของพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะตรวจดูตัวพวกเจ้าเองและได้รับความรอดที่ยิ่งใหญ่นี้  ทั้งหมดนี้กระทำเพื่อจุดประสงค์ในการทำให้มนุษย์ครบบริบูรณ์  ตั้งแต่เริ่มต้นถึงสิ้นสุด พระเจ้าทรงได้ปฏิบัติอย่างสุดพระปรีชาสามารถเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด และไม่ทรงมีความพึงปรารถนาที่จะทำลายมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์โดยสิ้นเชิงเลย  วันนี้ พระองค์ได้เสด็จมาอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าเพื่อทรงพระราชกิจ นี่ไม่ใช่ความรอดมากขึ้นไปอีกหรือ?  หากพระองค์ทรงเกลียดชังพวกเจ้า พระองค์จะยังคงทรงปฏิบัติพระราชกิจที่ใหญ่โตเช่นนั้นเพื่อทรงนำพวกเจ้าด้วยพระองค์เองหรือ?  พระองค์ควรทรงทนทุกข์เช่นนั้นด้วยเหตุใด?  พระเจ้าไม่ได้ทรงเกลียดชังพวกเจ้า หรือมีเจตนารมณ์ร้ายใดๆ ต่อพวกเจ้า  พวกเจ้าควรรู้ว่าความรักของพระเจ้าคือความรักที่แท้จริงที่สุด  พระองค์ต้องทรงช่วยผู้คนโดยผ่านทางการพิพากษาเพียงเพราะว่าผู้คนไม่เชื่อฟัง หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้แล้ว การช่วยมนุษย์ให้รอดก็จะไม่อาจเป็นไปได้  เพราะพวกเจ้าไม่รู้วิธีใช้ชีวิต และไม่แม้แต่จะตระหนักรู้วิธีใช้ชีวิต และเพราะพวกเจ้าใช้ชีวิตในแผ่นดินแห่งบาปและความตัณหาจัดนี้ และเป็นมารที่ตัณหาจัดและสกปรกโสมมด้วยตัวเจ้าเอง พระองค์ทรงทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้พวกเจ้ากลับกลายมาเป็นผิดคุณธรรมยิ่งขึ้นไปอีก พระองค์ทรงทนไม่ได้ที่จะมองเห็นพวกเจ้าใช้ชีวิตในแผ่นดินที่สกปรกโสมมนี้เหมือนอย่างที่เจ้าทำอยู่ในตอนนี้และถูกซาตานเหยียบย่ำตามใจชอบ และพระองค์ทรงทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้เจ้าตกลงไปสู่แดนคนตาย  พระองค์เพียงทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับผู้คนกลุ่มนี้ และช่วยพวกเจ้าให้รอดอย่างถ้วนทั่ว  นี่คือจุดประสงค์สำคัญของการปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยในพวกเจ้า—พระราชกิจนี้เพียงเป็นไปเพื่อความรอด  หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นได้ว่าทุกสิ่งที่ได้กระทำกับเจ้านั้นคือความรักและความรอด หากเจ้าคิดว่ามันเป็นเพียงแค่วิธีการหนึ่ง เป็นวิธีทรมานมนุษย์ และเป็นบางสิ่งที่ไม่ควรค่า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ต่างไปจากการกลับไปที่โลกของเจ้าเพื่อทนทุกข์กับความเจ็บปวดและความยากลำบาก!  หากเจ้าเต็มใจที่จะอยู่ในกระแสนี้และชื่นชมการพิพากษานี้และความรอดอันยิ่งใหญ่นี้ ชื่นชมพรทั้งหมดเหล่านี้ พรที่ไม่สามารถหาได้จากที่ใดในโลกของมนุษย์ และชื่นชมความรักนี้ เช่นนั้นแล้วก็จงทำตัวให้ดี นั่นคือ อยู่ในกระแสนี้ต่อไปเพื่อยอมรับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย เพื่อที่เจ้าจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  วันนี้ เจ้าอาจทนทุกข์กับความเจ็บปวดและกระบวนการถลุงเล็กน้อยเนื่องจากการพิพากษาของพระเจ้า แต่การทนทุกข์กับความเจ็บปวดนี้มีคุณค่าและมีความหมาย  แม้ว่าผู้คนได้รับการถลุงและได้รับการสัมผัสกับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าอย่างไร้ปรานี—ซึ่งมีจุดมุ่งหมายคือการลงโทษพวกเขาเพราะบาปของพวกเขา เพื่อลงโทษเนื้อหนังของพวกเขา—แต่ก็ไม่มีสิ่งใดในพระราชกิจนี้ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อกล่าวโทษเนื้อหนังของพวกเขาจนถึงกับถูกทำลายไป  การเผยที่รุนแรงโดยพระวจนะทั้งหมดเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ในการนำทางพวกเจ้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง  พวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจนี้มากมายด้วยตัวพวกเจ้าเอง และเป็นที่ชัดเจนว่าพระราชกิจนี้ไม่ได้นำทางพวกเจ้าไปสู่เส้นทางที่ชั่วร้าย!  ทั้งหมดเป็นไปเพื่อทำให้พวกเจ้าใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และทั้งหมดสามารถสัมฤทธิ์ผลได้ด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของเจ้า  ทุกขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้ามีพื้นฐานมาจากความต้องการของเจ้า ตามความอ่อนแอของเจ้า และตามวุฒิภาวะจริงๆ ของเจ้า และไม่มีการวางภาระที่ไม่อาจทนรับได้ใดๆ แก่พวกเจ้า  เจ้าไม่เข้าใจสิ่งนี้อย่างชัดเจนในวันนี้ และเจ้ารู้สึกเหมือนกับว่าเราไม่เป็นธรรมกับเจ้า และที่จริงแล้วเจ้าเชื่ออยู่เสมอว่าเหตุผลที่เราตีสอน พิพากษา และตำหนิเจ้าทุกวันนั้นเป็นเพราะเราเกลียดชังเจ้า  แต่ถึงแม้ว่าสิ่งที่เจ้าทนทุกข์จะเป็นการตีสอนและการพิพากษา ที่จริงแล้วนี่ก็คือความรักสำหรับเจ้า และเป็นการคุ้มครองปกป้องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (4)

แท้จริงแล้ว พระราชกิจที่กำลังทรงทำอยู่ตอนนี้คือการทำให้ผู้คนละทิ้งซาตาน บรรพบุรุษเก่าแก่ของพวกเขา  การพิพากษาทั้งมวลโดยพระวจนะมุ่งที่จะเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษยชาติ และทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจแก่นแท้ของชีวิตได้  การพิพากษาซ้ำๆ เหล่านี้เสียดแทงหัวใจของผู้คน  การพิพากษาแต่ละครั้งเกี่ยวข้องโดยตรงกับชะตากรรมของพวกเขา และหมายให้สร้างบาดแผลแก่หัวใจของพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขามารู้จักชีวิต รู้จักโลกที่โสมมนี้ รู้จักพระปรีชาญาณและความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า และรู้จักมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอีกด้วย  ยิ่งมนุษย์ได้รับการตีสอนและการพิพากษาประเภทนี้มากขึ้นเท่าใด หัวใจของมนุษย์ก็ยิ่งสามารถได้รับบาดเจ็บมากขึ้นและวิญญาณของเขาก็ยิ่งสามารถถูกปลุกให้ตื่นมากขึ้นเท่านั้น  การปลุกวิญญาณของผู้คนที่ถูกทำให้เสื่อมทรามสุดขีดและถูกหลอกลวงอย่างลึกล้ำมากที่สุดเหล่านี้ให้ตื่นคือเป้าหมายของการพิพากษาประเภทนี้  มนุษย์ไม่มีวิญญาณ นั่นคือวิญญาณของเขาได้ตายไปนานแล้ว และเขาหารู้ไม่ว่ามีฟ้าสวรรค์ หารู้ไม่ว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่ง และหารู้ไม่อย่างแน่นอนว่าเขากำลังดิ้นรนอยู่ในห้วงเหวแห่งความตาย เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าเขากำลังมีชีวิตอยู่ในนรกชั่วนี้บนแผ่นดินโลก?  เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าศพเน่าเหม็นของเขานี้ได้ตกลงไปในแดนคนตายโดยผ่านทางการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน?  เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดินโลกได้ถูกมวลมนุษย์ทำให้ย่อยยับจนเกินกว่าจะซ่อมแซมได้นานแล้ว?  และเขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าพระผู้สร้างได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกในวันนี้ และกำลังทรงค้นหากลุ่มคนที่เสื่อมทรามที่พระองค์จะสามารถช่วยให้รอดได้?  แม้หลังจากที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์กับทุกกระบวนการถลุงและทุกการพิพากษาที่เป็นไปได้ แต่จิตสำนึกที่ทึมทึบของเขาก็ยังคงแทบไม่รู้สึกตัว และจริงๆ แล้วไม่ตอบสนองแต่อย่างใดเลย  มนุษยชาติช่างเสื่อมนัก!  และแม้ว่าการพิพากษาประเภทนี้จะเป็นเหมือนลูกเห็บโหดร้ายที่ตกลงมาจากฟ้า แต่ก็เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงที่สุดต่อมนุษย์  หากไม่เป็นเพราะการพิพากษาผู้คนเยี่ยงนี้ก็คงจะไม่มีผลลัพธ์และคงจะเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะช่วยผู้คนให้รอดจากห้วงเหวแห่งความระทมทุกข์  หากไม่เป็นเพราะพระราชกิจนี้ก็คงจะยากยิ่งที่ผู้คนจะออกมาจากแดนคนตาย เพราะหัวใจของพวกเขาได้ตายไปนานแล้ว และวิญญาณของพวกเขาได้ถูกซาตานเหยียบย่ำนานมาแล้ว  การช่วยพวกเจ้าที่ได้จมลงสู่ก้นบึ้งที่ลึกที่สุดของความเสื่อมให้รอดพึงต้องมีการร้องเรียกพวกเจ้าอย่างแข็งขัน พิพากษาพวกเจ้าอย่างแข็งขัน  เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นไปได้ที่จะปลุกหัวใจที่เย็นจนแข็งของพวกเจ้าให้ตื่น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตอันเปี่ยมความหมายได้

เมื่อเจ้าทนทุกข์กับความฝืนใจหรือความยากลำบากเล็กน้อย มันย่อมเป็นการดีสำหรับพวกเจ้า หากพวกเจ้ามีแต่ช่วงเวลาที่สบายกว่านั้น พวกเจ้าคงจะมีอันล่มจม และเช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะสามารถได้รับการปกป้องได้อย่างไรเล่า?  ในวันนี้ มันเป็นเพราะพวกเจ้าถูกตีสอน พิพากษา และสาปแช่ง เจ้าจึงได้รับการปกป้อง  มันเป็นเพราะเจ้าได้ทนทุกข์มามากมาย เจ้าจึงได้รับการปกป้อง  หาไม่แล้ว เจ้าคงจะตกอยู่ในสภาพของความต่ำทรามไปนานแล้ว  นี่ไม่ใช่การทำให้สิ่งทั้งหลายนั้นลำบากยากเย็นสำหรับพวกเจ้าโดยเจตนา—ธรรมชาติของมนุษย์นั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลง และเหตุการณ์จึงต้องเป็นดังนั้นเพื่อให้อุปนิสัยของพวกเขาถูกเปลี่ยนแปลง  ในวันนี้ พวกเจ้าไม่มีแม้กระทั่งมโนธรรมหรือสำนึกรับรู้ซึ่งเปาโลเคยมี และเจ้าไม่มีแม้กระทั่งการตระหนักรู้ในตนเองของเขา พวกเจ้าต้องถูกกดดันตลอดเวลา และพวกเจ้าต้องถูกตีสอนและพิพากษาตลอดเวลาเพื่อที่จะปลุกจิตวิญญาณของพวกเจ้าให้ตื่น  การตีสอนและการพิพากษาคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของพวกเจ้า  และเมื่อจำเป็น ยังจะต้องมีการตีสอนโดยข้อเท็จจริงทั้งหลายที่มาถึงเจ้าเช่นกัน เฉพาะเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเจ้าจึงจะนบนอบอย่างเต็มที่  ธรรมชาติทั้งหลายของพวกเจ้านั้นเป็นถึงขนาดที่ว่าหากปราศจากการตีสอนและการสาปแช่ง เจ้าคงไม่เต็มใจที่จะค้อมศีรษะของเจ้า ไม่เต็มใจที่จะนบนอบ  หากปราศจากข้อเท็จจริงทั้งหลายต่อหน้าต่อตาเจ้า ก็ย่อมจะไม่เกิดผลอันใด  พวกเจ้านั้นมีบุคลิกลักษณะที่ต่ำต้อยและไร้ค่าเกินไป!  หากปราศจากการตีสอนและการพิพากษา ก็คงจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเจ้าที่จะถูกพิชิต และยากที่ความไม่ชอบธรรมและการไม่เชื่อฟังของพวกเจ้าจะถูกเอาชนะ  ธรรมชาติเดิมของพวกเจ้านั้นหยั่งรากลึกยิ่งนัก  หากวางพวกเจ้าไว้บนพระบัลลังก์ พวกเจ้าคงจะไม่รู้ว่าเจ้าอยู่แห่งหนใดในจักรวาล นับประสาอะไรที่จะรู้ว่าเจ้าได้มุ่งหน้าไปที่ใด  พวกเจ้าไม่รู้กระทั่งว่าเจ้ามาจากไหน ดังนั้นแล้วเจ้าจะสามารถรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างได้อย่างไรเล่า?  หากปราศจากการตีสอนและการสาปแช่งที่ทันต่อการณ์ของวันนี้ วันสุดท้ายของพวกเจ้าคงได้มาถึงนานแล้ว  ยิ่งไม่พักต้องพูดถึงชะตากรรมของพวกเจ้าเลย—นั่นจะไม่ยิ่งตกอยู่ในภาวะอันตรายซึ่งจวนตัวเข้าไปใหญ่หรือ?  หากปราศจากการตีสอนและการพิพากษาที่ทันต่อการณ์นี้ ใครเล่าจะรู้ว่าพวกเจ้าจะโอหังขึ้นมาเพียงใด หรือเจ้าจะกลายเป็นต่ำทรามเพียงใด  การตีสอนและการพิพากษานี้ได้นำพาพวกเจ้ามาถึงวันนี้ และสิ่งเหล่านี้ได้สงวนการดำรงอยู่ของพวกเจ้าเอาไว้  หากพวกเจ้ายังคง “ได้รับการศึกษา” โดยใช้วิธีการทั้งหลายเช่นเดียวกับวิธีการเหล่านั้นของ “บิดา” ของพวกเจ้า ใครเล่าจะรู้ว่าพวกเจ้าจะเข้าสู่อาณาจักรใด!  พวกเจ้าไม่มีความสามารถอย่างสิ้นเชิงในการควบคุมและทบทวนตัวเอง  สำหรับผู้คนอย่างพวกเจ้า หากเจ้าเพียงแค่ติดตามและเชื่อฟังโดยไม่ได้ทำให้เกิดการรบกวนหรือการหยุดชะงักอันใด จุดมุ่งหมายของเราก็ย่อมจะสัมฤทธิ์ผล  พวกเจ้าไม่ควรยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของวันนี้ให้มากขึ้นกระนั้นหรือ?  เจ้ามีทางเลือกอื่นใดหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (6)

ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน ความทุกข์ และกระบวนการถลุงจากพระวจนะของพระเจ้า หรือถูกบ่มวินัยและตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ และไม่ทำเป็นขอไปทีกับพระองค์  ภายใต้กระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลง  โดยผ่านทางการเปิดโปง การพิพากษา การบ่มวินัย และการตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์เท่านั้นพวกเขาจึงจะไม่กล้าที่จะปฏิบัติตนอย่างมุทะลุอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนักแน่นและสำรวมแทน  ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือว่า พวกเขามีความสามารถที่จะนบนอบพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ได้ ต่อให้พระราชกิจไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถที่จะละวางมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้และนบนอบได้อย่างเต็มใจ  ในอดีตนั้น โดยหลักแล้ว การพูดคุยถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอ้างอิงถึงการสามารถขัดขืนตนเอง อ้างอิงถึงการยอมให้เนื้อหนังได้ทนทุกข์ การบ่มวินัยร่างกายของคนเรา และการขจัดความเลือกชอบทางเนื้อหนังไปจากตัวคนเรา—ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทหนึ่งในอุปนิสัย  วันนี้ ทุกคนรู้ว่าการแสดงออกที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยก็คือ การนบนอบพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า และการรู้จักพระราชกิจใหม่ของพระองค์อย่างแท้จริง  ในหนทางนี้ ความเข้าใจที่มีมาก่อนเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งถูกละเลงสีสันโดยมโนคติที่หลงผิดของพวกเขานั้น สามารถถูกลบทิ้งไปได้ และพวกเขาสามารถรู้จักและนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง—นี่เท่านั้นที่เป็นการแสดงออกที่จริงแท้ของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว

การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการทำให้สัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางพระราชกิจหลากหลายประเภทที่แตกต่างกันของพระเจ้า หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขาเช่นนั้นแล้ว มนุษย์คงจะไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและสมดั่งพระทัยของพระเจ้าได้  การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์แสดงนัยสำคัญว่ามนุษย์ได้ทำให้ตัวเขาเองเป็นอิสระจากพันธนาการของซาตานและจากอิทธิพลของความมืด และได้กลายเป็นแม่แบบ และวัตถุตัวอย่างของพระราชกิจของพระเจ้า พยานของพระเจ้า และผู้ที่สมดั่งพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง  ในวันนี้ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้เสด็จมากระทำพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และพระองค์ทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์สัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระองค์ การเชื่อฟังต่อพระองค์ คำพยานต่อพระองค์ เพื่อให้รู้จักพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและปกติของพระองค์ เพื่อให้เชื่อฟังพระวจนะและพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ซึ่งไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และเพื่อเป็นคำพยานต่อพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด รวมทั้งกิจการทั้งหมดที่พระองค์ทรงสำเร็จลุล่วงเพื่อพิชิตมนุษย์  บรรดาผู้ที่เป็นคำพยานต่อพระเจ้าต้องมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่ถูกต้องแม่นยำและเป็นจริง และคำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ซาตานอับอายได้  พระเจ้าทรงใช้บรรดาผู้ที่ได้มารู้จักพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอน การจัดการ และการตัดแต่งของพระองค์ เพื่อเป็นคำพยานต่อพระองค์  พระองค์ทรงใช้พวกที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามให้เป็นคำพยานต่อพระองค์ และเช่นเดียวกัน พระองค์จึงทรงใช้บรรดาผู้ที่อุปนิสัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และผู้ที่ได้รับพรของพระองค์จากการเปลี่ยนแปลงนั้น เพื่อเป็นคำพยานต่อพระองค์  พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงให้มนุษย์สรรเสริญพระองค์ด้วยปากของเขา อีกทั้งพระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงได้รับการสรรเสริญและคำพยานจากผู้คนจำพวกของซาตาน ผู้ซึ่งยังไม่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์  เฉพาะบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นคำพยานต่อพระองค์ และเฉพาะบรรดาผู้ที่ได้มีการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของพวกเขาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นคำพยานต่อพระองค์  พระเจ้าจะไม่ทรงยินยอมด้วยความตั้งพระทัยให้มนุษย์นำความอับอายมาสู่พระนามของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า

บัดนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าอะไรคือการพิพากษาและอะไรคือความจริง?  หากเจ้าเข้าใจแล้ว เราขอเตือนสติเจ้าให้นบนอบเชื่อฟังการถูกพิพากษา มิเช่นนั้นเจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสที่จะได้รับการชมเชยจากพระเจ้าหรือได้รับการพาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์โดยพระองค์  พวกที่ยอมรับเพียงการพิพากษาเท่านั้น แต่ไม่มีวันที่จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ได้ กล่าวคือพวกที่หลบหนีไปกลางพระราชกิจแห่งการพิพากษา จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ตลอดกาล บาปนานาของพวกเขานั้นมากมายและน่าสลดใจยิ่งกว่าของพวกฟาริสี เพราะพวกเขาได้ทรยศพระเจ้าและเป็นพวกกบฏต่อพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้ซึ่งไม่คู่ควรแม้แต่จะทำงานใช้แรงย่อมจะได้รับการลงโทษที่รุนแรงยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เป็นการลงโทษที่ยาวนานตลอดกาล พระเจ้าจะไม่ทรงละเว้นคนทรยศใดๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยแสดงความจงรักภักดีอย่างชัดแจ้งด้วยคำพูดแต่แล้วก็ทรยศพระองค์ ผู้คนเช่นนี้จะได้รับบทลงโทษที่รุนแรงสาสมผ่านทางการลงโทษวิญญาณ ดวงจิต และร่างกาย นี่ไม่ใช่การเปิดเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างแม่นยำหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของพระเจ้าในการพิพากษามนุษย์และเปิดโปงเขาหรอกหรือ?  พระเจ้าทรงส่งทุกคนที่ปฏิบัติความประพฤติชั่วทุกประเภทในช่วงเวลาแห่งการพิพากษาไปยังสถานที่ที่ยุบยับไปด้วยวิญญาณชั่วร้ายและปล่อยให้วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ทำลายร่างกายอันเต็มไปด้วยเนื้อหนังของพวกเขาตามที่พวกมันปรารถนา และร่างกายของผู้คนเหล่านั้นส่งกลิ่นเหม็นของซากศพ นั่นคือบทลงโทษที่เหมาะสมของพวกเขา พระเจ้าทรงจารึกบาปทั้งหมดทุกครั้งของเหล่าผู้เชื่อจอมปลอม สาวกจอมปลอมและคนงานจอมปลอมลงในสมุดบันทึกของพวกเขา และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทรงโยนพวกเขาทิ้งลงไปท่ามกลางวิญญาณที่ไม่สะอาด ปล่อยให้วิญญาณที่ไม่สะอาดเหล่านี้สร้างมลทินให้ทั่วร่างกายของพวกเขาตามอำเภอใจ เพื่อที่พวกเขาจะไม่มีวันได้เกิดเป็นมนุษย์อีกและไม่มีวันได้เห็นความสว่างอีกเลย บรรดาผู้เสแสร้งที่ทำงานรับใช้ในช่วงเวลาหนึ่งแต่ไม่สามารถจงรักภักดีต่อไปได้จนถึงปลายทางถูกพระเจ้านับรวมกับคนชั่ว เพื่อที่พวกเขาจะเข้าไปสมคบคิดกับคนชั่วและกลายเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนโกลาหลไร้ระเบียบของพวกนั้น ในที่สุด พระเจ้าจะทำลายล้างพวกเขา พระเจ้าทรงทอดทิ้งและไม่ใส่พระทัยรับรู้ถึงพวกที่ไม่เคยจงรักภักดีต่อพระคริสต์หรือไม่เคยแบ่งปันสิ่งใดจากพละกำลังของพวกเขา และเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยุค พระองค์จะทรงทำลายล้างพวกเขาทั้งหมด พวกเขาจะไม่ดำรงอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป และยิ่งไม่ได้รับเส้นทางเดินเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าพวกที่ไม่เคยจริงใจกับพระเจ้า แต่ถูกสถานการณ์บังคับให้ติดต่อกับพระองค์อย่างขอไปทีนั้น ถูกนับรวมกับบรรดาผู้ที่รับใช้ผู้คนของพระองค์ มีผู้คนเช่นนี้เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่จะอยู่รอด ขณะที่ส่วนใหญ่จะต้องพินาศพร้อมกับพวกคนออกแรงทำงานที่ไม่ได้มาตรฐาน  ในท้ายที่สุด พระเจ้าจะทรงนำสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ซึ่งบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่มีจิตใจเช่นเดียวกับพระเจ้า ผู้คนและบุตรของพระเจ้า และผู้ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าให้เป็นปุโรหิต พวกเขาจะเป็นสิ่งกลั่นกรองจากพระราชกิจของพระเจ้า สำหรับพวกที่ไม่สามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่ใดๆ ที่พระเจ้ากำหนด พวกเขาจะถูกนับรวมไปกับผู้ไม่มีความเชื่อ—และพวกเจ้าสามารถจินตนาการได้อย่างแน่นอนว่าบทอวสานของพวกเขาจะเป็นเช่นไร เราได้บอกพวกเจ้าทั้งหมดที่เราควรบอกแล้ว ถนนที่พวกเจ้าเลือกเป็นตัวเลือกของพวกเจ้าเพียงลำพัง สิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจคือสิ่งนี้ กล่าวคือ พระราชกิจของพระเจ้าไม่เคยรอผู้ใดที่ไม่สามารถก้าวทันพระองค์ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่แสดงความเมตตาต่อมนุษย์ผู้ใด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง

ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง

วิธีที่จะกลายเป็นเชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริง และได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์

คำเทศนาที่เกี่ยวข้อง

เหตุใดในยุคสุดท้าย เหตุใดพระเจ้าจึงทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย?

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่างแห่งความรอดของมนุษย์

ความหมายของพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย

พวกเจ้าได้รับการทรงอารักขาเพราะพวกเจ้าได้รับการตีสอนและการพิพากษา

ก่อนหน้า: 30. วิธีแก้ปัญหาเรื่องผู้คนต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า

ถัดไป: 3. วิธีได้รับประสบการณ์การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger